ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระอรหันต์ ที่เลิศทางฤทธิ์ ทำไมจึงป้องกันตัวเองไม่ได้  (อ่าน 8018 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ISSARAPAP

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +11/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 129
  • โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย สัจจะธรรมแท้ ไม่มีสูตร
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมได้ศึกษา ประวัติ พระอนุพุทธ แล้ว

ก็เกิดความสงสัย กับ พระที่เลิศทางฤทธิ์ ว่าทำไม ? why ?

ยกตัวอย่าง

1. ทำไม  ? พระโมคคัลลานะเถระ เป็นผู้เลิศด้วยฤทธิ์ สามารถกำหราบได้ พญานาค ยักษ์ อสูร

     แต่ต้องมาพ่ายแก่โจรธรรมดา

2. ทำไม ? พระสารีบุตร ที่มีฤทธิ์ ต้องกระโดดข้ามคูด้วย ทำไมไม่ใช้ฤทธิ์ เดินข้ามไป

3. ทำไม ? พระอุบลวรรณาเถรี นั้น ก็เลิศทางฤทธิ์ กับโดนมานพข่มขืน

และ อีก หลาย ๆ ทำไม ?

 :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
ความสันโดษ เป็นบรมสุข

nongmai

  • สมาชิก
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 51
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อืม น่าคิดเหมือนกัน แต่คงเป็นเพราะวิบากกรรม กระมังครับ

จึงไม่สามารถ ฝืนกรรมได้

เอ ยังไงกันหนอ

 :13: :13:

บันทึกการเข้า

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
พระอรหันต์ ดื่มเหล้าแล้ว ทำไมจึงเมา ?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2010, 02:57:43 am »
0
 :13: :13:

สงสัยด้วยเหมือนกัน

คงเป็นเพราะพระพุทธองค์ ตรัสห้ามแสดงฤทธิ์ กระมังคร้า

เห็นปัจจุบัน พระสงฆ์ ในประเทศไทย ล้วนทรงอิทธิฤทธิ์ กันมาก ( กลัวปรามาสพระสงฆ์ จัง )



นีย์ เคย อ่านประวัติ พระสาวกผู้มีฤทธิ์ เหาะขึ้นไปเอาบาตร ลงมา จำชื่อไม่ได้

สุดท้ายชาวบ้าน ก็นิมนต์ ท่านดื่มน้ำจันทร์ ( น้ำเมา ) ท่านก็เมา

ที่จริง ก็สงสัย เหมือนกันว่า พระอรหันต์ ท่านไม่ผิดศีลแล้ว ท่านมีฤทธิ์ ก็จะดื่มน้าเมา แล้วไม่เมา

เหมือน พระอาจารย์จี้กง ที่ดื่มเหล้า แล้วไม่เมา ( ไมรู้จริงหรือป่าว )

ใครอธิบายเรื่องนี้ ได้ช่วยอธิบายให้เข้าใจเพิ่มหน่อย ก็ดีคร้า !


 :25: :c017: :25:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อยากเห็นคุณฟ้าใสมาตอบจังเลย
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2010, 10:07:12 am »
0

ขออนุญาตสงวนคำแปรญัตติ ไม่รู้ว่าใช้ภาษาไทยถูกรึเปล่า

อยากให้เพื่อนๆแสดงความเห็นกันเยอะๆ ส่วนผมขอกินแรงเพื่อนๆไปก่อน(เอาเปรียบ)

ในกรณีพระสารีบุตร เคยอธิบายให้คุณฟ้าใสไปแล้ว

อยากเห็นคุณฟ้าใสมาตอบจังเลย
:08:

 :49: :bedtime2: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2010, 10:27:01 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เกิดความสงสัย กับ พระที่เลิศทางฤทธิ์ ว่าทำไม ? why ?
 :smiley_confused1:

 
:015:จากความใกล้ชิด และสนทนาธรรมกับด้วยพระอาจารย์อยู่บ่อยครั้ง และได้

พิสูจน์ประจักแก่ตนเองถึงฤทธิ์ (ฌานอภิญญา) ของท่านพระอาจารย์ ว่า ท่านพระอาจารย์ท่านมีวสีในการเข้า

ฌานออกฌาน และรู้วาระจิตอ่านใจ (ความคิด) ผู้คนได้

 :015:ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสสนทนาธรรมเรื่องการใช้ฤทธิ์อภิญญา ว่า ทำไมไม่ใช้ในทุกกรณีย์ เหตุเพราะการใช้

