ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - นิรตา ป้อมนาวิน
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7
201  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ทุกข์ที่สุด จะหลุดได้อย่างไร เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 03:07:04 pm
ทุกข์ที่สุด จะหลุดได้อย่างไร

อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้น จะมีตลอดไป... อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไข... หนทางที่เร็วที่สุดคือ เปลี่ยนอารมณ์... ท่านใดมีทุกข์ ขอให้มันผ่านไปโดยไวครับ.....

เมื่อเราเกิดมาย่อมได้รับ ทั้งสุขและทุกข์ ปะปนกันไปอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกข์ที่สุดเราควรจะทำอย่างไร ปัจจุบันเราได้ยินข่าวเรื่อง การฆ่าตัวตายบ่อยมาก ในชีวิตของความเป็นหมอ ก็เจอคนที่ฆ่าตัวตายบ่อยมาก ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หมอได้พูดได้คุยกับคนเหล่านี้มากมาย คำถามที่น่ารู้ก็คือ...



บทความนี้จะไม่สนใจว่าการกระทำอย่างนั้นจะมีผลในอนาคตอย่างไร ทำลายตนเองจะบาปมากแค่ไหน ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายใช้กรรมอีก 500 ชาติจริงหรือ เพราะถ้าบอกไป ต้องใช้ความเชื่อและศรัทธาในตัวศาสนามาพูดคุยกัน แต่ต้องการจะบอกว่า การทำลายตนเอง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายนัก เสียดายโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีอีกมากที่จะตามมา และเสียดายแทนญาติมิตรที่เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบกายและใจตลอดไป
ในเรื่องความทุกข์ที่สุดนี้ ธรรมะในพระพุทธศาสนาสอนให้เราแก้เรื่องนี้ได้ทันที ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ที่เราไตร่ตรองเองได้ และด้วยประสบการณ์ในอดีตของเราทุกคน ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง เช่นด้วยเหตุผลว่าผู้สอนเป็นครูของเรา และอื่นๆ รวมสิบประการ แต่จะให้เชื่อก็ต่อเมื่อไตร่ตรองรู้ได้ด้วยตนเองจึงเชื่อ การจะไตร่ตรองให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นธรรมะที่เราตรึกตรองได้เช่นกัน

เมื่อความทุกข์ที่สุดมาถึง สิ่งที่ควรระลึกถึงมีสองสามอย่างคือ หนึ่ง อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไป เพราะมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็จางไป สอง อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เพราะจะมีทางแก้ไขเสมอ เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น สาม อย่านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อีก เพราะเมื่อทุกข์ผ่านไป เราจะยังมีความสุข สนุกสนาน ได้อย่างเดิมแน่นอน และสุดท้ายคือ ให้นึกถึงคนข้างหลัง ที่เขาจะต้องเศร้า ได้รับการกระทบกระเทือน จากการกระทำด้วยอารมณ์ของเรา เมื่อทุกข์ที่สุดมาถึงสิ่งที่เราต้องทำทันที ในขณะที่ยังตั้งตัวปรับใจไม่ทันก็คือ รีบหาทางเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อเราไปเจอคนอื่นทุกข์สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือช่วยเปลี่ยนอารมณ์เขาก่อน จากนั้นสติจึงจะตามมา

ความทุกข์ที่มากสุดจะแก้ได้เร็วและง่ายที่สุด ด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ ดึงอารมณ์ออกจากสถานการณ์นั้นก่อน อาจง่ายๆ เพียงแค่ทำอะไรที่ชอบ ฟังเพลง ดูหนัง หาของอร่อยกิน ชวนเพื่อนไปเที่ยว ชวนคุยเรื่องอื่น ลืมเรื่องทุกข์ไปชั่วคราวก่อน บางทีก็เบาบางได้เอง ที่สำคัญถ้ามีเพื่อนดี จะเบาบางไปได้มากที่สุด ที่ไม่ควรทำคือดื่มสุรา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ควรหันไปดื่มเหล้าเบียร์ เพราะการกินเหล้าก็ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีข้อเสียกว่าคือ จะยิ่งโกรธง่าย น้อยใจง่ายและโมโหง่ายกว่าเดิม และไม่มีสติยับยั้งความโกรธ หรืออารมณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ได้ ใจจะเข็มแข็งมากพอที่จะแก้ในขั้นต่อไป

ขั้นต่อไปคือพยายามตั้งใจใช้สติคิดว่าจะแก้ได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล สายไปแค่ไหนแล้วและแก้ได้หรือไม่ ทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไม่ได้ ขั้นสุดท้ายคือ ทำให้ใจของเรายอมรับสิ่งนั้นให้ ได้ ใจของเราจะยอมรับได้ คิดได้ ปลงตกได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ

ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนว่า โดยสรุปรวมในธรรมะของพระพุทธเจ้า อาจสรุปเป็นแบบหนึ่งได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ได้ดั่งใจเรา มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยเหตุและปัจจัย จึงไม่สมควรที่จะไปหลงยึดมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา สิ่งทั้งหลายไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รวยเพียงใด อำนาจล้นฟ้าขนาดไหน ต่างก็มีความทุกข์ประจำตัวประจำอยู่ทุกคนทั้งสิ้น

เมื่อคนคนหนึ่งประสพอุบัติเหตุขาขาดสองข้าง เขาจะรู้สึกอยากตายไม่อยากอยู่ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แต่ผ่านไปสักสองปี ไปดูอีกทีกำลังหัวเราะอยู่เพราะดูละคร ส่วนเรื่องขาขาดก็นั่งรถเข็นเอา และก็ชินเสียแล้ว ไม่เสียใจมากเหมือนตอนขาขาดใหม่ๆ บางคนแฟนตายไปเสียใจแทบตายตาม ผ่านไป 3 ปี มีแฟนใหม่แล้ว มีความสุขดีมากเลย ความทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยงเสมอ เช่นเดียวกับความสุข เพียงแต่ว่าตอนทุกข์ ให้ผ่านวันเวลาไปได้ ไม่ด่วนตายไปเสียก่อน เมื่อทุกข์ผ่านไป จะมีสิ่งดีๆ ตามมาได้แน่นอน

และเมื่อมองย้อนไป ความทุกข์เหล่านั้นมันก็เท่านั้นเอง เมื่อเราอ่านมาถึงตอนนี้ ก็ขอให้ลองใช้เวลานี้ นึกถึงอดีตที่มีทั้งทุกข์และสุขของเราดู อดีตนั่นแหละที่จะสอนตัวเราในความจริงแห่งธรรมะ ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ แต่สอนว่าเมื่อเราพิจารณาได้เอง ว่านี้เป็นสิ่งดีหรือไม่ดีแก่จิตใจจึงค่อยเชื่อ การจะพิจารณาได้อย่างนั้น จะต้องมีประสบการณ์ในความรู้สึก แบบนั้นในอดีตมาก่อน อดีตจึงเป็นธรรมะที่สอนใจได้เป็นอย่างดี

ทุกข์ที่สุดจะเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นที่สุด สิ่งใดที่เรารักมากยึดมากว่าเป็นตัวเราหรือของเรา สิ่งนั้นถ้าขาดหายไปจะทำให้ทุกข์ถึงที่สุด ถ้าเรารักความสวยงาม เมื่อเสียโฉมจะทุกข์ที่สุด ถ้าเรารักสามีหรือภรรยา เมื่อเขานอกใจ หรือเสียเขาไปจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักลูก ลูกหายหรือพิการหรือตายจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักยศถาบรรดาศักดิ์เมื่อสูญเสียจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักตนเอง เมื่อทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ หรือโรคที่รักษาไม่หายก็จะทุกข์ที่สุด

แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนั้นเลย ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์กับลูก ไม่มีแฟนก็ไม่มีทุกข์จากแฟน ไม่มีทรัพย์สิน ก็ไม่ทุกข์กับทรัพย์สิน หรือถ้าเรามีแต่ทำใจไว้เสมือนไม่มี หรือทำใจไว้ว่าของที่มีมันไม่เที่ยงย่อมแปรปรวนไป ก็จะทุกข์น้อยลง ยิ่งยึดมั่นได้น้อยลงเท่าไรก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเป็นสัดส่วนไป เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่ทุกข์เลย หมายความว่าไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้อีกเลย แต่ความเจ็บปวดยังมีตราบเท่าที่มีสังขารร่างกายอยู่ เพียงแต่ความทุกข์กายอันนั้น จะไม่สามารถมากินใจให้ทุกข์ใจได้เลย

ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคิดจะทำความดี เพราะธรรมชาติของเราจะหลงลืมและเพลินในสุข ซึ่งความสุขส่วนมากที่เราชอบ มักจะตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงทั้งสิ้น พระพุทธองค์เห็นข้อนี้จึงสละทุกสิ่งออกบวชแสวงหาธรรมะ แต่อย่างเราๆ มักจะไม่คิดเรื่องนี้จนกว่าจะทุกข์ เสียก่อน เราจึงพบว่าคนจำนวนมาก ได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งดีๆ แก่ตนและผู้อื่นเพราะประสพกับความทุกข์มาแล้ว ดังนั้นเมื่อมีทุกข์นั่นคือเราได้อยู่ใกล้ธรรมะแล้ว ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็มักจะมีสิ่งดีโอกาสดี และเราเองก็จะดำรงอยู่ในความดีมากขึ้น ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่โลกเช่นนี้มาตลอด


เมื่อเราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์ อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข ใช้ความดีเอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา และเราก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน



 ที่มา   http://www.dhammajak.net/dhamma/1.html
 
202  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประดุจ.....ขอนไม้ที่ลอยน้ำ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 12:39:27 pm

๐ ขอนใหญ่น้อย ลอยตาม กระแสน้ำ
ด้วยแรงกรรม ที่กระทำ แต่หนหลัง
มีสัมมาทิฏฐิ เป็นพลัง
ประคองขอน ให้ยัง ไหลลอยไป

๐ แม้พลัง มีน้อย แพ้กระแส
ขอนชะแง้ ติดฝั่งนี้ จะทำไฉน
บ้างหลุดจาก ฝั่งนี้ รี่ฝั่งใน
สู่ฝั่งใหม่ ฝั่งโน้น มิพ้นดิน

๐ บ้างหลุดจาก ฝั่งนี้โน้น โดนกระแส
ดังผู้แพ้ หมดพลัง ความหวังสิ้น
ต้องเปื่อยเน่า จมอยู่ใต้ ธารไหลริน
กลายเป็นดิน เกินจะฝืน กล้ำกลืนใจ

๐ บ้างประคอง ลอยล่องมา เจอเกาะแก่ง
ที่เป็นแหล่ง ขวางกลาง ทางน้ำไหล
ต้องเกยตื้น ขึ้นบก รันทดใจ
มิสามารถ ไหลไป ตามน้ำพลัน

๐ บ้างลอยไป หลุดเกยตื้น ฝืนขอนไว้
แต่โชคร้าย เจอผู้ใคร่ ได้ขอนนั่น
หมู่มนุษย์ ยกขึ้นบก ไปโดยพลัน
เกินจะกั้น เกินกำลัง ของจิตตน

๐ บ้างเจอสิ่ง ที่เป็น อมนุษย์
ก็ยื้อยุด มิให้ลอย พลอยสับสน
หลุดมาได้ เจอสิ่งเสียว เกลียวน้ำวน
พาขอนหล่น ดิ่งลง สู่ก้นธาร

๐ บางขอนไหล ผ่านมาได้ เกือบจะหลุด
สู่สมุทร แต่กลับจม ถมประสาน
เพราะขอนเจ้า เน่าภายใน ให้เสียการ
พระภูบาล เปรียบไว้ ให้ตรึกตรอง

๐ ภัยเจ็ดอย่าง กลางกระแส มิแลเห็น
ประหนึ่งเป็น ตัวขวาง ทางให้หมอง
ศึกษาไว้ ประคองกาย สู่ครรลอง
เพื่อทิ้งหนอง ล่องสู่มหา สมุทรไกล


ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/
203  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / รวยเงิน VS รวยธรรม เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 12:31:40 pm
ความต่าง

ยิ่งรวยเงิน ยิ่งเห็นแก่ตัว

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งเห็นแก่ผู้อื่น

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนเห็นแก่ผู้อื่นยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งโลภมากอยากรวยขึ้น

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งอยากแผ่เผื่อเจือจาน

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนโลภมากอยากรวยขึ้น

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนอยากแผ่เผื่อเจือจานยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งทำตามใจชอบ

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งทำตามถูกตามควร

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนทำตามใจชอบ

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนทำตามถูกตามควรยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งหงุดหงิดง่าย

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งมีใจใสนิ่งสงบเย็น

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนหงุดหงิดง่าย

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนมีใจใสนิ่งสงบเย็นยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งรักง่ายหน่ายเร็ว

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งพอใจในสิ่งที่ตนมี

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนพอใจในสิ่งที่ตนมียิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งหยิ่งยะโส

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนหยิ่งยะโส

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งบ้าอำนาจ

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งกระจายอำนาจ

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนบ้าอำนาจ

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนกระจายอำนาจยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งเห็นโลกบิดเบี้ยว

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งเห็นโลกตรงจริง

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนเห็นโลกบิดเบี้ยว

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนเห็นโลกตรงจริงยิ่ง


ความเหมือน

ยิ่งรวยจริง ยิ่งอิ่มใจ

ยิ่งรวยจริง ยิ่งรู้สึกมั่นคง

ยิ่งรวยจริง ยิ่งบารมีมาก

ยิ่งรวยจริง ยิ่งเสียงดัง

ยิ่งรวยจริง ยิ่งทรงกำลังกระทำกิจ

ยิ่งรวยจริง ยิ่งเนื้อหอมน่าพิสมัย

ยิ่งรวยจริง ยิ่งถูกจับตา

ยิ่งรวยจริง ยิ่งเข้าใจยาก

ยิ่งรวยจริง ยิ่งแตกต่างจากคนอื่น



แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็รักสุขเกลียดทุกข์

ไม่มีใครอยากทุกข์กายทุกข์ใจ

หากทุกข์ต้องรีบแก้ไขให้หายทุกข์

ระมัดระวังไม่ก่อเหตุให้เกิดทุกข์ซ้ำซาก



แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็ต้องหายใจ

ไม่มีใครรอดชีวิตเพียงด้วยความรวย

หายใจยาวได้เป็นก็สุขมาก

ถ้าหายใจสั้นไม่เอาไหนก็สุขน้อย



แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็ต้องตาย

หอบหิ้วไปได้แต่บุญบาป

ไม่มีใครรวยแล้วรวยเลย

จะเป็นสุขในปรโลกได้ก็เพียงด้วยบุญที่สั่งสมไว้



แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็ต้องเกิดตายไม่สิ้นสุด

จะหยุดได้ก็เพียงด้วยยอดแห่งบุญ

คือรู้วิธีเห็นโลกตามจริงจนถอนความติดใจ

หลุดพ้นขาดจากความอยากมีอยากเป็นสิ้นแล้ว


รวยเงินแค่ห่างหนี้

รวยธรรมแค่ห่างบาป

รวยความว่างจึงห่างทุกข์

คัดลอกจาก...http://www.dungtrin.com/empty3/14.htm
204  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อนิจจังความรัก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 05:19:15 pm

อนิจจังความรัก



๐ โอ้”ความรัก”หนักจิตพิศวาส ใจจะขาดเมื่อไม่ได้ดังใจหวัง

เมื่อ”รักร้าง”ห่างสิ้นถึงภินทน์พัง ”ความรักดังผีร้าย”กลับกลายเป็น!!!

“ที่ใดที่มีรักมักมีทุกข์” จะสมสุขใจแท้ไม่แลเห็น

“มีแต่สุขทุกข์เศร้าเคล้าลำเค็ญ” “สุขที่เห็นแท้คือทุกข์-เป็นสุขลวง”!!!

๐ ไม่สมสุขลุกลามเป็น”ความแค้น”!!! “รักอัดแน่น”จนระเบิดเกิดหึงหวง

หาก”สมรัก”หลงงายงมระทมทรวง เมื่อ”รักลวง””มือที่สาม”ตามราวี

“รักเป็นพิษ”ผิดหวังก็”ชังมาก” แสนลำบากทนทุกข์ไม่สุขศรี

เมื่อ”รักสิ้น”กินน้ำตาทุกนาที “รักคนมีเจ้าของ”จึงต้องตรม....

๐ “รักคนผิด”คิดจนตายไม่หายเศร้า เบื่อ”รักเก่า”มี”รักใหม่”ยังไม่สม

“รักสามเส้า”เศร้านัก”รักระทม” เจอ”รักขม”ขื่นใจกลืนไม่ลง!!

แม้”รักซึ้ง”หนึ่งเดียวที่เกี่ยวข้อง ยาก”จิตสองรวมเป็นหนึ่ง”พึงประสงค์

ยังมีกระทบกระทั่งกันไม่มั่นคง มีขึ้น-ลงไม่ราบรื่นทุกคืนวัน!!

๐ ยิ่ง”รักเพลิน”เกินไปช้ำใจยิ่ง “รักชาย-หญิง”ล้วนทุกข์ไม่สุขสันต์

“รักทรยศ-ขบถรัก”หน่วงหนักครัน “รักสะบั้น-รักอลวน”บ่นกันอึง!!

เมื่อ”เบื่อรักหนักจิต”คิดไม่ตก “รักหนักอกหนักใจ”คิดไม่ถึง

หาก”หน่ายรัก”ลมหวนครวญคนึง “รักรำพึง”โหยหา”รักลาไกล”!!

๐ “รักสุดรัก”เพียงใด”กาย-ใจห่าง” “ระยะทาง”ยั้งหยุดฉุดไม่ไหว

ยิ่ง”ไกลตา”ชาย-หญิงยิ่ง”ไกลใจ” เหมือน”เถาวัลย์พันไม้”ช้ำใจนัก!!!

“รัก-ไม่รัก”พักใจไว้กับ”พระ- รัตนตรัย”สุดดีเป็นศรีศักดิ์

“รักพระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์”ให้”จงรัก” จิตแน่นหนักกับ”องค์พุทธ”เป็นสุดงาม!!!

๐ ใคร”จะรักหรือไม่รัก”ไม่หนักจิต ชั่วชีวิตไม่กลัวยากในขวากหนาม!!

“แสงทิพย์ฯส่องเห็นผลเหตุ”ทุกเขตคาม “รักคุณงามความดี”บุญมีมา!!!

“รักพุทธะ-พระนิพพาน”ทุกกาลยุค จิตเป็นสุขเยือกเย็นเป็นนักหนา

เปิดหัวใจใสสว่างทางมรรคา ถึงเวลาขอ”กลับบ้านนิพพาน”เอยฯ.....

.....................................................
[รอยยิ้ม...ก็เช่นแสงแดดในฤดูหนาว และลมเย็นในฤดูร้อน..]
 
 
ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=4&start=315
 

205  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ภรรยา 4 คน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 06:09:42 pm
ชายคนหนึ่งมีภรรยา อยู่ 4 คน

ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจตลอดอยากได้อะไร
เขาหาให้ทุกอย่าง

ภรรยาคนที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่ง
ทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้
และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ

ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว
ภรรยาคนที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่คิดถึงเลย ด้วยซ้ำ
ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรง
และถูกจับ ต้องถูกประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหาร เขาขอร้องว่า เขาขอกลับบ้าน
เพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง
ผู้คุมเห็นใจจึงอนุญาต
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1
เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟัง
และถามภรรยา คน ที่ 1 ว่า

" ถ้าเขาต้องตายภรรยาคนที่ 1 จะทำอย่าง ไร? "

ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า
“ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน”
คำตอบที่ได้รับ
เหมือนสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่างจัง
เขารู้สึกเจ็บปวด และเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
นึกเสียดาย ว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย


จากนั้นเขาก็ ไปหา ภรรยาคนที่ 2
ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
และถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า

" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร? "

ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉย ว่า
" ถ้าเธอตาย ฉันจะมีใหม่ "
เหมือนสายฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขา อย่างจัง
เขารู้สึกเสียใจมาก และนึกเสียดายว่าที่ผ่านมา
เขาไม่ควร ทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน

เขาเดินคอตกมาหาภรรยาคนที่ 3
เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
และถาม ภรรยา คนที่ 3 ว่า

"ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 3 จะทำอย่างไร? "

ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า
"ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง "
ทำให้เขาคลายความ เศร้าโศกขึ้นมาได้บ้าง
อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา

ก่อนกลับไปรับโทษ
เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคน ซึ่งไม่เคยไปหาเลย จึงไปหา ภรรยาคนที่ 4 และถามว่า


" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่าง ไร?"

ภรรยาคนที่ 4 ตอบว่า
" ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย "
แทนที่เขาจะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก
เพราะ...มัน สายเกินไปเสียแล้ว ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่
เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคนนี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ด้วย
แล้วชายคนนี้ก็กลับไปรับโทษประหาร
และเมื่อเขาตาย ภรรยาคนที่ 4 ก็ตายตามไป ด้วย.....


เราทุกคนก็ มีภรรยา 4 คน นี้

มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร? คิดกันก่อนนะ แล้วค่อยเฉลย...

ทีนี้เรามาดูกันว่า
ภรรยาคน ที่ 1, 2, 3 และ 4
เป็นใครกันบ้าง

ภรรยาคน ที่ 1

ร่างกายของเรา เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่
เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่งทุกอย่าง
อยากได้อะไรก็หาให้
แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา
เมื่อเราตาย ร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้
ท่อนหนึ่งเท่านั้น

ภรรยาคน ที่ 2

ทรัพย์สมบัติ เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่
เราจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มันมา
แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา
แต่ไปเป็นของคนอื่น

ภรรยาคนที่ 3

พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่น้อง เพราะพอเราตาย
เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไปให้
แปลว่า เขาแค่ไปส่งเราเท่านั้น

ภรรยาคนที่ 4

บุญกับบาป เมื่อเราตายไป
เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้
มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้น
ที่จะตามเราไป .....


เห็นไหมว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิต
แต่เดี๋ยวก่อนอย่าพึ่งคิดว่าเงินไม่สำคัญ
สำคัญ … แต่
ไม่สำคัญที่สุดเท่านั้นเอง
อย่าลืม…ยังมีเรื่องอื่น
ที่สำคัญกว่าเงินอีกเยอะ

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................
 
ที่มา  http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=25793
 

206  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 04:57:13 pm

หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิต..
หลายคนคงผ่านบทเรียนแห่งชีวิตมานับไม่ถ้วน..
ทั้งบทเรียนแห่งความผิดหวัง..
บทเรียนแห่งความท้อแท้..แพ้ชีวิต..
บทเรียนแห่งความสำเร็จ..

ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนใด ๆ ก็ตาม..
เมื่อเราเกิดความผิดหวัง...ท้อแท้..ในชีวิต..
เราต้องพยายามปรับใจ..วางใจให้ถูก..
ด้วยวิธีการคิดที่จะปรับเปลี่ยน..ชีวิตของเรา..
ให้มีกำลังใจ..สู้ต่อไป..


๔ วิธีคิดที่จะสร้างพลังใจให้สู้ คือ..
วิธีที่ ๑ คิดแบบตรงกันข้ามกับความรู้สึกในขณะนั้น เช่น
>>>…ถ้าทุกข์ ก็คิดสร้างสุข
>>>…ถ้ายากก็คิดแบบง่าย...
>>>…ถ้าเกิดปัญหา ก็คิดแก้ปัญหา..

วิธีที่ ๒ คิดแบบสร้างกำลังใจ เช่น
>>>…ปลุกปลอบใจตนเอง...ทุกครั้งที่เกิดความท้อแท้..ผิดหวัง
>>>…บอกตนเองเสมอว่า..เราต้องทำได้..เราต้องทำได้อย่างแน่นอน..
>>>…เราต้องทำได้แน่นอนที่สุด..ไม่มีคำว่า..ทำไม่ได้..
>>>…ท่องไว้ในใจว่า..ไม่มี ไม่เป็น ไม่เหนื่อย...
>>>….ไม่ทุกข์ ไม่ท้อ ไม่หนี ไม่มีปัญหา...

วิธีที่ ๓ คิดแบบมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว..
>>>…หากยังไม่ประสบความสำเร็จ..
>>>…ก็จะไม่เลิก ลด ละ ความเพียรพยายาม..
>>>…จงสู้ต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..
>>>…แม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจก็ตาม..

วิธีที่ ๔ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก..
>>>…มองปัญหาออก..แก้ปัญหาเป็น..
>>>…คิดการใหญ่...ใช้คนเป็น..รู้เห็นตามความถูกต้อง..
>>>…มุ่งปรองดอง...รักษาน้ำใจ..สร้างมิตรภาพ..
>>>…อย่าลืมว่า.. “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ...
>>>…ต้องคิดดี..ทำดี..พูดดี..ทุกที่ทุกเวลา...

ดังนั้น..
ถ้าท้อแท้..หมดหวังในชีวิต..
จงพยายามคิดให้ใจสู้...
อย่าเชื่อว่า...เราทำไม่ได้..ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ..
อย่าท้อแท้..ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม..
อย่าสิ้นหวัง...ตราบใดที่เรายังมีกำลังใจ..
อย่าแพ้ชีวิต...ตราบใดที่ใจของเรายังมีหวัง..
จงอย่าทำลายความหวัง...เพียงเพราะ....
การดูหมิ่นตนเองว่า... “ทำไม่ได้”...


................................................
บทความโดย..ชายน้อย...
ธรรมะไทย http://www.dhammathai.org

207  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ค ว า ม ผู ก พ ัน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 04:50:10 pm

ค ว า ม ผู ก พ ัน
โดย รศ.พญ.จิรพรรณ มัธยมจันทร์
***************

ความผูกพัน หมายถึง การเกาะเกี่ยวกันทางใจด้วยความรักหรือความโกรธเกลียด หรือความหลง ทำให้ปล่อยวางหรือลืมเรืองนั้นเสียไม่ได้ สิ่งนั้นก็จะเกาะติดอยู่ในใจติดตามตัวไปทุกแห่งทุกหน ทำให้หาความผาสุก ความเป็นอิสระไม่ได้ เหมือนขาที่ถูกคล้องไว้ด้วยโซ่ตรวน ย่อมจะหนักและเดินลำบาก การมีความผูกพันกับสิ่งใด คนใด เรื่องใด ก็ไม่ต่างกับการมีโซ่ตรวนล่ามขาอยู่ฉะนั้น การผูกพันกันด้วยความรัก ใช่ว่าจะทำให้เกิดความสุขเสมอไป เมือมีความรักก็ย่อมมีความห่วงใยเป็นธรรมดา อยากให้คนที่ตนรักเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความอยากของคนเราใช่ว่าจะได้ดังที่อยากเสมอไปก็หาไม่ บางครั้งก็ไม่สมอยาก พระพุทธองค์จึงได้ทรงตรัสสอนว่า "ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง แปลว่า ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์" ผูกพันด้วยความโกรธ ความเกลียด โดยไม่ละ ไม่วาง ยังผูกใจเจ็บแค้นกันอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือน เอาโซ่ตรวนล่ามกันไว้เช่นกัน การที่จะอธิษฐานจิตว่า "เกิดชาติใดขออย่าให้ได้พบได้เจอคนอย่างนี้อีกเลย" ก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะใจเราผูกพันกับเขาด้วยความโกรธ ความเกลียด ความชิงชังอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยแกะโซ่ตรวนที่ล่ามติดกับเขาไว้ แล้วจะพ้นจากคนที่เราไม่ชอบได้อย่างไร ตราบใดที่ยังไม่แกะโซ่ตรวนออกก็ต้องตามผจญกรรมกันไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะอธิษฐานอย่างไร ถ้าไม่ชอบใคร ไม่อยากเจอใคร ต้องทำใจไม่ให้นึกถึงคนนั้น เรื่องเกี่ยวกับคนนั้น หรือถ้านึกถึงก็ให้น้อยที่สุด ยิ่งอโหสิกรรมหรือให้อภัยกันเสีย ก็จะมีโอกาสหนีพ้นจากกัน เปรียบเหมือนแกะโซ่ตรวนออกแล้ว ก็ย่อมเป็นอิสระ ไม่ต้องไปเผชิญเวรเผชิญกรรมกันอีกทุกภพทุกชาติ ยิ่งทำดี มีเมตตากรุณากับผู้ที่เราไม่ชอบ ผลแห่กรรมดีที่เรากระทำยิ่งสูงกว่าคนที่เราไม่ชอบเท่าใด ภพ ภูมิก็จะต่างกันเท่านั้น ยิ่งเกลียด ยิ่งไม่อยากเห็นหน้ากัน ก็อย่าฝังใจอยู่ทุกวี่วัน ยิ่งจะดึงเขาเข้ามาหาเรามากขึ้นเท่านั้น จึงต้องตามผจญกันไปทุกชาติ อยากให้พ้นจากใคร ก็จงให้อภัยทาน จะได้หมดเวรหมดกรรมกัน

การผูกพันด้วยความหลง เป็นเรื่องหนักกว่าเพื่อน เพราะผู้ที่มีความหลงก็คือ เห็นสิ่งที่ผิดเป็นถูก เห็นสิ่งที่ไม่งามเป็นสิ่งที่งาม ฯลฯ ที่โบราณเรียกว่า "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" คือเห็นสิ่งที่เป็นอันตราย (กงจักรเป็นอาวุธที่อันตราย) ว่าเป็นของที่น่ารัก น่าบูชา แม้ใครจะบอก ใครจะเตือน ก็ไม่สามารถจะเอาชนะความงมงายหรือความหลงได้ ผู้ที่มีความผูกพันด้วยความหลง จึงจัดเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด จะอยู่ในสภาพที่เรียกว่า "มดไต่ขอบกระด้ง" หาทางออกไม่ได้ ก็วนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่รู้จบ ชีวิตที่มีความผูกพันกับสิ่งใดมากเกินไป ไม่เคยให้ความสุขแก่ผู้ใดเลย รักมากก็ห่วงมาก กลุ้มมาก เกลียดมากก็ร้อนใจมาก จะเห็นว่าล้วนเป็นบ่อเกิดแหงทุกข์ทั้งสิ้น

การเดินสายกลาง อย่าไปผูกพันยึดติดกับสิ่งใด และรู้จักปล่อยวาง จะเป็นหนทางดับทุกข์ได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเราเลี้ยงสุนัข เรารักเขามาก ผูกพันกับเขาเหลือเกิน แต่อายุขัยของสุนัขน้อยกว่าคนมาก จึงมักตายก่อน เจ้าของผู้มีความผูกพันกับสุนัขตัวนั้น ก็จะเศร้าสร้อยไปพักหนึ่งทีเดียว ความรักความปรานีเราจะให้แก่ใครก็ได้ และเป็นสิ่งที่ควรให้ แต่การผูกพัน การยึดติดนั้นเป็นเรื่องอันตราย เป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่อยากมีทุกข์ ก็อย่ายึดติด หรือผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด รู้จักปล่อยวาง รู้จักหาอิสรภาพให้แก่ตนเอง จะเป็นสุขในที่สุด...

***

  ที่มา  http://www.dhammajak.net/dhamma/66.html
208  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จงแยกแยะความรัก เพื่อไม่ให้เกิดทุกข์ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 01:47:55 pm

ชื่นชอบ ความชื่นชอบมีลักษณะดังนี้ พอใจในสิ่งนั้น อยากได้ อยากเป็นเจ้าของในสิ่งนั้น มีความชื่นชมยินดีที่ได้ครอบครองสิ่งนั้น ไม่พอใจที่ผู้อื่นครอบครองหรือสิ่งนั้นไม่อยู่ หายไป จากไป หรือผู้ใดครอบครองให้เห็น ได้รับรู้ จนอยากจะกลายเป็นความโกรธ ที่นี้ถ้าหลงแก่การชื่นชอบหรือได้ครอบครอง เมือสิ่งนั้นต้องจากไป ก็จะกลายเป็นความพยาบาท หาหนทางเพื่อให้ได้มาซึ่งการครอบครอง แต่ถ้าไม่ได้ก็จะกลายเป็นการทำลาย

ความรัก มักมีลักษณ์ที่ชื่นชมยินดี เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ทะนุถนอมสิ่งนั้น มีความพอใจเมื่อมีผู้อื่นชื่นชมสิ่งเหล่านั้น และยิ่งรู้สึกว่าสิ่งนั้นมีค่ายิ่งขึ้น มีความอยากหรือความพยามยามให้สิ่งมีค่ามากขึ้น มีความสุข ความเจริญ และอาจจะเสียดายหากสิ่งนั้นถูกครอบครองโดยผู้อื่นแต่จะทำใจได้หากเห็นว่าผู้ครอบครองทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้นสุขขึ้น มีค่ามากขึ้น พูดง่ายๆคือดีขึ้นกว่าอยู่ที่เรา พอใจ ยินดีกับความเจริญงอกงาม เช่นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อบุตร

ความหลง อันนี้ เป็นความขาดสติ มุ่งมั่น ดุดัน มุทะลุ ความเป็นตัวตน ยืดมั่นถือมั่น เห็นแก่ตัว ขาดการพิจารณา ขาดการยับหยั่ง มีแต่ความต้องการเพื่อตนเอง

เมื่อความหลง ไปรวมกับความชื่นชอบ ไปรวมกับความรัก ก็จะเป็นอันตราย ความสูญเสียความน่ากลัวอีกมากมาย ฉะนั้น รักได้แต่อย่าหลง ชอบแต่อย่าเห็นแก่ตัว


ที่มา www.teenee.com
209  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / กรรม ชำระล้างได้อย่างไร ? เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 12:48:00 pm

"พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)"



๓) กรรม ชำระล้างได้อย่างไร ? หน้า ๑๔๓-๑๔๖


มีพุทธพจน์ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า “บุรุษนี้ทำกรรมไว้อย่างไร ๆ เขาย่อมได้เสวยกรรมนั้นอย่างนั้น ๆ”
เมื่อเป็นอย่างที่กล่าวนี้ การครองชีวิตประเสริฐ(พรหมจรรย์) ก็มีไม่ได้ (คือไม่มีประโยชน์อะไร) เป็นอันมองไม่เห็นช่องทางที่จะทำความสิ้นทุกข์ให้สำเร็จได้เลย”

“แต่ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า “บุรุษนี้ทำกรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งเวทนาอย่างไร ๆ เขาย่อมได้เสวยวิบากของกรรมนั้นอย่างนั้น ๆ” เมื่อเป็นอย่างที่กล่าวนี้ การครองชีวิตประเสริฐ(พรหมจรรย์) จึงมีได้ (คือสำเร็จประโยชน์) เป็นอันเห็นช่องทางที่จะทำความสิ้นทุกข์ให้สำเร็จได้

“ภิกษุทั้งหลาย สำหรับบางคน กรรมชั่วที่ทำไว้เพียงเล็กน้อย ก็นำเขาไปนรกได้
แต่สำหรับบางคนกรรมชั่วที่ทำไว้เล็กน้อยอย่างเดียวนั่นแหละ ให้ผลแค่ในปัจจุบัน ทั้งส่วนที่เล็กน้อยก็ไม่ปรากฏด้วย ปรากฏแต่ที่มาก ๆ เท่านั้น”

“คนประเภทไหน กรรมชั่วที่ทำไว้เพียงเล็กน้อย ก็นำเขาไปนรกได้? คือ คนบางคนเป็นผู้ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต ไม่ได้อบรมปัญญา มีคุณน้อย มีอัตภาพเล็ก มีปรกติอยู่เป็นทุกข์เพราะวิบากเล็ก ๆ น้อย ๆ บุคคลประเภทนี้ กรรมชั่วที่ทำไว้เพียงเล็กน้อย ก็นำเขาไปนรกได้ (เหมือนใส่ก้อนเกลือในขันน้ำน้อย)”

“คนประเภทไหน กรรมชั่วที่ทำไว้เล็กน้อยอย่างเดียวกันนั่นแหละ ให้ผลแค่ในปัจจุบัน ทั้งส่วนที่เล็กน้อยก็ไม่ปรากฏด้วย ปรากฏแค่ที่มาก ๆ เท่านั้น? คือ คนบางคนเป็นผู้ได้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญามีคุณไม่น้อย เป็นมหาตมะ มีธรรมเครื่องอยู่หาประมาณมิได้สำหรับบุคคลประเภทนี้ กรรมชั่วที่ทำไว้เล็กน้อยเช่นเดียวกันนั้นแหละ ให้ผลแค่ในปัจจุบัน ทั้งส่วนที่เล็กน้อยก็ไม่ปราฏด้วย ปรากฏแต่ที่มาก ๆ เท่านั้น (เหมือนใส่ก้อนเกลือในแม่น้ำ)

“ดูกรนายคามณี ศาสดาบางท่าน มีวาทะ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า.....
ผู้ที่ฆ่าสัตว์ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด
ผู้ที่ลักทรัพย์ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด
ผู้ประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด
ผู้ที่พูดเท็จต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมดสาวกที่เสื่อมใสในศาสดานั้น คิดว่า “ศาสดาของเรามีวาทะ มีทิฏฐิว่า ผู้ที่ฆ่าสัตว์ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด” เขาจึงได้ทิฏฐิขึ้นมาว่า “สัตว์ที่เราฆ่าไปแล้วก็มี เราก็ต้องไปอบาย ตกนรกด้วย เขาไม่ละวาจานั้นไม่สละทิฏฐินั้นเสีย ก็ย่อมอยู่ในนรกเหมือนถูกจับมาใส่ไว้...”

“ส่วนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติในโลก….พระองค์ทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต...อทินนาทาน...กาเมสุมิจฉาจาร...มุสาวาท โดยเอนกปริยาย และตรัสว่า

“ท่านทั้งหลายจงงดเว้นเสียเถิดจากปาณาติบาต... อทินนาทาน...กาเมสุมิจฉาจาร...มุสาวาท” สาวกมีความเสื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า “พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต ฯลฯ โดยอเนกปริยายและตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงงดเว้นเสียเถิดจากปาณาติบาต ฯลฯ “ก็สัตว์ที่เราฆ่าเสียแล้วมีมากถึงขนาดนั้น ๆ การที่เราฆ่าสัตว์ไปเสียมาก ๆ ถึงขนาดนั้น ๆ ไม่ดี ไม่งามเลย เราจะกลายเป็นผู้เดือนร้อนใจเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัยแท้และเราก็จักไม่ชื่อว่าไม่ได้กระทำกรรมชั่ว” เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว จึงละปาณาติบาตนั้นเสีย และเป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วยเป็นอันว่า เขาละกรรมชั่วนั้นได้ด้วยการกระทำอย่างนี้.......”

“เขาละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ ละมุสาวาท...ปิสุณาวาจา... ผรุสวาจา.... สัมผัปปลาปะ...อภิชฌา....พยาบาท....มิจฉาทิฏฐิ แล้วเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิเขาผู้เป็นอริยสาวก มีใจปราศจากอภิชฌา(ความละโมบ) ปราศจากพยาบาท(ความคิดเบียดเบียน) ไม่ลุ่มหลง มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น อยู่ด้วยใจที่ประกอบด้วยเมตตาปกแผ่ไปทิศ ๑... ทิศ ๒... ทิศ ๓....ทิศ ๔ ครบถ้วน ทั้งสูง ต่ำ กว้างขวาง ทั่วทั้งโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตา อันไพบูลย์ ยิ่งใหญ่ ไม่มีประมาณไร้เวร ไร้พยาบาท ฯลฯ เมื่อเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ ทำให้มากอย่างนี้ กรรมใดที่ทำไว้พอประมาณ กรรมนั้นจักไม่เหลือ จะไม่คงอยู่ในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น.....

พุทธพจน์ในข้อ ๓ นี้ นำมาแสดงไว้เพื่อประกอบการพิจารณาในเรื่องการให้ผลของกรรม ให้มีการศึกษาโดยละเอียด เป็นการป้องกันไม่ให้ลงความเห็นตัดสินความหมายและเนื้อหาของหลักกรรมง่ายเกินไป แต่ก็ยังเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถนำมารวมไว้ได้ทั้งหมด เพราะจะกินเนื้อที่มากเกินไป

ที่มา www.teenee.com
210  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อสุรกายในเมืองมนุษย์ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 12:40:20 pm

อสุรกายในเมืองมนุษย์
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓


มนุษย์เราเกิดมาในโลกนี้มีอิสระ ทั้งการสร้างกรรมดีและกรรมชั่วอย่าคิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์เป็นประจำตลอดไป ไม่รู้แก่ไม่รู้เจ็บไม่รู้ตาย อย่าคิดว่ากรรมนั้นไม่มีจริง หรือไม่สามารถจะติดตามมาสนองเราเมื่อปลายมือ
ดังจะนำตัวอย่างชีวิตเกิดขึ้นสมัยก่อนของผู้หญิงผู้หนึ่งต้องชดใช้หนี้กรรมนอนทนทุกข์ทรมาน หญิงผู้นี้ไม่มีอาหารตกท้องเป็นเวลาประมาณ ๖ เดือนแล้วไม่รู้ว่าชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร เมื่อก่อนที่หญิงผู้นี้จะล้มหมอนนอนเสื่อ รูปร่างอ้วนเจ้าเนื้อ แต่อยู่ๆ ก็เป็นโรคอยากกินอะไรอยากกินจนใจจะขาด แต่ก็กินไม่ได้ ของดีๆ ก็กลืนไม่เข้า กลืนไม่ลงคอมันตีบน้ำก็หยอดไม่ลง หญิงผู้นี้ได้เริ่มป่วย ญาติพี่น้องก็รีบหาหมอที่มีชื่อมารักษาแต่หมอก็ไม่สามารถจะชี้ให้แจ้งชัดลงไปได้ว่าเป็นโรคอะไรเพราะไม่พบสาเหตุของโรค

หมอตรวจดูทุกส่วนทางร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ปกติ ผิดแต่อยากกินอาหารแต่กินไม่ได้ เมื่อไม่มีอาหารตกถึงท้องแม้หมอพยายามรักษาก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ ระยะป่วยร่างกายก็ยุบลง รูปร่างที่เคยอ้วนใหญ่เจ้าเนื้อสมบูรณ์ก็ค่อยๆ ผอมลง เพราะอาหารไม่ได้ตกถึงท้องเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายน้ำหนักตัวก็ลดลง ในระยะ ๖ เดือน รูปร่างก็เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มันทรมานชีวิตหญิงผู้นี้อย่างสาหัส บางคนก็บอกว่าเป็นโรคประสาท ผู้รู้เรื่องดีก็ว่าโรคบาปกรรม รักษายาก ถ้าปัจจุบันนี้หมอคงให้อาหารทางร่างกาย คงจะต้องทรมานอีกนาน

ท่านผู้ให้เรื่องเรื่องนี้กับข้าพเจ้า ท่านอาจารย์คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต ท่านเป็นผู้รู้เรื่องนี้ดีนับแต่เริ่มต้นจนอวสานแม้จะเป็นเรื่องเก่าแต่ก็มีสิ่งน่าคิดท่านได้กรุณาเล่าว่า หญิงผู้นี้สมัยก่อนยากจน เป็นแม่ครัวอยู่กับหญิงสูงอายุ มั่งคั่งเละสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง เป็นผู้ใจบุญ มีความศรัทธาสร้างกุศลได้ใส่บาตรพระสงฆ์ทุกเช้าจำนวนร้อยรูป และได้มอบเงินให้แม่ครัวจับจ่ายอาหารมาทำกำชับว่าต้องการอาหารชั้นดีมาใส่บาตรเช้าถูกแพงเท่าไหรเท่ากันหวังจะให้พระได้ฉันอาหารดีๆ ทุกวัน ค่อยเปลี่ยนอย่าให้ซ้ำพระท่านจะเบื่อ ไม่สนใจเรื่องเงินทองค่าใช้จ่าย แม่ครัวก็ตกปากรับคำ ว่าจะจัดอาหารดีจะไม่ซ้ำให้พระท่านเบื่อ ที่สุดนายจ้างก็ไว้เนื้อเชื่อใจ แม่ครัวจะเบิกเงินค่าอาหารใส่บาตรวันละเท่าไหร่ก็มอบให้ไปไม่เคยทักท้วง แรกๆ แม่ครัวก็จัดการเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ยักยอกเบียดบังค่าอาหารใส่บาตรพระบ้างแต่ก็ไม่มากนัก

ต่อมาเมื่อชินนานเข้าก็ได้ใจเท่าที่ยักยอกไว้ได้ยังน้อยไป ก็นึกว่าของอยู่ในห่อไม่มีใครรู้เราจะทำอะไรก็ได้ จิตใจอกุศลก็เพิ่มขึ้น เริ่มทำอาหารถูกๆ แล้วก็เบิกเงินนายจ้างว่าอาหารดีราคาแพงๆ มาใส่บาตร นายจ้างพาซื่อคิดว่าตัวเป็นคนซื่อใจบุญคนอื่นก็คงจะเหมือนตนก็หลงไว้วางโจก็มอบเงินทองค่าอาหารให้ตามคำเรียกร้องและสิ่งอื่นๆ เวลาผ่านไปเป็นปีๆ จนหญิงผู้นี้ยักยอกเงินทองจนเกิดมังคั่งขื้นมา มีที่ดินปลูกบ้าน ลูกหลานมีเพชรมีทองใส่ร่ำรวย เพราะส่วนมากก็เบียดบังค่าอาหารใส่บาตรทุกเช้าประจำสิ่งที่ใส่บาตรห่อเรียบร้อยเช้าๆ ทุกวันก็คือถั่วงอกผัดน้ำมันราคาถูกๆ จะมีสามสี่ห่อที่ไว้แก้หน้าเมื่อนายจ้างสงสัย ทำให้เหลือไว้ให้นายจ้างดูได้รู้ได้เห็นว่าอาหารชั้นดีราคาแพงเพื่อให้ถูกอกถูกใจ แม้คนในบ้านจะรู้ก็ไม่กล้าว่ากล่าวฟ้องร้องนายแต่อย่างใด

นี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้หญิงแม่ครัวมั่งคั่งขึ้น แต่บัดนี้กำลังได้รับทุกข์ทรมาน ไม่รู้เมื่อใดจะสิ้นสุดลงในโลกมนุษย์และทั้งต้องไปรับใช้หนี้กรรมความโลภอีกภพหนึ่ง จนกว่าจะสิ้นกรรม โรคบาปกรรมในปัจจุบันก็คืออยากกินแต่ก็กินไม่ได้ บางครั้งอยากกินเหลือเกินจนร้องไห้แต่เหมือนเป็นโรคคอตันแม้แต่น้ำก็หยอดไม่ลง คิดว่าอาหารใส่บาตรเช้าๆ ที่พระมารับบาตรประจำวันก็มีถั่วงอกผัดน้ำมันและจากนั้นก็น้ำเปล่าผัดถั่วงอก ความจริงก็อย่างเดียวกันเป็นประจำวัน พระท่านจะชอบหรือไม่ชอบเมื่อเขาศรัทธาก็ต้องรับไว้ฉันทั้งผัดเอาไว้มากๆ ค้างคืนค้างวันจนถั่วงอกบูดเสียก็ยังใส่บาตรและไม่สนใจว่าพระจะฉันได้หรือไม่
พระที่ท่านบรรลุธรรมชั้นสูงแล้วท่านก็ไม่สนใจในอาหารเพราะท่านฉันไม่ได้ติดรสอาหาร ท่านฉันเพื่อให้สังขารอยู่เท่านั้น หรือเรียกว่าท่านกินเพื่ออยู่ แต่พระที่ท่านยังปลงไม่ได้ ที่ท่านยังมีความรู้สึกในรสอาหาร เพราะท่านอยู่เพื่อฉัน ยังมีกิเลสท่านก็คงฉันอาหารบูดไม่ลงและฉันทุกวันก็เหม็นเบื่อ นี่แหละกรรมที่ได้เบียดบังยักยอกเงินที่มีอำนาจจิตศรัทธาเพื่อสร้างกุศลทำของดีๆ ถวายพระกลับเป็นของเลวๆ ผิดความเจตนาของผู้ศรัทธาตั้งใจจริงก็นับว่าบาปหนัก ฉะนั้น ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าเพียงชาตินี้กรรมก็ตามสนองเห็นทันตาแล้ว อาจารย์หญิงท่านบอกว่ายังไม่ทันตายก็เป็นอสุรกาย หรือเปรตในร่างมนุษย์ พระอรหันต์โปรดไม่ถึงแม้แต่อยากน้ำก็ดื่มไม่ได้เพราะกรรมชั่วที่ตัวได้สร้างไว้ตามสนอง


    เมื่อข้าพเจ้าได้รับเรื่องนี้จากท่านอาจารย์ คุณหญิงที่เคารพนับถือแล้วมาพิจารณาดูก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตแต่ละบุคคลไม่ว่าชายหญิงเมื่อสร้างกรรมไว้แล้ว หากมีผู้รู้เห็นใกล้ชิดตลอดมาในชีวประวัติแล้ว จะเห็นได้ว่ากรรมใดผู้นั้นสร้างไว้ก็จะติดตามมาสนอง เมื่อใกล้จะจากโลกนี้ไปต้องทนทุกข์ทรมาน เมื่อรู้ตัวว่าผิดบางครั้งก็สายเกินไป บางครั้งก็ยังมีเวลากลับใจหญิงผู้นี้กำลังรับกรรม และแม้จะมั่งมีเงินทองเพียงใด ก็ไม่สามารถจะหาผู้ที่รักษาโรคบาปกรรมให้หายได้

เงินทองที่ได้มาโดยไม่สุจริตเบียดเบียนหรือเบียดบังทางทุจริตจิตโลภทำให้พระสงฆ์ได้รับความเดือดร้อน เป็นต้นเหตุ แห่งกรรมตามสนอง เมื่อตัวจะตายแม้จะมีทรัพย์สินมากมายเพียงใดก็ขนเอาไปไม่ได้ ซ้ำกลับเป็นโทษหากมีนรกก็ต้องไปเสวยทุกข์อยู่ในขุมนรกเป็นเปรตอสุรกายต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัส อยากกินอะไรก็กินไม่ได้ เพราะกรรมชั่วตามที่ตนได้สร้างไว้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์กว่าจะสิ้นสุดกรรม


ฉะนั้น ผู้มีปัญญามีสติจึงไม่คิดประมาท ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ออกนอกขอบเขตของวงศีลธรรมถือศีลปฎิบัติธรรมไม่ใช้เวลาชีวิตปัจจุบันอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปในทางผิดคิดมิชอบ อย่าอยู่นอกเขตของวงศีลธรรมจะทำให้จิตใจห่อหุ้มไปด้วยกิเลสตัณหา มัวเมา มืดมน แสงสว่างของธรรมไม่สามารถส่องเข้าไปถึง ชีวิตจิตใจก็มีแต่ความเศร้าหมองหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา กรรมตามสนองย่อมทำลายอนาคตตนเอง ทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลและเป็นตัวอย่างชั่วให้อนุชนรุ่นหลัง ทำลาย ความดีงามของชาติและศาสนา ดังตัวอย่างของหญิงผู้เป็นโรคบาปกรรม ที่มองเห็นไดัชัดเจนอย่างเงาบนกระจก

ฉะนั้น หากท่านได้พิจารณามิใช่อ่านแล้วผ่านไป คิดว่าไม่เป็นเรื่องไร้สาระก็คงจะได้ประโยชน์ทางใจบ้าง ระยะ ๖ เดือน ก่อนจะตายอยากกินอาหารอยากดื่มน้ำแต่ตนเองได้กลายเป็นเปรตอสุรกายไปแล้ว อย่างโบราณบอกว่าปากเท่ารูเข็ม พอจิตดับก็ดึงไปสู่นรก คงจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วกัลป์กว่าจะสิ้นสุด



....................... เอวัง .......................

 ที่มา  http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=251
211  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คุณใช้ชีวิตของคุณได้คุ้มหรือยัง เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 06:43:09 pm

ถ้าคุณใช้เวลานอน ๖ ชั่วโมงต่อวัน ก็แปลว่าคุณมีเวลาใช้ชีวิตได้ทั้งหมดหนึ่งในสี่ 
สมมุติว่าอายุขัยของคุณคือ ๘๐  คุณก็มีเวลาทำอะไรเท่าที่หนึ่งสมองสองมือจะทำได้ เพียง ๖๐ ปีเท่านั้น ไม่ใช่ว่ามีอายุ ๘๐ ก็ได้ใช้ชีวิต ๘๐

ยังครับ... ไม่ใช่แค่นั้น

ถ้าแต่ละวันคุณเอาแต่เฝ้าเสียดายอดีตสัก ๑ ชั่วโมง  แล้วใช้เวลาอีกร่วม ๕ ชั่วโมงในการฟุ้งซ่านถึงอนาคต รวมทั้งหมด ๖ ชั่วโมงที่หายไปในแต่ละวัน ก็แปลว่า "เวลาจริงๆ" ที่คุณมีโอกาส "ใช้ชีวิต" นั้น เหลือแค่ ๓๐ ปี บวกลบกว่านั้นไม่มาก

ถ้านึกว่าตัวเลขนี้เกินจริง ก็ลองเฝ้าสังเกตกันเอาเอง  ตอนปล่อยใจให้เหม่อลอยตามสบายเป็นพักๆนั้น เมื่อรวมกันแล้วมันได้เป็นจำนวนชั่วโมงสักเท่าไหร่

คุณอาจคิดว่าไม่เห็นจะเสียดาย ได้ใช้ชีวิตสบายๆเรื่อยเปื่อยก็พอแล้ว ซึ่งตอนยังมีโอกาสคิดสบายๆ เรื่อยเปื่อยก็น่าจะอย่างนั้น แต่พอถึงเวลาโดน "เช็คบิลตอนจบ" เรื่องไม่น่าเสียดายก็อาจกลับตาลปัตรกันได้มากทีเดียว

นโยบายที่เหมาะสำหรับการ "เริ่มต้นใช้ชีวิตให้คุ้ม" ควรนับจากการตัดสินใจบางอย่าง เช่น  ไม่มัวสมมุติว่าย้อนเวลาได้จะแก้อะไรดี  แต่สมมุติว่าถ้าสำนึกได้เดี๋ยวนี้ มีความคิดไหนให้เปลี่ยนบ้าง!

อีกอย่าง คือการตัดสินใจจะไม่กังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้  แต่ขยันทำทุกอย่างในวันนี้เพื่อให้สบายใจ ว่าได้ทำรากของวันพรุ่งนี้ไว้ดีที่สุดแล้ว

เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะเอาแต่วันนี้ เมื่อวานไม่เอา พรุ่งนี้ไม่เอา ก็จะพบว่าการหลงใช้ชีวิตแบบ "สมมุติว่า" จะหายไป เหลือแต่การมีสติใช้ชีวิตแบบ "กำลังมีอะไรต้องทำ" ทันที
บางคนก็ติดอยู่ในอดีตและอนาคตเพียงเพราะโดนบั่นทอนกำลังใจ ประมาณตอกย้ำให้คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ทำไม่ได้หรอก ไม่ต้องพยายามหรอก ก็ขอให้เข้าใจว่าเสียงใครบั่นทอนกำลังใจเราก็ไม่เท่าเสียงในหัวบั่นทอนกำลังใจตัวเอง

การทวนกระแสหรือการขึ้นที่สูงต้องมีแรงต้านเป็นธรรมดา ถ้าไม่ภายนอกก็ภายใน จงมองว่าแรงเสียดทาน ต่อต้านไม่ให้เราทวนกระแสนั้น ชนะได้ก็เข้มแข็งมาก ตรงข้าม หากขาดแรงต้านเสียบ้างเลย เราก็คงไม่รู้จักรสชาติของความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้เป็นแน่

ถ้าจะใช้ชีวิตให้คุ้ม ต้องทุ่มเทกับการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ "ใช้ชีวิตซ้ำอยู่ในหัว" และไม่ใช่ "ใช้ชีวิตล่วงหน้าอยู่ในฝัน" แล้วไปพบที่จุดจบว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้จับต้องได้จริงสักกี่เดือนกี่ปี
 
 
 


ขอขอบคุณ www.teenee.com
212  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สำหรับคนที่หากินบนผ้าเหลืองจะได้รับผลกรรมอย่างไรค่ะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 10:42:22 am
เท่าที่เห็นข่าวในปัจจุบันที่เกี่ยวกับพระ เห็นแล้วเศร้าใจเหลือเกิน ทำไมคนเราถึงจิตใจตกต่ำได้ขนาดนั้น ก็เลยอยากจะถามว่า คนที่ใช้ผ้าเหลืองหากินเมื่อตายไปจะได้รับผลกรรมอย่างไรบ้างค่ะ
213  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คำอธิษฐานที่ได้รับรางวัลที่ ๑ เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 05:56:48 pm
คณะกรรมการของสมาคมพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง ได้ตรวจข้อเขียนของผู้ส่งคำอธิษฐานเข้าประกวดอย่างเคร่งเครียด และมีมติเป็นเอกฉันท์ตัดสินให้คำอธิษฐานของ คุณชีพ ปุญญานุภาพ ได้รับรางวัลที่ ๑ เนื่องจากเป็นคำอธิษฐานเพื่อคุณธรรม มากกว่าการขอโชคลาภทรัพย์สมบัติใดๆ และในตอนท้ายคำอธิษฐาน ได้กล่าวสรุปไว้เพื่อให้เห็นว่า ตัวผู้เขียนยังไม่ดีพอ จึงต้องมีหลักฐานไว้เตือนตัวเอง ข้อเขียนที่แสดงถึงความปรารถนาหรือคำอธิษฐาน ๑๐ ประการ มีดังนี้

๑. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนคิดจะได้ดีอะไรอย่างลอย ๆ นั่งนอนคอยแต่โชควาสนา โดยไม่ลงมือทำความดี หรือไม่เพียรพยายาม สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตน ถ้าข้าพเจ้าจะได้ดีอะไร ก็ขอให้ได้เพราะได้ทำความดีอย่างสมเหตุผลเถิด

๒. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนลืมตนดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ ซึ่งอาจด้อยกว่าในทางตำแหน่ง ฐานะการเงิน หรือในทางวิชาความรู้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้เกียรติแก่เขาตามความเหมาะสมในการติดต่อเกี่ยวข้องกันเถิด อย่าแสดงอาการข่มขู่เยาะเย้ยใครๆ ด้วยประการใดๆเลย ก็ขอให้มีความอ่อนโยน นุ่มนวล สุภาพเรียบร้อยเถิด

๓. ถ้าใครพลาดพลั้งลงในการครองชีวิตหรือต้องประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนเพราะเหตุใดๆก็ตาม ขออย่าให้ข้าพเจ้าเหยียบย่ำซ้ำเติมคนเหล่านั้น แต่จงมีความกรุณาหาทางช่วยเขาลุกขึ้น ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ร้อนแก่เขาเท่าที่จะสามารถทำได้

๔. ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถขึ้นมาเท่าเทียมหรือเกือบเท่าเทียมข้าพเจ้า ก็ดี มีความรู้ความสามารถหรือมีผลงานอันปรากฏดีเด่น สูงส่งอย่างน่านิยมยกย่องยิ่งกว่าข้าพเจ้า ขออย่าให้ข้าพเจ้ารู้สึกริษยาหรือกังวลใจในความเจริญของผู้นั้นเลยแม้แต่ น้อย ขอให้ข้าพเจ้าพลอยยินดีในความดี ความรู้ความสามารถของบุคคลเหล่านั้นด้วยใจจริง ช่วยส่งเสริมสนับสนุนและให้กำลังใจแก่คนเหล่านั้น อันเข้าลักษณะการมีมุทิตาจิตในพระพุทธศาสนา ซึ่งตรงกันข้ามกับความริษยา ขออย่าให้เป็นอย่างบางคน ที่เกรงนักหนาว่าคนอื่นจะดีเท่าเทียมหรือดียิ่งกว่าตน คอยหาทางพูดจาติเตียน ใส่ไคล้ให้คนทั้งหลายเห็นว่าผู้นั้นยังบกพร่องอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีน้ำใจสะอาด พูดส่งเสริมยกย่องผู้อื่นที่ควรยกย่องเถิด

๕. ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจเข็มแข็งอดทน อย่าเป็นคนขี้บ่น ในเมื่อมีความยากลำบากอะไรเกิดขึ้น ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับความยากลำบากนั้น ๆ โดยไม่ต้องอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ขออย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาที่พึ่ง เพราะไม่รู้จักทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเลย ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนชอบได้อภิสิทธิ์ คือ สิทธิเหนือคนอื่น เช่น ไปตรวจที่โรงพยาบาล ก็ขอให้พอใจนั่งคอยตามลำดับ อย่าวุ่นวายจะเข้าตรวจก่อน ทั้งที่ตนไปถึงทีหลัง ในการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกใด ๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดหาวิธีลัดหรือวิธีทุจริตใดๆ รวมทั้งขออย่าได้วิ่งเต้นเข้าหาคนนั้นคนนี้ เพื่อให้เขาช่วยให้ได้ผลดีกว่าคนอื่น ทั้งๆที่ข้าพเจ้าอาจมีคะแนนสู้คนอื่นไม่ได้เถิด

๖. ข้าพเจ้าทำงานที่ใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือคิดเอาแต่ได้ในทางส่วนตัว เช่น เถลไถลไม่ทำงาน รีบเลิกงานก่อนกำหนดเวลา ขอจงมีความขยันหมั่นเพียร พอใจในการทำงานให้ได้ผลดี ด้วยความตั้งใจและเต็มใจ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ฉะนั้นเถิด อันเนื่องมาแต่ความไม่คิดเอาเปรียบในข้อนี้ ถ้าข้าพเจ้าบังเอิญก้ำเกินข้าวของ ของที่ทำงานไปในทางส่วนตัวได้บ้าง เช่น กระดาษ ซอง หรือ เครื่องใช้ใด ๆ ขอให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าเป็นหนี้อยู่ และพยายามใช้หนี้คืนด้วยการซื้อใช้ หรือทำงานให้มากกว่าที่กำหนด เพื่อเป็นการชดเชยความก้ำเกินนั้น ข้อนี้รวมทั้ง ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเอาเปรียบชาติบ้านเมือง เช่น ในเรื่องการเสียภาษีอากร ถ้ารู้ว่ายังเสียน้อยไปกว่าที่ควร หรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะชดใช้แก่ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ เมื่อมีโอกาสตอบแทนเมื่อไร ขอให้รีบตอบแทนโดยทันที เช่น ในรูปแห่งการบริจาคบำรุงโรงพยาบาล บำรุงการศึกษาหรือบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์อื่นๆ แบบบริจาคให้มากกว่าที่รู้สึกว่ายังเป็นหนี้ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ และในข้อนี้ขอให้ข้าพเจ้าปฏิบัติแม้ต่อเอกชนใด ๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือโกงใครเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะซื้อของ ถ้าเขาถอนเงินเกินมา ก็ขอให้ข้าพเจ้ายินดีคืนให้เขากลับไปเถิด อย่ายินดีว่ามีลาภ เพราะเขาทอนเงินเกินมาให้เลย

๗. ขออย่าให้ข้าพเจ้ามักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีหน้ามีตา อยากมีอำนาจ อยากเป็นใหญ่เป็นโต ขอให้ข้าพเจ้าใฝ่สงบ มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องการแข่งดีกับใคร ๆ ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความหยากมีหน้ามีตา ความอยากมีอำนาจ และอยากเป็นใหญ่เป็นโตนั้น มันเผาให้เร่าร้อน ยิ่งต้องแข่งดีกับใคร ๆ ด้วยก็ยิ่งทำให้เกิดความคิดริษยา คิดให้ร้ายคู่แข่งขัน ถ้าอยู่อย่างใฝ่สงบมีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ก็จะเย็นอกเย็นใจ ไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากถอนใจเพราะเกรงคู่แข่งจะชนะ ไม่ต้องทอดถอนใจเพราะไม่สมหวัง ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธภาษิตว่า “ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ละความชนะความแพ้เสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข” ดังนี้เถิด แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า เมื่อใฝ่สงบแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่สร้างความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระพุทธศาสนามิได้สอนให้คนเกียจคร้านงอมืองอเท้า แต่สอนให้มีความบากบั่นก้าวหน้าในทางที่ดีไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม และความบากบั่นก้าวหน้าดังกล่าวนั้น ไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับความทะยานอยาก หรือความมักใหญ่ใฝ่สูงใด ๆ คงทำงานไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ผลดีก็จะเกิดตามมาเอง

๘. ขอให้ข้าพเจ้าหมั่นปลูกฝั่งความรู้สึกมีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น และมีกรุณาคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำให้ปูพื้นจิตใจด้วยเมตตากรุณาดังกล่าวนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีใครเป็นศัตรูที่จะต้องคิดกำจัดตัดรอนเข้าให้ถึงความ พินาศ ใครไม่ดี ใครทำชั่วทำผิดขอให้เขาคิดได้กลับตัวได้เสียเถิด อย่าทำผิดทำชั่วอีกเลย ถ้ายังขืนทำต่อไปก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาจะต้องรับผลแห่งกรรมชั่วของเขาเอง เราไม่ต้องคิดแช่งชักให้เขาพินาศ เขาก็จะต้องถึงความพินาศของเขาอยู่แล้ว จะต้องแช่งให้ใจเราเดือดร้อนทำไม ขอให้ความเมตตาคิดจะให้เป็นสุข และกรุณาคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ซึ่งข้าพเจ้าปลูกฝังขึ้นในจิตใจนั้น จงอย่าเป็นไปในวงแคบและวงจำกัด ขอจงเป็นไปทั้งในมนุษย์และสัตว์ทุกประเภท รวมทั้งสัตว์ดิรัจฉานด้วย เพราะไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เหล่านั้น ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์ รู้จักรักตนเองปรารถนาดีต่อตนเองด้วยกันทั้งสิ้น

๙. ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนโกรธง่าย ต่างว่าจะโกรธบ้าง ก็ขอให้มีสติรู้ตัวโดยเร็วว่ากำลังโกรธ จะได้สอนใจตนเองให้บรรเทาความโกรธลง หรือถ้าห้ามใจให้โกรธไม่ได้ ก็ขออย่าให้ถึงกับคิดประทุษร้ายผู้อื่น หรือคิดอยากให้เขาถึงความพินาศ ซึ่งนับเป็นมโนทุจริตเลย ขอจงสามารถควบคุมจิตใจให้เป็นปรกติได้โดยรวดเร็ว เมื่อมีความไม่พอใจหรือความโกรธเกิดขึ้นเถิด และเนื่องมาจากความปรารถนาข้อนี้ ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนผูกโกรธ ให้รู้จักให้อภัย ทำใจให้ปลอดโปร่งจากการผูกอาฆาตจองเวร ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยรู้จักเปรียบเทียบกับตัวข้าพเจ้าเองว่าข้าพเจ้าเองก็อาจทำผิด พูดผิด คิดผิด หรือ อาจล่วงเกินผู้อื่นได้ ทั้งโดยมีเจตนาและไม่เจตนา ก็ข้าพเจ้าเองยังทำผิดได้ เมื่อผู้อื่นทำอะไรผิดพลาดล่วงเกินไปบ้าง ก็จงให้อภัยแก่เขาเสียเถิด อย่าผูกใจเจ็บหรือเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นมาขังอยู่ในจิตใจ ให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเองเลย

๑๐. ขอให้ข้าพเจ้ามีความรู้ความเข้าใจและสอนใจตัวเองได้เกี่ยวกับคำสอนของ พระพุทธศาสนา ทั้งทางโลกและทางธรรม กล่าวคือ พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักสร้างความเจริญแก่ตนในทางโลก และสอนให้ประพฤติปฏิบัติยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ให้มีปัญญาเข้าใจปัญหาแห่งชีวิต เพื่อจะได้ไม่ติดไม่ยึดถือ มีจิตใจเบาสบายอันเป็นความเจริญในทางธรรม ซึ่งรวมความแล้วสอนให้เข้ากับโลกได้ดี ไม่เป็นภัยอันตรายแก่ใคร ๆ แต่กลับเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ แต่ก็ได้สอนไปในทางธรรมให้เข้ากับธรรมได้ดี คือให้รู้จักโลก รู้เท่าโลกและขัดเกลานิสัยใจคอให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อบรรลุความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจทั้งทางโลกทางธรรม และ ปฏิบัติตนให้ถูกต้องได้ทั้งสองทาง รวมทั้งสามารถหาความสงบใจได้เอง และสามารถแนะนำชักชวนเพื่อนร่วมชาติร่วมโลก ให้ได้ประสบความสุขสงบได้ตามสมควรเถิด
ความปรารถนาหรือคำอธิษฐานรวม ๑๐ ประการของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าตั้งไว้เพื่อเป็นแนวทางเตือนใจหรือสั่งสอนตัวเอง เพราะปรากฏว่าตัวข้าพเจ้าเองยังมีข้อบกพร่อง ซึ่งจะต้องว่ากล่าวตักเตือนคอยตำหนิตัวเองเสมอ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าถ้าได้วางแนวสอนตัวเองขึ้นไว้เช่นนี้ เมื่อประพฤติผิดพลาดก็อาจระลึกได้ หรือ มีหลักเตือนตนได้ง่ายกว่าการที่จะนึกว่าข้าพเจ้าดีพร้อมแล้ว หรือเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แล้ว ซึ่งนับเป็นความประมาทหรือลืมตัวอย่างยิ่ง



ที่มา  http://board.agalico.com/showthread.php?t=26437
214  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / หลวงปู่ดู่สอนศิษย์ เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 05:48:11 pm
หลวงปู่ดู่สอนศิษย์


หลวงปู่ท่านมักกล่าวถึงมงคลที่สำคัญที่ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้
นำไปปฏิบัติ คือ มงคล 38 ประการ มงคลที่ท่านพูดถึงบ่อย ๆ
นั่นคือ สัมมาวาจาชอบ คือ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล
ท่านว่าคนส่วนมากมักสร้างกรรมทางวาจา เพราะกรรมนี้สร้างได้ง่าย
แต่เขาไม่รู้หรอกว่าผลของกรรม เมื่อส่งผลจะร้ายแรงเพียงไร
คำพูดนั้นสำคัญมาก บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น
จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี
บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปี
คนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตาย
ก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ

หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขา
ถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบมันก็จะไม่มีเรื่องกัน
แต่ถ้าแกไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ ท่านสอนศิษย์เสมอว่า
อย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา
เพราะนั้นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่
ถ้าแกไปพูดเข้าเมื่อไหร่กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง

ท่านบอกไว้อีกว่า คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่นรวมไป
ถึงการพูดไม่ดีต่าง ๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมาก
เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายใน
ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจ
แก่คนทั้งหลาย กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอ ๆ
ทั้งทางกายและทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว
พอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลง
กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า
ในภพนี้เวลาที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุขหรือมีโชคลาภ
กรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี เหมือนอย่างเขาผู้นั้น
ซื้อหวยเลข 56 หวยก็จะออกเลข 55 หรือ 57 บางที
ก็ติดต่อการค้าหรืองานต่าง ๆ มองเห็นอยู่ว่างานนี้ได้แน่นอน
แต่พอถึงเวลาก็ไปไม่ทันบ้าง ไปแล้วไม่เจอหรือมีเหตุต่าง ๆ
มาทำให้มีอุปสรรคอยู่เสมอ ๆ ซึ่งที่จริงแล้วผู้นั้นจะมีโชคที่ควร
ได้ประมาณเป็นล้าน ๆ เขาก็จะได้แค่หมื่นสองหมื่นหรือโชคครั้งนี้
จะได้หลายหมื่น แต่เขากับได้เพียงไม่กี่พันบาทหรือเพียงได้
ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง นี้เป็นเพราะกรรมชั่วเข้ามาตัดรอนกรรมดี
และรวมถึงญาติพี่น้องลูกหลาน เขาเหล่านั้นก็จะทำความ
เดือดร้อนเสียหายมาให้ มีพี่น้องหรือญาติไปจนถึงเพื่อนฝูง
ก็จะโกงทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง บางครั้งก็พูดใส่ร้ายให้โทษ
ด่าว่าทะเลาะวิวาท ทำให้เราไม่สบายกายและสบายใจเป็นอย่างมาก
มีเรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จบสิ้น
มีลูกหลานก็จะดื้อด้าน ว่านอนสอนยาก ทำความเดือดร้อน
ให้เสียเงินทองอยู่มิได้ขาด ว่ากล่าวลูกหลานไม่เชื่อฟัง
ไม่เครารพนับถือ ลูกหลานบางคนก็จะอกตัญญูตนเองมัก
จะเดือดร้อนด้วยการเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือรักษาไม่หาย
เช่น อัมพฤต อัมพาต มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคร้ายต่าง ๆ
อีกมากมายหลายชนิด

หลวงปู่ท่านบอกไว้ว่า กรรมทางวาจามีร้ายแรงมาก
การที่เราพูดใส่ร้ายหรือพูดไม่ดีจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและเสียใจ
หรือไปพูดทำลายความหวังต่าง ๆ ของเขาถ้ารู้ตัวให้หยุดเสีย
ถ้าไม่หยุดหรือเลิกทำเสียกรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้
พอตายลงไปยังต้องไปใข้กรรมยังนรกตามขุมต่าง ๆ อีก
ท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร"
ความหมายว่าคนดีไม่ตีใคร ไม่ใช่เอาไม้หรือของแข็ง ๆ ไปตีเขา
แต่ท่านไม่ให้พูดจากไม่ดีด่าว่าใส่ร้ายทำให้ผู้อื่นเดืดดร้อนเสียหาย
และทุกข์ใจ หลวงปู่บอกว่าคนดีเขาไม่ว่าใคร
ถ้าแกไปว่าเขาแกก็จะเป็นคนไม่ดี



ขอบคุณที่มา http://www.dhammakid.com/board/
215  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / วิธีลดกรรม 45 อย่าง เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 05:02:08 pm
1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือมูลนิธิเด็กอ่อน

2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี

8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่างสม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

11. ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆ เดือน

21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆ ละ 7 วัน

23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรมอุทิศให้ลูกตนเอง

28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิต

29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆ เดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม

35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด หรือช่วยเหลือคนป่วย

37. เป็นมะเร็ง
กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

39. ด้อยปัญญา
กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ

40. ตกงาน
กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา

41. ไม่มีโชคลาภ
กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว

42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

44. ครอบครัวยากจน
กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้สมรักสม

อ่านให้จบเพราะ จุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19 ค่ะ
กฏแห่งกรรม
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให­ญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ­ญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้­ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีด??งตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั­­ญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

**อ่านเสร็จแล้ว ถ้าส่งต่อ ก็เหมือนได้ปฏิบัติตามกฏแห่งกรรม ข้อที่ 19 แล้ว ด้วยความปราถนาดี**


ขอขอบคุณ http://www.dhammakid.com/board/
216  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กฎแห่งกรรม เรื่อง เวรกรรมตามลมปาก เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 04:50:48 pm
เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณได้ฟังนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพง ลูกสาวคนเดียวของฉัน  ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ชาติที่แล้ว ตัวเองทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ ฉันจึงได้มีลูกสาวที่ดื้อ ปากเก่ง และเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

         แพง : แม่!! แม่เอาเสื้อหนูไปไว้ไหนน่ะ!! เสื้อสีฟ้าที่หนูพึ่งซื้อมา
                   แม่เอาไปไว้ไหน บอกมานะ!!!!
                   โอ๊ย ยาย ยายไปห่างๆ ได้ไหม หนูบอกแล้ว ว่าตัวยายน่ะ
                   เหม็นมาก เหม็นจนอยากจะอ้วกเลยล่ะ ออกไปห่างๆ ไป ...
         นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในครอบครัวของฉัน บ้านของเราอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี ฉัน สามี ลูก และแม่ของฉัน ...
         สามีของฉันทำงานเป็นข้าราชการ อยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ายังดี ที่พวกเราก็ไม่ได้ถึงกับขาดแคลน .... และด้วยความที่ฉันกับสามี มีลูกสาวเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็กๆ มา ไม่ว่าแกจะอยากได้อะไร ฉันกับสามีก็จะซื้อให้ หามาให้ ด้วยหวังว่าลูกจะได้รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่เรามีต่อแก ... แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ฉันเคยหวัง มันกลับไม่เคยเป็นอย่างที่หวัง
        แพง : แม่...พรุ่งนี้หนูจะไปทัศนศึกษากับเพื่อน แต่หนูไม่มีเงินติดตัวเลย
                     แม่เอาเงินให้หนู 500 ได้ไหม
      แม่    :  เอาไปทำไมตั้ง 500 ล่ะลูก หนูจะใช้อะไรเยอะขนาดนั้น
        แพง : โอ๊ย!!!!  500 เนี่ยเหรอเยอะ ซื้อของชิ้นเดียวก็หมดแล้ว  ...
                     แม่เอามาเหอะ อย่าพูดมากน่ะ หนูไม่อยากจะทะเลาะด้วย ...
                     อ้อ แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ เพื่อนหนูจะมากินข้าวด้วย อย่าลืมทำกับข้าว
                     เผื่อนะคะ  แล้วก็บอกยายด้วยว่า ไม่ต้องมากินข้าวกับหนู
                     เพราะยายกินข้าวหกเลอะเทอะ หนูอายคนอื่นเขา ..
         นี่คือคำพูดที่ลูกใช้พูดกับฉัน  ... และเป็นคำพูดที่ลูกพูดถึงยายแท้ๆ ของแกเอง ... ฉันเองเคยห้ามปรามลูกด้วยการขู่ว่า ถ้าแกยังไม่เลิกพูดอย่างนี้ ชาติหน้า แกอาจจะมีปากเท่ารูเข็ม ...  แต่ผลที่ได้ตอบกลับมาก็คือ
        แพง : ชาติหน้ามีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าหนูจะมีปากเท่ารูเข็มจริงๆ
                     หนูไปฆ่าตัวตายดีกว่า ... หนูไม่อยู่ให้โง่หรอก
                  วันเวลาผ่านไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ลูกสาวของฉันใช้คำพูดแสบ ๆ ทิ่มแทงคนในครอบครัวกันเองอยู่เสมอ ... ทำให้ฉันและสามีรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก ฉันกับสามีได้มานั่งปรึกษากัน ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามหาทางออก แต่ยิ่งคิดอย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางออกทางไหนเลย แม่ของฉันเองก็ได้แต่เตือนว่า
         ยาย : เอ็งต้องระวังนังแพงไว้ให้ดีนะนังหนู  ปากมันน่ะ ชอบพูดจาดูถูก
                    คนอื่นเขา ไอ้ลำพังมันดูถูกข้า ข้าก็ไม่โกรธ เพราะยังไงมันก็หลาน
                    แต่ไอ้การที่มันไปไล่ปากเก่งกับคนอื่นเขาน่ะ ระวังมันจะเป็นเรื่องเข้าสักวัน 

         ฉันเองก็รู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์ที่แม่บอกไว้ มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด
         วันนั้น แพงและเพื่อนได้นัดกันออกไปเที่ยวข้างนอก แต่ก่อนที่แกจะออกไป แกก็โวยวายขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเหลืออดจริงๆ
        แพง : ยาย ยายทำบ้าอะไรเนี่ย .. ยายรีดเสื้อประสาอะไร ทำไมมัน
                     ไหม้อย่างนี้ล่ะ ...เสื้อตัวนี้ แพงซื้อมาตั้งเท่าไร รู้มั๊ย ...  โง่จริงๆ เลย
                     แก่แล้วยังไม่เจียมอีก รีดไม่เป็นวันหลังก็ไม่ต้องมาทำสิ ...
         แม่ : แพง โวยวายอะไรกับคุณยายน่ะลูก
         แพง : ก็คุณยายน่ะสิคะ ทำเสื้อแพงไหม้เป็นรู อย่างงี้จะไม่ให้ด่าได้ยังไงล่ะ
                     แพงจะใส่วันนี้ด้วย
        แม่ : แพง คุณยายเขาอุตส่าห์รีดให้นะลูก ขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
        แพง : แม่พูดอย่างงี้ได้ยังไง คุณยายเป็นคนผิดนะ จะให้แพงขอโทษน่ะเหรอ
                    ไม่มีวันซะหรอก
         แม่ : แม่บอกให้แพงขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
         แพง : แม่ฝันไปเถอะว่าแพงจะขอโทษคุณยาย...งี่เง่า!!
(SFX: ฉาด)
         แพง : แม่!!!!!!!!
        แม่ :  แม่ไม่เคยสอนให้หนูเป็นคนอย่างนี้เลย แต่ทำไมหนูถึงกลายเป็นคนก้าวร้าว
                   เห็นแก่ตัวอย่างนี้ แม่ทนมานานแล้วนะแพง ทำไมหนูทำแบบนี้
         แพง : แม่ แม่จำไว้เลยนะ แม่ตบแพง ... แม่ตบตีลูกตัวเอง แม่จะต้องได้รับกรรม
(SFX: เสียงวิ่งออกไป)
         และนั่น ก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินจากลูก แพงหายออกจากบ้านไปเป็นเวลาหลายอาทิตย์หลังจากนั้น ฉันเองรู้สึกเสียใจ ที่ได้ทำกับลูกอย่างนั้น ... แต่ก็ยังดี ที่สามีของฉันไม่ถือโทษโกรธ และยังให้กำลังใจว่า สักวันลูกก็ต้องกลับมา ...
         และในที่สุด ในคืนหนึ่ง ฉันกับสามี ก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ ที่โทรมาบอกว่า ลูกของฉันกำลังถูกนำตัวส่งห้องไอซียู ... ฉันกับสามีรีบรุดไปดูลูกที่โรงพยาบาล และได้รับการบอกเล่ากับเพื่อนของลูกที่อยู่ในเหตุการณ์ว่า แพงกับเพื่อนได้ไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แต่โชคไม่ดี
         ที่กลุ่มของแพงได้ไปเจอเด็กวัยรุ่นเมายาเข้า จึงเกิดมีปากเสียงและได้ลงไม้ลงมือกัน ขณะที่แพงกับเพื่อนผู้หญิงอีกหลายคนกำลังพยายามวิ่งหลบแก้วและขวดที่ถูกขว้างปากันอยู่นั้น ก็บังเอิญมีผู้ชายคนหนึ่งมาขัดขาแพงเข้า ทำให้แพงเซถลาไปข้างหน้าและปะทะกับเหล็กด้ามใหญ่ที่คู่อริกำลังเงื้อตีเข้ามา ... เหล็กท่อนนั้น ฟาดลงที่ช่วงคอของแพงพอดี และหลังจากนั้น แพงก็หมดสติล้มลงไป
         ฉันได้ฟังเพื่อนของลูกเล่าเหตุการณ์อย่างนั้นก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ... เพราะลำพังเวลาที่คอโดนกดหรือโดนใครเอามือบีบ ก็รู้สึกแย่พอแล้ว แต่นี่ลูกของฉันถูกเหล็กท่อนใหญ่ฟาดเข้าไปที่ลำคอ ... ฉันไม่อยากจะนึกภาพเลย ... ฉันกับสามีและแม่นั่งรอดูอาการของลูกอยู่อย่างนั้น จนในที่สุด คุณหมอก็ออกมาจากห้องไอซียู
         แม่ : คุณหมอคะ ลูกสาวดิฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ
         หมอ : คุณต้องทำใจดีๆ นะครับ เพราะผมมีทั้งข่าวร้ายและข่าวดีมาบอก ...
                     ข่าวดีของลูกคุณก็คือว่า แกปลอดภัยแล้ว แต่ข่าวร้ายก็คือ แกอาจจะ
                     พูดไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต เพราะกล่องเสียงของแกแตก ด้วยถูกเหล็ก
                     กระแทกอย่างรุนแรง

         กล่องเสียงแตก พูดไม่ได้ ... เป็นคำพูดที่สะท้อนอยู่ในหัวของฉันตลอดเวลา ฉันพยายามคิดหาเหตุผลมากมายว่าทำไมเหตุการณ์นี้ ต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉัน ... หรือว่าสาเหตุมันจะมาจากตัวฉัน ... ฉันวนเวียนคิดไปมาทั้งคืน จนในที่สุด คำตอบที่ได้ก็มาจากปากของแม่ฉันเอง ...
         ยาย : มันเป็นกรรมยังไงล่ะนังหนู ... ลูกสาวเอ็งมันทำกรรมด้วยการด่าทอ
                    ให้ร้ายบุพการีและผู้มีพระคุณ กรรมจึงตามลงโทษมัน ทำให้มันต้อง
                     เป็นแบบนี้  ...
                     บาปกรรมน่ะ ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า เพราะแค่ชาตินี้  มันก็ตามเราทันแล้ว
                     ... ทำใจซะเถอะลูก
         เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คงจะทำให้ลูกสาวของฉันคิดได้ ... เพราะแม้แกเองจะพูดอะไรไม่ได้ แต่น้ำตาที่ไหลออกมา ก็ทำให้ฉันรู้ว่า แกคงเสียใจกับการกระทำในอดีตไม่น้อย  ... ฉันเองก็ได้ปลอบใจลูก และได้แต่หวังว่า วันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า บาปกรรมที่แกเคยได้ก่อไว้ อาจจะเบาบางและจางหายไป และวันนั้น อาการของลูกสาวฉันอาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้     


  อาหุเนยยา จะ ปุตตานัง   บิดามารดา เป็นที่นับถือของบุตร
217  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / หญิงเปรต.. เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 04:06:57 pm

หญิงเปรต..

สมัยหนึ่ง ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าช้าบ้านหัวดง(ปัจจุบันวัดป่าศรีสมพร :ผู้โพสต์) อ.เมือง จ.นครพนม กับ พระอาจารย์อ่ำ (ธัมมกาโม)

ที่นั้นเป็นป่าช้าเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยเริ่มตั้ง จ.นครพนม เมื่อไปอยู่แล้ว ก็ตั้งใจทำความเพียร เพราะเราจากครูบาอาจารย์มาแล้ว จะประมาทไม่ได้ ในพรรษานั้น ก็ตั้งใจไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน ทำความเพียรอยู่ใน ๓ อิริยาบถเท่านั้น คือ เดิน ยืน นั่ง ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ลดละ ไม่หวั่นไหวต่อชีวิตสังขาร เพราะหวั่นไหวแล้วก็ไม่ได้ตามใจหมายทั้งนั้น ทำคุณงามความดี ให้เกิดมีขึ้นในตนเสียดีกว่า

วันหนึ่ง เดินจงกรมถึง ๓ ทุ่ม แล้วก็ยืน ยืนกำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท ออกว่า โธ อยู่กับ อานาปานสติกรรมฐาน ไม่ลดละ ไม่นาน จิตก็วางพุทโธ จิตก็รวมพึบ เกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้งในท่ายืนนั้น ไม่นานก็มีกลิ่นเหม็นลอยมา กลิ่นอะไรหนอ เขาฝังศพไม่ลึก แล้วหมาไปคุ้ยกินหรือเปล่า หรือว่ากลิ่นอะไร

ไม่นาน ก็ปรากฏเป็นหญิงเปรต ๓ ตน ร่างกายใหญ่โต ตัดผมสั้นทรงดอกกระทุ่มเหมือนคนโบราณในภาคอีสาน ไม่มีผ้าปกปิดร่างกาน มายืนอยู่ตรงหน้า ห่างประมาณ ๒ วาเท่านั้น มีหนอนตัวดำ ๆ ใหญ่ ๆ ขนาดเท่านิ้วมือเจาะไชของลับเต็มไปหมด แทงงัด ๆ บิดซ้ายบิดขวาเจ็บปวด มีน้ำเน่าไหลโทรมกายโทรมขา โทรมก้น ส่งกลิ่นเหม็น ไม่นานก็เอาของลับไปถูไถกับเครือไม้ กิ่งไม้ ต้นไม้ หนอนหลุดออก แล้วก็ไต่เข้าไปอีก

กำหนดถามไปว่า “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?”

เขาก็ตอบว่า “ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เริ่ม จ.นครพนม พวกข้าพเจ้าทั้ง ๓ คนนี้เล่นชู้นอกใจผัว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทำให้ผัวคับแค้นอัดอั้นตันใจ ได้ไม่พอกิน ไม่อิ่ม เป็นคนมักมาก ขี้โลภในกิเลสกาม นั่นแหละ พระเทศน์ให้ฟังว่า กาเมสุมิจฉาจาร นั้น ไม่ให้ทำ เป็นบาปชั่วช้าลามกก็เฉย ไม่เชื่อฟัง เอาแต่สนุกสนานในการคบชู้สู่ชาย ไม่เลือกทั้งฆราวาส ทั้งพระ เอาหมดทั้งนั้น เมื่อตายแล้ว จึงมาเกิดเป็นเปรต มีหนอนเจาะของลับอยู่ในป่าช้านี่แหละท่าน”

ถามว่า จะพ้นจากกรรมได้เมื่อไร ก็ไม่รู้ ทำอย่าไรจึงจะพ้นกรรม ก็ไม่รู้อีก จึงได้กำหนดถามพระธรรมตัวเองว่า

“หญิงเปรต ๓ ตนนี้ เป็นญาติของเราบ้างไหมหนอ ?”

พระธรรมพูดขึ้นมาที่ใจว่า “เป็น...เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ครั้นเมื่อเราตกทุกข์ได้ยาก เขาก็ช่วยเหลือสงเคราะห์ ต่างคนก็ต่างสงเคราะห์กันมาอย่างนี้ มาชาตินี้ภพนี้ ต่างคนต่างทำกรรมไม่เหมือนกัน ต่างคนก็ต่างไปคนละภพ แต่กรรมเก่าที่เคยสงเคราะห์กันมา ก็ดลบันดาลให้มาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ฉะนั้น จงช่วยเหลือสงเคราะห์เขาเสีย”

จากนั้นก็พูดกับหญิงเปรตนั้นว่า

“โยมทั้ง ๓ กับอาตมา เคยเป็นญาติกันมาแต่ปางก่อนโน้น หลายภพหลายชาติแล้ว ต่างคนต่างทำกรรมไม่ดี มาชาตินี้ก็เปลี่ยนแปลงภพชาติเป็นอย่างนี้ แต่กรรมเก่าก็ส่งผลให้มาสงเคราะห์ อาตมาจะสงเคราะห์ให้เอาไหม ?”

“เอา...เมตตาสงเคราะห์บ้างเถิดท่าน เป็นเปรตตกทุกข์ยาก ทรมานมานานแสนนาน ตั้งแต่เริ่มตั้ง จ. นครพนม แล้วละท่าน”

“เอ้า...นั่งลง เจ็บปวดก็ทนเอานะ เพราะตนเองทำไว้ ทำอย่างไรก็ให้ผลอย่างนั้น นั่นแหละ อัตตะนา วะกะตัง ปาปัง อัตตะนา สังกิสิสสะติ อัตตะนา อะกะตัง ปาปัง อัตตะนา วะ วิสุชฌะติ ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดและเศร้าหมองหาได้ไม่ ฉะนั้น บุญก็ดี บาปก็ดี ตนของตนเองหรอก เป็นผู้กระทำสะสมไว้ และให้ผลเป็นทุกข์แน่นอน”

เขาก็นั่งลง กราบไหว้ เสร็จแล้วก็ให้เขารับ พระไตรสรณคมน์ และ ศีล ๕ ธรรมทั้งสองรวมกันเข้าแล้วก็ได้ชื่อว่า มนุสสธัมโม จะได้ภพชาติกับมาเป็นมนุษย์อีก

ต่อจากนั้น ก็ให้เขาเดินจงกรมบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ยืนภาวนาบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ พระไตรสรณคมน์และศีล ๕ กับการเดินจงกรม นั่งภาวนา เป็นการบำเพ็ญบุญเพื่อล้างบาป พวกท่านทำบาปใหญ่โตมโหฬารแล้ว ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการทั้งนั้น ฝนตกก็หนาว ลมพัดก็หนาว แดดออกก็ร้อน เป็นทุกข์ยากลำบากแสนกันดารนานแล้วนั่นแหละ จะบอกให้ชาวบ้านหัวดง เขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เขาก็เป็นญาติของเราของท่านเหมือนกัน ..พอรุ่งเช้า เสร็จจากการบิณฑบาตแล้ว ก็เล่าให้โยมฟังว่า

“เมื่อคืนได้พบหญิงเปรต ๓ ตน มาหา ไม่มีเสื้อผ้าใส่ มีแต่หนอนเจาะไชของลับ เจ็บปวดแสนทุกข์ยากทรมาน ดูแล้วน่าสังเวชสลดใจ พวกเขาเหล่านั้นก็เคยเป็นญาติพี่น้องกับพวกท่านมา ฉะนั้น จงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาเสีย”

ชาวบ้านเขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วเปรตเหล่านั้นก็มารับส่วนบุญ พอถึงวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ก็ให้เขามารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๘ ตามอย่างมนุษย์

นั่นแหละ เทศน์แนะนำพร่ำสอนเขาอยู่อย่างนั้น กรรมชั่วช้าลามกใครเล่าทำให้ เราเองหรอกเป็นผู้มักมาก มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ยอมทำความดี ทำแต่ความชั่วใส่ตัวอยู่เป็นนิจ นี่แหละทำลงไปแล้วก็ให้ผลเป็นทุกข์อย่างนี้

ต่อจากนั้น บางคืนสงบสงัด ก็ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่กลางป่าช้า (บางทีกลางวันสงบสงัดก็ได้ยิน)

“โอ๊ย ! ... เจ็บเหลือเกิน เจ็บเด๊...ปวดเด๊...พ่อเอ๊ย...แม่เอ๊ย...เมื่อไหร่หนอจะพ้นจากกรรมเวร”

ได้ยินแล้วน่าสงสาร น่าสังเวชสลดใจ

เวลาล่วงเลยไปถึงเดือนตุลาคม ขึ้น ๑๐ ค่ำ ไปยืนภาวนาอยู่กลางป่าช้า ไม่นาน จิตใจก็สงบ เห็นหญิงเปรต ๓ ตนนั้นมาหา ใส่เสื้อผ้าและมีผ้าเฉลียงบ่าเรียบร้อยดี เข้ามากราบแล้วพูดว่า

“ท่านอาจารย์ พวกดิฉันพ้นบาปกรรมจากกำเนิดเป็นเปรตแล้ว เพราะว่าท่านมาโปรด หนอนเจาะของลับนั้นตายหมดแล้ว เพราะอำนาจของพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ สังหารล้างบาปเคราะห์เข็ญเวรร้ายได้หมด และอำนาจที่ไปอนุโมทนากุศลกับญาติทั้งหลายที่อุทิศให้ และท่านอาจารย์อุทิศให้ นั่นแหละ ก็พ้นทุกข์จากกำเนิดเป็นเปรตได้ รวมทั้งที่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายได้น้อมเอาพระไตรสรณาคมน์และศีล ๕ ไหว้พระสวดมนต์ ภาวนา เดินจงกรมอย่างที่ท่านสอนนั่นแหละ

บาปทั้งหลายก็หมดสิ้นไป ไม่เหลือเศษอยู่ได้ เมื่อก่อนนี้ก็มีพระมาจำพรรษาอยู่ที่นี่เป็นร้อย ๆ ก็ไม่มีใครโปรดได้ ไปหาแล้วก็เฉย ผลสุดท้ายเขย่าต้นไม้ถาม ก็วิ่งหนีขึ้นกุฏิไปเลย บางทีก็หันหน้ามาด่าว่าและขว้างปาใส่อีก แต่สำหรับท่านอาจารย์ มาหาแล้วก็คุยกันรู้เรื่องและโปรดสงเคราะห์ช่วยเหลือได้ ต่อแต่นี้ไป พวกดิฉันทั้ง ๓ จะขอลาไปเกิดยังเมืองมนุษย์”

อาตมาจึงว่า

“พวกพระเหล่านั้นเขาไม่ใช่ญาติของโยม และก็ไม่เคยมีอุปการคุณต่อกันมา อีกทั้งจิตของเขาก็ไม่สงบลงสู่ภพเดียวกัน มันก็ไม่เห็นกันหรอก แต่อาตมากับพวกท่าน เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว กรรมเก่าจึงบันดาลให้มาโปรดนะ และถ้าจะไปเกิดยังเมืองมนุษย์ก็ขอให้ไปเกิดที่ จ.สกลนครโน่น เพราะมีพระกรรมฐานมาก มี หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ และอีกหลายองค์ หรือไม่ก็ไปที่ จ. อุดรธานี ก็มีพระกรรมฐานมากเช่นกัน ขอให้ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปนะ อย่าได้ประมาท อำนาจของพุทโธ ธัมโม สังโฆ จะพาไปเกิดในตระกูลของนักปราชญ์ จะได้แนะนำพร่ำสอนแต่ในทางที่ดี ไปเกิดเป็นมนุษย์แล้วขอให้เข็ดหลายและจดจำผลของความชั่วช้าลามก ที่ทำให้มาเกิดเป็นเปรตนี้ไว้ให้ดี อย่าดื้ออย่าด้าน อย่าล่วงประเวณี เล่นชู้ในใจผัวอีกนะ”

เขาก็ว่า “เข็ดแล้วกลัวแล้ว จะไม่ทำอีกต่อไป” จากนั้นก็กราบลา แล้วออกเดินทางไป

นั่นแหละในพระไตรปิฎก ใน มหาวิบากสูตร และ พระมาลัยสูตร ก็ว่าไว้อย่างนั้นว่า

หญิงก็ดี ชายก็ดี นอกใจสามีภรรยา ตายแล้วไปตกมหาตาปนะนรก ถูกนายยมบาลต้มด้วยน้ำร้อน สังหารด้วยหอกด้ามกล้าพร้าด้ามคมแสนปี พ้นจากนั้น เวรกรรมยังไม่สิ้น มาตก คูถนรก จมในหลุมมูตรหลุมคูถท่วมศีรษะ มีหนอนเจาะไชอยู่อย่านั้นเป็นแสน ๆ ปี พ้นจากนั้น มาตก สิมพลีนรก ถูกนายยมบาลบังคับให้ปีนต้นงิ้วสูงใหญ่มีหนามยาว สัตว์นรกขึ้นไปแล้วก็ถูกหนามงิ้วทิ่มแทง เป็นบาดแผลตามหน้า ตามเนื้อตัว และแขนขาเป็นทุกขเวทนาสาหัส พอขึ้นไปถึงยอดก็ถูกแร้งกาปากเหล็กจิกหน้าตา ตกลงมา ถูกหมาขย้ำฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร เหลือจากนั้นหนอนก็เจาะไชกินเป็นอาหาร

พ้นจากนั้น เวรกรรมยังไม่สิ้น ไปเกิดเป็นเปรต ผู้หญิงไปเกิดเป็นเปรตของลับใหญ่เต็มหว่างขามีไฟไหม้ เดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก ผู้ชายก็ไปเกิดเป็นเปรต มีของลับใหญ่ มีไฟนรกเผาไหม้อยู่ปลายของลับนั้น เดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก ทุกข์ยากแสนเข็ญ นั่นแหละบาปกรรมเวรเป็นอย่างนั้น ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายเป็นอยู่อย่างนั้นถึง ๕๐๐ ชาติ

พ้นจากนั้น ไปเกิดเป็นสุนัขทั้งตัวผู้ตัวเมียเป็นกามโรค เป็นทุกข์จนตาย ตายแล้วเกิดอีก เป็นอยู่อย่างนั้นอีก ๕๐๐ ชาติ

พ้นจากนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็หน้าด้านเสพกามไม่เลือก เป็นกามโรคตายแล้วตายเล่าอีก ๕๐๐ ชาติ

พ้นจากนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็ทุกข์ยากลำบาก นอกใจผัวนอกใจเมียเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นอีก ๕๐๐ ชาติ

นี่แหละ โทษกรรมของกามคุณทั้งหลาย…


ขอขอบคุณ http://board.palungjit.com/f8/
218  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / บทเรียนลูกเกเร! พ่อหาเงินจนตาย สุดท้ายสำนึกผิดหน้าศพ (จากรายการตีสิบ) เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 02:01:37 pm


บทเรียนลูกเกเร! พ่อหาเงินจนตาย สุดท้ายสำนึกผิดหน้าศพ
Mthainews: รายการตีสิบออกกาศวันที่ 24 มกราคมนำเสนอเรื่องราวของลูกที่เกเรต่อบุพการี ด้วยการทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้เงินมาจับจ่าย ซื้อของฟุ่มเฟือย ถึงขั้นโกหกพ่อแม่ จนสุดท้ายพ่อที่หวังว่าลูกจะได้เรียนจบในระดับปริญญาตรี ต้องทำงานหนักหาเงินมาให้ แต่เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างการทำงาน จนเสียชีวิต โดยที่เธอไม่สามารถกลับไปสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป เพราะเป็นสิ่งที่สายเกินไป

ชีวิตจริงของของคุณวัน เล่าว่า ตนเองเกเรมากตั้งแต่ ม.ต้นจนถึงมหาวิทยาลัย ครอบครัว พ่อแม่ต้องหาเช้ากินค่ำ โดยตนเองเป็นคนสุดท้อง อยากได้อะไรก็ได้ทุกอย่าง เพราะพ่อแม่จะตามใจ รักมาก เป็นคนเดียวที่ได้รับเค้กวันเกิด ซึ่งพ่อที่ขับรถสิบล้อ ปีหนึ่งจะได้เจอกันครั้งหนึ่งในวันเกิด ทุกคนคาดหวังว่าตนเองจะต้องเรียนจบให้ได้ และพ่อก็หวังว่าสักวันจะได้เห็นลูกสาวสวมชุดครุยในวันรับปริญญา

แต่ด้วยนิสัยเห็นแก่ตัว และการได้รับการตามใจทำให้คุณวัน ใช้เงินเกินตัวเมื่อบอกว่าจะไม่เรียนหนังสือแล้ว พ่อจะกลัวมาก และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมาให้ลูก เสื้อผ้าไปโรงเรียนวันเปิดเทอมต้องใหม่หมด มิเช่นนั้นจะไม่ยอมไปเรียน

จนเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย ถึงขั้นโกงค่าเทอม ด้วยการสแกนเปลี่ยนแปลงข้อมูลในสลิปใบเสร็จในคอมพิวเตอร์ เพื่อเปลี่ยนหน่วยกิตให้มากกว่า 2 เท่าตัว แล้วส่งใบเสร็จดังกล่าวไปเก็บกับพ่อแม่ เพื่อจะได้ใช้ของแบรนด์เนม กินข้าวร้านอาหารหรู กินเคเอฟซี พิซซ่า เดินห้าง เพราะบ่งบอกถึงว่ามีรสนิยม



สาเหตุของการตายของพ่อคือ ทำงานบนรถสิบล้อ มีคนมาบอกให้ไปช่วยจับเครน เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ ไปพักกินข้าวกันหมด พ่อไม่ชำนาญด้านนั้นอยู่แล้วจึงเกิดการจับพลาด เหล็กเป็นตันๆทิ่มไปที่ลำคอ ทะลุ ก่อนหน้านั้นพ่อกำลังรอเงินกู้ ที่จะมาให้เรา 2 พัน โดยที่เขาไม่รู้ กู้เงินจากคนอื่นเพื่อเอามาให้ลูก เพราะลูกก็เร่งรัดคิดว่าจะนำเงินไปจ่ายค่าเทอม กลับมาคิดว่าตอนที่ตัดสายพ่อทิ้ง รู้สึกผิด หากเราไม่ตัดสายก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้

หลังจากที่พ่อเสียได้มารู้หลายอย่างที่ตนไม่รู้ ตอนงานศพเราจะหาเสื้อผ้าเปลี่ยนให้พ่อทั้งหมด พ่อไม่มีเสื้อผ้าเลยแม้แต่กางเกงใน มีแต่เสื้อพนักงานที่เขาแจกให้ อยู่บ้านก็จะใส่โสร่ง แต่มีเสื้อตัวหนึ่งที่พ่อเก็บพับไว้ไม่ใส่ เพราะพ่อตั้งใจว่า จะรอใส่เสื้อตัวนี้ในวันรับปริญญาลูก เพราะเป็นชุดใหม่ที่สุด และมีรองเท้าที่เขาเก็บไว้ด้วย


เป็นความรู้สึกที่ตนอยากจะขอโทษ แม่มาบอกทีหลังว่าพ่อต้องทำทุกอย่าง เช่น แบ่งขายน้ำมันรถสิบล้อรถของบริษัทที่ขับอยู่ เรียกว่า ขายหมู เพื่อแลกเงิน มีขโมยเหล็กเส้นส่วนที่ตัดเกินไปขาย ซึ่งหลังๆพ่อไม่มีเงินพ่อต้องไปหากู้เงินทั้งนอกระบบและในระบบ รวมทั้งการใช้ยาบ้าเพื่อทำงานหาเงินส่งลูกเรียน จะเลิกได้ก็ต่อเมื่อเห็นลูกเรียนจบปริญญาตรี เขายอมทำร้ายตัวเองเพื่อที่จะได้เงินมาทั้งที่ตนเองเกเรเป้นส่วนใหญ่

มีวันหนึ่ง วันก่อนวันพ่อ ซึ่งจะเป็นวันทำบุญครบรอบร้อยวัน ไม่รู้จะบอกรักพ่อยังไง เกิดความเหงา แล้วตอนกลางคืนฝันว่า ตนขอโทษพ่อ จะไม่ตัดสายทิ้งในวันนั้นถ้ารู้ว่าพ่อจะเสียวันนั้น พ่อมาบอกในฝันพร้อมกับลูบหัวเบาๆว่า พ่อไม่เคยโกรธ แล้วอโหสิกรรมให้ และเอาเงินที่ยัดในปากศพมาใส่มือเรา บอกว่ามันเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่พ่อจะให้ลูก แม่อาจมีสามีใหม่ก็อย่าโกรธแม่

หลังจากนั้นไม่กี่วัน มีประกันชีวิตเข้ามาคุย ว่าพ่อได้ทำประกันชีวิตไว้ให้ลูกคนเดียว ลูกคนอื่นไม่ได้

ความรักของพ่อเป็นความรักจนวินาทีสุดท้าย มาเข้าใจวันรู้สึกว่ารักพ่อจริงๆว่า ก็ตอนลำบาก ไม่นานแม่ก็มีสามีใหม่จริงๆ อยู่กับพี่สาว แต่ต่างคนต่างอยู่ และพื้นฐานเราก็ไม่ใช่คนดี จึงไปเรียนมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ตั้งใจว่าจะต้องจบ รวมทั้งหาเงินเอง ครั้งแรกที่ทำงานเองรู้ว่ามันเหนื่อยมาก เพราะทำงานเป็นงานวิจัย เหนื่อยมาก ทุกอย่างได้มาพร้อมความเสี่ยง เปรียบเทียบกับพ่อก็เหมือนกันจนรู้ว่า การได้เงินสิบบาทยังยากมาก

แต่สุดท้าย จนเกิดพลังเรียนจนจบคณะวิทยุโทรทัศน์ ได้รับปริญญา เป็นวันสำคัญสำหรับพ่อ จึงได้กลับไปถ่ายรูปกับพ่อที่บ้าน เป็นวันที่พ่อรอคอย แต่ก็ได้แต่ถ่ายกับรูปถ่ายไร้ร่างวิญญาณ




สำหรับพ่อที่วันหนึ่งหวังว่าจะได้ใส่ชุดใหม่ไปงานรับปริญญาลูก แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว



อย่างไรก็ตาม ยังไม่สายสำหรับตนเองที่ยังคงต้องสู้ต่อไป ทำงานหาเงิน โดยที่คิดถึงพ่อตลอดเวลา เขาอยากให้ลูกสบายตั้งแต่เกิดมาเป็นลูก แต่เราจะรู้ซึ้งถึงความรักของเขาก็ต่อเมื่อเราโตแล้ว เขารอเรานานกับความรักของเรา การมีแฟนก็ไม่ใช่คนที่ดีที่สุด ไม่มีคนไหน อดหรือทำร้ายตนเองเพื่อให้ลูก เท่าพ่อ แต่สำหรับตนเองสายไปแล้วสำหรับสิ่งที่พ่อได้ทำกับเรา เขาไม่เคยเลี้ยง ไม่เคยพาไปเที่ยว แต่เขาให้ได้เหมือนพ่อคนอื่น แม้กระทั่งให้ชีวิต


ขอขอบคุณ  http://board.palungjit.com/f8/


219  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปริศนาธรรม..จากพิธีกรรมในงานศพ เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 11:49:45 am


ศาสนพิธี ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ การกระทำแต่ละขั้นตอนนั้น โบราณ ท่านได้สอนธรรมะไว้ใน พิธีกรรม เหล่านั้นไว้ด้วยอุบายอันแยบคาย เช่น ประเพณี พิธีกรรมใน งานศพ

 
การ รดน้ำที่มือของผู้ตาย   ซึ่งบางท่านเข้าใจว่าเป็นการขอ อโหสิกรรม ความจริงแล้วมุ่งเตือนสติผู้ที่มาร่วมงานว่าผู้ที่ตายทุกคนไปแต่มือเปล่าไม่ได้อะไรติดตัวไปเลย แม้แต่น้ำที่เทลงฝ่ามือก็ไหลร่วง

เอาเงินเหรียญ ใส่ปาก ก็เพื่อจะเตือนให้รู้ว่า แม้แต่บาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ เพราะ สัปเหร่อ บางคนเขายังควักออกมา

มัดตราสังข์ สามเปราะ มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี-ภรรยา มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไป นิพพาน ไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ใน สังสารวัฏฏ์ ไม่มีจบสิ้น

เคาะโลง รับศีล ไม่ใช่ให้ คนตาย มารับศีล แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่าเอาแต่มัวเมาประมาทขาดสติ ไม่สนใจใน หลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้

จุดตะเกียง หรือ จุดเทียน ไว้ หน้าศพ เตือนให้รู้ว่าการเกิดของคนเราต้องการแสงสว่าง ต้องมี พระธรรม เป็น ดวงประทีป ช่วยส่องทาง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต

สวดอภิธรรม มักสวดเป็น ภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้ คนตาย แต่จริง ๆ แล้วเป็นการ สวด เพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน ดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับ เสียงพระสวด ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็เกิดสมาธิจิตได้

บวชหน้าไฟ มักเข้าใจว่า  เป็นการบวชจูงผู้ตาย ขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟเป็นการ ปลงธรรมสังเวช เบื่อหน่ายต่อชีวิตใน โลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่ มรรคผลนิพพาน

การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่า ตอนที่ยังอยู่ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าได้เดินตาม พระธรรมคำสอน ของพระนั่นเอง จึงอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า

การ เวียนซ้าย 3 รอบ หมายถึง การ เวียนว่ายตายเกิด อยู่ใน ภพทั้งสาม อันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจ กิเลสตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย

การใช้ น้ำมะพร้าว ล้างหน้าศพ เพื่อชี้ให้เห็นว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่ มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำพระธรรม

การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บ อัฐิ และมีการเขี่ย ขี้เถ้า ผู้ตายให้เป็นรูปร่าง กลับไปกลับมาเพื่อจะบอกว่า ได้กลับชาติใหม่แล้ว ตามวิบากของกรรมต่อไป


ขอขอบคุณ www.teenee.com


220  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ข้อดีของการไม่กินเนื้อสัตว์ เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 04:36:14 pm
 

เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม...การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมาก โดยลงทุนทางวัตถุน้อยที่สุดแต่ให้ผลมากทางใจ

ข้อที่ ๑ เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น



เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ... ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น... นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวายเพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย... ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบๆ เคียงๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อยๆ... ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวายศรัทธา....

    ญาติโยมที่มีใจเป็นกลาง เคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า ...เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ถึง ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย... หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา....   แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมากๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผัก...แต่เป็นเพราะรู้ว่า...สัตว์ถูกฆ่าตาย... เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรามีอีกหลายคน  ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อได้ทดลองทำไป ๒-๓ ครั้ง... กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ...

  ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อมีความแตกต่างกันอย่างไร.... จะกล่าวในข้อหลังเฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า ...

"คนกินเนื้อสัตว์ เพราะแพ้รสตัณหา
กินเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย"


ข้อที่ ๒. เป็นการฝึกในส่วน "สัจธรรม"


คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตัวเอง... สัจจะในการกินผักนั้นเป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์... ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง ...พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง "ดวงธรรมแห่งสัจจะ" ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรง

       ดังนั้น การฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม... ที่ยอดเยี่ยมกว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่นๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึกทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุกๆ วัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรมต้องฝึกทุกวันจึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้ การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึง เหมาะมาก อย่าลืมพระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า ...
          "สัจจะเป็นคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์"


ข้อที่ ๓.เป็นการฝึกในส่วน"ทมะ"ธรรม


"ทมะ" คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหา อันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อง่ายๆ เช่นข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูงๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้งๆ จากชาวบ้านแถบริมทะเลขึ้นไปกินทั้งๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าวฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้งๆ และขึ้นราที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็น ไหนๆดังนั้น… ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม...
             เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวัน การข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์ เช่นกัน....

      โปรดทราบ! ว่า...มันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ... และผักปนกันมาจงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต... ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิด...
         การเลี้ยงพระในงานต่างๆ... ข้าพเจ้าเคยเห็นเคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโรเรียกเอาแต่อาหารเนื้อสัตว์...ส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา... มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก.... แม้กระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อ...คงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป...

      และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ...ควรรู้ไว้ด้วยว่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวและเจ้าภาพเขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์ เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิตทั้งหลายร่วมมือกัน "แบ่งอิทธิพล"


ข้อที่ ๔. เป็นการฝึกในส่วน "สันโดษ"

 สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวชย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่า ข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลวเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษหรือถ่อมตนดังนั้น… การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่ายๆ จะแก้ได้หมด... "สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต"

ข้อที่ ๕. เป็นการฝึกในส่วน "จาคะ"


จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบ หรือ ความพ้นทุกข์ ...นักกินผัก ที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย... เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ...
       ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิต...ความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ... เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ...ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย.... ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่นๆ


ข้อที่ ๖. เป็นการฝึกในส่วน "ปัญญา"


ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของการยึดมั่น... และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อเพราะเนื้อทำ ให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาแต่เดิม ปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะไปนิพพานได้เพราะกินผัก เป็นแต่การกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุกๆ วัน...

    แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่าฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผัก... ความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลวหรือไม่ประณีตก็พอแล้ว... แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผัก เพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉย ๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี !...
           เพราะฉะนั้น ฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้ และมีแต่ความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ...

       ผลดีในฝ่ายโลก... อาหารผักมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์ หรือไม่ ?... เรื่องนี้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่า...อาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรงโรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก


ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆและภาพสวยๆจาก  96 แรงใจ
221  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำไมเราถึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์ เมื่อ: มกราคม 26, 2012, 03:42:33 pm
ข้อความในพระสูตรนั้น มีดั่งนี้ :-

"พระตถาคตเจ้าผู้ทรงอรหันต์ ได้ตรัสรู้อย่างถูกถ้วนแล้ว, และได้ตรัสความเป็นกุศลหรืออกุศลแห่งการบริโภคเนื้อสัตว์แก่เรา, เพื่อว่าเราและสาวกอื่นๆ ในพระพุทธศาสนา ทั้งในปัจจุบันและอนาคต จะได้ประกาศสัจธรรมอันนี้ แก่เขาเหล่าโน้นผู้บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการทำลายความอยากในเนื้อสัตว์ของเขานั้นๆ เสีย."


"พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า : โอ, มหาบัณฑิต! ด้วยน้ำหนักแห่งเหตุผลอันมากมายเหลือจะประมวล บ่งแสดงว่าเนื้อทุกชนิดเป็นสิ่งที่ควรปฏิเสธโดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้มีใจเปี่ยมอยู่ด้วยความกรุณา. สำหรับเขาเหล่านั้น เราจักกล่าวแต่โดยย่อๆ.



โอ, มหาบัณฑิต! ในวัฏฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้ สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการว่ายเวียนในการเกิดอีกตายอีก. ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียว ที่ในบางสมัย ไม่เคยเป็น แม่ พ่อ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย ลูกหญิง หรือเครือญาติอย่างอื่นๆ แก่กัน. สัตว์ตัวเดียวกัน ย่อมถือปฏิสนธิในภพต่างๆ เป็นกวาง หรือสัตว์สี่เท้าอื่นๆ เป็นนก ฯลฯ ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง. สาวกแห่งพระพุทธศาสนา จะทำลงไปได้อย่างไรหนอ, จะเป็นผู้สำเร็จแล้ว หรือยังเป็นสาวกธรรมดาก็ตาม ผู้เห็นอยู่ว่าสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด เป็นภราดรของตน, แล้วจะเชือดเถือเนื้อของมัน?


โอ. มหาบัณฑิต
    เรามิได้เคยบัญญัติเนื้อสัตว์ไว้ในสูตรใดๆ หรือกล่าวว่ามันเป็นของควรกิน  หรือนับมันเข้าในประเภทของดีที่ควรกิน...
    โอ. มหาบัณฑิต  เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
    เพราะว่า เนื้อย่อมเกิดจากเลือดและน้ำอสุจิ   ฉะนั้น มัน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภคสำหรับสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์ต่อธรรมอันบริสุทธิ์..



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่าบรรพชิตผู้ประสงค์มิตรภาพในเพื่อนสัตว์ด้วยกัน ทุกถ้วนหน้า  ดั่งเช่น เมื่อสัตว์ได้เห็นนายพราน ชาวประมง หรือคน กินเนื้อเดินมาแม้ในระยะไกล  สัตว์ทั้งหลายก็สะดุ้งกลัวเสียแล้ว  ต่างพากันวิ่งหนีไปไกลพร้อมกับความรู้สึกอยู่ในใจว่า... “ เขาเหล่านั้นเป็น ผี  ยักษ์  อสุรกาย  ผู้ล้างผลาญ ”  นั่นเพราะความกลัวต่อ ความตายของมัน...
    ฉะนั้น เนื้อเป็นสิ่งที่ควรกินสำหรับผู้มีใจดำอำมหิต  เป็น ต้นเหตุแห่งความเสื่อมเสีย และเป็นสิ่งที่จะถูกห้ามกันโดยสัตบุรุษ



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่า มีกลิ่นที่น่ารังเกียจ  ไม่น่าบริโภคอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่นเดียวกับกลิ่นศพ...
    แม้เหตุผลมีเพียงเท่านี้  เนื้อก็เป็นสิ่งไม่ควรบริโภคสำหรับ พุทธศาสนิกชนอยู่แล้ว  ถ้าหากว่าศพถูกเผาและเนื้อสัตว์อย่างใด อย่างหนึ่งก็ถูกเผา  มันก็จะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจไม่แตกต่างกันเลย
.


โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่า พุทธศาสนิกชนซึ่งเป็นผู้ที่ปรารถนาจะมีสาธุคุณ ในทางจิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น...
    คนกินเนื้อย่อมเป็นเหยื่อแห่งโรคหลายชนิด เช่น โรคไส้ เดือน  โรคพยาธิ  โรคเรื้อน  โรคเจ็บในท้อง...
    ( ถ้านับโรคสมัยนี้ที่สองพันปีก่อนยังไม่มีคือ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ  โรคไขข้อ  โรคความดัน... ฯลฯ  ล้วนมาจากเชื้อโรค ในชิ้นเนื้อทั้งสิ้น )



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นการกินเนื้อบุตรของตนเองอยู่ ดั่งนี้แล้วจะกล่าวไปไยที่เราจะบัญญัติให้สาวกของเรากินเนื้อสัตว์  ซึ่งเป็นของจัดไว้ต้อนรับของพวกคนใจอำมหิต  เต็มไปด้วยมลทิน   ปราศจากคุณธรรมใดๆ ไม่เหมาะที่จะบริโภคสำหรับผู้บริสุทธิ์ และ เป็นของควรห้ามเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง...



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่าเขาเหล่านั้นซึ่งเคยชินกับการกินเนื้อ สัตว์  เมื่อความอยากเป็นไปรุนแรงเข้าก็กินเนื้อคนได้
ย่อมจะเป็นผู้ละโมบในการกินและเป็นเหมือนยักษ์ ปีศาจร้าย...
    ครั้นถึงอนาคตกาล  เพราะอำนาจจิตติดฝัง แน่นในการอยากกินเนื้อสัตว์  ย่อมตกไปสู่กำเนิด แหล่งสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น สิงโต เสือ จระเข้ สุนัขจิ้งจอก  แมว  นกเค้าแมว ฯลฯ



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่า เขาผู้ฆ่าสัตว์ชนิดใดๆ ก็ตามเพื่อเงิน  และเขาผู้ซึ่งจ่ายเงินซื้อเนื้อนั้น  ทั้งสองพวกชื่อว่าเป็นผู้ประกอบอกุศลกรรม และจักจมสู่โรรุวะนรกและนรกอื่นๆ



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    ผู้ใดพูดว่าพระสมณโคดมตรัสว่า  ผู้บริสุทธิ์แห่งสมัยเพรงกาลย่อมกินอาหารเหมือนคนกินเนื้อ  ย่อมเที่ยวใส่ความทุกข์เจ็บ ปวดให้แก่สัตว์น้อยใหญ่ที่มีชีวิตอยู่บนท้องฟ้า บนบกและในน้ำ เที่ยวรบกวนรังควานมันอยู่เสมอ...
    ดังนี้ ผู้นั้นชื่อว่าไม่พูดตามที่เราพูด  ทั้งกล่าวตู่เราด้วยคำ อันไม่ดีไม่เป็นจริง...  สมณภาพของเขาถูกทำลายย่อยยับเสียแล้ว ถูกทำให้เศร้าหมองเสียแล้ว...  คนชนิดนี้แหละที่กล่าวคำเท็จเทียม มากมายหลายชนิดแด่พระพุทธวจนะ..



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    ในวัฏฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้  สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการเวียนว่ายแห่งการเกิดตาย ไม่มีสัตว์ แม้แต่ตัวเดียวไม่เคยเป็นพ่อ แม่ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย  ลูกหญิง หรือเครือญาติแก่กัน  สัตว์ตัวเดียวกันย่อมถือปฏิสนธิ ในภพต่างๆ เป็นสัตว์สองเท้า สัตว์สี่เท้า สัตว์เลื้อยคลาน เป็นนก   แมลง ฯลฯ  ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง...
    ดูก่อน !  สาวกแห่งพระพุทธศาสนาจะทำลงไปได้อย่างไร หนอ  เธอทั้งหลายผู้เห็นอยู่ว่าสัตว์เหล่านี้ล้วนเป็นเครือญาติฉันพี่ น้องของตน  แล้วจะเชือดเนื้อเถือหนังของเขาอีกหรือ...



ต้นกำเนิดพระพุทธเจ้าไม่บริโภคเนื้อสัตว์
    พระมหาเถระ อัมริตนันทะ...ผู้มีชื่อเสียงแห่งประเทศเนปาล  ซึ่งเป็นลูกหลานในตระกูล “ ศากยวงศ์ ” แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านก็ยืนยันให้โลกทราบว่าในราชวงศ์ของท่านนั้นนับตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีใครเสพเนื้อสัตว์เลย...
    แท้จริงแล้ว พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายอุบัติมาเพื่อ โปรดสัตว์  แล้วพระองค์จะเอาชีวิตสัตว์มากินเสียเองได้อย่างไร...
    ในพระคัมภีร์  ลังกาวตารสูตร  พระพุทธเจ้าตรัสในเกาะ  ลังกาก็มีบอกไว้ชัดเจน    แต่ศิษย์สาวกของท่านในยุคหลังๆ เขา อยากจะกินเนื้อสัตว์กันเอง  เขาไปบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 900 เศษว่าพระองค์เองก็เสวยเนื้อสัตว์...
    โอ!... บาปหนาเหลือเกิน...
    คนในปัจจุบัน จึงบริโภคเนื้อสัตว์โดยไม่เกรงกลัวบาปกรรม เด็กที่เกิดมาใหม่ถูกปลูกฝังให้กินเนื้อสัตว์โดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดี พากันบริโภคอย่างคึกคะนอง  เอาชีวิตสัตว์มาเป็นสินค้าซื้อขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  ทำลายเมตตาจิตขาดสะบั้น  แล้วชีวิตจะอยู่  สงบสุขได้อย่างไร...


ขอขอบคุณที่มา    http://96rangjai.com/langka/
222  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อานิสงส์ของการบริจาคทาน เมื่อ: มกราคม 26, 2012, 03:00:30 pm

อานิสงส์ของการบริจาคทาน ขอให้ท่านทั้งหลาย จงตั้งใจฟัง การบริจาคทานของปุถุชนในโลกมนุษย์นั้นมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ได้อานิสงส์ มากน้อยต่างกัน


    บ้างได้รับผลบุญในชาติเดียว
    บ้างได้รับผลบุญใน 10 ชาติ
    บ้างได้รับผลบุญใน 100 ชาติ 1000ชาติ ต่อเนื่องกันไป


เมื่อพระกษิตฺครรภโพธิสัตว์ได้พรรณานถึงการสวดมนต์ภาวนาพระนามของ พระพุทธเจ้าทั้งหลายจบลง ท่านก็ได้กราบอาราธนาทูลขอให้พระบรมศาสดา แสดงพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องบุญกุศลแห่งการบริจาคทาน พระพุทธองค์ตรัสว่า


           " ตถาคตจะถือเอาโอกาสที่พวกท่านทั้งหลายจากทั่วทิศพิภพที่ร่วมประชุม ธรรม ในชั้นดาวดึงส์เทวโลกนี้อธิบายถึง อานิสงส์ของการบริจาคทาน ขอให้ท่านทั้งหลาย จงตั้งใจฟัง การบริจาคทานของปุถุชนในโลกนั้นมีเหตุปัจจัย ที่ทำให้ได้อานิสงส์ มากน้อยต่างกัน
        บ้างได้รับผลบุญในชาติเดียว
        บ้างได้รับผลบุญใน 10 ชาติ
        บ้างได้รับผลบุญใน 100 ชาติ 1000ชาติ ต่อเนื่องกันไป"



"ในโลกียโลกนั้นหากบรรดาพระราชา มหากษัตริ์ ขุนนาง อำมาตย์ ข้าราชบริพาร ตลอดจนสมณะชีพราหมณ์ นักบวช นักพรต และ ปุถุชนธรรมดา ทั้งหลายเมื่อ พบคนที่ตกทุกข์ได้ยาก หูหนวกตาบอด ต้องลำบากแสนเข็ญ ด้วยเหตุนานาประการ


    หากบุคคลผู้นั้นไม่ว่าจะอยู่ในวรรณะใด สถานะใด มีจิตเมมตาบริจาคทาน แก่พวกเค้าเหล่านั้น โดยหยิบยื่นวัตถุทานทั้งหลายให้ ด้วยมือตนเอง พร้อมทั้งกล่าวคำปลอบประโลม แก่บรรดาผู้ทุกข์ยาก กุศลที่จะได้รับมากมายดั่งเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา


    ทั้งนี้เพราะจิตเมตตา อันบริสุทธิ์ ที่มีต่อผู้ซึ่งกำลังตกทุกข์ได้ยาก ทรงพลานุภาพยิ่ง อานิสงส์แห่ง การบริจาคทานด้วยจิตเมตตาอันบริสุทธิ์จะส่งผลให้ บุคคลผู้นั้น ได้เกิดอยู่ใน ชาติตระกูลที่สูงส่งเพียบพร้อม ไปด้วย พระศฤงคาร เจริญรุ่งเรือง สมบรูณ์พูน สุขอย่างหาที่เปรียบมิได้



หากผู้ใดพบเห็น วัดวาอารม ศาสนสถาน สถานปฏิบัติธรรมซึ่งมีพระรูปของ องค์พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ ประดิษฐานอยู่แล้วมีจิตศรัทธา เข้าไปนมัสการ กราบไหว้สักการะ ตลอดจนได้บำเพ็ญทานสร้าง ถนนหนทางสะพาน ทะนุบำรุงสาธารณสมบัติ สร้างพระคัมภีร์พระสูตร หนังสือธรรมะ เพื่อค้ำชู้ จรรโลงพระศาสนา บุคคลผู้นั้นจะได้เสวยตำแหน่ง เป็นท้าวสักกะเทวราช อยู่เป็น 10 กัปป์


หากผู้ใดได้พบเห็น วัดวาอาราม ศาสนสถาน พระพุทธปฏิมา รูปเคารพ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทรุดโทรมถูกทิ้งร้าง แล้วบังเกิดจิตศรัทธา ทำการบรูณะ ซ่อมแซม ปฏิสังขรณ์ และ ยังชักชวนสาธุชนร่วมบุญกันอย่างสมัครสมาน สามัคคี ด้วยอานิสงส์จากการกระทำดังกล่าว จะส่งผลให้บุคคลนั้น ได้ไปจุติเป็น เทพพรหมชั้นสูง 1000 ชาติ


ส่วนผู้ใดที่ได้มาร่วมใจกันบำเพ็ญทานสร้างบุญโดยการ สละทรัพย์ สละแรงกาย สละปํญญาความรู้ ก็จะได้ไปเกิดเป็น พระราชาเจ้าเมืองร้อยชาติ
และหากทุกคนได้อธิฐานจิต ต่อเบื้องพระพักตร์พระพุทธปฎิมา ที่ซ่อมเสร็จภายใน โบสถ์วิหาร หรือ สถานปฏิบัติธรรมนั้นๆ ผู้ได้ร่วมบุญทั้งหมดก็จะสามารถเข้าสู่ กระแสแห่งพระนิพพานได้ถ้วนหน้า



หากบุคคลใดได้พบเห็น คนแก่ชรา คนป่วยคนพิการ ทุพพลภาพ หรือ หญิงมีครรภ์ที่ยากจน แล้วบังเกิดเวทนาสงสาร อย่างแรงกล้า พร้อมกับได้
บริจาคทานยารักษาโรค เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อให้พวกเขาทั้งหลาย มีความสุข สะดวกสบายขึ้น บุคคลผู้ปฏิบัติ
เช่นนั้น จะได้รับอานิสงส์ยิ่งใหญ่ เขาจะได้ไปจุติเป็นสิ่งศักดิ์ มีผู้คนกราบ ไหว้บูชา เป็นเวลาถึง 200 กัปป์ และ จะสามารถสำเร็จมรรคผลได้ในที่สุด



ดูก่อน ..... กษิติครรภโพธิสัตว์ บุคคลผู้ซึ่งสามารถบริจาคทาน อย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด เป็นที่แน่นอนเหลือเกินว่าเขาผู้นั้น จะสามารถบรรลุมรรคผล สำเร็จเป็นพุทธะโดยมิต้องสงสัย เหตุฉะนี้ ท่านจงย้ำเตือนให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายในโลกียโลกหมั่นสร้างกุศลบริจาคทานอยู่เป็นนิจ
โดยเฉพาะการให้ธรรมะเป็นทาน อานิสงส์ที่บังเกิดขึ้นจะเป็นมหากุศลที่มิอาจประมาณได้
อนึ่งหากบุคคลใดมีจิตศรัทธาเคารพเลื่อมใส ถวายทานด้วยภัตตาหาร ผลไม้เครื่องบริโภค แด่พระพุทธปฎิมา และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนได้เกื่อกูล อุปถัมภ์ เหล่าพระสงฆ์ นักบวช นักพรต ผู้มีศีล บริสุทธิ์ทั้งหลายบุคคลนั้นจะ ได้เสวยสุขบนทิพยวิมาน นานเท่านาน


        หากบุคคลใด ได้สดับฟังธรรมกถา แม้เพียงวรรคเดียวแล้วบังเกิดจิตศรัทธา มุ่งมั่นอุทิศตนเผยแผ่หลักสัจธรรม เพื่อเป็นวิทยานแก่ ชาวโลกทั้งมวล บุคคล ผู้นั้นย่อมจะได้ชื่อว่า สามารถบำเพ็ญมหากุศลอันกว้างใหญ่ไพศาล


        หากบุคคลผู้ใดมีใจเป็นกุศล บอกกล่าวคนทั้งหลายให้กราบไหว้ พระไตรรัตน์ รู้จักประพฤติธรรม ต่อไปบุคคลนั้นจะได้เกิดเป็นผู้นำของมหาชนสืบต่อกันเป็น เป็นเวลา 33 ชาติ


        อนึ่ง หากบุคคลผู้ใดมีใจเป็นกุศล บอกกล่าวชักชวนคนทั้งหลายให้มาร่วมใจกันทะนุบำรุงปฏิสังขรณ์ ศาสนสถาน วัดวาอาราม สถานปฏิบัติธรรม ซ่อมแซม หนังสือพระธรรมคัมภีร์ ต่อไปบุคคลนั้น จะได้จุติเป็นมหาเทพ ผู้เปี่ยมด้วย ญาณปัญญา อันเลิศล้ำ และ สามารถ นำเอาหลักธรรมคำสอน มาฉุดช่วย มนุษย์ทั้งหลายสืบไป



ขอขอบคุณ  http://www.96rangjai.com/donation/
223  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมทันตา (แย่งสามีเขาตัวเราโดนเอง) เมื่อ: มกราคม 26, 2012, 02:43:41 pm
เรื่องจริงที่อยากเล่า กรรมตามทัน ( แย่งสามีเขาตัวเราโดนเอง )



เรื่องที่จะเล่านี้  เพิ่งเกิดขึ้นกับเรา เมื่อวันที่  15  ธันวาคม  2552  นี้เอง
เป็นเรื่องที่เราคิดไม่ถึงว่า มันจะเกิดขึ้นกับเรา

ก่อนอื่นเราจะบอกว่า  เราแต่งงานกับสามีเรา คนนี้ เมื่อ ต้นปี 2552  แต่คบกันมา ประมาณ  10  ปีแล้ว  และตอนนี้  เราท้องได้   8  เดือนแล้ว แต่เรื่องมาเกิดตอนที่เราท้องได้  5 เดือน

ประมาณ  19.00  น.  สามีเราโทรมาหา  ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้ว เครียด ๆ
เค้าบอกว่า
สามี    :  หนู พี่มีเรื่องจะบอกหนู
เรา      :  มีอะไรก็บอกมาเลย  ง่วงนอน เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย
สามี    :  พี่มี ผู้หญิงอีกคน  ก่อนที่จะแต่งงานกับหนู
เรา      :  อึ้งมาก  พูดอะไรไม่ออก  น้ำตาไหล โดยไม่รู้ตัว 
จากนั่นเราก็วางสายไป  คิดอะไรไม่ออก  ประมาณ ไม่ถึง  นาที  เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีก   เป็น สามีเราโทรมา   เราก็รีบรับสาย
สามี    :   หนู  ที่ออกค่าเช่าห้อง ค่าหอ ให้เค้าด้วย  พ่อพี่ก็รู้เรื่องนี้ ตั้งนานแล้ว
เรา      :   แล้วยังไง  (น้ำตาคลอ น้ำเสียงสั่น)
สามี    :  พี่จะมาขอเลิกกับเค้า   เค้าบอกว่า ให้โทรบอกหนู ว่าจะเลิกกับเค้า
เรา     :  พี่ไม่จำเป็นต้องเลิกกับเค้าหรอก  เลิกกับหนูก็ได้ เพราะว่า ที่พี่ทำ พี่ก็ไม่รักหนูแล้ว  พี่ไม่จำเป็นต้องเลิกกับเค้า 
แล้วเราก็วางสายไป  นอนร้องไห้ทั้งคืน

คงจะสงสัยกันว่า  สามี ภรรยา  ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ  เราและสามี  ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่ครบกันแล้ว  แต่ง มาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทำให้เป็นสาเหตุให้มีผู้หญิงอื่น เข้ามาแทรก

เราก็เลยลอง ๆ มานึกดูว่าคงจะเป็นกรรม ที่เราทำเอาไว้ เมื่อตอนที่เราเป็นวัยรุ่น

เรื่องของเราตอนวัยรุ่นมีอยู่ว่า
เมื่อ ต้นปี  2540  เราอายุประมาณ 20  เรียนจบ และได้ทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง  และได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง  และก็คบกับเค้ามา โดยที่รู้ว่า เค้ามีแฟนอยู่แล้ว  แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่น  ฉันจะเอา ใครจะทำไหม  อีกอย่างหนึ่ง พ่อแม่ ของผู้ชายก็ชอบเรา  ยิ่งทำให้เราได้ใจว่า ยังไงยังไง ฉันก็ต้องได้ เนี่ยละ ทำให้เราย้อนกับมาดูตัวเองตอนนี้เลยว่า   "ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เราแย่งแฟนเค้ามาเค้ารู้สึกอย่างไร"   
แต่เรื่องนี้ก็จบลงที่  "เราเป็นฝ่ายเดินออกมาเอง  เพราะคิดว่า  มันคงยังไม่ใช่คนที่เราจะลงหลักปรับฐานด้วยจริง ๆ "

จนปี  2543  ปลาย ๆ เราได้ไปทำงานอยู่ จังหวัดราชบุรี  และเราก็  ยังไม่เลิกนิสัยแย่งสามี หรือแฟนคนอื่นอีก
เราก็คบกับ สามีคนอื่น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เค้ามีลูกมีเมียอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยที่จะไป พูดอะไรกับภรรยาเค้าให้เสียใจนะว่า ฉันเป็นแฟนของสามีคุณ
(เราไม่เคยมีอะไรกับผู้ชาย 2 คนนี้เลย)  แต่ด้วยความอยากได้  ใคร่มี ทำให้เราคบกับผู้ชายคนนี้ มาจน เจอกับสามีคนปัจจุบัน
เรื่องมันจบลง ตรงที่เรา ย้ายมาทำงาน กทม.  เราเบื่อที่จะเป็นที่ สอง  เราอยากเป็น หนึ่งของคนที่รักเรา และรักเรา

เราคบกับสามี ตั้งแต่ ปลายปี 2543  ตั้งแต่เค้าเรียนรามฯ ยังไม่จบ จนจบและบวชแทนคุณพ่อแม่ ปลายปี 2548 และ เรียนเนติจบปี 2549  และได้ทำงาน รับราชการตำรวจ ในปลายปี 2550  แต่เราก็แต่งงานกัน ต้นปี 2552

เราอยู่กับสามีเรามาตั้งแต่ เจอกันใหม่  (เค้าเป็นคนแรกของเรา ตัวเค้าเองก็รู้ตอนมีอะไรกัน)  ตั้งแต่คบกันมา เค้าไม่เคยมีนิสัยเจ้าชู้ให้เราต้องระแวงเลย เพราะเค้าเป็นคนที่ไม่ค่อยมองใคร 

แต่เรื่องที่มันเกิด  เกิดจาก  ผู้หญิง คนนี้มาติดต่องานกับสามีเรา  สามีเราต้องทำคดีใหเค้า  ก็เลยเกิดความสัมพันธ์กันแบบชู้สาว  ประมาณ ปีกว่า ๆ

สามีเรา  เล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟัง  บอกว่า  ผู้หญิงคนนี้ เค้าชวนไปกินข้าว ชวนไปไหนต่อไหนด้วย ก็เลยเกิดความ เผลอ  เผลอใจด้วยกันทั้งคู่
เราเสียใจมาก ๆ  แต่ก็ไม่เคยที่จะต่อว่า สามี ไม่โกรธ เพราะเราเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า เราก็เคย แย่งแฟน และ สามีคนอื่นเค้ามาเหมือนกัน 
สามีเราขอโอกาสแก้ตัวใหม่ ขอโทษเรา ว่าต่อไปจะไม่ทำอีก แต่ในใจลึก ๆ ของเรา  เราไม่เชื่อใจ สามีตัวเองอีกแล้ว  มันมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งที่สองต่อไปอีก  แต่เราไม่เคยโทษใคร  โทษตัวเราเองมากกว่า ว่าไปทำกับคนอื่นเค้าไว้   เค้าก็เลยมาทำกับเราบ้าง

ทุกวันนี้  เรื่องมันผ่านไป  3  เดือนกว่า ๆ แต่เราก็ยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกวันนี้อยู่เพื่อ "ลูก"  มีลมหายใจ  มีชีวิตอยู่เพื่อ "ลูก" คนเดียว ส่วนสามี จะยังไง เราก็คงจะไปบังคับอะไรเค้าไม่ได้  แต่เค้าก็ มาหาเรา มีเพียงบางวันที่เค้า เข้าเวร เที่ยงคืน ออก หกโมงเช้า เค้าจะอยู่บ้านพ่อที่ กทม เพราะว่า บ้านเราอยู่ ไกลจากที่ทำงาน อยู่คนละจังหวัดกันเลย

แต่เราคงจะห้ามให้เค้า  มีใหม่ไม่ได้  แต่ถ้าจิตสำนึกเค้าคิดได้ เค้าคงจะไม่ทำอีก
ขนาดพ่อเค้ารู้  พ่อเค้ายังไม่ห้ามเค้าเลย  แถมยังตามใจอีก "เอ็งมี ก็จัดการ จัดสรรเวลาให้ดีละกัน"   พ่อสามี  เค้าไม่ค่อยชอบเราเท่าไร  เค้าก็เลยส่งเสริมสามีเรามั่ง  (เราคิดแบบนี้อ่ะ) 
คนเป็นพ่อเป็นแม่  เมื่อลูกตัวเองทำผิด ก็ควรตักเตือนบาง ไมใช่  "ตามใจเอ็ง"
นี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราไม่ไปอยู่กับสามีเรา ที่กรุงเทพ เพราะไป อยู่กับครอบครัวใหญ่ ๆ เราอึดอัด  ยิ่งเค้าไม่ชอบเราแล้วด้วย เราอยู่บ้านเราดูแลพ่อแม่เราดีกว่ายังสบายใจเสียกว่า


อยากจะฝากบอก สาว ๆ ที่คิดจะแย่ง แฟน หรือ สามีคนอื่น หรือ ที่อยากจะไปเป็นเมียน้อย

ขอเถอะ  "กรรม มันตามทันในชาตินี้ละ ไม่ต้องรอชาติหน้าเลย"   เจ็บนะ กับสิ่งที่เกิดขึ้น  แต่ก็ต้องทำใจ  อยู่ต่อไป

บ่นมาซะยาว  ก็แค่อยากจะระบายให้ฟัง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย  มันเจ็บ ร้องไห้ทุกวัน  ระแวง  กังวล  กลัว ไปหมด แต่ก็พยายามไม่คิดมาก  เดี่ยวตัวเล็กออกมาจะเครียดตามเปล่า ๆ

ลืมเหตุการณ์อีกอย่างหนึ่ง

ผู้หญิงคนนี้ โทรมาหาเรา บอกว่า

ผู้หญิง : พี่ .... ใช่ไหมค่ะ หนู เป็นเมียของ พี่..... ค่ะ
เรา : อืม แล้วยังไงเหรอ
ผู้หญิง : หนูขอสามี พี่ได้ไหม เพราะว่า ถ้าเค้ารักพี่เค้าคงจะไม่นอกใจพี่มาคบกับหนู
เรา : พี่ไม่ใช่คนตัดสินใจ พี่.... เป็นคนตัดสินใจนะ ถ้าเค้าจะไป พี่ก็ห้ามเค้าไม่ได้ (แต่ในใจร้องไห้แล้ว)
ผู้หญิง : หนูขอสามีพี่ละกัน ยังไงหนูก็จะทำให้ สามีพี่ เลิกกับพี่ให้ได้
เรา : อืม ก็ตามใจ อยากได้ก็เอาไปนะ

เราก็เล่าให้สามีเราฟัง สามีเราโมโหมากที่ผู้หญิงคนนี้ โทรมาราวีเรา แต่เรารู้สึก ด้านแล้วละ เพราะว่า เราเข้าใจ ผู้หญิงคนนี้ไง เพราะเป็นเคยเป็นมาก่อน ไม่โกรธนะ ไม่แค้นด้วย ถ้าแค้น เราด่าไปแล้ว แต่นี้เรานิ่ง

ทุกวันนี้  ผู้หญิงคนนั้น ทั้งส่งข้อความและก็โทรศัพท์ มาหา  อย่างล่าสุดเลย  โทรมาบอกว่า
ผู้หญิง  :  พี่....  ตอนนี้   พี่.....  อยู่กับหนูนะ
เรา      :  นิ่ง  และ ก็ เงียบ  (แต่ในใจมันกังวลบอกไม่ถูกว่าจะเชื่อใครดี)
ผู้หญิง  :  พี่เป็นอะไรไปหรือค่ะ  เงียบเลย  เสียใจเหรอ  หนูขอละกัน  ยังไง พี่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันนี่น่า  จะมาห่วงก้างทำไมค่ะ
เรา      :  พูดจบแล้วใช่ไหม  แค่นี้นะ  (นิ่ง  เสียใจ  และ ร้องไห้  เพราะม่รู้ว่าจะเชื่อใคร)  แต่วันนี้ สามีเราทำงานไง  เราโทรไป เช็คที่ ที่ทำงานเค้าแล้ว  แล้วเค้าก็อยู่ที่นั่นด้วย  เค้าไม่ได้โกหกเรา
อยากจะบอก ภรรยาหลาย ๆ คน ที่เจอเหตุการณ์แบบเรา ให้ "นิ่ง" อยากเดียว ถ้าไป ด่า อย่าไป ทุบตี สามี จะยิ่งทำให้สามีห่างจากเรามากขึ้น
ยังไง เรื่องมันก็คงยังไม่จบหรอก แต่ไม่เป็นไร เรามีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นรออยู่
       
 

ขอขอบคุณที่มา   http://www.tairomdham.net/index.php?topic=229.0

224  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมทำแท้ง เมื่อ: มกราคม 25, 2012, 03:08:26 pm


ย้อนรอยกรรม

ป้าแม้น จันทร์หอม อายุ 65 ปี อาชีพแม่บ้าน


เมื่อประมาณ 23 ปี ที่แล้ว มีเด็กสาวที่ทำงานโรงงานที่ป้าแม้นรู้จักได้ตั้งครรภ์ ตอนนั้นพ่อและแม่ของเด็กก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงเด็กคนนี้ได้ เมื่อคลอดเด็กออกมาได้ 3 วัน ด้วยความสงสาร และตัวเองก็ไม่ได้มีลูกชาย เลยตัดสินใจขอรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้เอง ตอนนั้นฐานะทางบ้านก็เพียงแค่พอมีพอกิน แต่ก็ไม่ได้มีหนี้มีสินอะไร คิดเพียงแต่ว่าอยากจะช่วยชีวิตคนๆ หนึ่งที่เป็นตัวเป็นตน ได้ลืมตามาดูโลกนี้ไว้  ตอนที่เลี้ยงเด็กคนนี้ป้าแม้นก็ดูแลอย่างดี เหมือนลูกในไส้ของตนเอง แต่เรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น คือว่า ป้าแม้นตั้งครรภ์ ซึ่งตอนนั้นก็มีอายุ 42 ปีแล้ว ตอนนั้นป้าแม้นก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะเอาลูกเขามาเลี้ยงแล้ว แต่ลูกอิจฉากลับมาเกิดอีก จะทำยังไงดี เพราะฐานะของเราคงไม่สามารถเลี้ยงดูให้เขามีความสุขได้ จะเอาลูกคนนี้ไปคืนก็ไม่ได้ เพราะด้วยความรัก และความผูกพันกับลูกคนนี้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์คิดว่าเด็กในท้องยังไม่ได้เป็นตัวเป็นตน ยังเป็นแค่ก้อนเนื้อ จึงตัดสินใจไปทำแท้งกับหมอเถื่อน ต่อมาก็มีคนที่รู้ก็มาขอให้พาไปทำแท้งอีกเรื่อยๆ ทุกครั้งเราก็จะห้ามเขาตลอดเวลา  แต่อีกใจหนึ่งก็เห็นใจคนที่ต้องการทำแท้ง เข้าใจหัวอกกันดี บางคนก็ถูกผู้ชายทิ้งบ้าง หรือไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กที่จะเกิดมาได้ เห็นเขาร้องห่มร้องไห้ ก็อดสงสารไม่ได้ ความสงสารมันมีมากกว่าความกลัวบาปกลัวกรรม  ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตก็รุ่มร้อน อยู่ไม่ติดที่ เคยเป็นหนี้เป็นสิน แต่ลูกก็ช่วยชดใช้ให้  ในวันแรกที่ได้พบแม่ชีนั้น  แม่ชีทักป้าแม้นทันทีว่า “ทำแท้งมาใช่ไหม” เมื่อมาฝึกสมาธิกับแม่ชี ก็รู้สึกเบาขึ้น จากที่รู้สึกหนักเนื้อหนักตัวก็เบาลง แม่ชีให้มาถือศีลกับแม่ชีก่อน แล้ววันสุดท้ายที่จะกลับแม่ชีก็ได้สื่อวิญญาณให้กับวิญญาณของเด็ก ซึ่งในภาพที่ท่านแม่ชีเห็นก็คือ มีเด็กมาเกาะตามแขนของป้าแม้น  ป้าแม้นบอกแม่ชีว่า ได้เคยทำแท้งมา และก็พาคนอื่นไปทำแท้งด้วย รวมทั้งหมด 7 คน ป้าแม้นจึงทำบุญไปให้ ด้วยสังฆทาน 7 ถัง ในขณะที่แม่ชีสวดส่งวิญญาณให้เจ้ากรรมนายเวรได้มารับผลบุญส่วนกุศลนั้น ท่านแม่ชีบอกว่าให้ไปหยิบสังฆทานมาเพิ่มอีก 1 ถัง เพราะแม่ชีเห็นวิญญาณที่ติดตามมามี 8 คน ไม่ใช่ 7 คน เป็นผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 4 คน ซึ่งป้าแม้นได้บอกเองทีหลังว่า จริงๆ แล้วตนเองเคยไปช่วยยกผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขานอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นเขาตั้งครรภ์ ขณะที่ยก ป้าแม้นได้ยินเสียงดัง “กรึ๊ก” ต่อมาผู้หญิงคนนั้นก็แท้งลูก ตกเลือด ซึ่งวิญญาณของเด็กนั้นก็ติดตามมาด้วย ท่านแม่ชีได้ให้ความรู้ว่า บางคนแท้งเอง โดยที่แม่ไม่ได้ต้องการจะให้เด็กตาย แต่วิญญาณของเด็กก็ยังติดตามแม่อยู่ไม่ได้ไปไหนก็มี เพราะถ้าคนตายแล้วบางทีเขาไม่รู้ที่ไป ก็ยังวนเวียนอยู่กับเรา  ในกรณีของป้าแม้นนี้ วิญญาณของเด็กที่ป้าแม้นพาไปทำแท้งก็วนเวียน อาฆาต พยาบาทอยู่ เพราะเราเป็นคนหนึ่งซึ่งมีส่วนทำให้เขาตาย เราต้องปฏิบัติธรรม อุทิศส่วนกุศลไปให้เขา เพื่อให้เขาได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี

ขออนุโมทนาบุญกับป้าแม้น จันทร์หอม และวิญญาณของเด็กทั้ง 8 คน ที่ได้เผยแผ่เรื่องนี้ให้เป็นอุทาหรณ์กับผู้ที่คิดจะทำแท้ง หวังว่าเรื่องราวของป้าแม้นจะทำให้เด็กอีกกลุ่มหนึ่ง ได้มีโอกาสเกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ ขอมหากุศลในครั้งนี้ จงส่งผลให้ป้าแม้น พ้นไปจากบ่วงกรรมทั้งปวงที่เคยได้กระทำไว้ ขอให้ชีวิตของป้าแม้น จงมีแต่ความสุข ความเจริญ สาธุ...

ธรรมะจากแม่ชี

กรรมหนักอันดับหนึ่งก็คือ กรรมฆ่ามนุษย์ ยิ่งการทำแท้งเป็นกรรมหนักมากเพราะเราได้กระทำกับผู้ที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา จากผู้คนที่เข้ามาหาแม่ชีนั้น ผู้ที่ทำกรรมนี้ไว้ จะมีโรคประจำตัวบ้างที่รักษาไม่หาย หรือ รู้สึกหนักเนื้อ หนักตัว ทำกินจะไม่ขึ้น มีหนี้มีสิน เราจะต้องอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับวิญญาณเด็กที่ตาย ส่วนมากแม่ชีจะแนะนำให้บวช เพราะการบวชถือเป็นบุญใหญ่ มีพลังมากที่จะส่งดวงวิญญาณให้เด็กได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ ถ้าบวชไม่ได้ก็จะให้เป็นเจ้าภาพบวชพระ หรืออย่างน้อยที่สุดถวายสังฆทานที่มีชุดไตรจีวร สำหรับเด็กที่เป็นผู้ชาย  ส่วนผู้หญิงก็จะเป็นชุดบวชชีพราหมณ์แทน   ใครก็ตามที่เข้ามาหาแม่ชี แม่ชีจะรู้ทันทีว่าคนนี้เคยทำแท้งมาหรือไม่ ทำมากี่ครั้ง และจะสามารถรู้ได้ด้วยว่าเป็นผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน ซึ่งเรื่องนี้แม่ชีจะไม่พูดออกไปทันที จะให้ความเคารพสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคน เพราะบางคนก็ไม่ได้มาคนเดียวพาเพื่อนมาด้วย ก็ไม่กล้าพูดออกไป ใจจริงๆ ก็สงสารเขาอยู่ ถ้าไม่มีคนอื่นแม่ชีก็จะพูดทักออกไปเหมือนกัน เพราะอยากจะช่วยให้เขาหลุดกรรมที่ได้เคยทำไว้ เป็นการได้ปลดปล่อยวิญญาณของเด็กที่ตามมาด้วยอีกทางหนึ่ง แต่ถ้าคนไหนสารภาพออกมาเองเลย กรรมเขาจะหมดเร็วมาก แม่ชีก็จะให้เขามาถือศีล แล้ววันสุดท้ายก็จะสื่อกับวิญญาณให้ ขอให้อโหสิกรรมให้แก่กัน  เมื่อออกไปแล้ว จะไปทำมาหากินก็จะได้เจริญก้าวหน้า ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาเบียดเบียนอีก เรื่องพวกนี้เหมือนเขี่ยผงออกจากตา ถ้าทำเป็นจะไม่มีอะไรซับซ้อนเลย

คนที่เคยผิดพลาดไปแล้ว แม่ชีก็เข้าใจเขา ว่าเขาไม่กล้าบอกใคร ไม่อยากให้ใครรู้  แต่ถ้าเรารู้สึกผิดและละอายต่อสิ่งที่เราทำไปแล้ว แม่ชีก็ยินดีที่จะรับฟัง และพร้อมที่จะช่วยหาทางออกให้ เพราะคนเราไม่มีใครถูกตั้งแต่เกิดหรอก เคยทำผิดพลาดด้วยกันมาทั้งนั้น  ขออย่างเดียวให้คนรอบข้างเข้าใจ และให้อภัยในสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว และช่วยกันหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ขอขอบคุณ  http://www.maeshemanora.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=484725
225  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / คุณ บิดา มารดา เมื่อ: มกราคม 25, 2012, 02:07:00 pm
บุพการี



























































ขอขอบคุณ  http://www.96rangjai.com/forum/index.php?topic=1691.msg6917#msg6917
226  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด เมื่อ: มกราคม 25, 2012, 10:52:11 am



อานุภาพแห่งพระพุทธศาสนา
เราต่างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา...เพราะพระพุทธศาสนาจริง ๆ
ดีได้เพียงนี้ ไม่ดีน้อยกว่านี้...เพราะพระพุทธศาสนา
ร้ายเพียงเท่านี้ ไม่ร้ายมากไปกว่านี้...เพราะพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่ง กล่าวไว้มีความว่า "ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนนั้นให้ดี"
เป็น การเตือนด้วยถ้อยคำอันไพเราะยิ่งนัก ควรนักที่จะได้รับความสนใจอย่างยิ่ง ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ควรรักษาตนนั้นให้ดี ขอให้ทบทวนคำเตือนนี้ให้เสมอ จะรู้สึกว่าเป็นคำเตือนที่สุภาพอ่อนโยน ไพเราะลึกซึ้ง เปี่ยมด้วยเมตตา เมื่อทบทวนคำเตือนนี้แล้ว ก็น่าจะนึกเลยไปให้ได้ความเข้าใจว่าท่านผู้กล่าวคำเตือนได้เช่นนี้ ต้องมีจิตใจสูงส่ง มีเมตตาปรารถนาดีอย่างที่สุดต่อเราทุกคน จึงควรเทิดทูนความเมตตาของท่าน ให้ความสนใจและปฏิบัติให้เป็นไปตามคำของท่าน เพื่อเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทีตอบแทนพระคุณ และน้ำใจงดงามที่ท่านมีต่อเราทั้งหลาย และท่านผู้นั้น คือ "พระพุทธเจ้า"


ความจริงที่ควรระลึกถึงอย่างสม่ำเสมอ
เรา รักตัวเรา คนอื่นก็รักตัวเขา เราไม่อยากให้ใครทำเช่นไรกับเรา คนอื่นก็ไม่อยากให้เราทำเช่นนั้นกับเขา เราอยากให้คนอื่นทำดีกับเราอย่างไร คนอื่นก็อยากให้เราทำดีกับเขาอย่างนั้น ขอให้พยายามคิดถึงความจริงนี้ให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะมีสตินึกได้ จะเป็นคุณแก่ตนเองอย่างยิ่ง การคิดพูดทำทั้งหมดจะเป็นไปอย่างดีที่สุด ไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่น ไม่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น


เพราะรักตนอย่างยิ่งนั่นเอง
จึงเป็นผู้ประพฤติ ปฏิบัติดี เพื่อให้ตนเป็นคนดี
การ สามารถรักษาจิตใจ รักษาวาจา รักษาการกระทำ ให้เป็นไปเพื่อไม่ก่อทุกข์โทษภัยแก่ผู้อื่น ไม่เรียกว่าเป็นการทำเพื่อผู้อื่น ไม่เรียกว่าเป็นการถือว่าผู้อื่นเป็นที่รักของตน แต่เป็นการทำเพื่อตนเอง เป็นการถือว่าตนเป็นที่รักของตนอย่างยิ่ง ไม่มีความรักอื่นเสมอด้วยความรักตน
ผู้ที่สามารถรักษากาย วาจา ใจ ตนให้ดีได้นั้นก็คือ "ผู้ที่รักตนอย่างยิ่ง" นั่น เอง เพราะรักตนอย่างยิ่งจึงประพฤติดีปฏิบัติดีเพื่อให้ตนเป็นคนดี ผู้ที่ถือเอาการได้มากด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่เลือกสุจริต ทุจริต ไม่ใช่คนรักตนเอง ผู้ที่มีกิริยาวาจาหยาบคายก้าวร้าว ทิ่มแทงหลอกลวง ไม่ใช่คนรักตนเอง ไม่ใช่คนที่จะทำให้ตนเองสวัสดีได้ ตรงกันข้ามที่ทำเช่นนั้นเป็นการไม่รักตนเอง แม้คนจะคิดว่าการที่ทำเพราะไม่รักผู้อื่นก็ตาม แต่ความจริงแท้เป็นการไม่รักตน เป็นการทำให้ตนต่ำทราม เมื่อจะคิดชั่วพูดชั่วทำชั่วเมื่อใด ขอให้นึกถึงตนเอง นึกว่าตนเป็นที่รักของตน จึงไม่ควรทำลายตนเหมือนตนเป็นที่รังเกียจเกลียดชังอย่างยิ่ง จนถึงต้องทำลายเสีย การคิดชั่วพูดชั่วทำชั่ว เป็นการทำลายตนอย่างแน่แท้


ความดีความชั่วเป็นปัจจัยสำคัญให้สังคมวุ่นวาย
สังคม แห่งมนุษยชาติบางคราวสงบเย็น บางคราวเดือดร้อนวุ่นวาย ก็เพราะมีความดีความชั่วเป็นปัจจัยสำคัญ พระพุทธศาสนาจึงมุ่งแนะนำสั่งสอนให้ประกอบความดี ละเว้นความชั่ว และอบรมจิตใจให้ผ่องแผ้ว ซึ่งจะผลักดันให้ทำความดี ส่วนจิตใจชั่วทรามย่อมนำให้สร้างความชั่วเสียหายยังแก่ตนเอง ทั้งแก่ผู้อื่น


ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด จงอย่าช้ารีบเร่งทำความดี
ทุก ชีวิตมีเวลาจำกัด อย่างมากไม่เกิดร้อยปีก็จะต้องละร่างนี้ ละโลกนี้ไป อย่าผลัดวันประกันพรุ่งที่จะทำความดี เพราะถ้าสายเกินไปเมื่อไร ก็ตนเองนั่นแหละจะต้องได้เสวยผลของการไม่กระทำกรรมดี ไม่มีผู้ใดอื่นจะรับผลของความดีความชั่วที่ตนเองทำไว้ เจ้าตัวเองเท่านั้น จักเป็นผู้รับผลของความดี ความชั่วที่ตนทำ


อย่ายอมให้ความชั่วมีอำนาจแบ่งเวลาในการทำดี
ความ ดีก็ตาม ความชั่วก็ตาม เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกเวลา แต่จะทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ ต้องทำทีละอย่าง จึงต้องตัดสินใจเลือกว่าจะทำอย่างไหน จะทำความดีหรือจะทำความชั่ว อย่ามีใจอ่อนแอโลเลเพราะจะทำให้พ่ายแพ้ต่ออำนาจของความชั่ว ยอมให้ความชั่วมีอำนาจแย่งเวลาที่ควรทำความดีไปเสีย ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง จะเป็นการแสวงหาทุกข์โทษภัยใส่ตัว อย่างไม่น่าทำ


ตนนั่นแหละ เป็นผู้นำพาชีวิตของตน
พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้แปลความว่า "ตนเทียวเป็นคติของตน" คือ ตนนั้นแหละ จักเป็นผู้พาตนเองไป ไปดีไปชั่ว ไปสว่างไปมืด ไปอย่างไรก็ได้ทั้งนั้นแล้วแต่ตนจะพาตนเองไป ที่มักกล่าวกันว่าคนนั้นพาคนนี้ไปดีไม่ดีนั้น ไม่ถูกต้องตามความจริง ไม่มีผู้ใดจะพาใครไปไหนได้ นอกจากเจ้าตัวเองจะเป็นผู้พาตัวเองไป ผู้อื่นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น
แม้ ตัวเองไม่พาตัวเองไปดีแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอื่นจะสามารถพาไปดีได้อย่างแน่นอน หรือแม้ตัวเองไม่พาตัวเองไปชั่วแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอื่นจะสามารถพาไปชั่วไปอย่างแน่นอน เช่น มีผู้มาชวนให้ทำบุญ แม้ตัวเองไม่ทำตาม ก็จะไม่ได้ทำบุญ มีผู้มาชวนให้ทำบาป แม้ตัวเองไม่ทำตาม ก็จะไม่ได้ทำบาป ไม่ว่าในเรื่องใดทั้งนั้น ถ้าตัวเองไม่เห็นดีเห็นงามตามไปด้วยแล้ว ไม่ทำตามแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดมานำได้ ตนเองเท่านั้น จักนำตนเองไปได้ทุกที่ทุกทาง ทั้งที่ดีทั้งที่ชั่ว ตนเองจึงสำคัญนัก ตนจึงเป็นคติของตนจริง


ทุกชีวิต ล้วนปรารถนาไปสู่ที่ดีที่สว่าง
ทุก คนควรตั้งปัญหาถามตนเอง ว่าชอบจะพาตนเองไปสู่ที่ดีหรือไปสู่ที่ชั่ว ไปสู่ที่สว่างหรือไปสู่ที่มืด คำตอบน่าจะตรงกันทั้งหมด ว่าทุกคนชอบจะพาตนไปสู่ที่ดีที่สว่าง ไม่ใช่ไปสู่ที่ชั่วไปสู่ที่มืด เมื่อรู้คำตอบปัญหาเช่นนี้ ก็ต้องรู้ต่อไปว่า ผู้นำ คือ ตนเองนั้น จะต้องรู้ทางไปสู่ที่ดีที่สว่างให้ถนัดชัดแจ้งถูกต้อง ไม่เช่นนั้นก็จะพาตนไปไม่ถูกต้องดังปรารถนา นั่นก็คือ ต้องรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไปสู่ที่ดีที่สว่าง ไม่หลงไปสู่ที่ชั่วที่มืด เราเป็นพุทธศาสนิก มีโอกาสดีอย่างยิ่ง มีโอกาสดีกว่าผู้อื่น พระพุทธศาสนาแสดงทางดีทางสว่างไว้ชัดแจ้งละเอียดลออ ดีน้อยดีมาก สว่างน้อยสว่างมาก มีแสดงไว้แจ้งชัดในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงเห็นแจ้งทุกสิ่งทุกอย่างได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เพื่อพุทธศาสนิกได้ดำเนินรอยพระพุทธบาทได้ถูกต้อง ได้ไปถึงที่ดีที่สว่าง โดยไม่ต้องคลำทางด้วยตนเองให้ลำบาก สำคัญที่ว่าพุทธศาสนิกจะต้องศึกษาพระธรรมคำที่พระพุทธองค์ทรงสอนและต้อง ปฏิบัติตาม


ผู้ปรารถนาความดี ความสว่างแห่งชีวิต
พึงดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอน
พระ พุทธองค์ทรงตามประทีปไว้แล้ว ให้เราเห็นทางดำเนินไปสู่ที่ดีที่พ้นทุกข์ เราจงอย่าปิดตาจงลืมตาดูแสงประทีปนั้น ให้เห็นทางสว่างด้วยแสงแห่งพระมหากรุณา แล้วพากันน้อมรับพระมหากรุณานั้นดำเนินไปตามทางที่สว่าง จักไม่พบอันตรายที่ย่อมแอบแฝงอยู่ในความมืด
ความ สำคัญจึงมิได้อยู่ที่แสงประทีป ซึ่งพระพุทธองค์ทรงจุดประทานไว้ด้วยพระมหากรุณาเท่านั้น แต่ต้องอยู่ที่ตนเองของทุกคนด้วย ถ้าพากันปิดตาไม่แลให้เห็นแสงประทีป ก็อาจจะเดินไปสู่ที่มืดที่ชั่ว ที่มีอันตรายร้อยแปดประการได้ แต่ถ้าพากันลืมตาขึ้น ดูให้เห็นทางอันสว่างไสว แล้วเดินไปตามทางนั้น ก็ย่อมจะเดินไปสู่ที่สว่าง ไปสู่ที่ดี พ้นภยันตรายมากมีทั้งหลาย


พึงอบรมตนให้เป็นคติ คือทางที่ดีของตน
ไม่ มีผู้ใดปรารถนาจะมีหนทางชีวิตที่มืด มีแต่ปรารถนาหนทางชีวิตที่สว่าง ดังนั้นต้องอบรมตนให้รู้จักทาง ทางมืดก็ให้รู้ ทางสว่างก็ให้รู้ ทางไปสู่ที่มืดก็รู้ ทางไปสู่ที่สว่างก็รู้ รู้ทางแล้วยังไม่พอ ต้องศึกษาวิธีเดินทางให้ดีด้วย เดินทางสว่างนั้นท่านเดินกันอย่างไรต้องศึกษาให้ดี เดินอย่างไรจะเป็นการเดินทางมืด และต้องรู้ว่าขึ้นชื่อว่าทางมืดต้องมีอันตรายแอบแฝงอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่พึงเดินไปอย่างส่งเดช อบรมใจให้ดีให้ตาสว่าง จะได้เดินถูกทาง สามารถนำไปดีได้ ทำตนให้เป็นคติคือทางที่ดีของตนได้


