ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มงคลสูงสุด "มงคล ๓๘ ประการ"  (อ่าน 27793 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
มงคลสูงสุด "มงคล ๓๘ ประการ"
« เมื่อ: มีนาคม 17, 2010, 01:22:29 pm »
0
มงคลสูตรในขุททกปาฐะ


             [๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ครั้นปฐมยามล่วงไป
เทวดาตนหนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
แล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

             [๖] เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้พากัน
คิดมงคลทั้งหลาย ขอพระองค์จงตรัสอุดมมงคล


             พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาตอบว่า
                          การไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาบุคคลที่ควร
                          บูชา ๑ นี้เป็นอุดมมงคล การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑

                          ความเป็นผู้มีบุญอันกระทำแล้วในกาลก่อน ๑ การตั้งตนไว้
                          ชอบ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล พาหุสัจจะ ๑ ศิลป ๑ วินัยที่
                          ศึกษาดีแล้ว ๑ วาจาสุภาสิต ๑ นี้เป็นอุดมมงคล การบำรุง
                          มารดาบิดา ๑ การสงเคราะห์บุตรภรรยา ๑ การงานอันไม่
                          อากูล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล ทาน ๑ การประพฤติธรรม ๑

                          การสงเคราะห์ญาติ ๑ กรรมอันไม่มีโทษ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
                          การงดการเว้นจากบาป ๑ ความสำรวมจากการดื่มน้ำเมา ๑
                          ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
                          ความเคารพ ๑ ความประพฤติถ่อมตน ๑ ความสันโดษ ๑

                          ความกตัญญู ๑ การฟังธรรมโดยกาล ๑  นี้เป็นอุดมมงคล
                          ความอดทน ๑ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ การได้เห็นสมณะ
                          ทั้งหลาย ๑ การสนทนาธรรมโดยกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
                          ความเพียร ๑ พรหมจรรย์ ๑ การเห็นอริยสัจ ๑

                          การกระทำนิพพานให้แจ้ง ๑ นี้เป็นอุดมมงคล จิตของผู้ใดอัน
                          โลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ๑ ไม่เศร้า-
                          โศก ๑ ปราศจากธุลี ๑ เป็นจิตเกษม ๑

           
                          นี้เป็นอุดมมงคล เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลเช่นนี้แล้ว
                          เป็นผู้ไม่ปราชัยในข้าศึกทุกหมู่เหล่า ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน
                          นี้เป็นอุดมมงคลของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ฯ
                          จบมงคลสูตร


อ้างอิง 
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕  บรรทัดที่ ๔๑ - ๗๒.  หน้าที่  ๓ - ๔.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=41&Z=72&pagebreak=0

-------------------------------------------------------------- 

มงคลชีวิต 38 ประการ
โดย พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)
วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพฯ


มงคลที่ 1.ไม่คบคนพาล
อย่าคบมิตร ที่พาล สันดานชั่ว
จะพาตัว เน่าดิบ จนฉิบหาย
แม้ความคิด ชั่วช้า อย่ากล้ำกราย
เป็นมิตรร้าย ภายใน ทุกข์ใจครัน

มงคลที่ 2.การคบบัณฑิต
ควรคบหา บัณฑิต เป็นมิตรไว้
จะช่วยให้ พ้นทุกข์ สบสุขสันต์
ความคิดดี เลิศล้ำ ยิ่งสำคัญ
ควรคบกัน อย่าเขว ทุกเวลา

มงคลที่ 3.การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
ควรบูชา ไตรรัตน์ ขัตติเยศร์
ผู้วิเศษ ก่อเกื้อ เหนือเกศา
ครูอาจารย์ เจดีย์ ที่สักการ์
ด้วยบุปผา ปฏิบัติ สวัสดิ์การ

มงคลที่ 4.การอยู่ในถิ่นอันสมควร
เป็นเมืองกรุง ทุ่งนา หรือป่าใหญ่
ทางมา-ไป ครบครัน ธัญญาหาร
มีคนดี ที่ศึกษา พยาบาล
ปลอดภัยพาล ควรอยู่กิน ถิ่นนั้นแล

มงคลที่ 5.เคยทำบุญมาก่อน
กุศลบุญ คุณล้ำ เคยทำไว้
จะส่งให้ สวยเด่น เช่นดวงแข
ทั้งทรัพย์ยศ ไมตรี มีเย็นแด
เพราะกระแส บุญเลิศ ประเสริฐนัก

มงคลที่ 6 การตั้งตนชอบ
ต้องตั้งตน กายใจ ในทางถูก
เร่งฝังปลูก ตนไว้ ให้ถูกหลัก
เมื่อตัวตน ยังมี เป็นที่รัก
ควรพิทักษ์ ให้งาม ตามเวลา

มงคลที่ 7 ความเป็นพหูสูต

การสนใจ ใฝ่คว้า หาความรู้
ให้เป็นผู้ แก่เรียน เพียรศึกษา
มีศีลดี สติมั่น เกิดปัญญา
ย่อมนำพา ตัวรอด เป็นยอดดี

มงคลที่ 8 การรอบรู้ในศิลปะ
ศิลปะ ต่างอย่าง ทางอาชีพ
ควรเร่งรีบ เรียนรู้ ชูศักดิ์ศรี
มีบางคน จนอับ กลับมั่งมี
ฉลาดดี มีศิลป์ หากินพอ

มงคลที่ 9 มีวินัยที่ดี
อันวินัย นำระเบียบ สู่เรียบร้อย
คนใหญ่น้อย เปรมปรีดิ์ ดีนักหนา
วินัยสร้าง กระจ่างข้อ ก่อศรัทธา
เพราะรักษา กติกา พาร่วมมือ

ไม่พูดเท็จ พูดสอดเสียด และพูดมาก
ละความยาก สร้างวิบาก ฝากยึดถือ
คนหมู่มาก มักถางถาก ปากข่าวลือ
ต้องสัตย์ซื่อ ถือวินัย ใช้ร่วมกัน

มงคล ที่ 10 กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต

เปล่งวจี สัจจะ นวลละม่อม
กล่าวเลลี้ยกล่อม ไพเราะ กาลเหมาะสม
เจือประโยชน์ เมตตา ค่านิยม
รื่นอารมณ์ ผู้ฟัง ดังเสียงทอง

มงคลที่ 11 การบำรุงบิดามารดา

คนที่หา ได้ยาก มากไฉน
เพราะว่าใน โลกนี้ มีเพียงสอง
คือพ่อแม่ เกิดเกล้า เหล่าลูกต้อง
ตอบสนอง พระคุณ ได้บุญแรง

มงคลที่ 12 การสงเคราะห์บุตร

เป็นมารดา บิดา ทำหน้าที่
ให้บุตรมี พำนัก เป็นหลักแหล่ง
ส่งเสริมบุตร ธิดาตน กุศลแรง
ย่อมส่องแสง เพิ่มพูน ตระกูลวงศ์

มงคลที่ 13.การสงเคราะห์ภรรยา

มีคู่ครอง ต้องไม่ทำ ให้ช้ำจิต
จะพาผิด ไปข้าง ทงผุยผง
ต้องสงเคราะห์ แก่กัน ให้มั่นคง
รักยืนยง ด้วยกัน ถึงวันตาย

มงคลที่ 14.ทำงานไม่คั่งค้าง
จะทำงาน การใด ตั้งใจมั่น
อย่าผัดวัน ทำเล่น เช้า เย็น สาย
ไม่ทิ้งคา อากูล มากมูลมาย
เร่งคลี่คลาย ให้เสร็จ สำเร็จการ

มงคลที่ 15.การให้ทาน

ควร บำเพ็ญ ซึ่งทาน คือการให้
ท่านว่าไว้ สวยงาม สามสถาน
หนึ่งให้ของ สองธรรมะ ขนะมาร
อภัยทาน ที่สาม งามเหลือเกิน



มงคลที่ 16.การประพฤติธรรม
การ ประพฤติ ตามธรรม คำพระสอน
ไม่เดือดร้อน ถอนทุกข์ ยามฉุกเฉิน
คนรักธรรม ธรรมรักษ์คน ผลเจริญ
นั่ง,ยืน,เดิน นอน,สุข ทุกข์ไม่มี

มงคลที่ 17.การสงเคราะห์ญาติ
เมื่อ ยามญาติ อัตคัด เกินขัดข้อง
ควรหาช่อง สงเคราะห์ ไม่เลาะหนี
เขาซาบซึ้ง ถึงคุณ อบอุ่นดี
หากถึงที เราจน ญาติสนใจ

มงคลที่ 18 ทำงานไม่มีโทษ
งานรับจ้าง ล้างชาม ก็ตามเถิด
หากไม่เกิด โทษทัณฑ์ นั่นสดใส
เมื่อได้ช่อง ต้องจำ กระทำไป
ได้กำไร ทุกทาง ไม่ว่างงาน

มงคลที่ 19 ละเว้นจากบาป
กรรมชั่วช้า ลามก ต้องยกเว้น
หากขืนเล่น ด้วยกัน ถูกมันผลาญ
งดเว้นบาป กำราบให้ ไกลสันดาน
ในดวงมาลย์ ไม่ร้อน และอ่อนเพลีย

มงคลที่ 20 สำรวมจากการดื่มน้ำเมา

ของมึนเมา ทุกชนิด พิษคล้ายเหล้า
ใครเสพเข้า น่าตำหนิ สติเสีย
เกิดโรคร้าย แรงร้อน กายอ่อนเพลีย
ใครงดเสีย เป็นสุข ไปทุกวัน
 
มงคลที่ 21 ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
ไม่ประมาท คือมี สติพร้อม
คอยหน่วงน้อม ธรรมคุณ ไม่ผลุนผลัน
ธรรมอันใด ไม่ดี หลีกหนีพลัน
ธรรมดีนั้น ยึดแน่น ไม่แคลนคลอน

มงคลที่ 22 มีความเคารพ
ความเคารพ นับถือ คือเสน่ห์
ไม่โลเล เหมือนลิง วิ่งหลอกหลอน
ทั้งต่อหน้า ลับหลัง พึงสังวร
ย่อมงามงอน สวยสง่า ราคาแพง

มงคลที่ 23 มีความถ่อมตน
ไม่พองลม ก้มหัว เจียมตัวด้วย
มรรยาทสวย นิ่มนวล สิ้นส่วนแข็ง
เหมือนงูพิษ ถอดเขี้ยว หมดเรี่ยวแรง
ยามแถลง นอบน้อม พร้อมใจกาย

มงคลที่ 24 มีความสันโดษ
ความสันโดษ พอใจ ในสิ่งของ
เช่นเงินทอง ของตน แม้ล้นหลาย
เมื่อมีน้อย จ่ายน้อย ค่อยสบาย
ความจนหาย เลยลับ กลับมั่งมี

มงคลที่ 25 มีความกตัญญู
กตัญญู รู้บุญ คุณพ่อแม่
คนเฒ่าแก่ แลอาจารย์ ท่านทรงศีล
จอมมุนินทร์ ปิ่นเกล้า เจ้าธานี
หาวิธี แทนคุณ สมดุลกัน

มงคลที่ 26 การฟังธรรมตามกาล

การฟังธรรม ตามกาล ผ่านมาถึง
ควรคำนึง นิ่งนั่ง ฟังขยัน
ย่อมจะเกิด ปัญญา สารพัน
ตั้งใจมั่น ฟังดี นี่สมควร
 
มงคลที่ 27 มี ความอดทน
ความ อดทน ตรากตรำ ยามลำบาก
เจ็บไข้มาก ทนได้ ไม่โหยหวน
ถูกเขาด่า ให้ฟัง นั่งหน้านวล
ยิ้มเสสรวล ด้วยขันติ งามวิไล

มงคลที่ 28 เป็นผู้ว่าง่าย
ควร เป็นคน สอนง่าย ไม่ตายด้าน
ก่อรำคาญ ค่ำเช้า ไม่เข้าไหน
ไม่ซัดโทษ ของตน ให้คนใด
เมื่อมีใคร สอนพร่ำ ให้นำมา

มงคลที่ 29 การได้เห็นสมณะ
การ พบเห็น สมณะ ผู้สงบ
แล้วนอบนบ ถามไถ่ ไตรสิกขา
หมั่นฝึกหัด ทุกวัน ด้วยปัญญา
ย่อมชักพา จิตตรง มงคลมี

มงคลที่ 30 การสนทนาธรรมตามกาล
ยามหดหู่ ฟุ้งซ่าน กาลสงสัย
เป็นสมัย ไต่ถาม ตามเหตุผล
เพื่อบรรเทา คลี่คลาย หายกังวล
ควรจะสน- ทนาธรรม ตามที่ควร



มงคลที่ 31 การบำเพ็ญตบะ
พึงบำเพ็ญ ตบะ ละกิเลส
อันเป็นเหตุ หักห้าม กามฉันท์
มุ่งทำลาย ถ่ายบาป สาบสูญพันธุ์
เข้าสู่ขั้น สุโข ฌาณโกลีย์

