ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด
บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง วิธีการปฏิบัติ และ พิจารณา ใน สมถะ-วิปัสนากัมมัฏฐาน ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้
ก. การเจริญสมาธิ (ตามวิถี Admax)
การทำสมาธิตามแนววิถีทางของผมนั้น เริ่มต้นไม่ว่าท่านทั้งหลายจะเรียนรู้อะไรมา ถึงจะเรียนจบอภิธรรมครบจนหมด หรือ เรียนปริยัติจบเปรียญ ปธ. ๙ ก็ตามแต่ ให้ท่านทั้งหลายทิ้งความเป็นมหานั้นไปให้หมด (เพราะคนเรานั้น ยิ่งเรียนมามาก ยิ่งรู้มาก ยิ่งเอาความรู้ทั้งหลายมาคิดสับไปสับมาวุ่นวายไปหมดจน เกิดข้อสงสัยไม่เกิดความว่าง เกิดความติดข้องใจ ถกเถียงขึ้นในจิต ทำให้เป็นปัญหาแก่การทำสมาธิเป็นอย่างมาก) แล้วเริ่มปฏิบัติพิจารณาดังนี้
- เริ่มแรกในการเข้าสู่การกัมมัฏฐานนั้นให้เริ่มต้นดังต่อไปนี้
๑. ให้ตั้งจิตระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าที่มีคุณเป็นเอนกอนันต์ ที่ทรงสละทุกอย่างแสวงหาโมกขธรรมเพื่อเป็นทางแห่งการพ้นทุกข์แล้วเผยแพร่ให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์อันประเสริฐนั้น
๒. ให้ตั้งจิตระลึกถึงพระธรรมที่องค์ตถาคตนั้นได้ตรัสรู้มาโดยชอบแล้ว ดีแล้ว งดงามแล้ว ไพเราะแล้ว ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เป็นธรรมที่ประกอบไปด้วยประโยชน์เป็นอันมากให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมแห่งการพ้นทุกข์
๓. ให้ตั้งจิตระลึกถึงพระสงฆ์ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้ควรแก่การนอบน้อมอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลกได้สละแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลาย และ ได้นำพระธรรมของพระตถาคตเจ้านั้นมาเผยแพร่และคงอยู่ให้เราได้ร่ำเรียนศึกษาจนเห็นทางพ้นทุกข์อันชอบนั้น
๔. ให้ตั้งจิตระลึกถึงคุณบิดา-มารดา และ บุพการีทั้งหลาย ที่ได้คลอด และ เลี้ยงดูเรามาจนเติบใหญ่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ เป็นผู้มีความเมตตา กรุณา มุทิตา แก่เรา เป็นผู้ให้ทานอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นแก่เรา เพื่อให้เราได้รับประโยชน์สุขด้วยใจที่ประเสริฐยิ่ง จนทำให้เราได้มารู้จักพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วในพระพุทธศาสนานี้เพื่อปฏิบัติตนให้พ้นจากกองทุกจ์ทั้งสิ้นนี้
๕. ให้ตั้งจิตระลึกถึงคุณของครูอุปัชฌา-อาจารย์ทั้งหลาย ที่ได้สั่งสอน อบรม ได้ชี้แนะแนวทาง และ พระธรรมในพระพุทธศาสนาอันประเสริฐ ประกอบไปด้วยประโยขน์นี้ให้เราให้เห็นทางอันดี ประเสริฐ และทางพ้นทุกข์ทั้งหลาย
๖. นั่งคุกเข่าตั้ง นโม 3 จบ แล้วสวดบทสวดมนต์ อรหังสัมมาฯ ว่าบัดนี้จักขอเข้าสู่กรรมฐานเพื่อปฏิบัติเจริญในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า
