ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิวัฒนาการของโลก จากความเห็นทางวิทยาศาสตร์  (อ่าน 3836 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28431
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
วิวัฒนาการของโลก จากความเห็นทางวิทยาศาสตร์
คัดลอกจาก http://ww2.se-ed.net/data55/d111.htm

 
ในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ ตามทฤษฎีที่เชื่อถือกันมากที่สุดในปัจจุบัน
“จักรวาลมีกำเนิดมาจากการระเบิดของมวลสารต้นกำเนิดของจักรวาลที่ รวมตัวอัดกันแน่น จนกระทั่งเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง เมื่อประมาณหมื่นห้าพัน ถึงสองหมื่นล้านปีมาแล้ว ในอดีต ทฤษฎีนี้มีชื่อเรียกว่า ทฤษฎีการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ (Big Bang Theory) “

จากความคิดเห็นของ สมัคร บุราวาศ นักธรณีวิทยา ได้กล่าวถึงการเกิดของโลกว่า
 
“ โลกได้แตกแยกมาจากดวงอาทิตย์ เมื่อ ๔,๐๐๐ ล้านปีมาแล้ว จนกระทั่งเย็นลงเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านปีมานี้ “

และได้กล่าวถึงกระบวนการเกิดสัตว์มนุษย์ว่า

“ สิ่งที่เป็นจุดกำเนิดของมนุษย์แรกเริ่มสุดจริงๆ คือหน่วยของชีวิตชนิดแรกเริ่มบนโลก ตามความเข้าใจของวงการวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ถือว่าเกิดขึ้นเองโดยกระบวนการทางธรรมชาติที่เหมาะสม ทำให้เกิดโมเลกุลอันเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต คือสารประกอบจำพวกกรด อะมีโน “ .
.
”พร้อมกับการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตในรูปของสัตว์เซลล์เดียวใน เวลาต่อมา เกิดสาหร่ายทะเล เกิดสัตว์น้ำ เกิดสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เกิดสัตว์บก และเกิดสัตว์ปีก จนกระทั่งเกิดเป็นมนุษย์วานร”

ส่วนวิวัฒนาการของมนุษย์นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหลักฐานเป็นซากดึกดำบรรพ์ประกอบ กับทฤษฎีของดาร์วิ่น มีความเห็นว่า

วิวัฒนาการของมนุษย์เริ่มจาก ๑๔ ล้านปีมาแล้ว จนกระทั่งเป็นมนุษย์เมื่อ ๓๕,๐๐๐ ปีมานี้ หลังจากยืนตัวตรงก็สามารถใช้มือที่เป็นอิสระในการสร้างโน่นสร้างนี่ขึ้นมา ได้ โดยเริ่มต้นจาก

ลิงไร้หาง รามาพิธีคัส (อายุ ๑๔-๘ ล้านปี) เริ่มยืนตัวตรงจัดเป็นบรรพบุรุษเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ วิวัฒนาการไปเป็น

ออสตราโลพิธีคัส (อายุ ๕-๑.๕ ล้านปี ) เริ่มใช้เครื่องมือ พบหลักฐานรอยเท้าที่เก่าแก่ที่สุด มีฟันเหมือนมนุษย์แต่ขนาดสมองเท่ากับลิง จากนั้นเปลี่ยนเป็น
 
โฮโมฮาบิลิส (อายุ ๒-๑.๕ ล้านปี ) เริ่มเป็นมนุษย์จริงๆแล้ว มีสมองใหญ่กว่า
ออสตราโลพิธีคัส เท่าครึ่ง จากนั้นได้เปลี่ยนไปเป็น

โฮโมอีเร็คตัส หรือมนุษย์ตัวตรง ( อายุ ๑.๕-๐.๕ ล้านปี) มีหน้าผากหนาคุ้มกันสมองขนาด ๑ ลิตร รู้จักใช้ไฟปรุงอาหาร และสร้างความอบอุ่น จากนั้นเปลี่ยนเป็น

นีนเดอร์ธาล ( อายุ ๑๐๐,๐๐๐ - ๔๐,๐๐๐ ปี) มีคางอ่อนแอ แต่สมองใหญ่ และวิวัฒนาการไปสู่

โฮโมเซเปี่ยน เซเปี่ยน ( อายุ ๓๕,๐๐๐ ปี ถึงปัจจุบัน ) มีหน้าผากสูงความจุสมอง ๑.๔ ลิตร “

นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการอื่นให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ เช่น ชัยอนันต์ สมุทรวาณิช ได้กล่าวว่า มีการพบร่องรอยมนุษย์ ๑.๘ ล้านปีมาแล้ว

เป็นฟอสซิลของมนุษย์ยุคต้น ที่เรียกว่า Hominid ก่อนจะมี Homosapien
ส่วน Donald C.Johnson เป็นผู้ค้นพบโครงกระดูกของมนุษย์ยุคแรกๆ โดยตั้งชื่อว่า Lucy นั้น ก็มีทฤษฎีใหม่


โดยมีการเทียบเคียงอย่างละเอียดระหว่าง ซิมเปนซี มนุษย์ยุคแรก กับมนุษย์ที่พัฒนามาจนปัจจุบัน โดย Johanson พบโครงกระดูกที่ฝังอยู่นับล้านปีในแอฟริกา คือ ในแอฟริกาใต้ ตะวันออก และในเอธิโอเปีย นับตั้งแต่ ค.ศ.1974 เป็นต้นมานั้น ความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ก็เปลี่ยนไป โดยถอยหลังไปถึง ๓-๔ ล้านปี   

จะเห็นได้ว่าแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ จะให้การวิวัฒนาการของสัตว์มนุษย์ เริ่มต้นมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต คือเมื่อเกิดการระเบิด Big Bang ขึ้น ชัยวัฒน์ คุประตกุล กล่าวไว้ว่า
 
“ ถือว่าจักรวาลมีกำเนิดมาจากการระเบิดของบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ตรงจุดระเบิด แล้วต่อมาจึงมีการพัฒนาเป็นอะตอม เป็นสสาร"

บางสิ่งบางอย่างนั้นคืออะไร ยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัด แต่แนวทางความคิดหนึ่งซึ่งอาศัยกฏพื้นฐานทางฟิสิกส์ คือทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์

ว่าสสารและพลังงานเป็นสิ่งเดียวกัน สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ในสภาวะที่เหมาะสม กล่าวคือ สสารเปลี่ยนไปเป็นพลังงานได้ ขณะเดียวกันพลังงานก็เปลี่ยนไปเป็นสสารได้

ดังนั้นแนวคิดเรื่องกำเนิดจักรวาลแบบ Big Bang ถือว่าสรรพสิ่งในจักรวาลปัจจุบัน มีกำเนิดมาจากมวลสารปฐมภูมิ ซึ่งอาจเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ไม่มีตัวตน แต่ทำงานได้ แล้วพลังงานบริสุทธิ์นี้เองที่ระเบิดเกิดเป็นจุดกำเนิดของจักรวาล แล้วต่อมาพลังงานอันเป็นองค์ประกอบหลักของพลังงาน ณ จุดระเบิดเริ่มต้น ก็เปลี่ยนไปเป็นสสาร

แล้วจึงพัฒนาการต่อมาจนกระทั่งเกิดเป็นอะตอม เป็นโมเลกุล เป็นสารประกอบ เป็นสสาร และต่อๆมาจนกระทั่งเป็นส่วนที่เป็นพลังงานของจักรวาลอยู่ในปัจจุบัน ตามมโนภาพ จักรวาลก็เริ่มต้นมาจากพลังงานซึ่งไม่มีตัวตนแต่ทำงานได้ แล้วต่อมาจึงเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งเกิดเป็นอะตอม เป็นสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่จับต้องได้ เหมือนมีตัวตนขึ้นมา ”

และ เมื่อเริ่มต้นจักรวาลนั้น ระวี ภาวิไล ได้กล่าวว่า “ เริ่มต้นกำหนดเวลาแบบนับถอยหลังจากปัจจุบัน เพื่อกล่าวถึงการอุบัติขึ้น และวิวัฒนาการของชีวิต จิตใจ และสติปัญญา มาถึงมนุษย์ ” หมายความว่า เวลา ณ จุดระเบิด จะเป็น ๐ และเริ่มต้นนับเวลาใหม่จากวินาที เป็นต้นไป

อาจสรุปได้ว่า วิวัฒนาการของมนุษย์ในแนววิทยาศาสตร์ จะเริ่มจาก ความว่างเปล่า (เวลาเป็นศูนย์) เกิดขบวนการทางฟิสิกส์ (อะตอม) เกิดขบวนการทางเคมี(กรดอะมีโน) เกิดขบวนการทางชีวะ(พืช-สัตว์เซลล์เดียว) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต และเกิดวิวัฒนาการเรื่อยไปจนกลายเป็นมนุษย์

ตามแนวคิดนี้ มนุษย์จะมีกำเนิดมาจากความว่างเปล่าไม่มีตัวตน แล้ววิวัฒนาการไปสู่ สิ่งไม่มีชีวิตเป็นสสาร พลังงาน และธาตุมีตัวตนจับต้องได้ จากนั้นจึงวิวัฒนาการไปสู่สิ่งที่มีชีวิต มีตัวตน มีจิตวิญญาณตอบสนองต่อสิ่งกระทบได้ (เกิดอายตนะต่างๆ) จึงเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ ก่อนจะวิวัฒนาการมาสู่ลิง (มันสมองเล็ก) และมนุษย์ (ขนาดมันสมองใหญ่) ซึ่งเป็นการพัฒนาปัญญา ในที่สุด 


ที่มา  http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-91.htm
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