มงคลที่ 32 การประพฤติพรหมจรรย์
เร่งประพฤติ พรหมจรรย์ อันประเสริฐ์
เพื่อให้เกิด สุขล้วน โดยถ้วนถี่
ตั้งแต่ทาน ถึงสิกขา บรรดามี
สมบูรณ์ดี พรหมจรรย์ ย่อมมั่นคล

มงคลที่ 33 การเห็นอริยสัจ
การรู้เห็น ความจริง สิ่งเที่ยงแท้
ไม่ผันแปร สี่ชนิด ไม่ผิดหลง
ตัดตัณหา มูลราก พรากทุกข์ลง
เป็นการส่ง ข้ามฟาก จากสาคร

มงคลที่ 34 การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

ทำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์
ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอน
เอาอรหัต มรรคญาณ เผาราญรอน
ดับทุกข์ร้อน นิพพาน สำราญนัก

มงคลที่ 35 การมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม

ท่านผู้ใด ใจดำรง อยู่คงที่
ในเมื่อมี โลกธรรม ครอบงำหนัก
เช่น ลาภ ยศ สุข เศร้า เข้าง้างชัก
มิอาจยัก โยกท่าน ให้หวั่นใจ

มงคลที่ 36 การมีจิตไม่โศกเศร้า
คราวพลักพราก จากญาติ ขาดชีวิต
ถูกพิชิต จองจำ ทำโทษใหญ่
มีสติ คุมจิต เป็นนิตย์ไป
ไม่เสียใจ โศกเศร้า เฝ้าประคอง

มงคลที่ 37 มีจิตปราศจากกิเลส
หมด ราคะ โทสะ โมหะแล้ว
จิตผ่องแผ้ว เลิศดี ไม่มีสอง
ย่อมมีค่า สูงจริง ยิ่งเงินทอง
เหมือนสูริย์ส่อง ท้องฟ้า สง่างาม

มงคลที่ 38 มีจิต เกษม
จิตเกษม เปรมปรีดิ์ ดีตลอด
เป็นจิตปลอด จากโอฆ ในโลกสาม
เครื่องผูกมัด สลัดหมด แสนงดงาม
เข้าถึงความ สุขสันต์ นิรันดร

ที่มา  http://www.fungdham.com/mongkhol38/mongkhol38.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 17, 2010, 08:16:48 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "อเสวนา จ พาลานํ"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 05:10:03 am »
0
โทษของการคบคนพาล


 ย่อมถูกชักนำไปในทางที่ผิด
 
 ย่อมเกิดความหายนะ การงานล้มเหลว
 
 ย่อมถูกมองในแง่ร้าย ไม่ได้รับความไว้วางใจจากบุคคลทั่วไป
 
 ย่อมอึดอัดใจ เพราะคนพาลแม้เราพูดดีๆ ด้วยก็โกรธ
 
 หมู่คณะย่อมแตกความสามัคคี เพราะการยุยงและไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัย
 
 ภัยอันตรายต่างๆ ย่อมไหลเข้ามาหาตัว
 
 เมื่อละโลกแล้ว ย่อมมีอบายภูมิเป็นที่ไป




       อเสวนา จ พาลานํ



มงคลที่ 1.ไม่คบคนพาล

     พาลชนหมายคบค้า        พาจน
ซ่องเสพมิมงคล                  อย่าข้อง
พาลริชั่วฉ้อฉล                   ยากหยั่ง ใจนา
เสพมิตรคิดครวญป้อง        ห่างร้ายกายตน.


                                                   ธรรมธวัช.!




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 16, 2010, 11:39:10 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา"
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 12:37:04 am »
0
บัณฑิต...เป็นไฉน


เป็นคนคิดดี ไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความกตัญญูรู้คุณ

เป็นคนพูดดี วจีสุจริต พูดจริง ทำจริงไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ถากถาง นินทาว่าร้าย

เป็นคนทำดี ทำอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำทานเป็นปกตินิสัย อยู่ในศีลธรรม ทำสมาธิภาวนา




รูปแบบของบัณฑิต สังเกตได้...ดังนี้

ชอบชักนำในทางที่ถูกที่ควร ตักเตือนให้ทำความดี

ชอบทำในสิ่งที่เป็นธุระ และใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นเว้นแต่จะได้รับการร้องขอ

ชอบทำและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ควร แนะนำการทำทานที่ถูกต้อง ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น

รับฟังดี ไม่โกรธ ไม่ถือโทษ หรือทำอวดดี แต่จะรับฟังแล้วนำไปพิจารณาโดยยุติธรรม แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุง

รู้ระเบียบ กฏกติกา มารยาทที่ดี รักษาระเบียบวินัยขององค์กร เพื่อให้หมู่คณะมีความเป็นระเบียบ



ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา



มงคลที่ 2. การคบบัณฑิต

     บัณฑิตชนคบไว้                   เอื้อการ
คิดขบแลวิจารณ์                      ช่วยรั้ง
สำเร็จกิจไหว้วาน                    มิยาก หยั่งนา
ครวญใคร่หมายอย่าพลั้ง        ผิดร้างใจกัน

                               
                                                        ธรรมธวัช. !




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 16, 2010, 11:38:57 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ปูชา จ ปูชนียานํ"
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 04:21:14 am »
0
“ผู้ใด พึงบูชาท่านผู้อบรมตนแล้วผู้หนึ่ง แม้เพียงครู่เดียว
การบูชาของผู้นั้น ประเสริฐกว่าการบูชาของบุคคลผู้บูชา (โลกิยมหาชน)
ด้วยทรัพย์เดือนละพัน ตลอดร้อยปี”




บุคคลที่ควรบูชา


     คือ บุคคลที่มีคุณความดีควรค่าแก่การระลึกนึกถึง และยึดถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตาม ได้แก่ ผู้มีศีล

สมาธิ ปัญญา สูงกว่าเรานั่นเอง

     ๑. พระพุทธเจ้า เป็นบัณฑิตที่ประเสริฐในโลก ทรงไว้ด้วยพระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ

จัดเป็นบุคคลควรบูชาของพุทธศาสนิกชน

     ๒. พระสงฆ์ ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบก่อน แล้วจึงสอนให้ผู้อื่นประพฤติดีปฏิบัติชอบตาม จัดเป็นบุคคลควร

บูชาของพุทธศสนิกชน

     ๓. พระมหากษัตริย์ผู้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม เป็นธรรมราชา จัดเป็นบุคคลที่ควรบูชาของประชาชน

     ๔. บิดามารดา และญาติผู้ใหญ่ที่มีความประพฤติดี เป็นบัณฑิตอยู่ในฐานะสูงเกินกว่าจะคบ จัดเป็นบุคคลที่

ควรแก่การบูชาของบุตรหลาน

     ๕. ครูอาจารย์ ที่มีความรู้ความสามารถ มีความประพฤติดี เป็นบัณฑิตอยู่ในฐานะที่เกินกว่าศิษย์จะคบหา จัด

เป็นบุคคลที่ควรแก่การบูชาของศิษย์

     ๖. ผู้บังคับบัญชา ที่มีความประพฤติดี ตั้งอยู่ในธรรม จัดเป็นบุคคลที่ควรแก่การบูชาของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา



อานิสงส์การบูชาบุคคลที่ควรบูชา

     ๑. ยังความเห็นถูกที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น

     ๒. ยังความเห็นถูกที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น

     ๓. ทำให้มีกิริยามารยาทสุภาพอ่อนโยนน่ารักน่านับถือ

     ๔. ทำให้จิตใจผ่องใสเพราะตรึกอยู่ในกุศลธรรมเสมอ

     ๕. ทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ขึ้นเพราะมีความสำรวมระวังเป็นการป้องกันความประมาท

     ๖. ป้องกันความลืมตัวความหลงผิดได้เพราะตระหนักอยู่เสมอว่าผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่าตนยังมีอยู่

     ๗. ทำให้เกิดกำลังใจและอานุภาพอย่างมหาศาลสามารถคุ้มครองป้องกันตนให้พ้นจากอุปสรรคและภัยพาล

ต่างๆได้

     ๘. เป็นการกำจัดคนพาลให้พินาศไปโดยทางอ้อมเพราะมีแต่คนบูชาบัณฑิตผู้มีคุณธรรม

     ๙. เป็นการเชิดชูบัณฑิตให้สูงเด่นทำให้ท่านสามารถบำเพ็ญกรณียกิจได้สะดวกกว้างขวางยิ่งขึ้น



           ปูชา จ ปูชนียานํ



มงคลที่ 3. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา

     บูชาหมายหยั่งไว้            ไตรรัตน์
พ่อแม่ศิริสวัสดิ์                    ชีพให้
ทั้งบัณฑิตปริยัติ                 ผู้พร่ำ ปสาธน์นา
ครวญเทิดเหนือเกศได้        ห่างร้ายภัยพาน.


                                                    ธรรมธวัช.!




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 16, 2010, 11:34:06 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ปฏิรูปเทสวาโส จ"
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 04:49:41 am »
0
ลักษณะของถิ่นที่เหมาะสม


อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึง เป็นที่ที่มีสภาพทางภูมิศาสตร์ดี เช่น ถ้าเป็นบ้าน ก็ต้องให้มีต้นไม้ร่มรื่น น้ำไฟ

สะดวก ถ้าเป็นโรงเรียน ก็ต้องมีสุขลักษณะดี มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีเสียงอึกทึก มีบริเวณกว้างขวาง มี

สนาม กีฬา ถ้าเป็นที่ตั้งร้านค้า ก็ต้องเป็นบริเวณที่อยู่ในย่านชุมชน การคมนาคมสะดวก ถ้าเป็นจังหวัดหรือภาค ก็

ต้องเป็นบริเวณที่สภาพภูมิศาสตร์ดี เช่น ไม่ลุ่มไม่ดอนเกินไป ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป เป็นต้น

อาหารเป็นที่สบาย หมายถึง เป็นบริเวณที่สามารถจัดหาอาหารได้สะดวก เช่น อยู่ใกล้ตลาด หรือบริเวณที่มีการ

เกษตรกรรมสามารถผลิตอาหารได้เองอย่างพอเพียง และเป็นที่ที่สามารถประกอบธุรกิจการงานหารายได้มาเลี้ยง

ตนเองและครอบครัวได้ดี

บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึง บริเวณที่อยู่นั้นต้องไม่มีนักเลงอันธพาล โจรผู้ร้ายไม่ชุกชุม คนส่วนใหญ่ในละแวก

นั้นเป็นคนดี มีศีลธรรม มีวินัย ใฝ่หาความก้าวหน้า

ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึง ความดีงาม ความเหมาะสม ใน ๒ ลักษณะคือ ในทางโลก หมายถึง ในถิ่นนั้นมี

โรงเรียน สถานศึกษาสำหรับให้ความรู้ได้อย่างดี ตลอดจนมีหลักการปกครอง การบริหารราชการบ้านเมืองที่ดีอีก

ด้วย





ปฏิรูปเทสวาโส จ



มงคลที่ 4. การอยู่ในถิ่นอันสมควร

     ถิ่นเมืองกรุงทุ่งใกล้         ธัญญา
เขตปราชญ์เที่ยวไปมา        มากผู้
ครวญใคร่เสกสรรหา          เอมอิ่ม ใจนา
หยั่งชีพชนม์ยืนสู้             กล่าวได้มงคล.


                                                  ธรรมธวัช.!




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 16, 2010, 11:34:22 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา"
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 05:16:24 am »
0
"เราเคยทำจิตสะอาดมาแล้วในการก่อน จัดว่าเป็นอุดมมงคล "


คนเราที่เกิดมาเป็นคนได้ ก็ต้องอาศัยการสร้างความดีไว้ในอดีตกาล คือ

    * ที่เราเป็นมนุษย์ได้ เพราะเคยมีศีล 5 บริสุทธิ์ เคยมีกรรมบถ 10 บริสุทธิ์

    * ที่เรามีทรัพย์สิน มีข้าวกิน ก็เพราะอาศัยการให้ทาน

    * ที่มีเพื่อนฝูง มีบริวาร ก็เพราะการชักชวนกันสร้างความดี

    * ที่เรามีปัญญาคิดอะไรต่ออะไรออก ก็เพราะเคยใช้ปัญญายอมรับนับถือกฎของความดี


เคยทำบุญมาก่อน

ขึ้นชื่อว่าบุญนั้น มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ

๑. ทำให้กาย วาจา และใจ สะอาดได้

๒. นำมาซึ่งความสุข

๓. ติดตามไปได้ หมายถึงบุญจะติดตัวเราไปได้ตลอดจนถึงชาติหน้า

๔. เป็นของเฉพาะตน หมายถึงขอยืม หรือแบ่งกันไม่ได้ ทำเองได้เอง

๕. เป็นที่มาของโภคทรัพย์ทั้งหลาย คือว่าผลของบุญจะบันดาลให้เกิดขึ้นได้เองโดยไม่ได้หวังผล

๖. ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ และนิพพานสมบัติแก่เราได้ หมายถึงความสมบูรณ์ตั้งแต่ทางโลก จนถึงนิพพานได้เลย

๗. เป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งนิพพาน ก็คือเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บรรลุถึงนิพพานได้เร็วขึ้นเมื่อปฏิบัติ

๘. เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฏสังสาร หมายถึงในวงจรการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิดนั้น

บุญจะคุ้มครองให้ผู้นั้นเกิดในที่ดี อยู่อย่างมีความสุข หรือตายอย่างไม่ทรมาน ขึ้นอยู่กับกำลังบุญที่สร้างสมมา



   ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา




มงคลที่ 5. เคยทำบุญมาก่อน

     บุญกุศลส่งให้                  สุขเย็น
มากทรัพย์มิลำเค็ญ              ชีพนี้
ทานศีลสัตย์บำเพ็ญ             ทำบ่ ขาดแล
อยากพร่ำหวังเพียงชี้          อย่าร้างทางบุญ.