๗. จากนั้นเริ่มปฏิบัติพระกัมมัฏฐานในอริยาบถต่างๆตามแต่จริตตนดังนี้
๗.๑ การเจริญสมาธิด้วยการยืน ให้เริ่มต้นจากการที่เราหลับตาสงบนิ่งเหมือนธรรมดาทั่วไปก่อน ไม่ต้องไปตรึกนึกเอาอภิธรรมใดๆเข้ามาพิจารณา ให้ระลึกรู้แค่เพียงลมหายใจเข้า-ออก โดย หายใจเข้ายาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "พุทธ" หายใจออกยาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "โธ" (จะระลึกรู้บริกรรมคำใดๆก็ได้ หรือจะไม่บริกรรมเลยแค่รู้ลมหายใจเข้า-ออกเฉยๆก็ได้) สักประมาณ 3-5 ครั้งแล้วลดหลั่วการหายใจเข้า-ออกเรื่อยๆจนเป็นการหายใจตามปกติ พิจารณารู้สัมผัสจากลมหายใจเข้าและออก จิตจดจ่อรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์แห่งจิต กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนกว่าเราจะมีสภาพจิตที่นิ่งสงบ อบอุ่น ไม่ฟุ้งซ่าน แล้วระลึกพิจารณาอิริยาบถของกายที่ยืนอยู่นี้ พร้อมหายใจเข้าพึงระลึกรู้บริกรรมในใจว่า "ยืน" (โดยอาจระลึกรู้ลากเสียงคำบริกรรมยาวตามการหายใจเข้า) แล้วหายใจออกพึงระลึกรู้บริกรรมในใจว่า "หนอ" (โดยอาจระลึกรู้ลากเสียงคำบริกรรมยาวตามการหายใจออก) มีจิตจดจ่อรู้ลมหายใจหรือสภาพอิริยาบถของกายที่ยืนอยู่อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์แห่งจิต กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนกว่าเราจะมีสภาพจิตที่ นิ่ง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ว่าง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหนเวลาใดก็ได้ แม้ยามที่เราลืมตาอยู่ก็ตาม หากกระทำได้เช่นนี้แล้ว แม้จะยืนลืมตาอยู่สภาพจิตก็จะไม่ไหวติงใดๆเกิดเป็นสมาธิที่ควรแก่งานคือการปฏิบัติในกิจการงานต่างๆนั่นเอง
๗.๒ การเจริญสมาธิด้วยการเดิน คนเราส่วนมากจะเดินจงกรมในแบบธรรมดาทั่วไป คือ เมื่อขาซ้ายก้าวย่างเดินไปเหมือนเราเดินตามปกติ ก็ระลึกบริกรรมในใจว่า "ซ้ายย่างหนอ" เมื่อขาขวาก้าวย่างเดินไปเหมือนเราเดินตามปกติ ก็ระลึกบริกรรมในใจว่า "ขวาย่างหนอ" มีจิตระลึกรู้ในอิริยาบถการขยับตัวก้าวเดินของกายเป็นอารมณ์ การเดินในชั้นเดียวนี้ผู้ที่อบรมจิตมีสมาธิมาดีแล้ว เมื่อปฏิบัติโดยการเดินในแบบนี้ก็จะเข้าสมาธิได้ง่ายไม่ยุ่งยาก ไม่วอกแวก ไม่ฟุ่งซ่าน มีแต่ความสงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ แต่หากบุคคลใดที่ยังไม่มีสมาธิเลย ยังไม่ได้อบรมณ์จิตใดๆมา เมื่อก้าวเดินในแบบดังกล่าวแล้วมีจิตวอกแวก ฟุ้งซ่าน เอาสิ่งภายนอกมาตั้งเป็นอารมณ์อยู่ให้เปลี่ยนการเดินโดนเลือกตาม 4 แบบวิธีตามลำดับดังนี้คือ