ฤทธิ์นั้นเมื่อกำหนดจิตใช้จะสูญเสียพละวัตร ธาตุขันธ์จะอ่อนล้า ต้องพัก 2-3 วัน จึงจะฟื้น ดังนั้นการกำหนดจิต

ใช้จึงไม่ควรกระทำพร่ำเพรื่อบ่อยนัก ด้วยพระอาจารย์ท่านมุ่งที่จะสอนพระกรรมฐานแก่เหล่าเวไนยชนเป็นหลัก

จึงจะน้อมใช้ในการกำหนดจิตสอนด้วยการแผ่ครึ่งกำลังให้แก่เหล่าศิษย์ผู้เรียนกรรมฐาน จะสังเกตได้ว่าการปฏิบัติ

กรรมฐานในเคหะสถานกลับไม่ได้ความสงบดั่งตั้งใจ แต่หากกระทำต่อหน้าพระอาจารย์แล้วกลับเข้าสู่สมาธิได้ดี

กว่ามาก ซึ่งก็แปลก แต่แท้จริงแล้ว คือ การกำหนดจิตใช้ฤทธิ์แผ่ครึ่งกำลังให้แก่ศิษย์

 :015:ดังนั้น การปลีกวิเวกของพระอริยะสงฆ์ แสวงหาสถานที่อันสัปปายะ ก็เพื่อฝึกปฏิบัติตั้งจิตอยู่ในองค์ฌาน

เสวยสุขตามวิสัยแห่งสมณะ ช่วงที่พระอาจารย์ท่านไม่อยู่ก็ด้วยเหตุดังนี้ (ทราบว่าท่านฝึกเจริญฌานในทุก

อิริยาบถ)

 :015:สรุปท้ายอย่างนี้ คือ การใช้ฤทธิ์ไม่จำต้องทำสำหรับพระอาจารย์ท่าน งานหลักงานใหญ่คือสอนพระ

กรรมฐาน ที่ท่านพระอาจารย์เห็นสำคัญ


 :015:พระอริยะเจ้าทั้งหลายแจ้งแล้วในมรรคผล นิพพานเีที่่ยงแท้แล้วแก่ตน ภัยในวัฏฏะนี้ (หนี้กรรม) ก็ให้ชด

ใช้ไปตามกฏแห่งวัฏฏะ...นั้น

กมฺมุนา วตฺตตี โลโก (สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2010, 10:00:02 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: พระอรหันต์ ดื่มเหล้าแล้ว ทำไมจึงเมา ?
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2010, 08:32:35 pm »
0
:13: :13:
นีย์ เคย อ่านประวัติ พระสาวกผู้มีฤทธิ์ เหาะขึ้นไปเอาบาตร ลงมา จำชื่อไม่ได้

สุดท้ายชาวบ้าน ก็นิมนต์ ท่านดื่มน้ำจันทร์ ( น้ำเมา ) ท่านก็เมา

ฤทธิ์ (อิทธิ) นั้น เป็นอจินเตยยะ - ไม่พึงคิดโดยประการทั้งปวง...ครับ

 :banghead: หากถามว่าพระอริยะเจ้า หรือผู้ทรงฌานอภิญญานั้น ทำไมไม่ใช้ฤทธิ์ ส่วน

หนึ่งนั้นมาจากพุทธบัญญัติเป็นสิกขาบทปรามไว้ปรับเป็น อาบัติปาจิตตีย์ (ภิกษุใดอวดอุตตริ

มนุสสธรรมที่มีในตน ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์) มูลเหตุมาจาก พระโมคคัลลานะเถระ กับ

พระปิณโฑลภารทวาชะเถระ
เที่ยวจาริกธุดงค์ผ่านมายังเมืองราชคฤห์พบเหตุวุ่นวายของชาวเมืองจึงมี

ความปริวิตกถึงหมู่ชนจักปรามาสพระศาสนา จึงดำริถึงกันในอันที่จะแก้ข้อต่างแห่งหมู่ชน โดย

พระปิณโฑลภารทวาชะเถระ ได้แสดงฤทธิ์เหาะลอยไปรอบเมืองราชคฤห์ แล้วนำ

เอาบาตรไม้จันทร์มาถือครองไว้ เหตุนั้นนั่นแลทราบถึงพระบรมศาสดาเจ้า จึงได้กล่าวติเตียน และบัญญัติ