                                                     ธรรมธวัช.!




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 16, 2010, 11:34:47 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "อตฺตสมฺมาปณิธิ จ"
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2010, 12:52:27 am »
0
การตั้งตนชอบ


         หมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ด้วยความถูกต้องและสุจริต อยู่ในสัมมาอาชีพ มีแผนการที่จะ

ไปให้ถึงจุดหมายนั้นด้วยความไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อม และมีความอดทนไม่ละทิ้งกลางคัน



อตฺตสมฺมาปณิธิ จ




มงคลที่ 6. การตั้งตนชอบ

     ทิฏฐิผิดเร่งสร้าง           ทางถูก
เพียรเพ่งเร่งฝังปลูก          ชอบไว้
หลักมั่นหมั่นพันผูก          ควรค่า
คราเมื่อถึงกาลไซร้         เมื่อนั้นมงคล.


                                              ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 16, 2010, 11:35:06 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "พาหุสจฺจญฺ จ"
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2010, 12:16:05 am »
0
ความเป็นพหูสูต


คือเป็นผู้ที่ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ โดยมีลักษณะดังนี้คือ

๑.รู้ลึก คือการรู้ในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆอย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุม อย่างมีเหตุมีผล รู้ถึงสาเหตุจนเรียกว่าความชำนาญ

๒.รู้รอบ คือการรู้จักช่างสังเกตในสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่นเหตุการณ์แวดล้อมเป็นต้น

๓.รู้กว้าง คือการรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กันเป็นต้น

๔.รู้ไกล คือการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคตเป็นต้น

ถ้าอยากจะเป็นพหูสูตก็ควรต้องมีคุณสมบัติดังว่านี้คือ

๑.ความตั้งใจฟัง ก็คือชอบฟัง ชอบอ่านหาความรู้ และค้นคว้าเป็นต้น

๒.ความตั้งใจจำ ก็คือรู้จักวิธีจำ โดยตั้งใจอ่านหรือฟังในสิ่งนั้นๆ และจับใจความให้ได้

๓.ความตั้งใจท่อง ก็คือท่องให้รู้โดยอัตโนมัติ ไม่ลืม ในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ

๔.ความตั้งใจพิจารณา ก็คือการรู้จักพิจารณา ตรึกตรองในสิ่งนั้นๆอย่างทะลุปรุโปร่ง

๕.ความเข้าใจในปัญหา ก็คือการรู้อย่างแจ่มแจ้งในปัญหาอย่างถ่องแท้ด้วยปัญญา


               พาหุสจฺจญฺ จ



มงคลที่ 7. ความเป็นพหูสู

     เป็นผู้เพียรร่ำรู้                ศึกษา
ครวญใคร่เสาะแสวงหา        ไขว่คว้า
มีศีลสัตย์ปัญญา                รักษ์รอด
หาปราศชนหยามหน้า       ว่าร้ายเสียหาย.

                                               
                                                   ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 11, 2011, 10:03:34 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "สิปฺปญฺ จ"
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2010, 05:46:38 am »
0
การรอบรู้ในศิลปะ


ศิลปะ คือสิ่งที่แสดงออกถึงความงดงาม และมีความสุนทรีย์ โดยลักษณะของมันมีดังนี้คือ

๑.มีความปราณีต

๒.ทำให้ของดูมีค่ามากขึ้น

๓.ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์

๔.ไม่ทำให้เกิดกามกำเริบ

๕.ไม่ทำให้เกิดความพยาบาท

๖.ไม่ทำให้เกิดความเบียดเบียน

ถ้าท่านอยากเป็นคนมีศิลปะ ควรต้องฝึกให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ในตัวคือ

๑.มีศรัทธาในความงดงามของสิ่งต่างๆ

๒.หมั่นสังเกตและพิจารณา

๓.มีความปราณีต อารมณ์ละเอียดอ่อน

๔.เป็นคนสุขุม มีความคิดสร้างสรรค์



   
สิปฺปญฺ จ

   

มงคลที่ 8. การรอบรู้ในศิลปะ

     ร่ำเรียนมีศาสตร์บ้าง        ทางศิลป์
รู้รอบพอทำกิน                    อยู่ได้
มิจนอับทรัพย์สิน                กลับมั่ง มีแล
อย่าผละละศิลป์ให้             เร่งรู้ทำกิน.


                                                   ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 16, 2010, 11:35:39 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "วินโย จ สุสิกฺขิโต"
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 05:28:25 am »
0
มีวินัยที่ดี


วินัย ก็คือข้อกำหนด ข้อบังคับ กฏเกณฑ์เพื่อควบคุมให้มีความเป็นระเบียบนั่นเอง มีทั้งวินัยของสงฆ์และของคน

ทั่วไป สำหรับของสงฆ์นั้นมีทั้งหมด ๗ อย่างหรือเรียกว่า อนาคาริยวินัย ส่วนของบุคคลทั่วไปก็มี ๑๐ อย่าง คือ

การละเว้นจากอกุศลกรรม ๑๐ ประการ

อนาคาริยวินัยของพระมีดังนี้

๑.ปาฏิโมกขสังวร คือการอยู่ในศีลทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ การผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่าต้องโทษแล้วแต่ความหนัก

เบา เรียงลำดับกันไปตั้งแต่ ขั้นปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต เป็นต้น

(ความหมายของแต่ละคำมันต้องอธิบายเยอะ จะไม่กล่าวในที่นี้)

๒.อินทรียสังวร คือการสำรวมอายตนะทั้ง ๕ และกาย วาจา ใจ ให้อยู่กับร่องกับรอย โดยอย่าไปเพลิดเพลินติด

กับสิ่งที่มาสัมผัสเหล่านั้น

๓.อาชีวปาริสุทธิสังวร คือการหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ นั่นก็คือการออกบิณฑบาตร ไม่ได้เรียกร้อง เรี่ยไรหรือ

เที่ยวขอเงินชาวบ้านมาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของตัวเอง

๔.ปัจจยปัจจเวกขณะ คือการพิจารณาในสิ่งของทั้งหลายถึงคุณประโยชน์โดยเนื้อแท้ของสิ่งของเหล่า นั้นอย่าง

แท้จริง โดยใช้เพื่อบริโภค เพื่อประโยชน์ ความอยู่รอด และความเป็นไปของชีวิตเท่านั้น

วินัยสำหรับฆราวาส หรือบุคคลทั่วไป เรียกว่าอาคาริยวินัย มีดังนี้ (อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ)

๑.ไม่ฆ่าชีวิตคน หรือสัตว์ไม่ว่าน้อย ใหญ่

๒.ไม่ลักทรัพย์ ยักยอกเงิน สิ่งของมาเป็นของตัว

๓.ไม่ประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมีย ข่มขืนกระทำชำเรา

๔.ไม่พูดโกหก หลอกลวงให้หลงเชื่อ หรือชวนเชื่อ

๕.ไม่พูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย ยุยงให้คนแตกแยกกัน

๖.ไม่พูดจาหยาบคาย ให้เป็นที่แสลงหูคนอื่น

๗.ไม่พูดจาไร้สาระ หรือที่เรียกว่าพูดจาเพ้อเจ้อไม่มีสาระ เหตุผล หรือประโยชน์อันใด

๘.ไม่โลภอยากได้ของเขา คือมีความคิดอยากเอาของคนอื่นมาเป็นของเรา

๙.ไม่คิดร้าย ผูกใจเจ็บ แค้น ปองร้ายคนอื่น

๑๐.ไม่เห็นผิดเป็นชอบ เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ บุญหรือกรรมไม่มีจริงเป็นต้น


     วินโย จ สุสิกฺขิโต



มงคลที่ 9. มีวินัยที่ดี

     วินัยชนสู่สร้าง          ศรัทธา
ต้องสัตย์ซื่อกติกา        ใหญ่น้อย
ชนอยู่ร่วมนำพา          มิปาก กันนา
ดุจดั่งมาลาร้อย          พู่ห้อยเด่นชม.


                                           ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 12, 2010, 08:44:19 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "สุภาสิตา จ ยา วาจา"
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 06:11:31 am »
0
กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต



คำว่าวาจาอันเป็นสุภาษิตในที่นี้มิได้หมาย ถึงเพียงว่าต้องเป็นคำร้อยกรอง ร้อยแก้ว เป็นคำคมบาดใจมีความ

หมายลึกซึ้งเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดที่ดี มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ซึ่งสรุปว่าประกอบด้วยลักษณะดังนี้


๑.ต้องเป็นคำจริง คือข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมาพูด

๒.ต้องเป็นคำสุภาพ คือพูดด้วยภาษาที่สุภาพ มีความไพเราะในถ้อยคำ ไม่มีคำหยาบโลน หรือคำด่า

๓.พูดแล้วมีประโยชน์ คือมีประโยชน์ต่อผู้ฟังถ้าหากนำแนวทางไปคิด หรือปฏิบัติในทางสร้างสรรค์

๔.พูดด้วยจิตที่มีเมตตา คือพูดด้วยจิตใจที่มีความปรารถนาดีต่อผู้ฟัง มีความจริงใจต่อผู้ฟัง

๕.พูดได้ถูกกาลเทศะ คือพูดในสถานที่เหมาะสม และในเวลาที่เหมาะสม โดยความเหมาะสมจะมีมากน้อยเช่นไร

ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่พูด


               สุภาสิตา จ ยา วาจา



มงคลที่ 10. กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต

     เปล่งวจีสัตย์แท้             เจือคุณ
กล่าวกล่อมรื่นละมุน          เด่นถ้อย
พจน์ภาษิตเกื้อหนุน          สมค่า
คราโสตสดับคล้อย          อรรถล้วนอุ่นทรวง.

                                               
                                                 ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 11, 2010, 06:27:18 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "มาตาปิตุอุปฏฺฺฐานํ"
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 04:28:32 am »
0
การบำรุงบิดามารดา


     ท่านว่าพ่อแม่นั้นเปรียบได้เป็นทั้ง ครูของลูก เทวดาของลูก พรหมของลูก และอรหันต์ของลูก ความหมาย

โดยละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ

    ที่ว่าเป็นครูของลูก เพราะว่าท่านได้คอยอบรมสั่งสอนลูก เป็นคนแรกก่อนคนอื่นใดในโลก

    ที่ว่าเป็นเทวดาของลูก เพราะว่าท่านจะคอยปกป้อง คุ้มครอง เลี้ยงดู ประคบประหงมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

บำรุงให้เติบใหญ่เป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกในทุกด้าน

    ที่ว่าเป็นพรหมของลูก เพราะว่าท่านมีพรหมวิหาร ๔ นั่นก็คือ มีเมตตา หมายถึงความเอ็นดู ความปรารถนาดี

ต่อลูกในทุกๆด้าน ไม่มีที่สิ้นสุด มีกรุณา หมายถึงให้ความกรุณาต่อลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ลูก ให้การ

ศึกษาเล่าเรียน ส่งเสียเท่าที่มีความสามารถจะให้ได้ มีมุทิตา หมายถึงความรักที่ยอมสละได้แม้ชีวิตของตัวเอง

เพื่อลูก ยอมเสียสละได้ทุกอย่าง และมีอุเบกขา หมายถึงการวางเฉย ไม่ถือโกรธเมื่อลูกประมาท ซน ทำผิด

พลาดเพราะความไร้เดียงสา หรือเพราะความไม่รู้

    ที่ว่าเป็นอรหันต์ของลูก เพราะว่าท่านมีคุณธรรม ๔ ประการอันได้แก่

    เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อลูก คืออุปการะเลี้ยงดูมาด้วยความเหนื่อยยาก กว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่

    เป็นผู้มีพระเดชพระคุณต่อลูก คือให้ความอบอุ่นเลี้ยงดู ปกป้องจากภยันตรายต่างๆ นานา

    เป็นเนื้อนาบุญของลูก คือลูกเป็นส่วนหนึ่งของกรรมดีที่พ่อแม่ได้ทำไว้ และเป็นผู้รับผลบุญที่พ่อแม่ได้สร้างไว้

แล้วทางตรง

    เป็นอาหุไนยบุคคล คือเป็นเหมือนพระที่ควรแก่การเคารพนับถือและรับของบูชา เพื่อเทอดทูนไว้เป็นแบบ

อย่างการทดแทนพระคุณบิดามารดาท่านสามารถทำได้ดังนี้

    ระหว่าง เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน ช่วยเหลือเป็นธุระเรื่องการงานให้ท่าน ดำรงวงศ์

ตระกูลให้สืบไปไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย รวมทั้งประพฤติตนให้ควรแก่การเป็นสืบทอดมรดกจากท่าน ครั้นเมื่อท่านล่วง

ลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าไว้

ดังนี้

๑.ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือพยายามให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อใน

เรื่องการทำดี

๒.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศีล คือพยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ ให้ได้

๓.ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน คือพยายามให้ท่านรู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผล

ตอบแทน

๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา คือพยายามให้ท่านหัดนั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้




           มาตาปิตุอุปฏฺฺฐานํ



มงคลที่ 11. การบำรุงบิดามารดา

     พ่อแม่นั้นกล่าวได้        มีคุณ
ดั่งพรหมผู้การุณ             ชีพนี้
ธิดาบุตรเจือจุน               ยามเฒ่า ควรนา      
บัณฑิตชนพร่ำชี้            เหตุนั้นมงคล.


                                              ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 13, 2010, 05:50:24 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ปุตฺตสงฺคโห "
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2010, 06:40:01 am »
0
สงเคราะห์บุตร


คำว่าบุตรนั้น มีอยู่ ๓ ประเภท

๑ อภิชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเหนือกว่าบิดา มารดา

๒ อนุชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเสมอบิดา มารดา

๓ อวชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถต่ำกว่าบิดา มารดา

การที่เราเป็นพ่อเป็นแม่ของบุตรนั้น มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเรา

๑ ห้ามไม่ให้ทำชั่ว

๒ ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำความดี

๓ ให้การศึกษาหาความรู้

๔ ให้ได้คู่ครองที่ดี ใช้ประสบการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ช่วยดูคู่ให้ลูก

วิธีเลี้ยงดูลูกในทางธรรม

๑ พาลูกเข้าวัดเพื่อศึกษาหาความรู้ทางพระพุทธศาสนา

๒ ชักนำลูกให้สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน

๓ ชักนำให้ลูกทำบุญ เช่น ตักบาตร รักษาศีล

๔ ชักนำลูกทำสมาธิภาวนาร่วมกันเป็นประจำทุกวัน

๕ ถ้าลูกเป็นชายให้บวชเป็นสามเณร หรือบวชเป็นพระภิกษุ แล้วเข้าปฏิบัติกรรมฐาน รวมทั้งศึกษาพระปริยัติธรรม

อานิสงส์การเลี้ยงดูบุตร

๑ พ่อแม่จะได้ความปีติภาคภูมิใจเป็นเครื่องตอบแทน

๒ ครอบครัวจะสงบร่มเย็นเป็นสุข

๓ ประเทศชาติจะมีคนดีไว้ใช้

๔ เป็นต้นแบบที่ดีงามของสังคมสืบไปตลอดกาลนาน

“บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมปรารถนาอภิชาตบุตร อนุชาตบุตร ไม่ปราถนาอวชาตบุตรผู้ตัดสกุล บุตรเหล่านี้แล มี

พร้อมอยู่ในโลก บุตรเหล่าใดเป็นอุบาสก อุบาสิกามีศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่

บุตรเหล่านั้น ย่อมไพโรจน์ในบริษัททั้งหลาย เหมือนพระจันทร์พ้นจากก้อนเมฆ ไพโรจน์อยู่”



         ปุตฺตสงฺคโห



มงคลที่ 12. การสงเคราะห์บุตร

     บุตรธิดาใคร่ไว้                    สืบวงศ์
ให้แหล่งหลักธำรง                   ทรัพย์ไว้
เสี้ยมศิลป์ศาสน์สัตย์ตรง         หยั่งชีพ เนื่องแฮ
ถึงเฒ่าผละกิจไซร้                จักได้พึ่งพา.

                                               
                                                       ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 05, 2011, 06:34:18 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ทารสฺส สงฺคโห"
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2010, 05:02:19 am »
0
การสงเคราะห์ภรรยา



เมื่อว่าด้วยเรื่องคนที่จะมาเป็นคู่ครองของชาย หรือที่เรียกว่าจะมาเป็นภรรยานั้น ในโลกนี้ท่านแบ่งลักษณะ

ของภรรยาออกเป็น ๗ ประเภทได้แก่


๑.วธกาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพชรฆาต เป็นพวกที่มีจิตใจคิดไม่ดี ชอบทำร้าย ชอบด่าทอสาปแช่ง คิดฆ่าสามี

หรือมีชู้กับชายอื่น

๒.โจรี ภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยโจร เป็นคนล้างผลาญ สร้างหนี้สิน หาได้เท่าไรก็ไม่พอ หรือเอาเรื่องใน

บ้านไปโพทนาให้คนข้างนอกรับรู้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

๓.อัย ยาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยนาย เป็นคนชอบข่มสามีให้อยู่ในอำนาจ ไม่ให้เกียรติสามีเมื่ออยู่ต่อหน้า

ผู้อื่น ชอบสั่งการหรือเอาแต่ใจตัวเอง เห็นสามีเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ตัวเองเป็นผู้นำ

๔.มาตาภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยแม่ คือผู้ที่มีความรักต่อสามีอย่างสุดซึ้ง ไม่เคยทอดทิ้งแม้ยามทุกข์ยาก

ป่วยไข้ ไม่ทำให้มีเรื่องสะเทือนใจ

๕.ภคินี ภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยน้องสาว คือผู้ที่มีความเคารพต่อสามีในฐานะพ่อบ้าน แต่ขัดใจกันบ้าง

ตามประสาคนใกล้ชิดกันแล้วก็ให้อภัยกัน โดยไม่คิดพยาบาท เดินตามแนวทางของสามี ต้องพึ่งพาสามี

๖.สขีภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยเพื่อน ต่างคนต่างก็มีอะไรที่เหมือนกัน ความสามารถพอกัน ไม่จำเป็นต้อง

พึ่งพากัน ไม่ค่อยยอมกัน เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็รักกันและช่วยเหลือกันโดยต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง

๗.ทาสี ภริยา หมายถึงภรรยาเสมอด้วยคนรับใช้ คือภรรยาที่อยู่ภายใต้คำสั่งสามีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง สามีเป็นผู้

เลี้ยงดู สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้นแม้จะไม่เห็นด้วยก็ไม่ออกความเห็น อดทนทำงานตามหน้าที่ตามแต่สามีจะสั่งการ

แม้ถูกดุด่า เฆี่ยนตีก็ยังทนอยู่ได้โดยไม่โต้ตอบ

ท่านว่าคนที่จะมาเป็นสามี ภรรยาได้ดีหรือคู่สร้างคู่สมนั้นควรต้องมีคุณสมบัติดังนี้

๑.สมสัทธา คือมีศรัทธาเสมอกัน

๒.สมสีลา คือมีศีลเสมอกัน

๓.สมจาคะ คือมีการเสียสละเหมือนกัน

๔.สมปัญญา คือมีปัญญาเสมอกัน

เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว แต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ที่ต้องทำดังนี้

สามีมีหน้าที่ต่อภรรยาคือ


๑.ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา คือการแนะนำเปิดเผยว่าเป็นภรรยา ไม่ปิดบังกับผู้อื่น และให้เกียรติภรรยาในการ

ตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วย

๒.ไม่ดูหมิ่น คือไม่ดูถูกภรรยาเมื่อทำไม่เป็น ทำไม่ถูก หรือเรื่องชาติตระกูล การศึกษาว่าต่ำต้อยกว่าตน แต่ต้อง

สอนให้

๓.ไมประพฤตินอกใจภรรยา คือการไปมีเมียน้อยนอกบ้าน เลี้ยงต้อย หรือเที่ยวเตร่หาความสำราญกับหญิง

บริการ

๔.มอบความเป็นใหญ่ให้ในบ้าน คือการมอบธุระทางบ้านให้กับภรรยาจัดการ รับฟังและทำตามความเห็นของ

ภรรยาเกี่ยวกับบ้าน

๕.ให้เครื่องแต่งตัว คือให้ความสุขกับภรรยาเรื่องการแต่งตัวให้พอดี เพราะสตรีเป็นผู้รักสวยรักงามโดยธรรมชาติ

ฝ่ายภรรยาก็มีหน้าที่ต้องตอบแทนสามีคือ

๑.จัดการงานดี คืองานบ้านการเรือนต้องไม่บกพร่อง ดูแลด้านความสะอาด ทำนุบำรุงรักษา ด้านโภชนาการให้

เรียบร้อยดี

๒.สงเคราะห์ญาติสามีดี คือให้ความเอื้อเฟื้อญาติฝ่ายสามี เท่าที่ตนมีกำลังพอทำได้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องทรัพย์สิน

เงินทองอย่างเดียว

๓.ไม่ประพฤตินอกใจสามี คือไม่คบชู้ หรือปันใจให้ชายอื่น ซื่อสัตย์ต่อสามีคนเดียว

๔.รักษาทรัพย์ให้อย่างดี คือรู้จักรักษาทรัพย์สินไว้ไม่ให้หมดไปด้วยความสิ้นเปลือง แต่ก็ไม่ถึงกับตระหนี่

๕.ขยันทำงาน คือไม่เกียจคร้านเอาแต่ออกงาน นอน กิน หรือเที่ยวแต่อย่างเดียว ต้องทำงานบ้านด้วย



   ทารสฺส สงฺคโห



มงคลที่ 13. การสงเคราะห์ภรรยา

     ภรรยานั้นคู่ด้วย              วาสนา
นัยซ่อนบอกชะตา               ร่วมสร้าง
ต้องเสริมส่งนำพา              เกื้อก่อ รักนา
หมายอย่าผิดใจร้าง          ย่างก้าวเคียงกัน.

                                               
                                                 ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 14, 2010, 05:54:50 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "อนากุลา จ กมฺมนฺตา"
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 06:09:46 am »
0
การทำงานไม่ให้คั่งค้าง


ว่าด้วยสาเหตุที่ทำให้งานคั่งค้างนั้นสรุปสาเหตุได้เพราะว่า

๑.ทำงานไม่ถูกกาล

๒.ทำงานไม่ถูกวิธี

๓.ไม่ยอมทำงาน

หลักการทำงานให้เสร็จลุล่วงมีดังนี้

๑.ฉันทะ คือมีความพอใจในงานที่ทำ

๒.วิริยะ คือมีความตั้งใจ พากเพียรในงานที่ทำ

๓.จิตตะ คือมีความเอาใจใส่ในงานที่ทำ

๔.วิมังสา คือมีการคิดพิจารณาทบทวนงานนั้นๆ



 
อนากุลา จ กมฺมนฺตา

 

มงคลที่ 14. ทำงานไม่คั่งค้าง

     การกิจอย่าคั่งค้าง        มากมูล
คลายคลี่เสร็จสมบูรณ์       ไม่ทิ้ง
ญาติมิตรจักเกื้อกูล          หมายใคร่ เรานา
การอื่นมิกลอกกลิ้ง          เชื่อได้เราทำ.

                                               
                                                ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 16, 2010, 09:18:08 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ทานญฺจ"
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 08:59:04 pm »
0
การให้ทาน


การให้ทาน คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนโดยหมายให้ผู้ได้รับได้พ้นจากทุกข์ แบ่งออกเป็น ๓ อย่างได้แก่

๑.อามิสทาน คือการให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน

๒.ธรรมทาน คือการสอนให้ธรรมะเป็นความรู้เป็นทาน

๓.อภัยทาน คือการให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร หรือพยาบาทกัน

การให้ทานที่ถือว่าเป็นความดี และได้บุญมากนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย ๓ ประการอันได้แก่

๑.วัตถุบริสุทธิ์ คือเป็นของที่ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ไปยักยอกมา โกงมา หรือได้มาด้วยวิธีแยบยล

๒.เจตนาบริสุทธิ์ คือมีจิตยินดี ผ่องใสเบิกบาน ไม่รู้สึกเสียดายสิ่งที่ให้ ตั้งแต่ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้

๓.บุคคลบริสุทธิ์ คือให้กับผู้รับที่มีศีลธรรม ตัวผู้ให้เองก็ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์

การให้ทานที่ถือว่าไม่ดี และยังอาจเป็นบาปกรรมถึงเราทางอ้อมอีกด้วยได้แก่

๑.ให้สุรา ยาเสพย์ติด เป็นต้น (ถ้าเขาเมาแล้วขับรถชนตาย เราก็มีส่วนบาปด้วย)

๒.ให้อาวุธ (ถ้าอาวุธนั้นถูกเอาไปใช้ประหัตประหาร บาปก็มาถึงเราด้วย)

๓.ให้มหรสพ คือการบันเทิงทุกรูปแบบ

๔.ให้สัตว์เพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์ อันนี้รวมถึงการจัดหาสาวๆ ไปบำเรอผู้มีอำนาจหรือผู้น้อยด้วยเป็นต้น

๕.ให้ ภาพลามก หรือสิ่งพิมพ์ลามก เพราะทำให้เกิดความกำหนัด เกิดกามกำเริบ (เมื่อดูแล้วเกิดไปฉุดคร่า ข่ม

ขืนใคร บาปก็ตกทอดมาถึงเราด้วย)



