ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: True Story : แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ตาบอด ไฟไหม้ ถูกโกงเงิน แต่ฉันก็ยังอยู่ได้  (อ่าน 542 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



True Story : แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ตาบอด ไฟไหม้ ถูกโกงเงิน แต่ฉันก็ยังอยู่ได้

True Story เรื่องนี้เป็นเรื่องของ แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว คนหนึ่ง ที่ผ่านอุปสรรคในชีวิตมามากมาย เธอเริ่มเล่าเรื่องของเธอว่า..ฉันเกิดและเติบโตในหมู่บ้านเล็กๆ ของจังหวัดลพบุรี ครอบครัวของเรายากจนพ่อแม่มีอาชีพรับจ้างทำนา ทั้งคู่จะออกจากบ้านแต่เช้าและกลับมาตอนค่ำ แม้พ่อแม่จะทำงานหนัก ก็ไม่เคยพอให้ลูกทั้งห้าคนอิ่มท้องเลยสักมื้อ แต่ถึงแม้เราจะยากจนข้นแค้น ก็ยังดีที่ครอบครัวของเราอบอุ่น

พอฉันอายุ 5 ขวบ ฉันและน้องชายป่วยเป็นโรคตาแดง แม่พาเราไปรักษากับหมอพื้นบ้าน หมอเป่าดวงตาและให้กินยาสมุนไพรต้ม อาการของน้องชายดีขึ้นตามลำดับ แต่อาการของฉันกลับแย่ลงๆ วันหนึ่งฉันรู้สึกแสบร้อนในดวงตาเหมือนถูกไฟลวกลูกตาที่เคยเป็นสีดำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นภาพและแสงสว่างที่เคยมองเห็นค่อยๆ มืดสลัวลง ไม่กี่เดือนต่อมาฉันก็มองเห็นเพียงแค่เงารางๆ เท่านั้น

@@@@@@

แม่สงสารฉันมาก กลัวลูกจะเล่นซนจนได้รับอันตราย แม่จึงไม่ให้ฉันออกไปเล่นนอกบ้าน ในขณะที่พี่น้องคนอื่นๆ ได้ไปโรงเรียนและวิ่งเล่นตามใจชอบ เพื่อนข้างบ้านนึกสงสาร เลยแอบพาฉันออกไปเล่นเราไปเล่นด้วยกันหลายที่ แต่ฉันชอบไปโรงเรียนมากที่สุด ฉันอายที่มองเห็นไม่ชัดจึงไม่ได้เข้าไปนั่งเรียนกับเพื่อนๆ ได้แต่ไปแอบฟังครูสอนอยู่ใต้ถุนอาคาร ฉันพยายามจำทุกคำที่ครูสอน ทั้งท่อง ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ท่องสูตรคูณ และจำวิธีบวกลบคูณหาร แต่ฉันแอบเรียนอยู่ที่ใต้ถุนได้ไม่นานก็ต้องย้ายตามพ่อแม่ไปรับจ้างทำงานที่อื่น ตั้งแต่นั้นฉันก็ไม่ได้ไปโรงเรียนอีกเลย



หลายปีผ่านไป พอฉันเริ่มโตเป็นสาวรุ่น ตาที่เคยเห็นเป็นเงารางๆ ก็บอดสนิท ทุกเช้าฉันจะนอนฟังเสียงฝีเท้าของพ่อกับแม่ที่เดินออกจากบ้านไปทำนา ตกเย็นพ่อจะกลับบ้านมาพักผ่อน แต่แม่ต้องคอยหุงหาอาหารจนมืดค่ำ ฉันสงสารแม่ อยากช่วยแม่ทำงาน เลยขอให้แม่สอนทำกับข้าวช่วงแรกแม่ไม่ยอมสอน เพราะกลัวว่าฉันจะทำไฟไหม้บ้าน กลัวทำมีดบาดมือตัวเองกลัวจะเกิดอันตรายต่างๆ นานา ฉันอ้อนวอนอยู่ทุกวันจนแม่ใจอ่อนยอมสอนให้ฉันหุงข้าวทำแกงส้ม ผัดผัก ผัดพริกแกง

ฉันเป็นลูกมือแม่อยู่ไม่นานก็ทำกับข้าวที่แม่สอนได้ทั้งหมด แม้แต่อาหารที่มีขั้นตอนมากอย่างก๋วยเตี๋ยว ฉันก็ทำได้ทุกวันระหว่างที่พ่อแม่ไปทำนา ฉันจะทำกับข้าวมื้อเย็นรอให้ทุกคนกลับมากินด้วยกัน แม้จะตาบอดแต่ฉันก็ยังได้ช่วยแม่ทำงานบ้าน ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น และแม่ก็ภูมิใจในตัวฉันมากทีเดียว


@@@@@@

แต่หลังจากนั้นไม่นานแม่ก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน พ่อ พี่ชาย และน้องชายต่างเก็บของย้ายไปทำงานต่างจังหวัด ทิ้งฉันไว้กับพี่สาวซึ่งเพิ่งแต่งงานมีครอบครัวใหม่ ฉันอาศัยอยู่บ้านพี่สาวด้วยความเกรงใจ พยายามช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ฉันไม่อยากเป็นภาระของใคร จึงพยายามหาทางทำมาหากินเลี้ยงตัวเองให้ได้

ฉันตั้งโต๊ะเล็กๆ แล้วรับขนมมาขายแถวข้างวัดใกล้ๆ บ้าน ขายถ้วยละสลึงบ้าง ถ้วยละบาทบ้าง ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่แวะมาอุดหนุนเพราะสงสาร ฉันมีรายได้วันละ 40 – 50 บาท แม้จะไม่มากแต่ฉันก็ภูมิใจที่หาเงินได้ด้วยตัวเอง ท่านเจ้าอาวาสเห็นแล้วสงสาร จึงอนุญาตให้ฉันสร้างเพิงเล็กๆ ในวัดเพื่อเปิดร้านขายของและอาศัยซุกหัวนอน



ต่อมาขนมเริ่มขายได้ไม่ดี เพื่อนบ้านที่เป็นขอทานเลยเอ่ยปากชวนฉันไปนั่งขอทานด้วยกัน เขาเองขอทานมาจนร่ำรวย แต่ฉันตอบปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเล เพราะถึงฉันจะตาบอด แต่ก็ไม่มีวันจะขอเงินใครใช้เด็ดขาดลำบากเข้าตาจนจริงๆ ฉันก็จะกู้เงินเขา ยอมจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 20 ยังสบายใจกว่า ตอนหลังฉันเลยเลิกรับขนมมาขายแล้วหันมาเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวตามสูตรที่แม่เคยสอน แม้สองตาจะมองอะไรไม่เห็นแต่ฉันจะใช้สองมือทำงานสุจริตเลี้ยงตัวเองให้ได้

@@@@@@

วันแรกที่เปิดร้าน ชาวบ้านพากันมามุงดูด้วยความสงสัยว่า ก๋วยเตี๋ยวที่คนตาบอดทำจะกินได้ไหม หน้าตาจะออกมาเป็นอย่างไร พอเห็นฉันลวกเส้นลวกผักได้ทุกคนต่างทึ่งและบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ป้านึกตาบอด แต่ก็ยังขายก๋วยเตี๋ยวได้สู้ชีวิตจริงๆ” ไม่นานร้านก๋วยเตี๋ยวของฉันก็มีลูกค้าประจำ 

ฉันจำได้หมดว่าลูกค้าคนไหนชอบสั่งเส้นเล็กหรือเส้นใหญ่ ชอบรสชาติแบบไหน จำได้แม้กระทั่งเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของลูกค้า แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบก๋วยเตี๋ยวฝีมือฉันหลายคนเอ่ยปากจะสั่งก๋วยเตี๋ยวอยู่แล้วพอเห็นว่าฉันตาบอด ก็ไม่ซื้อเสียดื้อๆ บางคนก็หยิบถ้วยชามวางผิดที่ผิดทาง แกล้งให้ฉันหาของไม่เจอ แม้จะน้อยใจอยู่ลึกๆ แต่ฉันก็ไม่ถือสา คิดเสียว่า เราเป็นคนตาบอด ก็ต้องอดทนและพยายามให้มากกว่าคนตาดีอีกหลายสิบเท่า



เกือบยี่สิบปีที่ยึดอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวฉันเปิดร้านทุกวันไม่เคยหยุด ได้เงินวันละสองร้อยถึงสี่ร้อยบาท ฉันนำเงินมาดูแลน้องชายที่แทบจะดูแลตัวเองไม่ได้เพราะติดเหล้า และแบ่งเงินส่วนหนึ่งเป็นทุนซื้อของมาขายก๋วยเตี๋ยว แต่ลูกค้าหลายคนซื้อก๋วยเตี๋ยวแล้วไม่จ่ายเงิน ขอติดไว้ก่อนทีละร้อยทีละห้าสิบ หลายครั้งเข้าก็เป็นพัน พอสิ้นเดือนก็บ่ายเบี่ยงว่า “ยังไม่จ่ายนะป้ายังไม่มีเงิน” เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ จนผ่านมาหลายปี มีลูกค้าติดหนี้ค่าก๋วยเตี๋ยวอยู่ตั้งสี่หมื่นบาท ฉันเสียดายเงินจนนอนไม่หลับคิดแต่ว่าทำอย่างไรจะได้เงินคืน สุดท้ายก็ได้แต่ปลงว่า ไม่เป็นไร ไม่ได้เงินคืนก็ไม่เป็นไร อาจเป็นเวรเป็นกรรมที่เราเคยทำไว้เมื่อชาติก่อน ชาตินี้เขาถึงได้มาเอาคืน

ฉันชอบทำบุญทำทาน ใครแจกซองกฐิน ผ้าป่า ฉันรับหมด ทำบุญซองละร้อยบ้าง ซองละยี่สิบบ้าง ตามแต่รายได้ในแต่ละวัน แม้ฉันจะไม่มีเงินเก็บเลยสักบาท แต่ถ้าเป็นเรื่องบุญ ฉันยินดีทำเต็มที่ ในร้านของฉันจะมีตู้น้ำเปล่าพร้อมน้ำแข็งไว้บริการลูกค้า หรือให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเหนื่อยๆ ได้แวะดื่มฟรี ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะยังผ่อนค่าตู้น้ำราคาหลายพันบาทไม่หมดก็ตาม


@@@@@@

ฉันยึดอาชีพแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงตัวเองแบบพออยู่พอกินมาได้เรื่อยๆ อย่างน้อยฉันก็ภูมิใจที่ยืนบนลำแข้งของตัวเองได้ไม่ต้องเป็นภาระของใคร แต่แล้ว…ค่ำวันหนึ่งในฤดูหนาว ฉันก็โชคร้ายอีกจนได้

ค่ำวันนั้น ฉันนั่งกินข้าวเย็นอยู่ข้างกองไฟเพื่อให้หายหนาว โดยไม่รู้เลยว่าเปลวไฟได้ไหม้ลามจากชายผ้าถุงขึ้นมาเรื่อยๆ กว่าจะรู้สึกตัวไฟก็ลามมาถึงขาแล้วฉันตกใจสุดขีด ใช้มือปัดไฟผ้าถุง แต่ยิ่งปัด ไฟก็ยิ่งลุกลาม ฉันทั้งแสบทั้งร้อนที่ขาทั้งสองข้าง แต่ก็ไม่รู้จะช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร ผิวหนังเริ่มตึงไปหมด ฉันได้ยินเสียงเนื้อตัวเองแตกดัง “เปรี๊ยะ!” ฉันดิ้นสะบัดตัวอย่างทุรนทุราย คิดอะไรไม่ออกได้แต่ตะโกนว่า “หลวงปู่ขาวขา ช่วยลูกด้วย!” ทันใดนั้นผ้าถุงก็ร่วงหลุดจากเอวน้องชายที่เพิ่งสร่างเมาวิ่งเข้ามาช่วยดับไฟลงได้ แต่ฉันปวดขาร้าวไปถึงกระดูก รู้สึกร้อนเหมือนมีไฟเผาอยู่ตลอดเวลานั้นฉันได้แต่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด

@@@@@@

โชคดีที่มีตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาเห็นเข้า เขาตกใจรีบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลทันที ถึงโรงพยาบาลหมอให้ฉันดมยาสลบพอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ฉันปวดแสบปวดร้อนไปหมดทั้งตัว ที่หนักสุดคือตรงขาทั้งสองข้าง ฉันเจ็บจนพูดไม่ออก ได้แต่ร้องครางทั้งวันทั้งคืน ฉันนอนโรงพยาบาลอยู่สามเดือน ผ่าตัดเป็นสิบครั้ง เวลานี้ผ่านมานานนับปี ความเจ็บปวดทุเลาลงแล้วฉันจึงกลับมาเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวได้เหมือนเดิม แต่รอยแผลตรงข้อพับหัวเข่ายังมีเลือดซึมออกมาตลอดเวลา คงเป็นเพราะฉันยืนลวกก๋วยเตี๋ยวและเดินไปเดินมาทั้งวัน แต่ถ้าจะให้นอนอยู่เฉยๆ ให้แผลสมานไวๆ ก็คงทำไม่ได้ เพราะฉันจำเป็นต้องทำมาหากิน

แม้จะยังเจ็บแผลอยู่บ้าง แต่ร้านก๋วยเตี๋ยวของฉันก็ยังเปิดขายตามปกติ นอกจากจะมีรายได้เป็นค่าหยูกค่ายาแล้ว ฉันยังได้ปรุงก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ ให้ลูกค้ากิน…แค่นี้คนตาบอดอย่างฉันก็พอใจแล้ว



ข้อคิดจากพระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ : สิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกๆ ชีวิตล้วนเป็นไปตามกรรมที่ตนเป็นผู้ลิขิตนับแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน คุณสมนึกได้ประกอบกรรมทั้งฝ่ายกุศล (บุญ) และอกุศล (บาป) กรรมฝ่ายบาปที่ทำไว้เป็นเหตุให้ต้องตาบอด ถูกโกงถูกไฟเผา กรรมฝ่ายบุญช่วยให้เธอมีจิตใจเข้มแข็งเป็นคนสู้ชีวิต มีจิตใจดีงาม มีเมตตา เอื้อเฟื้อผู้อื่นให้อภัยแม้ผู้ที่เบียดเบียนเธอ ชีวิตของเธอดำเนินไปบนพื้นฐานของการต่อสู้กันระหว่างบุญและบาปที่เธอได้ทำไว้ ซึ่งเธอก็ไม่ย่อท้อที่จะทำบุญให้มากขึ้น เมื่อใดที่กำลังฝ่ายบุญของเธอเหนือกว่ากำลังฝ่ายบาปที่ส่งผลอยู่ ชีวิตของเธอก็จะดีขึ้น ซึ่งก็คงจะได้เห็นกันในไม่ช้านี้

อนึ่ง เรื่องของเธอน่าจะเป็นตัวอย่างให้หลายๆ คนมีกำลังใจที่จะทำความดี หรือไม่ท้อถอยที่จะต่อสู้กับปัญหาของชีวิต

 
ที่มา : นิตยสาร Secret  ฉบับที่ 113
เรื่อง : สมนึก กัญญาเงิน
เรียบเรียง : ชลธิชา แสงใสแก้ว
ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/inspiration/54375.html
By pitch ,14 February 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