ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมต้องใช้ 'วันเสาร์ห้า' ประกอบพิธีทางไสยศาสตร์.?  (อ่าน 893 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ทำไมต้องใช้ 'วันเสาร์ห้า' ประกอบพิธีทางไสยศาสตร์.?

สัปดาห์นี้พาไปเฉลยข้อสงสัย รู้หรือไม่ว่าในปีใดที่มีวันเสาร์ห้าเกิดขึ้น ทำไมแต่ละสำนักฯ จะทำพิธีปลุกเสกเครื่องลางของขลังกันอย่างครึกโครม เพราะอะไรไปติดตามกัน

ก่อนจะถึงเดือนเม.ย.ของทุกปี ตามปฏิทินจันทรคติจะตรงกับเดือนห้า เหล่าครูบาอาจารย์ หรือจอมขมังเวทย์ทั้งหลายต่างก็ต้องมาตรวจสอบดูว่าในเดือนห้าของปีนี้ จะมีวัน “เสาร์ห้า” หรือไม่

วันเสาร์ห้านั้นในความหมายที่หลายคนเข้าใจก็คือ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5ที่ตรงกับวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันแรง และไม่ได้มีเกิดขึ้นในทุกปี กล่าวคือ ขึ้น 5 ค่ำเดือน 5 นั้นมีอยู่ในทุกปี แต่จะให้ตรงกับวันเสาร์นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกันได้บ่อย ๆ เพราะเว้นไป 3-4 ปีจึงจะเกิดขึ้นได้สักครั้ง

หากปีใดที่มีวันเสาร์ห้าเกิดขึ้น เราจะสังเกตเห็นว่าแต่ละสำนักฯ จะทำพิธีปลุกเสกเครื่องลางของขลังกันอย่างครึกโครม บางวัดก็นิยมทำพิธีสวดภาณยักษ์ เสกน้ำมนต์ เพื่อขับไล่เสนียดจัญไรให้แก่ผู้มีจิตศรัทธา

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “เสาร์ห้า” นั้นคืออะไร แล้วทำไมถึงต้องเป็นวันที่เกี่ยวข้องกับพิธีทางไสยศาสตร์ เป็นวันที่นิยมใช้ในการปลุกเสกเครื่องลางของขลัง เราลองมาศึกษาทำความเข้าใจกันให้ถ่องแท้ ในเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามาผสมผสานกัน



1. ตามหลักดิถีมหาศูนย์ กำหนดไว้ว่า หากดิถีขึ้น-แรม ตรงกันกับเดือน เช่น ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 หรือแรม 3 ค่ำ เดือน 3 ดังนี้จัดให้เป็น “กทิงวัน” ซึ่งเป็นวันแรง มีข้อห้ามหลายอย่าง จะไม่ใช้ประกอบพิธีมงคล แต่จะนิยมใช้ประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ ปลุกเสกเครื่องลางของขลัง

2. วันเสาร์เป็นวันที่แรง เพราะเทวดาประจำพระเคราะห์นั้น พระอิศวรได้ให้กำเนิดจากเสือ 10 ตัว กำหนดให้เป็นวันที่แสดงพลานุภาพไปในทางดุร้ายน่าเกรงขาม และตามหลักมหาทักษา กำหนดวันเสาร์ให้เป็นวันที่ได้ ปูมราหูเป็น “เดช” จึงเป็นวันที่มีพลังในด้านอิทธิฤทธิ์ ดังนั้นอำนาจทางฝ่ายไสยศาสตร์จึงโดดเด่น หากมีดิถีที่แรงมารวมกับวันเสาร์ด้วย ก็จะยิ่งเสริมความแรงให้กับดิถีนั้น ๆ

3. เป็นวันที่ดวงอาทิตย์และพระจันทร์โคจรได้ตำแหน่ง “มหาอุจจ์” ด้วยกันทั้งคู่ กล่าวคือในเดือน 5 (ทางจันทรคติ) ดวงอาทิตย์จะโคจรเข้าสู่ราศีเมษ ในทางโหราศาสตร์ถือว่าได้ตำแหน่งมหาอุจจ์ หมายถึง โลกกับดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ใกล้กันที่สุด และนี่คือเหตุที่ทำให้ช่วงเดือนนี้จะมีอากาศร้อนที่สุด และในวันขึ้น 5 ค่ำ (ทางจันทรคติ) ดวงจันทร์จะโคจรผ่านดวงอาทิตย์จากราศีเมษ เคลื่อนตัวจนได้ครองตำแหน่งมหาอุจจ์ ในราศีพฤษภ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่โลกและดวงจันทร์เคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ใกล้กัน

4. เป็น “วันปิ่นอิศวร” คือวันที่อยู่ในช่วงดิถี 3 ค่ำถึงดิถี 5 ค่ำ เราจะมองเห็นพระจันทร์มีลักษณะเป็นรูปวงเล็บ มองดูคล้ายปิ่นที่เสียบอยู่บนเศียรพระอิศวร ทางภารตะนิยม ถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่เหมาะกับการประกอบพิธีกรรมสำคัญ ในการบูชาเทพฯ และทำพิธีล้างอาถรรพ์ และเป็นวันที่ทั้งพระอาทิตย์และดวงจันทร์ทำมุมห่างกันในระยะไม่เกิน 45 องศา และเป็นตำแหน่งที่ใกล้โลกด้วยกันทั้งคู่ จึงสามารถส่งพลังงาน และอิทธิพลมาสู่โลกได้มาก เราจะเห็นพระจันทร์ปิ่นอิศวร ในวันขึ้น 5 ค่ำ คล้อยไปทางทิศตะวันตกในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า (น้ำในแม่น้ำลำคลองจะขึ้นสูง)



จากปัจจัยทั้ง 4 ประการนี้เอง จึงทำให้ “วันเสาร์ห้า” เป็นวันแรงเหมาะแก่การปลุกเสกเครื่องลางของขลัง และเป็นวันสำคัญที่เหมาะแก่การทำพิธีทางไสยศาสตร์ แต่วันเสาร์ห้าก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้ทุกปี โดยเฉพาะกับวันเสาร์ห้าที่สมบูรณ์ หมายถึง วันขึ้น 5 ค่ำเดือน 5 ที่ตรงกับวันเสาร์ และเป็นวันที่พระอาทิตย์กับดวงจันทร์ได้ตำแหน่งมหาอุจจ์พร้อม ๆ กัน

ในปีนี้ พ.ศ.2562 วันขึ้น 5 ค่ำเดือน 5 ตามปฏิทินสุริยคติ จะตรงกับวันอังคารที่ 9 เม.ย. จึงไม่มีวันเสาร์ห้าในปีนี้ และในวันที่พระอาทิตย์กับดวงจันทร์จะโคจรได้ตำแหน่งมหาอุจจ์พร้อมกัน ก็จะตรงกับช่วงวันที่ 5-7 พ.ค.62

ดังนี้แล้ว “วันเสาร์ห้า” ในปีนี้ 2562 จึงไม่มี เราก็จะต้องรอคอยในปีถัด ๆ ไปนะครับ



กลเม็ดเคล็ดโหรฯ... ในสัปดาห์นี้อาจารย์จะนำเสนอเคล็ดลับการอ่านอาทิตย์กำเนิด ที่มีข้อสังเกตง่าย ๆ แต่สามารถได้อย่างแม่นยำ

1. หากอาทิตย์กำเนิดอยู่ในภพกดุมภะ จะทำให้เป็นคนใช้เงินมือเติบ มักจะใช้เงินเพื่อหน้าตาของตนเอง เช่น หมดเงินไปกับการเลี้ยงลูกน้อง หมดเงินไปกับเครื่องอำนวยความสะดวก หมดเงินไปกับของใช้ที่หรูหรา ฯลฯ

2. หากอาทิตย์กำเนิดอยู่ในภพพันธุ จะทำให้เจ้าชะตามีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายบ่อย มีบ้านก็อยู่ไม่ติด ต้องมีเหตุให้เดินทางอยู่ตลอดเวลา ห่างไกลบุพาการี ฯลฯ

3. หากอาทิตย์กำเนิดอยู่ในภพปัตนิ จะทำให้เจ้าชะตาไม่ประสบความสำเร็จในการครองรักครองเรือน เปลี่ยนคู่บ่อย

4. หากอาทิตย์กำเนิดอยู่ในภพศุภะ จะทำให้ดวงชะตานั้นอาภัพบิดา หรือเรียกว่า “ไม่มีวาสนาในพ่อ” เช่น ไม่ได้อยู่กับบิดาที่ให้กำเนิด ต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างถิ่นต่างที่ ฯลฯ
 
5. หากอาทิตย์กำเนิดอยู่ในภพกัมมะ จะทำให้เจ้าชะตามีปัญหากับนายจ้าง เปลี่ยนงานบ่อย จนต้องมาประกอบกิจการเป็นของตัวเอง มีความขัดแย้งกับพ่อตาแม่ยาย, พ่อผัวแม่ผัว ฯลฯ





ขอเชิญติดตาม กลเม็ดเคล็ดโหรฯ ได้ทุกสัปดาห์ในส่วนท้ายคอลัมน์ อ.พราหมณ์เมศ วาสุเทพ นะครับ.


คอลัมน์ : พยากรณ์สอนกันได้
โดย “อ.พราหมณ์เมศ วาสุเทพ”
ขอบคุณที่มา : https://www.dailynews.co.th/article/702858
อังคารที่ 9 เมษายน 2562 เวลา 14.00 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