      ทานญฺจ



มงคลที่ 15. การให้ทาน

     เรื่องทานครวญใคร่ไว้         ดูงาม
บัณฑิตพินิจตาม                    สิ่งให้
อ้างธรรมหนึ่งซึ้งความ           เกินค่า เปรียบแฮ
เสพอรรถคลายทุกข์ได้          เหตุรู้อภัยทาน.
                                               

                                                     ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 19, 2010, 01:15:21 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ธมฺมจริยา จ"
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 11:50:49 pm »
0
การประพฤติธรรม


การประพฤติธรรม ก็คือการปฏิบัติให้เป็นไป แบ่งออกได้เป็น ๒ อันได้แก่

กายสุจริต คือ

๑.การไม่ฆ่าสัตว์ หมายรวมหมดตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ และมนุษย์

๒.การไม่ลักทรัพย์ หมายรวมถึงการคอรัปชั่น ไปหลอกลวง ปล้นจี้ชาวบ้านด้วย

๓.การไม่ประพฤติผิดในกาม หมายรวมถึงการคบชู้ นอกใจภรรยา และการข่มขืนด้วย

วจีสุจริต คือ

๑.การไม่พูดเท็จ คือการพูดแต่ความจริง ไม่หลอกลวง

๒.การไม่พูดคำหยาบ คือคำที่ฟังแล้วไม่รื่นหู เกิดความรู้สึกไม่สบายใจรวมหมด

๓.การไม่พูดจาส่อเสียด การนินทาว่าร้าย

๔.การไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล คือการพูดที่ไม่เป็นสาระ หาประโยชน์อันใดมิได้

มโนสุจริต คือ

๑.การไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น คือการนึกอยากได้ของเขามาเป็นของเรา

๒.การไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่น คือการนึกอยากให้คนอื่นประสพเคราะห์กรรม คิดจะทำร้ายผู้อื่น

๓.การเห็นชอบ คือมีความเชื่อความเข้าใจในความเป็นจริง ความถูกต้องตามหลักคำสอนตามแนวทางพระพุทธ

ศาสนา



           ธมฺมจริยา จ



มงคลที่ 16. การประพติธรรม

     ซ่องเสพมิเดือดร้อน         คือธรรม
หนอย่างคู้ฐานกรรม            จิตรู้
เพียรสานสืบศาสน์คัม         ภีร์เนิ่น มานา
ใดอื่นยากกล่าวสู้              อยู่เร้นบำเพ็ญ.

                                               
                                                  ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 18, 2010, 12:03:18 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ญาตกานญฺจ สงฺคโห "
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2010, 11:53:24 pm »
0
การสงเคราะห์ญาติ


ลักษณะของญาติที่ควรให้การสงเคราะห์ เมื่ออยู่ในฐานะดังนี้คือ

๑.เมื่อยากจนหาที่พึ่งมิได้

๒.เมื่อขาดทุนทรัพย์ในการค้าขาย

๓.เมื่อขาดยานพาหนะ

๔.เมื่อขาดอุปกรณ์ทำมาหากิน

๕.เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย

๖.เมื่อคราวมีธุระการงาน

๗.เมื่อคราวถูกใส่ความหรือมีคดี

การสงเคราะห์ญาติ ทำได้ทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่

ในทางธรรม ก็ช่วยแนะนำให้ทำบุญกุศล ให้รักษาศีล และทำสมาธิภาวนา

ในทางโลก ก็ได้แก่


๑.ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สิน หรือเงินทองเพื่อให้เขาพ้นจากทุกข์หรือความลำบากตามแต่กำลัง

๒.ใช้ปิยวาจา คือการพูดเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน สุภาพ และประกอบไปด้วยความปรารถนาดี

๓.มีอัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์กับเขา อาจช่วยเหลือด้วยแรงกาย กำลังใจ หรือด้วยความ

สามารถที่มี

๔.รู้จักสมานัตตตา คือการวางตัวให้เหมาะสม อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ถือตัว




ญาตกานญฺจ สงฺคโห

               

มงคลที่ 17. การสงเคราะห์าติ

     พี่น้องแตกหน่อเนื้อ             สกุลวงษ์
พงศ์ญาติต้องธำรง                รักษ์ไว้
สงเคราะห์ช่วยปลดปลง         ยามเมื่อ เข็ญนา
ด้วยเลือดในทรวงได้            อุ่นซึ้งใจกัน.


                                                      ธรรมธวัช.!   



   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 19, 2010, 12:06:09 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "อนวชฺชานิ กมฺมานิ"
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 12:55:35 am »
0
ทำงานที่ไม่มีโทษ


งานที่ไม่มีโทษ ประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้

๑.ไม่ผิดกฏหมาย คือทำให้ถูกต้องตามกฏหมายของบ้านเมือง

๒.ไม่ผิดประเพณี คือแบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ควรดำเนินตาม

๓.ไม่ผิดศีล คือข้อห้ามที่บัญญัติไว้ในศีล ๕

๔.ไม่ผิดธรรม คือหลักธรรมทั้งหลายอาทิเช่น การพนัน การหลอกลวง

ส่วนอาชีพต้องห้ามสำหรับพุทธศาสนิกชนได้แก่

๑.การค้าอาวุธ

๒.การค้ามนุษย์

๓.การค้ายาพิษ

๔.การค้ายาเสพย์ติด

๕.การค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่า




อนวชฺชานิ กมฺมานิ

         

มงคลที่ 18. ทำงานไม่มีโทษ

     คิดครวญทวนทบไว้        ในการ
กอปรกิจคิดลนลาน             อาจช้ำ
ต้องสัตย์ซื่อการงาน          จึ่งชอบ
เลี้ยงชีพต้องหมั่นย้ำ         เลี่ยงร้างทุจริต.

                                               
                                                 ธรรมธวัช.!



   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 20, 2010, 08:02:24 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "อารตี วิรตี ปาปา"
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2010, 07:09:48 pm »
0
ละเว้นจากบาป


บาปคือสิ่งที่ไม่ดี เสีย ความชั่วที่ติดตัว ซึ่งไม่ควรทำ ท่านว่าสิ่งที่ทำแล้วถือว่าเป็นบาปได้แก่ อกุศลกรรมบถ

๑๐ คือ


๑.ฆ่าสัตว์

๒.ลักทรัพย์

๓.ประพฤติผิดในกาม

๔.พูดเท็จ

๕.พูดส่อเสียด

๖.พูดคำหยาบ

๗.พูดเพ้อเจ้อ

๘.โลภอยากได้ของเขา

๙.คิดพยาบาทปองร้ายคนอื่น

๑๐.เห็นผิดเป็นชอบ




 อารตี วิรตี ปาปา



มงคลที่ 19. ละเว้นจากบาป

     จิตพิสัยหยาบช้า         พึงละ
กำราบให้ชำนะ               จิตนี้
อีกการกิจกักขฬะ           ผลาญชีพ เรานา
กรรมชั่วยากหลบรี้         ต่างล้วนรับผล.

                                               
                                               ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 20, 2010, 07:34:58 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "มชฺชปานา จ สญฺญโม"
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2010, 07:35:56 pm »
0
สำรวมจากการดื่มน้ำเมา



ว่าด้วยเรื่องของน้ำเมานั้น อาจทำมาจากแป้ง ข้าวสุก การปรุงโดยผสมเชื้อ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ดื่มแล้วทำให้

มึนเมา เช่นเบียร์ ไวน์ ไม่ใช่แค่เหล้าเท่านั้น ล้วนมีโทษอันได้แก่


๑.ทำให้เสียทรัพย์ เพราะต้องนำเงินไปซื้อหาทั้งๆที่เงินจำนวนเดียวกันนี้สามารถนำเอาไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์

อย่างอื่นได้มากกว่า

๒.ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวาย เจ็บตัว หรือถึงแก่ชีวิต และคดีความ เพราะน้ำเมาทำให้ขาด

การยับยั้งชั่งใจ

๓.ทำให้เกิดโรค โรคที่เกิดเนื่องมาจากการดื่มสุราล้วนแล้วแต่บั่นทอนสุขภาพกายจนถึงตายได้เช่น โรคตับแข็ง

โรคหัวใจ โรคความดัน

๔.ทำให้เสียชื่อเสียง เมื่อคนเมาไปทำเรื่องไม่ดีเข้าเช่นไปลวนลามสตรี ปล่อยตัวปล่อยใจ ก็ทำให้วงศ์ตระกูล

และหน้าที่การงานเสี่อมเสีย

๕.ทำให้ลืมตัวไม่รู้จักอาย คนเมาทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำสิ่งที่คนมีสติจะไม่ทำ เช่นแก้ผ้าเดิน หรือนอนในที่

สาธารณะเป็นต้น

๖.ทอนกำลังปัญญา ทานแล้วทำให้เซลล์สมองเริ่มเสื่อมลง ก็จะทำให้สุขภาพและปัญญาเสื่อมถอย ความ

สามารถโดยรวมก็ด้อยลง




มชฺชปานา จ สญฺญโม



มงคลที่ 20. สำรวมจากการดื่มน้ำเมา

     เมรัยร่ำดื่มแล้ว                ลืมตน
สับปลับกลับวกวน                สัตย์ได้
วางท่าห่ามลานลน              หมางหมู่
เห็นหน่ายหมายพิษไว้         เฉกบ้าคนบอ.

                                               
                                                   ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2010, 07:51:26 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ"
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2010, 07:25:26 pm »
0
ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย



ธรรมในที่นี้ก็คือหลักปฏิบัติที่ทำแล้วมีผลในทางดีและเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดแนะทางไว้

คนที่ประมาทในธรรมนั้นมีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้คือ


๑.ไม่ทำเหตุดี แต่จะเอาผลดี

๒.ทำตัวเลว แต่จะเอาผลดี

๓.ทำย่อหย่อน แต่จะเอาผลมาก

สิ่งที่ไม่ควรประมาทได้แก่

๑.การประมาทในเวลา คือการปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ หรือผลัดวันประกันพรุ่ง

เป็นต้น

๒.การประมาทในวัย คือคิดว่าอายุยังน้อย ไม่ต้องทำความเพียรก็ได้เพราะยังต้องมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น

๓.การประมาทในความไม่มีโรค คือคิดว่าตัวเองแข็งแรงไม่ตายง่ายๆ ก็ปล่อยปละละเลยเป็นต้น

๔.การประมาทในชีวิต คือการไม่กำหนดวางแผนถึงอนาคต คิดอยู่แต่ว่ายังมีชีวิตอยู่อีกนานเป็นต้น

๕.การประมาทในการงาน คือไม่ขยันตั้งใจทำให้สำเร็จ ปล่อยตามเรื่องตามราว หรือปล่อยให้ดินพอกหางหมูเป็น

ต้น

๖.การประมาทในการศึกษา คือการไม่คิดศึกษาเล่าเรียนในวัยที่ควรเรียน หรือขาดความเอาใจใส่ที่เพียงพอ

๗.การประมาทในการปฏิบัติธรรม คือการไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนาหรือศึกษาหลักธรรมให้ถ่องแท้ เพราะคิดว่าเป็น

เรื่องไกลตัวเป็นต้น



           อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ




มงคลที่ 21.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย

     เรียนรู้หลักปราชญ์ผู้         ครองธรรม
คอยหน่วงใจน้อมนำ             สติพร้อม
มิร้างหน่ายในกรรม             ศีลส่ง
ทุกข์ออกสุขเปี่ยมล้อม        จิตรู้รักษ์ธรรม.

                                                 
                                                    ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 22, 2010, 11:35:00 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "คารโว จ"
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 11:51:17 pm »
0
มีความเคารพ


ท่านได้กล่าวว่าสิ่งที่ควรเคารพมีอยู่ดังนี้

๑.พระพุทธเจ้า

๒.พระธรรม

๓.พระสงฆ์

๔.การศึกษา

๕.ความไม่ประมาท คือการดำเนินตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนาอื่นๆ ด้วยความเคารพ

๖.การสนทนาปราศรัย คือการต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนด้วยความเคารพ


 
คารโว จ

 

มงคลที่ 22. มีความเคารพ

     วางตนรู้นอบไว้          เจียมตน
เป็นที่ใคร่งามยล            อื่นผู้
หยั่งตนชอบยังชน        ถือนับ ญาติแล
เป็นเสน่ห์หาอื่นสู้          ค่านั้นหนักหนา.

                                               
                                             ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 24, 2010, 01:46:17 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "นิวาโต จ"
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2010, 09:55:30 pm »
0
มีความถ่อมตน


ความอ่อนน้อมถ่อมตน คือ การไม่แสดงออกถึงความสามารถที่ตัวเองมีอยู่ให้ผู้อื่นทราบเพื่อข่มผู้อื่น หรือเพื่อโอ้

อวด การไม่อวดดี เย่อหยิ่งจองหอง แต่แสดงตนอย่างสงบเสงี่ยม

ท่านว่าไว้ว่าโทษของการอวดดีนั้นมีอยู่ดังนี้คือ

๑.ทำให้เสียคน คือไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่องในรอยได้เหมือนเดิม เสียอนาคต

๒.ทำให้เสียมิตร คือไม่มีใครคบหาเป็นเพื่อนด้วย ถึงจะมีก็ไม่ใช่เพื่อนแท้

๓.ทำให้เสียหมู่คณะ คือถ้าต่างคนต่างถือดี ก็ทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้ ในที่สุดก็ไม่ถึงจุดหมาย หรือทำให้

เป็นที่เบื่อหน่ายของคนอื่น

การทำตัวให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นมีหลักดังนี้คือ

๑.ต้องคบกัลยาณมิตร คือเพื่อนที่ดีมีศีลมีธรรม คอยตักเตือนหรือชักนำไปในทางที่ดีที่ถูกที่ควร

๒.ต้อง รู้จักคิดไตร่ตรอง คือการรู้จักคิดหาเหตุผลอยู่ตลอดถึงความเป็นไปในธรรมชาติของมนุษย์ ต่างคนย่อม

ต่างจิดต่างใจ และรวมทั้งหลักธรรมอื่นๆ

๓.ต้องมีความสามัคคี คือการมีความสามัคคีในหมู่คณะ อลุ่มอล่วยในหลักการ ตักเตือน รับฟังและเคารพความ

คิดเห็นของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล

ท่านว่าลักษณะของคนถ่อมตนนั้นมีดังนี้

๑.มีกิริยาที่นอบน้อม

๒.มีวาจาที่อ่อนหวาน

๓.มีจิตใจที่อ่อนโยน

สรุปแล้วก็คือ สมบูรณ์พร้อมด้วยกาย วาจา และใจนั่นเอง      



                        นิวาโต จ



มงคลที่ 23. มีความถ่อมตน

     เย่อหยิ่งคิดอวดดื้อ           จองหอง
ท่วงท่าก่างลำพอง               ดุจแสร้ง
ใครใคร่อยากร่วมปอง         เป็นมิตร ยากนา
บัณฑิตคิดหมายแย้ง         อ่อนน้อมถ่อมตน.


                                                  ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 25, 2010, 10:32:17 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "สนฺตุฏฺฐี จ"
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2010, 12:25:09 am »
0
มีความสันโดษ



คำว่าสันโดษไม่ได้หมายถึงการอยู่ลำพังคนเดียวอย่าง เดียวก็หาไม่ แต่หมายถึงการพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ใน

ของของตัว ซึ่งท่านได้ให้นิยามที่เป็นลักษณะของความสันโดษเป็นดังนี้ คือ


๑.ยถา ลาภสันโดษ หมายถึงความยินดีตามมีตามเกิด คือมีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น เป็นอยู่อย่างไรก็ควรจะพอใจ

ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่

๒.ยถา พลสันโดษ หมายถึงความยินดีตามกำลัง เรามีกำลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น ตั้งแต่กำลังกาย กำลังทรัพย์

กำลังบารมี หรือกำลังความสามารถเป็นต้น

๓.ยถา สารูปสันโดษ หมายถึงความยินดีตามควร ซึ่งโยงใยไปถึงความพอเหมาะพอควรในหลายๆเรื่อง เช่นรูป

ลักษณ์ของตนเอง และรวมทั้งฐานะที่เราเป็นอยู่




                                สนฺตุฏฺฐี จ



มงคลที่ 24. มีความสันโดษ

     ชีพสันโดษอยู่ด้วย         ยินดี
อยู่อย่างเท่าที่มี                 อย่างนั้น
เพียรรู้รักษ์ศักดิ์ศรี            เป็นอยู่
ตามแต่ฐานะชั้น              มากน้อยวาสนา.   
      
                                               
                                                 ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 27, 2010, 10:53:36 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "กตญฺญุตา"
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2010, 11:33:30 pm »
0
มีความกตัญญู


คือการรู้คุณ และตอบแทนท่านผู้นั้น บุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกัน แต่หมายถึงการรำลึกถึง

พระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง ท่านว่าสิ่งของหรือผู้ที่ควรกตัญญูนั้นมีดังนี้

๑.กตัญญูต่อบุคคล บุคคลที่ควรกตัญญูก็คือใครก็ตามที่มีบุญคุณควรระลึกถึงและตอบแทนพระคุณ เช่น บิดา

มารดา อาจารย์ เป็นต้น

๒.กตัญญู ต่อสัตว์ ได้แก่สัตว์ที่มีคุณต่อเราช่วยทำงานให้เรา เราก็ควรเลี้ยงดูให้ดีเช่นช้าง ม้า วัว ควาย หรือสุนัข

ที่ช่วยเฝ้าบ้าน เป็นต้น

๓.กตัญญูต่อสิ่งของ ได้แก่สิ่งของทุกอย่างที่มีคุณต่อเราเช่น หนังสือที่ให้ความรู้แก่เรา อุปกรณ์ทำมาหากินต่างๆ

เราไม่ควรทิ้งคว้าง หรือทำลายโดยไม่เห็นคุณค่า



    กตญฺญุตา


มงคลที่ 25. มีความกตัญญู

     พ่อแม่มิเรียกร้อง          บุญคุณ
ครูเฒ่าท่านการุณ             ศาสน์ให้
หมั่นเอื้ออุ่นเจือจุน            คราล่วง วัยแล
ประพฤติเยื้องนี้ไซร้         เช่นนี้กตัญญู.   
                        
                                             
                                                ธรรมธวัช.!




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 28, 2010, 12:39:50 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "กาเลน ธมฺมสฺสวนํ"
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2010, 08:23:38 am »
0
การฟังธรรมตามกาล



เมื่อมีโอกาส เวลา หรือตามวันสำคัญต่างๆ ก็ควรต้องไปฟังธรรมบ้างเพื่อสดับตรับฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในหลักธรรมนั้นๆ และนำมาใช้กับชีวิตเราเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น ท่านว่าเวลาที่ควรไปฟังธรรมนั้นมีดังนี้คือ

๑.วันธรรมสวนะ ก็คือวันพระ หรือวันที่สำคัญทางศาสนา

๒.เมื่อมีผู้มาแสดงธรรม ก็อย่างเช่น การฟังธรรมตามวิทยุ การที่มีพระมาแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ หรือการ

อ่านจากสื่อต่างๆ

๓.เมื่อมีโอกาสอันสมควร อาทิเช่นในวันอาทิตย์เมื่อมีเวลาว่าง หรือในงานมงคล งานบวช งานกฐิน งานวัดเป็นต้น

คุณสมบัติของผู้ฟังธรรมที่ดีควรต้องมีดังนี้คือ

๑.ไม่ดูแคลนในหัวข้อธรรมว่าง่ายเกินไป

๒.ไม่ดูแคลนในความรู้ความสามารถของผู้แสดงธรรม

๓.ไม่ดูแคลนในตัวเองว่าโง่ ไม่สามารถเข้าใจได้

๔.มีความตั้งใจในการฟังธรรม และนำไปพิจารณา

๕.นำเอาธรรมนั้นๆไปปฏิบัติให้เกิดผล



       กาเลน ธมฺมสฺสวนํ



มงคลที่ 26. การฟังธรรมตามกาล

     รู้สดับธรรมสิ่งนี้                     มงคล
เพียรผละละวางตน                   นอบน้อม
รู้ครวญใคร่แยบยล                  จิตผ่อง แผ้วนา
เพียรหยั่งชีพชนม์พร้อม         ชั่วร้ายกลายตน.

                                               
                                                      ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 29, 2010, 11:26:48 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ขนฺตี จ"
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 06:46:24 pm »
0
มีความอดทน



ท่านว่าลักษณะของความอดทนนั้นสามารถจำแนกออกได้เป็นดังต่อไปนี้คือ

๑.ความอดทนต่อความลำบาก คือความลำบากที่ต้องประสพตามธรรมชาติ ซึ่งอาจมาจากสภาพแวดล้อมเป็นต้น

๒.ความอดทนต่อทุกขเวทนา คือทุกข์ที่เกิดจากสังขารของเราเอง เช่นความไม่สบายกายเป็นต้น

๓.ความอดทนต่อความเจ็บใจ คือการที่คนอื่นทำให้เราต้องผิดหวัง หรือพูดจาให้เจ็บช้ำใจ ไม่เป็นอย่างที่หวังเป็น

ต้น

๔.ความ อดทนต่ออำนาจกิเลส คือสิ่งยั่วยวนทั้งหลายถือเป็นกิเลสทั้งทางใจและทางกายอาทิเช่น ความนึกโลภ

อยากได้ของเขา หรือการพ่ายแพ้ต่ออำนาจเงินเป็นต้น

วิธีทำให้มีความอดทนคือ มีหิริโอตัปปะ

๑.หิริ ได้แก่การมีความละอายต่อบาป การที่รู้ว่าเป็นบาปแล้วยังทำอีกก็ถือว่าไม่มีความละอายเลย

๒.โอตัปปะ ได้แก่การมีความเกรงกลัวในผลของบาปนั้นๆ


       
ขนฺตี จ

         

มงคลที่ 27. มีความอดทน

     ชนใดเฉยเสงี่ยมไว้           ในที
เขาเหยี่ยดหยามศักดิ์ศรี        ข่มได้
แม้ทุกข์ตรากตรำมี              ทนอด เพื่อนเฮย
ปลงจิตยิ้มสรวลให้              เคราะห์ซ้ำกลับดี.

                                               
                                                    ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2010, 07:06:55 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "โสวจสฺสตา"
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 12:12:03 am »
0
เป็นผู้ว่าง่าย



ท่านว่าผู้ว่าง่ายนั้นมีลักษณะที่สังเกตได้ดังนี้คือ

๑.ไม่พูดกลบเกลื่อนเมื่อได้รับการว่ากล่าวตักเตือน คือการรับฟังด้วยดี ไม่ใช่แก้ตัวแล้วปิดประตูความคิดไม่รับฟัง

๒.ไม่นิ่งเฉยเมื่อได้รับการเตือน คือการนำคำตักเตือนนั้นมาพิจารณาและแก้ไขข้อบกพร่องนั้นๆ

๓.ไม่ จับผิดผู้ว่ากล่าวสั่งสอน คือการที่ผู้สอนอาจจะมีความผิดพลาด เนื่องจากความประมาท เราควรให้อภัยต่อผู้

สอน เพราะการจับผิดทำให้ผู้สอนต้องอับอายขายหน้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม

๔.เคารพต่อคำสอนและผู้สอน คือการรู้จักสัมมาคารวะต่อผู้ทำให้คำสอน และเคารพในสิ่งที่ผู้สอนได้นำมาแนะ

นำ

๕.มีความอ่อนน้อมถ่อมตน คือไม่แสดงความยะโส ถือตัวว่าอยู่เหนือผู้อื่นเพราะสิ่งที่ตัวเองเป็นตัวเองมี

๖.มีความยินดีต่อคำสอนนั้น คือยอมรับในคำสอนนั้นๆ ด้วยความยินดีเช่นการไม่แสดงความเบื่อหน่ายเพราะเคย

ฟังมาแล้ว เป็นต้น

๗.ไม่ดื้อรั้น คือการไม่อวดดี คิดว่าของตัวเองนั้นผิดแต่ก็ยังดันทุรังทำต่อไปเพราะกลัวเสียชื่อ เสียฟอร์ม

๘.ไม่ ข้ดแย้ง เพราะว่าการว่ากล่าวตักเตือนหรือสั่งสอนนั้นก็คือ สิ่งที่ตรงข้ามกับที่เราทำอยู่แล้ว เราควรต้องเปิด

ใจให้กว้างไม่ขัดแย้งต่อคำสอน คำวิจารณ์นั้นๆ

๙.ยินดีให้ตักเตือนได้ทุกเวลา คือการยินดีให้มีการแสดงความคิดเห็นตักเตือนได้โดยไม่มีข้อยกเว้นเรื่องเวลา

๑๐.มีความอดทนต่อการเป็นผู้ถูกสั่งสอน คือการไม่เอาความขัดแย้งในความเห็นเป็นอารมณ์ แต่ให้เข้าใจเจตนาที่

แท้จริงของผู้สอนนั้น

การทำให้เป็นคนว่าง่ายนั้นทำได้ดังนี้

๑.ลดมานะของตัว คือการไม่ถือดี ไม่ถือตัว ความไม่สำคัญตัวเองว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ อาทิเช่นถือตัวว่าการ

ศึกษาดีกว่าเป็นต้น

๒.ละอุปาทาน คือการไม่ยึดถือในสิ่งที่เรามี เราเป็น หรือถือมั่นในอำนาจกิเลสต่างๆ

๓.มีสัมมาทิฏฐิ คือมีปัญญาที่เห็นชอบ การเห็นถูกเห็นควรตามหลักอริยสัจ ๔ เชื่อเรื่องความไม่เที่ยง เชื่อในเรื่อง

บุญเรื่องบาปเป็นต้น


                             โสวจสฺสตา


มงคลที่ 28. เป็นผู้ว่าง่าย

     รู้วางตนอย่ารั้น            ครูบา
สัตย์ซื่อหมายวางตา         เชื่อได้
ใครเห็นใคร่คบหา           หยั่งมิตร
สอนสั่งว่าง่ายไว้            บ่แย้งวิจารณ์.   


                                               ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 02, 2010, 06:27:12 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "สมณานญฺจ ทสฺสนํ"
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: ธันวาคม 05, 2010, 08:29:14 am »
0
การได้เห็นสมณะ


คำว่าสมณะแปลตรงตัวได้ว่า ผู้สงบ (หมายถึงผู้อยู่ในสมณเพศ) ท่านว่าคุณสมบัติของสมณะต้อง

ประกอบไปด้วย ๓ อย่างคือ


๑.ต้องสงบกาย คือมีความสำรวมในการกระทำทุกอย่าง รวมถึงกิริยา มรรยาท ตามหลักศีลธรรม

๒.ต้องสงบวาจา คือการพูดจาให้อยู่ในกรอบของความพอดี มีความสุภาพสงบเสงี่ยมในคำพูดและภาษาที่ใช้ เป็น

ไปตามข้อปฏิบัติ ประเพณี

๓.ต้องสงบใจ คือการทำใจให้สงบปราศจากกิเลสครอบงำ ไม่ว่าจะเป็น โลภ โกรธ หลง หรือความพยาบาทใดๆ

ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิภาวนา

การได้เห็นสมณะมีอยู่ดังนี้คือ

๑.เห็นด้วยตา ความหมายก็ตรงตัวคือการเห็นจากการสัมผัสด้วยสายตาของตนเอง แล้วมีความประทับใจในความ

สำรวมในกาย

๒.เห็น ด้วยใจ เนื่องจากความสำรวมกาย วาจา ใจของสมณะจะช่วยโนัมน้าวจิตใจของเราให้โอนอ่อนผ่อนตาม

และรับฟังหลักคำสอนด้วยใจที่ยินดี ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเปิดใจเราให้สมณะได้ชี้นำนั่นเอง

๓.เห็นด้วย ปัญญา หมายความถึงการรู้โดยการใช้ปัญญาใคร่ครวญ พิจารณาในการสัมผัสและเข้าถึงและรับรู้ถึง

คำสอนของสมณะผู้นั้น และรู้ว่าท่านเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอย่างแท้จริง

เมื่อเห็นแล้วก็ต้องทำอย่างนี้คือ

๑.ต้องเข้าไปหา คือเข้าไปขอคำแนะนำ ชี้แนะจากท่าน หรือให้ความเคารพท่าน

๒.ต้องเข้าไปบำรุงช่วยเหลือ คือการช่วยเหลือท่านในโอกาสอันควร เพื่อแบ่งเบาภาระของท่าน

๓.ต้องเข้าไปฟัง คือการรับฟังคุณธรรม หลักคำสอนของท่านมาไว้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาชีวิต

๔.หมั่นระลึกถึงท่าน คือการระลึกถึงความดีที่ท่านมีแล้วนำมาเป็นตัวอย่างกับตัวเราเอง

๕.รับ ฟังรับปฏิบัติ คือการรับคำแนะนำของท่านมาปฏิบัติทำตามเพื่อให้เกิดผล ครั้นเมื่อติดขัดก็ใคร่แก้ไขเพื่อให้รู้

จริงเห็นจริงตามนั้น



                      สมณานญฺจ ทสฺสนํ



มงคลที่ 29. การได้เห็นสมณะ

     ดำรงตนฉลาดรู้          ใฝ่ปราชญ์
เถรพระอย่าปรามาส        สู่ด้วย
ถามไถ่ใฝ่อภิวาท           เพียรหยั่ง กุศลนา
ตราบชีพนี้แม้ม้วย         กล่าวได้มงคล.


                                              ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 08, 2010, 06:45:42 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "กาเลน ธมฺมสากจฺฉา"
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 05:05:04 am »
0
การสนทนาธรรมตามกาล


การได้สนทนากันเรื่องธรรม ทำให้ขยายขอบเขตการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ และได้รู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่เราอาจนึก

ไม่ถึง หรือเป็นการเผื่อแผ่ความรู้ที่เรามีให้แก่ผู้อื่นได้ทราบด้วย

ก่อนที่เราจะสนทนาธรรม ควรต้องพิจารณาและคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้คือ

๑.ต้องรู้เรื่องที่จะพูดดี

๒.ต้องพูดเรื่องจริง มีประโยชน์

๓.ต้องเป็นคำพูดที่ไพเราะ

๔.ต้องพูดด้วยความเมตตา

๕.ต้องพูดจาโอ้อวด ยกตนข่มท่าน

ข้อปฏิบัติเมื่อมีการสนทนาธรรม

๑.มีศีลธรรม คือการเป็นผู้ที่รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ เป็นนิจศีลอยู่แล้ว การเป็นผู้ปฏิบัติถือเป็นหน้าที่ขั้นต้นในการ

เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี

๒.มีสมาธิดี คือการมีจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่สนทนา ไม่ว่อกแวก พร้อมทั้งเป็นผู้ที่หมั่นเจริญสมาธิภาวนาด้วย

๓.แต่งการสุภาพ คือการแต่งตัวให้เหมาะสมกับยุคสมัย อยู่ในกรอบประเพณีของสังคมแวดล้อม ณ ที่นั้นๆ ถูก

กาลเทศะ

๔.มีกิริยาสุภาพ คือมีความสุภาพในท่วงท่าไม่ว่าจะเดิน นั่ง ยืน หรือการกระทำใดๆ การที่มีกิริยางดงาม สุภาพย่อม

โน้มน้าวจิดใจผู้พบเห็นให้เกิดความประทับใจที่ดี

๕.ใช้วาจาสุภาพ คือการใช้ถ้อยคำที่สุภาพในการสนทนา ไม่ใช้คำหยาบคาย หรือก้าวร้าว

๖.ไม่กล่าวค้านพระพุทธพจน์ คือการไม่นำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นข้อสงสัย หรือกล่าวค้าน เพราะสิ่ง

ที่กล่าวไว้ในพระพุทธพจน์ย่อมเป็นความจริงตลอดกาล

๗.ไม่ออกนอกประเด็นที่ตั้งไว้ คือการพูดให้อยู่ในหัวข้อที่ตั้งไว้ ไม่พูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง

๘.ไม่พูดนานจนน่าเบื่อ คือการเลือกเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์ เนื่องจากเรื่องบางเรื่องอาจไม่จำเป็นต้อง

ขยายความมากเกินไป




                    กาเลน ธมฺมสากจฺฉา




มงคลที่ 30. การสนทนาธรรมตามกาล

     คราใดใจซ่านฟุ้ง                เหตุผล
ยากคลี่คลายกมล                  ขุ่นข้อง
เพียรครวญใคร่บุคคล            คงแก่ ศาสน์นา
หาเหตุอรรถความพ้อง          สัจจ์แท้ตามธรรม.
 
                                           

                                                       ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 14, 2010, 08:14:12 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ban

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +7/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 117
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
Re: มงคลสูงสุด "มงคล ๓๘ ประการ"
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2010, 10:06:22 pm »
0
คุณธวัชชัย แต่งเสร็จ ครบแล้ว ลองเรียบเรียง ทำเป็นหนังสือขายเลย หรือ แจกก็ดี นะครับ

แจกเป็น PDF นะครับ ไม่ต้องพิมพ์ให้เปลืองเงิน ผมตามอ่าน ทั้งโคลงและกลอน มาทำได้ดี

มากครับ

 :25:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ตโป จ"
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 01:01:28 am »
0
การบำเพ็ญตบะ


ตบะ โดยความหมายแปลว่า ทำให้ร้อน ไม่ว่าด้วยวิธีใด การบำเพ็ญตบะหมายความถึงการทำให้กิเลส ความรุ่ม

ร้อนต่างๆ หมดไป หรือเบาบางลง ลักษณะการบำเพ็ญตบะมีดังนี้

๑.การมีใจสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖ อย่าง) ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้หลงติด

อยู่กับสัมผัสภายนอกมากเกินไป ไม่ให้กิเลสครอบงำใจเวลาที่รับรู้อารมณ์ผ่านอินทรีย์ทั้ง ๖ (อินทรีย์สังวร)

๒.การประพฤติรักษาพรหมจรรย์ เว้นจากการร่วมประเวณี หรือกามกิจทั้งปวง

๓.การปฏิบัติธรรม คือการรู้และเข้าใจในหลักธรรมเช่นอริยสัจ เป็นต้น ปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล และถึงพร้อมด้วย

สมาธิ และปัญญา โดยมีจุดหมายสูงสุดที่พระนิพพาน กำจัดกิเลส ละวางทุกสิ่งได้หมดสิ้นด้วยปัญญา


     
ตโป จ



มงคลที่ 31. การบำเพ็ตบะ

     พึงบำเพ็ญหักห้าม               กามฉันท์
โทษทุกข์สังขารขันธ์                รุ่มร้อน
ประพฤติรักษ์พรหมจรรย์         กามกิจ สังวรแฮ
เพียรเพ่งพินิจย้อน                ข่มไว้ตัณหา.

                                               
                                                        ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 13, 2010, 06:41:42 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "พฺรหฺมจริยญฺจ"
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2010, 08:01:14 pm »
0
การประพฤติพรหมจรรย์


คำว่าพรหมจรรย์หมายความถึง การบวชซึ่งละเว้นเมถุน การครองชีวิตที่ปราศจากเมถุน การ

ประพฤติธรรมอันประเสริฐ ท่านว่าลักษณะของธรรมที่ถือว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์นั้น (ไม่ใช่ว่าต้อง

บวชเป็นพระ) มีอยู่ดังนี้คือ

๑.ให้ทาน บริจาคทานไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง หรือปัญญา

๒.ช่วยเหลือผู้อื่นในกิจการงานที่ชอบ ที่ถูกที่ควร (เวยยาวัจจมัย)

๓.รักษาศีล ๕ คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ทำผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มน้ำเมา (เบญจศีล)

๔.มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากับคนที่เราต้องพบปะด้วยทุกคน (อัปปมัญญา)

๕.งดเว้นจากการเสพกาม (เมถุนวิรัติ)

๖.ยินดีในคู่ของตน คือการมีสามีหรือภรรยาคนเดียว (สทารสันโดษ)

๗.เพียรพยายามที่จะละความชั่ว ไม่ท้อถอยในความบากบั่น (วิริยะ)

๘.รักษาซึ่งศีล ๘ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ร่วมประเวณี ไม่พูดปด ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่บริโภคอาหารตั้งแต่เที่ยง

วันเป็นต้นไป ไม่ฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการละเล่น ใช้ของหอมหรือเครื่องประดับ ไม่นอนบนที่สูงใหญ่

หรูหรา (อุโบสถ)

๙.ใช้ปัญญาเห็นแจ้งใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (อริยธรรม)

๑๐.ศึกษาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้รู้แจ้งเห็นจริง (สิกขา)

*ขออธิบายเพิ่มเติมว่าข้อ ๕ ที่บอกว่าให้งดเว้นการเสพกาม แต่ข้อ ๖ ให้ยินดีในคู่ของตนนั้น เพราะว่าการประพฤติ

พรหมจรรย์ในที่นี้หมายถึง บุคคลทั่วไปที่อาจมีครอบครัวแล้ว ก็ประพฤติพรหมจรรย์ได้โดยการงดเว้นการร่วม

ประเวณี เช่นในวันสำคัญๆเป็นต้น



       
พฺรหฺมจริยญฺจ

       

มงคลที่ 32. การประพติพรหมจรรย์

     เพียรเร่งประพฤติถ้วน       พรหมจรรย์
ครองชีพปราศสิ่งสรร            งดบ้าง
สัตย์ศีลพร่ำจำนรรจ์             ครวญใคร่
สันโดษอย่าหมายอ้าง         แต่เว้นเมถุน.
   