สิกขาบทปรามไว้ไม่พึงควร การแสดงฤทธิ์ต่อผู้ไม่มีศีล ย่อมถึงเหตุแห่งความโกลาหล ด้วยพระพุทธองค์

ปรารถนาให้พระศาสนาเป็นที่เพาะบ่มปัญญาแห่งหมู่ชนมากกว่าการยึดถือเอาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เพราะมิใช่เป้า

หมายในอันขนสัตว์ให้ก้าวข้ามพ้นวัฏฏสงสารอันเป็นทุกข์


เหตุอีกกรณีย์หนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทปรามไว้เป็นอาบัติ ปาจิตตีย์

 :banghead: เนื่องด้วย พระสาคตะเถระ ได้จาริกธุดงค์ไปยัง

เมืองโกสัมพี ณ ที่บ้านท่ามะม่วง ชาวบ้านแม้มากเกรงกลัวเหล่าพวกชฏิล (นักบวชบูชาไฟ)

พระสาคตะเถระได้เข้าไปอาศัยถ้ำของเหล่าพวกชฏิลอยู่พำนักตามวิสัยสงฆ์รุกขมูลอยู่ป่า

เป็นวัตร และกำราบนาคพาลตนหนึ่งให้ละทิฏฐิ เรื่องนี้รู้ถึงเหล่าอุบาสกชาวเมืองโกสัมพี เหล่าอุบาสกจึงพากันไป

กราบพระบรมศาสดา และแวะเข้าไปหาท่านพระสาคตะเถระ แล้วเชื่อตามคำบอกกล่าว

ของพระฉัพพัคคีย์ ว่า สุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบ เป็นของหายากทั้งเป็นของชอบของเหล่าภิกษุ

เมื่อพระสาตคะเถระออกภิกขาจารในตอนเช้า เหล่าอุบาสกชาวเมืองโกสัมพี จึงน้อม

เอาสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบถวายให้แก่ท่านพระเถระเรียงรายตามบ้าน ยังผลให้พระเถระเมาล้มลงหลับ

ระหว่างทางภิกขาจารนั้นเอง เมื่อพระบรมศาสดาทรงภิกขาจารพร้อมเหล่าภิกษุมาเห็นเข้าจึงต้องให้เหล่าภิกษุหาม

ท่านพระเถระกลับอย่าทุรักทุเรยังผลให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทปรามไว้คือ ภิกษุใดดื่มน้ำเมา ต้อง

อาบัติ ปาจิตตีย์ แต่นั้นมา...ครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2010, 08:46:39 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

แมนแมน

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 86
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
พระพุทธเจ้า ยังบาดเจ็บ เลยครับ ไม่ใช่แค่พระสาวก
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิถุนายน 26, 2010, 09:09:19 am »
0
เมื่อครั้ง พระเทวทัต กลิ้งหินลงไปเพื่อจะประทุษร้าย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ด้วย พุทธานุภาพ จึงทำให้ถูกเพียงสะเก็ด ทำให้บาดเจ็บ ห้อพระโลหิต

ที่เป็นที่มาของ อนันตริยกรรม

แผ่นดินจึงสูบ พระเทวทัต ลงอเวจีทันที

( ที่จริง ผมว่า ถ้าพระพุทธองค์ ใช้ อิทธิฤทธิ์ ของพระองค์ ก็ไม่น่าที่จะบาดเจ็บนะครับ )

หรือเป็น เพราะกรรมของสรรพสัตว์



ผมว่า มุมมอง ของปุุถุชน ต่อพระอรหันต์ ผมว่าอาจจะวาดภาพมากเกินจากคนปกติ ธรรมดา

ทั้งที่จริง การเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับ ฤทธิ์ แต่อย่างใด

เช่น พระสุกขวิปัสสก นั้นก็ไม่มี ฤทธิ์ ครับ

มีแต่ พระอรหันต์ เตวิชโช ฉฬภิญโญ และ ปฏิสัมภิทัปปัตโต จึงจะมี ฤทธิ์

แต่การใช้ ฤทธิ์ ผมว่าก็ใช้ เมื่อจำเป็น ที่ต้องการ

บางครั้ง ก็ต้องการ แต่ก็ไม่ใช้



ยกตัวอย่าง

พระพุทธเจ้า / พระสารีบุตร เป็นต้น เวลาเจ็บป่วย ก็ต้องฟังสาธยาย โพชฌงค์ 7 จึงจักทุเลาจากอาพาธ

ผมลองอ่านคำแปล แล้ว ผมยังไม่ทราบว่า โพชฌงค์ 7 นั้นจักมีอานุภาพอย่างไรจากที่แปลออกมา


 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
 :25: :25:

พระอรหันต์ เป็นผู้อยู่ เหนือโลก โดยจิตแ้ล้ว ดังนั้น เหตุ และ ผล

จึงเป็น อจินตรัย คิดไม่ได้ในแนว ปุถุชน

( คำตอบของพระอาจารย์ หยิบยกมาให้ได้ฟัง )



ต่อไปจักขอตอบ ในแนวผมบ้างครับ

พระอรหันต์ ก็คือ บรรลุธรรม โดยการละสังโยชน์ 10 ประการ

การบรรลุธรรม เป็นการบรรลุทางจิต ไม่ใช่ทางกาย

กาย ก็เป็น บุคคลธรรมดา ต้องอยู่ภายใต้ เกิด แก่ เจ็บ และ ตาย
ในกฏของ สามัญลักษณะ คือ อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา


ส่วนจิต นั้นไซ้ร บรรลุ มรรค ผล และ นิพพาน

ดังนั้น พระอรหันต์ โดยส่วนกาย ก็ไม่ต่างจากเรามากนัก

โดยส่วนจิต เท่านั้นที่มีความต่าง



ในส่วน ของพระอภิธรรม มีการยกปัญหา ในพระไตรปิฏก ข้อหนึ่งว่า

พระอรหันต์ นั้นมี อสุจิ หรือไม่ / พระอรหันต์ ตั้งครรภ์ ได้หรือไม่

คำตอบ ในส่วนนี้ยังมีอยู่ตามปกติ ต้องไปอ่านพระไตรปิฏกในส่วนพระอภิธรรม บทนำ ปุจฉา และ วิสัชชนา ครับ

แต่ในส่วน นี้เป็นความซับซ้อนในคำตอบ กรณีของ

พรอรหัตตสาวิกา อุบลวรรณาเถรี ที่โดนมานพแอบ เข้าไปซุ่ม ข่มขืน

เนื่องด้วยในสภาพการภาวนานั้น ท่านบำเพ็ญ สมณะธรรม และ อ่อนแรง มาก่อนแม้ด้วย ฤทธิ์ ก็ไม่พร้อมที่จะใช้
ในขณะนั้น

วิจารณ์ แบบ ปุถุชน ก็เข้าใจยาก

แต่อย่างไรเสีย บรรดาพระอรหันต์ ที่ทำสังคายนากันมา ก็ ไม่ลืม ที่หยิบ ยก เรื่องเหล่านี้ลง บันทึกไว้ในพระไตรปิฏก ให้เราได้อ่าน มีตัวอย่าง

ถ้าไม่มีการบรรทึก ไว้อย่างนี้ เราก็คงจะไม่เข้่าใจ พระอรหันต์

เพราะเมื่อก่อน ผมก็เป็นศิษย์ในสายวัดบวร ฯ ก็มีความเชื่อว่า ( คือวาดตามจินตนาการของผมเอง )

ว่า พระอรหันต์ ท่านต้องไม่หัวเราะ ท่านต้องเดินด้วยอาการสำรวม ท่านต้องนั่งสมาธิตลอดเวลา

ท่านต้องทำในสิ่งทีผิิดจากมนุษย์อย่างเรา และอีกหลาย ๆ อย่าง ที่ผมวาดฝันไว้

จนกระทั่งได้มาสนนทนากับพระอาจารย์สนธยา จึงได้คิดเป็นในส่วนนี้



ยกตัวอย่าง อุปนิสัย ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก

พระกัสสป เป็น พระสูงอายุ ไม่ค่อยชอบพูด ชอบปลีกวิเวก

พระสารีบุตร เป็น พระที่ชอบพูด และอยู่ในเมือง

พระกัจจายนะ เป็นพระที่ทั้งพูด และ ไม่พูด อีกทั้งยัง นิรมิต กายเป็น พระอ้วน ๆ อีก

พระราหุล เป็นพระที่ชอบฟัง ศึกษา

เป็นต้นครับ

ก็จะเห็นว่า อุปนิืสัย นั้นของพระอรหันต์ ไม่ได้เปลี่ยน ที่เปลี่ยนคือเปลี่ยนจากการพ้น บ่วงแห่งกิเลสครับ






ไปอ่าน เรื่องบันทึกการภาวนา ของหลวงพ่อนิรนามก็ดี นะครับ






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 28, 2010, 06:12:48 am โดย kittisak »
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา