ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - มะเดื่อ
หน้า: 1 [2]
41  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: แนะนำ เที่ยวลำปาง กันครับ ฤดูหนาวปี 2553 เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 12:14:36 pm



ผังพื้นพระธาตุลำปางหลวง
[ที่มา : พรรณนิภา ปิณฑวณิช, การศึกษารูปแบบทางสถาปัตยกรรมวัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง วิทยานิพนธ์ สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2546 ]



รูปด้านพระธาตุลำปางหลวง
[ที่มา : พรรณนิภา ปิณฑวณิช, การศึกษารูปแบบทางสถาปัตยกรรมวัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง วิทยานิพนธ์ สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2546 ]



"พระธาตุลำปางหลวง ตัวแทนเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางจักรวาล" [ภาพโดย วโรดม ศุขสวัสดิ์, หม่อมหลวง, 16 ธันวา 46]





"บริเวณเสาเหล็ก ที่เชื่อกันว่าเป็นรอยกระสุน ของหนานทิพย์ช้าง"
[ภาพโดย ขวัญสรวง อติโพธิ, 26 มกรา 47]

รายละเอียด
พระ ธาตุลำปางหลวง ลักษณะทางสถาปัตยกรรม เป็นเจดีย์กลมทรงระฆังคว่ำ(แต่ในหนังสือพระเจดีย์ในล้านนา โดย สถาบันวิจัยสังคม ม.เชียงใหม่ กลับเรียกว่า เจดีย์แบบพุกามล้านนา เนื่องจากมีการปิดทองจังโกคล้ายแบบพุกามนั่นเอง) ปิดทองจังโกทั่วทั้งองค์เจดีย์ รูปทรงหนักแน่น ไม่ชลูดเหมือนเจดีย์แห่งอื่นๆ รอบๆพระธาตุมีการล้อมรอบด้วยรั้วเหล็ก โคมรั้ว มีการสร้างซุ้มประตูโขงอยู่ทางทิศใต้ของพระธาตุ บริเวณรั้วเหล็กมีเรื่องเล่าถึง รอยกระสุนปืน ที่หนานทิพย์ช้างยิงปืนสังหาร ท้าวมหายศ เมื่อช่วงพุทธศตวรรษที่ 23

ปรากฏในตำนานพระธาตุลำปางหลวงที่กล่าวถึง การเสด็จมาถึงของพระพุทธเจ้า ที่บ้านลัมภะการีวัน(บ้านลำปางหลวง) เมื่อเสด็จอยู่ดอยม่อนน้อย ขณะนั้นมีชายผู้หนึ่ง นาม"ลัวะอ้ายกอน" เห็นพระพุทธเจ้า เกิดมีความเลื่อมใสได้นำเอาน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้าง(ไม้ช้าวหลามไม้เปราะ) มะพร้าวและมะตูมอย่างละ 4 ลูกน้อมถวายพระองค์ และพระองค์ก็มอบพระเกษาและได้มีพุทธพยากรณ์ต่อไปว่า ในอนาคต จะมีพระอรหันต์นำเอาอัฐิพระนลาต(หน้าผาก)ข้างขวา และอัฐิลำคอข้างหน้าหลังมาบรรจุไว้ในนี้



ที่มาข้อมูล :


ตำนานพระธาตุลำปางหลวง ตำนานพระแก้วมรกต ตำนานเจ้าเจ็ดตน, ลำปาง : โรงพิมพ์ศิลป์ประดิษฐ์, 2513


พรรณเพ็ญ เครือไทย. พระเจดีย์ในล้านนา , สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่ : โรงพิมพ์มิ่งเมือง, 2546


สรัสวดี อ๋องสกุล. ประชุมตำนานลำปาง, ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2548

ที่มา

http://oplart.blogspot.com/2006/12/0001.html
42  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / ใกล้สิ้นปี 2553 แล้ว พระอาจารย์ มีโครงการจัด ธรรมสัญจร ที่ไหนหรือป่าวครับ เมื่อ: ธันวาคม 12, 2010, 09:41:32 am
ผมเห็นว่าปีที่แล้ว พระอาจารย์ มีโครงการ ธรรมะสัญจร 2552

ได้ชมภาพสวย ๆ หลายภาพเลย

ปีนี้ พระอาจารย์ ปลีกวิเวก ได้จัดธรรมสัญจร หรือป่าวครับ

 :25:
43  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เทคนิคฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 05:22:39 pm

สมองคือส่วนสำคัญที่สุดของคนในการคิด ฝึกหัด กลั่นกรองข้อมูลข่าวสารเรื่องราวต่างๆ หากสมองขาดการคิดและการกระตุ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ และหากขาดการใช้งานบ่อยๆ เซลล์ต่างๆ ที่สำคัญที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความสามารถ ประสิทธิภาพด้านต่างๆ ก็จะดูด่อยค่าลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น คนเราจึงจำเป็นต้องบริหารสมองอยู่เสมอ การฝึกสมองมีหลายเทคนิคให้เลือกใช้ แต่จงใช้อย่างมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด วันนี้จะมาเขียนเรื่องราวของ ทำอย่างไรให้สมองเราสามารถใช้งานได้ดี และมีเทคนิคการฝึกสมองอย่างไร ให้เราเป็นคนฉลาดอยู่เสมอ
จิบน้ำบ่อยๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการ เห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ
เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึก เขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath) สมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่ เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :  beauty.vwander.com
44  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ทำไมต้องมีการอธิษฐาน กรรมฐาน ครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 01:50:42 pm
เห็นทุกครั้งเวลา ฝึกกรรมฐาน ต้องมีการอธิษฐาน

เราจะสามารถปฏิบัติฝึก กรรมฐาน โดยไม่ต้องอธิษฐาน ได้หรือป่าวครับ
 :25:
45  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การเจริญ วิปัสสนา จำเป็นต้องได้ ฌาน หรือป่าวครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 01:41:13 pm
การเจิรญวิปัสสนา จำเป็นต้องได้ฌาน หรือป่าว ครับ
 :25:
46  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไม ตัวอักษรในแป้นพิมพ์ถึงไม่เรียงเป็น A B C เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2010, 03:52:31 pm
ทำไม ตัวอักษรในแป้นพิมพ์ถึงไม่เรียงเป็น A B C

ทำไมตัวอักษรในแป้นพิมพ์ทั้งของเครื่องพิมพ์ดีดและคอมพิวเตอร์
ถึงไม่เรียงกันตามลำดับอักษรเช่น A B C และเมื่อมีคำถามที่น่าสนใจอย่างนี้
มีหรือที่เราจะไม่มาตอบให้หายคาใจ
       
สำหรับการเรียงอักษรบนแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้น
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียงที่เรียกว่า QWERTY (คิวเวอร์ตี้)
ที่เรียกกันอย่างนี้เพราะเป็นการนำอักษร 6 ตัวแรก(เมื่อนับจากซ้ายมาขวา)
ของแป้นพิมพ์ที่เป็นตัวอักษรแถวบนมาต่อกัน
และถ้าหากจะถามว่าทำไมถึงต้องเรียงแบบนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปในอดีตกันซะหน่อย
       
การเรียงลำดับอักษรของแป้นพิมพ์ในปัจจุบันนั้น
มีที่มาจากข้อจำกัดที่เกิดกับเครื่องพิมพ์ดีดในยุคแรกๆ
ที่ยังจัดแป้นพิมพ์แบบเรียงตามลำดับตัวอักษรคือ
เมื่อคนที่พิมพ์ดีดได้คล่องและเร็วมาพิมพ์จะทำให้ก้านพิมพ์ดีดขัดกันอยู่เสมอ

ต่อมา คริสโตเฟอร์ ลาแธม โชลส์ วิศวกรเครื่องกลชาวสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดสมัยใหม่รายแรกและได้รับสิทธิบัตรในปี 1868
จึงทำการเรียงลำดับตัวอักษรเสียใหม่ด้วยการแยกตัวอักษร
ที่มักใช้มาผสมเป็นคำร่วมกันบ่อยๆ ออกไปอยู่กันคนละฝั่งของแป้นพิมพ์
เพื่อทำให้นักพิมพ์ดีดพิมพ์ได้ช้าลงกว่าเดิม จะได้ไม่เกิดปัญหาก้านพิมพ์ขัดกันอีก
       
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกผู้คนยังคงไม่นิยมเครื่องพิมพ์ดีดของเขามากนัก
ทำให้โชลส์ตัดสินใจขายสิทธิบัตรดังกล่าวให้กับทางบริษัทเรมิงตันอาร์มคอมพานี

ในปี 1973 ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่ทางเรมิงตันผลิตเครื่องพิมพ์ดีดออกมาจำหน่าย
ความนิยมในตัวเครื่องพิมพ์ดีดกลับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
       
ในเวลาต่อมา ปรากฏว่ามีผู้พยายามจัดเรียงตัวอักษรบนแป้นพิมพ์เป็นแบบต่างๆ
ซึ่งแบบที่ได้รับความนิยมมากหน่อยก็อย่างเช่น แบบ DVORAK
ซึ่งเคยมีการบอกกล่าวกันว่าการเรียงในรูปแบบนี้จะทำให้พิมพ์เร็วขึ้น
จนทางห้างร้านบริษัทหลายแห่งเริ่มนิยมกันอยู่พักหนึ่ง

แต่ว่าในปี 1956 ทาง General Services Administration ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ
ที่มีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่หน่วยงานอื่นๆของรัฐ
ได้ทำการศึกษาการจัดแป้นพิมพ์ทั้ง 2 แบบ และก็พบว่า การจัดแบบ QWERTY นั้น
ทำให้พิมพ์ได้เร็วเท่ากับหรือมากกว่าแบบ DVORAK
ทำให้ความนิยมของการจัดแป้นพิมพ์แบบ DVORAK ลดลงไป
       
ทั้งนี้ หลายคนอาจจะคิดว่า ปัจจุบันเราก็ไม่ได้นิยมใช้พิมพ์ดีดแบบเมื่อก่อนแล้ว
ดังนั้นปัญหาเรื่องก้านพิมพ์ขัดกันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อไป
แล้วทำไมเราจึงไม่เปลี่ยนกลับไปใช้แป้นพิมพ์แบบเรียงตามตัวอักษรเหมือนก่อน

ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้หลายคนคงพอเดากันได้ว่าเป็นเพราะ
เราคุ้นเคยและเคยชินกับแบบ QWERTY
จนไม่อยากจะกลับไปเสียเวลาเริ่มนับหนึ่งกับแบบเดิมเสียแล้ว
47  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราเชื่อเรืองผี เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2010, 11:49:31 am

นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราเชื่อเรืองผี
เรื่อง ที่จะเล่าเปนประสบการณ์ของเราโดยตรง มันมีความเป็นมาต่อเนืองกัน มีเหตุและมีผล เราอยากให้อ่านจนจบนะเพราะลายละเอียดมันเยอะอะ ปกติเรืองโดนผีอำอะเราเจอบ่อยทุกรูปแบบนะแต่ไม่รุนแรง แค่มาขอส่วนบุญแล้วก็ไปเราเจอจนเปนความเคยชินแล้ว ก็มีเปนผีเด็ก ผีเพื่อนเราที่ผูกคอตาย มันจะมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่เรามีสติครบถ้วน

แต่ก็ไม่เคยเจอผีตัวเปนนะ เราเลยเชื่อว่าจิตปรุงแต่ง เราก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เราก็ทำตามในสิ่งที่เราพูดตลอดนะถ้าเราเจอผีอำแล้วเขามาขอส่วนบุญ เราก็ทำให้ เรากับแฟนกำลังจะสร้างบ้านปีที่แล้วนะเริ่มสร้างเดือน ธ.ค2552 แต่ตัวเราเองไม่ได้อยู่ดูแลเพราะเราอยู่ต่างประเทศ ให้พ่อแม่ดูแลบ้านการก่อสร้างแทน วันที่เริ่มเอาเสาลงอะ เราก็ฝันเห็นตัวเองคอขาด มีแต่คอไม่มีหัว เราก็กลัวปรึกษาเพือนว่าจะทำยังไงดี เพื่อนบอกให้จุดธุปเก้าดอกบน ว่าจะไปบวชชีพราม 7วัน และทำบุญ 9 วัด

ก็ทำตามที่เพื่อนบอก แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุนะเพราะเพือนที่สนิทมากก็ดันมาผุกคอตายอีก เลยคิดว่าเพือนอาจจะมาเอาไปอยู่ด้วย คิดไปเรืองนี้เลย พอโทรกลับบ้านแม่บอกว่าเจ้าที่แรงท่านหวงที่ไม่ให้สร้างทับที่ทับทาง แบบว่าปู่โสมเฝ้าทรัพย์อะ และตรงนั้นก็เปนทางผีผ่าน แม่บอกว่าร่างทรงต่อรองให้ว่า ถ้าจะสร้างท่านขอศาลและก็วงดนตรี เราก็บอกว่าได้ไม่มีปัญหา บอกจะจัดโต๊ะจีนด้วยเลย พอวันปีใหม่วันที่ 1 มกราคม 2553 เราก็ฝันว่าบ้านที่สร้างถูกไฟใหม้ มีเด็กตายในบ้าน ไฟลุกสูงมาก

เราก็กังวล ผ่านไปได้ไม่กี่อาทิตย์ เราโดนผีอำวันนั้นนะ เปนวันหยุด เราไม่ได้ไปทำงานกะจะนอนตื่นสายหน่อย ปกติเวลา ระหว่าง 7-9โมงเช้านิเราจะโดนผีอำบ่อยนะ เราก็ตื่นรอบแรกดูนาพิกา ก็เปนเวลา 7 โมงเช้า เลยกะจะนอนต่ออีกอะเพราะวันหยุด พอหลับตาได้สัก 5 วินาทีนิแระ ยังไม่ได้หลับเลย เราก็โดนผีอำ แต่เรามีสติทุกอย่าง แต่มันรวดเร็วมากนะไม่ทันได้คิดอะไรก็รู้สึกเหมือนมีควันสีขาวอะมาทับตัว หนักมากแต่ก็ดิ้นต่อสู้แล้วควันก็ไหลเข้าปากเข้าจมูกคิดว่าคงไม่รอดแล้วละ เขาตั้งใจมาฆ่า ไม่ได้มาขอส่วนบุญ ก่อนจะขาดใจ เราก็ระลึกว่าจะไปบวชชีพราม ควันก็จางลงไหลออกจากปากจากจมูกพอเริ่มหายใจได้

เราก็ท่องพุทโธ พุทโธ มีพุทโธในใจตั้งใจให้มั่นคง แล้วเราก็สะบัดจนเราหลุด เลยไม่นอนต่อแล้ว กลัวตาย โทรไปบอกแม่ หนูกลัว เลยขอแฟนกลับบ้านเดือนเมษา อยากไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ด้วยขอขมาลาโทดกะพ่อแม่ และก็ไปดูบ้านที่สร้างด้วย และตั้งใจไปบวชชีพรามด้วยนะคะกับทำบุญ9วัด อย่างที่เคยได้บนไว้นั้นนะ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดกับเราก็เกิดสิ่งที่เราไม่เคยเชื่อไม่เคย เห็นก็ได้เห็น

ไว้มาเล่าใหม่นะคะ จะเล่าเรืองเจ้าที่เข้าร่่างน้องสาวคนเล็กให้ฟังคะ และนิแระคะที่เปนจุดเปลี่ยนและเชือว่า ผีวิญญานมีจิงอะคะ
ปล.อ่าน ต่อ ในเรือง เจ้าที่เข้าร่างน้องสาวคนเล็ก

เป็น FWD mail หาที่ไปที่มาไม่ได้ครับ เอามาให้อ่านกัน
48  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พม.แนะ แก้กฏหมายทำแท้ง เอาผิดผู้ชายด้วย เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2010, 11:15:36 am
พม.แนะ แก้กฏหมายทำแท้ง เอาผิดผู้ชายด้วย

อิสสระ สมชัย

อิสสระ เสนอหากแก้กฎหมายทำแท้งควรเอาผิดผู้ชายที่ทำให้ท้องด้วย

กรุงเทพฯ 24 พ.ย.- นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวถึงความเห็นจากหลายฝ่ายเรื่องการแก้ไขกฎหมายทำแท้ง เนื่องจาก การพบซากทารกจากการทำแท้งผิดกฎหมายจำนวนมาก โดยยืนยันว่า การทำแท้งเป็นเรื่องผิดศีลธรรม แต่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 305 ระบุว่า หากการทำแท้งนั้นเป็นการกระทำของนายแพทย์ และผู้ทำแท้งจำเป็นต้องทำ

เนื่อง จากสุขภาพ หรือมีครรภ์เนื่องจากถูกข่มขืน ถูกกระทำชำเรา อนาจาร ฯลฯ ผู้ที่ทำแท้งไม่มีความผิด  หากจะมีการแก้ไขกฎหมาย เสนอให้ควรมีการนำผู้ที่ทำให้ท้องมาลงโทษด้วย เนื่องจากผู้หญิงที่ตัดสินใจไปทำแท้งเถื่อน เป็นผู้ตกอยู่ในสภาพจำยอม เมื่อท้องแล้วครอบครัวไม่ยอมรับ หรือเมื่อผู้ชายที่ทำให้ท้องรู้ว่าท้อง เลยตีจากเป็นต้น

ส่วนกรณีมีสื่อลงข่าวว่ามีกลุ่มไฮโซไปทำแท้งที่ ประเทศเพื่อนบ้านนั้น นายอิสสระ กล่าวว่า การกระทำแบบนั้นเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ แต่เป็นห่วงว่า เมื่อมีเงินแล้วไปทำเช่นนั้น ถือเป็นค่านิยมที่ผิด.

    *

49  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 10 วิธีหนีร่างกายเสียสมดุล .. เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 01:13:14 pm
10 วิธีหนีร่างกายเสียสมดุล ...

 

ด้วย ชีวิตของคนทำงานที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด ทำให้ต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายที่รุมเร้าเข้า ทำร้ายตัวเองอย่างช้าๆโดยไม่รู้ตัว จากพฤติกรรมต่างๆ ของตัวเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระดูกสันหลังที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกาย

ดังนั้น ก่อนที่โครงสร้างร่างกายจะเสียสมดุล เราควรต้องเปลี่ยนวีถีชีวิตตัวเองใหม่ใส่ใจกับตัวเองให้มากขึ้น เพื่อให้ร่าง กายอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพตลอดอายุขัย ซึ่ง"เพ็ญพิชชากร แสนคำ"นักกายภาพบำบัดจากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย ซีเคร็ท เชพ เวลเนส เซ็นเตอร์ ได้ สรุปพฤติกรรมที่ทำให้โครงสร้างร่างกายเสีย สมดุล เอาไว้ 10 ข้อดังนี้
1. การนั่งไขว่ห้าง

จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคดอย่างแน่นอนหรืออาจจะคดแล้วก็ได้โดย ที่ไม่รู้ตัว

2. การนั่งกอดอก

ทำ ให้หลังช่วงบนสะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูก คอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือด ที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง และจำกัดการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะหรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้

3. การนั่งหลังงอ/นั่งหลังค่อม

เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการ คั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น

การ นั่งเก้าอี้ส่วนใหญ่จะชอบนั่งแบบครึ่งๆก้น ซึ่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ แต่ในทางตรงข้าม ถ้านั่งให้เต็มก้นเต็มเบาะ คือเลื่อนก้นให้เข้าในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่

5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว

การ ยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่า สะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกายไม่ทำให้กล้?ามเนื้อข้างใด ข้างหนึ่งต้องทำงานหนักมากเกินไป ในทางตรงข้าม หากยืนพักขาหรือลงน้ำหนักขาไม่เท่ากัน จะทำให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยวส่งผลให้กระดูกสันหลังคด

6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม

ควร ยืนหลังตรงแขม่วท้องเล็กน้อย ขณะยืน เดิน หรือนั่ง ให้พยายามแขม่วท้องเล็กน้อยโดย ให้มีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอด หากเป็นไปได้ควรทำตลอดเวลาเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและ ทำให้ไม่ ปวดหลัง

7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง

จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลังและการมี โครงสร้างร่างกายที่ผิด

8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว

ไม่ ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือ กระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆกัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ตัวคุณต้องทำงานหนักอยู่ เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

9. การหิ้วของด้วยนิ้ว

การ ใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริงๆแล้วกล้ามเนื้อในมือ เป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักคือการใช้หยิบ,จับโดยไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการ เสียดสีและเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหากหิ้วหนักมากๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่นๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้

10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง

ท่า นอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบขนานกับ เพดานไม่แหงนหน้าหรือก้มคอมากเกินไป หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง
50  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฟังผิด เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 11:35:58 am


ฟังผิด

โทรศัพท์ดังขึ้นในเย็นวันหนึ่งที่ศูนย์ชาวพุทธของเรา

“อาจารย์พรหมอยู่ไหม?” คนที่โทรมาถามเสียงเครียด

หญิงชาวเอเชียผู้นอบน้อมซึ่งเป็นคนรับโทรศัพท์ตอบว่า “เสียใจค่ะ ท่านกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง
กรุณาโทรกลับมาอีกครั้งในสามสิบนาทีนะคะ”

คนโทรมาคำรามก่อนที่จะว่างหูไปว่า “ฮึย ! เขาจะตายภายในสามสิบนาทีนี้แหละ !”

ยี่สิบนาทีต่อมา เมื่ออาตมาออกมาจากห้อง
หญิงสูงวัยชาวเอเชียคนนั้นยังคงนั่งสั่นอยู่ด้วยความกลัวและใบหน้าที่ซีดเผือด
คนอื่นๆ กำลังล้อมเธออยู่ พยายามที่จะหาสาเหตุว่ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น
แต่เธอก็ตกใจเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้
เมื่ออาตมาปลอบโยนเธอ เธอจึงโพล่งออกมาว่า “มีคนกำลังจะมาฆ่าท่าน!”

อาตมาเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำแก่หนุ่มชาวออสเตรเลียนคนหนึ่ง
ตั้งแต่เขาเพิ่งทราบว่าเขาเป็นเอชไอวีบวก อาตมาสอนให้เขานั่งสมาธิ
และสอนกุศโลบายที่จะช่วยให้เขารับมือกับโรคร้ายได้ ขณะนี้เขากำลังจะตาย
อาตมาไปเยี่ยมเขาเมื่อวานซืนและคาดว่าจะได้รับโทรศัพท์จากคู่ขาของเขาเมื่อใดก็ได้
อาตมาจึงเดาได้ว่าโทรศัพท์นั้นความจริงหมายถึงใคร มันไม่ใช่อาตมาที่จะตายภายในสามสิบนาที
หากแต่เป็นชายหนุ่มผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์ต่างหาก

อาตมารีบไปที่บ้านเขาและทันพบเขาก่อนตาย
เคราะห์ดีที่อาตมาได้อธิบายเรื่องความเข้าใจผิดนี้ให้หญิงชาวเอเชียที่กำลังตกใจกลัวได้รู้
ก่อนที่เธอจะตายไปด้วยจากการช็อก!

บ่อยครั้งเพียงใดที่สิ่งที่คนพูดกับสิ่งที่เราฟังไม่ตรงกัน?
51  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผลไม้มงคลที่กินแล้ว จะโชคดี ๆ ตลอดทั้งปี ( ว่างั้น ) เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 01:15:32 pm
จาก fwd mail

ผลไม้มงคล ที่กินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี
  อีกแค่อาทิตย์กว่าๆ ก็จะถึง “วันตรุษจีน”  (14 ก.พ.) แล้วนะจ๊ะ ซึ่งวันดังกล่าวถือว่าเป็นประเพณีที่มีความสำคัญมากสำหรับชาวจีน เพราะจะได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในปีใหม่ที่มาถึง ได้พบปะญาติพี่น้องที่อาจจะไม่ได้เจอกันมานาน และได้กราบไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย


                ซึ่งก่อนที่จะถึงวันตรุษจีนนั้นก็ต้องมีการเตรียมของไหว้มากมายไม่ว่าจะ อาหารคาวหวาน ขนม ผลไม้ กระดาษเงิน กระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษ ฯลฯ ดังนั้นเพื่อให้เข้ากับประเพณีที่จะมาถึงนี้ พี่ปัดจึงมี “ผลไม้มงคล 8 อย่าง” ที่มีความหมายดีๆ มาฝากน้องๆ ชาว Dek-D.Com จ้ะ โดยเริ่มต้นจาก.....

  ผลไม้มงคล ที่กินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี    
              สาลี่ ทราบกันรึเปล่าจ๊ะว่าเจ้าผลไม้ลูกสีเหลือง ที่มีรสชาติหวานอร่อยนั้น ชาวจีนถือว่าเป็นผลไม้มงคล เพราะมันมีความหมายว่า “การรักษาคุณงามความดีเอาไว้อย่างมั่นคง และรักษาโชคลาภเงินทองไม่ให้เสื่อมถอยไปไหน”

             องุ่น  ผลไม้ที่มากันเป็นช่อพวง และมีรสชาติหวานนั้น มีความหมายว่า “ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหน้าที่การงานและชีวิต”

             แอปเปิ้ล “มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง” นี่คือความหมายของผลไม้ชนิดนี้ และการกินแอปเปิ้ลเป็นประจำทุกวัน ยังช่วยเรื่องสุขภาพได้มากมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การบำรุงหัวใจ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และลดความอยากอาหารซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย 
     
           ลูกท้อ  สำหรับชาวตะวันตกแล้ว พวกเขารู้จักผลไม้ชนิดนี้ในชื่อว่า Peach แต่สำหรับชาวจีนแล้ว พวกเขาเชื่อว่าผลไม้ชนิดนี้เป็นเครื่องหมายของ “ความยั่งยืน” และเป็นผลไม้ชั้นสูง สำหรับบูชาเทพบนสวรรค์

            พลับ  เป็นไม้ผลยืนต้นขนาดใหญ่ ที่ผลพลับนั้นจะมีรสชาติหอม หวาน อร่อย และมีความหมายที่เป็นมงคลว่า “จิตใจที่หนักแน่นอย่างมั่นคง สามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ได้ไปอย่างราบรื่น มีความขยันมั่นเพียรเป็นที่ตั่ง”

            ทับทิม เพราะทับทิมเป็นผลไม้ที่มีเมล็ดมาก ดังนั้นจึงมีความหมายว่า “การมีลูกชายมากๆ” นั้นเอง นอกจากนี้ชาวจีนยังมีความเชื่อว่า ใบทับทิม เป็นใบไม้สิริมงคลที่ใช้พรมน้ำ และเอาไว้ติดตัวเพื่อคุ้มครองกันภัยจากภูติผีปีศาจอีกด้วย

              ส้ม   เป็นผลไม้ที่มีความหมายว่า “โชคดี ประสบแต่สิ่งดีๆ เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว” ซึ่งในส้มนั้นนอกจากจะมีวิตามินซีที่สูงแล้ว เปลือกส้มที่มองภายนอกว่าไม่มีค่าก็สามารถนำมาบีบหรือคั้นเอาน้ำมันหอม ระเหยออกมาดม หรือนวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการผ่อนคลาย และกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทได้อีกด้วย

               เกาลัด และพุทรา  สำหรับในงานแต่งงานแล้ว ผลไม้ 2 ชนิดนี้จะมีความหมายว่า “ขอให้มีบุตรที่ดี สุภาพ มีมารยาทดีในเร็ววัน” ซึ่งเกาลัด มีสรรพคุณช่วยบำรุงไต เสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระเพราะอาหารและลำไส้ ส่วนพุทรา เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ช่วยบำรุงเลือด และร่างกาย 
    

ผลไม้มงคล ที่กินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี
ทราบความหมายของผลไม้มงคลทั้ง 8 อย่าง กันไปแล้ว

52  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จะคลอดลูกไม่มีใบอนุญาตไม่ได้ ที่ประเทศจีน เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 10:18:46 am
เศร้าแท้!!! แม่จะคลอดลูกที ต้องมีใบอนุญาต !! ไม่คิดชีวิตเด็กเลย?


ฝันร้ายที่ทำลายขวัญกำลังใจของครอบครัวหนึ่ง เมื่อนางเฉินได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่า ลูกตนที่คลอดออกมา "เป็นทารกที่ไร้ลมหายใจ" ทว่า 10 ปีให้หลัง จากทะเบียนประวัติผู้ป่วยเก่าเหลือง ได้คลี่คลายความจริงบนความเศร้าที่มากกว่าเดิม ครั้งนี้ต่อให้เธอจะสู้จนชนะคดีในชั้นศาล ก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะชนะชะตากรรมและทำให้ลูกของเธอมีชีวิตฟื้นขึ้นมาอีก

10 ปีที่ผ่านมา ภาวนาแต่ว่า "ขอให้มีลูก"
     
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ยามที่เห็นเด็กๆกระโดดโลดเต้นตามท้องถนน นางเฉินกลับมีความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย สองสามีภรรยาเริ่มไปปรึกษาหมอที่โรงพยาบาล เพื่อจะได้มีลูกให้เร็วที่สุด ไม่ว่าโรงพยาบาลระดับอำเภอ ระดับเมือง หรือระดับมณฑล ขอเพียงมีคนบอกว่าแผนกสูตินรีของที่นั้นดี หรือมียาที่กินแล้วได้ผล นางเฉินจะลองทุกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่ตำรับยาพื้นบ้าน แต่แล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะท้องเสียที
     
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ความหวังเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน นางเฉินเล่าว่า แม้แต่ฝัน ยังฝันว่ามีลูกเป็นของตัวเอง แต่พอตื่นขึ้นมา ก็พบความจริงว่า เธอยังไม่มีลูกน้อยในอ้อมอก
     
ครอบครัวของเฉินมีฐานะธรรมดาสามัญ ภาระต่างๆก็อาศัยเพียงรายได้จากธุรกิจแปรรูปของสามี กระนั้นก็ตาม เพื่อจะได้มีลูกสักคน จะต้องทุ่มเงินสักเท่าไร สองสามีภรรยาก็ไม่เคยเสียดาย ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งคู่จ่ายเงินไปแล้วหลายแสนหยวน สองปีก่อน พวกเขายังเคยทดลองทำเด็กหลอดแก้ว โดยคิดว่าน่าจะเป็นความหวังสุดท้ายที่จะทำให้ฝันกลายเป็นจริง

10 ปีก่อน หลังคลอด "ลูกตาย" ก็ไม่ท้องอีกเลย
     
ย้อนเวลาไปเมื่อ 10 ปีก่อน นางเฉินเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านในอำเภอหนิงไห่ หลังจากฝ่าฟันความทุกข์ยากนานากับชายคนรักมากว่า 4 ปี ในที่สุดทั้งคู่ได้วางแผนจะปลูกเรือนหอที่หนิงปอ เมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียง แล้วค่อยแต่งงานมีลูก ปี 1998 ในเวลาที่ทั้งสองเพิ่งซื้อเรือนหอได้ตามแผนที่วางไว้ นางเฉินกลับพบว่าตัวเองตั้งท้องได้สองเดือน งานแต่งจึงถูกเร่งรัดให้เร็วขึ้นกว่าที่ตั้งใจไว้เดิม
     
เรื่องนี้ทำให้นางเฉินทั้งดีใจและกังวล เพราะตอนนั้น การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานเข้มงวดมาก ถ้าต้องการจดทะเบียนสมรส จะต้องผ่านการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน ซึ่งถ้าหากตรวจพบว่าตั้งท้อง เกิดทางการไม่ให้เอาเด็กไว้จะทำอย่างไร !?
     
ด้วยความกังวลนี้เอง สองสามีภรรยาจึงตัดสินใจไม่ไปจดทะเบียนสมรส โดยตกลงกันว่า ขอจัดพิธีตามธรรมเนียมประเพณีให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยจัดการเรื่องทะเบียนสมรสในภายหลัง
     
ใบทะเบียนสมรสของจีนนั้น มิใช่เป็นเพียงสัญญาแห่งรักของคนสองคนที่ตัดสินใจจะร่วมหอลงโรงกันเท่านั้น หากแต่เกี่ยวพันกับการก่อร้างสร้างครอบครัวใหม่ ซึ่งจะเป็นหลักประกันทางกฎหมายที่สำคัญสำหรับทุกชีวิตในบ้าน ที่สำคัญเป็นหลักฐานที่ขาดไม่ได้สำหรับ "การขอใบอนุญาตคลอดบุตร" เมื่อคราวที่ภรรยาตั้งครรภ์ พร้อมกันนั้นยังต้องนำไปใช้ขอใบรับรองว่า "เป็นการแต่งงานครั้งแรก และเป็นการมีบุตรครั้งแรก" เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายลูกโทนของจีน
     
เมื่อไม่มีใบทะเบียนสมรสที่ว่าในเวลานั้น ทั้งคู่จึงได้แต่เตรียมใจรอรับปัญหาที่จะตามมา รวมทั้งค่าปรับต่างๆเมื่อถึงกำหนดคลอด
     
หลัง 40 สัปดาห์ผ่านไป (ตามทะเบียนประวัติผู้ป่วย) ในที่สุดช่วงเวลาสำคัญก็มาถึง ทางบ้านช่วยกันพานางเฉินไปส่งยังแผนกสูตินรีเวชของโรงพยาบาลหมายเลข 1 แห่งอำเภอหนิงไห่ ทว่าหลังคลอด กลับไม่มีใครในครอบครัวแม้แต่คนเดียวที่ได้เห็นหน้าสมาชิกใหม่ ตอนนั้นพวกเขาได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่า "เด็กเสียชีวิตขณะคลอด"     

ได้ฟังดังนี้ นางเฉินราวจมลงสู่หุบเหวของความทุกข์ในนาทีนั้น ทางบ้านได้แต่ปลอบโยนว่า ไม่เป็นไร ยังมีโอกาสที่จะมีลูกได้อีก ด้วยความหวังเช่นนี้เอง ได้ช่วยเป็นแรงผลักดันให้นางเฉินตะกายพ้นจากหุบเหวแห่งทุกข์ขึ้นมาได้ แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือ นับแต่นั้นมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว นางเฉินก็ไม่เคยตั้งท้องอีกเลย

10 ปีให้หลัง จึงพบความลับที่แสนขมขื่น
     
นางเฉินไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ชีวิตนี้ตนจะต้องมีลูกโดยการทำเด็กหลอดแก้ว เดือนกรกฎาคม การผสมเทียมครั้งที่ 3 โดยโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในหนิงปอประสบความล้มเหลว แต่ก็ไม่ได้ล้มความตั้งใจที่จะมีลูกของนางเฉินได้ แพทย์จึงขอดูประวัติการตั้งครรภ์ครั้งก่อนเพื่อประกอบการรักษา ดังนั้น วันที่ 24 กรกฎาคม นางเฉินจึงกลับไปยังโรงพยาบาลเมื่อครั้งที่เธอไปคลอดลูก เพื่อขอคัดทะเบียนประวัติผู้ป่วยของตนเอง เมื่อได้มาแล้ว เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะดูยังไงก็ดูไม่เข้าใจ
     
ราวสิ้นเดือนกรกฎาคม ผู้วชาญท่านหนึ่งได้พิจารณาทะเบียนประวัติของเธอแล้ว กลับพบความลับที่ทำให้น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ 10 ปีก่อน ลูกของนางเฉินเป็นทารกที่อาการครบ 32 จากใบบันทึกการผ่าตัดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 1999 มีสูตินรีแพทย์ที่ปฏิบัติการถึงสามท่าน
     
ในขั้นตอนการผ่าตัด คุณหมอได้บันทึกไว้อย่างชัดเจน โดยมีข้อความบางส่วนว่า "คลอด ออกมาเป็นทารกเพศชายสมบูรณ์ (แต่ไม่มีใบอนุญาตคลอดบุตร ทางอำเภอไม่อนุญาตให้ทารกมีชีวิตรอด) ดังนั้น จึงไม่ได้ทำการกำจัดของเหลวที่คั่งค้างในระบบทางเดินหายใจ 2 นาทีต่อมาทารกจึงได้เสียชีวิตลง"
     
เมื่อทราบความจริงที่ถูกปิดบังมาตลอด 10 ปี นางเฉินก็แทบจะเสียสติ ถ้าไม่ใช่เพราะไปคัดทะเบียนประวัติผู้ป่วยออกมา เธอย่อมไม่มีทางรู้เลยว่า เธอได้ให้กำเนิดลูกชายที่มีลมหายใจเป็นปกติ นางเฉินให้สัมภาษณ์กับนักข่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้นพร้อมน้ำตานองหน้าว่า "ทำไมถึงไม่ยอมให้ลูกฉันมีชีวิตรอดออกมา !?"

ข้อมูลจาก

Manager Online
53  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พ่อครับ ขอยืมเงิน หน่อยครับ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:30:16 pm

"พ่อครับ ขอยืมตังค์หน่อย"
เสร็จจากงานถึงบ้าน เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว เขาเดินเข้าบ้าน ที่ดูเงียบเหงา เนื่องจากภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย ทิ้งลูกชายคนเดียวไว้ กับเขาให้หาเลี้ยงลูกตามลำพัง ดีว่าเจ้าหนูน้อยพอจะช่วยตัวเองได้บ้าง อาหารก็กิน อาหารปิ่นโต ที่ผูกประจำ หากินเองได้ ทำให้ไม่เป็นภาระมากมายนัก

เข้ามาในบ้าน เหงื่ออาบแก้ม ยังไม่ทันได้พัก ผู้เป็นพ่อ เห็นหน้าลูกชายวัยซน ที่รอรับหน้า เอ่ยปากทัก "พ่อครับ วันนี้ทำงานเหนื่อยมั้ยครับ"

"เหนื่อยสิลูก แล้ววันนี้ทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอ" ผู้เป็นพ่อตอบเนือยๆ พร้อมกับถาม ต่อด้วยความเคยชิน

"เสร็จหมดแล้วครับ คือ ผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามพ่อน่ะ พ่อว่างหรือยังครับ" ลูกชาย ตัวน้อย ถามต่อ

"เดี๋ยวพ่อจะไปอาบน้ำ หาข้าวกินข้าวซักหน่อย แล้วคงจะเข้านอน วันนี้เหนื่อย เหลือเกิน ว่าแต่แก จะถามอะไรพ่อเหรอ" ผู้เป็นพ่อ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

"คือผมอยากรู้ ว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันละเท่าไร ครับ" ลูกชาย ถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ

หันมามองหน้าลูกชาย พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แล้วผู้เป็นพ่อ แต่ก็ตอบไปว่า" วันล่ะ สี่ร้อย"

"งั้นผม ขอยืม ตังค์ พ่อ ซักสองร้อยได้มั้ยครับ " ลูกชาย ตัวน้อย เอ่ยปาก ด้วยสายตาวิงวอน

"หา แกว่าไง นะ" ผู้เป็นพ่อ ขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ ก่อนที่จะหันมา พูดกับ ลูกชายด้วยเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม " นี่ฟังนะ แกคิดว่าเงินทอง หาได้ง่ายๆเหรอ กว่าพ่อจะได้เงิน สี่ร้อยบาท ต้องทำงาน เหนื่อยตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่ พอกลับมาถึงบ้าน เจอแก รอขอยืมเงิน พ่อง่ายๆ แบบนี้นี่นะ แกลองไปคิดดูให้ดี สิ ว่า แกทำประโยชน์อะไรให้พ่อบ้าง พ่อถึงจะต้องให้ เงินสองร้อยนี่ ให้แกยืม"

เด็กชาย ยืนนิ่ง มองหน้าพ่อ ไม่มีเสียงหลุดออกจากปาก แต่น้ำตาไหลซึม ลงอาบร่องแก้มทั้งสองข้าง ก่อนที่จะหันหลังเดินกลับห้องตัวเอง อย่างซึมเซา



หลังจากอาบน้ำเสร็จ แวะเข้าครัว หาข้าวปลากินเรียบร้อย เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ เดินไปที่ระเบียง ความรู้สึกเคร่งเครียดที่ได้รับ มาจากงานนอกบ้านเริ่มผ่อนคลาย คิดไปถึงอดีตที่ผ่านและงานที่ทำมาทั้งวัน แล้วก็ย้อนกลับคิดไปถึงลูกชายตัวน้อย

ลูกเป็นเด็กดี ไม่เคยเกเร ไม่เคยเอ่ยปากขอเงิน เพิ่ม นอกจากเงินค่าขนม ที่เขาให้ประจำวันเท่านั้น แต่วันนี้ทำไมถึงเอ่ยปากยืมเงิน

เมื่อสักครู่ เขาเหนื่อยเกินไป หรือ เครียดเกินไปหรือป่าว ถึงได้ใช้อารมณ์ กับลูกไปอย่างนั้น เมื่อได้คิด เขาดับบุหรี่ แล้วเดินไปที่ห้องลูกชาย ไฟในห้องนอนดับแล้ว

เมื่อเปิดประตูเข้าไป เอื้อมมือเปิดไฟในห้อง หนูน้อยนอนตะแคงหน้า ตายังคงลืมจ้องมองมาที่ประตู แก้มที่แนบกับหมอน ชุ่มด้วยน้ำตา พร้อมเสียงสะอื้นเบาๆอยู่คนเดียว

เขาเดินไปนั่งที่ขอบเตียงมือ ลูบผม ลูกชายเบาๆ พร้อมกับเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเครือ จุกคอ

"พ่อขอโทษ นะลูก เมื่อกี้พ่อเหนื่อยมามากเลยใช้อารมณ์ กับลูกมากไปหน่อย จริงๆตะกี้พ่อไม่ได้ถามลูกด้วยซ้ำว่า ลูกอยากยืมเงินพ่อไปทำไม ลูกอาจจะมีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้เงินก็ได้

เงินแม้ว่าจะหาได้ลำบาก ไม่ได้ได้มาง่ายๆ แ ต่ถ้าลูกมีเหตุผลเพียงพอ พ่ออาจจะให้ยืมก้อได้ เพราะว่า ลูก น่ะสำคัญสำหรับพ่อเหนือ สิ่งอื่นใด และพ่อ รักลูกจ้ะ"

"ว่าแต่ ไหนลูกลองบอกพ่อสิว่า ลูกอยากยืมเงินสองร้อยไปทำอะไร" ผู้เป็นพ่อถามลูกชายที่มองหน้าพ่อนิ่ง ด้วยน้ำเสียงปราณี เต็มเปี่ยมด้วยความรัก

ลูกชายตัวน้อย ส่งเสียงสะอื้นจากลำคอ "พ่อครับ ตั้งแต่แม่ตาย ผมเห็นพ่อต้องทำงานหนัก เพื่อหาเงินทุกวัน จนไม่ได้พัก ไม่ได้อยู่กับผมเลย เราแทบไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกัน

ผมเลย ค่อยๆ เก็บค่าขนมของผม ไว้ตลอดมา จนถึงตอนนี้ผมเก็บได้สองร้อยบาทแล้ว แต่พอผมรู้จากพ่อว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันล่ะสี่ร้อย ผมจึงอยากยืมพ่อเพิ่มอีกสองร้อย ให้เป็นสี่ร้อย เพื่อจะได้ใช้เป็นค่าจ้างให้พ่อได้พัก ได้อยู่กับผม ซักวันนึงครับ"



เงินทอง อาจจะจำเป็น ต่อการดำรงชีวิต

แต่ ครอบครัว ยังคงต้องการ ความรัก ความอบอุ่น และ เวลาที่มีให้ แก่กัน

"อย่าห่วงงานจนลืม ครอบครัว และ คนที่คุณรัก "
54  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เทพเจ้าโชคลาภทั้ง 7 เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 02:57:20 pm
 

  คือเหล่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภซึ่งเป็นที่นับถือกันมากในประเทศญี่ปุ่น ตามเทพนิยายและเรื่องเล่าต่อๆกันมา เทพทั้ง 7 มักสื่อออกมาในรูปเครื่องรางต่างๆทีจำหน่ายตามศาลเจ้า หรือ ของรูปแบบอื่นๆ ซึ่งเทพเจ้า มักเดินทางจากสวรรค์มาโดยเรือบิน

      เอบิซุ: เทพแห่งชาวประมงและการค้าขาย มักพบเห็นท่านถือปลาและเบ็ดตกปลาเสมอ เอบิซุเป็นเทพเจ้าองค์เดียวในหมู่เทพทั้ง 7 ที่มีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น เดิมเทพองค์นี้มีชื่อว่า ฮิรุโกะ ซึ่งแปลว่า บุตรแห่งสายน้ำ ตามร้านอาหารทะเลก็มักนำรูปปั้นเอบิซุมาประดับด้วย

      ไดโกกุไดโกกุ: เทพแห่งความมั่งคั่ง การเพาะปลูก และเทพคุ้มครองข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน โดยเฉพาะในห้องครัว เป็นเทพที่มีต้นกำเนิดตามความเชื่อของลัทธิเต๋า (หรือตามตำนานอินเดียคือ พระศิวะ)

      มักเห็นท่านถือค้อนเงินและถือถุงข้าวสาร พร้อมใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใส ในบางครั้งจะพบหนูตัวเล็กๆอยู่ข้างๆท่านด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ ตามร้านขายของมักนำท่านมาประดับเพื่อเป็นสิริมงคล

      บิชามอนบิชามอน: เทพแห่งอัศวินและเหล่านักรบ ตามตำนานของญี่ปุ่นท่านเป็น 1 ใน อสูรปกครองศักดิ์สิทธิทั้ง 4 หรือ เต่าดำแห่งทิศเหนือ นั่นเอง หรือตามตำนานอินเดียในนามของ ท้าวกุเวรเทพดาประจำทิศเหนือ

      และตามตำนานอื่นๆในเอเชียด้วยชื่อต่างๆ ซึ่งล้วนแต่แปลว่า ผู้ฟังมาก (เชื่อกันว่าท่านเป็นเทพที่คอยปกป้องพระพุทธเจ้าขณะที่พระองค์แสดงพระธรรม ที่เขาพระสุเมรุ)ตามตำนานญี่ปุ่นบิชามอนเท็น

 

      เป็นเทพแห่งสงครามผู้ขับไล่ปีศาจต่างๆที่เป็นอัปมงคล และรวมถึงปกป้องทรัพย์สินในบ้านจากภัยอันตรายต่างๆ โดยมือข้างหนึ่งจะถือหอกเป็นอาวุธ ส่วนอีกข้างหนึ่งถือเจดีย์อันเล็กๆ

     เบ็นเท็นเบ็นเท็น: เทพเจ้าองค์เดียวที่เป็นผู้หญิง เป็นเทพแห่งศิลปะและความงาม มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย คือ ท้าวลักษมี มักพบท่านในลักษณะของนางฟ้าที่กำลังเล่นเครื่องดนตรีเครื่องสายของญี่ปุ่น

     ฟุกุโรกุยูฟุกุโรกุยู: เทพแห่งความสุข ความมั่งคัง และอายุยืน เป็นเทพอาวุโสมีเครายาว หน้าผากสูง มีสมุดที่บันทึกอายุขัยของมนุษย์บนโลก มักพบท่านพร้อมกับ นกกระเรียน เต่า รวมถึงกวางดำซึ่งมีความเชื่อว่ากวางที่อายุ 2000 ปี จะเปลี่ยนสีเป็นสีดำ ซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์แห่งอายุที่ยืนนานทั้งสิ้น

     โฮเทโฮเท: เทพเจ้าที่ร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์และสุขภาพ รูปลักษณ์ของท่านเหมือนพระสังกัจจายน์ด้วย หรือที่รู้จักกันตามตำนานอื่นๆ บางครั้งกล่าวว่าท่านเป็น พระศรีอรายะ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปด้วย

     นอกจากนั้นท่านยังมีรูปลักษณ์ที่เป็นมิตรและร่าเริง จึงเป็นที่รู้จักกันอีกนามหนึ่งคือ พระหัวเราะ รูปปั้นของท่านถูกตั้งตามร้านอาหาร โรงแรม และเป็นเครื่องรางแพร่หลายไปทั่วเอเชีย

     จูโรยินจูโรยิน: เทพแห่งอายุยืน มักถูกจำสับสนกับ ฟุกุโรกุยู ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก โดยเป็นเทพอาวุโสถือไม้เท้าและพัด พร้อมด้วนกวางดำเดินตามข้างหลัง

ที่มาจาก fwdmail
55  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชายชรา กับ ลังเหล็ก เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 11:17:17 am


าลครั้งหนึ่ง ยังมีคุณลุงอยู่ท่านหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่มคุณลุงท่านนี้เป็นหัวหน้าคนงานอยู่ในเหมืองทองคำ
มีรายได้ดีมาก แต่คุณลุงท่านนี้ไม่เคยเก็บเงินเลยมีเท่าไรก็ใช้หมด เนื่องจากคุณลุงเป็นคนจิตใจดีใครมา
หยิบยืมก็ให้ เลี้ยงเพื่อนฝูงตลอด คุณลุงมีเพื่อนเยอะมาก จนกระทั่งคุณลุงท่านนี้เกษียณอายุจากการ
ทำงาน ปรากฏว่าไม่มีเงินเหลือเลยจากชีวิตการทำงานอันยาวนาน คุณลุงมีลูกอยู่ 5 คน เมื่อคุณลุงไม่มี
เงินก็จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่บ้านลูกๆ ทั้ง 5 คน

วันจันทร์ ก็ไปอยู่บ้านลูกสาว ก็ถูกลูกเขยพูดจากระทบกระเทียบ เช่น "ทำไมคุณพ่อคุณไม่ไปบ้านลูก
คนอื่นบ้างนะ ผมจะทำอะไรก็อึดอัดจริงๆ "

วันอังคาร ก็ไปอยู่บ้านลูกชาย ก็ถูกหลาน และลูกสะใภ้กระทบกระเทียบ เช่น "รำคาญคุณปู่จังเลยกับข้าว
ที่หนูชอบดูสิคุณปู่ทานหมดเลย ทำไมคุณปู่ไม่ไปบ้านอื่นบ้าง" เป็นเช่นนี้ตลอด คุณลุงก็เปลี่ยนไปอยู่
บ้านลูกคนนั้นทีคนนี้ที ก็ถูกลูกบ้าง ลูกเขยบ้าง ลูกสะใภ้บ้าง หลานบ้างพูดจาถากถางอยู่ตลอด แต่
คุณลุงก็ต้องทน เพราะคุณลุงไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว

อยู่มาวันหนึ่ง คุณลุงตัดสินใจเรียกลูกๆ ทุกคนมาแล้วบอกว่า "พ่อจะไม่อยู่สัก 2 ปีนะลูก เพราะเพื่อนพ่อ
ที่เป็นเจ้าของเหมืองทองคำมันเขียนจดหมายมาขอร้องให้พ่อไปช่วยงานที่เหมืองทองคำของมัน พ่อ
จำเป็นต้องไปช่วยเขาจริงๆ" ลูกๆ ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจสนับสนุนเพื่อให้คุณลุงท่านนี้ไปให้พ้นๆ จะได้ไม่
เป็นภาระอีกต่อไป
 






เมื่อครบ 2 ปี คุณลุงท่านนี้ก็กลับมาพร้อมกับลังเหล็กใบใหญ่ 1 ใบ ไปไหนแกก็ลากไปด้วย ลูกๆ ก็
พากันแปลกใจและถามว่า "ลังอะไร" คุณลุงตอบว่า "เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ได้มาจากเหมืองทองคำ
ของเพื่อน ถ้าใครดูแลพ่อจนถึงวาระสุดท้ายก็จะมอบสมบัติในลังเหล็กให้ทั้งหมด" ปรากฏว่า ลูกๆ พา
กันตื่นเต้น ต่างอาสามาดูแลคุณพ่อกันยกใหญ่

วันจันทร์ คุณลุงก็อยู่กับลูกสาวคนโต ลูกเขยกับหลานก็พากันเอาใจบีบนวดให้ หาของกินดีๆ มาให้
แต่ยังไม่ทันไรลูกชายคนที่สองก็มาตามให้ไปอยู่ด้วย และก็เช่นกันยังไม่ทันไร ลูกสาวคนที่สาม ก็มา
ตามให้ไปอยู่ด้วยอีก ปรากฏว่าลูกๆ ทั้ง 5 คน ของคุณลุงต่างแย่งกันเอาใจและปรนนิบัติคุณลุงท่านนี้
อย่างดี แต่เวลาไปไหนคุณลุงก็จะลากลังเหล็กใบนี้ไปด้วยตลอด

เวลาผ่านไป 7 ปี คุณลุงท่านนี้เสียชีวิตลง หลังงานพิธีศพลูกๆ ทุกคนพากันมานั่งล้อมลังเหล็กใบนี้เพื่อ
แบ่งสมบัติกัน ลูกสาวคนโตเป็นคนเปิดฝาลังเหล็ก พบว่ายังมีผ้าสีขาวปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง และมีจดหมาย
ฉบับหนึ่งวางอยู่ ลูกสาวคนโตก็เปิดอ่านให้น้องๆ ฟัง เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า
 
 



  ผมขยายมาให้แล้วครับ
 
 
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าประมาทและอย่าคาดหวังว่าใครจะเลี้ยงดูเรา ให้เร่งเก็บออมเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
จะได้มีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย

ได้ ฟังนิทานเรื่องนี้ทีไรให้รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้ง และไม่เคยคิดว่า เป็นเพียงนิทานเพราะเหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ไม่เตรียมเก็บ ออมเงินเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
....พึ่งพาใครไหนเร่า....จะดีเท่าพึ่งพาตัวเราเอง
56  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อาการพวกนี้ เป็นอาการของคนฝึกพลังจิต หรือป่าวครับ เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 10:32:17 am



เห็นเป็นกันมาก เกี่ยวกับการฝึกกรรมฐาน หรือป่าวครับ

ทำไม เวลาฝึกกรรมฐาน หรือ อยู่้ในพิธี ต้องมีอาการอย่างนี้

ในสมัยครั้งพุทธกาล มีประวัติหรือป่าวครับ

ว่าเวลาผู้ฝึก กรรมฐาน แล้วจะออกอากการอย่างนี้  ครับ

 :25:

เครดิตภาพเว็บนี้ด้วยครับ

http://www.oknation.net/blog/sertphoto/2010/02/27/entry-1
57  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บุญที่ถูกลืม เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 03:53:02 pm










58  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รถเสียใน กทม. ครับ กด 1137 เมื่อ: กันยายน 07, 2010, 01:12:29 pm
ผู้ใช้รถ หรือ ผู้ที่ไม่ได้ใช้รถส่วนตัว
จะไปบอกต่อกันก็ ได้
ช่วยกันบอกต่อๆ ไป
รถเสีย   กด   1137 

ชาวกรุงซึ้งน้ำใจรถเสียช่วยฟรี  24  ชม.
รถเสียกลางกรุงไม่ต้องตกใจ กด  1137 
เรียกใช้บริการช่างซ่อมอาสาได้ฟรี
ตลอด  24  ชั่วโมง ตามโครงการ   
ช่วยป้องกันทั้งโจรในคราบพลเมืองดีและ
ภัยสุภาพสตรีที่รถเกิดเสียกลางทาง   

คนยังเรียกใช้น้อย
เพราะส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก 
วอนรัฐช่วยส่งเสริมสนับสนุน   
ขณะที่ ผู้คนในสังคมต่างดิ้นรนเอาตัวรอด 
ส่งผลให้ผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น
เสียสละต่อผู้อื่นน้อยลง
และไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนอื่น

แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งแม้จะไม่มากนัก 
แต่ก็พร้อมจะทำงานที่เสียสละช่วยเหลือ
คนอื่น โดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน     
อย่างกลุ่มคนในโครงการ ' ปันน้ำใจช่วยเหลือรถจอดเสียกลางทาง '         
นายกฤตวิทย์ ศรีพสุธา เจ้าของโครงการ
' ปันน้ำใจช่วยเหลือรถจอดเสียกลางทาง '   กล่าวถึงที่มาโครงการนี้ ว่า 

เห็นข่าวผู้หญิงรถเสียในเวลา
กลางคืนและเกิดปัญหาอาชญากรรมตามมาโดยพวกมิจฉาชีพคอยทำร้ายชิงทรัพย์ รวมไป ถึงทำตัวเป็นพลเมืองดีในคราบโจรแล้ว น่าเป็นห่วง   
นอกจากนี้จากการสำรวจดู ยังพบว่า 
มีรถเก่าจอดเสียอยู่ข้างทางไกลบ้าน
และไม่มีใครดูแล
จึงได้หารือกับ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล ผบก.จร.  เพื่อหาทางแก้ไขให้ประชาชนมี
ที่พึ่ง เพราะเชื่อว่าในสังคมไทยยังมีคนดี
อยู่อีกจำนวนมาก 

บทสรุปที่ได้ คือ
ให้ตำรวจแต่ละท้องที่จัดหาอู่ซ่อมรถ
จัดซื้อรถลากรถยกไว้ให้บริการ
โดยมีตำรวจโครงการพระราชดำริ
มาร่วมด้วยช่วยกัน ปรากฏว่า
เจ้าของอู่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยไม่คิดค่าแรง และบอกว่า ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะต้องการช่วยประชาชนอยู่แล้ว แต่ไม่มีโอกาส   
นายกฤตวิทย์ กล่าวว่า   เพื่อสร้างความ
เชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ จึงกำหนดให้
เจ้าหน้าที่ ที่ออกให้บริการต้องติดบัตร
ใส่ชุดฟอร์ม และไม่รับค่าตอบแทน 
เพราะทุกคนทำด้วยใจรัก ' บริษัทได้ทำประกันอุบัติเหตุให้เป็นค่าตอบแทน  1  ปี   ถึงขณะนี้ การช่วยเหลือยังน้อยอยู่
เดือนหนึ่งประมาณ  50-60  ราย 
เฉลี่ยวันละ  4-5  ราย แต่ในช่วงคืนฝนตก
จะมีคนเรียกใช้มากถึงวันละ  10  ราย '

ผู้ริเริ่มโครงการนี้กล่าวและยอมรับว่า โครงการ '  ปันน้ำใจช่วย เหลือรถจอดเสียกลางทาง '  ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เนื่องจากประชาชนที่ใช้รถใช้ถนน ยังไม่ทราบว่า
มีโครงการนี้    หากมีการประชาสัมพันธ์มากกว่าที่เป็นอยู่ เชื่อว่าจะมีคนที่เดือดร้อนขอใช้บริการมากกว่านี้    และน่าจะมีอู่ซ่อมรถยนต์มาร่วมช่วยเหลือมากขึ้น
 
' ถ้าผู้ใช้รถ ไม่ฟัง จส. 100 จะไม่รู้ว่า
มีโครงการนี้ อย่างไรก็ดี ยังมีประชาชน
ส่วนหนึ่งยังไม่เชื่อใจว่าจะช่วยเหลือ
จริงหรือเปล่า หวังอะไรหรือไม่ ถ้าทำอย่างโปร่งใส คนจะเชื่อใจและใช้บริการมากขึ้นเราก็พร้อมจะขยายขอบข่าย การช่วยเหลือ ออกไป

เพราะโครงการนี้ตั้งเป้าใช้งบไว้  4 ล้านบาท แต่ทำจริงๆใช้เงินเพียง  1.69  ล้านบาทเท่านั้น ' 

นายกฤตวิทย์ กล่าวและย้ำว่า คนที่ต้องการความช่วยเหลือจากรถเสีย   
กดโทรศัพท์แจ้งเรื่องได้ที่   1137


   
 
รถเสียซ่อมฟรี กดโทร 1137
สำหรับผู้ใช้รถ หรือ ผู้ที่ไม่ได้ใช้รถส่วนตัว จะไปบอกต่อกันก็ได้
ช่วยกันบอกต่อ ๆ ไป รถเสียช่วยฟรี กด 1137

59  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การสวดพระมาลัย จำเป็นต้องมีในงานศพ ทุกครั้งหรือป่าว เมื่อ: สิงหาคม 16, 2010, 12:41:33 pm
การสวดพระมาลัย ผมเคยไปงานศพหลายครั้ง ฟังพระท่านสวด

เล่นเสียงสูง เสียงต่ำ บางท่วงทำนองอย่างกับร้องเพลง ผมเองก็นึกอยู่ว่า

พระท่านทำอย่างนี้จะเป็นการผิดศีล หรือป่าวครับ เหมือนเทศน์แหล่ ผมว่า เหมือน พระร้องเพลง

เลยครับ ชาวบ้านฟังแล้วอาจจะว่าหายาก หรือ งาม

แต่ผมฟังแล้ว รู้สึกไม่อยากให้ท่านสวดอย่างนี้

หรือว่าเป็นประเพณี ที่ควรรักษา

ถ้าอย่างนั้น การสวดพระมาลัย มีประวัติมาอย่างไร ครับ

มีการเริ่มสวดกันเมื่อไร ครับ

ใครเป็นผู้เริ่ม นำมาสวด

มีทำนอง กี่ทำนองครับ เพราะผมเคยไปฟัง ทำนองไม่เหมือนกันสักวัด เลยครับ

ผมเคยไปเจอที่อยุธยา วัดอะไรจำไม่ได้ มีการนำ อุบาสก 4 คนไปถือ ตาลปัตร แล้วก็สวด กระแทก

ตาลปัตรกับพื้น เป็นจังหวะ การสวดนั้นเรียกว่า สวดพระมาลัย หรือป่าวครับ


ประวัติพระมาลัย นั้นเป็น พุทธสาวก องค์ไหนครับ
 :25: :25:
60  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เกี่ยวกับเทศน์ มหาชาติ ครับ เมื่อ: สิงหาคม 16, 2010, 12:33:59 pm
เห็นประกาศเรื่อง เทศน์มหาชาต ครับ

อยากทราบว่า การเทศน์ มหาชาติ นั้น

1. เทศน์มหาชาติ นั้นต้องจัดเทศน์ ในกาลไหนบ้างครับ

2. เทศน์มหาชาติ มีการเทศน์กี่แบบ ครับ

3. เทศน์มหาชาติ ส่วนคาถาพัน คือ อะไรครับ

4. เทศน์มหาชาติ นั้นจำเป็นต้องเทศน์แหล่ หรือ ป่าวครับ

5. เทศน์มหาชาติ นั้นจัดเทศน์ที่บ้านได้ หรือ ป่าวครับ หรือต้องเป็นทีวัด

6. เทศน์มหาชาติ ถ้าจัดเทศน์ที่บ้าน เราบอกเฉพาะคนในตระกูล ฟังกันไม่กี่คน ได้หรือป่าวครับ

6. เทศน์มหาชาติ ไม่ผูกตุง ไม่แขวนโคม เป็นอะไรหรือป่าวครับ

7. ถ้าเราต้องการฟังเทศน์ มหาชาติ ไปที่วัดแล้ว นิมนต์ พระขึ้นเทศน์ โดยระบุ กัณฑ์เทศน์ว่าเป็น กัณฑ์มหาชาติ ได้ หรือป่าวครับ

8. เทศน์มหาชาติ นั้น กัณฑ์ไหน เป็นที่นิยม มากครับ

9. เทศน์มหาชาติ ถ้าเราฟังไม่ครบ ทั้ง 13 กัณฑ์ ได้บุญเท่ากัน หรือป่าวครับ

10. เทศน์มหาชาติ นั้นจำเป็นต้องให้พระเป็น ผู้เทศน์ เสมอไป หรือ ป่าวครับ

11. เทศน์มหาชาติ ผมจะอ่านเองได้หรือป่าวครับ เห็น ปู่ ย่า ตา ยาย ท่าน บอกว่าเป็นกัณฑ์เทศน์ ศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยต้องเป็น สามเณร สมควรจะอ่าน ก็หมายความว่า ผมไม่สามารถ อ่านได้ใช่ หรือ ป่าวครับ

12. เทศน์มหาชาติ เป็นข้อความในพระไตรปิฏก หรือเป็นข้อความที่แต่งขึ้นมาในภายหลัง
 :25: :25: :c017: :c017:

ขอบคุณมาก ๆ ครับ
หน้า: 1 [2]