      
                                                    ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 15, 2010, 08:23:54 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "อริยสจฺจาน ทสฺสนํ"
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2010, 10:49:15 pm »
0
การเห็นอริยสัจ


อริยสัจ หมายถึงความจริงอันประเสริฐ หลักแห่งอริยสัจมีอยู่ ๔ ประการตามที่ท่านได้สั่งสอนไว้มีดังนี้

๑.ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความเป็นจริงของสัตว์โลกทุกผู้ทุกนามต้องมีทุกข์ ๓ ประการคือ การ

เกิด ความแก่ ความตาย นอกจากนี้ก็มีความทุกข์ที่เป็นอาการ หรือเกิดจากสภาพแวดล้อมสรุปได้ดังนี้คือ

-ความโศกเศร้า (โสกะ)

-ความรำพันด้วยความเสียใจ (ปริเทวะ)

-ความเจ็บไข้ได้ป่วย (ทุกขะ)

-ความเสียใจ (โทมนัสสะ)

-ความท้อแท้ สิ้นหวัง คับแค้นใจ (อุปายาสะ)

-การตรอมใจ ผิดหวังจากสิ่งที่ไม่รัก (อัปปิเยหิ สัมปโยคะ)

-การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก (ปิเยหิ วิปปโยคะ)

-ความหม่นหมองเมื่อปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้น (ยัมปิจฉัง นลภติ)

๒.สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ นอกจากเหตุแห่งทุกข์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ต้นตอของทุกข์ก็อยู่ที่ใจของ

เราด้วยนั่นก็คือความอยาก ท่านว่าเป็นตัณหา ๓ อย่าง ซึ่งแบ่งออกได้เป็นดังนี้คือ

-ความอยากได้ หมายรวมถึงอยากทุกอย่างที่นำมาสนองสัมผัสทั้ง ๕ และกามารมณ์ (กามตัณหา)

-ความอยากเป็น คือความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ (ภวตัณหา)

-ความไม่อยากเป็น คือความไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ (วิภวตัณหา)

๓.นิโรธ คือความดับทุกข์ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ความหลุดพ้น หรือหมายถึงภาวะของพระนิพพานนั่นเอง

๔.มรรค คือข้อปฏิบัติ หรือหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ การเดินทางสายกลางเพื่อไปให้ถึงการดับทุกข์ คือ

มรรคมี ๘ ประการ คือ

-ความเห็นชอบ เช่นความศรัทธาในเบื้องต้นต่อหลักธรรม คำสอน เช่นการเชื่อว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริงเป็นต้น

(สัมมาทิฏฐิ)

-ความ ดำริชอบ หรือความคิดชอบ มีความคิดที่ถูกต้องตามหลักธรรม เช่นการใช้ปัญญาพิจารณาความไม่เที่ยง

ของสังขาร หรือการไม่คิดอยากได้ของเขามาเป็นของเราเป็นต้น (สัมมาสังกัปปะ)

-เจรจาชอบ คือการปฏิบัติตามหลักธรรม ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อเป็นต้น

(สัมมาวาจา)

-ทำการชอบ หรือการมีการกระทำที่ไม่ผิดหลักศีลธรรม เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์เป็นต้น (สัมมากัมมันตะ)

-เลี้ยง ชีพชอบ คือการทำมาหากินในทางที่ถูก ไม่เบียดเบียนหรือทำความเดือดร้อนให้กับสัตว์หรือผู้อื่น อยู่ใน

หลักธรรมที่กำหนด เช่น ไม่มีอาชีพค้ามนุษย์ หรืออาชีพค้าอาวุธเป็นต้น (สัมมาอาชีวะ)

-ความเพียรชอบ คือการหมั่นทำนุบำรุงในสิ่งที่ถูกต้อง อาทิเช่นการพยายามละกิเลสออกจากใจ หรือการ

พยายามสำรวม กาย วาจา ใจให้ดำเนินตามหลักธรรมของท่านเป็นต้น (สัมมาวายามะ)

-ความระลึกชอบ คือมีสติตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักธรรม เช่นการพึงระลึกถึงความตายที่ต้องเกิดกับทุกคน

เป็นต้น (สัมมาสติ)

-จิต ตั้งมั่นชอบ คือมีจิตที่มีสมาธิ ไม่ว่อกแวกหรือคิดฟุ้งซ่าน และการทำสมาธิภาวนาตามหลักการที่ท่านได้

บัญญัติแนะนำเอาไว้ (สัมมาสมาธิ)


                                                
อริยสจฺจาน ทสฺสนํ

                 
                                               
มงคลที่ 33. การเห็นอริยสัจ      

     เพียรศึกษาหยั่งรู้            ตามจริง
สัจจ์สี่ล้วนอ้างอิง                พจน์แท้
อย่าหมายผละประวิง         หลงบ่วง มารแฮ
องค์มรรคดับทุกข์แก้         สู่สิ้นสงสาร.      

                                               
                                                  ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 16, 2010, 11:24:44 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ"
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2010, 07:24:49 pm »
0
การทำให้แจ้งในพระนิพพาน




นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอำนาจกรรม และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อีก

ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง

ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ

๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน

๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้วไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระ

นิพพาน (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) -อนุปาทิเสสนิพพาน

การที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ก็ต้องปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นสูงสุด

         

นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ


มงคลที่ 34. การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

     เบญจขันธ์ทุกข์โทษล้วน         เวียนวน
บัณฑิตรู้หยั่งชนม์                     ไขว่คว้า
เพียรหมายละวางตน                สังโยชน์ ผลาญนา
สุขทุกข์เหนื่อยหน่ายล้า           มิแคล้วนิพพาน.     
                                       
                                                               
                                                          ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 18, 2010, 07:48:20 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ"
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 09:22:25 am »
0
มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม

คำว่าโลกธรรม มีความหมายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำบนโลกนี้ ซึ่งเราไม่ควรมีจิดหวั่นไหวต่อสิ่งต่างๆ

เหล่านี้ ท่านว่าลักษณะของโลกธรรมมี ๔ ประการคือ

๑.การได้ลาภ เมื่อมีลาภผลก็ย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีแล้วก็ย่อมหมดไปได้ เป็นแค่ความสุขชั่วคราวเท่านั้น

๒.การได้ยศ ยศฐาบรรดาศักดิ์ล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น เป็นสิ่งที่คนยอมรับกันว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ พอหมดยศ

ก็หมดบารมี

๓.การได้รับการสรรเสริญ ที่ใดมีคนนิยมชมชอบ ที่นั่นก็ย่อมต้องมีคนเกลียดชังเป็นเรื่องธรรมดา การถูกนินทาจึงไม่ใช่

เรื่องผิดปกติ

๔.การได้รับความสุข ที่ใดมีสุขที่นั่นก็จะมีทุกข์ด้วย มีความสุขแล้วก็อย่าหลงระเริงไปจนลืมนึกถึงความทุกข์ที่

แฝงมาด้วย

การทำให้จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม มีวิธีดังนี้คือ

๑.ใช้ปัญญาพิจารณา โดยตั้งอยู่ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา พิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงหลักธรรมต่างๆ

๒.เจริญสมาธิภาวนา ใช้กรรมฐานพิจารณาถึงความเป็นไปในความไม่เที่ยงในสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก และ

สังขาร


           
ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ

 

มงคลที่ 35. การมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม

     สุขทุกข์เสื่อมศักย์ได้         ยากคง
ลาภยศสรรเสริญปลง            อย่าร้อน
โลกธรรมอยู่ธำรง               ทุกขณะ เสมอแล
ใดท่านมิหวั่นย้อน             แน่แท้ปรัชญ์ชม.   

                                                               
                                                   ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 19, 2010, 09:46:44 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "อโสกํ"
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 12:11:16 am »
0
มีจิตไม่โศกเศร้า




ท่านว่ามีเหตุอยู่ ๒ ประการที่ทำให้จิตเราต้องโศกเศร้าคือ

๑.ความโศกเศร้าที่เกิดเนื่องมาจากความรัก รวมถึงรักสิ่งของ ทรัพย์สินเงินทองด้วย

๒.ความโศกเศร้าที่เกิดจากความใคร่

การทำให้จิตใจไม่โศกเศร้านั้น มีข้อแนะนำดังนี้

๑.ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงความไม่เที่ยงในสิ่งของทั้งหลาย และร่างกายของเรา

๒.ไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือความจีรังยั่งยืน ในคนหรือสิ่งของว่าเป็นของเรา

๓.ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ แม้ร่างกายเราก็ใช้เป็นที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น

๔.คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น




 อโสกํ


มงคลที่ 36. การมีจิตไม่โศกเศร้า

     สินทรัพย์สรรพสิ่งล้วน         แปรปรวน
ใจหน่วงให้เรรวน                    รักษ์ไว้
คราพรากจึงเซซวน               เหตุมั่น นี้แล
ผู้ผละละวางได้                    โศกเศร้าจึงคลาย.


                                                       ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 23, 2010, 08:24:59 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "วิรชํ"
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2010, 07:53:19 pm »
0
มีจิตปราศจากกิเลส




กิเลส ก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง

ท่านได้แบ่งประเภทของกิเลสออกเป็นดังนี้ คือ

๑.ราคะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น

-ความโลภอย่างแรงจนแสดงออกมา เช่นการลักขโมย ปล้น จี้ ข่มขืนกระทำชำเรา เป็นต้น (อภิชฌาวิสมโลภะ)

-ความเพ่งเล็งจะเอาของคนอื่นมาเป็นของตัว มีใจอยากได้ของคนอื่นแต่ยังไม่ถึงกับแสดงออก (อภิชฌา)

-ความอยากได้ในทางไม่ชอบ เช่นการยอมรับสินบน การทุจริตเพื่อแลกกับการมีทรัพย์เป็นต้น (ปาปิจฉา)

-ความมักมากเห็นแก่ได้ ด้วยการเอามาเป็นของตนจนเกินพอดี เอาประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น

(มหิจฉา)

-ความยินดีในกาม ก็คือยังไม่สามารถละกิจกรรมทางเพศได้ ยังมีความรู้สึก มีแรงกระตุ้น มีความพอใจในเรื่องเพศ (กามระคะ)

-ความยินดีในรูปธรรมอันปราณีต ก็คือติดอยู่ในอารมณ์ของรูปฌาณ ปรารถนาในรูปของภพเมื่อทำสมาธิขั้นสูง

ขึ้นไป (รูปราคะ)

-ความยินดีในอรูปฌาณ ก็คือติดอยู่ในอารมณ์ของอรูปฌาณเมื่อทำสมาธิถึงภพของอรูปพรหม (อรูปราคะ)

๒.โทสะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น

-พยาบาท คือการผูกใจอาฆาต มีใจที่ไม่หวังดี การจองเวร

-โทสะ คือการคิดประทุษร้าย เนื่องด้วยมีใจพยาบาทแล้วก็มีใจคิดหมายทำร้าย

-โกธะ คือความโกรธ ความเดือดร้อนใจ ซึ่งล้วนเป็นเหมือนไฟที่เผาตัวเอง

-ปฏิฆะ คือความขัดใจ ความไม่พอใจอันทำให้อารมณ์หงุดหงิด

๓.โมหะ สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น

-ความเห็นผิดเป็นชอบ เช่นการไม่เชื่อในเรื่องบาป เรื่องบุญเป็นต้น (มิจฉาทิฐิ)

-ความหลงผิด ไม่รู้ตามความเป็นจริง (โมหะ)

-การเห็นว่ามีตัวตน เช่นการเชื่อในสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น (สังกายทิฏฐิ)

-ความสงสัย คือสงสัยในพระธรรม คำสั่งสอนในเรื่องการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ (วิจิกิจฉา)

-การยึดถืออย่างงมงาย เช่นการไปกราบไหว้สัมพเวสีที่อยู่ตามต้นไม้ ขอลาภเป็นต้น (สีลัพพตปรามาส)

-ความถือตัว คือการสำคัญตัวเองผิดว่าเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ (มานะ)

-ความฟุ้งซ่าน คือการที่จิตใจว่อกแวก คิดไม่เป็นสาระ ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีสมาธิ หรือการทำสมาธิไม่นิ่ง

(อุทธัจจะ)

-ความไม่รู้จริง คือการที่รู้แค่ผิวเผิน หรือการทึกทักเอาเอง ไม่ปฏิบัติตามหลักพระธรรม ยังไม่เกิดปัญญา

(อวิชชา)

โทษของการมีกิเลสดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้สั้นๆ ดังนี้คือ

๑.ราคะ มีโทษน้อย แต่คลายช้า

๒.โทสะ มีโทษมาก แต่คลายเร็ว

๓.โมหะ มีโทษมาก แต่คลายช้า




                            วิรชํ



มงคลที่ 37. มีจิตปราศจากกิเลส

     ราคะโทสะสิ้น            หมดหลง
เจตจิตจำนงปลง            ผ่องแผ้ว
ใจปราณีตหยั่งตรง        ไตรรัตน์
รู้ศาสน์ละสิ้นแล้ว          ย่างก้าวนิพพาน.
                                             
                                             ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 23, 2010, 08:19:11 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "เขมํ "
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2010, 01:39:08 am »
0
มีจิตเกษม



เกษม หมายถึงมีความสุข สบาย หรือสภาพที่มีจิตใจที่เป็นสุข มีจิดเกษมก็คือว่ามีจิตที่เป็นสุข

ในที่นี้หมายถึงการละแล้วซึ่งกิเลส
ที่ท่านว่าไว้ว่าเป็นเครื่องผูกอยู่ ๔ ประการคือ

๑.การละกามโยคะ คือการละความยินดีในวัตถุ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเรียกว่ากามคุณ ซึ่งประกอบ

ด้วย รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส

๒.การละภวโยคะ คือการละความยินดีในภพ โดยให้เห็นว่าสิ่งใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้ หรือ

คงอยู่ตลอดไป

๓.การละทิฏฐิโยคะ คือการละความยินดีในความเห็นผิดเป็นชอบ โดยให้ดำเนินตามหลักคำ

สอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวมาแล้ว

๔.การละอวิชชาโยคะ คือการละความยินดีในอวิชชาทั้งหลาย ความไม่รู้ทั้งหลาย โดยให้มุ่ง

ปฏิบัติเพื่อปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง




                        เขมํ



มงคลที่ 38. มีจิตเกษม

     จิตเกษมคลายผูกแล้ว         ตัณหา
ผละละอวิชชา                       ภพสิ้น
มีทิฏฐิสัมมา                         เห็นเที่ยง
สว่างว่างมิข้องดิ้น               สู่ห้วงวัฏฏะ.
                                               
                                               
                                                      ธรรมธวัช.!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 24, 2010, 01:59:07 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา