สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ กันยายน 21, 2019, 08:12:21 am



หัวข้อ: ผู้ละเมิดปฐมปาราชิกคนแรก
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กันยายน 21, 2019, 08:12:21 am

(https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2018/10/ภป-พระพุทธศาสนามั่นคง.jpg)


ผู้ละเมิดปฐมปาราชิกคนแรก : สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (23)

ผู้ละเมิดพระวินัยขั้นอุกฤษฏ์ชนิดที่ขาดจากความเป็นพระเลยเรียกว่า “ปาราชิก” มีอยู่ 4 ประเภทคือ เสพเมถุน, ลักทรัพย์, ฆ่ามนุษย์ และอวดอุตริมนุสธรรม (อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน) เป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับผู้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา จึงขอนำมาเล่าให้ฟังตามลำดับ

ท่านผู้ละเมิดปฐมปาราชิกมีนามว่า พระสุทิน กลันทบุตร ท่านเป็นบุตรเศรษฐีเมืองราชคฤห์ วันหนึ่งไปฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมสหาย มีความเลื่อมใสใคร่อยากบวช จึงทูลขอบวช พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้ไปขออนุญาตบิดา-มารดาก่อน จึงจะให้บวช

เข้าไปขออนุญาตบิดา-มารดา แต่ไม่ได้รับอนุญาต จึงอดข้าวประท้วง ไม่กินข้าวกินปลาหลายวัน บิดา-มารดาสุทินกลัวว่าลูกจะอดข้าวตาย จึงขอร้องให้เพื่อนๆ ของสุทินช่วยเกลี้ยกล่อมใหม่เลิกคิดบวชเสีย

@@@@@@

เพื่อนๆ ต่างก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้เลิกคิดบวชก็ไม่สำเร็จ จึงบอกบิดามารดาของสุทินว่า “คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องวิตกดอก สุทินเธอเป็นคนสุขุมาลชาติ เมื่อบวชเข้าจริงคงทนความลำบากไม่ไหว ไม่นานก็คงกลับมาเองแหละ”

บิดา-มารดาจึงอนุญาตให้บุตรชายบวช คิดว่าไม่นานเธอก็คงสึกมาตามที่เพื่อนๆ คาด แต่ผิดคาดครับ พระสุทินหลังจากบวชแล้วไม่นานก็ทูลขอกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าแล้ว เข้าป่าหาความสงบวิเวกตามลำพัง หายจ้อยไปแล้วไม่กลับเข้าเมือง และไม่มายังบ้านโยมบิดา-มารดาเลย

กาลล่วงเลยไปหลายปี วันหนึ่งพระภิกษุหนุ่มกลับเข้ามาในเมืองกำลังเที่ยวภิกขาจารอยู่ เห็นสาวใช้บ้านของตนเองกำลังจะเอาขนมที่เริ่มบูดเททิ้ง จึงกล่าวว่า “น้องหญิง ถ้าเจ้าจะทิ้ง เอามาใส่บาตรอาตมาเถอะ”

นางจะเอาขนมใส่บาตร พอแหงนหน้าขึ้นมาเท่านั้น ก็จำได้รีบวิ่งไปบอกนายว่า “นายขา คุณผู้ชายกลับมาแล้ว กำลังเดินขอทานอยู่”

@@@@@@

บิดา-มารดาของพระหนุ่มได้ยินดังนั้น ดีใจก็ดีใจที่ลูกกลับมา แต่เสียใจที่ลูกชายเที่ยว “ขอทาน” ทำไมหนอลูกเราจึงทำขายหน้าตระกูลวงศ์ปานฉะนี้ จึงให้คนไปนิมนต์มาคฤหาสน์ ต่อว่าต่อขานพักใหญ่ หาว่าทรัพย์สินเงินทองก็มีมากมาย ทำไมลูกถึงได้เดินขอทานตามถนน ทำให้พ่อ-แม่ขายหน้า

ภิกษุหนุ่มกล่าวว่า “นี้เป็นการบิณฑบาตตามวัตรจริยาของสมณศากยบุตร มิใช่เป็นการขอทาน หากแต่เป็นการโปรดสัตว์”

“เอาเถอะๆ แล้วไป ว่าแต่ว่าลูกลาสิกขามาดูแลทรัพย์สมบัติของเราเถิด พ่อ-แม่ไม่มีใครสืบสกุลแล้ว”

“อาตมายังยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ไม่อยากลาสิกขา” พระหนุ่มยืนยัน บิดา-มารดาอ้อนวอนอย่างไร เธอก็ยืนกรานว่าไม่ลาสิกขาเป็นอันขาด

@@@@@@

บิดาจึงสั่งให้คนขนกหาปณะจากคลังมากองจนท่วมศีรษะแล้วกล่าวว่า “ลูกดูสิ ทรัพย์มากมายเหล่านี้ใครจะดูแล เมื่อไม่มีพ่อและแม่แล้ว”

พระลูกชายกล่าวว่า “ถ้ายุ่งยาก หาคนดูแลไม่ได้ โยมพ่อและโยมแม่ขนไปทิ้งทะเลเสียเถอะ”

คําพูดช่างเชือดเฉือนใจเสียนี่กระไร มารดาได้ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร พระหนุ่มคงยังนั่งสงบตามลักษณะของสมณะแท้จริง ทันใดนั้นโยมมารดานึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวกับพระลูกชายว่า

“ถ้าลูกไม่สึกก็ไม่เป็นไร พ่อ-แม่ขอ “หน่อ” ไว้สักหน่อจะได้ไหม”

“ได้ เจริญพร” พระหนุ่มคิดว่าคงไม่ผิดอะไร ดีเสียอีกเมื่อพ่อ-แม่มี “หน่อ” ไว้สืบสกุลแล้วจะได้ไม่มารบเร้าให้ตนสละเพศบรรพชิตอีกจึงหันไปกล่าวกับอดีตภรรยาว่า “น้องหญิง พร้อมเมื่อไหร่บอกอาตมาด้วย” (เป็นที่รู้กันว่า “พร้อม” ในที่นี้คืออะไร)

@@@@@@

ต่อมาเมื่อนาง “พร้อมแล้ว” จึงแจ้งแก่พระหนุ่มอดีตสามี พระหนุ่มก็จูงมืออดีตภรรยาเข้าละเมาะ พระคัมภีร์ว่า “ได้จัดการ” เพื่อให้อดีตภรรยาได้หน่อ (ทำอย่างไร ก็รู้กันดีอยู่แล้วมิใช่เรอะ) ผู้รวบรวมพระคัมภีร์ท่านมีอารมณ์ขัน ท่านกล่าวว่า “พระสุทินกระทำซ้ำถึงสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าติดแน่” (ว่าอย่างนั้น)

และก็ติดจริงๆ หลังจากนั้นนางก็ตั้งครรภ์ คลอดลูกออกมาเป็นชาย ปู่-ย่าจึงขนานนามว่า “เด็กชายพีชกะ (พืช หรือหน่อ) ประชาชนรู้เรื่องก็พากันโพนทะนากันให้แซดว่า พระสมณศากยบุตร ไหนว่าบวชประพฤติพรหมจรรย์ ยังมาเสพเมถุนจนมีลูกมีเต้าน่าอับอายขายหน้าแท้”

เรื่องรู้ถึงพระพุทธองค์ พระองค์ทรงเรียกพระสุทินมาสอบสวนท่ามกลางสงฆ์ เธอรับเป็นสัตย์จริง จึงทรงตำหนิว่า ทำการไม่เหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดความเลื่อมใสในแก่ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส และบั่นทอนความเลื่อมใสของผู้ที่เลื่อมใสอยู่แล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า “ต่อแต่นี้ไป ห้ามภิกษุเสพเมถุน ภิกษุใดเสพเมถุน ภิกษุนั้นขาดจากความเป็นภิกษุ ถูกขับออกจากหมู่ทันที”

@@@@@@

พระสุทินจึงนับเป็นภิกษุรูปแรกที่ทำผิดขั้นอุกฤษฏ์ถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์กับสตรี ทำให้ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระทันที

แต่เนื่องจากเธอเป็นผู้กระทำผิดคนแรก พระพุทธองค์จึงไม่ให้สึก ให้เธอเป็น “อาทิกัมมิกะ” (ต้นบัญญัติ) คล้ายกับว่าให้เป็นที่อ้างอิงในทางชั่ว สำหรับยกมาเตือนพระภิกษุอื่นๆ ในภายหลังว่าให้ตั้งใจประพฤติพรหมอย่างเคร่งครัดนะ อย่าทำผิดถึงขั้นเสพเมถุนเหมือนพระสุทินอะไรประมาณนั้น

ความเป็นจริงให้เธอสึกหาลาเพศไปรักษาศีลบำเพ็ญทานในเพศฆราวาสเสียจะดีกว่า เมื่อเธอมิได้สึก เธอก็มีแต่ความเศร้าหมองจิตไปจนสิ้นชีวิต ไม่มีโอกาสงอกงามในคุณธรรมอีกเลย เพราะเธอได้ “ขุดรากถอนโคนตนเองเสียแล้ว”



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13-19 กันยายน 2562
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 19 กันยายน พ.ศ.2562
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_229303 (https://www.matichonweekly.com/column/article_229303)