ทุกชีวิต ล้วนตกเป็นเครื่องมือของกรรม
ความ รังเกียจหรือความนิยมยกย่องคนที่ชั่วและคนดีได้รับ เป็นผลแห่งกรรมของตน ไม่ใช่เป็นอะไรอื่น ความรังเกียจที่คนชั่วได้รับ เป็นผลแห่งกรรมชั่ว ความนิยมยกย่องที่คนดีได้รับ เป็นผลแห่งกรรมดี คนทั้งหลายรวมทั้งตัวเราทุกคน เป็นเครื่องมือของกรรมที่จะเป็นเหตุให้ผลของกรรมชั่วและผลของกรรมดีปราก ฎชัดเจนขึ้นเท่านั้น ผู้มีปัญญาไม่นิยมคำว่า "ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์" เพราะเป็นความไม่ถูกต้อง ความเสื่อมทั้งหลายเกิดจากความนิยมนี้ได้มากมาย


ผู้ยินดีในความถูกต้อง พึงอบรมตนให้มีสัมมาทิฐิ
แม้ ทำความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในจิตใจตนได้แล้ว การปฏิบัติที่ถูกต้องก็ย่อมจะต้องตามมาอย่างแน่นอน เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ คือ ทุกสิ่งเป็นไปตามอำนาจความเห็นถูกเห็นผิดของใจ
การอบรม ความเห็นให้ถูก ให้เป็นสัมมาทิฐิหรือความเห็นชอบ ไม่ให้เป็นมิจฉาทิฐิหรือความเห็นผิด จึงเป็นความสำคัญที่สุดของผู้ยินดีในความถูกต้อง ใจของเราทุกคนนี้สำคัญนัก สติก็สำคัญนัก ปัญญาก็สำคัญนัก เมตตากรุณาก็สำคัญนัก ทั้งหมดนี้ไม่ควรแยกจากกัน มีใจก็ต้องให้มีสติ ต้องให้มีปัญญา ต้องให้มีกรุณา ประคับประคองกันไปให้เสมอ อย่าให้มีสิ่งอื่นนอกจากสติปัญญาและเมตตากรุณาเข้ากำกับใจ
สติ และปัญญาพร้อมเมตตากรุณานั้น เมื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจ จะทำให้ใจมีสัมมาทิฐิหรือความเห็นชอบได้ ตรงกันข้าม แม้ใจขาดสติปัญญา และเมตตากรุณา ก็จะทำให้มีมิจฉาทิฐิหรือความเห็นผิดได้ง่าย


สติปัญญา เมตตากรุณา สำคัญยิ่งแก่ทุกชีวิต
สติ ปัญญา และเมตตา กรุณา เป็นความสำคัญอย่างยิ่งของทุกคน เป็นสิ่งช่วยให้คนเป็นคนอย่างสมบูรณ์ขึ้น งามพร้อมขึ้นจึงพึงเพิ่มพูนทั้งสติ ปัญญา และเมตตา กรุณา ซึ่งสามารถอบรมได้พร้อมกัน ให้เกิดผลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ก่อนจะพูดจะทำอะไร พึงมีสติรู้ว่าแม้พูดแม้ทำลงไป จะเกิดผลอะไรตามมา เป็นความเสียหายแก่ผู้ใดหรือไม่ ต้องใช้ปัญญาในตอนนี้ให้พอเหมาะพอควร พร้อมทั้งใช้เมตตากรุณาให้ถูกต้อง เว้นการพูดการทำที่จะเป็นเหตุแห่งความกระทบกระเทือนใจผู้ฟังโดยไม่จำเป็น
พระ พุทธเจ้าทรงยิ่งด้วยพระมหากรุณา ทรงตั้งพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาเพื่อจิตใจ ผู้เป็นพุทธศาสนิกพึงคำนึงถึงความจริงนี้ให้อย่างยิ่ง จะคิด จะพูด จะทำอะไร มีสตินึกถึงจิตใจผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย อย่าให้ได้รับความชอกช้ำโดยไม่จำเป็น


ที่พึ่งของชีวิต อันไม่มีที่พึ่งใดเปรียบได้
พระ พุทธศาสนาเป็นศาสนาเพื่อจิตใจโดยแท้ เป็นศาสนาที่ทะนุถนอมจิตใจเป็นอย่างยิ่ง มุ่งพิทักษ์รักษาจิตใจเป็นอย่างยิ่ง มุ่งพิทักษ์รักษาจิตใจให้ห่างไกลจากความเศร้าหมองทั้งปวง อันจักเกิดแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศึกษาพระพุทธศาสนาให้รู้จริง ก็จะเห็นพระพุทธเจ้าว่า ทรงมีพระหฤทัยละเอียดอ่อนและสูงส่งเหนือผู้อื่นทั้งปวง ความอ่อนโยนประณีตแห่งพระหฤทัย ทำให้ทรงเอื้ออาทรถึงจิตใจสัตว์โลกทั้งหลาย ทรงแสดงความทะนุถนอมห่วงใยสัตว์น้อยใหญ่ไว้แจ้งชัด สารพัดที่ทรงตรัสรู้อันจักเป็นวิธีป้องกันจิตใจของสัตว์โลก สมเด็จพระบรมศาสดาทรงพระมหากรุณาพร่ำชี้แจงแสดงสอนตลอดพระชนมชีพที่ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เช่นนี้แล้วไม่ความหรือที่พุทธศาสนิกทุกถ้วนหน้า จะตั้งใจสนองพระมหากรุณาเต็มสติปัญญาความสามารถปฏิบัติตามที่ทรงสอน เอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย ด้วยการแนะนำบอกเล่าให้รู้จัก ให้เข้าใจว่าสมเด็จพระพุทธศาสดานี้ทรงยิ่งด้วยพระมหากรุณา จึงทรงอบรมพระปัญญา จนถึงสามารถทรงยังให้เกิดพระพุทธศาสนาขึ้นได้ เป็นที่พึ่งยิ่งใหญ่ของสัตว์โลกทั้งหลายได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีที่พึ่งอื่นใดเปรียบได้


ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด
พึงรำลึกในพระคุณและน้ำใจของพระพุทธองค์
ทุก คนที่เคยประสบความขัดข้องในชีวิต ปรารถนาจะได้รับความช่วยเหลืออย่างที่สุด เมื่อมีผู้ใดมาให้ความช่วยเหลือแก้ไขความขัดข้องนั้นให้คลี่คลาย ช่วยให้ร้ายกลายเป็นดี แม้มีจิตใจที่กตัญญูรู้คุณ ผู้ได้รับความช่วยเหลือด้วยเมตตา ให้ผ่านพ้นความมืดมัวขัดข้อง ย่อมสำนึกในพระคุณและน้ำใจ ย่อมไม่ละเลยที่จะตอบแทน... พระมหากรุณาของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่เหนือความกรุณาทั้งหลายที่ทุกคนเคยได้รับ มาในชีวิต แม้ไม่พิจารณาให้ประณีตก็ย่อมไม่เข้าใจ แต่แม้พิจารณาให้ประณีตด้วยดี ย่อมไม่อาจที่จะละเลยพระคุณได้ ย่อมจับใจในพระคุณพ้นพรรณนา
*****


จากหนังสือ "ทุกชีวิต มีเวลาอันจำกัด"
พระราชนิพนธ์เพื่อความสวัสดีแห่งชีวิต
และพระคติธรรมเพื่อเป็นแสงส่องใจ
หนังสือพระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



ขอขอบคุณ  http://www.96rangjai.com/life/
227  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ชีวิคคือ อะไร? เมื่อ: มกราคม 25, 2012, 10:40:41 am
เท่านี้หรือคือ "ชีวิต" ?

   1. เกิดมา...
   2. เข้าโรงเรียน...
  3. เรียนต่อ...

   4. เรียนจบ...

  5. ทำงาน...

   6. แต่งงาน...

   7. เลี้ยงลูก...

   8. แก่...

  9. เจ็บ...
  10. ตาย...

พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ความจริงแห่งชีวิตอยู่ที่การบำเพ็ญหล่อเลี้ยงจิต   หาใช่ชื่อเสียงลาภยศ
ความดีแห่งชีวิตอยู่ที่การอุทิศเสียสละ  หาใช่อยู่ที่มีทรัพย์สินมากมาย
ความงามแห่งชีวิตอยู่ที่การรู้แจ้งปรุโปร่ง  หาใช่อยู่ที่เพียงจุดหมายเท่านั้น
รากฐานแห่งชีวิตอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียร  หาใช่อยู่ที่ความสำราญอยู่สบายเรื่อยไป
สีสันแห่งชีวิตอยู่ที่ความหมายเนื้อแท้   หาใช่อยู่ที่เนื้อหาเปลือกนอก
คุณค่าแห่งชีวิตอยู่ที่ส่องสว่างเจิดจรัสชีวา   หาใช่อยู่ที่แสวงหาวัตถุรูปลักษณ์



ศิษย์รักต้องเข้าใจในหลักธรรมจริง  จึงบำเพ็ญได้ถูกต้อง....


ปุถุชนค้นหาทรัพย์เงินตรา...  ก็เพื่อเลี้ยงชีพ...  เลี้ยงครอบครัว...  สร้างฐานะทางสังคม ....
แต่วันนี้ได้รับโอกาสดี...  เจ้าต้องรู้จักถนอมรักษาบุญสัมพันธ์....


มีทรัพย์เงินตรารู้จักใช้  สามารถแปรเปลี่ยนเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ใช้เวลานี้บำเพ็ญตน  ....


ชีวิตมนุษย์ยากที่จะออกบวชได้ด้วยความยินดี...  เพราะว่าในการดำรงชีวิตยังไม่สะดวกอำนวย...   ดังนั้น ยุคขาวศิษย์สามารถบวชจิตอยู่ในการครองเรือนได้  เจ้าต้องพิเคราะห์ให้ดี ...  การบวชจิตต้องฝึกฝน .... ขัดเกลาจิตใจให้ลดละเลิกจากกิเลส .... จากอบายมุข  หมั่นฝึกฝนจึงก้าวสู่ปราชญ์เมธา...


ปราชญ์เมธาค้นหาสัจธรรมแท้... คือผู้ที่มุ่งมั่น ทุกนาทีของชีวิตคือการบำเพ็ญฉุดช่วยตน  ช่วยผู้อื่น ...การช่วยตนเองคือก้าวแรกที่จะดำเนิน   เมื่อศึกษาธรรม   บำเพ็ญธรรมกระจ่างเข้าใจ  จึงฉุดช่วยผู้อื่นขั้นต่อไป...


หนทางธรรมเพียงหนึ่งเดียวไม่เปลี่ยนแปร คือ หนทางหลุดพ้น  แม้กาลเวลาจะผ่านมาหกหมื่นกว่าปี  อริยะพุทธะโบราณเดินเส้นทางนี้   บำเพ็ญธรรม  บรรลุมรรคผล  หนทางธรรมเมื่อศิษย์นำพาก้าวเดิน   ปฏิบัติจริง  ก็เสมือนดั่งเจริญตามปฏิปทาพระพุทธะเช่นกัน...


โปรดสามโลกแพร่ธรรมจริงเก็บญาณคืน...   ณ  ยุคปัจจุบัน  จิตใจผู้คนตกต่ำ...  ขาดศีลธรรม .... คุณธรรม ....จึงต้องอาศัยธรรมะฟื้นฟูจิตเดิมแท้  หวังว่าเจ้าจะบำเพ็ญได้ดี ... ช่วยบรรพชน ... ช่วยครอบครัว....


การฉุดช่วยนั้น... ฉุดช่วยอย่างไรจึงจะพ้นจากความทุกข์ ... เจ้าต้องรู้จักตนเองก่อน.... มนุษย์ผู้ใดรู้จักหนทางพ้นทุกข์ .... รีบเร่งบำเพ็ญจะสามารถเข้าสู่สภาวะเดิมในกายตน.... คือ การย้อนมองส่องจิตตน นั่นเอง....   

ช่วยคนพ้นจากทุกข์คือ... หลักธรรมความจริงแท้....  แม้จะช่วยผู้อื่น...  แต่หากผู้นั้นมิช่วยตน ... ใครจะช่วยได้...  หลักธรรมชี้นำทางให้ชีวิตตื่น   การฟังธรรมเพื่อจะนำพาไปใช้ในชีวิตประจำวัน...  อย่าดูเบา...  จากนี้ตั้งใจให้ดี.... เข้าใจหรือไม่ ?....ความจริงแห่งชีวิตอยู่ที่การบำเพ็ญหล่อเลี้ยงจิต 
ความดีแห่งชีวิตอยู่ที่การอุทิศเสียสละ           
ความงามแห่งชีวิตอยู่ที่การรู้แจ้งปรุโปร่ง 
รากฐานแห่งชีวิตอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียร   
สีสันแห่งชีวิตอยู่ที่ความหมายเนื้อแท้   
คุณค่าแห่งชีวิตอยู่ที่ส่องสว่างเจิดจรัสชีวา    พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์หาใช่ชื่อเสียงลาภยศ
หาใช่อยู่ที่มีทรัพย์สินมากมาย
หาใช่อยู่ที่เพียงจุดหมายเท่านั้น
หาใช่อยู่ที่ความสำราญอยู่สบายเรื่อยไป
หาใช่อยู่ที่เนื้อหาเปลือกนอก
หาใช่อยู่ที่แสวงหาวัตถุรูปลักษณ์เราโชคดีมากแล้ว...ที่ได้พบคำสั่งสอนที่ดีงาม...
เราโชคดีมาก...ที่ได้มีโอกาสสร้างกุศล และละทิ้งความบาปผิด...
เราโชคดีมาก...ที่ได้พบพระศาสนา ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม...
เราโชคดีมาก...ที่เราได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านใดก็ตาม...
เราโชคดีมาก...ที่ได้เป็นพี่น้องกันตั้งแต่อดีตและตลอดไป...
เราโชคดีมาก...ที่เมื่อเรามีจิตใจที่สะอาดแล้ว แดนนรกนั้นไม่ต้อนรับเรา แต่เราต้องไม่ประมาทอีกต่อไป...
เราโชคดี...ที่ชาตินี้ไม่ต้องไปนรกอีก เพราะเราได้ทราบแล้วว่านรกนั้นเป็นแดนมหาทุกข์เพียงไร...
เราโชคดี...ที่ได้ดำเนินตามทางที่ถูกต้องตามหลักแห่งความจริงที่สุดแห่งจักรวาล...
เราโชคดีมาก...ที่เราเข้าใจสัจธรรม ซึ่งเราทุกคน ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย...
เราโชคดีมาก...ที่เราได้พบกันเพื่อสร้างบารมีเป็นปัจจัยช่วยเหลือผู้อื่นและตัวเราเองสู่แดนอมตะนิรันดร์กาล...


ขอขอบคุณที่มาและภาพสวยๆ  http://www.96rangjai.com/life/
228  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คำดีดีวินทร์ เลียววาริณ‏ เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 03:34:42 pm








































ขอขอบคุณที่มาและภาพสวยๆ  www.teenee.com
229  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ขอคิดดีๆจาก ธ.วาทะ (น่าอ่านมากๆ) เมื่อ: มกราคม 23, 2012, 10:22:25 am
ข้อคิดในแง่ของธรรมะ ๑๐๐ ข้อ
 
 
๑. จงทำดี อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม
๒. จงทำดี ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
๓. จงทำดี แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน
๔. อุปสัคมักจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังทำความดี ดีเหลือเกินหนี้สินเก่าจะได้หมดไป
๕. อุปสัคมักจะไม่เกิดขึ้นในขณะกำลังทำความชั่ว เพราะเป็นทางกู้หนี้สินใหม่เข้ามาแทน
๖. ทุก ๆ คนปรารถนาแต่สิ่งที่ดี ๆ แต่ไม่รู้จักการทำความดี
๗. ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
๘. คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย ได้แต่เอะอะโวยวายว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม ? ถึงต้องเป็นเรา ทำไม ? ทำไม ?
๙. ผู้ฉลาดในธรรม ยอมรับว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งไม่มีอะไรที่น่าตกใจเลย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา
๑๐. ชีวิตที่ไม่ขาดทุน คือการไม่เคยทำความชั่วเลย
๑๑. เพราะฉะนั้นคนเราเจอทั้งสุขและทุกข์ เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว
๑๒. การตามใจตัวเองอยู่เสมอ เป็นทางตันในการดำเนินชีวิต
๑๓. การขัดใจตัวเอง ก็คือการขัดเกลาหนทางให้ราบเรียบ
๑๔. ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา เหมือนกับว่าเรายังเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้จักเติบโตเลย
๑๕. เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ ตอนนี้ เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว
๑๖. หลาย ๆ ชีวิต เดินสวนทางกันไปมาอยู่ในขณะนี้ มีทางดำเนินชีวิตไม่เหมือน และก็มีอุปสัคที่ไม่เหมือนกัน
๑๗. เราอย่าเข้าใจว่า มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี
๑๘. การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวัน เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้
๑๙. เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์ ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความทุกข์ เวลาเรามีความสุข ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความสุข ไม่เช่นนั้นเราต้องเป็นคนบ้า ร้องไห้บ้าง ร้องเพลงบ้าง ตามประสาคนบ้า
๒๐. คนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น ทุกอย่างไม่มีเลย เพียงแต่เรายอมรับเขา อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น
๒๑. แม้แต่ตัวของเราเองก็ยังไม่ได้ดังใจเรา แล้วคนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น เป็นอันไม่มี
๒๒. เราไม่ได้ดังใจเขา จะให้เขาได้ดังใจเราอย่างไร
๒๓. ปรารถนาสิ่งใด อย่าพึงดีใจไว้ล่วงหน้า พลาดหวังสิ่งใด อย่าพึงเสียใจตามหลัง
๒๔. ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง
๒๕. หากยึดถือมาก ให้ความสำคัญมันมาก ทุกข์มาก
๒๖. หากยึดถือน้อย ให้ความสำคัญมันน้อย ทุกข์น้อย
๒๗. ยินดีไปตามความอยาก คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด
๒๘. แท้จริง ผัว ไม่มี เมียไม่มี ลูกไม่มี ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี แต่ความยึดมั่นด้วยความลุ่มหลงอย่างหนาแน่นว่าเรามี
๒๙. สักวันหนึ่ง เราคงจะไม่มีอะไรสักอย่างเลย ถึงวันนั้น เราทำใจได้ไหม ?
๓๐. การเกิดขึ้น เพื่อเริ่มต้นไปสู่ความดับลง ท่านจะยึดถือ หรือไม่ยึด นั้นมันเป็นเรื่องของท่าน
๓๑. อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น กับความรับผิดชอบ มันคนละอย่างกัน
๓๒. วันนี้ต้องดีกว่าวานนี้ พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้
๓๓. ทำดีในวันนี้ พรุ่งนี้จะดีของมันเอง
๓๔. คนโง่จะเสียใจ ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
๓๕. ส่วนคนฉลาด จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้
๓๖. เรารักในสิ่งใด จะต้องจากในสิ่งนั้น ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง
๓๗. ถ้าผัวตายก่อนเมีย เมียจะต้องเสียใจ ถ้าเมียตายก่อนผัว ผัวจะต้องเสียใจ ทำอย่างไร จึงจะไม่เสียใจ
๓๘. ถ้าไม่อยากเสียใจ เมื่อจากกันไป ก็อย่าดีใจเมื่อตอนได้มา
๓๙. ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเป็นพระเอกหรือนางเอกตลอดนิรันดรกาล
๔๐. ใช่แน่นอน ! ท่านเป็นตัวเอกในเรื่องของท่าน แต่ท่านอาจจะเป็นตัวสำรองในเรื่องของผู้อื่น
๔๑. เรายืนอยู่บนสนามชีวิต ต้องต่อสู้อุปสัคทุกรูปแบบ จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต ด้วยการตายลงไป
๔๒. บทเรียนในตำราเรียน กับบทเรียนในชีวิตจริง มันคงละอย่างกัน
๔๓. ไม่มีตำราเล่มไหน ที่จะสอนเราทุกอย่างก้าวว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้าง และจะต้องแก้อย่างไร ?
๔๔. เสียเงินทอง เสียสิ่งของ เสียเวลา และก็เสียใจ เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต
๔๕. คนฉลาดจะจ่ายค่าเทอมที่ถูกที่สุด ส่วนคนโง่จะจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่ากัน
๔๖. ที่จริงคนตาบอด พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้
๔๗. ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า ?
๔๘. กายพิการ แต่ใจไม่พิการ ใจพิการ แต่กายไม่พิการ อย่างไหนดีกว่ากัน ?
๔๙. เราสามารถตัดสินหนทางดำเนินชีวิตของเราเองได้ ดีหรือชั่ว อยู่ที่ตัวของเรา
๕๐. คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลา ส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น
๕๑. ถึงแม้งานจะสับสนยุ่งยากเหลือเกิน หากใจมีอิสระแล้ว ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหน
๕๒. ทุกคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ตายเพื่อทำหน้าที่ ดีกว่าตายเพราะไม่ทำหน้าที่
๕๓. รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบเพื่อนที่ดี และรับผิดชอบสังคม
๕๔. วันนี้เราด่าเขา วันหน้าเขาต้องด่าเรา ชาตินี้เราฆ่าเขา ชาติหน้าเขาจะต้องฆ่าเราอย่างแน่นอน
๕๕. คนทำบาป เพราะเห็นแก่กิน ไม่ต่างอะไรกับกินอาหารผสมยาพิษอย่างเอร็ดอร่อย กินมากก็มีพิษมา กินน้อยก็มีพิษน้อย
๕๖. กฎหมายทางโลก คุ้มครองสัตว์บางจำพวกเท่านั้น ส่วนกฎแห่งกรรมทางธรรม คุ้มครองสัตว์ทุกจำพวก
๕๗. กฎระเบียบของทางโลก อนุโลมไปตามความอยาก ส่วนกฎทางธรรมอนุโลมไปตามความเป็นจริง
๕๘. กรรมคือการกระทำให้สัตว์หยาบ และละเอียดประณีตต่างกัน
๕๙. ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะสร้างเรา ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราร่ำรวยได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ได้นอกจากตัวของเราเอง
๖๐. คำว่า “ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว” มากเหลือเกินที่คนได้ยิน น้อยเหลือเกินที่คนรู้จัก
๖๑. เหตุการณ์ความเป็นไปของทางโลก ไม่มีสิ้นสุด เราไม่สามารถจะติดตามได้ตลอดกาลเพราะอายุยังมีที่สิ้นสุด เราจะบ้ากับมันหรือไม่บ้า มันก็เป็นไปอยู่อย่างนั้น
๖๒. เพื่อมิให้เสียเวลา จงกลับมามองดูจิตใจของตนเอง ทำไมถึงซอกแซกสับส่ายถึงขนาดนั้น
๖๓. มันเคยตัว เพราะเราให้โอกาสมันมากเกินไป เพราะรักมันมาก จึงไม่กล้าขัดใจ นาน ๆ ไปอาจกลายเป็นโรควิกลจริตทางด้านจิตใจ
๖๔. การเอาชนะใจตนเอง ไม่ให้ไหลสู่อำนาจฝ่ายต่ำ เป็นสิ่งประเสริฐแท้
๖๕. วันนี้ เราตามใจของตนเอง ด้วยอำนาจแห่งความอยาก วันพรุ่งนี้ เราต้องหมดโอกาสที่จะสบายใจ
๖๖. วันนี้ เราไม่ตามใจตนเอง พรุ่งนี้ เราจะอยู่อย่างสบาย
๖๗. ยิ่งแก่ ยิ่งงก เพราะเขางกมาตั้งแต่ยังไม่แก่ ยิ่งแก่ ยิ่งดี เพราะเขาดีตั้งแต่ยังไม่แก่
๖๘. การวิ่งไปตามความอยาก คือการฆ่าตนเองด้วยความพอใจ
๖๙. ศัตรูมักมาในรูปรอยแห่งความเป็นมิตร ความทุกข์มักมาในรูปรอยแห่งความสุข
๗๐. น้ำหวานผสมยาพิษ คนโง่จะชอบดื่ม เพราะไม่รู้ ยาเสพติด ทำลายร่างกายตนเอง คนโง่ก็จะพากันเสพทั้งที่รู้
๗๑. ความสบายกายและสบายจิต จะหาซื้อด้วยเงินแสนเงินล้านไม่มีเลย ไม่จำเป็นจะต้องซื้อด้วยเงินและทอง
๗๒. คนที่มีศรัทธา มีคุณค่ายิ่งกว่าเงินแสนเงินล้าน
๗๓. เมื่อมีศรัทธา ควรมีปัญญาประกอบด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนงมงาย ขาดเหตุผล
๗๔. คนนิยมสร้างพุทธ ที่เป็นรูป คือพุทธรูป แต่ไม่นิยมสร้างพุทธ ที่เป็นนาม คือสภาวธรรมที่รู้แจ้ง รู้จริง ทำให้รู้จักพุทธะ
๗๕. ความจริงต้องมีให้พิสูจน์ จึงจะถือว่าจริงแน่นอน คนโง่จะไม่เชื่อตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่พบกับความจริงในชีวิต มีแต่ความงมงายในชีวิต
๗๖. คนใดถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ ถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระคนนั้นมีทางดำเนินในทางที่ผิด เขาจะไม่พบแก่นสารชีวิตที่แท้จริงเลย
๗๗. ผู้ที่หลงเปลือกนอก ย่อมไม่เห็นแก่นใน ผู้ถึงแก่นใน ย่อมเข้าใจเปลือกนอก
๗๘. ความสนุกสนานมัวเมาประมาทในชีวิต ไม่ใช่หนทางดำเนินชีวิตที่แท้จริง มันเป็นหนทางที่ทำให้เสียเวลา
๗๙. หากคนให้ความสำคัญกับการ กิน เล่น เสพกาม และนอน มากกว่าคุณธรรม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานจะไม่ดีกว่ากันหรือ ? เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม
๘๐. หากจิตใจเต็มด้วยความโลภ โกรธ หลง ช่องว่างในหัวใจไม่มี มีแต่ความอึดอัด
๘๑. อาหารที่กินเข้าไปมาก แสนจะอึดอัด แต่มีทางระบายออก
๘๒. ยิ่งความโลภ โกรธ หลง ลดลงมากเท่าไร ความปลอดโปร่ง ยิ่งมีขึ้นมากเท่านั้น
๘๓. แสงสว่างในทางธรรม จุดประกายให้ชีวิต ให้พบแต่ความสดใส
๘๔. ความสุขทางโลก เหมือนกับการเกาขอบปากแผลที่คัน ยิ่งเกายิ่งมัน เวลาหยุดเกา มันแสบมันคัน เพราะเป็นความสุขเกิดจากความเร่าร้อน
๘๕. เมื่อตอนที่อยากได้ ก็เป็นทุกข์ขณะที่แสวงหา ก็เป็นทุกข์ ได้มาแล้วกลัวฉิบหายไป ก็เป็นทุกข์
๘๖. เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็ต้องมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ย่อมไม่มี
๘๗. หากมีแล้ว ทำให้มีความสุข ควรมี ถ้าหากมีแล้ว ทำให้มีความทุกข์ ไม่รู้จะมีไว้ทำไม ?
๘๘. ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง เราไปยึดมั่นความไม่เที่ยงนั้นว่าความสุข
๘๙. แม้ความสุขนั้นมันก็ไม่เที่ยง จะไปหวังเอาอะไรอีกเล่า ?
๙๐. พบกันก็เพื่อจากกัน ได้มาก็เพื่อจากไป
๙๑. มองทุกข์ให้เห็นทุกข์ จึงจะมีความสุข
๙๒. ความเบาใจ คลายกังวล ย่อมมีได้ แก่บุคคลผู้เข้าใจธรรมะ
๙๓. ยิ่งเข้าถึงธรรมที่เป็นจริงมากเท่าใด ความเบาสบายใจยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
๙๔. เพราะความสุขทางโลก ไม่ให้อะไรมากไปกว่าความเพลิดเพลิน มัวเมา ประมาทในชีวิต จนลืมทางธรรม
๙๕. ทางเดิน ๒ ทาง ทางโลก และ ทางธรรม
๙๖. ทางโลก คือการปล่อยใจไปตามความอยากในโลกีย์ ทางธรรม คือการควบคุมใจตนเอง ให้มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครอง
๙๗. ผิดหวังทางโลก ยังมีทางธรรมคุ้มครอง หากคนนั้นรู้จักธรรม
๙๘. ผิดหวังทางโลก อยากทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งตนเอง คนนั้นแหละ ไม่รู้จักธรรม
๙๙. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรยึดถือมั่น
๑๐๐. มันเป็นเช่นนั้นเอง.
ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง   สักวันหนึ่งท่านคงจะเข้าใจ
ธรรมวาทะ ศรีคูณ (ธ.วาทะ)
 
ขอบคุณ ที่มา www.mahamodo.com
230  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ศีล คือ ชีวิต...ชีวิต คือ ศีล เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 11:27:33 am


คนที่บอกว่าเขารักชีวิต แต่เขาไม่รักษาศีล
จะเชื่อถือได้อย่างไรว่าเขารักชีวิตจริง

ศีล คือ ชีวิต...ชีวิต คือ ศีล

คนไม่มีศีล เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไม่มีราก
เมื่อถูกลมพัดก็ย่อมล้ม

คนไม่มีศีล เหมือนการสร้างบ้าน
สร้างตึกที่ไม่มีรากฐานไม่มีเสาเข็ม
ย่อมล้มเป็นธรรมดา

คนไม่มีศีล เหมือนคนไม่มีเท้าย่อมเดินไม่ได้
เหมือนรถไม่มีล้อแล่น วิ่งไม่ได้

คนไม่มีศีล เหมือนคนเป็นใหญ่เป็นโต แต่ไม่มีความรู้
ย่อมปกครองทรัพย์ ปกครองลูกน้องไม่ได้ดี

คนไม่มีศีล จะเจริญสมาธิและกระทำให้เกิดปัญญา
และวิมุตติไม่ได้ และสำเร็จมรรคผลนิพพานไม่ได้

คนมีศีล ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้
(ไม่ว่าจะอยู่ในหมู่คนพาลหรือคนดี ย่อมรักษาตัวรอดได้)

คนมีศีล จะนั่งนอน หลับตื่น ก็เป็นสุขอยู่ในกาลทุกเมื่อ
ไม่มีวิปฏิสาร (คือความเดือดร้อนใจ)

คนมีศีล มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวย่อมประเสริฐกว่า
ผู้ไม่มีศีลซึ่งมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี

คนมีศีล ย่อมไม่ทำบาปแม้ในที่ลับ
เพราะมีความตรงและจริงใจต่อตนเอง

คนมีศีล ย่อมไปสู่ทุคติจตุรบาย

ศีล คือ เครื่องรางที่ป้องกันอบายภูมิได้อย่างศักดิ์สิทธิ์

คนมีศีล ย่อมมีสุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้า

คนมีศีล จะค้าขายก็จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว

คนมีศีล เข้าสมาธิก็ง่าย ไม่สะดุ้งตกใจง่าย

คนมีศีล ย่อมไม่ฝันลามก ย่อมไม่ฝันร้าย

คนมีศีล บรรลุธรรมก็ง่าย

คนมีศีล ย่อมไม่ก่อกรรมทำบาป

คนมีศีล คือ ผู้ที่มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง
(คือเชื่อในพระรัตนตรัยจริงๆ)

คนมีศีล ย่อมเห็นโทษของบาปแม้เพียงเล็กน้อย

เพราะผิดศีลข้อ ๑ จึงมีกรรม อายุสั้น มีโรคภัยไข้เจ็บมาก

เพราะผิดศีลข้อ ๒ จึงมีกรรม ทรัพย์สมบัติต้องวิบัติ
ด้วยแรงกรรมต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ

เพราะผิดศีลข้อ ๓ จึงมีกรรม ภริยา-สามี นอกจิต นอกใจ
บุตร-ธิดาไม่อยู่ในโอวาทคบชู้สู่ชาย

เพราะผิดศีลข้อ ๔ จึงมีกรรม พูดจาไม่มีคนเชื่อถ้อยฟังคำ
ตาบอด หู หนวก เป็นอัมพาต

เพราะผิดศีลข้อ ๕ จึงมีกรรม โง่เง่า หลงทำกาลกิริยา เป็นบ้า เป็นใบ้

รักษาศีลให้ได้ มีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน

รักษาศีลให้ได้ มีโภคทรัพย์แน่นอน

รักษาศีลให้ได้ มีนิพพานเป็นที่ไป และเข้าถึงแน่นอน


:: หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม


www.teenee.com
231  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อยากทราบความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาชินบัญชรค่ะ เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 10:44:31 am
อยากทราบความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาชินบัญชร เห็นมีคนบอกว่าเป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มากศักดิ์สิทธิ์อย่างไรค่ะ
ขอบคุณค่ะ
232  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความไม่เข้าใจในเรื่องของกรรม เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 09:56:02 am



สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
แม้จะเป็นจริงเช่นนี้ แต่มีผู้ที่เชื่อว่าเป็นจริงเพียงจำนวนน้อยนัก
เพราะไม่มีภาพให้เห็นว่า
เมื่อชีวิตออกจากร่างของคนคนหนึ่งไป ก็ไปเป็นอีกร่างหนึ่งได้
เช่น หมู หมา กา ไก่ ความไม่ได้เห็นชัดๆ ด้วยตาเนื้อเช่นนี้
ทำให้คนส่วนมากยากจะเชื่อว่าคนก็เกิดเป็นสัตว์ได้ สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้

คนฐานะสูงก็เกิดเป็นคนฐานะต่ำได้ คนฐานะต่ำก็เกิดเป็นคนฐานะสูงได้
คนร่างกายดีๆ ก็เกิดเป็นคนแขนด้วนขาด้วนได้
คนพิการแขนด้วนขาด้วนก็เกิดเป็นคนมีแขนมีขาได้
คนหน้าตาน่าเกลียดผิดพรรณเศร้าหมอง ก็เกิดเป็นคนสวยคนงามได้
คนสวยคนงามก็เกิดเป็นคนน่าเกลียดน่าชัง ผิดพรรณเศร้าหมองได้
ยิ่งกว่านั้นคนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และเทวดาก็เกิดเป็นคนได้

ความไม่เห็นด้วยตาเนื้อ
ประกอบกับความไม่มีความเข้าใจในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรม
ที่ทำให้คนส่วนมากไม่กลัวการเกิดใหม่
ว่าจะนำไปสู่สภาพหรือภพชาติที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เช่นเป็นสัตว์นรก


คัดลอกจาก...อำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


www.teenee.com
233  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อวสาน กาษา นาคา ( มรณานุสติของวาดจันทร์ ) เมื่อ: มกราคม 20, 2012, 02:42:35 pm









โบราณเคยกล่าวไว้ ว่าเมื่อคนใกล้จะตาย จะมีความรู้ตัวว่าคราวนี้ต้องตายแน่ และขณะจิตจะดับ ก็จะบังเกิดภาพของกรรมในอดีต ผุดขึ้นมาทบทวนชีวิต ที่ผ่านมา บาป หรือบุญ สิ่งไหนจะมีกำลังมากกว่ากัน เพื่อการตัดสินการไปสู่ภพภูมิใหม่ของจิตนั้น เป็นภาพยนต์แห่งชีวิต ที่แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว
        วาดจันทร์ มีอาการป่วยหนักขึ้นทุกที การไม่รู้สึกตัวหลายๆวัน เนื่องจากร่างกาย อ่อนแรง แต่จิตใต้สำนึกนั้น ยังรับรู้ได้อยู่ ต่อเมื่อมีอะไรมากระทบใจรุนแรง เธอก็จะลืมตา มารับรู้และแสดงฤทธิ์เดชเสียสักครั้งหนึ่ง แต่ในขณะที่วาดจันทร์มีอาการดังกล่าว พงศ์พญา ไม่ได้ละจากความมีหัวใจ แห่งกัลยาณมิตรเลย จะคอยนั่งปลอบอยู่ข้างๆ ด้วยความห่วงใย และให้ธรรมะตลอด ครั้งหนึ่งวาดจันทร์แอบได้ยินพงศ์พญา พูดโทรศัพท์กับแม่ และกล่าวอย่างตัดสินใจว่า จะต้องบวชตลอดชีวิตให้ได้ และถ้าหากวาดจันทร์ได้มีจิต อนุโมทนาเมื่อไหร่ เธอก็จะได้รับบุญ เพื่อถ่ายบาป ที่ทำต่อพระศาสนาได้บ้าง วาดจันทร์ได้ยิน ก็บังเกิดความโกรธมาก แต่ด้วยสังขารที่ไม่เอื้ออำนวย จึงไม่สามารถจะเอ่ยคำต่อว่าพงศ์พญาได้ และขณะหนึ่ง จิตสำนึก แห่งการหมดหวังที่จะเหนี่ยวรั้งต่อพงศ์พญาเกิดขึ้น ก็มีภาพในอดีตชาติ เข้ามาฉายในห้วงสำนึกให้ดู คือ นับครั้งไม่ถ้วนที่วาดจันทร์ต่อต้าน ห้ามไม่ให้พงศ์พญา ไปปฎิบัติธรรม อ้างแม้กระทั่งการเป็นเดรัจฉาน ไม่มีทางเป็นพระได้ แต่พงศ์พญา กลับไม่เคยเชื่อฟัง และไปจากวาดจันทร์จนได้ทุกครั้ง ในขณะที่ใจ ที่หมดหวัง ก็จะเกิดอาการปลงตก สภาวะอาจคล้ายเกิดสมาธิขั้นอ่อน ทำให้ใจของวาดจันทร์ มองเห็นตามจริง ไม่มีใครที่จะบงการชีวิตของใครได้ สุดแท้แต่ว่า ใครมีความมุ่งหมายอันใด ก็ต้องไปตามทางของตนตามนั้น จิตของวาดจันทร์เริ่มยอมรับ และเมื่อได้นอนนิ่งก็ได้ทบทวนถึงความตั้งใจของพงศ์พญา ที่มีความต้องการ บวช ซึ่งเป็นสิ่งดีงามประการใด เขาก็จะพูดให้เธอได้ฟังตลอดมา มิหนำซ้ำ ยังชักชวนให้เธอเข้ามาปฎิบัติร่วมกัน สุดท้ายที่ได้ยินว่า เขาต้องบวชแน่นอน เพื่อไถ่บาปให้เธอ ความซาบซึ้งนี้ สร้างความปิติใจให้เกิดแก่เธออย่างมหาศาล ความรักของคนเรามีหลายรูปแบบ รักแบบปลดปล่อย ปล่อยวาง ให้อิสระ เป็นรักที่มีความสุข ที่ควรทำให้แก่กัน ส่วนความรักที่วาดจันทร์ยึดถือมาตลอด มันคับแคบ อึดอัด มืดมน มองไม่เห็นว่าอะไรถูกผิด เป็นการทำร้ายตัวเองโดยเฉพาะ
   ในคืนวันหนึ่ง แม่ของเธอได้มาเข้าฝันว่า ได้เก็บผ้าหอม สีขาว ผืนหนึ่งไว้ให้วาดจันทร์ ซึ่งเมื่อเธอตั้งท้องวาดจันทร์ ได้มีคนมาเข้าฝันและฝากไว้ให้ สั่งไว้ว่า ให้วาดจันทร์ มอบผ้าผืนนี้ แก่คนที่วาดจันทร์รัก ในวันที่เขาบวช วาดจันทร์ฝีนสังขาร ไปเอาผ้า จากตู้ที่แม่เก็บไว้ให้ เป็นผ้าสีขาวผีนใหญ่ มีกลิ่นหอม วาดจันทร์นำผ้ากาษากลับมา ยกขึ้นสาธุเหนือหัว และบอกแก่พงศ์พญาว่า ได้สาธุแล้ว วันใดที่พงศ์พญาบวช ขอให้ห่มผ้าผืนนี้ของเธอด้วย เธอขออนุโมทนาในการบวชของเขา จากนั้น วาดจันทร์ก็หมดสติ แต่ในส่วนลึก เธอกำลังจะตาย ภาพสุดท้ายเป็นมรณานุสติของวาดจันทร์ คือได้เห็น พงศ์พญาปลงผม ห่มผ้ากาษาของเธอ ในขณะเป็นเป็นนาค ก่อนเข้าโบถส์ และบวชเป็นพระภิกษุ เธอมองภาพสุดท้ายด้วยจิตอนุโมทนา และจิตดับไป
    พงศ์พญาได้บวชเป็นภิกษุตลอดชีวิต และค้นคว้าปฎิบัติธรรม เป็นพระธุดงค์ในป่า และทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ของทุกปี ท่านจะมานั่งที่ริมฝั่งโขง เพื่อแผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลให้แก่วาดจันทร์ และจะภาวนา สอนธรรมะแก่เธอ เมื่อเห็นดวงไฟพญานาค( กล่าวกันว่า เมื่อพญานาคเกิดความปิติต่อบุญก็จะปล่อยดวงไฟอนุโมทนาต่อผู้ปฎิบัติดี) ภิกษุพงศ์พญาก็จะร่วมสาธุกับเธอ
    กาษา นาคา คือผ้าที่พญานาคเป็นผู้ทักทอ ในเมืองบาดาล มีสีขาวกลิ่นหอม ซึ่งก่อนบวชเป็นพระ ทุกท่านต้องเป็นนาคก่อน ผ้านี้ใช้ได้ ในการห่มแต่งเป็นนาคค่ะ
    อวสาน ของกาษา นาคา ผู้บันทึก ก็ต้องขออนุโมทนา กับผู้ประพันธ์ และทุกตัวละคร ที่สามารถแสดง ให้ผู้บันทึก ได้ข้อคิด และปรับปรุงชีวิต สู่ทางไม่ประมาทสืบไป สาธุ


 ขอขอบคุณที่มา   www.gotoknow.org/blogs/posts/121674
234  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เวรนั้นไม่มีที่สิ้นสุด กรรมนั้นก็ไม่มีที่สิ้นที่สุด เมื่อ: มกราคม 20, 2012, 12:28:19 pm


เวรนั้นไม่มีที่สิ้นสุด กรรมนั้นก็ไม่มีที่สิ้นที่สุด
อย่างพระพุทธเจ้าเกิดมาก็ต้องหลายกัปป์หลายกัลป์
กับพระเทวทัตนั่นเป็นเวรต่อกันไม่รู้แล้วรู้รอดสักที
พระองค์ก็พยายามทำดีทุกอย่าง
แต่ว่าพระเทวทัตไม่ละไม่ถอน
คอยที่จะทำเวรอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งมาเกิดที่ทศชาติ
ก็ยังพยาบาททำกรรมทำเวรมาเกิดเป็นจันทกุมาร
นี่แหละเรื่องกรรมเรื่องเวรมันเป็นอย่างนี้แหละ
ยากที่สุดที่จะพ้นจากกรรมจากเวรได้น่ะ
เราไม่พ้นจากกรรมจากเวร
เราเกิดมาเพราะกรรม เพราะเวร จึงว่า

กมฺมโยนิ กรรมเป็นกำเนิดให้เกิดมา

กมฺมพนฺธุ มันติดพันเรามาตลอดเวลา

กมฺมปฏิสรณา เราอาศัยกรรมอยู่เดี๋ยวนี้

ทุกสิ่งทุกประการมันจะหมดสิ้นอย่างไรได้?
มันจะหมดสิ้นก็ต่อเมื่อสิ้นสังขารร่างกายนี้
พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดี
ท่านบำเพ็ญเพียรถึงที่สุดแล้ว
สังขารร่างกายนี้แตกดับ กรรมตามไม่ทันแล้วคราวนี้
กรรมอันนี้เรียกวิบากขันธ์
วิบากนี้ต้องตามทันอยู่ตลอดเวลา
ส่วนจิตนั้นตามไม่ทัน จิตใจของพระองค์หมดจดบริสุทธิ์
จิตใจของสาวกหมดจดบริสุทธิ์แล้ว
คราวนี้แหละกรรมตามไม่ทัน
กรรมที่ตามไม่ทันเพราะจิตใจหลุดพ้น
เพราะจิตปราศจากความกังวลเกี่ยวข้อง จิตที่เป็นหนึ่ง

อย่างที่เคยพูดให้ฟังว่า
จิตที่เป็นหนึ่ง ที่รู้เท่ารู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเป็นนิจ
ไม่คิดถึงเรื่องอดีต อนาคต
ไม่คิดถึงเรื่องวุ่นวายสิ่งทั้งปวงหมด บริสุทธิ์อยู่คนเดียว
จิตอันอยู่คนเดียวนั้นไม่มีอะไรถูกต้อง
อะไรถูกต้องก็รู้เท่ารู้เรื่อง อันนั้นแหละเรียกจิตบริสุทธิ์
อันนั้นแหละจึงจะหลุดพ้นจากกรรมจากเวรได้

:: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
www.teenee.com
235  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ธรรมะ เพื่อความรุ่งเรือง เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 03:04:54 pm
             

ตักบาตรพระล้านครั้ง ไม่เท่ายื่นอาหารให้พ่อแม่เพียงครั้งเดียว
ความดีของลูก คือความสุขของพ่อแม่ ความเลวของลูก คือความทุกข์ของพ่อแม่
หลงผัว หลงเมีย จนลืมพ่อแม่ นับว่าแย่มาก

อยากรวย ให้ทำงาน อยากสวยให้รักษาศีล อยากดี ให้หมั่นเจริญภาวนา
คนฉลาด กำลังทำงาน ส่วนคนโง่ กำลังดูฤกษ์ยาม
หนึ่งวินาที คบบัณฑิต ดีกว่าหนึ่งปี คบคนพาล

อย่าประมาทเมื่อพบงานง่าย อย่าท้อใจเมื่อพบงานยาก
ถ่อมตนคนรัก อวดนักคนชัง(อวดดี...ไม่ใช่การอวดที่ดี)
เสริมเสน่ห์ตนเองด้วยรอยยิ้ม ดีกว่าคอยพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ไม่ควรไว้ใจในคนที่ชอบทำบาป (ถ้าทำบาปแลกบุญ จะขาดทุนร่ำไป)
คนจนยิ่งจน เพราะทำรวย คนรวยยิ่งรวย เพราะทำจน
เรายอมแพ้คน เพื่อเอาชนะกิเลส ดีกว่ายอมแพ้กิเลส เพื่อเอาชนะคน

ยามไปซื้อของ อย่าอวดเงินทองให้ใครเห็น
คำสรรเสริญควรให้ไป คำติชม ควรเก็บไว้เพื่อส่องตน
ระวัง อย่าให้สูญเสียคนดี เพราะคนชั่วแทนที่ไม่ได้

คนโง่ แสวงหาพระเครื่อง ผู้ฉลาด แสวงหาพระธรรม
ทำแบบเจ็ก จากเล็กไปใหญ่ ทำแบบไทย จากใหญ่ไปหาเล็ก
มารยาทงามนี่แหละ จะพลอยทำให้วาสนาดี

เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ดีกว่าพี่น้องในไส้ที่อยู่ไกล
ประดับกายด้วยความดี มีราศีกว่าประดับเพชร
กินเหล้าเพื่อเข้าสังคม คือค่านิยมที่ผิด

ความร่ำรวยหากขอกันได้ โลกนี้ก็คงจะไม่มีคนจน
ทรัพย์เกิดไม่ได้ ด้วยเพียงแต่ใจคิดฝัน
ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน การปฏิบัติดี มีค่ามากกว่าการขอพร

คนขยันคือคนโชคดี ความขยันจึงเป็นพรอันประเสริฐ
ถึงแม้การเลือกเกิดเราจะไม่มีสิทธิ์ แต่การเลือกทางชีวิตเป็นสิทธิ์ของเรา
แสวงหาลาภจากการงาน ดีกว่าบนบานบวงสรวง

อย่าเชื่อคนโดยไร้คิด อย่าหลงมิตรเพียงคำยอ
ที่ทำดีไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ (ทำดีวันละนิด ดีกว่าคิดว่าจะทำ)
เมื่อมีคำขอโทษ ความโกรธย่อมจางเร็ว

วาจาอ่อนหวานลูกหลานใกล้ชิด วาจาเป็นพิษญาติมิตรห่างไกล
กินเพื่ออิ่ม ก็จะมีปัญหาน้อย แต่ถ้ากินเพื่ออร่อย ก็จะมีปัญหามาก
[/color

www.teenee.com
236  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พญานาคราชผู้พิทักษ์พระธาตุพนม เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 02:43:53 pm


เรื่อง พญานาคราชเข้าประทับทรงนี้เกิดขึ้นในยุคที่พระเดชพระคุณท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร (แก้ว กนฺโตภาโส ป.ธ. ๖ , น.ธ.เอก ) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร (พ.ศ.๒๔๘๐-๒๔๕๓ ) พระเดชพระคุณองค์นี้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปมักเรียกท่านว่า “ ท่านพ่อ” ซึ่งเป็นคำยกย่องของศิษยานุศิษย์และประชาชนบ้านได้ถวายนามนี้ให้กับท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ท่านเกิดเมื่อปี ๒๔๕๐ บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ มีนามเดิมว่าแก้ว อุทุมมาลา มีชาติภูมิใกล้ๆ กับพระธาตุพนมนี้เองศึกษาทางธรรมได้เปรียญ ๖ ประโยค ได้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านเป็นผู้มีความรู้ และชอบค้นคว้าวิชาโบราณคดี ประวัติศาสตร์จนได้รับขนานนามว่า นักปราชญ์แห่งลุ่มน้ำโขง ท่านได้ทำนุบำรุงวัดพระธาตุพนมารมหาวิหารและให้เจริญก้าวหน้าอย่างมากมาย ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ท่านได้ก่อตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารและได้ส่งพระภิกษุ สามเณรและแม่ชีไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากหลายสำนัก ได้ฝึกพระภิกษุสามเณรในวัดอยู่เสมอ ๆ
 
ในเรื่องการนั่งประทับทรงเกี่ยวกับพญานาคนี้ ท่านพ่อเคยกล่าวว่า “ ฉันเป็นคนชอบค้นคว้า และพิสูจน์เรื่องลึกลับต่าง ๆ อยู่เสมอ ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ แต่เรื่องพญานาคทั้งเจ็ดองค์เข้าทรงที่วัดนี้นะ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากอยู่ทีเดียว ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น เป็นเรื่องของส่วนบุคคล” สำหรับเรื่องพญานาคนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านพ่อฯ ได้ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นได้ ๑ ปี เหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี ๒ เดือน ๑๑ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ. ๒๕๐๐ คืนนั้นฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง แล้วตกพรำ ๆ มาอีกกว่า ๒๐ นาที ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินสะเทือน นายไกฮวด ชาวธาตุพนมได้ออกมารองน้ำฝนที่หน้าร้านของตน เห็นแสงประหลาดเป็นลำงามโตเท่าลำต้นตาลขนาดใหญ่มีสีต่าง ๆ กันถึงเจ็ดสี พุ่งแหวกอากาศแข่งกันเป็นลำยาวหลายเส้น จากทางด้านทิศเหนือ มองเห็นได้แต่ไกล จึงได้ร้องเอะอะเรียกภรรยามาดูแสงสีงามประหลาด หน้าสะพรึงกลัวขนหัวลุกนั่น พอมาถึงหน้าซุ้มประตูแสงนั้นก็หายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม โดยที่ไม่ได้ตาฝาดไปเอง ต่อมาอีกสองวัน คือวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือนเดียวกัน ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้ให้สามเณรทรัพย์ นั่งทางในตรวจดูเหตุการณ์ว่า แสงประหลาดเจ็ดสีเท่าลำต้นตาล ที่นายไกฮวดเห็นเข้ามาในวัดนี้มีความจริงเท็จแค่ไหน สามเณรทรัพย์เจ้าฌานสมาธิอยู่คู่หนึ่ง ก็เข้าไปพบพญานาคราชทั้งเจ็ดเรียงกันเป็นแถวอยู่บริเวณลานพระธาตุพนม ลำตัวโตใหญ่เท่าลำต้นตาล มีหงอนแดงน่าสะพรึงกลัวสยองพองหัวเหลือที่จะกล่าว สามเณรทรัพย์ยืนงงงันอยู่ด้วยความประหลาดใจ พลันประเดี๋ยวเดียวพญานาคทั้ง ๗ ได้กลับกลายเป็นมาณพ ๗ ชาย ทรงเครื่องขาวเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่เดิม จะว่าก้มมิใช่ ยืนก็มิใช่ อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม สามเณรทรัพย์สนเท่ห์ใจงงจนพูดอะไรไม่ออก ทันใดมาณพผู้เป็นหัวหน้าได้ร้องถามว่า พ่อเณรมีธุระอะไร อย่ากลัวจงบอกมา สามเณรยืนงงอยู่มิได้ตอบว่ากะไร ตั้งใจจะกลับกุฏิ พญานาคผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นอีกว่า “ พ่อเณรจะกลับแล้วหรือยัง ขอไปด้วย จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ” พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณรทรัพย์ ทันทีด้วยจิตอำนาจที่เหนือกว่า สามเณรทรัพย์พลันหมดความรู้สึกวูบไปทันที สักครู่ก็หันมายกมือไหว้ ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร พร้อมกับพูดว่า “ สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ” ท่านพ่อฯ รู้สึกแปลกใจและสงสัยจึงถามว่า “ ท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? เสียงประทับทรงตอบว่า “ พวกหม่อมฉันเป็นพญานาคราช มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย มีนามตามลำดับเป็นมงคลตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ คือ ๑. พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธาน ๒. พญาศีลวุฒินาโค ๓. พญาหิริวุฒนาดโค ๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค ๕. พญาสัจจะวุฒินาโค ๖. พญาจาคะวุฒนาโค ๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค

หม่อมฉันทั้งเจ็ดได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ พวกเทพยดาที่รักษาองค์พระธาตุอยู่ก่อนนิสัยไม่ดีอาศัยกินสินบนและเครื่องเซ่นสรวงของชาวบ้าน พวกหม่อมฉันไม่ต้องการอามิสสินจ้างรางวัลของเซ่นสรวงใดๆ ทั้งนั้นขอแต่น้ำบูชาถวายเดียวก็พอใจแล้วจะอยู่รักษาองค์พระธาตุไปจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพระสมณโคดม”



ท่านพ่อฯ ได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆ อีกหลายประการ แต่ยังไม่ปลงใจเชื่อแต่อย่างใด ต่อมาพญานาคก็เข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เรื่อย ๆ เป็นต้นว่า แสดงธรรมสั่งสอนเมื่อทางวัดมีเรื่องเดือดร้อนก็บอกได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ และแนะแนวทางแก้ไข ท่านพ่อฯ เริ่มเอาใจใส่อยากจะพิสูจน์หเห็นแจ้งจึงได้ให้พระวิปัสสนาธุระในวัดนั่งทางในตรวจสอบด้วย “ ตาญาณ” ในขณะที่พญานาคเข้าประทับทรงร่างของสามเณรทรัพย์ ครั้นแล้วก็ได้พบมาณพรูปงามแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายเจ้าฟ้ามหากษัตรย์จำนวน ๗ องค์ ปรากฏร่างทิพย์ มีรัศมีกายสีสันสวยงามต่าง ๆ กันเช่น สีน้ำเงิน สีเขียวนิล สีเขียวอ่อน สีเหลือง สีชมพู สีแสด และสีขาว องค์ที่กำลังเข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เป็นสง่าหาได้แทรกซ้อนอยู่ในร่างคนทรงแต่อย่างใดไม่



พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณ หรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจ ได้ไต่ถามทักทายทางในโดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ “ ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?

ร่างทิพย์ที่มีกายสีน้ำเงินตอบไพเราะเปี่ยมเมตตาว่า “ หม่อมฉันมีนามว่าพญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นหัวหน้า หรือประธานหมู่คณะ องค์ถัดไปที่มีสีเขียวนิลคือพญาศีลวุฒินาโค องค์สีเขียวอ่อนคือพญาหิริวุฒินาโค องค์สีเหลืองคือพญาโอตตัปปะวุฒินาโค องค์สีชมพูคือพญาพาหุสัจจะวุฒินาโค องค์สีแสดคือพญาจาคะวุฒินาโค องค์สีขาวคือพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย พระอินทราธิราชเจ้าบนสวรรค์ทรงมีบัญชาให้มาเฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้วยว่าพวกเทพยดาที่เคยรักษาที่นี่อยู่ก่อนมีนิสัยไม่ดี อาศัยแต่อามิสของชาวบ้าน เครื่องเซ่นสรวง หมูเห็ดเป็ดไก่ เหล้ายาปลาปิ้ง เป็นที่อับอายขายหน้าแก่คนต่างศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาหมอง หม่อมฉันจึงได้ ขับไล่พวกเทพยดาชั่วช้าเหล่านั้นให้หนีไปแล้วเข้ารักษาองค์พระธาตุพนม”

พระวิปัสสนาธุระผู้มีทิพยจักษุพอใจในคำตอบมากจึงออกจากฌาณสมาธิ แล้วคลานเข้ามากระซิบที่หูท่านพ่อฯ แล้วบอกว่าลองสอบถามสามเณรทรัพย์ดัง ๆ เพื่อให้ได้ยินกันทั่ว ๆ ในหมู่ผู้เข้าสังเกตการณ์ในวันนั้นจำนวนมากว่า “ ท่านเป็นใคร? ” มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?”



ปรากฏว่าสามเณรทรัพย์ที่ถูกประทับทรงตอบได้ถูกต้องตรงกันกับที่พระวิปัสสนาจารย์ได้ไต่ถามทางตาในหรือทิพยจักษุ ทุกประการ เป็นที่น่าพอใจของท่านพ่อฯ มาก และเริ่มจะเชื่อมาบ้างแล้ว จึงได้สอบถามต่อไปอีกว่า

“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้ามาปรากฏในที่นี้เหตุไฉนจึงแปลงร่างเป็นเทพบุตรมา จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าเป็นพญานาคราชจริง”

ร่างสามเณรที่ประทับทรงหัวเราะน้อย ๆ ก่อนตอบอย่างไพเราะว่า

“ ที่ไม่ปรากฏกายเป็นพญานาคมาก็เปรียบเสมือนคนเราได้เห็นผ้าขาดย่อมจะไม่สวยงามตา อันว่าสภาพร่างกายของพญานาคนั้น ย่อมจะเป็นที่น่าสะพรึงกลัวไม่งามตาสำหรับมนุษย์มิใช่หรือท่านเจ้าคุณ” ท่านพ่อฯ พอใจในคำตอบอันคมคายนี้ แล้วได้ถามต่อไปว่า



“ พระองค์เฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมนี้ เฝ้าอย่างไร?”

พญานาคราชตอบว่า

“ หม่อมฉันพญาสัทโทนาคราชเจ้า รักษาองค์พระธาตุพนมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พญาศีลวุฒินาโคและพญาหิริวุฒินาโค รักษาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ พญาโอตตัปปะวุฒินาโคและพญาพาหุสัจจะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ พญาจาคะวุฒินาโคและพญาปัญญาเตชะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”

“ พระองค์ทรงอยู่กินหลับนอนอย่างไร” ท่านพ่อถามต่ออีก

“ พวกหม่อมฉันมีทิพยวิมานอยู่ใต้องค์พระธาตุนี้เอง จะเรียกว่าอยู่ใต้บาดาลก็ได้เป็นทิพยวิมานที่สวยงามมาก มีสระน้ำ มีสวนดอกไม้ มีภูเขาเงิน ภูเขาทอง ว่าง ๆ นิมนต์ท่านเจ้าคุณลงไปชะมดูก็ได้ ผู้ใกสมาธิทางสมถวิปัสสนาได้สมาธิแก่กล้าดับพละได้แม้เพียงห้านาทีก็สามารถจะเห็นพวกหม่อมฉันได้ทางฌาณ ท่านเจ้าคุณก็ดับพละได้มิใช่หรือ ?” ร่างทรงสามเณรตอบ



ท่านพ่อ ถามต่อไปอีกว่า

“ พระองค์จะให้หม่อมฉันเข้าใจว่า ที่พระธาตุพนมนี้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าชั้นจาตุมหาราชิกากระนั้นหรือ”

“ ถูกต้องแล้ว เมื่อสร้างองค์พระธาตุพนมเสร็จพญาทั้ง ๕ นครผู้สร้างได้กลับบ้านกลับเมืองและพระมหากัสสปะเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งห้าร้อยองค์ ได้เสด็จกลับชมพูทวีปด้วยอธิษฐานจิตวิญญาณแล้ว พระอินทราธิราชเจ้า ได้ทรงแต่งตั้งให้เทวดามีชื่อเป็นหัวหน้าพากันอยู่ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมพร้อมบริวารจำนวนสี่พันหกพระองค์ และมเหศักดิ์หลักเมืองอีกสามพระองค์ เมื่อที่ไหนมีเทพยดามาสิงสถิตอยู่ ที่นั่นจะต้องมีสวรรค์วิมานสำหรับให้เทพยดาอยู่เป็นธรรมดา เมื่อพวกหม่อมฉันมาถึงที่นี่เพื่อรับหน้าที่แทน ได้ขับเทพยาดาเหล่านั้นไปหมดแล้ว สภาวะทิพย์หรือประสาทวิมานสวรรค์ชั้นฟ้าของพวกเทพยดาก็สลายไปโดยอัตโนมัติ คือ ว่าสภาวะทิพย์ของเทพยดาทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นด้วยบุพฤทธิ์ ไม่ใช่มีขึ้นอยู่ก่อนแล้ว อย่างพวกหม่อมฉันนี้ พอมาถึงที่นี่สภาวะทิพย์ด้วยบุพฤทธิ์ก็เนรมิตทิพย์วิมานใต้บาดาลอยู่ภายใต้องค์พระธาตุพนมให้เลยทีเดียว”



พญาสัทโทนาคราชเจ้า ทรงให้อรรถาธิบายผ่านร่างทรง ท่านพ่อฯ พอใจมากจึงถามต่อไปอีกว่า

“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้าอยู่ในบาดาลหรือใต้ดินนี้หายใจได้อย่างไร?”

“ ทารกในครรภ์มารดาหายใจได้ ตัวด้วงในไม้หายใจได้ ไส้เดือนในดินหายใจได้อย่างไร หม่อมฉันก็หายใจได้อย่างนั้นดุจเดียวกัน” ร่างทรงตอบ ท่านพ่อถามต่อไปว่า “ สามเณรทรัพย์ผู้นี้มีศีลบริสุทธิ์ มีฌาณสมาธิแก่กล้า ขณะเข้าฌานตรวจสอบในวันแรก ได้พบพระองค์ที่ลานพระธาตุนั้น เหตุไฉนพระองค์จึงเข้าประทับทรงร่างสามเณรผู้กำลังอยู่ในฌาณได้ หม่อมฉันสงสัย”



“ ผู้มีฌานแก่กล้า มีศีลบริสุทธิ์อย่างสามเณรน้อยรูปนี้ วิญญาณผีปิศาจเข้าสิงเข้าทรงไม่ได้หรอก แต่สำหรับวิญญาณชั้นสูงคือ เทพพรหมแล้วละก็ สามารถจะเข้าประทับทรงได้ด้วยสาเหตุสองประการ คือ หนึ่งเข้าเพราะมีกรรมเก่าพัวพันมาก่อนในอดีตชาติ สองเข้าเพื่อเจตนาจะมาสร้างกุศลผลบุญ ทำความดีไว้ในโลกมนุษย์ หม่อมฉันเข้าประทับทรงสามเณรน้อยรูปนี้ก็ด้วยเหตุประการหลัง คือ ต้องการติดต่อกับท่านเจ้าคุณ เพื่อแจ้งประสงค์ให้ทราบว่า พวกหม่อมฉันทั้ง ๗ นี้ นอกจากจะมีหน้าที่รักษาองค์พระธาตุพนมแล้ว ยังมีจิตเมตตาใคร่ที่จะช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกายและทางใจให้แก่มนุษย์ทุกเพศทุกวัยไม่เลือกชาติไม่เลือกศาสนา” ร่างทรงกล่าว



“ พระองค์จะให้หม่อมฉันช่วยอะไรบ้าง” ทนพ่อฯ ถาม

“ ท่านเจ้าคุณจะต้องเป็นประธานในการประทับทรงทุกครั้งไป ผู้ที่จะเป็นร่างทรงคือสามเณรหรือแม่ชีผู้มีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น ฆราวาสไม่เอา ประชาชนที่จะมาบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจนี้จะต้องทำบัญชีรายชื่อไว้เป็นหลักฐาน เหมือนทะเบียนประวัติคนไข้ตามโรงพยาบาล แล้วจากนั้นนำคนมีทุกข์ที่ได้ลงชื่อเสียงเรียงนามแล้วมาให้หม่อมฉันตรวจสอบอาการดูว่า เขาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรกันแน่ ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บทางกาย ก็จะได้สั่งยาให้กินเช่นยาไทย ยาจิต ยาฝรั่ง หรือสมุนไพรที่มีอยู่ตามเรือกสวนไร่นา แต่ถ้าเป็นประเภทโรคจิตฟั่นเฟือน มึนซึมกระทือ เป็นบ้าใบ้ เสียจริต มึนงงหลงใหล หวาดกลัวร้องไห้ หัวเราะ ใจคอหงุดหงิด จิตไม่เที่ยง ฝันร้ายนอนสะดุ้งคิดมาก ปวดหัวมัวตานาน ๆ ต้องคุณผี คุณคนทำ ผีเข้าเจ้าสิง เป็นโรคลมต่าง ๆ ไข้หนาว ๆ ร้อน ๆ เจ็บท้อง เจ็บหน้าอก ง่อยเปลี้ยเสียขา ตามืดบอด ปวดหลังปวดเอว สัตว์พิษกัดต่อย อะไรเหล่านี้ จะต้องรักษากันด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์และจิตอำนาจเทวฤทธิ์” พญานาคราช กล่าว


“ สาธุ เป็นพระมหากรุณาของพระองค์ยิ่งล้นพ้นที่ทรงมีจิตคิดเมตตาต่อมนุษย์ผู้มีทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้ หม่อมฉันพร้อมแล้วที่จะปฏิบัติตามประสงค์ทุกประการ”

ท่านพ่อฯ กล่าวด้วยบังเกิดความเชื่อมั่นแน่แล้วว่าวิญญาณที่ประทับทรงร่างสามเณรทรัพย์นี้ คือ พญานาคราชเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์บารมีในทางสัมมาทิฎฐิ เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ รับบัญชาการจากพระอินทราธิราช




“ พระองค์ต้องการจะให้มีเครื่องเซ่นสรวงบูชาอะไรบ้างหรือเปล่า”

“ เครื่องเซ่นสรวงบูชาไม่เอา ขายหน้าชาวต่างชาติต่างศาสนาเขา ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง หม่อมฉันขอน้ำเปล่าสักถ้วยหนึ่งก็พอแล้ว ด้วยว่าน้ำนี้เป็นสภาวะของพวกนาคราช คือ ต้องอาศัยน้ำเป็นสื่อปัจจัยถ้าใครผู้ใดมีจิตรำลึกถึงต้องการจะติดต่อด้วยกับหม่อมฉันก็ขอให้ตั้งถ้วยน้ำขึ้น แล้วลอยด้วยดอกมะลิหอม จุดธูปเจ็ดดอก กล่าวอัญเชิญก็จะสามารถส่งกระแสจิตติดต่อกันได้ทันที” พญาสัทโทนาคราชเจ้ากล่าว

นี้คือค้นเหตุความเป็นมาแรกเริ่มเดิมที่จะจัดให้มีการประทับร่างทรงพญานาคทั้ง ๗ องค์ขึ้นที่วัดพระธาตุพนม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้กล่าวอยู่เสมอว่า พระมหาเจดีย์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ เก่าแก่อายุกว่า ๒๕๐๐ ปี องค์นี้เป็นที่รวมชีวิตจิตใจของชาวภาคอีสานและพี่น้องฝั่งลาวทั่วประเทศ เวลามีงานเทศกาลประจำปีจะมีพุทธศาสนิกชนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงมานมัสการเป็นแสน ๆ มีจำนวนไม่น้อยที่มาขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของพญานาคทั้ง ๗ ไปกิน ไปทารักษาโรคภัยไข้เจ็บจนหายเป็นปกติดีเป็นที่เรื่องลือในเรื่องความมหัศจรรย์ บ้างก็มาขอหยูกยา บ้างก็มาขออาบน้ำมนต์ บ้างก็มาขอบูชาพระเครื่องที่พญานาคทั้ง ๗ ปลุกเสก




“ ให้เอาน้ำใสสะอาดใส่ เอาผ้าขาวสะอาดหุ้มปากให้แน่นแล้วยกเข้าไปตั้งไว้ติดโคนฐานองค์พระธาตุพนมภายในกำแพงแก้ว เก็บไว้ในที่นั้นอย่างน้อยหนึ่งคืน เพื่อให้ท่านเสกคาถาเทวฤทธิ์ วันรุ่งขึ้นก็เอาออกมาใส่หม้อน้ำมนต์ที่อยู่ในกุฏิของท่าน เมื่อใครเป็นอะไรให้มาขอก็ให้ไป” สำหรับไหพระธาตุนี้ เมื่อคราวพระธาตุพนมพังทลายปี ๒๕๑๘ ไหน้ำมนต์พระธาตุตั้งอยู่ในบริเวณกำแพงแก้วชั้นที่ ๒ ห่างจากองค์พระธาตุพนมประมาณ ๓ เมตร อยู่ในท่ามกลางอิฐซึ่งพังลงมาทับถมอยู่รอบ ๆ ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิม

นอกจากการเสกน้ำมนต์รักษาคนไข้แล้ว พญานาคราชเจ้าที่ประทับทรงสามเณรยังรักษาคนที่ป่วยเป็นนิ่วให้ด้วยโดยการใช้พลังเทวอำนาจสูบนิ่วออกมาให้เห็นกับตา คนป่วยเป็นพันรายหายจากการทรมานจากโรคนิ่วโดยวิธีนี้

วิธีการรักษาก็คือ ขั้นแรกจะต้องทำพิธีอัญเชิญพญานาคราชเจ้าทั้ง ๗ องค์มาชุมชนเสียก่อน ต่อจากนั้นสามเณรก็จะเข้าสมาธิจิตติดต่อเข้าเฝ้าพญานาคราชเจ้าทั้งเจ็ด ตอนนี้เองพญานาคราชองค์ใดองค์หนึ่งจะเข้าประทับทรงร่างสามเณร ท่านพ่อฯ ซึ่งเป็นประธานในการประทับทรงนี้ จะให้คนไข้ที่เป็นนิ่วเข้ามานั่งหน้าแท่นพุทธบูชาห่างจากสามเณรประมาณ ๑ วา โดยมีพระผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระอีกรูปหนึ่งนั่งอยู่ห่าง ๆ หลับตาทำสมาธิคอยตรวจสอบเหตุการณ์ เมื่อพญานาคเข้าประทับทรงสามเณรแล้ว พญานาคจะบอกให้คนไข้นั่งตามสบาย เพื่อให้ท่านตรวจหาก้อนนิ่วในท้อง และโรคภัยอื่น ๆ ที่อาจมีแอบแฝงอยู่ ใช้เวลาตรวจสอบประมาณ ๑ นาที ก็สามารถจะบอกได้ว่า ในท้องมีนิ่วกี่ก้อน จากนั้นก็ให้คนไข้อ้าปากขึ้น สักครู่เดียวพญานาคราชเจ้าจะดูดเอาก้อนนิ่วในท้องออกมา แล้วพ่นออกจากปาก (ปากของสามเณร โดยก้อนนิ่วนี้จะมาเข้าปากสามเณรที่ถูกประทับทรงก่อนแล้วจึงพ่นออกมาอีกที)




พระผู้เชียวชาญวิปัสสนาธุระ หลับตาทำสมาธิ จิตคอยตรวจสอบเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาบอกว่า “ ขณะที่คนไข้เป็นนิ่วอ้าปากอยู่นั้น มองเห็นกายทิพย์ของมนุษย์ร่างหนึ่งมีขนาดโตเท่านิ้วก้อยมีรัศมีสุกปลั่ง เหมือนประกายดาวบนฟ้าได้ลอยพุ่งออกจากร่างสามเณร เลื่อนไหลเข้าไปในปากคนไข้ แล้วก็กลับออกมาเข้าร่างสามเณรอย่างเดิม จากนั้นก็เห็นสามเณรพ่อนก้อนนิ่วออกจากปาก”

ต่อมาพญานาคราชเจ้าได้เข้าประทับทรงทำการักษาโรคใช้ชาวบ้านอย่างพิสดารมหัศจรรย์ นั่น คือ รักษาโรคมะเร็งขแงเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย ด้วยการสูบเลือดให้ออกจากร่างคนไข้ พ่นออกมาทางร่างประทับทรง ลงกระโถนแล้วเต็มเลือดบริสุทธิ์ให้ด้วยสภาวะทิพย์ ปรากฏว่ารักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งของเม็ดเลือดขาวด้วยวิธีนี้ หายเป็นปกติมีอายุยืนยาวต่อไปหลายรายเป็นที่เลื่องลือ

พญานาคราชเจ้าที่เข้าประทับทรงสามเณรเพื่อรักษาโรคนั้น นอกจากรักษาโดยการสูบนิ่วออกจากคนไข้แล้ว ยังสามารถรักษาคนที่ถูกผีกระทำ คนมีวิชาอาคมกระทำอีกด้วย เช่น สูบตะปูขนาด ๓ นิ้ว ๓ ดอก ออกจากคนไข้รายหนึ่ง อีกรายหนึ่งได้สูบเอากระดูกผียาวประมาณคืบศอกออก บางรายก็สูบเอาเส้นผมผีตายท้องกลมบ้าง ก้อนกรวดบ้าง ด้วยมัตตาสังข์ คางคกตายซาก เศษกระดูก ของมีคมและอะไรต่อมิอะไร อีกหลายอย่างซึ่งสิ่งของ ท่านพ่อฯ ได้เก็บไว้ให้คนที่รักษาเป็นบางส่วน ที่เก็บไว้ก็มีไม่ได้มาก เช่น เนื้อควายสด ๆ เปลวหมูดิบ ๆ หนังควาย คุณไสยสด ๆ ประเภทนี้เมื่อสูบออกจากท้องจะมีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น แต่สักประเดี๋ยวก็จะเกิดอาการสั่นกระดุกกระดิกคล้ายสิ่งมีชีวิตและขยายตัวโตขึ้น ๆ เอาไปชั่งดูปรากฏว่าน้ำหนัก ๓-๔ กิโลกรัมก็มี ต้องให้ศิษย์วัดเอาไปฝังในป่าช้า




ท่านพ่อฯ บอกว่าพวกคุณไสยนี้เป็นวิชาลึกลับร้ายกาจของพวกเขมรและอิสลาม พญานาคราชเจ้าท่านบอกว่าตรวจเห็นได้ง่ายกว่าอย่างอื่น เพราะเป็นวัตถุที่มีอยู่ในโลก แต่ถ้าเป็นวิญญาณผีร้ายประเภทต่าง ๆ เข้าสิงในร่างแล้ว จะมองเห็นเป็นจุดดำ ๆ หลบซ่อนอยู่ในร่างกายคนไข้ที่โน่นที่นี่ ต้องสำทับสั่งให้ปรากฏร่างมันถึงจะแสดงตัวเป็นรูปร่างให้เห็น พญานาคจะสั่งให้มันออกจากร่างคนไข้ ผีบางตัวก็ยอมโดยดีด้วยความกลัว แต่ผีบางตัวดุร้ายมีฤทธิ์ไม่ยอมออกง่าย ๆ ผีประเภทนี้พญานาคราชเจ้าท่านเพียงแต่คอยยืนกำกับสั่งการให้ร่างทรงปราบเองโดยบอกคาถาปราบให้บ้าง ซึ่งคนไข้เหล่านี้เมื่อวิญญาณผีออกจากร่างไป ก็จะหายเป็นปกติ

การรักษาคนไข้ของพญานาคราชเจ้า ด้วยการเข้าประทับทรงนี้ส่วนมากหายขาดจากโรงภัยได้อย่างมหัศจรรย์ แต่ก็มีหลายรายเหมือนกันที่ไม่รอด เพราะถึงคราวที่ต้องตายไปตามวิบากกรรมของตน รายไหนจะไม่รอด พญานาคราชเจ้าจะตรัสผ่านทางร่างประทับทรงว่า คนไข้รายนี้อาการหนักนะท่านเจ้าคุณ ถ้าท่านบอกอย่างนี้ก็แปลว่าแย่ ไม่มีทางรักษาได้นอกจากจะผ่อนหนักเป็นเบา เช่นกำหนดคงจะตายภายในสามวันหรือเจ็ดวัน แต่พ่อแม่หรือลูกหลานอยู่ไกลยังมาไม่ถึงอยากเห็นหน้าอยากจะสั่งเสียอะไรเหล่านี้ พญานาคราชเจ้าก็พอจะช่วยต่ออายุให้ได้บ้างตามสมควรแก่กรณี

http://www.thatphanom.com/2
237  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เหตุการณ์สำคัญที่พระเจ้าไชยะเชษฐาธิราชเกือบเสียเมืองให้กองทัพพม่า เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 10:42:04 am
อนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เวียงจันทน์

...พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระองค์มีศรัทธาอย่างแรงกล้าปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้ตั้งใจความเพียร และการเสียสละอย่างสูง ที่จะสร้างพระพุทธรูปทองหล่อให้ใหญ่ที่สุด(ในสมัยปี พ.ศ.2019) ได้มีการเตรียมพร้อมทุกอย่างจนเป็นที่เรียบร้อยทุกประการ เมื่อถึงเวลาอันเป็นมหาฤกษ์มหาชัยตามพิธีของโหราจารย์ แล้วพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ก็ทรงมอบพระราชกรณียกิจทุกอย่างไว้กับพระมเหสี แล้วพระองค์ทรงนุ่งขาวห่มขาวไปสมาทานศีล 8 อยู่ในวังพิธี ที่วัดอินแปง

     แต่ก่อนถึงเวลามหาฤกษ ์มหาชัยนั้นได้มีกษัตริย์ของพม่า ได้ยกกองทัพเดินทางบุกถึงประตูเวียงแล้ว และได้ทำหนังสือยื่นคำขาด ให้แม่ทัพทั้ง 4 ถือ เข้ามายื่นให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชอยู่ในวังพิธีหล่อนั้น ในคำขาดนั้นมีอยู่ 2 ข้อ

1.ให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชยอมเป็นเมืองขึ้นของพม่า
2.ถ้าไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นให้ออกมารบกัน และให้ตอบคำถามนี้ไปกับผู้ที่ถือหนังสือมามิให้ชักช้า


..หลังจากยื่นหนังสือให้แล้วแม่ทัพของพม่าทั้ง 4 ก็เดินดูช่างที่กำลังสูบเตาหลอมทองที่กำลังร้อนแดง ๆ อยู่นั้นพวกเขาได้แสดงอิทธิฤทธิ์โดย เอามือไปจับเบ้าหลอมพระที่กำลังแดง ๆ โดยไม่มีอาการร้อนเลย พระเจ้าไชยเชษฐาเห็นดังนั้นก็ตกพระทัย จึงได้เข้าไปในพระราชวังด้วยความรีบเร่ง พอพระมเหสีเห็นความผิดปรกติของพระองค์ก็ทรงถามว่า “ยังไม่ถึงเวลาทำพิธีเททองหล่อพระ ทำไมพระองค์จึงรีบกลับมา”

พระองค์จึงเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้พระมเหสีฟัง พระมเหสีจึงกล่าวให้สติว่า “พระองค์ไม่ต้องเสียพระทัย ที่พระองค์สร้างพระใหญ่คราวนี้ เพื่อปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในวันข้างหน้า ถ้าคำปรารถนานี้ไม่สำเร็จ และจะพ่ายแพ้แก่พม่า ก็ขอให้มือของพระองค์กุด(ขาด) ไปกับเบ้าหล่อพระนั้นเสีย แต่ถ้าความปรารถนาของพระองค์จะสำเร็จ และได้รับชัยชนะจากพม่านั้นขอให้เบ้าทองที่จะหล่อพระมีอาการเย็น และไม่หนัก ให้มีอาการเหมือนจับ หมวกใส่หัว”

เมื่อพระองค์ได้สติจากพระมเหสีแล้ว พระองค์เข้าสู้ห้องไหว้พระ กล่าวสักการะเทวดาตั้งสัตยาอธิษฐานอย่างหนักแน่นแล้วกลับสู่วังพิธีหล่อพระ พอดีได้เวลาพระองค์ จึงให้คำตอบแก่แม่ทัพพม่าทั้ง 4 คนว่า “คำขาดของกษัตริย์พม่าทั้งสองข้อนั้นเรายินดีรับหมดทุกอย่าง แต่ว่าเวลานี้เรากำลังทำบุญ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าขอเชิญพวกท่าน มาทำบุญร่วมกันกอ่นแล้วจึงค่อยปฏิบัติตามคำขาดนั้นภายหลัง”

 ว่าแล้วพระองค์ก็เสด็จสู่หอที่เททองใส่เบ้าหล่อ และ พระองค์จับพระขรรค์ ด้วยมือเบื้องซ้าย เบื้องขวารับเอาเบ้าต้มทองที่กำลังแดงและร้อนที่ช่างยื่นให้พระองค์ โดยที่พระองค์ไม่มีความรู้สึกร้อนเลยจนทองหมด ส่วนที่เหลือก็หล่อพระพุทธรูปได้อีก 3 องค์ คือ พระสุก พระใส และพระเสริม

เมื่อเสร็จพิธีแล้วแม่ทัพพม่าทั้ง 4 ก็เดินทางกลับไปพร้อมหนังสือ คำตอบของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อกลับไปถึงก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้กษัตริย์ฟังตามความเป็นจริง แล้วก็พากันผ่อนพักหลับนอนตามเวลาอันสมควร และในคืนนั้นเองพระองค์ได้แอบดอดไปหากษัตริย์พม่า แต่ก่อนที่จะไปพระองค์ได้กล่าวสักการะเทวดาและตั้งสัจจะอธิฐานว่า

“ 1.ถ้าข้าพเจ้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
  2.ถ้าข้าพเจ้าจะได้รับชัยชนะกองทัพพม่าในครั้งนี้ ขอให้เทพเจ้าเทพาอารักษ์จงช่วยเป็นสักขีพยานบันดาลให้กองทัพพม่าพร้อมทั้งช้าง ม้า จงพากันหลับไหล ในเวลาที่ข้าพเจ้าไปยาม(ไปหา) นั้นอย่าได้รู้สึกตัวเลย”


    เมื่อพระองค์ตั้งพระทัยอย่างหนักแน่นดั่งกล่าวแล้วก็ออกเดินทางโดยมีทหารคนสนิทเพียงคนเดียว เมื่อไปถึงปรากฎว่ากองทัพพม่าทั้งหมด คนและสัตว์พาหนะพากันนอนหลับหมดไม่มีใครรู้สึกตัวเลย เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเห็นสภาพดั่งนั้นก็มีความแน่ใจในคำอธิฐานของตน

    ครั้งแรกพระองค์ถอดพระขรรค์ออกมาจะตัดคอกษัตริย์พม่าที่กำลังนอนหลับ แต่แล้วพระองค์ก็นึกขึ้นได้ว่า ตนเองทำบุญปรารถนาพุทธภูมิ แล้วจะมาทำบาปฆ่าคนเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด แล้วพระองค์ก็ได้ปรึกษากับทหารว่าจะทำอย่างไรดี ให้เขารู้ว่าเรามาหา พอดีทหารคนนั้นมองเห็นตลับปูนวางอยู่ข้าง ๆของกษัตริย์พม่า ก็แนะนำให้พระองค์ใช้ปูนผสมน้ำ แล้วเอาไปป้ายที่คอของกษัตริย์พม่าและแม่ทัพทั้ง 4 เป็นกากบาท หลังจากนั้นเดินทางกลับพระราชวัง

  ...พอกษัตริย์พม่าตื่นขึ้นมา ทั้งกษัตริย์และแม่ทัพทั้ง 4 ต่างก็เห็นปูนป้ายคอของตัวเอง ซึ่งคนต่างปฏิเสธไม่มีใครทำ จึงสัณนิฐานได้ว่าต้องเป็น พระเจ้าไชยเชษฐาแน่นอน จึงได้ปรึกษากับแม่ทัพทั้ง 4 ว่า ถ้าต้องทำศึกกับพระองค์ต้องปราชัยแน่นอน จึงเปลี่ยนแนวคิดจากศัตรูมาขอเป็นมิตร

    ในขณะที่กษัตริย์พม่ากับแม่ทัพทั้ง 4 กำลังปรึกษากันอยู่นั้นก็มีทหารคนใช้ของพระองค์เข้ามาบอกว่า “เมื่อคืนนี้พระองค์พระองค์มาหาพวกท่าน แต่เห็นพวกท่านกำลังหลับ ถ้าจะปลุกก็จะเป็นการรบกวนจึงกลับไป บัดนี้ตื่นขึ้นมาแล้ว ขอถือเป็นเกียรติทูลเชิญพระองค์ท่านไปสู่พระราชวังของเราเพื่อปรึกษาเวียกบ้านการเมือง”

    เมื่อกษัตริย์พม่าได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจ จึงได้เตรียมเครื่องราชบรรณาการจำนวนหนึ่งพร้อมแม่ทัพทั้ง 4 เข้าพบพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อมาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ทั้งสองกษัตริย์ก็ได้ให้คำมั่นสัญญา จะมีความซื่อสัตย์ให้แก่กันและกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งผ่ายใดขาดเขินสิ่งใดให้ร้องขอต่อกันและช่วยกันจนเต็มความสามารถ การเจรจาสิ้นสุดลงด้วยการดื่มน้ำสาบาน(น้ำสัตยาบรรณ) และกษัตริย์พม่าก็ได้ขอเรียนวิชา “ก่านปูน” วิชาป้ายปูนที่ลำคอ

    พระองค์จึงได้เล่าความจริงให้ฟังว่า “ก่านปูน” ไม่ใช่วิชาอาคมอะไร ตั้งแต่ได้รับคำถ้าจากกษัตริย์พม่าแล้ว ตนได้รับคำเตือนสติจากพระมเหสี จึงแค่เอาปูนไปป้ายที่คอของกษัตริย์พม่าและแม่ทัพทั้ง 4 เท่านั้น

    ด้วยสำนึกถึงบุญคุณของพระมเหสี กษัตริย็พม่าจึงขออนุญาตแกะสลัก(ควัด) รูปเหมือนพระอัครมเหสีเท่าองค์จริงด้วยหินไว้เป็นอนุสรณ์ จากนั้นพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงให้ช่างแกะสลักพระอัคระมเหสีของพม่าขึ้นอีกองค์หนึ่งไว้เป็นคู่กัน เพราะเป็นสัญญาสำคัญแห่งสัมพันธไมตรี ในครั้งประวัติศาสตร์ พวกช่างก็แกะสลักรูปพระนางทั้งสองด้วยแผ่นหินและประดิษฐานไว้ที่วัดอินแปงจนถึงทุกวันนี้ ตามประวัติศาสตร์ได้บันทึกการรุกของสงครามศักดินาดังนี้

  ..ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2127 ในรัชกาลของพระสุรินทลือไชย(จัน) ศักดินาพม่าเขามาตีนครหลวงเวียงจันทน์ได้สำเร็จพร้อมทั้งเผาทำลายวัดวาอารามวัตถุมีค่า มูลเชื้อวัฒนธรรม รวมถึงวัดองค์ตื้อด้วย
  ..ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2322 ในรัชกาลพระเจ้าสิริบุยสาร ศักดินาสยามได้เข้ามารุกรานครั้งที่ 1
  ..ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ.2370 ในรัชกาลเจ้าอนุวงศ์ ศักดินาสยามได้เข้ามารุกรานเป็นครั้งที่ 2 พร้อมกับทำลายเผาผลาญนครหลวงเวียงจันทน์ จนเป็นเถ้าถ่านไปทั้งเมืองและร้ายแรงที่สุดคือ วัดองค์ตื้อ พร้อมพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
  ..ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ. 2416 โจรฮ้อ ได้เข้ามาปล้นสะดมขุดค้นเอาวัตถุมีค่าไปจนหมดในนั้น รวมพระเจ้าใหญ่องค์ ตื้อด้วย


เขียนโดย พระอาจารย์ผ่อง เจ้าอาวาสวัดองค์ตื้อ


ขอขอบคุณที่มา http://ufokaokala.com/index.php?topic=334.0
ขอบคุณภาพจาก http://upload.wikimedia.org/
238  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระพุทธศาสนาในยุคของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 10:40:22 am
สมเด็จพระเจ้าอภัยพุทธบวร ไชยเชษฐาธิราช พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้าง

     สมเด็จพระเจ้าอภัยพุทธบวร ไชยเชษฐาธิราช หรือที่รู้จักกันดีในพระนาม พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (พ.ศ. 2077 - 2115) ถือเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งของชาติลาว ทรงเป็นผู้นำแห่งอาณาจักรล้านช้าง ผู้สถาปนากรุงศรีสัตนาคนหุตให้เป็นศูนย์กลางอารยธรรม และเป็นศูนย์รวมศิลปะวัฒนธรรมต่างๆ ของอาณาจักรล้านช้างเข้าไว้ด้วยกัน

อิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศลาว


พระพุทธศาสนาในยุคของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
นับว่ามีความเจริญถึงขั้นขีดสุด ทรงได้สร้างวัดสำคัญมากมาย
ที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างองค์พระธาตุหลวงขึ้นมาใหม่ให้ใหญ่โตมโหฬารสมกับที่เป็นปูชนียสถานคู่แผ่นดินพระราชอาณาจักร
และได้สร้างวัดในกำแพงเมืองอยู่ประมาณ 120 วัด
และยังได้สร้างวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ที่นำมาจากเมืองเชียงใหม่
ในสมัยนี้ได้มีการแต่งวรรณกรรมหลายเรื่อง เช่น สังสินชัย การเกต พระลักพระราม เป็นต้น

สมัยนี้ราชอาณาจักรไทยได้มีความสัมพันธ์ลาวอย่างแน่นแฟ้น ได้ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับพม่า ได้สร้างเจดีย์ "พระธาตุศรีสองรัก" ในอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เพื่อเป็นอนุสรณ์ แห่งความเป็นพี่เป็นน้องกัน ของสองอาณาจักร

พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงคำมาอยู่ที่เวียงจันทน์ ได้ประดิษฐานพระแก้วมรกต และพระแซกคำ (พระพุทธสิหิงค์ หรือพระสิงค์) ไว้ที่เวียงจันทน์
เรียกว่าเวียงจันทน์ล้านช้างส่วนพระบางประดิษฐานไว้ที่เมืองเชียงทอง จึงได้ชื่อว่าหลวงพระบางมาจนถึงบัดนี้ บางครั้งก็เรียกชื่อว่าล้านช้างหลวงพระบาง
และได้สร้างวัดเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตขึ้นเป็นพิเศษ พระองค์ได้ทรงสร้างพระธาตุหลวง ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นยอดเยี่ยมของลาวเมื่อ พ.ศ. 2109 ซึ่งต่อมาได้ถูกพวกปล้นจากยูนนานทำลายเสียหายไปมาก

นอกจากพระองค์จะได้ทรงสร้างพระธาตุ อื่น ๆ และพระพุทธรูปสำคัญ ๆ อีกมากมาย
เช่น พระเจ้าองค์ตื้อ ที่เวียงจันทน์
พระเจ้าองค์ตื้อ ที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
พระเสริม พระสุก พระใส พระอินทร์แปลง พระองค์แสน
ทรงสร้างวัดพระธาตุ ที่จังหวัดหนองคาย
และพระธาตุที่จมน้ำโขงอยู่
พระธาตุบังพวน อำเภอเมืองหนองคาย
สร้างวัดศรีเมือง จังหวัดหนองคาย
และพระประธานในโบสถ์ นามว่า พระไชยเชษฐา พระศรีโคตรบูร ที่แขวงคำม่วน พระธาตุอิงรัง ที่แขวงสุวรรณเขต (สุวรรณเขต)
พระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และทรงปฏิสังขรณ์พระธาตุพนม เป็นต้น


พระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

ที่มา http://www.dhammathai.org/thailand/missionary/laos.php
ขอบคุณภาพจาก http://touronthai.com/ และhttp://upload.wikimedia.org/
239  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / หลวงปู่ขาวพบพญานาคราช เมื่อ: มกราคม 18, 2012, 11:30:27 am

หลวงปู่ขาว อนาลโย
ธุดงค์เผชิญสัตว์ต่างๆ

พญานาคที่ภูถ้ำค้อ

หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภูถ้ำค้อ ที่เกี่ยวกับลูกหลานพญานาค ดังต่อไปนี้

คืนหนึ่ง ในระหว่างที่หลวงปู่นั่งสมาธิภาวนา ได้เห็นในนิมิตว่าบรรดางูใหญ่งูเล็กหลายพันตัว พากันเลื้อยออกมาจากถ้ำเป็นขบวนยาวเหยียด

หลวงปู่ได้ถามในนิมิตว่า "จะไปไหนกันมากมายเช่นนี้ ?"

หัวหน้างูใหญ่ตอบว่า "พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นภูมินาค"

หลวงปู่ถามซ้ำอีกว่า "จะพากันไปไหน ทำไมไม่อยู่ที่เดิมนี้ ?"

งูตอบว่า "จะไปที่ห้วยอีตุ้ม เพราะตั้งแต่พระคุณเจ้ามาอยู่ในถ้ำนี้แล้ว พวกข้าพเจ้าอยู่ยากกินยาก"

หลวงปู่จึงถามว่า "เพราะอะไร ?"

บรรดางูใหญ่งูเล็กหลายพันตัว พากันเลื้อยออกมาจากถ้ำเป็นขบวนยาวเหยียด

หลวงปู่ได้ถามในนิมิตว่า "จะไปไหนกันมากมายเช่นนี้ ?"

หัวหน้างูใหญ่ตอบว่า "พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นภูมินาค"

หลวงปู่ถามซ้ำอีกว่า "จะพากันไปไหน ทำไมไม่อยู่ที่เดิมนี้ ?"

งูตอบว่า "จะไปที่ห้วยอีตุ้ม เพราะตั้งแต่พระคุณเจ้ามาอยู่ในถ้ำนี้แล้ว พวกข้าพเจ้าอยู่ยากกินยาก" หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภูถ้ำค้อ ที่เกี่ยวกับลูกหลานพญานาค ดังต่อไปนี้

คืนหนึ่ง ในระหว่างที่หลวงปู่นั่งสมาธิภาวนา ได้เห็นในนิมิตว่า

หลวงปู่จึงถามว่า "เพราะอะไร ?"

งูตอบว่า "เพราะพวกข้าพเจ้าอยู่สูงกว่าพระคุณเจ้าผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ ทำให้ร้อนไปทั่วร่างกาย จึงขอลงไปอยู่ในที่ต่ำๆ จะได้ไม่เป็นบาป"

ในบรรดางูเหล่านั้นมีนาคหนุ่มตัวหนึ่งถูกมัดปาก โดยให้คาบก้อนหินอยู่ หลวงปู่เห็นว่าแปลกกว่านาคตัวอื่นๆ จึงถามหัวหน้าพวกเขาว่า "ทำไมจึงต้องมัดปากเขาไว้ด้วย ?"

หัวหน้าตอบว่า "มันดื้อมาก เกรงมันจะทำอันตรายพระคุณเจ้า"

หลังจากออกจากสมาธิแล้ว หลวงปู่ได้ยกเรื่องของนาคมาพิจารณาโดยละเอียด ท่านบอกว่าเรื่องของนาคนี้ไม่มีบรรยายไว้ในตำราเล่มใด ถ้าหากไม่ปฏิบัติสมาธิให้ถึงขั้นแล้ว จะไม่เห็นได้เลย เป็นสนฺทิฏฐิโก คือรู้เห็นเฉพาะตนเท่านั้น

 

บทเพลงลูกสาวพญานาค

การจำพรรษาของหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่ภูถ้ำค้อนั้น ท่านว่าได้ข้อธรรมอย่างมากเลยทีเดียว การพิจารณาค้นคว้าธรรมไม่ติดข้อง มีความรู้แปลกๆ หลายอย่าง รู้ทั้งเรื่องของโลกและรู้ทั้งเรื่องของโลกทิพย์

หลวงปู่เล่าว่า คืนหนึ่งท่านเข้าที่บำเพ็ญภาวนา จิตสงบ ปรากฎว่าตัวของท่านได้ลงไปถึงชั้นบาดาล

หลวงปู่ถามว่า "เมืองอะไร ?"

มีเสียงพูดขึ้นว่า "นี่คือบาดาลพิภพ เมืองนาค"

หลวงปู่บอกว่า ขณะนั้นเห็นตัวท่านเองยืนอยู่บนก้อนหินอยู่กลางน้ำ น้ำในเมืองบาดาลไม่เหมือนกับน้ำในเมืองมนุษย์ กล่าวคือน้ำในเมืองบาดาลน้ำจะไหลผ่านกัน เช่นสายหนึ่งไหลไปทางทิศเหนือ อีกสายหนึ่งจะไหลไปทางทิศใต้สลับกัน สายหนึ่งไหลไปทางตะวันออก อีกสายก็ไหลไปทางตะวันตก บางแห่งจะไหลเวียนขวากับเวียนซ้าย น่าแปลกประหลาดมาก

หลวงปู่เห็นก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง มีลักษณะสวยงามมาก มีสาวงามซึ่งเป็นลูกของพญานาคยืนนิ่งอยู่ เธอสวยงามมาก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดูราวกับนางฟ้าเทพธิดา แต่งตัวด้วยเครื่องทรงที่งดงามเหมือนในภาพที่วาดกัน

สาวน้อยหันหน้ามาทางหลวงปู่ เธอประนมมือและแสดงความคารวะ แล้วทำการร่ายรำพร้อมกับขับร้องเป็นเพลงว่า "อะหัง นะเม นะเม นะวะชาตินะวะ" หลวงปู่จำเนื้อเพลงได้ดี

ลูกศิษย์เคยกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า เพลงของลูกสาวพญานาคมีความหมายว่าอย่างไร ท่านบอกว่าให้แปลเอาเอง

หลวงปู่เคยเล่าเรื่องนี้ถวายสมเด็จพระญาณสังวร (สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน) สมเด็จฯ ท่านก็ไม่แปลให้ฟัง พระองค์ท่านอยากฟังหลวงปู่แปลมากกว่า จึงนิมนต์ให้หลวงปู่แปลให้ฟัง

หลวงปู่บอกว่า "ผมไม่ได้มหาเปรียญ ไม่ได้เรียนศึกษาจะแปลได้อย่างไร"

สมเด็จฯ ท่านว่า "หลวงปู่เรียนทางในไตรปิฎก ผมเรียนทางนอกทางตำรา"

หลวงปู่จึงยอมแปลให้ฟัง ท่านพูดว่า "พูดตามที่เป็นมา ไม่ใช่ตำราอะไรนะ อะหัง ก็แปลว่าเรา ชาติใหม่ของเราไม่มีอีกแล้ว มีชาติเดียวเท่านี้"

แล้วหลวงปู่ก็ยิ้มระรื่นตามนิสัยอารมณ์ดีของท่าน แล้วถามสมเด็จว่า "ผมแปลแบบบาลีโคก แบบนี้ถูกหรือไม่"

สมเด็จฯ ท่านตอบว่า "หลวงปู่แปลได้ถูกต้องแล้ว"



ที่มาhttp://variety.thaiza.com 
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net
240  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ถ้อยคำดีดี ภาพสวยสวย เมื่อ: มกราคม 17, 2012, 06:17:50 pm


















ที่มา  www.teenee.com
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7