ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - pongsatorn
หน้า: [1]
1  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / เปิดบันทึกตำนาน ตอน หลวงพ่อผัน วัดราษฏร์เจริญ จ.สระบุรี เมื่อ: ตุลาคม 05, 2015, 10:13:25 pm
https://www.youtube.com/watch?v=H5VubASBFDc

ขอบคุณ เปิดบันทึกตำนาน (OFFICIAL)

เผยแพร่เมื่อ 9 ก.ค. 2015

พระครูสรกิจพิจารณ์ หรือ หลวงพ่อผัน จิณฺณธมฺโม วัดราษฏร์เจริญ จ.สระบุรี
เมื่องสระบุรียังมีพระเกจิอาจารย์ผู้เรือง­เวทวิทยาคมผู้สร้างวัดให้กลายเป็นมรดกทางพ­ระพุทธศาสนาหลายต่อหลายท่าน แต่ละท่านเสกวัตถุมงคลได้เข้มขลังศักดิ์สิ­ทธิ์ไม่แพ้พระอาจารย์จังหวัดอื่น พระครูสรกิจพิจารณ์ หรือหลวงพ่อผันเป็นเพระเกจิอาจารย์อีกรูปห­นึ่งที่มีบรรดาศิษยานุศิษย์เลื่อมใสและศรั­ทธามากมาย ความศักดิ์สิทธิ์มนมนต์คาถาของท่านได้ขจรข­จายไปทั่วประเทศ ท่านได้สร้างคุณประโยชน์อย่างแท้จริง ชาวบ้านจึงขนานนามท่านว่า "เทพเจ้าแห่งเมืองหนองแค" นั่นเพราะท่านเป็นพระสุปันติปันโน ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระนักพัฒนา วัตถุมงคลของท่านช่วยเหลือบรรดาลูกศิษย์ลู­กหาให้อยู่รอดปลอดภัยไม่เป็นอันตรายมานักต­่อนัก เป็นที่ประจักษ์ของผู้คน ส่วนเรื่องอภินิหาริย์ของท่านก็กล่าวขานกั­นไม่รู้จักหมดจักสิ้น

ติดตามรายการ"เปิดบันทึกตำนาน"ไ­ด้ที่
https://www.facebook.com/perdbuntueg?...

 :49:
2  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การเจริญธาตุ กรรมฐาน จะช่วย อะไร กับ กาย เรา บ้างครับ หรือมีผลแต่จิต เมื่อ: มกราคม 14, 2015, 03:49:19 pm
 ask1

การเจริญธาตุ กรรมฐาน จะช่วย อะไร กับ กาย เรา บ้างครับ หรือมีผลแต่จิต อย่างเดียวเท่านั้น
การเจริญธาตุ กรรมฐาน จัดเป็น สมถะ หรือ วิปัสสนา

  :13: thk56
3  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ภาวนาอย่างไร ถึง จะสำเร็จธรรม โดยไว ถ้าจะต้องเลือกระหว่าง ... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:51:50 pm
ภาวนาอย่างไร ถึง จะสำเร็จธรรม  โดยไว ถ้าจะต้องเลือกระหว่าง ...สมถะ กับ วิปัสสนา

 ไม่ทราบว่า เพื่อนสมาชิก ศิษย์ พี่น้องชาวกรรมฐาน มีวิธีการเลือกอย่างไร ในการภาวนา

โปรดชี้แนะ ข้าผู้น้อย ด้วยเถิด....

   thk56 :25:
4  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การตัดขาดจากอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง...ทำยากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อ: ตุลาคม 01, 2012, 01:21:26 am
การตัดขาดจากอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง...ทำยากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้
พระบางรูปฝึกสมาธิในถ้ำเป็นเดือน..มันหายไปนึกว่าจบแล้ว
แต่วันแรกที่ลงจากถ้ำมาพบผู้หญิง..ไอ้ที่ว่าหมดไม่มีแล้ว
ไม่รู้มันผุดขึ้นมาจากที่ไหนปานเขื่อนแตก

เอาแค่มันไม่ทำให้เราเป็นทุกข์กระสับกระส่ายจนอยู่ไม่เป็นสุข
ประเภทขยับรถผ่านผู้หญิงข้างถนนเป็นต้องเหลี่ยวมองคอแทบหัก
จนรถชนท้ายชาวบ้านก็อาจจะพอมีหวัง

ถ้าร่างกายแข็งแรง..ไอ้นั่นก็สุขภาพดีตามไปด้วย
เราจะหยุดออกกำลังกายปล่อยให้ร่างกายสุขภาพทรุดโทรม..คงไม่ใช่เรื่อง

ฝึกวิปัสสนาเพื่อจะอยู่กับความจริงในปัจจุบันตรงหน้า
ไม่ใช่หลบเข้าไปอยู่กับจินตนาการที่จิตมันสร้างขึ้นมา
ความจริงตรงหน้า ณ ปัจจุบันคือผู้หญิง...แต่หลายคนก็ดันจินตนาการจับเขาแก้ผ้า
ผู้หญิงยืนอยู่จริง..แต่สาวเปลือยล้อนจ้อนในความคิด..ไม่มีจริง
แล้วเราก็เคลิบเคลิ้มหลงไหลปล่อยใจไปกับจินตนาการ..จนกลายเป็นนิสัย

จินตนาการมันเกิดขึ้นจากข้อมูลในสมอง...ก็แค่หยุดเสพสื่อลามก
เลิกป้อนข้อมูลใหม่ๆ ให้สมองมันจดจำ..ปรับนิสัยเสียใหม่ให้มันจดจำแต่สิ่งดีเป็นกุศล
ทำบุญ..ฟังบทสวดมนต์..หาหนังสือธรรมะมาอ่าน

แทนที่จ้องแต่จะจับผู้หญิงแก้ผ้า..ก็ลองหันมาจินตนาการจับผู้หญิงถลกหนังออก
ลากตับไตไส้พุงออกมากองแยกไว้..เอาท่อนกระดูกมาลูบคลำพิจารณา
ดูซิว่า....อารมณ์ทางเพศของเรามันเกิดขึ้นจากอวัยวะส่วนไหนของผู้หญิง
ใบหน้าที่ว่าสวย...ถ้ามีแต่กะโหลก...จะยังสวยอยู่หรือเปล่า
ที่ว่าสวยมันก็เพียงชั่วคราว...จะสวยอยู่ได้สักกี่น้ำ..เซ็กซี่อยู่ได้กี่ปี
ไม่นานทุกอย่างก็จะหายไป..เหลือเพียงธุลีดิน...นี่แหละคือความจริง

ถ้าจินตนาการจนผู้หญิงล้อนจ้อนได้..
คิดเลยต่อไปอีกนิด..จนเหลือแต่กระดูก..คงไม่ยากเกินความสามารถ
ลองดู..สนุกดี..???

จากคุณ    : อารยัน
5  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ทำไมผู้ฝึก สมาธิ จึงมีอารมณ์ โทสะ ไว มาก ๆ ครับ เมื่อ: ตุลาคม 26, 2011, 07:46:24 am
ผมเอง ก็ฝึกสมาธิ มานาน มาก ๆ แต่เวลาเจอเรื่องที่กระทบเป็นเรื่องที่เป็นโทสะ ขึ้นมากับรู้สึก โกรธไวมาก
จะหงุดหงิด ง่าย อันที่จริงก็รู้ตัวว่ามีวิสัย เป็นคนเจ้าโทสะ เมื่อก่อนไม่ค่อยจะรู้ตัว แต่ปัจจุบันจะรู้ตัวครับ บางที
ก็หงุดหงิด กับอารมณ์ของตัวเองว่าทำไม จะต้องโกรธอยู่ครับ

 :03:
6  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สระบุรี คุณยาย เสียชีวิต เพราะไฟฟ้าดูด เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 08:09:04 am
ที่ ต.หนองปลิง อ.หนองแค เขตน้ำท่วม
คุณยายสังวาลย์ ถูกไฟฟ้าดูดเสียชีิวิต ไฟฟ้ารั่วมาจาก ตู้เย็น
อุทาหรณ์ สำหรับเรื่อง ไฟฟ้า ต้องระวังกันด้วยนะครับ


  :'(

 
7  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ฝึกสมาธิ แล้ว กลัวเป็นบ้า !!!!! เมื่อ: กันยายน 24, 2011, 07:49:21 am
ตอนเป็นเด็ก มักจะนั่งสมาธิอยู่เรื่อยๆ
และมันก็ เริ่มหายไปมากขึ้น  เมื่อโตขึ้นตามลำดับ

ส่วนใหญ่จะนั่งได้ถึงขึ้น จิตใจสงบสุข เท่านั้น 

และัก็มีอยู่ หลายฃครั้ง  ที่รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นและสูงขึ้นจนมีความรู้สึกว่าในห้องที่นั่งคับแคบ
แต่มีความรู้สึกว่ามีตัวเองอีกตนอยู่ในใจกลางซึ่งเบา และลอยอยู่กลางห้อง 

ตอนนั้นรู้สึกตกใจและก็ลืมตา ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีอาการอย่างนี้อีก เพราะกลัวว่าฝึกต่อไปจะบ้า

ที่สงสัย และกลัวที่จะฝึกสมาธิ  คือ   ได้ยินมาว่าหากทำสมาธิถึงจุดๆหนึ่ง (ซึ่งคือตรงไหนผมก็ไม่รู้)
มันจะเกิดภาพหลอน หรือเห็นภูตผีวิญญาณ  อาจทำให้เสียสติได้   

สาเหตุนี้เองทำให้ผมไม่กล้านั่งสมาธินานๆ  จึง หยุดอยู่ที่นั่งแล้วรู้สึกจิตใจสงบ   บอกตรงๆ  กลัวเป็นบ้าครับ

 (ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองยังห่างจุดนั้นไปอีกเยอะมาก) 

แต่ในเมื่อผมยังหา คำตอบชัดเจนให้ตัวเองไม่ได้ ตอนนี้ขอกลัวไว้ก่อนครับ  ยังมีีคนที่ต้องห่วงต้องดูแลเค้าอยู่  ไม่อยากเสียสติไปเสียก่อน

จึงอยากได้รับคำแนะนำจากผู้ภาวนาด้วยกันครับ.........
ขอ คำแนะนำด้วยครับ

 :c017:
8  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.watladpraw.com วัดลาดพร้าว กทม เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 08:07:19 am


http://www.watladpraw.com
วัดลาดพร้าว กทม






9  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / การปฏิบัติธรรมสำหรับฆราวาส ฉบับเบาเบา เมื่อ: มีนาคม 02, 2011, 02:36:19 pm
การปฏิบัติธรรมสำหรับฆราวาส ฉบับเบาเบา    


วิธีพิจารณาความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม สำหรับฆราวาส เวอร์ชั่นเบาเบา
1.เริ่มต้นจากศรัทธาหรือสัทธา ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีสี่อย่าง คือ

•กัม มสัทธา เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่า เมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่าผลที่ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น

•วิปากสัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว

•กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบาก เป็นไปตามกรรมของตน

•ตถาคต โพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้

2.จาคะ การบริจาค การให้ทาน ดังจะเห็นได้จาก อดีตชาติของพระพุทธเจ้าในพระชาติต่างๆ เริ่มจากการให้ทานเป็นอันดับแรก เพราะว่าการให้ทานเป็นหัวใจหรือเป็นหลักของใจ การให้ทานอันการสละวัตถุสิ่งของภายนอกมากน้อยแก่ผู้ที่รับบริจาค คุณความดีจะวิ่งเข้าสู่ใจ ใจจะมีความอบอุ่น และจะพัฒนาไปสู่การสละเวลา ร่างกายมาปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมมากขึ้น และในฐานะที่พวกเรายังไม่สามารถจะเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาตินี้ อานิสงส์แห่งทานที่ได้ทำลงไปจะรักษาเราไม่ให้ลำบากอัตขัตขัดสน

แม้ แต่พระพุทธเจ้าสมัยเสวยพระชาติเป็นกระต่ายโพธิสัตว์ตั้งใจว่า วันนี้หากใครต้องการอาหารเราจะยอมสละเนื้อหนังของเราให้เป็นอาหาร ก็ยอมสละชีวิตตนเองเป็นอาหารให้ทานแก่คนที่ต้องการอาหารในวันนั้น โดยไม่ได้เลิกชนชั้นวรรณะว่าจะต้องเป็นพระสงฆ์ สมณชีพราหมณ์ กษัตริย์ พ่อค้าประชาชนพวกนั้นพวกนี้เลย

แต่การทำทานไม่ได้มุ่งที่แสดงว่า “ทำทานมากได้บุญมาก ทำทานน้อยได้บุญน้อย แต่ให้ทำทานทำบุญให้บ่อยๆตามกำลังความสามารถ” แต่มุ่งที่พิจารณาดูใจให้รู้จักเสียสละเป็นสำคัญคือความตะหนี่ที่เกิดขึ้นใน ใจของเรา

ดังเช่น ชายขอทานมีเงินอยู่ 20 บาทแต่ได้เสียสละซื้อข้าวปลาอาหารถวายพระสงฆ์  เงิน 20 บาทนี้อาจจะเป็นค่าอาหารมื้อต่อไปของชายคนนั้นก็ได้ (เมื่อเทียบกับมหาเศรษฐีที่มีเงินเป็นหมื่นๆล้าน ทำบุญ 1 แสนบาท จะได้บุญมากกว่าขอทานก็คงไม่ใช่) แต่ด้วยชายคนนั้นพิจารณาถี่ถ้วนแล้วว่า

“เพราะ ชาติที่แล้วเราไม่รู้จักทำบุญให้ทาน ชาตินี้จึงมาเป็นคนลำบากยากจนเข็ญใจ เงิน20 บาทนี้จะรักษาเราก็ได้เพียงอาหารมื้อหนึ่งเท่านั้น แต่อย่ากระนั้นเลยเราจะขอสละเงิน 20 บาทนี้ถวายเป็นทานแก่พระคุณเจ้า ด้วยอานิสงส์ผลบุญนี้จะพิทักษ์รักษาเราตลอดไป”

เพียงเท่านี้ใจที่ รู้จักเสียสละก็มีที่พึ่งเป็นหลักของใจ ยิ่งทำบ่อยๆใจก็ยิ่งระลึกถึงบุญได้บ่อยๆ สุคติภูมิก็เกิดขึ้นแก่เราบ่อยครั้ง หากพลาดพลั้งเสียชีวิตในขณะหลังทำบุญ จิตที่เพิ่งทำบุญบ่อยครั้งย่อมนึกถึงบุญได้ทันท่วงที แต่ถ้าเราทำบุญนานๆครั้งโอกาสที่จะนึกถึงบุญกุศลย่อมนึกถึงได้ยาก อาจพลาดพลั้งไปสู่ทุคติภูมิได้

ดังนั้น เมื่อมีโอกาสทำบุญทำทานอย่าปล่อยโอกาสให้พลาดไป และต้องรู้จักใช้ปัญญาเลือกนาบุญที่ดีที่มีประโยชน์ ส่วนนาบุญที่ไม่ดีก็อย่าปล่อยให้รกร้าง ต้องรู้จักหัดทันกับกิเลสที่เกิดขึ้นด้วย อย่างเช่น เห็นขอทานมาขอทานที่หน้าบ้าน เราอาจจะวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา จนสร้างกิเลสคือความตระหนี่กลับมาทับหัวใจเหมือนเดิม สมัยก่อนการทำทานกับขอทานไม่ต้องพิจารณาเหมือนกับปัจจุบันที่กังวลสารพัดว่า จะเป็นแก็งขอทานหรือเปล่า??? คนทั่วไปอาจจะมี 2 วิธีคือวางอุเบกขากับให้เงินขอทานไป

แต่สำหรับผมนั้นพิจารณาว่า ในโลกนี้ไม่มีใครอยากเกิดมาขอทานคนอื่นหรอก ทั้งยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเองลงมาขอคนอื่นกิน ขอทานคนนั้นจะเป็นแก็งขอทานหรือไม่ก็เป็นกรรมของเขาเอง เราพอใจที่จะสละเงินจำนวนนี้แล้วเราสบายใจ ใจเราเป็นสุขก็พอแล้ว มีเรื่องเล่า ชายคนหนึ่งเห็นขอทานบนสะพานลอยแถวบ้าน

วันนั้นรถส่วน ตัวของของเขาเสียจึงต้องนั่งรถตู้กลับบ้านระหว่างข้ามสะพานลอย มีขอทานคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ ตอนนั้นเขาไม่มีเศษสตางค์ เขาเดินผ่านขอทานไป และลงไปซื้อข้าวเหนียวกับไก่ทอดและน้ำดื่ม 1 ขวด เดินกลับไปบนสะพานเอาไปให้ขอทาน ขอทานคนนั้นมองหน้าด้วยสายตางงๆ ชายคนนั้นยิ้มให้และพยักหน้าแสดงว่าจะยกให้ ขอทานคนนั้นรับแล้วกล่าวภาษาอะไรที่เขาจับใจความไม่ได้ เหมือนเป็นคนใบ้แต่พยายามพูดออกมาดังลั่นสะพานลอย แม้ชายคนนั้นเดินจากมาแล้ว ขอทานคนนั้นก็ยังยกข้าวเหนียวไก่ทอดขึ้นเหนือหัวและกล่าวตลอดเวลาจนชายคน นั้นเดินลงสะพานลอยไป

หาเวลาไปทำบุญกับพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติ ชอบดูบ้าง ตัวผมเองจะไปทำบุญตักบาตรถวายอาหารพระทุกวันอาทิตย์ กลายเป็นกิจวัตรประจำ(หากไม่ติดธุระอะไร) เพราะเราก็ต้องรู้จักหว่านข้าวลงในนาบุญที่ดีเอาไว้ด้วย

3.ต่อมา เริ่มด้วยการรักษาศีล 5 ให้เป็นการประจำ หากไม่มั่นใจเพราะความไม่เคยชินในการรักษาก็ให้เพิ่มการไหว้พระสวดมนต์แรกๆ อาจจะเริ่มสวดมนต์เฉพาะตอนเย็น แล้วพัฒนามาสวดตอนเช้าด้วยครับเริ่มจากบทง่ายๆ จนพัฒนาเต็มขั้นของการสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น และทุกครั้งตอนสวดมนต์เช้าเย็นให้กล่าวคำรักษาศีลทุกครั้งเพื่อตอกย้ำตัวเรา เองครับ