- เดินจงกรม 2 ชั้น มีวิธีการเดินดังนี้ คือ ยืนสงบนิ่งหายใจเข้า-ออกในวิธีดังข้อ ๗.๑ ซัก 1 นาที จากนั้นยกเท้าซ้ายขึ้น โดยที่ยังไม่ก้าวขาออกไป ระลึกบริกรรมในใจว่า "ซ้ายยกหนอ" ต่อมาให้เหยียดเท้าก้าวย่างเดินออกมาตามปกติแล้วแตะกดลงบนพื้นพร้อมเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย อยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะย่างก้าวเดินจงกรมของขาอีกข้างต่อไป แล้วระลึกบริกรรมในใจว่า "ย่างหนอ" กระทำเช่นนี้ในการเดินก้าวย่างทั้งข้างซ้ายและขวาแล้วตั้งจิตระลึกรู้ในอิริยาบถการขยับตัวก้าวเดินของกายเป็นอารมณ์ เริ่มปฏิบัติจากครั้งละ 10 - 20 นาที แล้วนานขึ้นเรื่อยๆตามสะดวกไปจนกว่าจะเกิดสมาธิจิตมีใจจดจ่อ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต มีแต่เพียงความ นิ่ง ว่าง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
- เดินจงกรม 3 ชั้น มีวิธีการเดินดังนี้ คือ ยืนสงบนิ่งหายใจเข้า-ออกในวิธีดังข้อ ๗.๑ ซัก 1 นาที จากนั้นยกเท้าซ้ายขึ้น โดยที่ยังไม่ก้าวขาออกไป ระลึกบริกรรมในใจว่า "ซ้ายยกหนอ" ต่อมาให้เหยียดก้าวเท้าออกมาแล้วยกลอยค้างไว้อยู่โดยยังไม่นำเท้าลงแตะพื้นระลึกบริกรรมในใจว่า "ย่างหนอ" จากนั้นให้กดเท้าย่างลงบนพื้นพร้อมโยกตัวเคลื่อนไปด้านหน้าเล็กน้อยอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะย่างก้าวเดินจงกรมของขาอีกข้างต่อไป แล้วระลึกบริกรรมในใจว่า "ลงหนอ" กระทำเช่นนี้ในการเดินก้าวย่างทั้งข้างซ้ายและขวาแล้วตั้งจิตระลึกรู้ในอิริยาบถการขยับตัวก้าวเดินของกายเป็นอารมณ์ เริ่มปฏิบัติจากครั้งละ 10 - 20 นาที แล้วนานขึ้นเรื่อยๆตามสะดวกไปจนกว่าจะเกิดสมาธิจิตมีใจจดจ่อ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต มีแต่เพียงความ นิ่ง ว่าง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
- เดินจงกรม 4 ชั้น มีวิธีการเดินดังนี้ คือ ยืนสงบนิ่งหายใจเข้า-ออกในวิธีดังข้อ ๗.๑ ซัก 1 นาที จากนั้นยกเท้าซ้ายขึ้น โดยที่ยังไม่ก้าวขาออกไป ระลึกบริกรรมในใจว่า "ซ้ายยกหนอ" ต่อมาให้เหยียดก้าวเท้าออกมาแล้วยกลอยค้างไว้อยู่โดยยังไม่นำเท้าลงแตะพื้นระลึกบริกรรมในใจว่า "ย่างหนอ" จากนั้นให้เคลื่อนเท้าย่างลงลอยขนานห่างจากพื้นเล็กน้อยแล้วระลึกบริกรรมในใจว่า "ลงหนอ" จากนั้นให้กดเท้าย่างลงบนพื้นพร้อมโยกตัวเคลื่อนไปด้านหน้าเล็กน้อยอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะย่างก้าวเดินจงกรมของขาอีกข้างต่อไป แล้วระลึกบริกรรมในใจว่า "ถูกหนอ" จากนั้นกระทำเช่นนี้ในการเดินก้าวย่างทั้งข้างซ้ายและขวาแล้วตั้งจิตระลึกรู้ในอิริยาบถการขยับตัวก้าวเดินของกายเป็นอารมณ์ เริ่มปฏิบัติจากครั้งละ 10 - 20 นาที แล้วนานขึ้นเรื่อยๆตามสะดวกไปจนกว่าจะเกิดสมาธิจิตมีใจจดจ่อ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต มีแต่เพียงความ นิ่ง ว่าง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
- เดินจงกรม 5 ชั้น มีวิธีการเดินดังนี้ คือ ยืนสงบนิ่งหายใจเข้า-ออกในวิธีดังข้อ ๗.๑ ซัก 1 นาที จากนั้นยกเท้าซ้ายขึ้น โดยที่ยังไม่ก้าวขาออกไป ระลึกบริกรรมในใจว่า "ซ้ายยกหนอ" ต่อมาให้เหยียดก้าวเท้าออกมาแล้วยกลอยค้างไว้อยู่โดยยังไม่นำเท้าลงแตะพื้นระลึกบริกรรมในใจว่า "ย่างหนอ" จากนั้นให้เคลื่อนเท้าย่างลงลอยขนานห่างจากพื้นเล็กน้อยแล้วระลึกบริกรรมในใจว่า "ลงหนอ" จากนั้นให้วางเท้าแตะลงถูกบนพื้นระลึกบริกรรมในใจว่า "ถูกหนอ" จากนั้นให้กดเท้าลงบนพื้นพร้อมโยกตัวเคลื่อนไปด้านหน้าเล็กน้อยแล้วระลึกอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะย่างก้าวเดินจงกรมของขาอีกข้างต่อไป บริกรรมในใจว่า "กดหนอ" จากนั้นกระทำเช่นนี้ในการเดินก้าวย่างทั้งข้างซ้ายและขวาแล้วตั้งจิตระลึกรู้ในอิริยาบถการขยับตัวก้าวเดินของกายเป็นอารมณ์ เริ่มปฏิบัติจากครั้งละ 10 - 20 นาที แล้วนานขึ้นเรื่อยๆตามสะดวกไปจนกว่าจะเกิดสมาธิจิตมีใจจดจ่อ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต มีแต่เพียงความ นิ่ง ว่าง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
๗.๓ การเจริญสมาธิด้วยการนั่ง การนั่งสมาธินั้นเราสามารถจะนั่งพิงฝา นั่งบนเก้าอี้ นั่งในอิริยาบถใดก็ได้ที่สบายและง่ายในการทำสมาธิแก่เรา แต่โดยส่วนมากหากนั่งสบายไปเรามักจะหลับหรือเคลิ้มติดความพอใจยินดีกับการเสวยเวทนาที่เป็นสุขทางกาย ดังนั้นเวลานั่งควรนั่งสมาธิในแบบที่เป็นประเภณีการปฏิบัติมาด้วย โดยนั่งขัดสมาธิให้ขาขวาวางลงข้างล่าง ขาขวาวางทับอยู่ข้างบน เอามือวางบนตักทับประสานกันตามปกติ จากนั้นให้ทำการผ่อนคลายสภาพกายและจิต แล้วหายใจเข้าลึกๆยาวจนสุดใจ ระลึกบริกรรมในใจว่า "พุทธ" (โดยอาจระลึกรู้ลากเสียงคำบริกรรมยาวตามการหายใจเข้า) หายใจออกยาวจนสุดใจ ระลึกบริกรรมในใจว่า "โธ" (โดยอาจระลึกรู้ลากเสียงคำบริกรรมยาวตามการหายใจออก) ทำเช่นนี้ประมาณ 3-5 ครั้ง จากนั้นค่อยๆหายใจเข้ายาว-ออกยาวตามปกติ หรือ ลดหลั่นลงมาเรื่อยๆจนอยู่ในระดับปกติ มีสติจดจ่ออยู่ในลมหายใจเข้าและออก มีจิตระลึกรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์ ไม่ต้องใช้ปัญญาอันฉลาดรอบรู้ใดๆของตนมาคิดพิจารณา ให้ตั้งจิตจดจ่อรู้ลมหายใจเข้าและออกเท่านั้น เริ่มปฏิบัติจากครั้งละ 10 - 20 นาที แล้วค่อยๆทำให้นานขึ้นเรื่อยๆตามสะดวกไปจนกว่าจะเกิดสมาธิจิตมีใจจดจ่อ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งใดๆแก่จิต มีแต่เพียงความ นิ่ง ว่าง สงบ อบอุ่น ปิติอิ่มเอมใจ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
- หากว่ากระทำในวิธีข้างต้นแล้ว จิตยังเกิดความปรุงแต่ง นึกคิด ฟุ้งซ่าน สัดส่าย ไม่มีความสงบ ให้พึงตั้งจิตระลึกรู้ว่า ขณะนี้ เราอยู่ในอิริยาบถใดอยู่ เช่น ระลึกรู้ว่าเรากำลังนั่งอยู่ กำลังกระทำดำเนินไปในสิ่งใดอยู่ เช่น ระลึกรู้ว่าเรากำลังนั่งเพื่อเจริญสมาธิอยู่ แล้วพึงพิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ความคิดปรุงแต่ง นิมิตใดๆทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดขึ้นมาแต่จิต จิตมันจดจำสิ่งใดๆไว้แล้วนำมาสร้างเรื่องราวปรุงแต่งตามแต่ที่มันพอใจยินดี ทั้งๆที่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็อยู่ของมัน เขาก็อยู่ของเขา เราเท่านั้นที่เก็บเอามาคิดปรุงแต่งเรื่องราวจากความจำได้จำไว้ที่เคยผ่านพ้นมา // จากนั้นให้ตั้งสติหลับตาเพ่งพิจารณาจดจ่อมองดูความมืดที่เห็นจากการหลับตานั้น พึงระลึกในใจว่าสิ่งที่เห็นอยู่นั้นแลคือ ความเป็นจริงปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับเรา แล้วให้พิจารณาเพ่งจดจ่อกวาดยาวออกไปมองที่ความมืดนั้น จะเห็นเป็นเม็ดแสงแวบๆวับๆหลากหลาย ใหญ่บ้างเล็กบ้าง กระจัดกระจายไปมา เสร็จแล้วให้เราพึงเพ่งมองพิจารณาสมมติเปรียบเทียบเอาว่าแสงนั้นคือสภาพจิตของเราที่ฟุ้งซ่านอยู่กระจัดกระจายไปหมด ปรุงแต่งคละเคล้ากับความคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้มั่วไปหมด เมื่อพิจารณาเปรียบเห็นดั่งสมมตินั้นได้แล้ว ก็ให้ตั้งจิตเพ่งมองจดจ่อทอดยาวออกไปด้านหน้าในความมืดนั้น ณ ช่วงกึ่งกลางระหว่าง 2 ตา สูงในระดับสายตา(ช่วงสันจมูก) แล้วกวาดยาวออกไปอยู่ที่จุดๆเดียวด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลายสบายๆ(ห้ามเพ่งมองย่นย่อจนเกร็งตาหรือบิดเกร็งตัวเข้ามาอยู่ที่จุดตรงกลางหว่างคิ้วตนเองเด็ดขาดเพราะจะทำให้เราเกิดอาการเวียนหัว ปวดหัว และ ตา ตามมาในภายหลัง)พิจารณาจดจ่ออยู่ที่จุดนั้นจุดเดียวจนกว่าสภาพแสงที่กระจัดกระจายวิ่งไปมาหลายหลายนั้นจะค่อยๆหายแล้วแล้วเหลืออยู่ที่จุดเดียวอยู่ตรงที่เราเพ่งมองนั้น เมื่อแสงทั้งหลายหายไปเหลือเพียงแต่แสงที่จุดที่เราเพ่งมองนั้น ให้เพ่งดูอยู่เช่นนั้นซักระยะหนึ่งโดยการระลึกรู้ลมหายใจเข้า-ออกพร้อมเพ่งมองไป ณ จุดนั้นจนสภาพจิตเกิดความนิ่ง สงบ อบอุ่น เบาบาง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก เมื่อมีสติสัมปชัญญะระลึกรู้ตน ก็ให้น้อมลงพิจารณาที่ลมหายใจเข้า-ออกตามแบบการนั่งสมาธิปกติ
๗.๔ การเจริญสมาธิด้วยการนอน การนอนทำสมาธิที่ผมกระทำอยู่นั้นมี 2 แบบ คือ แบบ สีหไสยาสน์ และ การนอนหงายผ่อนคลายตามปกติตน
การนอนแบบสีหไสยาสน์... เป็นการนอนเพื่อเข้าอยู่ในสมาธิอบอรมจิต ทำให้เกิดความรู้ตัวอยู่เสมอ วิธีนอนให้นอนตะแคลงขวา เหยียดตัวตรง วางขาทับซ้อนตรงกัน วางมือลงแนบตรงกับลำตัว พิจารณาลมหายใจเข้า-ออก โดยหายใจเข้ายาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "พุทธ" หายใจออกยาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "โธ" (จะระลึกรู้บริกรรมคำใดๆก็ได้ หรือจะไม่บริกรรมเลยแค่รู้ลมหายใจเข้า-ออกเฉยๆก็ได้) สักประมาณ 3-5 ครั้งแล้วลดหลั่วการหายใจเข้า-ออกเรื่อยๆจนเป็นการหายใจตามปกติ พิจารณารู้สัมผัสจากลมหายใจเข้าและออก จิตจดจ่อรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์แห่งจิต กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนกว่าเราจะมีสภาพจิตที่นิ่งสงบ อบอุ่น ว่าง ปิติอิ่มเอมใจ ไม่วอกแวกฟุ้งซ่าน แล้วระลึกพิจารณาอิริยาบถของกายที่นอนอยู่นี้ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
การนอนหงายผ่อนคลายแบบปกติ... เป็นการนอนเพื่อทำสมาธิปรับสภาพร่างกายจนหลับ เหมาะแก่คนที่นอนไม่หลับ โดยนอนหงายเหยียดตัวตรงตามปกติ แล้วพึงระลึกพิจารณาลมหายใจเข้า-ออก เหมือนการนั่งสมาธิทั่วไป กระทำพิจารณาไปเรื่อยๆสภาพจิตจะเข้าสู่สมาธิและปรับธาตุในร่างกายใหสมดุลย์กันแล้วก็หลับไปเลยตามปกติ แต่จะต่างจากการทำสมาธิทั่วไปตรงที่หากเมื่อต้องการจะนอนไม่ว่าเกิดความคิดปรุงแต่งใดๆ นิมิตใดๆขึ้นมาก็ปล่อยให้มันเป็นไปจนกว่าเราจะหลับ // แต่หากทำสมาธิโดยไม่พึงปารถนาจะนอนหลับให้มีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้า-ออก โดยหายใจเข้ายาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "พุทธ" หายใจออกยาวๆระลึกบริกรรมในใจว่า "โธ" (จะระลึกรู้บริกรรมคำใดๆก็ได้ หรือจะไม่บริกรรมเลยแค่รู้ลมหายใจเข้า-ออกเฉยๆก็ได้) สักประมาณ 3-5 ครั้งแล้วลดหลั่วการหายใจเข้า-ออกเรื่อยๆจนเป็นการหายใจตามปกติ พิจารณารู้สัมผัสจากลมหายใจเข้าและออก จิตจดจ่อรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์แห่งจิต กระทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนกว่าเราจะมีสภาพจิตที่นิ่งสงบ อบอุ่น ว่าง ปิติอิ่มเอมใจ ไม่วอกแวกฟุ้งซ่าน แล้วระลึกพิจารณาอิริยาบถของกายที่นอนอยู่นี้ ให้ปฏิบัติเจริญเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำให้สภาพจิตดังกล่าวนั้นเกิดบ่อยขึ้น นานขึ้น และ สามารถเข้าสมาธิถึงระดับจิตดังที่กล่าวมานี้ในตอนไหน เวลาใดก็ได้
๘. เมื่อสามารถปฏิบัติจนเข้าถึงสภาพจิตที่ นิ่ง สงบ อบอุ่บ ผ่องใส เบาบาง ปิติอิ่มเอมใจ มีจิตว่าง ปราศจากความปรุงแต่งนึกคิดใดๆ (สภาพจิตความรู้สึกที่อยู่ในสภาวะดังกล่าวนี้เรียกว่า "อารมณ์สมถะ")...ก็ให้เราจดจำแนวทาง-วิถีปฏิบัติ และ สภาพของกายและจิตที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงอารมณ์สมถะนี้ไว้ เมื่อถึงเวลาที่เราปฏิบัติกัมมัฏฐานเพื่อเข้าสู่สมาธิอีกคราวต่อไป ก็ให้กระทำปฏิบัติตามแนวทางและวิถีนั้นๆที่ทำให้เราเข้าสู้อารมณ์สมถะได้ กระทำเช่นนี้อยู่เนืองๆจะทำให้เรารู้ในวิธีการปฏิบัติที่ทำให้เราเข้าสู่สภาพอารมณ์สมถะได้ง่ายขึ้น จนสามารถทำได้ในทุกครั้งที่ต้องการ ดังนั้นข้อที่ ๗-๘ นี้สำคัญมาก เพราะจะทำให้เราสามารถเข้าสืบต่อไปยังการรู้เห็นในสภาพปรมัตถธรรม นั่นคือ สภาพธรรมจริงๆนั่นเอง
- เมื่อเพียงพอจากการเข้าสมาธิแล้ว ให้เราตั้งจิตสวดมนต์บทสวด อรหังสัมมาฯ จากนั้นแผ่เมตตาให้ตนเอง แล้วแผ่เมตตาให้คนอื่น (ในขณะนี้หากนั่งคุกเข่าอยู่อาจจะเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งพับเพียบก็ได้)