บางคนอาจจะมองว่าไม่จำเป็นต้องกล่าวคำรักษาศีลทุกครั้ง แต่สำหรับผมคนมีกิเลสหนาก็ต้องเอาวิธีนี้เข้าช่วยครับ เพื่อให้เข้าหัวสมองและฝังใจมากขึ้น แม้แต่สวดมนต์บางคนก็ว่าไม่จำเป็นครับก็แล้วแต่คน ผมไม่ว่ากัน แต่สำหรับผมเมื่อก่อนก็เหมือนกับคนทั่วไปที่สนใจธรรมะแต่ไม่สนใจปฏิบัติธรรม คิดว่าทำแค่นี้พอแล้ว จนเมื่อเวลาชีวิตผมเหลือน้อยลงด้วยปัญหาสุขภาพร่างกายจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่ รู้ การสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นกลายเป็นเรื่องที่ธรรมดา

เมื่อก่อนที่ ไม่เคยสวดมนต์ตอนเช้า เพราะอ้างว่าไม่มีเวลากลัวไปทำงานไม่ทัน จริงๆ แม้ไม่สวดมนต์ก็ยังไปทำงานสายเลย วิธีแก้ไขคือเราต้องรู้จักเผื่อเวลาหรือแบ่งเวลา คือ นอนให้ไวขึ้น ตื่นเช้ามากขึ้น เวลาก็ได้นอนเท่าเดิม แถมได้สวดมนต์ตอนเช้าก่อนไปทำงานด้วย และไม่ไปทำงานสายอีกต่างหาก

เมื่อศีล 5 เริ่มคุ้นชิน เริ่มไม่รู้สึกลำบากจะเริ่มเห็นพัฒนาการของจิตใจเราเองครับ ยกตัวอย่างเช่น การฆ่าสัตว์จะกลายเป็นเรื่องยาก แม้แต่การเบียดเบียนสัตว์ก็ลำบากเหมือนกัน ใจเราจะมีเมตตามากขึ้น ถ้าขนมเรากินอยู่แล้ววางทิ้งไว้แล้วมดขึ้น ถ้าเราพิจารณาใช้ปัญญาเราอาจจะยอมสละขนมนั้นให้มดไปเลยครับ เหมือนสมัยพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเจ้าเมืองแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีเจ้าเมืองข้างๆได้ยินข่าวว่าเจ้าเมืองนี้มีเมตตา ก็จะหาทางรุกรานเพราะคงได้เมืองง่ายแน่ๆ ซึ่งก็เป็นความจริงพระโพธิสัตว์ย่อมสละตำแหน่งเจ้าเมือง แถมเปิดประตูให้ศัตรูเข้ามาถึงในเมือง นี่คือความเมตตาของพระโพธิสัตว์ครับ และถ้าเป็นพวกเราจะทำได้ใหมครับ

พัฒนาการต่อมา “รักษาศีลอุโบสถทุกวันพระ” บางคนรีบบอกเลยว่า ไม่ไหวๆๆ หิวตายแน่ๆ หื่นกามแน่ๆ หน้าตาโทรมแน่ๆ รูปร่างดูโทรมแน่ๆ นอนไม่หลับแน่ๆ เมื่อก่อนผมก็คิดแบบนี้จนสุดท้ายได้ออกบรรพชาอุปสมบทช่วงสั้นๆ ก็ไม่เห็นทรมาณจนทนไม่ได้แบบที่กลัวเลยสักหน่อย เ

มื่อสึกออกมา ผมก็เลยลองฝึกถือศีลอุโบสถ(ศีล8)ทุกวันพระ ก็พอไหวอ่ะ แต่พอนานเข้าๆก็เริ่มจะขี้เกียจพอใกล้วันพระ จิตมันจะขยาดๆ แบบว่าเอาอีกแล้ว แต่พอนานเข้าก็เริ่มคุ้นกันล่ะ พอใจเริ่มท้อๆก็นึกถึงบทสวดที่เคยอ่านเจอในหนังสือสวดมนต์ว่า “ทางนี้ที่เราละเว้นตามศีล 8 ในข้อต่างๆนี้เป็นทางที่พระอรหันต์ท่านทรงเดินมาก่อน ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่งนี้เราจะละเว้นตามพระอรหันต์ท่านพาดำเนินได้ชื่อว่า เดินตามพระอรหันต์”

4.ทำสมาธิภาวนา ผมว่ามีเยอะนะครับครับที่คนสนใจธรรมะ ทำบุญทำทานรักษาศีลแต่มักไม่ค่อยนั่งสมาธิกัน ผมเองก็เป็น เหตุผลง่ายๆเลยคือ ขี้เกียจหรือความเพียรย่อน แต่สิ่งที่ผมได้จากการนั่งสมาธิคือความสงบและเป็นการฝึกขันติความอดทนของตัว เราเอง เมื่อก่อนแรกๆผมนั่งสมาธิได้ไม่เกิน 10 นาทีก็จะปวดขา ปวดน่องมาก เวทนาเกิดจนต้องเลิกนั่ง พยายามทำให้ใจสงบ แต่ยิ่งพยายามเท่าไร ใจยิ่งไม่สงบ

สุดท้ายก็จากการอ่านการฟังจากหนังสือประวัติของพ่อแม่ ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตและปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่นที่เขียนโดยหลวงตาพระมหา บัว ญาณสัมโน ก็เริ่มมีกำลังใจในการนั่งสมาธิ เริ่มจากนั่งได้ 15 นาที ขยับทีละนิดทีละหน่อย ตอนนี้นั่งได้ 1 ชั่วโมงสบายๆ เวทนาที่เกิดขึ้นก็ไม่รุนแรง ก็ขยับขยายเวลาให้เพิ่มขึ้นตอนนี้นั่งได้ถึง 2 ชั่วโมงเป็นบางครั้ง 

สิ่งที่คนมีกิเลสหนาอย่างผมได้จากการนั่ง สมาธิคือความอดทนและความสงบ การนั่งก็แล้วแต่ว่าอยากจะนั่งภาวนาอย่างเดียวหรือเปิดเทปธรรมะฟังไปด้วย แต่ถ้าเปิดซีดีธรรมะฟังไปด้วย ผมสังเกตว่า ถ้าภาวนาไปด้วยมักไม่ได้ผล ต้องฟังอย่างเดียวแต่ไม่ใช่ฟังเพื่อจำว่าท่านพูดอะไร แต่ฟังแล้วพิจารณาตามไปด้วยขณะฟัง จิตก็จะสงบไปกับธรรมะที่ฟังอยู่จนลืมเวลา ยิ่งเวลาเวทนาเกิดไปตรงกับธรรมะท่านเทศน์เรื่องเวทนา จิตจะสงบและพิจารณาได้เข้าใจและเวทนาเหมือนจะเบาลงไปชั่วขณะ แต่ไม่ถึงขั้นแยกกายกับจิตออกจากกัน

แต่ก็ไม่ทุกครั้งทึ่นั่งสมาธิ แล้วจะต้องสงบทุกครั้ง เพราะอย่างที่บอกคนกิเลสหนาอย่างผมก็แค่พยายามตะเกียกตะกายปฏิบัติธรรม แค่พยายามรักษาสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ให้เป็นปกติสุข หากข้อความที่ผมเขียนมานี้จะกระตุ้นให้ใครใคร่อยากลองปฏิบัติธรรม ฉบับฆราวาส เวอร์ชั่นเบาเบาดูบ้างก็ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ หากเห็นว่าไม่มีถูกต้องรบกวนช่วยแจ้งด้วยครับจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง เพราะผมก็ไม่ใช่ผู้รู้ผู้วิเศษมาจากไหนก็ลูกชาวบ้านตาดำหาเช้ากินค่ำเหมือน กับคนทั่วๆไปก็มีประมาทพลาดพลั้งไป

หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดพลาดพลั้งล่วงเกินคุณพระรัตนตรัยหรือกล่าวธรรมผิดไปจากหลักความจริงก็กราบขมาอดโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 54 19:30:59

จากคุณ    : Thus Spoke Eitthakorna
10  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / บุญบูชาพระอาจารย์หลวงตามหาบัว ๕ – ๖ มีนาคม ๒๕๕๔ ณ สวนโมกข์กรุงเทพ เมื่อ: มีนาคม 02, 2011, 02:28:34 pm
ประชาสัมพันธ์ต่อครับ ตามรายละเอียดข้างล่าง หรือที่   

http://www.bia.or.th/

บุญบูชาพระอาจารย์หลวงตามหาบัว
กับการฟื้นคืนของวิปัสสนาธุระในสังคมไทยของคณะศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มหาเถระ
๕ – ๖ มีนาคม ๒๕๕๔  ณ สวนโมกข์กรุงเทพ

วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔
วันเสด็จพระราชทานเพลิงพระอาจารย์หลวงตามหาบัว

๑๐.๐๐ น.  ปรารภธรรมถวายเป็นอาจาริยบูชา
โดย  พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี)
ศูนย์ปฏิบัติธรรมไร่เชิญตะวัน สถาบันวิมุตตยาลัย เชียงราย

๑๑.๐๐ น.  เสวนา การฟื้นคืนวิปัสสนาธุระในสังคมไทย ของคณะศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
โดย   ภัทระ คำพิทักษ์ บรรณาธิการ นสพ.โพสต์ทูเดย์
คอลัมน์คาบใบลานผ่านลานพระ นสพ.โพสต์ทูเดย์
นพนันท์ อนุรัตน์ บรรณาธิการสารคดีพื้นที่ชีวิต Life Explorer
ตอน จากเจ้าพระยาสู่อิระวดี
วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง บรรณาธิการ นิตยสารสารคดี
ฉบับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
กฤษกร วงค์กรวุฒิ บรรณาธิการนิตยสาร ฅ คน
ฉบับพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน (มีนาคม ๒๕๕๔)
กิตติ สิงหาปัด ดำเนินรายการ

๑๓.๐๐ น.  เพลินธรรมนำชมปริศนาธรรมในสวนโมกข์กรุงเทพ

๑๔.๐๐ น.  เสวนา ร้อยคน ร้อยธรรม ร้อยห้าปีพุทธทาส
หลวงพ่อเอี้ยน (พระครูวินัยธร พระมหาทรงศักดิ์ วิโนทโก)
สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต เมือง พัทลุง
ผู้เคยอยู่ประจำโรงหนังสวนโมกข์รุ่นแรกๆ
โดย      สำนักพิมพ์สุขภาพใจ


วันอาทิตย์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๔
วันดับธาตุ.........................................................

๐๙.๐๐ น.     บูชาพระรัตนตรัย
๐๙.๓๐ น.     ปรารภธรรม โดย พระอาจารย์โพธิ์ จันทสโร (พระภาวนาโพธิคุณ)
เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม ไชยา สุราษฎร์ธานี

๑๐.๓๐ น.     ตักบาตรแบบพุทธกาล แด่พระภิกษุสงฆ์ ๙ รูป
๑๑.๐๐ น.     พระภิกษุฉันภัตตาหาร
ฆราวาสสวดมนตร์ทำวัตรเช้า
๑๒.๐๐ น.     ร่วมรับประทานอาหาร

ฟังดนตรีในสวนธรรม และกิจกรรมธรรมบันเทิงต่างๆ
แหล่ประวัติท่านอาจารย์มั่น และ พระอาจารย์หลวงตามหาบัว โดย เพลิน พรหมแดน
๑๓.๐๐ น.     เพลินธรรมนำชมปริศนาธรรมในสวนโมกข์กรุงเทพ

๑๔.๐๐ น.     เจริญจิตตภาวนาเป็นอาจาริยบูชา
กับ พระอาจารย์เลี่ยม ิตธมฺโม (พระราชภาวนาวิกรม)
เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อุบลราชธานี
พระอธิการเฮ็นนิ่ง เกวลี
เจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ อุบลราชธานี

วีดิทัศน์พื้นที่ชีวิตกรณีศึกษาการฟื้นคืนวิปัสสนาธุระ
“จากเจ้าพระยาสู่อิระวดี”

๑๖.๓๐ น.      ดนตรีมีธรรม วง E-TAN Quintet (อีแต๋น : แตรงวงทองเหลือง ๕ ชิ้น)
จากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล

๑๗.๓๐ น.     สวดมนตร์ทำวัตรเย็น แล้วนั่งสมาธิเจริญจิตภาวนา
๑๘.๓๐ น.          สิ้นสุดกิจกรรม

ตลอดรายการทั้ง ๒ วัน มีสารคดีพื้นที่ชีวิต-Life Explorer
ชุด จากเจ้าพระยาสู่อิระวดีให้ชมต่อเนื่องครบทั้ง ๕ ตอน

จากคุณ    : axon
11  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มีใครเห็นด้วยกับผมบ้างครับว่า การภาวนาไม่จำเป็นต้องไปที่วัด เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 05:02:18 pm
มีใครเห็นด้วยกับผมบ้างครับว่า การภาวนาไม่จำเป็นต้องไปที่วัด

โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่ค่อยไปวัด แต่เรื่องทำบุญ ก็จะไปบ้าง

ส่วนใหญ่อาศัยไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มเพื่อนปฏิบัติธรรม และก็อาศัยปฏิบัติภาวนาด้วยตนเองที่บ้านครับ

ผมจึงมีความเห็นว่า การภาวนาไม่จำเป็นต้องไปที่วัด

 ใครเห็นด้วยบ้างครับ....

 :s_hi:
12  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนุ่มใหญ่เชียงใหม่ ฉายา "แอ๊ดพันองค์" แขวนพระเครื่องเต็มคอ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 06:51:23 am





หนุ่มใหญ่เชียงใหม่ ฉายา "แอ๊ดพันองค์" แขวนพระเครื่องเต็มคอ กว่าพันองค์มายาวนานกว่า 20 ปี สาเหตุมาจากกลัวผีขึ้นสมอง เผยพระบางองค์จากราคาไม่กี่บาท พุ่งกระฉูดไปเป็นแสนบาท ทำเอาเจ้าตัวผวา เลิกกลัวผีแต่กลัวคนร้ายจะมาขโมยแทน...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลานี้ชาวเชียงใหม่ร่ำลือกันถึงหนุ่มใหญ่แขวนพระเครื่องนับพันองค์ ตระเวนช่วยเหลืองานสังคมของชาว บ้านและหน่วยงานราชการ พูดเก่ง ร้องเพลงลูกทุ่งสุดไพเราะ ไปไหนมีแต่คนรักคนชอบลีลาสร้างเสียงหัวเราะ โดยรู้จักกันในชื่อ "แอ๊ดพันองค์ ณรงค์ดารา" จากการที่ห้อยพระพันองค์เต็มคอ และไปไหนคนก็มองและเข้ามาทักทายราวกับดาราดัง




เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ก.พ.นี้ ผู้สื่อข่าวได้พบกับหนุ่มใหญ่คนนี้ขณะมาพากษ์ฟุตบอลด้วยลีลาสนุกสนาน ที่สนามฟุตบอลบ้านปากกอง ต.ยางเนิ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ มีพระเครื่องจำนวนมากห้อยอยู่เต็มคอ ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปสอบถาม ทราบว่าชื่อ นายณรงค์ฤทธิ์ เดชา อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99/49 บ้านศาลา หมู่ 2 ต.น้ำแพร่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เป็นหัวหน้าฝ่ายขายของบริษัทขายรถและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของ จ.เชียงใหม่

นายณรงค์ฤทธิ์ หรือ"แอ๊ดพันองค์ ณรงค์ดารา" เปิดเผยถึงสาเหตุที่ต้องแขวนพระเครื่องมากมายผิดแผกไปจากชาวบ้าน เพราะเป็นคนที่กลัวผีขึ้นสมอง กลัวมากที่สุด เห็นว่าสิ่งที่จะปกป้องได้ดีที่สุดก็คือพระเครื่อง จึงได้ระดมเสาะแสวงหาพระเครื่องดังๆ ส่วนมากจะเป็นพระดินเผาแทบทุกตระกูลจากราคาไม่กี่บาทมายาวนานร่วม 20 ปี ล่าสุดมีบางองค์ราคาพุ่งกระฉูด มีเซียนพระมาติดต่อขอเช่าบูชาต่อในราคาถึง 200,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ตนมีความเชื่อว่านอกจากจะป้องกันภูตผีปีศาจที่ตนกลัวแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ตนได้ขี่รถจักรยานยนต์พลาดท่าตกดอยสูง ขณะขึ้นไปบนดอยคำ แต่กลับไม่เป็นอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น จึงมีความเชื่อในพุทธคุณของพระเครื่อง ตนไม่เคยถอดออกจากคอเลยนอกจากเวลานอนเท่านั้น ปกติเคยห้อยอยู่บนคอมากกว่า 1,000 องค์ มีน้ำหนักถึง 40 กิโลกรัม เวลาเดินไปไหนลำบากแบกน้ำหนักจนลดลงมาเหลือ 30 กิโลกรัม ก็ยังหนักอีก จนปัจจุบันลดลงเหลือ 10 กิโลกรัม แต่ละองค์เป็นพระเครื่องที่เซียนพระจะต้องขอชม

นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวต่อว่า เวลานี้จะไปไหนมาไหนต้องระวังตัวตลอด เพราะกลัวว่าพระเครื่องรุ่นดังๆ ที่ห้อยอยู่จำนวนมากจะนำพาคนที่ไม่ปรารถนาดีมาชิงเอาไป ทุกวันนี้ตนก็ยังประกอบอาชีพทำงานประจำอยู่ในบริษัท อยู่ในสำนักงานตนก็ห้อยเช่นนี้อยู่ตลอด เคยมีรายการทีวีหลายรายการมาถ่ายทำตนไปออกจนมีคนรู้จักกันไปทั่ว

ด้าน พ.ต.อ.นิตินาท วิทยาวุฑฒิกุล ผกก.สภ.สารภี กล่าวว่า รู้จักกับ "แอ๊ดพันองค์" มานาน เป็นคนที่มีอัธยาศัยไมตรีที่ดีชอบช่วยเหลืองานสังคม จะเป็นทั้งพิธีกร โฆษก มีอารมณ์และลูกเล่นที่แพรวพราว ร้องเพลงลูกทุ่งเก่าๆ ไพเราะ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน งานบุญไหนหากแอ๊ดพันองค์ไปร่วม จะสร้างสีสันสนุกสนานมาก ถือว่าเป็นคนที่มีชาวเชียงใหม่รู้จักกันมากกับความไม่เหมือนใคร.


------------
ไทยรัฐออนไลน์
13  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ระบบวรรณะ 4 หมดไปจากสังคมไทยกันหรือยัง เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2011, 05:21:40 pm
ในปัจจุบัน ระบบวรรณะ คือการถือตัว ถือตน ถือเหล่า ด้วยวรรณะ ทั้ง 4 ได้หมดไปจากสังคมนี้แล้วหรือยัง

 1. กษัตริย์  2. พราหมณ์ 3.แพศย์ 4. ศูทร 5. จัณฑาล

สำหรับคนไทย นั้นได้ข้ามสิ่งเหล่านี้กันไปหรือยัง หรือ การถือวรรณะ ในครั้งพุทธกาล อาศัย แต่ที่มีความรังเกียจ
เดียดฉันท์ ว่าวรรณะ ต่ำ ไม่ควรจะมาสมาคม กับ วรรณะสูง

 ในครั้งพุทธกาล มีประวัติหรือไม่ครับ ว่าพวก จัณฑาล เลื่อนเป็น กษัตริย์ หรือ พราหมณ์ แพศย์ เป็นต้น
 
 :91:

14  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เราควรสักการะ เคารพ พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ อย่างไร จึงจะควรครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2011, 05:16:09 pm
ขอบคุณภาพจาก
 http://www.samatidee.net/showtopic.php?id=10

เราควรสักการะ เคารพ พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ อย่างไร จึงจะควรครับ

 อยากรู้ครับว่า เราควรจะกราบไหว้ บูชา พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ อย่างไรเพื่อจะไม่เป็นการปรามาสครับ

 จึงจะถูก จะควร ครับ
 :c017:
15  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ถูกบังคับให้บวช จะได้บุญหรือไม่ ครับ เมื่อ: มกราคม 29, 2011, 07:27:26 am
คือ น้องชายผม มีอายุครบเกณฑ์บวชพระมาเกือบ 10 ปีแล้วเป็นคน สำมะเร เทเมา พ่อ แม่ เลยบังคับให้บวช
ซึ่งเขาก็ไม่ยินยอมบวช จนต้องออกคำสั่งว่า ถ้าไม่บวช ก็ตัดออกจากกองมรดก ก็ประมาณนี้ครับ

 อยากจะถามว่า การบังคับลูกให้บวช พ่อแม่ จะได้บุญ หรือ ไม่ครับ

 ถ้าไม่ ควรทำอย่างไร ถึงจะถูกต้องครับ
 :c017:
16  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ประสบการณ์ลี้ลับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์ เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 08:54:13 pm
ประสบการณ์ลี้ลับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

ตอนที่ 1
“อิทธิ ปาฏิหาริย์” เป็นเรื่องที่ดูเหนือธรรมชาติ ชวนพิศวงสำหรับผู้ที่ยังอยู่ในวังวนของกิเลส สำหรับผู้ปฏิบัติทางจิตที่กำลังจะล่วงพ้นบ่วงกิเลส “ปาฏิหาริย์” ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติสามารถทำได้ทุกคนในอดีตหลายสิบปีผู้ที่มี อายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไปคงจะเคยคุ้นชื่อของอุบาสิกาท่านหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงอย่างมาก สำหรับสานุศิษย์ท่านคือ “อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม” ผู้สำเร็จจตุตถฌาณ (ฌานที่ 4) จึงมี “อภิญญา” ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์จนเลื่องลือในทางปาฏิหาริย์ตาทิพย์ รู้วาระจิตผู้อื่น ล่องหนหายตัว และใช้พลังจิตรักษาโรคให้คนทั่วไปจนหายอุบาสิกาบุญเรือน โดยทั่วไปคนที่เคารพท่านมักเรียกท่านว่า “คุณแม่บุญเรือน” เพราะความเมตตากรุณา ที่ท่านมีให้กับทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะ พื้นเพเดิมของคุณแม่บุญเรือนท่านเป็นชาวอำเภอมีนบุรี กรุงเทพฯ มีฐานะค่อนข้างยากจน พ่อแม่เป็นชาวสวน ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปอยู่แถวบางปะกอก ธนบุรี ในวัยเด็กคุณแม่บุญเรือนได้รับการศึกษาพออ่านออกเขียนได้ และมีนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรมมาแต่เด็ก โดยได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะ ในพระพุทธองค์จาก “หลวงตาพริ้ง” วัดบางปะกอก พระสายวิปัสสนากรรมฐาน ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น จนทำให้คุณแม่บุญเรือนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ฝักใฝ่ในบุญกุศล หมั่นเพียรในทางธรรมตลอดมา
เมื่อมีอายุในวัยครองเรือน คุณแม่บุญเรือนได้สมรสกับ สิบตำรวจโท จ้อย โตงบุญเติม แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ภายหลังจึงรับเด็กหญิงมาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง ขณะเดียวกันคุณแม่บุญเรือน ก็ยังมีโอกาสได้ปฏิบัติและศึกษาธรรมมากขึ้น โดยมีท่านพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสสัมพันธวงศ์สมัยนั้นเป็นอาจารย์สอนสมถะวิปัสสนากรรมฐานให้ จนกระทั่งปี 2470 คุณแม่บุญเรือนจึงลาสามี เพื่อมาบวชที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่ระยะหนึ่งแล้วจึงลาสึกไป และเมื่อสามีถึงแก่กรรมแล้ว จึงมีศรัทธากลับมาบวชอีกในปี 2482ความเพียรในการฝึกจิตและเรียนรู้ทางธรรมของคุณแม่บุญเรือน ปรากฏเรื่องราวอันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ที่จะสำเร็จได้ก็ด้วยอำนาจสามาธิซึ่งเป็น “พลังจิต” อันมหัศจรรย์ จึงมีเรื่องเล่ามากมายจากคนเก่าแก่ และผู้ประสบเหตุเรื่องราวพิศวง อันเกิดจากอำนาจทิพย์ของอุบาสิกาท่านนี้...

ล่องหนหายตัว
การ ล่องหนหายตัวจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เป็นผลจากการปฏิบัติทางจิตจนได้ “อภิญญา” ซึ่งคุณแม่บุญเรือนสามารถอธิษฐานจิตให้หายตัวได้ เรื่องนี้ “เจ้าคุณพระรัชชมงคลมุนี” วัดสัมพันธวงศ์ ท่านได้บันทึกไว้ว่า เมื่อเดือน 6 ขึ้น 14 ค่ำ พ.ศ. 2470 คุณแม่บุญเรือนท่านอยู่ที่บ้านพักตำรวจกับครอบครัว ในคืนดังกล่าวคุณแม่นอนไม่หลับจนดึก สามีและบุตรบุญธรรมหลับกรน และกัดฟันกรอดๆ รู้สึกเกิดธรรมสังเวชเบื่อหน่ายต่อสภาพอย่างนั้น ท่านอยากหลีกหนีเสียชั่วคราว จึงตั้งจิตอธิษฐาน เข้าไปในศาลาที่วัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งศาลานี้เป็นที่อยู่ของแม่ชีนักปฏิบัติธรรม คุณแม่เองก็เคยอาศัยบำเพ็ญธรรมที่ศาลานี้ พอสิ้นอธิษฐานก็ปรากฏตัวเองอยู่ที่ศาลานี้แล้ว ไม่ทราบว่าเข้าศาลาทางไหน และที่บ้านพักตำรวจกับศาลาวัดสัมพันธวงศ์ก็ไกลกันพอสมควรแม่ชีฟักเพื่อน ปฏิบัติธรรม พักอยู่เป็นประจำที่ศาลานี้ ขอให้คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานมาเข้าศาลาอีกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 โดยให้แม่ชีผู้อยู่ศาลาอีก 3 คนดูแลปิดประตูหน้าต่างลงกลอนให้เรียบร้อย และดูให้รู้เห็นเป็นพยานด้วยคุณแม่บุญเรือนก็อธิษฐานให้หายวับจากบ้านพัก เข้าไปปรากฏตัวในศาลาได้เช่นเดียวกับคราวก่อน พวกที่คอยอยู่ก็แปลกใจและแน่ใจว่า หายตัวผ่านเข้ามาได้จริงๆ และมองเห็นผลสำเร็จทางสมาธิ ที่มีแก่ผู้ปฏิบัติด้วยวิริยอุตสาหะ ต่อมาคุณแม่บุญเรือน ท่านได้อธิษฐานหายตัวจากศาลา ไปเขาวงพระจันทร์ ท่านได้พบพระผู้วิเศษที่นั่น และได้รับพระธาตุ 1 องค์ จากพระองค์นั้น กลับมาพระธาตุยังกำอยู่ในมือ เป็นพยานแก่ตัวท่านเองว่ามิได้ฝันไป

ทิพพโสตญาณ (หูทิพย์)
อภิญญา ในด้านหูทิพย์ของคุณแม่บุญเรือนนี้ มีบันทึกของคุณหญิงเงียบ บุนนาค เขียนไว้ว่า ครั้งหนึ่งคุณแม่บุญเรือน ไปรักษาโรคขาบวมให้น้องสาวคุณหญิงเงียบ บุนนาค ข้างวัดอนงคาราม ธนบุรี ตอนขา
กลับ น้องสาวคุณหญิงเงียบมอบค่ารถให้ 20 บาท คืนวันนั้นสามีของน้องสาวคุณหญิงกลับบ้าน ทราบว่าภรรยาจ่ายเงินค่ารถให้คุณแม่บุญเรือน 20 บาท (สมัยเงินแพง) เขาเอะอะว่า คุณแม่บุญเรือนเป็นหมอไม่จริง หลอกเอาสตางค์พอรุ่งเช้า 6 โมงเศษ คุณแม่บุญเรือนไปถึงบ้านน้องสาวคุณหญิงข้างวัดอนงค์ นำเงิน 20 บาท ไปคืนให้บอกว่า “เป็นเงินของคุณผู้ชายเขา ดิฉันคืนให้ ดิฉันไม่โกรธคุณหรอก คุณต้องรับเงินนี้ไว้”นี่แสดงว่าคุณแม่บุญเรือนหูทิพย์ ได้ยินคำพูดของสามีน้องสาวคุณหญิงเงียบ พร้อมทั้งรู้วาระจิต ของคนพูด ว่าหมายถึงตัวคุณแม่บุญเรือนที่ไปรักษาขาบวม คุณแม่จึงรีบนำเงินไปคืนให้ เพื่อรักษาน้ำใจของน้องสาวคุณหญิง และสามีมิให้ขุ่นข้องหมองใจ

ตอนจบ
คุณ แม่บุญเรือน โตงบุญเติม ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นผู้มีจิตอันเป็นกุศลอย่างยิ่ง นอกจากนั้นท่านยังใช้จิตอันมหัศจรรย์ของท่าน ในการอธิษฐานเพื่อช่วยคนในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาโรคภัยต่าง ๆ จนหายขาด ดังเรื่องราวที่มีผู้บันทึกไว้ในหนังสือ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อนุสรณ์”

รักษาด้วยวาจาสิทธิ์
เป็น บันทึกของ นายจำรัส สุขประเสริฐ อยู่ จ.อุดรธานี มีใจความว่า "อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม เดินทางโดยขบวนรถไฟด่วนถึง จ. อุดรธานี เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2496 เวลา 7.15 น. ก่อนหน้ารถไฟด่วนจะเทียบเข้าชานสถานีประมาณ 20 นาที ได้มีหมอกลงที่สถานีรถไฟและบริเวณตัวเมืองอุดรธานีหนามืดไปหมด อยู่ห่างกันประมาณ 10 วา ยังแลไม่เห็นกันเลย รถยนต์เด่นตามถนนต้องเปิดไฟหมอกหนามืดเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย พอรถไฟถึงสถานีประมาณ 10 นาที หมอกก็ค่อยๆจากหายไป ชาวอุดรธานีต่างพิศวงงงงวย ต่างโจษจันกันต่างๆนานา เมื่ออุบาสิกาบุญเรือน ลงรถไฟแล้ว มีผู้คนไปรับเป็นจำนวนมากอุบาสิกาบุญเรือนได้พักที่บ้านผมค่ำของวันนี้ได้มี ผู้มาหาเป็นจำนวนมาก นายครรชิต สกลคลัง พนักงานธนาคารกสิกรไทยได้มาหา และบอกกับอุบาสิกาบุญเรือนว่า ตัวเขาป่วยเป็นโรคปวดท้องมาเป็นเวลานาน เวลานี้ก็ยังปวดอยู่ได้รักษาตัวหมดเงินมากมายแล้ว อุบาสิกาบุญเรือนได้ฟังจึงสั่งในขณะนั้นว่า "อย่าปวด ให้หายปวดเดี๋ยวนี้" แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็ถามนายครรชิตว่า “หายปวดหรือยัง?” นายครรชิตตอบว่า “หายปวดแล้ว” อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งว่า “คืนวันนี้อย่าปวด” (เพราะนายครรชิตบอกว่ากลางคืนปวดแทบไม่ได้นอนทุกคืน)
ครั้นรุ่งเช้านาย ครรชิตมาบอกอุบาสิกาบุญเรือนว่า เมื่อคืนนี้ไม่ปวดเลย นอนได้สบายตลอดคืน และในระหว่างที่อุบาสิกาบุญเรือนพักอยู่ที่ จ.อุดรธานีนี้ ตอนเช้าอุบาสิกาบุญเรือนได้ไปอธิษฐานจิต ให้พลังจิตแก่ประชาชนที่วัดโพธิสมภรณ์ทุกวัน มีประชาชนนำน้ำ ปูน ไพล พริกไทย สาคู มาให้อุบาสิกาบุญเรือนอธิษฐานจิตอย่างคับคั่งทุกวันมีคนหลังโกงคนหนึ่ง เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำได้มาหาอุบาสิกาบุญเรือนขอให้รักษา อุบาสิกาบุญเรือนได้ออกคำสั่งต่อหน้าประชาชนจำนวนมากว่า “ให้ทิ้งไม้เท้า!” ชายหลังโกงคนนั้นก็ขว้างไม้เท้าทิ้ง อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งต่อไปให้ยืนตรง ๆ ชายหลังโกงก็ค่อย ๆ ยืดตัวและยืนตัวตรงได้ แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็สั่งให้ออกเดินและเด่น ชายคนนั้นก็เด่นได้ เลยหายเป็นปรกติ เดินกลับบ้านได้เช่นคนดี ๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์นิ่วในถุงน้ำดี ม.ร.ว.ไกรเทพ เทวกุล บันทึกไว้ดังนี้เมื่อปี พ.ศ. 2494 ข้าพเจ้าป่วยมีอาการแน่นจุกเสียดทุกเดือน บางที 2 ถึง 3 เดือนต่อครั้ง ครั้นถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2495 รู้สึกว่าอาการเช่นนี้มีมากขึ้นจนทนแทบไม่ได้เช่น หายใจไม่ออก ข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษาแพทย์ปริญญาที่ข้างบ้าน นายแพทย์ผู้นั้นได้ฉีดยาและให้ยารับประทาน อาการก็ค่อยทุเลา ต่อมาจากนั้น 2 ถึง 3 วันก็เป็นอีก นายแพทย์ผู้นั้นแนะนำว่าควรไปเอกซเรย์ดู เพราะสงสัยในอาการนั้นคงเนื่องมาจากถุงน้ำดีอักเสบ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม ปรากฏตามฟิล์มเอกซเรย์โดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกนี้ ลงความเห็นว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แนะนำให้ทำการผ่าตัดทันทีข้าพเจ้าได้มาปรึกษาคุณป้าบุญเรือนถึงอาการเจ็บ ป่วย คุณป้าได้เอ็ดข้าพเจ้ามากมายว่า ทำไมไม่มาปรึกษาฉันตั้งแต่แรก ถ้าอยากตายก็เชิญไปผ่าได้ คุณป้าจึงให้ข้าพเจ้ารับประทานไพล และน้ำอธิษฐาน กับทั้งได้ให้ปูนอธิษฐานไปทาตามบริเวณหน้าอกและท้อง เว้นวันสองวัน ท่านก็นวดให้ข้าพเจ้าหนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด อาการก็ค่อยทุเลาและหายภายในเดือนนั้นเองคุณป้าบุญเรือนให้ไปฉายเอกซเรย์ดู ใหม่ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม กับได้นำฟิล์มทั้งเก่าและใหม่มาเทียบกันดู ปรากฏว่าในแผ่นแรกมีวงกลมสีขาวประมาณเท่าเหรียญสองสลึง ส่วนในแผ่นเอกซเรย์ทีหลังไม่มี นายแทพย์บอกว่าในบริเวณถุงน้ำดีไม่มีก้อนนิ่วแล้ว

ยาวิเศษ
พล ตรี ยุทธ สมบูรณ์ บันทึกไว้ว่า บางท่านที่มาทำความรู้จักกับ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มักจะเรียกท่านว่า คุณแม่หมอ คุณยายหมอ หรือคำอื่น ๆ ลงท้ายว่า “หมอ” แต่คุณแม่บุญเรือนไม่เคยรับหรืออวดอ้างว่าท่านเป็นหมอแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ดีชื่อเสียงของคุณแม่บุญเรือนก็หอมไปทั่วประเทศไทยในฐานะผู้วิเศษ ก็เพราะท่านอธิษฐานวัตถุสิ่งของต่างๆให้เป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ ที่สุดคุณหมอปรีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระประแดง ทำยาผงแก้โรคผิวหนังออกจำหน่ายด้วยตัวยาที่คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้บอกให้ ตัวยาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชื่อภาษาอังกฤษ ไม่ทราบว่าคุณแม่บุญเรือนไปทราบมาได้อย่างไร เพราะการศึกษาของคุณแม่ก็เพียงอ่านออกเขียนได้ นอกจากนั้นคุณหมอปรีดายังได้ตำรายาอีกอย่างหนึ่งคือน้ำมันโพธิ์งาม ซึ่งคุณหมอปรีดาได้ผสมขาย ผมสีขาวใส่น้ำมันแล้วกลายเป็นสีเทาและเข้มขึ้นทุกที ยาขนานที่ 3 คือ ยาสีฟันวิเศษนิยมของโรงงานวิเศษนิยม ซึ่งเป็นยาสีฟันที่ทำรายได้อย่างดีตลอดมา ...ยาสีฟันวิเศษนิยมนี้ “คุณแม่บุญเรือนก็เป็นผู้บอกตัวยาให้”คุณธรรมอันสูงส่งของ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเรือน” อุบาสิกาผู้ใจบุญท่านนี้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นผู้เสียสละ ชอบการทำบุญ ให้ทาน ไม่ยึดติดสะสมในทรัพย์สมบัติ มีแต่เป็นผู้ให้ตลอดมา และทั้งชีวิตท่านยังได้บำเพ็ญธรรมอย่างสม่ำเสมอตราบจนวาระสุดท้ายที่ท่านได้ จากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ ไต และโลหิตจาง แม้จะมีลูกศิษย์ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อโดยการอธิษฐานขอแต่ท่านก็ไม่ทำ ท่านบอกว่า “สังขารร่างกายและใจ หรือขันธ์ห้านี้ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เป็นเรือนทุกข์ ท่านจึงต้องการออกจากเรือนทุกข์นี้”ในปัจจุบันมีรูปปั้นของคุณแม่บุญ เรือนอยู่บนศาลา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ในวัดอาวุธวิกสิตาราม หรือวัดบางพลัดนอก กรุงเทพฯซึ่งเป็นวัดที่ท่านเคยอยู่บำเพ็ญศีลสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกวันนี้ยังมีสานุศิษย์และผู้ศรัทธา ไปกราบไหว้รูปปั้นท่านและยังมีผู้ไปอธิษฐานจิตขอปูน ไพล เพื่อไปรักษาโรคจากท่านมากมายหลายราย ซึ่งแม้ว่าท่านจะจากไปนานแล้วแต่คุณงามความดี ชื่อเสียงในทางธรรมที่ท่านเพียรสร้างไว้ ขณะยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีผู้กล่าวถึงอยู่ตลอดไป
ที่มาเนื้อหา
http://apichoke.com/index.php/topic,226.0.html

มาให้กำลังใจ สำหรับ อุบาสิกาทุกท่านครับ

17  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / หลวงพ่อชา สอนสมาธิ สั้น ๆ แต่ลองฟังดูนะครับ เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 08:01:10 pm
http://www.madchima.org/forum/index.php?action=post;board=1.0

เป็นการสอนสมาธิ จากหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ครับ

อยากให้ทุกท่านได้ลองฟังบ้างครับ สั้น ๆ แต่น่าจะมีประโยชน์

 :25:
18  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ขอทราบหลักการปฏิบัติ อานาปานสติ คร่าว ๆ ได้หรือไม่ครับ เมื่อ: มกราคม 19, 2011, 07:25:03 pm
ขอทราบหลักการปฏิบัติ อานาปานสติ แบบ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ คร่าว ๆ ได้หรือไม่ครับ

คือตอนนี้มีการเปรียบเทียบสายการปฏิบัติดังนี้ ครับ



ก็เลยอยากทราบหลักการ เบื้องต้นว่า ควรจะเลือกแบบไหนในการภาวนาครับ

19  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ปฏิบัติพุทธานุสสติ นี้จะสามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้หรือไม่ครับ เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 03:58:34 pm
สืบเนื่องจากที่ผมอ่าน มาอานิสงค์การฝึก พระพุทธานุสสติ ได้อานิสงค์ 3 ประการ

ก็เลยมีความสงสัยว่า ถ้าฝึกพุทธานุสสติ นี้ก็ไม่สามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ใช่หรือไม่ครับ
 :c017:
20  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ภาวนา พุืทโธ แล้วจะสำเร็จเป็นพระโสดาบัน ได้อย่างไร เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 03:20:09 pm
การภาวนา "พุทโธ" นั้นก็เป็นเพียงบริกรรมเท่านั้น จะทำให้สำเร็จ เป็น พระโสดาบัน ได้อย่างไรครับ
 ???


21  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พระอริยะบุคคล ปัจจุบันยังมีอยู่หรือป่าวครับ เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 01:29:37 pm
พระอริยะบุคคล ปัจจุบันยังมีอยู่หรือป่าวครับ
22  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นั่งกรรมฐานไปแล้ว เห็นกายตัวเองนั่งอยู่ แล้วหายไป เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 01:27:33 pm
ถ้านั่งกรรมฐานไปแล้ว เห็นกายตัวเองนั่งอยู่ แล้วกายตัวเองก็หายไป
จิตไปนิ่งอยู่ที่หน้าผาก รับรู้ภายนอกแต่วางเฉย นิ่ง ๆ อยู่อย่างนี้

อยากจะถามพระอาจารย์ว่า
อย่างนี้จัดเป็น การฝึกถึงขึ้นไหนใน พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ
 :25:
23  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ต้องการปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนา โดยไม่ต้องฝึกสมาธิ ทำได้หรือป่าวครับ เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 01:22:34 pm
ต้องการปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนา โดยไม่ต้องฝึกสมาธิ ทำได้หรือป่าวครับ

  คือผมสงสัยว่า ทุกครั้งที่จะฝึกวิปัสสนา ต้องให้ฝึกกรรมฐานคือทำสมาธิ แล้วฟังธรรมกัน

 อยากทราบว่า มีการปฏิบัติวิปัสสนาโดยตรงหรือป่าว ที่ไม่ต้องฝึกสมาธิ

  มีตัวอย่างของผู้สำเร็จแบบนี้ในปัจจุบัน ที่ไหนบ้างครับ

   :25: :25: :25:
24  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เทคนิคการอ่านหนังสือเรียนอย่างฉลาด เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:35:14 am
เทคนิคการอ่านหนังสือเรียนอย่างฉลาด
ผู้เรียนส่วนใหญ่ต้องเสียเวลากับการอ่านหนังสือ ตำราเรียนมากเกินควร เนื่องจากการอ่านที่ขาดประสิทธิภาพ คืออ่านทุกตัวอักษร ทุกประโยคไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้งยังพยายามอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อท่องจำสิ่งที่อ่านให้ขึ้นใจ ทำให้ยิ่งเสียเวลาเข้าไปใหญ่ การจะลด เวลาที่เกินควรไปนั้น เราต้องอ่านอย่างมีวัตถุประสงค์ มีการวางแผนล่วงหน้า มีการทวนความเข้าใจหลังอ่านจบแล้ว ซึ่งวิธีอ่านอย่างฉลาดที่ว่าคือ
วิธี อ่านแบบ ORUS
วิธีอ่านแบบ ORUS เป็นวิธีอ่านเพื่อการเรียน ที่ผู้เรียนสามารถข้ามขั้นตอนบางขั้นได้ แต่ห้ามข้ามขั้นสุดท้ายใน 4 ขั้นตอนต่อไปนี้
1.1 สำรวจ (Overview) องค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งที่จะต้องอ่าน ซึ่งมีดังนี้
- ชื่อบท หัวข้อใหญ่ และหัวข้อย่อย ที่พิมพ์ตัวหนา สิ่งเหล่านี้จะบอกถึงขอบเขตและลักษณะของเนื้อหาอย่างคร่าวๆ
- รูปภาพ กราฟ และแผนภูมิ หนังสือวิชาการส่วนใหญ่จะมีสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งภาพประกอบประเภทอื่นๆ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาประเด็นสำคัญๆ ได้มากขึ้น
- สรุป อ่านแบบผ่านๆ (Skimming) ดูว่าสิ่งที่ผู้แต่งต้องการนำเสนอคืออะไร เพื่อเวลาอ่านจริงๆ เราจะได้มุ่งตรงไปยังเนื้อหาสำคัญทั้งหลาย ไม่เสียเวลาไปกับการอ่านส่วนที่เป็นน้ำ ในกรณีที่ผู้แต่งไม่ได้เขียนบอกไว้ว่าตรงไหนเป็นบทสรุป ให้ลองอ่านย่อหน้าสุดท้ายของเรื่อง
- คำถาม คือสิ่งที่บอกให้เรารู้ว่าเนื้อหาส่วนไหนในเรื่องที่เราต้องให้ความสนใจเป็น พิเศษ เพราะผู้แต่งมักจะถามถึงสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญของเรื่อง
หลังจากรู้คร่าวๆ แล้วว่าเรื่องที่จะอ่านมันเกี่ยวกับอะไร สิ่งไหนน่าจะเป็นประเด็นสำคัญของเรื่อง เราก็ต้องวางแผนการอ่าน โดยแบ่งเนื้อหาทั้งหมดออกเป็นส่วนๆ และกำหนดเวลาในการอ่านของแต่ละส่วน ทั้งนี้ให้รวมเวลาที่จะใช้ในการเก็บข้อมูลและสรุปความเข้าใจด้วย
1.2 อ่าน (Read) ด้วยความรวดเร็ว คัดเอาแต่ใจความสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ประโยคแรกหรือสุดท้ายของย่อหน้า โดยไม่มีการหยุด ให้ทำเหมือนกับว่าเรากำลังคุยกับผู้แต่ง เหมือนเขากำลังอธิบายบางสิ่งให้เราเข้าใจ ดังนั้นถ้ามีตรงไหนสงสัยไม่เข้าใจก็ให้เขียนคำถามไว้ตรงขอบของหน้ากระดาษ ใกล้ๆ กับส่วนที่เราไม่เข้าใจ
ข้อความไหนที่รู้ว่าไม่สำคัญสำหรับเราก็ ให้ข้ามไปได้ ไม่ต้องกังวลว่าเราจะไม่เข้าใจทั้งหมด
1.3 เก็บข้อมูล (pick Up) เป็นการนำสาระสำคัญทั้งหลายเข้าสู่ธนาคารความจำของเรา โดยกลับไปดูสิ่งที่เพิ่งอ่าน แล้ว :
- ขีดเส้นใต้หรือทำเครื่องหมายดอกจัน (*) ไว้ตรงที่สำคัญๆ หรือตรงข้อความที่เราคิดว่าอาจถูกนำมาออกข้อสอบเท่านั้น อย่าขีดเส้นให้เปรอะไปหมด
- เขียนโน้ตสั้นๆ ไว้ที่ขอบของหน้าหนังสือ
1.4 สรุปความเข้าใจ (Summarize) โดยใช้คำพูดของเรา

 
ที่มา : unigang
25  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แต่งงานกับตัวเอง ( ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากอย่างนี้นะ ) เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 11:23:18 am
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  facebook.com/onlywedding


          หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อน หนุ่มกวางเจาชาวจีนรายหนึ่งเคยสร้างความฮือฮาด้วยการแต่งงานกับตัวเอง เพราะหลงรักตัวเองมาแล้ว มาปีนี้ มีข่าวทำนองเดียวกันให้ฮือฮากันอีกครั้ง เมื่อสาวไต้หวันวัย 30 ปีนามว่า เฉิน เหวยเอี๊ยะ ได้ประกาศแต่งงานกับตัวเองซะอย่างนั้น

          แต่ไม่ใช่เพราะว่าเธอเพี้ยนหรือบ้าแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่เธอทำไปนั้นก็มีเหตุผลของเธอ ซึ่ง เฉิน เหวยเอี๊ยะ ได้ให้เหตุผลว่า ที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับตัวเอง ก็เพราะเห็นว่าวัย 30 ปี เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเธอ เธอมีความพร้อมทั้งในเรื่องการงาน และประสบการณ์ชีวิต ขาดแต่ก็คู่ชีวิตที่ไม่ว่าจะคบหามากี่คนก็ไม่ถูกใจเลยสักคน จนปัจจุบันก็ไม่มีใครที่ถูกใจเข้ามาในชีวิต อีกทั้งยังโดนสังคมกดดันให้แต่งงานอีก ในที่สุดเธอก็เลยตัดสินใจแต่งงานกับตัวเองซะเลย ไม่ต้องไปหาเจ้าบ่าวที่ไหนให้ยุ่งยาก

          นอกจากแรงกดดันทางสังคมแล้ว เฉิน เหวยเอี๊ยะ ยังกล่าวว่า นี่เป็นการแสดงให้เห็นความเป็นสาวสมัยใหม่ ที่ไม่กลัวที่จะอยู่คนเดียวเลย โดยจะเห็นได้จากในประเทศของเธอที่ผู้หญิงสมัยนี้ต้องการอยู่เป็นโสดมากขึ้น ขณะที่ผู้หญิงที่ใฝ่ฝันอยากจะใช้ชีวิตครอบครัวนั้นมีน้อยลง แต่อย่างไรก็ดี เธอก็ไม่ได้ปิดตัวเองแต่อย่างไร หากเจอคนที่ใช่จริง ๆ เธอก็พร้อมจะเข้าพิธีวิวาห์อีกครั้ง

         สำหรับงานแต่งงานของ เฉิน เหวยเอี๊ยะ จะจัดขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนหน้านี้ หลังจากที่เธอถ่ายรูปแต่งงานในสตูดิโอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการแต่งงานของเธอจะจัดขึ้นแบบเล็ก ๆ มีเพียงญาติสนิทและเพื่อน ๆ รวม 30 ชีวิตเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานของเธอครั้งนี้ และหลังจากแต่งงานแล้ว เธอก็จะไปฮันนีมูนคนเดียวที่ออสเตรเลียอีกด้วย


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1964742#ixzz13vu7sKQC
26  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / กำหนดการงานบวชเนกขัมมะอาจาริยบูชา ณ วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ – ๒ มกราคม เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 09:47:26 am
 กำหนดการงานบวชเนกขัมมะอาจาริยบูชา

ณ วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ)

๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ – ๒ มกราคม ๒๕๕๔

 

วันศุกร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ 

 

๐๙.๐๐ น.      ลงทะเบียน

๑๐.๐๐ น.      กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาศาสนสถาน

๑๘.๐๐ น.      พิธีบวชเนกขัมมะ ณ ศาลาปฏิบัติธรรม

๑๘.๓๐ น.      เจริญพระพุทธมนต์เย็น ณ ลานพระศรีมหาโพธิ์ โดย พระบุญช่วย

ธรรมะจากพระไตรปิฎก ณ ศาลาปฏิบัติธรรม โดย คณะสงฆ์

                   ปฐมนิเทศ โดย พระอธิการศิริชัย

๒๓.๓๐ น.     เจริญพระพุทธมนต์ข้ามปี ณ ศาลาปฏิบัติธรรม โดยพระอธิการศิริชัย

๐๐.๐๐ น.    สัญญาณกลอง ฆ้อง ระฆัง เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๔

๐๐.๓๐ น.     เข้าที่พัก

 

วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ (วันปีใหม่ และวันคล้ายวันเกิดหลวงปู่พุทธะอิสระ)

 

๐๕.๐๐ น.      เจริญพระพุทธมนต์เช้า โดย คณะสงฆ์

๐๗.๓๐ น.      บิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้ง โดยคณะสงฆ์

                   บิณฑบาตโลหะเพื่อหล่อพระนาคปรก ๙ เศียร “พระปกเกล้า ปกแผ่นดิน”

๐๙.๐๐ น.      พิธีหล่อพระเมาฬี ขององค์พระนาคปรก ๙ เศียร ณ หน้าอาคารฐานพระ

๑๐.๐๐ น.     แสดงธรรมเนื่องในวันปีใหม่ ณ ศาลาปฏิบัติธรรม โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ

๑๑.๐๐ น.      ถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์

๑๓.๐๐ น.      การแจกของที่ระลึกแด่ผู้ร่วมงานในวันคล้ายวันเกิดหลวงปู่พุทธะอิสระ

๑๕.๐๐ น.      คณะสงฆ์ถวายสักการะหลวงปู่พุทธะอิสระ ณ ลานพระศรีมหาโพธิ์

๑๘.๓๐ น.      เจริญพระพุทธมนต์เย็น / ธรรมะจากพระไตรปิฎก

โดย คณะพระวิปัสสนาจารย์ จังหวัดนครปฐม

๒๐.๓๐ น.      เข้าที่พัก

 

 

วันอาทิตย์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๔ (อาทิตย์ต้นเดือน)

 

๐๕.๐๐ น.       เจริญพระพุทธมนต์ โดย คณะสงฆ์

๐๙.๐๐ น.      นำเจริญกรรมฐาน วิชาปราณโอสถ โดย คณะสงฆ์

๑๑.๐๐ น.      ถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์

๑๔.๐๐ น.      นำเจริญกรรมฐาน วิชาปราณโอสถ โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ

๑๗.๐๐ น.      เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ
27  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / มอบทุนการศึกษา 2554 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 09:45:00 am
ทุนดำรงชัยธรรม มอบทุนการศึกษาเรียนจบป.ตรี

ทุนการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา มูลนิธิพูนพลัง ปีการศึกษา 2554

วัตถุประสงค์ ทุน การศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา มูลนิธิพูนพลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยสนับสนุนเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่มีความตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียน และได้พยายามช่วยเหลือตนเอง ครอบครัว และสังคมมาแล้วในระดับหนึ่ง ให้ได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นตามความสนใจและความถนัด

จำนวนทุนการศึกษาใหม่ ปีการศึกษา 2554 3-6 ทุน โดยให้น้ำหนักการพิจารณาในสายอาชีวศึกษา การสนับสนุน เป็นทุนการศึกษาสำหรับค่าครองชีพ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา ตามความจำเป็น

ระดับ ปวช. : ไม่เกิน 20,000 บาท ต่อปี

ระดับ ปวส. และปริญญาตรี : ไม่เกิน 30,000 บาท ต่อปี

** หมายเหตุ อาจมีการสนับสนุนเพิ่มเติมจากผู้อุปถัมภ์ในบางกรณี

หน้าที่ของผู้ได้รับทุน

1. รายงานรายรับรายจ่ายมายังมูลนิธิ ทุกเดือน

2. รายงานความเป็นอยู่มายังมูลนิธิ ทุกเดือน

3. รายงานผลการศึกษามายังมูลนิธิ ทุกภาคการศึกษา

4. ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของสถานศึกษา

5. ช่วยเหลือสังคมตามกำลังและโอกาส

ระยะเวลา สนับสนุนทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาทุกปี จนจบช่วงชั้น

คุณสมบัติของผู้สมัคร

สถานภาพปัจจุบัน

- ทุนการศึกษาระดับ ปวช.

กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2553 และมีผลการเรียนเฉลี่ยจนถึงภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ไม่ต่ำกว่า 2.30

- ทุนการศึกษา ระดับ ปวส. และ ปริญญาตรี

กำลังศึกษาชั้น ปวช. ปีที่ 3 หรือ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2553 และมีผลการเรียนเฉลี่ยจนถึงภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ไม่ต่ำกว่า 2.80

** หมายเหตุ สำหรับนักเรียนนักศึกษาที่มีสถานภาพไม่ตรงตามกำหนด แต่มีคุณสมบัติอื่นครบถ้วน อาจได้รับการพิจารณาในบางกรณี

- รายได้ เป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ครอบครัวมีรายได้ไม่เกิน 80,000 บาท ต่อปี

- ความประพฤติ เป็นผู้มีความประพฤติดี ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือสังคมอย่างสม่ำเสมอ

เอกสารที่ใช้ในการสมัคร

1. ใบสมัครทุนการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา มูลนิธิพูนพลัง ปีการศึกษา 2554

2. สำเนาผลการเรียน จนถึงภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553

3. จดหมายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้สมัคร จากอาจารย์หรือหัวหน้างานอย่างน้อย 2 คน

4. สำเนาประกาศนียบัตรหรือเอกสารอื่นๆเพื่อประกอบการพิจารณา

ขั้นตอนการรับสมัครและพิจารณา

1-30 พฤศจิกายน 2553 รับใบสมัครและเอกสาร

ธันวาคม 2553 พิจารณาเอกสาร สัมภาษณ์

มกราคม – มีนาคม 2554 สำรวจสภาพความเป็นอยู่

เมษายน 2554 ประกาศผล

ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ http://gotoknow.org/blog/poonpalang/392473
สถานที่: สํานักงานมูลนิธพูนพลัง
เวลาเริ่มต้น: 01 พฤศจิกายน 2553 00:00
เวลาสิ้นสุด: 30 พฤศจิกายน 2553 00:00
 :25:

http://learners.in.th/classified/ads/31
หน้า: [1]