ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 306 307 [308] 309 310 ... 708
12281  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จะขาดใจมั้ย? เมื่อคอโซเชียล ถูกสั่งห้ามใช้ 'เฟซบุ๊ก' 1 สัปดาห์เต็ม เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:49:42 am



จะขาดใจมั้ย? เมื่อคอโซเชียล ถูกสั่งห้ามใช้ 'เฟซบุ๊ก' 1 สัปดาห์เต็ม

ตามไปดูสถิติน่าสนใจเกี่ยวกับการใช้งานสังคมออนไลน์ดัง จากการวิจัย 1,095 ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ใช้งานได้ และห้ามใช้งานโดยเด็ดขาด…

ยอมรับมาเถอะว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนในยุคปัจจุบันไปแล้ว จนทำให้เราต้องหยิบสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตขึ้นมาวันละหลายๆ รอบ ทั้งคอยอัพเดตความเคลื่อนไหวบนสังคมออนไลน์ หรือแชร์เรื่องราวต่างๆ ให้เพื่อนในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของคุณ

เคยลองคิดเล่นๆ มั้ยว่า... ถ้าคุณถูกสั่งห้ามใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กซัก 1 สัปดาห์ ชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไร?



โซเชียล...สังคมออนไลน์ที่คนส่วนใหญ่บอกว่าขาดไม่ได้!!!


ล่าสุด มีนักวิจัยจากสถาบันวิจัยความสุขในโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กราว 1,095 คน ซึ่งใช้งานสังคมออนไลน์ดังกล่าวอยู่เป็นประจำ โดยกว่า 94% ของผู้ทำการทดสอบนี้ ระบุว่าพวกเขาใช้งานเฟซบุ๊กทุกวันจนเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม การทดลองในครั้งนี้ได้แบ่งผู้ใช้งานออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ถูกห้ามให้ใช้งานเฟซบุ๊กเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และกลุ่มที่สามารถใช้เฟซบุ๊กได้ตามปกติ โดยผลการวิจัยดังกล่าว ระบุว่า 88% ของผู้ที่ไม่ได้เข้าเฟซบุ๊กเป็นเวลา 1 สัปดาห์นั้น มีความสุขเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับอีก 81% ที่ยังคงใช้งานเฟซบุ๊กตามปกติ

นอกจากนี้ จากการวิจัยยังพบว่า กลุ่มที่ถูกห้ามใช้เฟซบุ๊กนั้น มีอารมณ์โกรธเคืองต่อสิ่งต่างๆ น้อยลง และกลับมามีความกระตือรือร้นในการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น รวมถึงการเข้าสังคม และการร่วมกิจกรรมทางสังคมก็เพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กตามปกติ กว่า 55% ระบุว่าพวกเขามีความเครียดเพิ่มขึ้น



กด Like กันเป็นประจำ


จากการวิจัยดังกล่าว นักวิจัยได้สรุปว่าการมีความเครียดเพิ่มขึ้นของผู้ที่ใช้งานเฟซบุ๊กเป็นประจำนั้น อาจมาจากการที่พวกเขาต้องรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ของเพื่อนบนโลกออนไลน์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะความคิด และอารมณ์ของพวกเขานั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม... คงต้องบอกว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิจัยจากพฤติกรรมคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และยังมีภาวะแวดล้อมแตกต่างกัน จึงไม่อาจใช้เป็นบทสรุปได้ว่า ผู้ใช้งานหรือไม่ได้ใช้เฟซบุ๊ก จะมีพฤติกรรมเดียวกันนี้...!!!


ที่มา : nextshark
https://www.thairath.co.th/content/539869
12282  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัศจรรย์ “หล่มภูเขียว” 280 ล้านปี อันซีนลำปาง บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์-ลึกหยั่งไม่ถึง เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:46:43 am


อัศจรรย์จริง! “หล่มภูเขียว” 280 ล้านปี อันซีนลำปาง บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์-ลึกแท้ยากหยั่งถึง

ลำปาง - พ่อเมืองรถม้านำทีมเร่งสำรวจ พร้อมสนับสนุนงบพัฒนา “หล่มภูเขียว” แอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ คาดหลุมยุบกลางป่าดิบแล้งอายุ 280 ล้านปี ที่มีน้ำเขียว-ใสไม่เคยเน่า ลึกจนหยั่งไม่ถึงก้นบ่อ ชี้เป็นอีกหนึ่ง “อันซีนลำปาง” ชาวบ้านเชื่อมี “พญางูใหญ่” อาศัยอยู่
             
       จังหวัดลำปางเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต้องห้ามพลาด ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยโหมกระหน่ำประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง จากที่มีจุดขายมากมายที่คนมองผ่านไป เมื่อเร็วๆ นี้ นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมหัวหน้าส่วนที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยว ได้นำผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจแหล่งท่องเที่ยว “หล่มภูเขียว” ซึ่งถือว่าเป็น Unseen Lampang ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท พื้นที่หมู่ 6 ต.บ้านอ้อน อ.งาว โดยมีนายพีระเมศร์ ตื้อตันสกุล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท พร้อมผู้นำท้องถิ่น นำสำรวจ พร้อมเสนอแผนพัฒนาหล่มภูเขียว

       

       เบื้องต้นผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางพร้อมสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาปรับปรุงถนนทางเข้าจากปากทางไปยังหล่มภูเขียว ซึ่งปัจจุบันยังเป็นถนนดินแดงที่เต็มไปด้วยฝุ่น ฤดูฝนถนนลื่นไม่สามารถเข้าไปได้ โดยมีการเสนอทำเป็นถนนลูกรังบดอัด ขนาดกว้าง 4 เมตร ระยะทาง 4.5 กิโลเมตร, ปรับทัศนียภาพบริเวณลานจอดรถยนต์-พื้นที่สำหรับจำหน่ายสินค้าของชาวบ้าน, พัฒนาห้องน้ำ พื้นผิวทางเดินเท้าและเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว
       
       สำหรับ “หล่มภูเขียว” เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ประมาณ 2 ไร่ อยู่กลางป่าดิบแล้งล้อมรอบไปด้วยผาหินปูนสูงชัน มีความร่มรื่นจากต้นไม้ใหญ่โดยรอบ บรรยากาศเงียบสงบ ผิวน้ำในแอ่งมีสีเขียวมรกตคล้ายโอเอซิส ลึกจนไม่สามารถหยั่งถึง

       

       ทั้งนี้ มีการสันนิษฐานว่า หล่มภูเขียว เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกในสมัยดึกดำบรรพ์ หรืออาจเกิดจากการยุบตัวของหินปูน ซึ่งเคยเป็นเพดานถ้ำมาก่อน แล้วจมลงใต้น้ำ เรียกว่าหลุมยุบ (Sink Hole) คาดว่ามีอายุกว่า 280 ล้านปี ต่อมาจึงกลายเป็นแหล่งรับน้ำ ความลึกไม่สามารถหยั่งถึง ก่อนหน้านี้เคยมีการนำไม้ปักลงไปแต่ก็ไม่ถึงพื้นดิน จึงไม่สามารถวัดความลึกของแอ่งน้ำแห่งนี้ได้
       
       ชาวบ้านได้เล่าว่า แอ่งน้ำแห่งนี้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เป็นแอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ สามารถนำไปรักษาผู้ป่วยให้หายได้ และหากมีงานประเพณี ชาวบ้านก็จะนำน้ำจากแอ่งนี้ไปใช้ในการทำน้ำพระพุทธมนต์ และจะไม่มีใครลงไปเล่นน้ำ ที่ผ่านมามีการนำปลาหลากชนิดมาปล่อยจนมีตัวขนาดใหญ่ และจะไม่มีใครกล้านำปลาในแอ่งนี้ไปรับประทาน เพราะเชื่อว่าหากใครมานำปลาไปรับประทานก็จะเกิดเภทภัยขึ้น และไม่อนุญาตให้อาหารปลาโดยเด็ดขาด     

       ชาวบ้านยังพบเจอเรื่องราวมหัศจรรย์อีกหลายครั้ง เช่น การบนบานศาลกล่าว ชาวบ้านเคยนำเทียนมาจุดบนแพลอยไปบนผิวน้ำ จู่ๆ แพได้จมลงไปชั่วครู่ก่อนโผล่ขึ้นมา โดยเทียนที่จุดไว้ก็ยังคงมีเปลวไฟอยู่ สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก
 


     
       นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ชาวบ้านยังหาคำตอบไม่ได้คือ บริเวณโดยรอบแอ่งน้ำจะมีต้นไม้น้อยใหญ่ล้อมรอบ ทุกวันจะมีใบไม้หล่นลงมาจนเต็ม แต่ปรากฏว่าทุกเช้าใบไม้เหล่านั้นจะหายไปหมด น้ำจะใสเขียวจนเห็นตัวปลา ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าหากใบไม้ที่ตกทับถมกัน และจมอยู่ก้นแอ่งน้ำหลายร้อยปี โดยที่น้ำไม่หมุนเวียน แอ่งน้ำแห่งนี้น่าจะเน่าเสียไปแล้ว จึงเชื่อว่าแอ่งน้ำแห่งนี้มี “เจ้าพ่อหล่มภูเขียว” คอยปกปักรักษาและดูแล จึงได้ตั้งศาลไว้ด้านบนแอ่งน้ำแห่งนี้เพื่อสักการะ และทุกปีจะมีการจัดพิธีบูชาน้ำ เพราะเชื่อว่าในแอ่งน้ำมี “พญางูใหญ่” อาศัยอยู่
       
       สำหรับเส้นทางเข้าไปยัง “หล่มภูเขียว”นั้น หากนักเดินทางไปยังอำเภองาว ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าไปทางตำบลบ้านอ้อน ประมาณ 7 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวเข้าทางน้ำตกแม่แก้ ไปทางหล่มภูเขียว ด้วยเส้นทางดินแดงประมาณ 4.5 กิโเมตร ตลอดเส้นทางจะมีป้ายขนาดเล็กบอกเส้นทางจนถึงหล่มภูเขียว

       
ชมคลิปได้ที่
https://youtu.be/iuf5p2NH3vw
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000127428
12283  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “จุลกฐิน” ชื่อกฐินเล็ก แต่อานิสงส์ยิ่งใหญ่ มนต์เสน่ห์วิถีไทยแห่ง เมือง “แม่แจ่ม” เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:36:50 am



“จุลกฐิน”ชื่อกฐินเล็ก แต่อานิสงส์ยิ่งใหญ่ มนต์เสน่ห์วิถีไทยแห่ง เมือง“แม่แจ่ม”
โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

หลังออกพรรษามาได้สัปดาห์กว่าๆ เช้าวันหนึ่งที่ออฟฟิศจู่ๆก็มี “ซองขาว” มาวางเด่นอยู่ที่โต๊ะผม
       
       หะแรกเห็นตกใจ!!! เห็นไกลๆนึกว่าเป็นซองขาวอย่างว่า แต่ว่าเมื่อไปเห็นใกล้ๆค่อยโล่งใจ เพราะนี่คือซองกฐินทีน้องในออฟฟิศมาชวนผมทำบุญและร่วมเป็นคณะกรรมทอดกฐินที่วัดแห่งหนึ่งในภาคกลาง
       
       ครับงานนี้ผมให้ชื่อ ทำบุญ และจกไปด้วยความยินดี





        สำหรับเมืองไทยเราเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณว่าหลังวันออกพรรษา(แรม 1 ค่ำ เดือน 11) ก็จะเป็นเทศกาลทอดกฐิน ซึ่งปีหนึ่งจะทำได้เพียงครั้งเดียวในช่วงนี้ และเป็นเวลาแค่ 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
       
       โดยกฐินในบ้านเราแบ่งหลักๆ เป็น “กฐินหลวง” ที่พระมหากษัตริย์ทรงทอดกฐินตามวัดพระอารามหลวง และ “กฐินราษฎร์” ที่พุทธศาสนิกชนคนทั่วไปนำไปทอดตามวัดต่างๆ





        นอกจากนี้ก็ยังมีกฐินชนิดพิเศษอีกประเภทหนึ่งคือ “จุลกฐิน” หรือ “กฐินแล่น” ที่หลายๆคนมักเข้าใจผิดคิดว่าจุลกฐินเป็นกฐินเล็ก แต่จริงๆแล้วจุลกฐินเป็นกฐินที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน แต่เต็มไปด้วยความละเอียดลออ และเต็มไปด้วยความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจของชุมชน โดยต้องทำการเก็บฝ้าย ทอฝ้าย ตัดเย็บเป็นผ้าไตรจีวร 1 ชุด ให้แล้วเสร็จ ก่อนจะนำไปถวายวัดในเช้าถัดไป




        เค้ามูลของการทำจีวรให้เสร็จในวันเดียว ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์อรรถกถา กล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้ารับสั่งในคณะสงฆ์ในวัดพระเชตวันร่วมมือกันทำผ้าไตรจีวรเพื่อถวายแก่พระอนุรุทธะ ผู้มีจีวรเก่าใช้การเกือบไม่ได้แล้ว โดยในครั้งนั้นเป็นงานใหญ่ ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงช่วยการทำไตรจีวรด้วย โดยทรงรับหน้าที่สนเข็มในการทำจีวรครั้งนี้ด้วย
       
       จุลกฐินยังมีลักษณะพิเศษ คือ ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาก็สามารถนำองค์กฐินไปทอดที่วัดได้ หากแต่คิดจะทำจุลกฐินต้องมีการเตรียมตัวกันก่อนล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี





        1…
       
       สำหรับ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ยังคงมีการสืบสานการทำบุญจุลกฐิน ตามวิถีประเพณีดั้งเดิมอันงดงามเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ ซึ่งเดิม อ.แม่แจ่ม จะมีการจัดงานบุญจุลกฐินที่ “วัดยางหลวง” ต.ท่าผา ที่ปีนี้มีการจัดขึ้นไปในวันที่ 7-8 พ.ย.ที่ผ่านมา(8 พ.ย. เป็นงานแห่องค์กฐินไปถวายวัด)





        อย่างไรก็ดีมาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่“วัดบ้านทัพ” ต.ท่าผา ก็เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีการรื้อฟื้นประเพณีจุลกฐินขึ้นมา และมีการจัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ทางวัดได้เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญในงาน “ทอฝ้าย สายบุญ จุลกฐิน” ปีที่ 5 ขึ้น เมื่อวันที่ 14-15 พ.ย. ที่ผ่านมา




        งานนี้ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานด้วย จึงได้นำความประทับใจที่ได้พบเจอมาบอกเล่าสู่กันฟัง โดยภายในงานผมโชคดีได้เจอกับพี่“อรรถพล ปราโมทย์” หรือ “พี่ต้อง” ชาวเชียงใหม่ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับจุลกฐินอย่างลึกซึ้ง ซึ่งพี่ต้องได้ช่วยอธิบาย ให้ความรู้ ไขความกระจ่างเกี่ยวกับงานจุลกฐินแม่แจ่มให้ฟังอย่างละเอียด
       
       “จุลกฐินเป็นกิจกรรมการทำกฐินที่ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 วัน ซึ่งคนสมัยก่อนถือว่าได้บุญมากล้นกว่าการทอดกฐินปกติ(กฐินราษฎร์)”





        พี่ต้องเกริ่นนำก่อนจะอธิบายรายละเอียดของงานจุลกฐินให้ฟังว่า งานจุลกฐินเป็นงานประเพณีที่ดั้งเดิมมีขึ้นเฉพาะในชุมชนที่มีการปลูกฝ้าย ทอผ้า เพราะต้องทำผ้าไตรจีวร 1 ชุดให้แล้วเสร็จภายใน 1 วัน แล้วจึงนำไปถวายวัดในเช้าวันถัดไป ซึ่งชาวชุมชนต้องสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันเตรียมงาน จัดงาน และทอผ้าไตรจีวรให้เสร็จ




        ทั้งนี้ในบ้านเราแต่เดิมจะมีการจัดงานจุลกฐินขึ้นเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานที่มีการปลูกฝ้าย ทอผ้า แต่ว่าในยุคนี้มีการจัดงานจุลกฐินประยุกต์เพื่อการท่องเที่ยวขึ้น โดยมีการนำฝ้ายจากที่อื่นมาปั่น นำช่างทอผ้าจากที่อื่นมาทอด้วยแนวคิดแก่นประเพณีดั้งเดิม ขณะที่รูปแบบรายละเอียดและการสร้างสรรค์นั้นมีการปรับเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม และสภาพพื้นที่




        สำหรับที่วัดบ้านทัพนั้นเป็นอีกหนึ่งชุมชนที่สามารถทำจุลกฐินได้ เพราะเป็นชุมชนที่มีการปลูกฝ้าย ทอผ้ามานับแต่อดีต ซึ่งลุง“วันชัย สารินจา” มัคทายกวัดบ้านทัพ บอกกับผมว่า งานจุลกฐินวัดบ้านทัพมีการจัดขึ้นมาตั้งแต่อดีต ก่อนที่จะหายไป ทางวัดจึงรื้อฟื้นขึ้นมา และจัดต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 5 แล้ว โดยงานจุลกฐินปัจจุบันที่วัดบ้านทัพ จะเป็นการร่วมมือกันของ 3 ชุมชนในตำบลท่าผา คือ บ้านทัพ บ้านท้องฝาย และบ้านไร่ ซึ่งทั้ง 3 หมู่บ้าน ปัจจุบันยังคงมีการทอฝ้ายและมีคนทอผ้าอยู่เป็นกิจวัตร




        2…
       
       งานจุลกฐินวัดบ้านทัพเริ่มกันตั้งแต่เช้าของวันที่ 14 พ.ย. วันนี้เรียกว่า “วันดา” เป็นวันเตรียมงาน จัดเตรียมข้าวของอุปกรณ์สำหรับการแห่องค์กฐินในวันรุ่งขึ้น เตรียมอุปกรณ์สำหรับการปั่นฝ้าย ทอฝ้าย การทำผ้าไตรจีวรที่จะนำไปถวายพระในวันรุ่งขึ้น รวมถึงเตรียมอาหารการกินในแบบขันโตกพื้นเมืองไว้เลี้ยงแขกเหรื่อ เตรียมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ไว้ให้ผู้มาร่วมงานได้ชมกัน




        จากนั้นพอถึงช่วงเย็นจะเป็นช่วงเวลาที่คึกคักมา พ่ออุ๊ย แม่อุ๊ย ต่างพากันที่วัดเพื่อตระเตรียมการทำองค์กฐิน ทอผ้าไตรจีวร นอกจากนี้ในช่วงเย็นยังมีการเลี้ยงขันโตกกับแขกเหรื่อผู้มาเยือน มีการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมจากโรงเรียนในพื้นที่ เช่น ฟ้อนต่างๆ การแสดงกลองปู่จา เป็นต้น รวมถึงเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยว คนต่างถิ่นที่มาร่วมงาน สามารถลองเรียนรู้ในกระบวนการงานบุญจุลกฐิน เช่น ร่วมอีดฝ้าย ปั่นฝ้าย หรือร่วมทอผ้าได้ โดยมีชาวบ้านผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ




        ครั้นในช่วงหัวค่ำเมื่อถึงฤกษ์ที่เหมาะสม จะเป็นพิธีสมโภชน์องค์กฐินในวิหาร จากนั้นก็จะเป็นพิธีเก็บฝ้ายที่ถือฤกษ์งามเหมือนกัน
       
       สำหรับพิธีเก็บฝ้ายพี่ต้องเล่าให้ฟังว่า ในอดีตจะต้องคัดผู้หญิงพรหมจรรย์ 7 นาง ที่เป็นดังตัวแทนของ “สัตบริภัณฑ์คีรี” หรือ เขาสัตบริภัณฑ์ทั้ง 7 นุ่งขาว ห่มขาว มาเก็บตัวนอนที่วัด 1 คืน ก่อนมีงาน





        ครั้นถึงช่วงเก็บฝ้ายก็จะนำฟ้อนมาเก็บฝ้ายจากนั้นจึงเปิดให้คนทั่วไปร่วมกันไปช่วยเก็บฝ้าย ส่วนในปัจจุบันพิธีการเก็บฝ้ายก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยตามสภาพพื้นที่ โดยพิธีเก็บฝ้ายปีนี้ที่วัดบ้านทัพนั้นจะมีเทวดาเข้าร่วมด้วย
       
       “จะเห็นได้ว่างานจุลกฐินต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี วางแผนกันมาหลายเดือน เพราะต้องลงมือปลูกฝ้าย เพื่อให้ฝ้ายโตและออกดอกพอดีในช่วงหลังวันออกพรรษา ไม่เกินหนึ่งเดือน เพื่อสามารถเก็บฝ้ายมาทอในงานจุลกฐินได้”





        พี่ต้องอธิบาย พร้อมกับบอกว่า ฝ้ายที่เก็บได้มาจะนำไปรวมกับฝ้ายอีกส่วนหนึ่งที่ชาวบ้านนำมาถวายเพื่อนำไปทอเป็นผ้าไตรจีวรต่อไป รวมถึงมีการกวน“ข้าวมธุปายาส” หรือ “ข้าวทิพย์” เพื่อไปถวายวัดในวันรุ่งขึ้นด้วย




        สำหรับกระบวนการทำผ้าไตรจีวรหลังการเก็บฝ้ายได้แก่ การ“อีดฝ้าย”ที่เป็นการนำฝ้ายมาแยกเมล็ด, การ“ก๋งฝ้าย”คือดีดฝ้ายให้ฟูปุย การปั่นฝ้ายเป็นเส้นด้าย นำไปขึ้นกี่ทอเป็นผ้าผืนสีขาว แล้วนำไปตัดเย็บเป็นผ้าไตรจีวร 1 ชุด ก่อนที่จะนำไปย้อมเป็นจีวรสีฝาด ซึ่งทั้งหมดต้องทำให้เสร็จก่อนเช้า




        โดยชาวบ้านที่นี่จะแต่งชุดสวยๆงามๆมาร่วมช่วยงาม ทั้งเด็กผู้ใหญ่ พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย พร้อมๆกับมีการแบ่งหน้าที่กันเป็นแผนกๆอย่างดี ก่อนจะส่งต่อให้เหล่าช่างทอในช่วงสุดท้าย
       
       สำหรับปีนี้มีกี่ 10 ตัว กับช่างทอมาผลัดเปลี่ยนกันทอ มือสอง มือสาม ไปตลอดทั้งคืน จนกระทั่งแล้วเสร็จเป็นไตรจีวรในช่วงประมาณ ตี 4 ให้ผู้ที่มาร่วมทอฟ้า เตรียมงาน จัดงาน ได้ไปนอนพักผ่อนเอาแรง แล้วตื่นขึ้นมาแต่งชุดสวยงามๆกันเต็มยศ เพื่อไปร่วมงานบุญกันด้วยจิตใจผ่องแผ้ว โดยแม่อุ๊ยและผู้หญิงชาวแม่แจ่ม(รวมถึงแขกเหรื่อที่มาร่วมงานและนักท่องเที่ยวหลายๆคน)จะพากันสวมชุดขาวหรือชุดพื้นบ้านล้านนา พร้อมกับสวมผ้า“ซิ่นตีนจกแม่แจ่ม” อันสวยงามเป็นเอกลักษณ์มาร่วมงานกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อิ่มเอิบบุญ




        3…
       
       หลังตระเตรียมงาน ทำผ้าไตรจีวรได้แล้วเสร็จในวันดา(14 พ.ย.)
       
       วันรุ่งขึ้น 15 พ.ย. เป็นวันถวายบุญ โดยชาวบ้านจะนำต้นกฐิน บริวารกฐิน มาไว้ที่วัด จากนั้นจะนำไปตั้งต้นขบวนที่บ้านท้องฝายที่อยู่จากจากวัดบ้านทัพไปประมาณกิโลเมตรกว่าๆ ก่อนจะจัดขบวนแห่แหนกันมาอย่างคึกคัก นำโดยนางรำและชุดฟ้อนนกกิงกะหร่า ตามด้วยขบวนแห่องค์กฐินที่ต้องใช้ผู้ชายล้วนแห่ ก่อนต่อด้วยขบวนแห่อื่นๆ





        ขบวนแห่จุลกฐินวัดบ้านทัพ แม้จะไม่ใช่ขบวนใหญ่ แต่ก็เป็นขบวนงานบุญที่คึกคักเต็มไปด้วยพลังแห่งศรัทธา ซึ่งขบวนจะแห่ไปสิ้นสุดที่วัด เพื่อทำพิธีถวายองค์กฐินให้แก่วัด พร้อมทำพิธีสืบต่อชะตาแก่ผู้มาร่วมงาน แล้วทางวัดจะนำผ้าไตรจีวรไปให้แก่พระภิกษุผู้รูปที่ขาดแคลนจีวรหรือต้องการใช้จีวรต่อไป อันถือเป็นการเสร็จสิ้นพิธีจุลกฐินแห่งวัดบ้านทัพ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ที่สร้างความประทับใจให้กับคนต่างถิ่นที่มีโอกาสได้เข้ามาร่วมงานอย่างผมได้เป็นอย่างดี




        และนี่ก็คืออีกหนึ่งอานิสงส์ที่ผมได้รับจากงานนี้
       
       นับเป็นอีกวิถีไทยที่มากไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่น่าสัมผัสเรียนรู้พร้อมอนุรักษ์ให้ดำรงคงอยู่ไปตราบนานเท่านาน





       ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับ สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในอำเภอแม่แจ่ม และแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0-5324-8604-5


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000127730
12284  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา! พบจิตรกรรมฝาผนัง ฝาแฝด"อิน-จัน"ยุคปลาย ร.3 ในอุโบสถวัดดังเมืองพิษณุโลก เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:24:17 am


ฮือฮา! พบจิตรกรรมฝาผนัง ฝาแฝด"อิน-จัน"ยุคปลาย ร.3 ในอุโบสถวัดดังเมืองพิษณุโลก

(17 พ.ย.58)  ที่อุโบสถหลวงพ่อทองขาว วัดราชบูรณะ อ.เมือง จ.พิษณุโลก มีจิตรกรรมฝาผนัง ที่เขียนในยุคปลายรัชสมัย รัชกาลที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นจิตรกรรมที่เก่าแก่ และควรค่าอนุรักษ์อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก พระครูสิทธิธรรมวิภัช เจ้าอาวาสวัดราชบูรณะ กล่าวว่า จิตรกรรมฝาผนังที่อุโบสถหลวงพ่อทองขาว และวิหารหลวงพ่อทองดำ จะมีจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ในยุคปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ที่ช่างศิลป์ในยุคดังกล่าวเขียนไว้ ด้านล่างเป็นช่วงของภาพกามกรีฑา ช่วงกลางเป็นภาพไทยรามเกียรติ์ และมีอะไรหลายอย่างที่แปลกตา โดยเฉพาะที่ฝาผนังด้านขวาของอุโบสถ นั้น มีภาพคู่แฝดอินจัน ที่ซุกซ่อนไว้ หากใครไม่สังเกตก็จะไม่ทราบ

 :96: :96: :96: :96:

ล่าสุด ผศ.ดร.วศิน ปัญญาวุธตระกูล ผู้อำนวยการสถานอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้มาศึกษาเกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนัง และพบภาพนี้ก็ระบุว่าเป็นภาพคู่แฝดอินจัน ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่า จิตรกรรมฝาผนังภายในวัดราชบูรณะ นั้นได้มีการเขียนไว้ในยุคปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 3 อย่างแน่นอน และผู้เขียนน่าจะมีความรู้เรื่องข่าวสารเพราะฝาแฝดอินจัน น่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในช่วงนั้นจึงได้นำมาวาดไว้ โดยภาพจิตรกรรมฝาผนังแฝดอินจัน นั้น เป็นภาพที่เขียนจากสีฝุ่น พู่กันจีน ลวดลายไทย

ซึ่งภาพแฝดอินจัน มีกิริยาท่าทาง ใช้นิ้วชี้ไปทางสัตว์ป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นภาพผสมผสานกับวรรณคดี กับเรื่องราวปัจจุบัน ทำให้จิตรกรรมฝาผนังที่วัดราชบูรณะ น่าศึกษาเป็นอย่างมาก ขณะที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังบางส่วน โดยเฉพาะด้านล่างนั้น ขณะนี้ได้เกิดชำรุดและสีหลุดลอกไปตามกาลเวลา ทำให้ภาพเสียหายเป็นอย่างมาก

 :25: :25: :25: :25:

ทั้งนี้ ทางวัดราชบูรณะ ขอความร่วมมือพุทธศาสนิกชนที่มาทำบุญและไหว้พระที่อุโบสถหลวงพ่อทองขาว และวิหารหลวงพ่อทองดำ นั้นอย่าได้พิงฝาผนังหรือเดินจนชิดกับภาพฝาผนัง เพราะจะทำให้ภาพเสียหายได้  อย่างไรก็ตามหากประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สนใจต้องการไปเที่ยวชมจิตรกรรมฝาผนังที่วัดราชบูรณะ ก็สามารถไปนั่งชมศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนังกันได้เป็นประจำทุกวัน

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1447737193
12285  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านชื่นชม"พระภูเก็ต" มุดท่อช่วยชีวิต'หมาน้อย' เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:21:33 am


ชาวบ้านชื่นชม"พระภูเก็ต" มุดท่อช่วยชีวิต'หมาน้อย'

คุณพระช่วยของแท้!ชาวเมืองคอนยกย่องภิกษุหนุ่ม-เพื่อนพระศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดภูเก็ต เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา หลังร่วมกับกู้ภัยลงทุนมุดท่อช่วยเหลือลูกสุนัขในท่อระบายน้ำ จนมีคนนำเรื่องไปเผยแพร่ยังสังคมออนไลน์

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิประชาร่วมใจ จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า กลางดึกคืนวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมาได้รับแจ้งมีเหตุลูกสุนัขตกลงไปในท่อระบายน้ำ ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 ทุ่งท่าลาด ต.นาเคียน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ภายหลังนำกำลังไปช่วยเหลือพบกลุ่มพระภิกษุ 4-5 รูปอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมภูเก็ต พร้อมชาวบ้านกำลังช่วยกันใช้เหล็กงัดฝาท่อระบายน้ำออกมา เพื่อลงไปช่วยเหลือลูกสุนัขดังกล่าว โดยมีแม่สุนัขนอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง




ภายหลังเจ้าหน้าที่นำเครื่องมือ และไฟฉายช่วยอีกแรงกระทั่งสามารถล้วงเอาลูกสุนัขออกมาได้ 1 ตัว ด้วยความทุลักทุเล เจ้าหน้าที่รายเดิมเล่าอีกว่า ขณะที่หน่วยกู้ภัยกำลังปิดฝาท่อ ปรากฏว่าพระสุเทพ ไม่ทราบนามสกุล และฉายา บอกว่ายังมีลูกสุนัขอีกตัวอยู่ในท่อลึก ขอให้ช่วยเหลือก่อน จากนั้นพระสุเทพก็ได้ลงไปในท่อดังกล่าวด้วยตัวเอง และพบว่ามีลูกสุนัขตัวลายอยู่ในท่ออีกตัวจริง ๆ แต่เนื่องจากลูกสุนัขตัวดังกล่าวหวาดกลัวผู้คน ทำให้ต้องไปงัดท่ออีกแห่งเพื่อใช้มือล้วงเข้าไปช่วยเหลือนำตัวออกมาได้สำเร็จ ท่ามกลางความโล่งใจของชาวบ้านที่มารอลุ้นเหตุดังกล่าว

ทั้งนี้ได้มีชาวบ้านรายหนึ่งถ่ายภาพ และคลิปวีดีโอ ก่อนนำไปลงสู่โลกออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นช่วงที่พระสุเทพ พยายามมุดท่อลงไปช่วยเหลือลูกสุนัขจนเหงื่อออกโทรมกายไปทั้งตัว สบง-จีวร สกปรกมอมแมมจากน้ำเสียกลิ่นเหม็นคลุ้ง ทำให้ผู้พบเห็นต่างประทับใจในความเมตตาของพระสุเทพและกลุ่มพระจากศูนย์ปฏิบัติธรรมภูเก็ตเป็นอย่างมาก.





ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/361431
12286  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ไม่ธรรมดา'ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ"สุโขทัย"ยิ่งใหญ่อลังการ เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:15:32 am




'ไม่ธรรมดา'ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ"สุโขทัย"ยิ่งใหญ่อลังการ

งานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จ.สุโขทัย จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ มีพิธีตักบาตรรับอรุณ ณ อุโบสถ วัดตระพังเงิน ประกวดกระทงเล็ก พนมหมาก พนมดอกไม้ ไฮไลต์การแสดงแสงสีเสียงเรื่อง "ความรุ่งเรืองของนครสุโขทัย" และอื่นๆ อีกมากมาย

นายปิติ แก้วสลับสี ผวจ.สุโขทัย เปิดเผยว่า การจัดงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ประจำปี 2558 ซึ่งทางจังหวัดร่วมกับกรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 21-25 พ.ย.นี้ จะมีกิจกรรมย้อนยุคต่างๆ มากมาย โดยในช่วงเช้าของวันที่ 21 พ.ย. ตั้งแต่เวลา 05.30 น. จะมีพิธีตักบาตรรับอรุณ ณ อุโบสถ วัดตระพังเงิน พิธีรำบวงสรวง บูรพกษัตริย์สุโขทัยทุกพระองค์ ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ของนักเรียนจำนวน 2,000 คน การประกวดกระทงเล็ก พนมหมาก พนมดอกไม้ ลานเทศน์ลานธรรม โดยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานในเวลา 16.00 น.




ส่วนในภาคกลางคืน จะมีการประกวดโคมชักโคมแขวน หมู่บ้านวิถีไทย การแสดงพื้นบ้าน ตลาดโบราณสมัยสุโขทัย การประกวดกระทงใหญ่ การแสดงโขน การประกวดนางนพมาศ การแสดงตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กิจกรรมข้าวขวัญวันเล่นไฟ

รวมทั้งการแสดงแสงสีเสียงเรื่อง "ความรุ่งเรืองของนครสุโขทัย" ซึ่งถือเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน ณ วัดมหาธาตุ ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้าชมตำนานความยิ่งใหญ่อลังการของกรุงสุโขทัยในอดีตอย่างเนืองแน่น และในวันที่ 25 พ.ย. ซึ่งเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ในภาคเช้าจะมีขบวนอัญเชิญไฟพระฤกษ์และพระประทีปพระราชทานแห่รอบเมือง ก่อนจะนำไปยังแท่นประดิษฐานพระประทีป บริเวณสระตระพังตาล และ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปเป็นประธานอัญเชิญลงลอยเป็นปฐมฤกษ์ ณ สระน้ำวัดสระศรี (ตระพังตระกวน) ในเวลา 22.30 น.




ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/539980
12287  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เกจิดัง'หลวงปู่เอี่ยม'สิ้น เก็บสังขารโลงแก้วกราบ เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 10:38:00 am


เกจิดัง'หลวงปู่เอี่ยม'สิ้น เก็บสังขารโลงแก้วกราบ

พระเกจิดังแห่งวัดเมืองยาง "หลวงปู่เอี่ยม ฐานวโร" ละสังขารสงบด้วยโรคชรา สิริอายุ 91 ปี 5 เดือน พรรษา 67 เตรียมเก็บร่างใส่โรงแก้วไว้ให้ลูกศิษย์กราบไหว้

เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา พระครูประภัศร์ธรรมารามหรือ หลวงปู่เอี่ยม ฐานวโร พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดเมืองยาง ต.เมืองยาง อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ได้มรณภาพลงด้วยโรคชราที่วัดเมืองยาง หลังถูกส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลนางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่เมื่อต้นเดือน พ.ย.2558 ที่ผ่านมาด้วยโรคชรา แต่อาการไม่ดีขึ้นและมรณภาพลงเมื่อเวลา 05.22 น. วันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมาด้วยอาการสงบ สิริอายุ 91 ปี 5 เดือน 4 วัน พรรษา 67 พรรษา นับเป็นพระสงฆ์ที่มีอายุมากเป็นอันดับสองรองจากหลวงปู่ผาด ฐิติปัญโญ หรือพระครูวิบูลย์ ปัญญาวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดบ้านกรวดอ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ที่มรณภาพเมื่อวันที่ 5 ม.ค.2558 มีอายุ 104 ปี 8 เดือน 2 วัน พรรษา 85 พรรษา



ขณะที่พระอาจารย์ธรรมทัต ชินทตโต ศิษย์ที่ไว้วางใจของหลวงปู่ กล่าวว่า การบำเพ็ญกุศลศพของหลวงปู่เอี่ยมจะมีพิธีสวดพระอภิธรรมทุกวันเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. เป็นเวลา 9 วัน จากนั้นจะมีพิธีบรรจุศพหลวงปู่เอี่ยมไว้ในโลงแก้วเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้

สำหรับประวัติ หลวงปู่เอี่ยม ฐานวโร หรือพระครูประภัศร์ธรรมมาราม เดิมชื่อนายเอี่ยม พงษ์พิมาย เกิดเมื่อวันพุธที่ 11 มิ.ย. 2467 จบ ป.4 เป็นชาวบ้าน ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา บุตรนายแป้น กับนางมี พงษ์พิมาย ซึ่งเมื่ออายุครบ 24 ปีได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดใหม่ประตูชัย ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา และอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2491 ที่วัดสระเพลง ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ต่อมาได้ขอย้ายสำนักจากพระอธิการเกิดเจ้าคณะอำเภอพิมาย มาอยู่ที่วัดเมืองยางต.หนองป่อง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์





ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/361323
12288  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จับตา "มารศาสนา" ปฏิบัติการทำลายศรัทธาพุทธศาสนิกชน : แก๊งปลอมบวช เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 10:29:14 am


จับตา "มารศาสนา" ปฏิบัติการทำลายศรัทธาพุทธศาสนิกชน : แก๊งปลอมบวช


ปลอมบวช

ปัญหาคาราคาซังของ พุทธศาสนา โดยกลุ่มบุคคลที่ประพฤติตนเป็น “มารศาสนา” อาศัยความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนใช้เป็นช่องทางในการหาเลี้ยงชีพ

จากข้อมูลของ ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระบุชัดว่า ปัญหาการปลอมบวชเกิดขึ้นทุกปี โดยทางส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนาตรวจพบ และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมเฉลี่ยปีละประมาณกว่า 10 ราย

แม้จะดูเหมือนมีจำนวนไม่มาก แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่พบเห็นผู้ที่มาปลอมบวช แล้วไม่ทราบข้อเท็จจริง เกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวพระสงฆ์ของพระพุทธศาสนาลงได้ เพราะผู้ที่ปลอมบวชจะแต่งกายเหมือนพระสงฆ์ทุกประการ



พระเมธีธรรมาจารย์


โดยสิ่งที่จะสังเกตได้ว่าเป็น “คนปลอมบวช” หรือ “พระสงฆ์” นั้น ทางส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา แนะนำวิธีสังเกตคือ ผู้ที่ปลอมบวชจะมีพฤติกรรมที่ไม่สำรวม ห่มจีวรไม่สะอาด รุงรัง ทั้งยังบิณฑบาตมุ่งหวังแต่เงินเท่านั้น

“การปลอมบวช ส่วนใหญ่จะมุ่งเรี่ยไรเงิน แสวงหาประโยชน์ รวมทั้งมีเจตนาอื่นๆแอบแฝงอยู่ด้วย โดยจะพบผู้ปลอมบวชมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ รองลงมา คือ พื้นที่ภาคตะวันออก และจังหวัดที่อยู่ตามแนวชายแดน” นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ กล่าวยืนยันถึงพฤติกรรมของผู้ปลอมบวช พร้อมทั้งเปิดเผยพื้นที่ที่มักจะพบกลุ่มมารศาสนากลุ่มนี้

ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่า แหล่งหากินของผู้ปลอมบวชส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นเมืองขนาดใหญ่ คนอาศัยอยู่จำนวนมาก ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ ยังพบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการปลอมบวช ซึ่งน่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ การปลอมบวชเป็นพระสงฆ์ เพื่อแสดงพฤติกรรมเสื่อมเสีย โดยมีเป้าหมายให้พุทธศาสนิกชนเสื่อมความศรัทธาในพระพุทธศาสนา

พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ ยืนยันว่า ปัจจุบันปัญหาปลอมบวช นอกจากหวังลาภสักการะแล้ว ยังมีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย ซึ่งทางศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ ได้รับข้อมูลมาว่า มีกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาปลอม





บวชเป็นพระสงฆ์แล้วประพฤติตัวเสื่อมเสีย เช่น ดื่มเหล้า เข้าไปกินอาหารในร้านหรูๆ เที่ยวในสถานที่อโคจรของพระสงฆ์ ทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด เป็นต้น จากนั้นจะมีการเผยแพร่ภาพออกไปทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2558 ทางศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ ได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ นับ 100 ราย

“กรณีล่าสุดที่พบที่ จ.สงขลาเมื่อเดือน ต.ค. ที่มีภาพพระสงฆ์นั่งดื่มเหล้าในวัดแห่งหนึ่ง เมื่อตรวจสอบเชิงลึกไปแล้วก็พบว่า บุคคลที่ปรากฏในภาพไม่ใช่พระสงฆ์ ทั้งยังมีการทำหนังสือสุทธิปลอม และมีเจตนานั่งดื่มเหล้าในพื้นที่วัด เพื่อให้มีผู้มาบันทึกภาพให้เกิดความเสื่อมเสีย ซึ่งขณะนี้ ทางศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ

กำลังจับตากลุ่มปลอมบวชที่มีพฤติกรรมสร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนา เพื่อรวบรวมข้อมูลประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ กล่าวย้ำ
“ทีมข่าวศาสนา” มองว่า จากข้อมูลของส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา และศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ บ่งชี้ชัดเจนว่า “กลุ่มผู้ที่ปลอมบวช” ไม่ว่าจะปลอมบวชเพื่อหวังลาภสักการะ หรือปลอมบวชเพื่อมุ่งหวังทำลายความศรัทธาต่อพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ผลลัพธ์ในแง่ลบล้วนออกมาตรงกัน คือ ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา

และเราเชื่อว่า หนทางที่จะช่วยกำจัด “กลุ่มมารศาสนา” กลุ่มนี้ให้หมดไป หรือให้ลดน้อยลง นอกจากพวกเราในฐานะพุทธศาสนิกชนจะต้องไม่ทำบุญกับพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น นุ่งห่มจีวรไม่เรียบร้อย สวดมนต์ไม่เป็น วอกแวก มุ่งแต่จะเรี่ยไร่เงินทอง





อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้คือการช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากพบเห็นกลุ่มบุคคลที่แต่งกายเป็นพระสงฆ์แล้วมีพฤติกรรมดังกล่าว อย่ามองผ่านไปโดยถือว่าธุระไม่ใช่ แต่ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ

เพราะการแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ถือว่ามีความผิดเข้าข่ายการปลอมบวช มีโทษทางอาญาจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่รับแจ้งเหตุสามารถกล่าวโทษได้ทันที

ถึงเวลาแล้วที่พุทธศาสนิกชนทุกคนจะต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตากำจัด “มารศาสนา” กลุ่มนี้ให้สูญสิ้นไปเสียทีเถอะ.....!!!


ทีมข่าวศาสนา


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/539755
12289  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ถอดรหัส "ถนนสีแดง" มากกว่าสะดุดตา คือ ความปลอดภัย เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 07:48:40 am


ถอดรหัส "ถนนสีแดง" มากกว่าสะดุดตา คือ ความปลอดภัย
เรื่อง...อินทรชัย พาณิชกุล

เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย หลังจากกรมทางหลวงสั่งการให้ทาสีแดงทับลงบนพื้นถนนเป็นระยะทางกว่า 200 เมตร บริเวณโค้งอันตรายวัดห้วยเตย ถนนเอเชียไฮเวย์ที่ 12 บ้านห้วยเตย-ห้วยหินฝน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันดีในชื่อ "โค้งร้อยศพ ตาก-แม่สอด" โดยให้เหตุผลว่าเพื่อลดอุบัติเหตุที่เกิด
ขึ้นอยู่เป็นประจำแทบทุกวัน

คำถามเกิดขึ้นตามมาคือ ทำไมถึงต้องทาสีแดงลงบนพื้นถนน? สีแดงมีความหมายอย่างไร? และจะช่วยลดอุบัติเหตุได้จริงหรือ.?


 ask1 ans1 ask1 ans1

จากการเปิดเผยของกรมทางหลวงพบว่า ถนนเส้นดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง ที่ผ่านมาได้แก้ปัญหาด้วยการติดตั้งจุดสังเกตไว้ริมทาง เช่น ป้ายลดความเร็ว ป้ายห้ามขับเกิน 40 กม.ต่อชั่วโมงป้ายระวังถนนลื่น แต่ก็ไร้ผล ในที่สุดจึงใช้วิธีทาสีลงบนพื้นถนน เพื่อให้ผู้ขับขี่รถสัญจรผ่านไปมารู้สึกสะดุดตายิ่งขึ้น

สีที่ใช้ทามีลักษณะพิเศษคือ สีโคลด์พลาสติกแอนตี้สคิด ผสมกับลูกแก้ว เมื่อผู้ขับขี่รถผ่านมาในเวลากลางคืน แสงไฟจากรถจะส่องกระทบพื้นและจะมีแสงระยิบระยับสะท้อนให้เห็นชัดเจน ขณะเดียวกันยังมีแรงเสียดทาน ทำให้ยางรถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้นด้วย

"รู้กันในหมู่คนที่สัญจรผ่านไปมาบนเส้นทางนี้ว่า ถนนสายตาก-แม่สอด เกิดอุบัติเหตุทุกวัน คว่ำตกข้างทางบ้าง ลื่นไถลบ้าง เนื่องจากเป็นเส้นทางหุบเขาที่คดเคี้ยว บวกกับคนขับมักใช้ความเร็วสูง หรือไม่ชำนาญทาง นอกจากนี้สภาพพื้นผิวถนนที่เป็นทางลาดไต่เขาถูกเสียดสีบ่อยจึงสึกค่อนข้างเร็ว ผิวถนนที่เป็นมันจึงไม่มีแรงเสียดทาน พอฝนตก ถนนเลยลื่น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมาก

วิธีเดียวที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วลงได้คือ สร้างความตระหนักว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวมีความเสี่ยงอันตราย ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งการติดป้ายเตือน เช่น ลดความเร็ว ระวังโค้งอันตรายก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแล้ว ดังนั้นการที่เลือกใช้สีฉูดฉาดมาทาทับถนนพื้นถนนให้โดดเด่นสะดุดตา น่าจะช่วยให้คนตระหนักถึงความเสี่ยงอันตรายได้"


ผศ.ทวีศักดิ์ แตะกระโทก อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าว





ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมจราจรรายนี้ อธิบายต่อว่า สีที่นำมาใช้ทาไม่ใช่สีธรรมดา แต่เป็นสีพิเศษที่มีลักษณะเป็นสีพลาสติกผสมกับวัสดุมวลรวม เพื่อเพิ่มแรงเสียดทานให้กับผิวถนน ช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงฝนตก

"นอกจากการใช้สีเพื่อให้สะดุดตา และเกิดความตระหนัก ลักษณะพิเศษของสีชนิดนี้ยังช่วยเพิ่มแรงเสียดทานให้พื้นผิวถนน ช่วยให้รถยึดเกาะถนนดียิ่งขึ้น อย่างที่ผ่านมารถบรรทุกขนาดใหญ่แทบจะไม่สามารถไต่ขึ้นได้ เนื่องจากผิวถนนถูกเสียดสีจนสึกเป็นมันเลื่อม ล้อจึงหมุนฟรี ทำให้รถไถลตกลงข้างทางอยู่บ่อยๆ ในกรุงเทพเองก็มีการใช้วิธีทาสีถนนในลักษณะนี้หลายจุด เช่น สะพานข้ามห้าแยกลาดพร้าว สะพานข้ามแยกบางใหญ่ สะพานทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ"

ผศ.ทวีศักดิ์ แนะนำไปยังผู้ใช้รถใช้ถนนว่า เมื่อขับไปเจอพื้นถนนสีแดง ควรตื่นตัว ระมัดระวัง และลดความเร็วลงตามที่ป้ายกำหนดไว้

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ขณะที่ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) ให้ความรู้ทางวิชาการว่า การทาสีลงบนพื้นถนน มาจากคำว่า Anti Skid Paint มักใช้บริเวณจุดที่ต้องการเพิ่มแรงเสียดทานให้รถเกาะถนน เช่น ทางโค้ง

Skid แปลว่าลื่นไถล การใช้ Anti Skid Paint ก็คือการทาสีเพื่อป้องกันไม่ให้รถลื่นไถล โดยจะมีหลายรูปแบบ เช่น สีเขียว สีส้ม สีน้ำเงิน สีแดง ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ข้อดีแต่ละสีแตกต่างกันสีส้มเหมาะกับเตือนให้ความสว่างในช่วงกลางคืน สีแดงจะให้ความรู้สึกระมัดระวังเป็นพิเศษ เป็นต้นทีนี้ก็ต้องพิจารณาดูว่าพื้นที่นั้นๆมีปัญหาลักษณะไหน เสียหลักหลุดโค้ง หรือข้ามเกาะมาประสานงากัน

ถ้าเป็นการวิ่งมาด้วยความเร็ว และหลุดโค้ง การใช้ Anti Skid Paint อย่างเดียวอาจไม่พอต้องมีมาตรการชะลอความเร็วก่อนเข้าโค้งเข้ามาช่วยด้วย เช่น
    1. ใช้ป้ายเตือน สัญญาณไฟกะพริบเตือนเป็นตัวกำหนดความเร็ว เช่น "ลดความเร็ว""ระวังทางโค้ง"
    2. เตือนเป็นการตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ที่เข้าใจได้ง่ายลงบนพื้นถนน หรือเรียกว่า “มาร์กกิ้ง”
    3. เตือนด้วยลูกระนาด (Rumble Strip ) เป็นเครื่องหมายจราจรบนผิวทางที่มีลักษณะเป็นเส้นหลายๆเส้นเพื่อให้ขับรถให้ช้าลง เมื่อผ่านเส้นชะลอความเร็วรถจะเกิดอาการสั่นสะเทือน ทำให้ผู้ขับขี่ตื่นตัวและเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ 
    4. บีบถนนให้แคบลง ด้วยการตีเส้นช่องทาง หรือขีดเส้นเป็นสัญลักษณ์เตือนให้ลดความเร็วที่มองเห็นได้ง่าย เรียกว่า Optical speed bar หรือเครื่องหมายที่ติดตั้งบนไหล่ทางที่เรียกว่า Shoulder Rumble Strip ทำให้คนขับรถรู้สึกว่าถนนแคบลง และจะลดความเร็วลงโดยอัตโนมัติ





ในมุมมองของนักวิชาการด้านความปลอดภัยบนท้องถนนรายนี้เชื่อว่า การใช้วิธีทาสีลงบนพื้นถนน หรือAnti Skid Paint ใช้งบประมาณไม่แพง เมื่อเทียบกับการต้องเปลี่ยนกายภาพของถนน เช่น การยกโค้ง แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้ววิธีนี้ไม่ได้ผลก็อาจต้องไปแก้ไขในระดับกายภาพ

"ข้อเสนอของผมคือ ควรมีการประเมินผลก่อนและหลังการทาสีแดงลงบนถนน เช่น ก่อนหน้านี้มีสถิติอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน รูปแบบใด และหลังจากมาตรการนี้ออกไปช่วยลดอุบัติเหตุได้แค่ไหนอย่างไร การประเมินผลจะทำให้การวิเคราะห์ปัญหาเป็นไปอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ"

เบื้องหลังแนวคิดการทาสีแดงลงบนพื้นผิวถนน นอกจากจะช่วยให้เกิดความสะดุดตา เกิดความตระหนักในกลุ่มผู้ขับขี่รถยนต์แล้ว ยังมีคุณประโยชน์แฝงไว้มากมายอย่างที่ใครก็คิดไม่ถึง.



นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.posttoday.com/local/scoop/400059
12290  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดงานวิจัย...ดื่ม “น้ำเย็น” กับ “น้ำร้อน” อะไรจะดีกว่ากัน.? เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 07:36:33 am

เปิดงานวิจัย...ดื่ม “น้ำเย็น” กับ “น้ำร้อน” อะไรจะดีกว่ากัน.?

มีการส่งข้อมูลกันต่อๆ กันมาในโซเชียลมีเดียกันว่าไม่ควรดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร เพราะจะทำให้ไขมันจับตัวเคลือบในล้ำไส้นำไปสู่โรคมะเร็งบ้าง และจะยังทำให้ไขมันไปจับหัวใจจนเส้นเลือดตีบตายได้นั้นถือเป็นข้อมูลที่ปราศจากหลักฐานหรือการอ้างอิงงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้เลย
       
       แต่ถ้ามาดูเรื่องงานวิจัยกับเรื่องการดื่มน้ำนั้นกลับมีความน่าสนใจอยู่หลายประเด็น ดังนี้
       
       เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2556 วารสารวิจัยทางการแทพย์ชื่อ Journal Clinical and Diagnostic Research ในหัวข้อ Effect of "Water Induced Thermogenesis" on Body Weight, Body Mass Index and Body Composition of Overweight Subjects. โดย Vinu A. Vij และ Anjali S. Joshi ได้ทำการวิจัยเพื่อประเมินว่าการดื่มน้ำมากๆ จะส่งผลทำให้เร่งการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และมีผลทำให้ไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้หรือไม่ โดยเฉพาะในกลุ่มตัวอย่างที่มีน้ำหนักเกินหรือไม่
       
       วิธีการคือศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้หญิง 50 คนที่มีน้ำหนักเกิน มาดื่มน้ำในปริมาณ 500 มิลลิลิตรก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงทั้ง 3 มื้อต่อวัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างมีน้ำหนักลดลง ดัชนีมวลกลายลดลง โครงสร้างทางกายภาพที่เป็นเนื้อเยื่อไขมันก็ลดลง งานวิจัยที่ว่านี้แสดงให้เห็นว่าการดื่มน้ำให้ได้ปริมาณ 1.5 ลิตรต่อวัน อาจจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายให้เพิ่มขึ้นได้ หรือในความเป็นจริงก็อาจจะเป็นเพราะดื่มน้ำมากจนอิ่ม แล้วกินอาหารได้น้อยลงก็ได้เช่นกัน

         :49: :49: :49: :49:

   มาถึงในประเด็นถัดมาถึงการดื่มน้ำร้อนกับน้ำเย็น จะให้ผลดีแตกต่างกันอย่างไร ดูเหมือนว่างานวิจัยที่ปรากฏอยู่ในห้องสมุดทางการแพทย์ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (Pub Med) พบเรื่องน้ำร้อนและน้ำเย็นอยู่ 2 ประเด็นที่น่าสนใจ คือ     
   1.ผลของการใช้อุณหภูมิของน้ำกับการช่วยเรื่องการกลืน เป็นอย่างไร.?     
   2.ถ้าเราสูญเสียน้ำและเกลือแร่ เช่น การออกกำลังกาย การดื่มน้ำในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน จะให้ผลเป็นเช่นไร.?
       
   เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 วารสารทางการแพทย์ชื่อ Journal of Neurogastroenterology and Motility ได้ตีพิมพ์ผลงานการศึกษาในหัวข้อ Hot Water Swallows May Improve Symptoms in Patients With Achalasia โดย Moo In Park ซึ่งได้สนใจในผู้ป่วยที่เป็นโรคกลืนอาหารลำบาก อันเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหลอดอาหาร ซึ่งอาการของโรคกลืนลำบากนั้น ได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลด และเจ็บหน้าอกจะสามารถทำให้อาการดีขึ้นด้วยการดื่มกลืนน้ำร้อนหรือไม่?
       
   ความจริงแล้ว ภาวะกลืนลำบากอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น โรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมอง ฯลฯ


       :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

       การศึกษาในครั้งนี้ได้กล่าวถึงการดื่มกลืนน้ำเย็นอาจจะทำให้เกิดภาวะกลืนลำบากหรือเจ็บหน้าอกในกลุ่มผู้ป่วยบางรายที่หลอดเลือดอาหารมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ในทางตรงกันข้าม การดื่มกลืนน้ำร้อนอาจจะช่วยพัฒนาอาการของหลอดอาหารให้ดีขึ้น และในความเป็นจริงก็มีผู้ป่วยซึ่งมีประสบการณ์การเคลื่อนตัวของหลอดอาหารผิดปกตินั้นมีแนวโน้มจะมีอาการดีขึ้นหลังจากการดื่มน้ำร้อน
       
       ผลการศึกษาดังที่กล่าวมาข้างต้นได้อ้างอิงงานวิจัยทางการแพทย์ 7 ชิ้น ได้สรุปว่าจากผลการศึกษาจากประสบการณ์ทางการแพทย์และผลการศึกษาในกลุ่มเล็กระบุถึงประโยชน์ของผู้ป่วยที่มีภาวะกลืนลำบากในการกลืนอาหารร้อนหรืออุ่น
       
       พ.ศ.2556 งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ชื่อ The effect of water of temperature and voluntary drinking on the post rehyration sweating. ซึ่งโยได้นำกลุ่มตัวอย่างมาออกกำลังกายในห้องควบคุมที่ร้อนและชื้น เพื่อให้เสียเหงื่อมาก หลังจากนั้นจึงให้ดื่มน้ำในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ได้แก่ 5 องศาเซลเซียส 16 องศาเซลเซียส 26 องศาเซลเซียส และ 58 องศาเซลเซียส ในช่วงเวลา 4 วันที่แยกออกจากกัน ผลปรากฏว่าน้ำอุณหภูมิที่ 16 องศาเซลเซียสกลับเป็นอุณภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักกีฬาที่สูญเสียเกลือแร่


        :96: :96: :96: :96: :96:

     สรุปจากงานวิจัยข้างต้นน้ำอุณหภูมิร้อนหรือเย็นต่างมีประโยชน์ไม่เหมือนกัน น้ำร้อนหรืออุ่นมีประโยชน์ที่จะช่วยประสิทธิภาพในการกลืนให้ดีขึ้น ในขณะที่น้ำอุณหภูมิเย็นประมาณ 16 องศาเซลเซียส กลับเหมาะสมสำหรับนักกีฬา


คอลัมน์ ธรรมชาติบำบัด โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
เซกชั่น Good Health & Well Being
นิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14-20 พฤศจิกายน 2558
http://www.manager.co.th/goodhealth/ViewNews.aspx?NewsID=9580000126790
12291  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดูไว้..ตำรวจคนจริง.! โปลิศ "มีสำนึก" ออกใบสั่งให้ตัวเอง "เหตุจอดรถช่องคนพิการ" เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 07:31:44 am

ดูไว้ ตร.คนจริง โปลิศ "มีสำนึก" ออกใบสั่งให้ตัวเอง "เหตุจอดรถช่องคนพิการ"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจแดนลุงแซมสร้างความฮือฮาด้วยเสียงชื่นชม ด้วยการ"ลงโทษตัวเอง"จากเหตุที่เขา"เผลอไปจอดรถในที่สำหรับคนพิการ"

รายงานระบุว่า ในเหตุการณ์นี้ นายตำรวจเดวิด ครากค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา ออกใบสั่งลงโทษตัวเองด้วยการปรับเงิน จากเหตุที่เขาเผลอไปจอดรถในที่จอดสำหรับคนพิการ โดยเหตุการณ์เริ่มต้นที่อนุสรณ์สถานมิลวอกี ซี่งมีการพิธีเนื่องในวันทหารผ่านศึก โดยนายตำรวจผู้นี้ได้เข้าร่วมด้วย  แต่เขาได้กระทำความผิดดังกล่าว จึงได้ลงโทษตัวเองด้วยการ "ออกใบสั่งให้ตัวเอง" 

ก่อนที่ต่อมาเจ้าตัวจะได้แถลงเปิดเผยว่า "ผมรับคำสั่งให้ไปร่วมพิธีที่อนุสรณ์สถานในเมืองมิลวอกี จากนั้นผมก็จอดและลงไปร่วมพิธีในนั้น แต่ทว่าผมไม่ทันสังเกตว่าผมจอดรถในที่ของคนพิการ ซึ่งตามกฎหมายแล้ว เจ้าหน้าที่จะได้รับการยกเว้นให้สามารถจอดรถในที่คนพิการได้ในบางกรณี เช่น เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือ คำสั่งเร่งด่วนจากทางการ แต่ว่านี่ไม่ใช่ข้อยกเว้นข้างต้น ดังนั้น ผมจึงสมควรถูกลงโทษ"

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่คลากค์ต้องเสียค่าปรับเป็นเงิน 35 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,260 บาท นอกจากนี้ ขณะเดียวกัน เขายังได้มอบเงินอีกเป็นจำนวน 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,180 บาท เพื่อมอบให้แก่องค์กรด้านคนพิการด้วย


ชมคลิปได้ที่
http://metro.co.uk/2015/11/15/police-officer-noticed-hed-parked-in-disabled-bay-so-gave-himself-a-ticket-5502898/
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1447652323
12292  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชงรัฐบาลขุด "คลองคอดกระ" ชี้ สร้างรายได้ 5 แสนล้าน/ปี กระตุ้นลงทุน 2 ล้านล้าน บ. เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 07:26:14 am



ชงรัฐบาลขุด"คลองคอดกระ" ชี้ สร้างรายได้5แสนล้าน/ปี กระตุ้นลงทุน2ล้านล้านบ.

เครือข่ายรณรงค์ ขุดคลองกระไทย เตรียมรณรงค์ผลักดันรัฐบาลเดินหน้าโครงการขุดคลองกระไทย เกิดผลดีด้านความมั่นคง การค้าการลงทุน สร้างรายได้ให้ประชาชนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 แสนบาทต่อคนต่อปี ชี้ต้องเดินหน้าในรัฐบาลนี้เท่านั้น เพราะการเมืองปกติไม่สามารถผลักดันได้

นายพิเชียร อำนาจวรประเสิรฐ ประธานเครือข่ายรณรงค์ ขุดคลองกระไทย และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 กล่าวในงานสัมมนา “อนาคตเศรษฐกิจ พลังงานไทย ก้าวไกลด้วยโครงการขุดคลองกระไทย” ว่า การขุดคลองกระจะช่วยย่นระยะทางได้กว่า 1,500 กิโลเมตร ร่นระยะเวลาเดินทางระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และทะเลจีนใต้ได้ 3 ถึง 4 วัน ลดค่าใช่จ่ายได้ร้อยละ 15 จากปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางเรือในภูมิภาคเอเชียเทนที่สิงคโปร์ได้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษารายละเอียดให้แล้วเสร็จ และเริ่มเดินหน้าโครงการได้ภายใน 1 ถึง 2 ปี


 :49: :49: :49: :49:

สำหรับการลงทุนนั้น ไทยไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนเอง เพราะจีนและญี่ปุ่นพร้อมที่จะเข้ามาลงทุน หากรัฐบาลเห็นว่าโครงการนี้มีประโยชน์ก็เร่งเดินหน้าได้ทันที อย่างไรก็ตาม จะต้องรับฟังผลกระทบทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนด้วย เพราะต้องยอมรับว่าโครงการขนาดใหญ่จะต้องมีผลกระทบบ้าง แต่ในภาพรวมเป็นผลดีต่อประเทศ

ด้านนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพม่าขณะนี้ ทำให้จีนมีความจำเป็นต้องใช้ลาวและไทย เป็นทางออกสู่มหาสมุทรอินเดีย ตามแผนชาติฉบับที่ 12 ของจีน ว่าด้วยการสร้างเส้นทางสายไหมทางทะเล ทำให้จีนมีความต้องการขุดคลองกระ ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์จากการกำหนดพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 2 ฝั่งคลองที่ขุดขึ้น

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

โดยตลอด 10 ปี ที่ก่อสร้างจะก่อให้เกิดการจ้างงานรวมกว่า 2,500,000 ตำแหน่ง รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท สร้างรายได้ให้คนไทยเฉลี่ย 5 แสนบาทต่อคนต่อปี ทั้งนี้ หากจากมีการผลักดันต้องทำในรัฐบาลลนี้เท่านั้น เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีการพูดเรื่องนี้หลายครั้ง แต่การเมืองปกติไม่สามารถผลักดันได้

ด้านพล.ร.อ.ศุภกร บูรณดิลก อดีตผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวว่า การขุดคลองกระจะทำให้กองเรือซึ่งอยู่ในอ่าวไทย สามารถร่นระยะเวลาในการเดินทางไปยังฝั่งอันดามันได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งด้านความมั่นคง และภารกิจช่วยเหลือกู้ภัย หากเกิดภัยพิบัติ เช่น สึนามิ เหมือนครั้งที่ผ่านมา


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1447589214
12293  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทัวร์เมืองเก่า เล่าเรื่องวันวาน ผ่านที่เที่ยวหลากหลาย ที่ "เพชรบุรี" เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 07:23:01 am



พระปรางค์ห้ายอดที่สร้างตามศิลปะแบบขอม ในวัดพระมหาธาตุ


ทัวร์เมืองเก่า เล่าเรื่องวันวาน ผ่านที่เที่ยวหลากหลาย ที่ "เพชรบุรี"

        "เพชรบุรี" เป็นเมืองที่มีประวัติยาวนานเก่าแก่แห่งหนึ่งในประเทศไทย และมีความหลากหลายทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิต จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวของกษัตริย์ เพราะไม่ว่าทุกยุคทุกสมัยกษัตริย์ของไทยมักจะมาเยือนท่องเที่ยวที่เมืองเพชรบุรีเสมอ นอกจากนั้นยังเป็นที่ที่มีก่อตั้งเริ่มต้นหลายอย่างกลายเป็นรากฐานประวัติศาสตร์ครั้งแรกในประเทศไทยจนเกิดการแพร่หลายไปทั่ว
       
       ได้มาเยือนเพชรบุรีคราวนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเพชรบุรี ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงาน มอสโก ประเทศรัสเซีย ร่วมกันจัดเส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ “ครั้งแรกของสยามในจังหวัดเพชรบุรี” เพื่อเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวประวัติศาสตร์อันหลากหลายในจังหวัด ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบุรีมากขึ้น



โบสถ์ปลูก ที่ "วัดคุ้งตำหนัก"


        โดย เอื้อมพร จิรกาลวิศัลย์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงาน มอสโก ได้กล่าวไว้ว่า “เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มประเทศรัสเซียมีความสนใจท่องเที่ยวในเชิงทางวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ควบคู่กับการท่องเที่ยวธรรมชาติมากขึ้น จึงได้สำรวจเส้นทางเพื่อหาแหล่งท่องเที่ยวที่จะตอบสนองนักท่องเที่ยวได้ดี จึงพบว่า จังหวัดเพชรบุรีนั้นเป็นจังหวัดที่มีความพร้อม และท่องเที่ยวได้หลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม วิถีชีวิตและที่สำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับประเทศชาติตะวันตกมาอย่างยาวนานมากกว่า 100 ปี และเป็นจุดเริ่มต้นหลายอย่างที่น่าสนใจ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นจุดท่องเที่ยวที่จะดึงความสนใจนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้มาท่องเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น”


พระประธานในโบสถ์แกะสลักด้วยไม้ทองหลาง


        ที่แรกที่จะไปเยือนนั้นคือ “วัดคุ้งตำหนัก” ตั้งอยู่ที่ ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม เป็นวัดเก่าแห่งหนี่งในเพชรบุรี และมีเรื่องเล่าตำนานที่กล่าวกันว่า ในสมัยอยุธยาตอนปลายนั้น บริเวณบ้านบางด้วน คุ้งน้ำบางตะบูน เคยมีพลับพลา หรือตำหนักพระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จประพาสทรงเบ็ดและได้สร้างตำหนักไว้ที่วัดคุ้งตำหนัก ใกล้ปากอ่าวบางตะบูน เพราะเป็นที่ที่มีปลาชุกชุมอย่างมาก ตามที่ปรากฏไว้ในนิราศเมืองเพชรของสุนทรภู่ที่กล่าวไว้ว่า “ถึงวังที่ตั้งประทับรับเสด็จ มาทรงเบ็ดปลากระโห้ไม่สังหาร ให้ปล่อยไปในทะเลเอาเพดาน แต่โบราณเรียกว่าองค์พระทรงปลา “ ซึ่งในปัจจุบันไม่ปรากฏร่องรอยของพระตำหนักดังกล่าว เหลือไว้เพียงเรื่องเล่าแต่กาลก่อนในอดีตเท่านั้น


พระประธาน ที่"วัดคุ้งตำหนัก" มีความสวยงามอย่างมาก


        ภายในวัดคุ้งตำหนักนั้น มีโบสถ์ปลูกที่เก่าแก่เป็นอย่างมาก มีการสันนิษฐานไว้ว่าโบสถ์ปลูกหลังนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งคำว่าโบสถ์ปลูกนั้น หมายถึงโบสถ์ที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ส่วนคำเรียกว่า โบสถ์ก่อ นั้นหมายถึงโบสถ์ที่สร้างด้วยอิฐด้วยปูน โบสถ์ปลูกที่วัดคุ้งตำหนักแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยไม้สักทั้งหลัง และความพิเศษของโบสถ์ปลูกนี้นั่นคือ พระประธานในโบสถ์ สร้างมาจากไม้ทองหลางที่ช่างได้แกะสลักเป็นพระพุทธรูป มีความเก่าแก่สวยงามเป็นอย่างมาก


โต๊ะเรียนเก่าแก่จัดแสดงให้ชมที่ “โรงเรียนอรุณประดิษฐ์”
       
แสดงประวัติชมผลงานให้ได้ชม “โรงเรียนอรุณประดิษฐ์”


        จากนั้นเส้นทางท่องเที่ยวที่ไปเยือนต่อไปคือ “โรงเรียนอรุณประดิษฐ์” ตั้งอยู่ใน อ.เมือง เป็นโรงเรียนเก่าแก่ในจังหวัดเพชรบุรีที่มีประวัติศาสตร์สำคัญในประเทศไทย เพราะเป็นโรงเรียนที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับชาติตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้น โรงเรียนแห่งนี้สร้างขึ้นโดยคณะมิชชันนารีที่เดินทางมาจากคริสตจักรเพรสไบทีเรียน ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อมาเผยแพร่ศาสนาและวางรากฐานการศึกษาแผนใหม่ให้กับชาวเพชรบุรี ซึ่งประกอบไปด้วย ศาสนาจารย์ เอส.จี.แมคฟาร์แลนด์ (Rev. S.G. McFarland) ศาสนาจารย์ ดาเนียล แมคกิลวารี (Rev.Daniel McGilvary) และครอบครัว โดยศาสนาจารย์ เอส.จี.แมคฟาร์แลนด์ ได้ลงมือก่อสร้างอาคารเรียนขึ้นด้วยมือของตัวเอง โดยอาคารเรียนหลังแรกที่สร้างเสร็จนั้น เป็นอาคารเล็กๆ หลังคามุงด้วยจาก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรีฝั่งตะวันตก ติดกับด้านทิศใต้ของวัดไชยสุรินทร์ ขณะนั้นเรียกว่า โรงเรียนฝึกหัดทำการ ซึ่งชาวเมืองเพชรมักจะเรียกว่า “โรงเรียนฝรั่งวัดน้อย” ซึ่งนับว่าเป็นโรงเรียนราษฎร์สตรีแห่งแรกของเพชรบุรี และของประเทศไทย ที่สอนวิชาการทั่วไปและการเย็บปักถักร้อย ที่นี่เองจักรเย็บผ้าได้นำมาถูกใช้เป็นครั้งแรก เพชรบุรีจึงได้ชื่อว่า "เมืองแห่งจักรเย็บผ้า" ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนกลายเป็นโรงเรียนสหศึกษาที่มีผู้ชายเข้ามาเรียนได้ด้วย ถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี


ปัจจุบันจากโรงเรียนสตรีหญิงแห่งในประเทศไทยได้กลายเป็นโรงเรียนสหศึกษา
       
คริสตจักรจีนเพชรบุรี


        จากนั้นถัดไปไม่ไกล ที่ “คริสตจักรจีนเพชรบุรี” เป็นที่ที่อยู่ของ “ศาสนาจารย์เหล่า หยกเกีย”ศาสนาจารย์หญิงคนแรกของประเทศไทย ที่มีอายุยาวนานถึง 101 ปี และได้ถวายตัวรับใช้ศาสนาคริสต์มาอย่างยาวนาน ท่านได้เข้ามาอยู่ที่เพชรบุรีในวัยสาว ตั้งแต่ปี 2490 จนมีความผูกผันในเมืองเพชรบุรีอย่างมาก ก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเรียนรู้ต่อและเผยแพร่หลักคำสอนของพระเจ้า จนกระทั่งท่านเกษียณอายุตัวเองที่ฮ่องกง จึงได้ตั้งใจกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศไทยในเมืองเพชรบุรีอีกครั้ง เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า ยึดมั่นปฏิบัติตนตามหลักคำสอนในศาสนาคริสต์ และตั้งใจที่จะเผยแพร่ จนกลายเป็นที่นับถือทั่วไปแก่ศาสนิกชน และได้รับสถาปนาเป็นศาสนาจารย์หญิงคนแรกของประเทศไทยอีกด้วย


"ศาสนาจารย์เหล่า หยกเกีย” ศาสนาจารย์หญิงคนแรกของประเทศไทย
       
"วัดกำแพงแลง" มีโบราณสถานที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี


        สถานที่ต่อมาที่ไปเยือนคือ "วัดกำแพงแลง" ตั้งอยู่ใน ต.ท่าราบ อ.เมือง ที่วัดแห่งนี้เป็นโบราณสถานที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี แสดงถึงความเป็นบ้านเมืองขนาดใหญ่ของเพชรบุรีในสมัยอดีต โดยที่นี่สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นช่วงยุคสมัยขอมมีความรุ่งเรืองอย่างมากตามดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเพชรบุรี วัดแห่งนี้เป็นเทวสถาน สร้างตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ ต่อมาเมื่ออิทธิพลของศาสนาพุทธได้เผยแผ่เข้ามาในบริเวณนี้ จึงมีการดัดแปลงให้เป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนา ภายในวัดกำแพงแลงเดิมเคยมีปรางค์ 5 องค์ มีปรางค์ประธานอยู่ตรงกลางและมีปรางค์ทิศอยู่ 4 มุมปัจจุบันเหลือเพียง 3 องค์ และมีการสันนิษฐานว่าปรางค์แต่ละหลังใช้เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป เช่น พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม พระนางอุมา เป็นต้น


ภายในวิหารมีพระพุทธรูปที่เป็นที่นับถือของชาวพุทธเพชรบุรี


        วัดกำแพงแลงเป็นวัดที่เก่าและมีความสำคัญแล้วยังมี “วัดมหาธาตุวรวิหาร” ตั้งอยู่ ต.คลองกระแช อ.เมือง เป็นวัดเก่าแก่และสำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี ที่สันนิษฐานไว้ว่าสร้างขึ้นในสมัยทวาราวดี ภายในวัดมีพระปรางค์ห้ายอดที่สร้างตามศิลปะแบบขอม ซึ่งปรางค์แต่ละองค์สร้างด้วยศิลาแลง นอกจากนั้นภายในวัดมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเพชรบุรีนับถือเป็นอย่างมาก คือ พระพุทธรูปหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อทอง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนชาวเพชรบุรี


รูปปั้นล้อการเมืองมีให้ชมได้ที่ วัดมหาธาตุ
       
รูปปูนปั้นแกะสลักบนเพดานที่มีดาวเทียมอยู่เหนือเทพทั้งหลาย


        และสิ่งไฮไลต์พิเศษของวัดนี้ นั่นคือการเดินชมศิลปะลายปูนปั้นชั้นครูฝีมือ ช่างสิบหมู่เมืองเพชรที่ปรากฏไว้ตามหน้าบันและฐานพระพุทธรูปภายในวัดมากมาย มีทั้งความสวยงามและเรื่องราวที่ปรากฏออกมา เช่น รูปปั้น หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของประเทศไทย ในท่าทางแบกฐานเจดีย์ โดย อาจารย์ทองด้วง เอมโอฐ ที่ปั้นรูปปั้นอันนี้ได้มีแนวคิดไว้ว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นย่อมมีภาระงานหนักในการดูแลบ้านเมือง จึงเปรียบเสมือนการแบกรับของหนักดังเช่นพระเจดีย์นั่นเอง


รูปปั้นแกะสลัก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กำลังแบกฐานพระเจดีย์
       
"ลานสุนทรภู่" ที่วัดพลับพลาชัย


        จากนั้นสถานที่ต่อไปที่ไปเยือนนั่นคือ “ลานสุนทรภู่” ที่วัดพลับพลาชัย เป็นลานที่มีท่าน้ำที่สุนทรภู่นั้นได้มาขึ้นเรือที่ท่าน้ำแห่งนี้ โดยได้กล่าวขานถึงไว้ในนิราศเมืองเพชรที่ได้ประพันธ์ไว้ ในปัจจุบันที่ตรงนี้ได้มีการสร้างรูปปั้นอนุสาวรีย์สุนทรภู่ เพื่อยกย่องสุนทรภู่กวีเอกของไทย ที่ได้แต่งนิราศเมืองเพชรอันเป็นนิราศเรื่องสุดท้ายในชีวิต และเชื่อว่าเพชรบุรีนั้นเป็นบ้านเกิดของมารดาสุนทรภู่อีกด้วย


หม้อตาลเมืองเพชรที่เจอในแม่น้ำเพชรบุรี
       
เหรียญตราและคันฉ่อง ในสมัยราชวงศ์ถัง ที่พบเจอ


        จากนั้นเดินไปไม่ไกลไปชมหม้อตาลเมืองเพชรที่เป็นเอกลักษณ์ และมีอยู่จำนวนมากมายในแม่น้ำเพชรบุรี โดย “ครูเจี๊ยบ” หรือ กิตติพงษ์ พึ่งแตง ครูสอนพลศึกษา โรงเรียนสุวรรณรังสฤษฎ์วิทยาลัย จังหวัดเพชรบุรี ได้เล่าให้ฟังว่า โบราณวัตถุเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไว้บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของคนเมืองเพชรบุรีว่า ในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองด้านการค้าขายมาตั้งแต่สมัยทวารวดี สุโขทัย อยุธยาเรื่อยมาจนถึงรัตนโกสินทร์ จึงเป็นเหตุให้เริ่มที่จะค้นหาวัตถุข้าวของที่อยู่ในแม่น้ำเพื่อเก็บรักษาไว้เรียนรู้และความเป็นมาของเพชรบุรี นอกจากนั้นครูเจี๊ยบได้เจอหลักฐานประวัติศาสตร์สำคัญ นั่นคือเหรียญตราและคันฉ่อง ซึ่งสันนิษฐานเป็นของในสมัยราชวงศ์ถัง จึงเป็นหลักฐานแสดงว่า เมืองเพรชบุรีดั้งเดิมนั้นเป็นเมืองการท่าที่สำคัญ เรียกว่าได้ที่แห่งนี้ถือเป็น “ตะกอนอารยธรรมลุ่มแม่น้ำเพชรฯ” เลยทีเดียว

        ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งในเพชรบุรี ที่มีความสำคัญและมีเรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายที่รอให้ไปเที่ยว สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวชูโรงที่เป็นตัวเลือกท่องเที่ยวอีกแบบหนึ่งที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ว่าประเทศไทยนั้นไม่ใช่เป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองที่ท่องเที่ยวเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่รอให้ศึกษา และชมความสวยงามเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000127180
12294  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สีสันทอดกฐิน! วัดน้ำกระจายสงขลา สร้างหุ่นไดโนเสาร์และคาวบอยนำขบวนแห่ เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 07:12:00 am


สีสันทอดกฐิน! วัดน้ำกระจายสงขลา สร้างหุ่นไดโนเสาร์และคาวบอยนำขบวนแห่

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ชาวสงขลาสร้างสีสันทำบุญทอดกฐิน สร้างหุ่นไดโนเสาร์ และคาวบอยนำขบวนเข้าวัด ท่ามกลางบรรยากาศที่สนุกสนาน และอิ่มบุญ
       
       วันนี้ (15 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเดือนนี้เป็นช่วงเทศกาลทอดกฐิน ตามวัดต่างๆ ใน จ.สงขลา ได้จัดกิจกรรมทอดกฐินกันอย่างคึกคัก แต่ที่แปลก และสนุกสนานมากที่สุดวัดหนึ่งคือ การทำบุญทอดกฐินที่วัดน้ำกระจาย ต.พะวง อ.เมืองสงขลา
       
       เพราะขบวนกฐินของชาวบ้านใน ต.พะวง แตกต่างจากวัดอื่น โดยมีการทำเป็นหุ่นไดโนเสาร์ตัวใหญ่ความสูงกว่า 2 เมตร และยาวเกือบ 5 เมตร คาบวัวไว้ในปากนำขบวน ตามด้วยขบวนกองยาวหลายสิบขบวน พร้อมด้วยนางรำ และผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กๆ ที่ช่วยกันลากจูงกฐินไดโนเสาร์เข้าวัดน้ำกระจายกันอย่างสนุกสนาน
       
       นอกจากนี้ ยังมีขบวนกฐินแบบคาวบอย ซึ่งมีการทำหุ่นม้าตัวใหญ่มีคนขี่ และมีการติดแท่นอาวุธปืนไว้บนหลังม้าด้วย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน และอิ่มบุญ และเป็นสีสันของการทำบุญที่แปลก และมีแห่งเดียวใน จ.สงขลา



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9580000126854
12295  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวเมืองรถม้าร่วมงาน บุญตามรอยศรัทธา ไหว้สาอริยสงฆ์เจ้า "หลวงพ่อเกษม เขมโก" เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2015, 08:30:02 pm

ชาวเมืองรถม้าร่วมงาน บุญตามรอยศรัทธา ไหว้สาอริยสงฆ์เจ้า "หลวงพ่อเกษม เขมโก"

ชาวเมืองรถม้าร่วมงานบุญตามรอยศรัทธาไหว้สาอริยสงฆ์เจ้า หลวงพ่อเกษม เขมโก ประจำปี 2558 รำลึกถึงวันคล้ายวันเกิด ครบ 104 ปี

หลวงพ่อเกษม เขมโก พระเกจิอาจารย์ที่เคารพนับถืออย่างสูงของชาวเมืองรถม้าลำปางเป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ธุดงค์วัตร ปลีกวิเวก พุทธศาสนิกชนในจังหวัดลำปางและชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นพระเถราจารย์ปูชนียบุคคลรูปหนึ่งของประเทศไทย และมีผู้มีความเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน

 ans1 ans1 ans1 ans1

สำหรับประวัติย่อ ๆ หลวงพ่อเกษม เขมโก เดิมมีนามว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง เกิดเมื่อ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 เป็นบุตรเจ้าหนูน้อย ณ ลำปาง (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น มณีอรุณ) รับราชการเป็นปลัดอำเภอ กับ เจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งเป็นการบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊วะ 7 วันก็ได้ลาสิกขาออกมา แต่ต่อมาท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งเมื่ออายุ 15 ปีและจำวัดอยู่ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ท่านได้ศึกษาพระปรัยัติธรรมจนสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ในปี พ.ศ. 2474 และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีถัดมา โดยมี พระธรรมจินดานายก เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "เขมโก" แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม โดยพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ได้ศึกษาภาษาบาลีที่สำนักวัดศรีล้อม ต่อมาได้ย้ายมาศึกษาแผนกนักธรรมที่สำนักวัดเชียงราย จังหวัดลำปาง

 :96: :96: :96: :96:

ในปีพ.ศ. 2479 ท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และเรียนรู้ภาษาบาลีจนสามารถเขียนและแปลได้ รวมทั้งสามารถแปลเป็นภาษามคธได้เป็นอย่างดี แต่ท่านไม่สอบเอาวุฒิ จนครูบาอาจารย์ทุกรูปต่างเข้าใจว่าพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ไม่ต้องการมีสมณะศักดิ์สูง ๆ เรียนเพื่อจะนำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาเท่านั้นเมื่อสำเร็จทางด้านปริยัติธรรมแล้ว ท่านได้แสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนา จนกระทั่ง ท่านทราบข่าวว่ามีพระเกจิรูปหนึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา คือ ครูบาแก่น สุมโน ท่านจึงฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านได้ตามครูบาแก่น สุมโน ออกท่องธุดงค์ไปแสวงหาความวิเวกและบำเพ็ญเพียรตามป่าลึก จนถึงช่วงเข้าพรรษาซึ่งพระภิกษุจำเป็นต้องยุติการท่องธุดงค์ชั่วคราวท่านจึงต้องแยกทางกับพระอาจารย์ และกลับมาจำพรรษาที่วัดบุญยืนตามเดิม


 st12 st12 st12 st12

ต่อมา เจ้าอธิการคำเหมย เจ้าอาวาสวัดบุญยืนได้มรณภาพลง ทางคณะสงฆ์ได้ประชุมกันเพื่อหาเจ้าอาวาสรูปใหม่และต่างลงความเห็นพ้องต้องกันเห็นควรว่า พระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อท่านได้รับเลือกเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืน ท่านก็ไม่ยินดียินร้ายลาภ ยศ สรรเสริญ สุขแต่อย่างใด แต่ท่านก็เคยจำวัดนี้ท่านเห็นว่าถือเป็นภารกิจทางศาสนาเพราะท่านต้องการให้พระศาสนานี้ดำรงอยู่ จึงยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน หลังจากนั้นไม่นานท่านก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสหลายครั้งเพราะท่านต้องการจะออกธุดงค์วัตรมากกว่า  แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ดังนั้น ท่านจึงต้องออกจากวัดบุญยืนไปจำพรรษาธุดงค์วัตรที่ป่าช้าศาลาวังทาน ที่เป็นป่าช้ารกร้างประจำจังหวัดลำปางเพื่อเจริญวิปัสสนากรรมฐานพร้อมเขียนข้อความลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสไว้ด้วย หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ยึดติดแม้แต่สถานที่ ท่านได้ปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์มาตลอดจนถึงยามอาพาธต้องเข้ารับการรักษาสังขารที่โรงพยาบาลลำปาง

ท่านเป็นพระสงฆ์ที่เป็นที่เคารพสักการะของคนในจังหวัดลำปางและทั่วประเทศ ท่านปฏิบัติศีลบริสุทธิ์ตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ติดยึดในกิเลสทั้งปวง    หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้ละสังขารที่ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง จังหวัดลำปาง เมื่อเวลา 19.40 น. ของวันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ซึ่งตรงกับวันแรม 11 ค่ำ เดือน 2 ยังความอาลัยเศร้าโศกเสียใจมายังหมู่สานุศิษย์ทั่วประเทศ ส่วนสรีระของท่านนั้นก็ยังความอัศจรรย์ด้วยเนื่องจากไม่เน่าเปื่อยเหมือนอย่างสังขารทั่วไป ทั้งยังเขียนป้ายบอกผู้ที่มาเคารพสรีระท่านด้วยว่า ให้พนมมือไหว้ที่หน้าอกเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ต้องกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์อย่างศพของพระเถระทั่วไปนับว่าท่านนั้นถือสมถะเป็นอย่างมาก



และในปีนี้ 2558 จังหวัดลำปาง ขอเชิญคณะศรัทธาสาธุชนชาวลำปาง และศิษยานุศิษย์หลวงพ่อเกษม เขมโก ร่วมงานประเพณี "งานบุญตามรอยศรัทธา ไหว้สาอริยสงฆ์เจ้า หลวงพ่อเกษม เขมโก" ประจำปี2558 ระหว่างวันที่ 27-29พฤศจิกายน 2558 ณ สุสานไตรลักษณ์ สถานปฏิบัติธรรมหลวงพ่อเกษม เขมโก ต.ต้นธงชัย อ.เมือง จ.ลำปาง โดยมีอำเภอเมืองลำปาง ร่วมกับ คณะสงฆ์จังหวัดลำปาง, มูลนิธิหลวงพ่อเกษม เขมโก, สภาวัฒนธรรมอำเภอเมืองลำปาง, หน่วยงานสถานศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่อำเภอเมืองลำปาง ร่วมกันจัดงานประเพณีบุญยิ่งใหญ่ระลึกถึงอริยสงฆ์เจ้าหลวงพ่อเกษม เขมโก ครบรอบวันคล้ายวันเกิดอายุ 104 ปีถวายให้แก่ท่านขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2558 ที่บริเวณสุสานไตรลักษณ์ ประตูม้า ถนนลำปาง - แจ้ห่ม อ.เมือง จ.ลำปาง

ซึ่งมีบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพนับถือศรัทธาปสาทะต่อจริยาวัตรที่งดงามพร้อมด้วยศีลที่บริสุทธิ์ของท่าน ประชาชนชาวลำปางและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศพากันหลั่งไหลมากราบไหว้บูชาสรีระท่านที่บรรจุอยู่ในโลงทองแก้วใสบนมณฑปที่จัดไว้ และร่วมกันทำบุญทำทานถวายกุศลอุทิศแด่ท่านเป็นจำนวนมากจนล้นหลามแน่นขนัดบริเวณสุสานไตรลักษณ์ อ.เมือง จ.ลำปาง โดยมีนายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางเป็นประธานเปิดงานในวันที่ 27 พย.เวลา 17.00 น.


 :25: :25: :25: :25:

ซึ่งนอกจากจะมีพิธีสงฆ์และถวายภัตตาหารพระสงฆ์กว่าหนึ่งร้อยรูปจากแล้วชาวลำปางได้จัดขบวนเป็นแบบล้านนา ซึ่งจะนำขบวนโดยการเชิญขันดอก ตามด้วยคณะสงฆ์ สถาบันการศึกษา และขบวนของ อปท.แต่ละแห่ง ซึ่งแต่ละขบวนจะประกอบด้วยการแสดงศิลปะท้องถิ่น เครื่องอัฐบริขาร เครื่องสักการะแบบล้านนา แห่ครัวตาน ปิดท้ายด้วยขบวนของคณะศรัทธา ที่จะถือกรวยข้าวตอกดอกไม้เพื่อนำไปสักการะ

ภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการเล่าเรื่องเมืองลำปางตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน นิทรรศการให้ความรู้เรื่องเครื่องสักการะในพระพุทธศาสนา นิทรรศการแสดงประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก การจำหน่ายสินค้าราคาถูก สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ สินค้าทางการเกษตร การจัดโรงทานให้ผู้ร่วมงานได้รับประทานฟรี รวมถึงการจัดแสดงพระเครื่องของหลวงพ่อเกษม เขมโก รุ่นที่หาดูยาก และภาพเก่าของลำปางให้ได้ชมกันด้วย

 st11 st11 st11 st11

และปีนี้ยังมีการทำโรงทาน แจกของแก่ผู้ยากไร้ขึ้นในช่วงที่ตรงกับวันเกิดของหลวงพ่อเกษม คือวันที่ 28 พ.ย. 2558 และในปีนี้ชาวลำปางที่เคารพรักนับถือศรัทธาในหลวงพ่อท่านได้ร่วมกันจัดตั้งโรงทานมาร่วมงานบุญให้พระภิกษุสงฆ์และประชาชนที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศได้รับประทาน ซึ่งก็มีอาหารพื้นเมืองเหนือและอาหารไทย ก๋วยเตี๋ยว ขนมนมเนยนานาชนิด รวมทั้งน้ำดื่มต่าง ๆ ให้กินฟรีกันตลอดทั้งวันชนิดที่ว่าไม่มีวันหมด นอกจากนั้นบรรดาแผงพระต่าง ๆ ได้นำวัตถุมงคลรุ่นต่าง ๆ ของหลวงพ่อมาวางจำหน่ายกันอย่างคึกคัก

รวมทั้งผู้ที่ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลก็มาตั้งแผงขายกันอย่างครึกครื้น ซึ่งก็ขายดิบขายดีทุกแผงแทบทุกเจ้า โดยเฉพาะเลข 19 28 104  ที่ตรงกับวันครบรอบละสังขาร อายุ  วันเดือนปีเกิดของท่าน เป็นที่ต้องการของนักเลงหวย ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย ๆ ไม่ร้อนของช่วงเข้าสู่ฤดูหนาว และเต็มไปด้วยบรรยากาศกลิ่นไอของควันธูปแสงเทียนที่จุดบูชาถึงหลวงพ่อด้วยความปิติอิ่มเอิบในมหากุศลบารมีทานที่ได้ร่วมกันจัดงานเพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายในวาระที่ครบรอบวันคล้ายวันเกิดอายุ 104 ปี ท่านของทุกคนที่มาร่วมงานในครั้งนี้

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.banmuang.co.th/news/region/31710
12296  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตะลึง.! คนแห่ทำบุญกฐินวัดดังลพบุรี พระ-ชาวบ้านนับเงินกันข้ามวัน ได้เงินบุญ 27 ล. เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2015, 08:21:32 pm


ตะลึง!! คนแห่ทำบุญกฐินวัดดังลพบุรี พระ-ชาวบ้านนับเงินกันข้ามวัน ได้เงินบุญ 27 ล้าน

วันที่ 16 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานถึงงานกฐินของวัดพุน้อย  ตำบลชอนม่วง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี โดยมีชาวบ้านจิตอาสายังช่วยกันนับเงินกฐินวัดพุน้อยได้ครึ่งทางแล้ว ยอดเงินกว่า 10 ล้านบาท ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งคาดว่าอาจนับถึงพรุ่งนี้เช้า (17 พ.ย.)

สำหรับบรรยากาศที่วัดพุน้อยชัยมงคล ยังคงมีชาวบ้านจิตอาสาจำนวนกว่า 30 คน และพระในวัดพุน้อยยังคงช่วยกันนับเงินจุลกฐินสามัคคีที่มีชาวพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศเดินทางมาร่วมงานเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมาจำนวนหลายพันคน ซึ่งถือว่ามากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ทำให้การนับเงินตั้งแต่ 3 ทุ่มของคืนที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถนับเงินได้เสร็จ




เนื่องจากต้องแยกออกเป็นส่วนๆ แบงก์ 20 แบงก์ 50 แบงก์ 100 แบงก์ 500 และแบงก์ 1,000 บาทออกจากกัน ซึ่งในช่วงเช้า ทางเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยสาขาบ้านหมี่  ได้ส่งเจ้าหน้าที่ 4 คน พร้อมเครื่องนับเงินเข้าช่วยทางวัดนับเงิน โดยขณะนี้นับไปได้แล้วประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น มียอดเงินที่นับแล้วกว่า 10 ล้านบาท คาดว่าการนับเงินจะสามารถนับได้หมดอาจจะต้องใช้เวลาถึงพรุ่งนี้เช้า จึงจะสามารถนับเงินได้หมด คาดว่าเงินกฐินน่าจะทะลุ 30 ล้าน

เวลา 17.00 น. พระครูประภัทรธรรมทิน (เฑียรทอง) เจ้าคณะอำเภอหนองม่วง และเป็นเจ้าอาวาสวัดพุน้อย  ได้ยืนกำกับการนับเงินที่ได้จากการทอดจุลกฐิน มีทั้งเจ้าหน้าของวัด และเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย สาขา อำเภอบ้านหมี่ อีก 5 คนพร้อมเครื่องนับเงินอีก 5 เครื่อง ได้นับจนเครื่องนับเงินเสียไป 1 เครื่อง




พระครูประภัทรธรรมทิน บอกว่าจะต้องทำการนับให้เสร็จภายในคืนนี้ ขณะนี้นับได้แล้ว 20 กว่าล้าน ต้องใช้การนับด้วยความยากเหนื่อยกับเจ้าหน้าที่ มีทั้งธนบัติฉบับ ละ 20 บาท ฉบับละ 100 และธนบัตฉบับละ 1000 บาทจำนวนมาก คาดว่าปีนี้พุทธศาสนิกชนมาทำบุญกันมากมีที่แล้ว มาทอดได้ยอดเงิน 20,369,320 บาท ปีนี้คาดว่ายอดน่าจะเพิ่มมากกว่าที่แล้ว
 
พระครูประภัทรธรรมทิน  กล่าวว่า มีพุทธศาสนิกชนมาทอดจุลกฐินกันจำนวนมาก ทางวัดได้ตั้งไว้ กองละ 1,000 บางคนก็มาทอดคนละหลาย ๆกอง บางรายก็ 1,000 กอง 100,000 กองก็มี อาตมาก็ขอขอบคุณญาตโยม พุทธศาสนิกชนที่มีจิตเป็นกุศลแห่แหนมาร่วมกันทำบุญกันในครั้งนี้ด้วย มีทางผู้มี่จิตรศรัทธา มาออกโรงทาน 238 ร้านค้าด้วยกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 19.10 น. เจ้าหน้าที่นับเงินได้ครบแล้ว รวมทั้งสิ้น 27,098,290 บาท


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1447673822
12297  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทึ่งผลสัมฤทธิ์ รร.พระ ปลื้มสามเณรจบ ป.ธ. 9 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2015, 08:16:25 pm


ทึ่งผลสัมฤทธิ์ รร.พระ ปลื้มสามเณรจบ ป.ธ. 9

เผยผลการจัดการศึกษาโรงเรียพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา รอบ 20 ปี พบสามเณรจบ ป.ธ.9 ประโยคมีตำแหน่งทางปกครองสืบต่อศาสนาหลายรูป ขณะที่บางส่วนเรียนต่อตำรวจ ทหาร หมอ พบข้อมูลล่าสุดเป็น ผอ.โรงพบาบาลถึง 7 แห่ง เชื่อหากมีพ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรม ส่งผลการศึกษาสงฆ์เข้มแข็ง ช่วยเด็กด้อยโอกาส สร้างคนดีรับใช้สังคมได้อีกมากกว่าน

วันนี้ (16 พ.ย.) พระครูปริยัติวีราภรณ์ ประธานกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ 9 เปิดเผยว่า จากการที่กองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ได้มอบหมายให้โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาทั้ง 408 แห่ง ทำการสำรวจผลสัมฤทธิ์การจัดการศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ระหว่างปี 2538-2558 รวมระยะเวลา 20 ปี เพื่อดำเนินการคัดเลือกศิษย์เก่าต้นแบบดีเด่น ที่แสดงให้สังคมทราบถึงจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ว่า ไม่เพียงได้สร้างศาสนทายาท แต่ได้สร้างบุคลากรที่มีศีลธรรม มีคุณภาพให้แก่ประเทศชาติด้วย


 :25: :25: :25: :25:

พระครูปริยัติวีราภรณ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้การสำรวจข้อมูลนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนพระปริยัติธรรม มีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 70 โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ภายในปี 2558 อย่างไรก็ตามผลสำรวจเบื้องต้นได้พบข้อมูลที่น่าสนใจ โดยในพื้นที่กลุ่ม 9 คือ มีอดีตสามเณรสอบได้เปรียญธรรม(ป.ธ.) 9 ประโยค ซึ่งถือว่าเป็นปราชญ์ด้านภาษาบาลีมากถึง 5 รูป และปัจจุบันมีตำแหน่งทางปกครองเป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะ ผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ

บางคนที่ลาสิขาออกไปภายหลัง จบ ม.6 จากโรงเรียนพระปริยัติธรรมก็ได้ไปศึกษาต่อทั้งมหาวิทยาลัย โรงเรียนนายร้อยตำรวจ โรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งวันนี้ก็รับราชการเป็นผู้บริหารโรงเรียน เป็นตำรวจ ทหารเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญยังพบด้วยว่า นักเรียนในกลุ่ม 7 จังหวัดขอนแก่น มีสามเณรที่ไปเรียนต่อแพทยศาสตร์หลายรูปปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้วถึง 7 คน ทั้งนี้เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว คาดว่าจะมีการมอบรางวัลให้แก่ศิษย์เก่าดีเด่นในช่วงต้นปี 2559 ต่อไป


 st12 st12 st12 st12

“จากการหารือร่วมกับนายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถึงการสำรวจผลสัมฤทธิ์ในการจัดการศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และคุณภาพของนักเรียนที่จบออกไป ถือว่า เราไม่ได้ด้อยกว่าที่โรงเรียนในระบบทั่วไป ถึงแม้เราจะจำกัดด้วยงบประมาณ กำลังคน ครู แต่เราก็จัดให้เรียนฟรี 100% เพื่อให้โอกาสเด็กที่ด้อยโอกาส

หากสามเณรรูปไหนต้องการบวชเพื่อเป็นศาสนทายาทก็จะส่งเสริมอย่างเต็มที่ หากรูปไหนต้องการลาสิขาไปเป็นฆราวาส ก็ถือว่าได้กล่อมเกลาจิตใจ สร้างคนดีมีศีลธรรมให้แก่สังคม ซึ่งอยากให้ พศ.ช่วยผลักดัน ร่างพ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรม ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพราะเมื่อมีกฎหมายรองรับที่ชัดเจนจะทำให้การสนับสนุนงบประมาณ หรือการจัดระบบการศึกษาคณะสงฆ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น" ประธานกลุ่ม 9 กล่าว

ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/361171
12298  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมการศาสนานำร่อง ปลูกปัญญาด้วยมิติทางศาสนา เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2015, 08:11:53 pm


ศน.นำร่องปลูกปัญญาด้วยมิติศาสนา

กรมการศาสนานำร่องปลูกปัญญาด้วยมิติทางศาสนา ชี้เพื่อแก้ปัญหาทางสังคม พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็ก

วันนี้ (16 พ.ย.) นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) เปิดเผยว่า จากสภาพปัญหาสังคมในปัจจุบันส่งผลให้เยาวชนมีความเสี่ยงที่จะมีพฤติกรรมซึ่ง เป็นปัญหาสังคมได้ เช่น การแสดงออกที่รุนแรง การทะเลาะวิวาท ปัญหายาเสพติด เด็กแว้น การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ขาดคุณธรรมจริยธรรม เป็นต้น ศน.จึงได้ร่วมกับสถานศึกษาต่างๆ จัดแนวทางปลูกปัญญาด้วยมิติศาสนา เสริมสร้างสุขภาวะนักเรียน โดยการสอนทักษะชีวิต เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กใน 3 เรื่องสำคัญ คือ
     1. นำหลักธรรมของแต่ละศาสนาไปประพฤติปฏิบัติ
     2.น้อมนำปรัชญาหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ และ
     3.ดำเนินชีวิตแบบวิถีวัฒนธรรมไทย เพื่อให้เด็กมีทักษะในการปรับตัวอยู่ในสังคม มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตและมีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้

     โดยในเบื้องต้นได้คัดเลือกสถานศึกษาต้นแบบ เพื่อสอนทักษะชีวิตให้เด็ก ได้แก่ โรงเรียนวัดชัยพฤกษมาลา โรงเรียนวัดสุทัศน์ โรงเรียนเผดิมศึกษา และโรงเรียนวัดนาคปรก และจะมีการขยายผลเผยแพร่ไปยังสถานศึกษาอื่นๆต่อไป


 :49: :49: :49: :49:

น.ส.รจนา ตันติวิชิตเวช ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดชัยพฤกษมาลา กล่าวว่า ทุกวันศุกร์โรงเรียนจะมีกิจกรรมตักบาตร เพื่อสอนให้นักเรียนรู้จักการเสียสละ การบริจาค รวมถึงกิจกรรมสวดมนต์ เพื่อฝึกเด็กให้รำลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ และมีการให้เด็กฝึกสมาธิ ตลอดจนการเสนอคำเกี่ยวกับวัดและศาสนา บริเวณหน้าเสาธงซึ่งทำให้เด็กรู้จักคำในพระพุทธศาสนา รวมถึงทำกิจกรรมขยับกายสบายวิถีพุทธ ให้ร่างกายแข็งแรง จิตมีสมาธิมากขึ้นก่อนเริ่มเรียนในแต่ละวัน ทั้งนี้จากการดำเนินงานมาระยะหนึ่งพบว่า เด็กมีสมาธิดีขึ้น ตั้งใจเรียน รู้จักการใช้ภาษาที่ดี ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันการใช้ชีวิตในสังคมได้.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/361182
12299  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดสระเกศฉลองใหญ่ ห่มผ้าแดงภูเขาทอง 18-27 พ.ย.นี้ เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2015, 08:07:39 pm



วัดสระเกศฉลองใหญ่ห่มผ้าแดงภูเขาทอง

เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เผยจัดงานห่มผ้าแดงภูเขาทอง 18-27 พ.ย.นี้ ริ้วขบวนยิ่งใหญ่ พร้อมเปิดให้พุทธศาสนิกชนสักการะพระบรมสารีริกธาตุตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน

วันนี้(16 พ.ย.)พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กล่าวว่า ตามที่ทางวัดสระเกศฯ มีการจัดงานห่มผ้าแดง องค์พระเจดีย์บรมบรรพต เนื่องในงานเทศกาลประจำปี นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ที่บรมบรรพต (ภูเขาทอง) เป็นประจำทุกปี โดยปีนี้กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 18-27 พ.ย. ซึ่งช่วงเช้าของวันที่ 18 พ.ย.จะมีพิธีอัญเชิญผ้าแดง ด้วยการจัดริ้วขบวนต่างๆ

ซึ่งริ้วขบวนในปีนี้จะยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย ขบวนรถโบราณกว่า 100 คัน ขบวนรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ 100 คัน ขบวนรถดนตรีไทย ขบวนรถสามล้อย้อนยุค ขบวนรถบุปผชาติ ขบวนธงชาติ ธงศาสนา ธงพระมหากษัตริย์ ขบวนกลองยาวประเพณีอีสาน พร้อมขบวนนางรำ โดยจะตั้งขบวนบริเวณท้องสนามหลวง เพื่ออัญเชิญไปยังวัดสระเกศฯ และเมื่อถึงวัดสระเกศฯพุทธศาสนิกชนจะลงเดินเท้าอัญเชิญผ้าแดงจากหน้าวัดสระเกศฯ ขึ้นไปห่ม องค์พระเจดีย์บรมบรรพต พร้อมทั้งมีพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ



พระพรหมสิทธิ กล่าวต่อไปว่า พระเจดีย์บรมบรรพต ภูเขาทอง จำลองแบบมาจากพระเจดีย์วัดภูเขาทอง ในจ.พระนครศรีอยุธยา มีความสูงประมาณ 100 เมตร ความกว้างโดยรอบเส้นศูนย์กลางประมาณ 500 เมตร สร้างโดยพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีถึง 3 พระองค์ด้วยกัน คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยใช้เวลาในการก่อสร้างเป็นเวลากว่า 50 ปี จากนั้นรัชกาลที่ 5 ก็ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย ที่ขุดได้จากกรุงกบิลพัสดุ์ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บรรจุประดิษฐานไว้บนองค์บรมบรรพต ภูเขาทอง และโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ งานเทศกาลนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และงานวัดภูเขาทอง ถือเป็นงานวัดครั้งแรกในกรุงเทพฯ จึงเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ทั้งนี้เชื่อกันว่าอานุภาพแห่งการบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในชีวิต แคล้วคลาดปลอดภัย เป็นความเชื่อที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล สำหรับงานภูเขาทองวันที่ 18 - 27 พ.ย.นี้ จะเปิดให้พุทธศาสนิกชนสักการะพระบรมสารีริกธาตุได้ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/361239
12300  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คนข้ามโอฆะ(ห้วงทุกข์)ได้ด้วยศรัทธา เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2015, 08:54:58 am



ศรัทธาในความหมายของพุทธศาสนา
โดย สมเด็จพระญาณสังวร

     สทฺธา  ทุติยา  ปุริสสฺส  โหติ         
     สทฺธา  พนฺธติ  ปาเถยฺยํ
     สทฺธาย  ตรติ  โอฆํ                   
     สทฺธา  สาธุ  ปติฏฺฐิตาติ.


บุคคลจะทำอะไรทุกอย่าง ต้องมีเครื่องชักจูงใจให้ทำโดยมิให้เคลือบแคลงลังเล เครื่องชักจูงใจนั้นมีอยู่ในใจนี่เอง คือ ศรัทธา ที่แปลว่า ความเชื่อ หมายถึงการวางใจลงไปหรือปลงใจลงไปว่า ข้อนั้นพึงเป็นอย่างนั้น สมกับคำกล่าวที่ว่า ศรัทธามีอธิโมกข์เป็นลักษณะ อธิโมกข์คือความปล่อยใจจากความสงสัย หรือใจที่พ้นจากความสงสัย  ไม่มีเฉลียวระแวงที่จะทำให้ลังเล ศรัทธาดังกล่าวนี้เป็นศรัทธาทั่วไป อาจเป็นโทษตัดรอนในเมื่อเป็นศรัทธาในทางที่ผิด อาจเป็นคุณเกื้อกูล ในเมื่อเป็นศรัทธาที่ถูก

 :96: :96: :96: :96:

ศรัทธาเป็นไปในทางผิด เพราะเป็นญาณวิปปยุต ปราศจากญาณคือความรู้จริง มีลักษณะที่แสดงไว้ในกาลามสูตร 10 ประการ คือเชื่อและถือ ดังนี้
     1. โดยได้ฟังตามกันมา     
     2. โดยลำดับสืบๆกันมา   
     3. โดยความตื่นว่าได้ยินมาอย่างนี้ๆ   
     4. โดยอ้างตำรา
     5. โดยเหตุนึกเดาเอา   
     6. โดยนัยคือคาดคะเน   
     7. โดยความตรึกตามอาการ   
     8. โดยชอบว่า ต้องกันกับลัทธิความเชื่อของตน
     9. โดยเชื่อว่าผู้พูด สมควรจะเชื่อได้   
    10. โดยความนับถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา

รวมความว่า ศรัทธาเช่นนี้เป็น สุตามัย เกิดจากการได้ยินได้ฟังเท่านั้นบ้าง เป็นจินตามัย เกิดจากการคิดไปเองบ้าง รวมแล้วเป็นศรัทธาที่เชื่อก่อนรู้ ถ้าสิ่งที่เชื่อถูกต้องเพราะข้อที่ฟังมาถูกต้อง ก็เป็นคุณเกื้อกูลได้ ถ้าสิ่งที่เชื่อผิดพลาด ก็เป็นโทษตัดรอน แต่ก็ตกอยู่ในลักษณะที่ถูกผู้อื่นชักจูง ดังเรียกว่า ปรปัจจัยสัทธา ศรัทธาที่มีผู้อื่นเป็นปัจจัย

ส่วนศรัทธาเป็นไปในทางถูก เพราะเป็นญาณสัมปยุต ประกอบด้วยญาณคือความรู้จริง จึงเป็นศรัทธาที่รู้ก่อนเชื่อ  หรือเชื่อเพราะรู้เห็นจริงแล้ว ไม่ต้องมีผู้อื่นชักจูง เรียกว่า อปรปัจจัยสัทธา ศรัทธาที่ไม่มีผู้อื่นเป็นปัจจัย


 :25: :25: :25: :25:

แต่ก่อนที่จะได้ศรัทธาที่เป็น อปรปัจจัย ไม่มีผู้อื่นชักจูง ก็จำต้องอาศัยศรัทธาที่มีผู้อื่นชักจูงไปก่อน แต่ต้องเลือกผู้ที่สมควรเท่านั้น ฉะนั้นศรัทธาในพุทธศาสนา ท่านจึงสอนให้มีในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก่อน เรียกว่า ตถาคตโพธิสัทธา ซึ่งอาจจำแนก ชนิดของศรัทธาที่ควรแก่การเชื่อดังนี้
     1. กัมมสัทธา เชื่อกรรม  คือเชื่อว่าเมื่อทำอะไรด้วยมีเจตนาทำ หรือทำทั้งที่รู้อยู่ ก็เป็นความดีความชั่ว ที่ติดค้างอยู่ มิใช่ทำแล้วก็แล้วกันไป
     2. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม คือเชื่อว่า ผลดีผลชั่วที่ได้รับต่างๆเป็นผลของกรรมที่ติดค้างอยู่นั้นๆ
     3. กัมมัสสกตาสัทธาเชื่อความที่ผู้ทำมีกรรมเป็นของๆตน คือผู้ใดทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว ผู้นั้นก็เป็นเจ้าของกรรมนั้น ทั้งต้องเป็นทายาทผู้รับผลของกรรมนั้น คือต้องเป็นผู้รับผิดชอบเต็มที่ต่อกรรมของตน
     4. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

     เมื่อมีศรัทธาใน 4 ข้อนี้ ชื่อว่าได้มีศรัทธา คือเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อในพระพุทธศาสนา แต่เมื่อยังไม่มีปัญญาหรือญาณ รู้เห็นในธรรมตามเหตุผล ก็จัดเป็นศรัทธาอย่างมืดๆ หรือยังมีสงสัยลังเลใจ ชื่อว่ายังไม่ตั้งมั่น ยังกวัดแกว่งเปลี่ยนแปลงได้ ต่อเมื่ออบรมปัญญาให้รู้เห็นธรรมตามเหตุผล เมื่อนั้นจึงเป็นศรัทธาอย่างสว่างด้วยปัญญา



     ศรัทธาในพระพุทธศาสนา มุ่งเฉพาะที่ประกอบด้วยความรู้และตั้งมั่นในทางที่ชอบ มีลักษณะเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เชื่อโดยรู้เหตุผล มิใช่โดยไม่รู้ ในเบื้องต้นแม้ต้องอาศัยผู้อื่นก็อาศัยเฉพาะผู้ที่สมควรและก็ต้องอาศัยตนเองไตร่ตรองพิจารณาจนรู้เห็นจริงด้วยตนเพื่อให้เป็นศรัทธาโดยอิสระไม่ต้องอาศัยผู้อื่น

     ศรัทธาเป็นเพื่อนประจำตนของบุคคลทุกคน เป็นเพื่อนผู้ชักจูงให้เชื่อในเรื่องที่เชื่อทั้งปวง ผู้ชักจูงให้เชื่อในภายนอก ย่อมชักจูงไม่สำเร็จ ถ้าศรัทธาไม่เกิดรับรองในใจสมดังพุทธภาษิตว่า
     “สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ ศรัทธาเป็นเพื่อนคู่ใจของคน”


     ศรัทธาในทางที่ถูก ย่อมชักจูงให้ปฏิบัติดำเนินในทางที่ถูก ให้ประพฤติแต่การที่ชอบ ปราศจากโทษ เป็นบุญกรรมหรือกุศลกรรม คือกรรมที่ดี ซึ่งเป็นเหมือนเสบียงเดินทางของผู้ทำดี ซึ่งชื่อว่ากำลังเดินทางอยู่ในทางชีวิต  สมกับพุทธภาษิตว่า
     “สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ ศรัทธารวบรวมเสบียงคือกุศล”


    และย่อมข้ามห้วงทุกข์ได้ด้วยศรัทธา ดังพุทธภาษิตว่า
     “สทฺธาย  ตรติ  โอฆํ  ข้ามห้วงทุกข์ได้ด้วยศรัทธา”


     แต่ก็ต้องเป็นศรัทธาที่ตั้งทั่นในทางที่ชอบ จึงจักให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ดังพุทธภาษิตว่า
     “สทฺ สาธุ ปติฏฺฐิตา ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ”



ที่มา เรียบเรียงและคัดย่อความ จากธรรมบรรยาย ของสมเด็จพระญาณสังวร สุวฑฺฒโน สมเด็จพระสังฆราช ในหนังสือญาณสังวรเทศนา หน้า 66-71 Posted by สมชัย
http://www.oknation.net/blog/movie-som/2014/02/27/entry-1
12301  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / “พิพิธภัณฑ์สักทอง” หนึ่งเดียวในไทย ชวนไปไหว้พระสังฆราช 19 พระองค์ เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2015, 07:13:01 am


อาคาร “พิพิธภัณฑ์สักทอง” งดงามอย่างมีเอกลักษณ์
       
“พิพิธภัณฑ์สักทอง” หนึ่งเดียวในไทย ชวนไปไหว้พระสังฆราช 19 พระองค์
โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
 

       “พิพิธภัณฑ์สักทอง” เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ฉันอยากจะมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง เพราะได้ยินมาว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในบรรยากาศเรือนทรงปั้นหยาหลังงามที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง อีกทั้งยังเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 19 พระองค์ ของประเทศไทยให้ได้ชม

ประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณหล่อด้วยสัมฤทธิ์

        เมื่อฉันเดินทางมาถึงพิพิธภัณฑ์สักทอง ที่ตั้งอยู่ภายใน “วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร” บริเวณถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต สิ่งแรกที่ได้เห็นก็คือบ้านทรงปั้นหยาแบบประยุคต์สองชั้นสวยงามอลังการ ที่ด้านหน้าทางเข้าเป็นที่ประดิษฐาน “ประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณหล่อด้วยสัมฤทธิ์” ให้ได้แวะสักการะขอพรก่อนเข้าชม

จำนวนวงปีไม้สัก “พิพิธภัณฑ์สักทอง”

        หลังจากฉันก็ได้ก้าวเท้าเข้าสู่ภายในพิพิธภัณฑ์สักทอง ที่มีบรรยากาศโออ่าทุกสัดส่วนถูกตกแต่งด้วยไม้สัก แต่ที่โดดเด่นสะดุดตาฉันเป็นที่สุดก็คงจะเป็นเสาบ้านไม้สักทองขนาดสองคนโอบ ที่มีลวดลายไม้สีเหลืองตระการตา ฉันได้รู้มาว่าบ้านหลังนี้มีเสาไม้สักทองดังกล่าวถึง 59 ต้น และไม้สักที่ใช้ในการสร้างบ้านหลังนี้มีอายุถึง 479 ปี จากการนับจำนวนวงปีร่วมกับการวิเคราะห์ค่าอายุโดยใช้สัดส่วนของคาร์บอนไอโซโทป

บรรยากาศห้องนิทรรศการภายใน “พิพิธภัณฑ์สักทอง”

        และฉันได้พบกับทางเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ และได้รับคำแนะนำในการเดินชมส่วนต่างๆ ในส่วนแรกบริเวณประตูเข้ามาจะเป็นห้องโถงใหญ่ที่จัดแสดงนิทรรศการประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งแต่เดิมนั้นอาคารพิพิธภัณฑ์อันงดงามหลังนี้ มีชื่อว่า “บ้านแก้ว” ถูกสร้างขึ้นที่จังหวัดแพร่ โดยลักษณะเป็นทรงปั้นหยาประยุกต์สองชั้น สร้างขึ้นด้วยไม้สักทองทั้งหลัง ซึ่งทางเจ้าของบ้านได้เข้ามาทำงานอยู่ที่กรุงเทพ จึงไม่มีเวลาดูแลและมีความคิดที่จะขายบ้านหลังนี้ แต่ก็กลัวว่าไม้ที่มีค่าจะถูกแปรรูปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและหมดค่าไปในที่สุด จึงได้ขอร้องให้ทางโครงการ นาวิน ปาร์ค รับซื้อไว้เพราะเชื่อว่าจะยังคงรักษาสภาพบ้านแก้วไว้อย่างดี หลังจากนั้นบ้านหลังนี้จึงย้ายมาอยู่ที่ นาวิน ปาร์ค รังสิต จังหวัดปทุมธานี

ห้องโถงชั้นสองจัดแสดง “พระพุทธรูปโบราณ”

        ต่อมา ศ.ดร.อุกฤษ และ คุณมณฑินี มงคลนาวิน ได้ทำหารซื้อบ้านหลังดังกล่าว และได้มอบให้กับทางวัดเทวราชกุญชร สร้างเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้สักทอง เพื่อให้เป็นศูยน์เผยแพร่ความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนา และแหล่งการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์ อีกทั้งเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในมงคลวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในมงคลวโรกาสที่ทรงเจริญ พระชนมพรรษา 75 พรรษา ปี พ.ศ. 2550

ห้องจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 19 พระองค์

        ในส่วนที่ 2 จะเป็นห้องขนาดใหญ่ใกล้ๆ บันไดทางขึ้นชั้นสอง ที่ภายในจัดแสดงประวัติของ ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภา 5 สมัย ผู้ที่มอบบ้านหลังนี้ให้กับทางวัดเพื่อแหล่งศึกษาเรียนรู้ และภายในห้องนี้ยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระสยามเทวาธิราช” องค์จำลอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองไทยให้ได้สักการะ

บรรยากาศห้องจัดแสงหุ่นขี้ผึ้งพระมหาเถระรูปสำคัญ และแท่นประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ

        เสร็จจากสักการะองค์พระสยามเทวาธิราชแล้ว ฉันก็เดินไปยังห้องจัดแสดงอีกห้องหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ภายในห้องนี้จัดแสดงประวัติของวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร ที่ได้กล่าวไว้ว่าเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่เดิมมีชื่อว่า “วัดสมอแครง” คำว่า "สมอแครง" นั้น น่าจะมาจากคำว่าถมอแครง เป็นภาษาเขมร แปลว่าหินแกร่ง แต่เรียกเพี้ยนกันต่อมาเป็นวัดสมอแครง

หุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพุฒาจารย์โต

        จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระองค์ทรงรับวัดสมอแครงนี้เป็นพระอารามหลวง และพระราชทานชื่อวัดให้ใหม่ว่า "วัดเทวราชกุญชร" โดยนำชื่อมาจากพระนามเดิมของกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ ต้นสกุล กุญชร ณ อยุธยา พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 ผู้ที่ทรงเป็นคนบูรณปฏิสังขรณ์วัดเทวราชกุญชรฯ อันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สักทองแห่งนี้ในปัจุบัน และที่ห้องก็ยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระคลังมหาสมบัติ” องค์จำลอง ให้ได้ชมความสวยงามและสักการะองค์เทพารักษ์ผู้ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดิน

แท่นประดิษฐาน "พระบรมสารีริกธาตุ"

        หลังจากชมนิทรรศการในชั้นล่างเสร็จเรียบร้อย ฉันก็เดินขึ้นสู่ชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ และได้พบกับห้องโถงขนาดใหญ่ที่จัดแสดงพระพุทธรูปโบราณสมัยอยุธยา และทางด้านซ้าย-ขวาของห้องโถงนี้มีห้องขนาดใหญ่อยู่สองห้อง ห้องแรกนั้นเป็นห้องจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้ง 19 พระองค์ พร้อมประวัติในด้านคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติของทุกๆ ท่าน ตั้งแต่สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรก จนถึง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ที่ได้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

“พระสยามเทวาธิราช” องค์จำลอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองไทย

        ในห้องถัดมาเป็นห้องจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งพระมหาเถระรูปสำคัญและเกจิอาจารย์ชื่อดังของไทยหลายๆ ท่าน อาทิ สมเด็จพุฒาจารย์โต , หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต , พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) พร้อมกับประวัติของแต่ละท่านให้ได้ชมและศึกษา และภายในห้องนี้ก็ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุให้ได้กราบสักการะขอพรกันอีกด้วย

เทพารักษ์ผู้ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดิน

        ปิดท้ายการตะลอนเที่ยวในสัปดาห์นี้ ฉันก็อยากจะบอกว่าพิพิธภัณฑ์สักทอง เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจมาก เพราะนอกจากจะได้ชมความสวยงามของเรือนไม้สักทองหลังงามที่หาดูได้ยากในปัจจุบันแล้ว ก็ยังจะได้ชมพระพักตร์ของสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้ง 19 พระองค์ และหุ่นขี้ผึ้งพระมหาเถระรูปสำคัญ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุญตาจริงๆ หากใครมีโอกาสแล้วเยี่ยมชมด้วยประการทั้งปวง
             
       พิพิธภัณฑ์สักทอง ตั้งอยู่ภายในวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร ถนนศรีอยุธยา แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10.00-17.00 น. ค่าเข้าชม 30 บาท พระภิกษุ สามเณร แม่ชี ผู้สูงอายุ (อายุเกิน 60 ปี) เข้าชมฟรี
       การเดินทาง : รถโดยสารประจำทางสาย 9,524,64,3,30,33 หรือใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยา ลงท่าเทเวศร์ แล้วเดินไปยังไปยังวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

       
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000125837
12302  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลอยดอกบัวสวรรค์ เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2015, 09:26:06 am


ลอยดอกบัวสวรรค์

ชาวมุกดาหารเชิญชวนนักท่องเที่ยวลอยดอกบัวสวรรค์ ที่ศาลปู่พญานาค สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 เนื่องในวันลอยกระทง เพื่อเป็นการขอขมาพระแม่คงคาและเป็นการอนุรักษ์ประเพณีลอยกระทง รวมทั้งรักษาสิ่งแวดล้อม












ภาพ .. อนุศักดิ์- เสาวภา แสนวิเศษ / มุกดาหาร
http://www.dailynews.co.th/article/360261
12303  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รถอีต๊อก.! แห่กฐินสามัคคี เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2015, 09:18:05 am





รถอีต๊อก.! แห่กฐินสามัคคี

ชาวบ้านจัดแต่งรถอีต๊อกหรือรถอีโก้งอย่างมีสีสัน เพื่อมาร่วมขบวนแห่องค์กฐิน พร้อมบรรเลงดนตรีกลองยาวจากผู้สูงอายุและนางรำ ในงานประเพณีทอดกฐิน จังหวัดพิจิตร สร้างความสนุกสนานให้กับผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก







ภาพ / อุทัย กลัดแก้ว พิจิตร
http://www.dailynews.co.th/article/360272
12304  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: บวชมา ๘ ปี จบพุทธศาสตร์ มจร. สึกออกมาสมัครทหาร ปรับตัวไม่ได้ โดนครูฝึกซ้อมจนตาย เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2015, 09:04:09 am
   


ป.ป.ท.ฟัน "ร.ท.กับพวก" ซ้อม "พลทหารวิเชียร"
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2558

     หลังจากมีการเผยแพร่ข้อเขียนในเฟซบุ๊คจนได้รับความสนใจอย่างล้นหลามในสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องของพลทหารวิเชียร เผือกสม โดยหลานสาวที่ชื่อ "เมย์" อดีตนักศึกษาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้บอกเล่าถึงชะตากรรมของน้าชาย ซึ่งสมัครเป็นทหารเกณฑ์ และถูกส่งไปฝึกทหารใหม่ที่จังหวัดนราธิวาส กระทั่งถูกครูฝึกทหารรุมทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 นั้น

     จากการตรวจสอบของ ทีมข่าว NOW26 ทราบว่า หลังเกิดเหตุ ญาติของ พลทหารวิเชียร ได้แจ้งความร้องทุกข์ในคดีอาญา แต่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นทหารยศต่ำกว่าพันตรี จึงอยู่ในอำนาจการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ กระทรวงยุติธรรม หรือ ป.ป.ท.

     การสอบสวนดำเนินมานานกว่า 4 ปี ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้ส่งหนังสือแจ้งการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีการเสียชีวิตของพลทหารวิเชียร ระบุว่า ร้อยโทหนึ่งนายกับพวกรวม 10 คน ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และประมวลกฎหมายอาญาทหาร พ.ศ.2473 มาตรา 30 วงเล็บ 4 หลังจากนี้จะมีการส่งสำนวนคดีไปยังพนักงานอัยการต่อไป


       :96: :96: :96: :96:

      สำหรับ พลทหารวิเชียร เผือกสม เป็นพลทหารประจำกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือค่ายปิเหล็ง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งค่ายทหารแห่งนี้เคยถูกคนร้ายบุกปล้นอาวุธปืนจำนวน 413 กระบอก เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 นับเป็นเหตุการณ์ที่ถือกันว่าเป็นปฐมบทความรุนแรงรอบใหม่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

      พลทหารวิเชียร มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสงขลา เพิ่งสึกจากการเป็นพระและเข้ารับการเกณฑ์ทหาร โดยก่อนหน้านั้นเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาการศึกษาพัฒนาชุมชน จากภาควิชาการพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


 :96: :96: :96: :96:

      ญาติของพลทหารวิเชียร ได้รับแจ้งเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2554 ว่า พลทหารวิเชียรเสียชีวิต โดยหลักฐานจากการชันสูตรศพของแพทย์จากโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ระบุว่าเสียชีวิตเนื่องจากไตวายเฉียบพลัน กล้ามเนื้อฉีกขาดรุนแรง ร่างกายถูกของแข็งกดทับ และมีร่องรอยถูกรุมซ้อมทำร้ายร่างกาย ต่อมามีการสอบสวนจนทราบว่า การซ้อมทรมานเกิดขึ้นระหว่างการควบคุมของครูฝึกในหน่วยฝึกทหารใหม่ของค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชครินทร์ โดยบรรดาครูฝึกอ้างว่าพลทหารวิเชียรถูกลงโทษเพราะหลบหนีการฝึก

      ในส่วนของคดีแพ่ง มารดาของพลทหารวิเชียร ได้ยื่นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางละเมิดต่อหน่วยงานต้นสังกัด ปรากฏว่าสามารถเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้ โดยศาลแพ่งสั่งให้กองทัพบกเป็นผู้ชดเชยเยียวยาค่าเสียหายแก่มารดาของพลทหารวิเชียร เป็นเงิน 7,049,213 บาท





       "ประวิตร" ชี้กรณี "พลทหารวิเชียร" เป็นไปตาม ก.ม.

      ด้าน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการเสียชีวิตของ พลทหารวิเชียร ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับเงินชดเชยไปแล้ว แต่ยังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีอาญาว่า ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่าทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมายทั้งหมด เพราะได้มีการร้องเรียนและแจ้งความแล้ว ก็ต้องว่ากันไป

      ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ร้องเรียนไปยังกองทัพแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร พลเอกประวิตร กล่าวว่า เดี๋ยวกองทัพคงดูเอง ทำอยู่แล้ว ทำทุกเรื่องอยู่แล้ว



ที่มา http://www.now26.tv/view/60415
ขอบคุณภาพจาก http://2.bp.blogspot.com/ , http://images.voicecdn.net/





เรื่องย่อ : พลทหารวิเชียร เผือกสม ได้เคยอุปสมบทเป็นพระภิกษุและศึกษาจนจบชั้นปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) คณะพุทธศาสตร์ สาขาวิชาศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ผลการเรียนเกียตินิยมอันดับ 1  และสำเร็จระดับปริญญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผลการเรียนดีเยี่ยม เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2554 พลทหารวิเชียรได้สมัครเข้ารับการเกณฑ์ทหารและเข้าฝึกที่หน่วยฝึกทหารใหม่ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส

ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2554 ครูฝึกทหารใหม่และเจ้าหน้าที่ทหารรวมกันประมาณ 10 นาย ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายพลทหารวิเชียร โดยทรมานและกระทำทารุณโหดร้าย โดยอ้างว่าพลทหารวิเชียร เผือกสม หลบหนีการฝึก ทำให้พลทหารวิเชียร ได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้เสียชีวิตในวันที่ 5 มิถุนายน 2554 โดยสาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากไตวายเฉียบพลันจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง


ที่มา http://www.prachatai.com/journal/2013/07/47723
ขอบคุณภาพจาก https://fbcdn-photos-b-a.akamaihd.net/
12305  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บวชมา ๘ ปี จบพุทธศาสตร์ มจร. สึกออกมาสมัครทหาร ปรับตัวไม่ได้ โดนครูฝึกซ้อมจนตาย เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2015, 08:45:59 am



4 ปีผ่านไป...ยังรอความยุติธรรม หลัง "พลทหารวิเชียร" ถูกครูฝึกซ้อมจนตายเมื่อปี 54

กลายเป็นกระทู้ที่มีชาวเน็ตให้ความสนใจอย่างมากภายในชั่วข้ามคืน เพราะนับว่าเป็นเหตุการณ์เศร้าสลดของสังคมไทยอีกกรณีหนึ่ง โดยคุณสมาชิกหมายเลข 2250431 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอมได้ตั้งกระทู้ชื่อว่า "ครูฝึกทหารใหม่รวม ๑๐ นาย ลงโทษซ้อมทรมานพลทหารเกณฑ์ป.โทจนเสียชีวิต กองทัพบกต้องชดเชยสินไหมทดแทนคดีแพ่งกว่า ๗ ล้านบาท" 

ภายหลังจากที่รายการสปริงรีพอร์ต ของสถานีสปริงนิวส์ ดิจิตอลทีวีช่อง 19ได้นำเสนอเหตุการณ์ และเรื่องราวการเสียชีวิตของ "พลทหารวิเชียร เผือกสม" ทหารเกณฑ์ใหม่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ที่ถูกครูฝึกร่วมกันทำร้ายด้วยการซ้อมทรมานจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงรอเลือกตั้งทั่วไปหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภาฯ และล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. ได้ชี้มูลความผิดทหาร 10 นาย และส่งสำนวนให้อัยการจังหวัดนราธิวาส สั่งฟ้องดำเนินคดีอาญา

ชมคลิป Spring Reports 27/10/58 : ซ้อมทรมาน "ทหารเกณฑ์" เสียชีวิต
https://www.youtube.com/watch?v=Pocvh9wgLO4



 :91: :91: :91: :91: :91:


โดยเจ้าของกระทู้ได้ระบุเรื่องราวทั้งหมดว่า

กระทู้นี้ตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการนำเสนอและแชร์ข้อเท็จจริงความรุนแรงในค่ายทหารอีกด้านหนึ่งที่ถูกปกปิดซ่อนเล้นอยู่ ให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก เพราะหากตราบใดที่ประชาชนยังไม่รู้สิทธิในเรื่องนี้ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะนี้ก็ยังคงที่จะเกิดขึ้นได้อีกเสมอ โดยวัตถุประสงค์ของการขอนำเสนอไม่ได้ต้องการโจมตีหรือทำให้หน่วยงานของรัฐเสื่อมเสียงชื่อเสียงแต่ประการใด แต่เพื่อให้ประชาชนในสังคมไทยได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และเป็นกรณีตัวอย่างให้กับผู้ที่ถูกละเมิด หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองต่อไป

บัดนี้ก็เป็นเวลา ๔ ปีกว่าแล้วที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตยังคงต้องต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนในครอบครัวที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับลำแข้งของครูฝึกทหารร่วม ๑๐ นาย ในกรณีที่พลทหารวิเชียร เผือกสม ทหารเกณฑ์ สังกัดกองพลพัฒนาที่ ๔ ค่ายนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ผู้มีศักดิ์เป็นน้าชาย ซึ่งถูกรุมทำร้ายร่างกาย โดยครูฝึกทหารใหม่จนเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔

เรื่องราวเหล่านี้ยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำของคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี หน้ำซ้ำครูฝึกทหารใหม่ที่กระทำต่อพลทหารวิเชียร เผือกสม ยังคงลอยนวลไม่ถูกลงโทษทางอาญาตามความผิดที่ได้กระทำ บางนายยังคงเป็นครูฝึกทหารใหม่ บางนายปลดประจำการแล้ว และบางนายได้เลื่อนชั้นยศที่สูงขึ้น คือร้อยโท ซึ่งมีพ่อเป็นพลตรี  **เพราะยังต้องรอกระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมายไทย**

ทั้งนี้จึงตั้งกระทู้ขึ้นมาก็เพื่อปกป้องสิทธิให้กับคนอื่น โดยไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับใครอีก เพราะการลงโทษโดยทำร้ายร่างกายด้วยวิธีการทารุณโหดร้าย นอกจากจะเป็นความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่งแล้ว ยังเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๔๐ มาตรา ๓๒ ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคล  และละเมิดอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีและมีพันธกรณีให้ปฏิบัติตามอนุสัญญาฯดังกล่าวด้วย





ข้อเท็จจริงตามเอกสารหนังสือรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกองทัพภาคที่ ๔ ที่ กห ๐๔๔๘/๒๔๖๓ ฉบับลงวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ มีดังนี้

พลทหารวิเชียร เผือกสม ได้ลาสิขาบทมาเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ และได้สมัครเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ผลัดที่ ๑/๕๔ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ แต่ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ พลทหารวิเชียร เผือกสม กลับถูกครูฝึกทหารลงโทษรุมทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมทารุณจนได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุเพราะหลบหนีจากหน่วยฝึก ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔ และได้ตัวกลับมาในวันเดียวกัน ครั้งที่ ๒ เมื่อ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ทางหน่วยฝึกได้ไปรับตัวกลับหน่วยเมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ ก่อนเที่ยง ร้อยตรีให้การว่าได้ตบหน้าพลทหารวิเชียรฯ ๒ ครั้ง เพื่อเตือนสติให้สำนึกที่หลบหนี ให้กินพริกสดจำนวน ๓-๔ เม็ด เพื่อทำโทษและให้กินข้าวเปล่าจำนวน ๑ จาน ประมาณ ๑๒.๔๐ น. ได้สั่งให้พลทหารผู้ช่วยครูฝึก ๒ นาย นำพลทหารวิเชียรฯ ไปบริเวณหลังหน่วยฝึกหน้าห้องน้ำเพื่อปรับปรุงวินัย โดยให้ออกกำลังท่ากายบริหาร เช่น ท่ากระโดดกบ แองการู ท่ายุบสะโพก ฯลฯ โดยในครั้งแรกให้สวมใส่ชุดทหารใหม่และต่อมาให้ถอดเสื้อผ้าออกคงเหลือกางเกงในเพียงตัวเดียว โดยมีร้อยตรีนั่งกำกับอยู่ด้วย จากนั้นได้พาไปพบร้อยโทผู้ฝึกที่หน้าหน่วยฝึก ร้อยโทผู้ฝึกได้มีการว่ากล่าวพลทหารวิเชียรฯ และได้สั่งให้พาไปด้านหลังหน่วยฝึกเพื่อปรับปรุงวินัยต่อ มีผู้ให้การหลายรายยืนยันว่า ได้เห็นพลทหารผู้ช่วยครูจับขาพลวิเชียรฯ คนละข้างลากไปกับพื้นปูนบริเวณที่รวมพลหน้าหน่วยฝึกประมาณ ๒-๓ เมตร พลทหารวิเชียรฯ ได้ร้องด้วยความเจ็บปวด

ต่อจากนั้นได้พาไปปรับปรุงวินัยที่เดิม ซึ่งขณะนั้นร้อยตรีอีกนายได้เข้ามาพบเห็นพลทหารผู้ช่วยครูได้รุมกันใช้เท้าเตะกระทืบที่ขาและลำตัวของพลทหารวิเชียรฯ ซึ่งขณะนั้นร้อยตรีที่ถูกกล่าวหาได้กำกับอยู่ โดยสั่งให้ตัดกำลังขาอย่าไปทำอะไรส่วนบน ต่อจากนั้นได้ใช้เกลือทาบริเวณแผลและใช้เท้าเหยียบขึ้นไปที่หน้าอก หลังจากใช้เวลาซ่อมประมาณ ๒ ชั่วโมง ได้นำตัวพลทหารวิเชียรฯ ไปอาบน้ำและพาไปที่ห้องพยาบาล เพื่อทายารอยแผลขีดข่วนและให้นอนพักบนเตียงผ้าใบในห้องพยาบาล ขณะนั้นมีครูทหารใหม่และผู้ช่วยครูหลายนาย ซึ่งที่ห้องพยาบาลนั้นจ่าสิบเอกให้การว่า เห็นพลวิเชียรวิเชียรฯ ถูกสิบเอก ๓ นาย และสิบโท ๒ นายสลับกันรุมเตะด้วยหัวรองเท้าคอมแบค โดยมีร้อยตรีผู้ช่วยผู้ฝึก นั่งอยู่ที่เตียงพยาบาล





เวลาประมาณ ๑๗.๔๕ น. สิบเอกได้เรียกรวมพลทั้งหมดเพื่อไปรับประทานอาหารเย็น โดยสิบเอกอีกนายได้เรียกทหารใหม่ประมาณ ๕-๖ นาย ให้แบกพลทหารวิเชียรฯจากห้องพยาบาลไปยังโรงเลี้ยง โดยใช้ผ้าขาวห่อตัวเหลือแต่ใบหน้าพร้อมมัดตราสังข์ในลักษณะเหมือนศพ พร้อมตั้งขบวนแห่และพูดไว้อาลัยเหมือนกับการแห่ศพ และที่โรงเลี้ยงมีพยานยืนยันว่า เห็นพลทหารวิเชียรฯ ถูกสั่งให้นั่งกินข้าวบนก้อนน้ำแข็งประมาณ ๑๐ นาที โดยให้นั่งท่าขัดสมาธิ ก้นสัมผัสผิวน้ำแข็งประมาณ ๑ ใน ๓ และสวมกางเกงในตัวเดียว และร้อยโทผู้ฝึกได้เดินมาที่พลทหารวิเชียรฯ ร้อยตรีผู้ช่วยครูฝึกได้บอกให้เอาน้ำแข็งประคบ เพื่อบาดแผลจะได้หายเร็วขึ้นและได้ให้รับประทานกระเทียมประมาณ ๓–๔ กลีบ ต่อมาสิบเอกได้นำกำลังพลชุดเดิมแบกพลทหารวิเชียรฯ กลับมาวางด้านหน้าหน่วยฝึกและมีก้อนน้ำแข็งวางทับบนหน้าอก ที่หน้าหน่วยฝึก

เวลาประมาณ ๑๘.๔๕ น. สิบเอกได้สั่งให้พลทหารวิเชียรฯ หมอบ-ลุก เมื่อเห็นว่า ทำช้าไม่เป็นที่พอใจจึงได้ไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วชี้ตีที่บริเวณลำตัว แผ่นหลัง ก้น ขาจนถึงปลายเท้า และใช้เท้าเตะบริเวณชายโครง หน้าอก และกระทืบไปที่ท้ายทอยเป็นเหตุให้คางกระทบกับพื้นเป็นแผลแตกขนาดปลายนิ้วก้อย ใช้เท้าเตะไปที่บริเวณใบหน้าเป็นเหตุให้มีเลือดออกจากปากแล้วพลทหารวิเชียรฯ ได้ก้มลงกราบพร้อมร้องบอกว่า "ผมเจ็บและจะไม่ทำอีกแล้ว" แต่สิบเอกก็ยังไม่หยุดกระทำ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับการถูกเตะและกระทืบดังมากจนทำให้ร้อยโทผู้ฝึกได้ชะโงกมาจากชั้นบนของอาคารหน่วยฝึก พร้อมสั่งให้ร้อยตรีผู้ช่วยผู้ฝึกอย่าทำให้แรงเกินไปนัก สิบเอกจึงได้ย้ายสถานที่ซ่อมไปด้านข้างของแถว ยังคงใช้ไม้ตีสลับกับการเตะเหมือนเดิมจนกระทั่งร้อยตรีอีกนายได้เข้ามาแย่งไม้ในมือสิบเอกทิ้งอีกครั้ง สิบเอกได้พูดว่า "ไม่มีไม้ใช้มือใช้เท้าแทนก็ได้" และได้ประกาศท้าทายให้ไปฟ้อง ผบ.ทบ.ต่อหน้ากำลังทหารใหม่ประมาน ๒๐๐ นาย

จนเวลา ๒๓.๐๐ น. ร้อยตรีได้พาพลทหารวิเชียรฯ ไปคุยต่อจนถึงเวลา ๐๑.๐๐ น.เศษ ได้สั่งให้พลทหารวิเชียรฯ ขึ้นโรงนอน ต่อมาวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๔ มีพยานหลายคนเห็น พลทหารวิเชียรฯ นอนพักอยู่ในห้องพยาบาลบริเวณร่างกายและขามีรอยช้ำบวมหลายแห่งใต้คางมีแผลลึกมีน้ำเหลืองไหลย้อยรอบปากปรากฏคราบเลือด พยานบางคนได้ถามอาการเจ็บป่วยได้รับคำตอบว่า เจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ได้ร้องขอให้นำตัวไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากทนความเจ็บปวดไม่ไหว ถึงขั้นมีการสั่งเสียกับเพื่อนพลทหารด้วยกันว่า หากเสียชีวิตลงให้ช่วยแจ้งกับมารดาด้วย แต่ไม่มีผู้ใดสนใจและดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น


 :03: :03: :03: :03: :03:

กระทั่งวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๔ จึงได้ส่งตัวไปโรงพยาบาลเจาะไอร้อง ทางโรงพยาบาลเห็นพลทหารวิเชียรฯ มีอาการหนักเกินขีดความสามารถของแพทย์ที่จะรักษาเยียวยาได้ จึงส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ต่อทันที และหน่วยได้สั่งให้ร้อยตรีที่ไม่ได้ร่วมกระทำไปดูอาการของพลทหารวิเชียรฯ

ในวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ เห็นพลทหารวิเชียรฯ อยู่ในห้องไอซียูพร้อมญาติ บริเวณทั่วทั้งลำตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ามีแต่บาดแผลและรอยช้ำบวม สอบถามแพทย์ได้รับคำตอบว่า ชีพจรต่ำมาก การตอบสนองของร่างกายไม่มี อาการอยู่ในขั้นโคม่า ท้ายสุดเมื่อวันที่ ๕ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๒๓.๐๕ น. ณ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส พลทหารวิเชียร เผือกสม ต้องจบชีวิตด้วยวัยเพียง ๒๖ ปีเท่านั้น โดยที่สาเหตุการตายมาจากไตวายเฉียบพลันจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจากการถูกรุมซ้อมทำรายร่างกายโดยฝีมือของครูฝึกในหน่วยฝึกของค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในสังกัด ร.๑๕๑ พัน.๓ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส

สภาพศพของพลทหารวิเชียร เผือกสม ถ่ายเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลาประมาณ ๒๑.๕๐ น. หลังเสียชีวิตเพียง ๒๓ ชั่วโมง ซึ่งถูกครูฝึกทหารใหม่จำนวน ๑๐ นาย ตั้งแต่ยศร้อยโท ร้อยตรี จ่าสิบเอก สิบเอก และพลทหารผู้ช่วยครูฝึกลงโทษซ้อมทรมานตามรายเอียดข้างต้นที่กล่าวไว้ เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๒๓.๑๕ น. **ส่วนปี ค.ศ.ในภาพต้องเป็น ๒๐๑๑ ซึ่งคือ พ.ศ.๒๕๕๔ กล้องถ่ายรูปตั้งเวลาผิดค่ะ


ปล.ภาพศพที่โพสต์ลงไปอาจจะไม่เหมาะสม แต่เพื่อให้เป็นอุธาหรณ์ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำขึ้นอีก ทางครอบครัวพลทหารวิเชียร เผือกสม ยินยอมให้เปิดเผยสู่สาธารณะค่ะ และเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับมอบหมายโดยชอบธรรมตามกฎหมายจากมารดาของพลทหารวิเชียรฯ ผู้มีศักดิ์เป็นยาย ให้เป็นผู้ดำเนินการ




อนึ่ง หน่วยงานทหารต้นสังกัด ได้มีการเจรจาเงินเยียวยาจำนวนไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขอคลุมธงชาติพร้อมทั้งพระราชทานเพลิงศพ ซึ่งทางครอบครัวได้ปฏิเสธที่จะไม่รับเงินเยียวยาดังกล่าว เพราะเงินเยียวยาดังกล่าวนั้นย่อมมาจากงบประมาณของแผ่นดิน ซึ่งเป็นภาษีของประชาชนคนไทย อีกทั้งหากรับเงินเยียวยาไปแล้วย่อมเกิดการบิดเบือนความจริงที่เกิดขึ้น เพราะการคลุมธงชาติและการพระราชทานเพลิงศพ เป็นการแสดงว่า พลทหารวิเชียร เผือกสม ได้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่รับราชการทหาร แต่แท้จริงแล้วพลทหารวิเชียร เผือกสม ได้เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ครูฝึกทหารใหม่ อันเป็นการดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมของสังคมไทยไว้ได้อย่างแท้จริง

ซึ่งการลุกขึ้นมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมของที่พยายามมาตลอดระยะเวลา ๔ ปีกว่านั้น สิ่งที่ครอบครัวต้องการมี ๓ ประการ คือ  ประการแรก คือ ทางครอบครัวของผู้ตายได้รับสิ่งที่ควรได้จากการเสียชีวิตของคนในครอบครัวผ่านกระบวนการยุติธรรมของไทย โดยการผ่านกระบวนศาลแพ่ง ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานต้นสังกัด

ประการต่อมา คือ จะต้องทำให้สังคมเห็นว่า ความเป็นธรรมยังปรากฎให้เห็นอยู่จริง ความยุติธรรมและความถูกต้องยังคงอยู่เหนืออำนาจและเงินตรา โดยที่ครอบครัวได้ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมของเราที่พยายามทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานต่างๆ กว่า ๔๐ ฉบับ เพื่อให้ความยุติธรรมและความถูกต้องยังคงมีอยู่จริงในสังคมไทย จี้เอาผิดกับนายทหารที่ทำทั้งหมด ไม่มีการละเว้นแม้แต่นายเดียว โดยเรียกร้องต่อหน่วยเหนือของกองทัพ อันได้แก่ กองบัญชาการทหารบก เพื่อตรวจสอบและป้องปรามไม่ให้ขอเจ้าหน้าที่ทหารของกองทัพบก ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาในระดับต่างๆ ให้การช่วยเหลือพวกพ้องที่กระทำผิด รวมทั้งสอบสวนและลงโทษผู้ที่ให้การช่วยเหลือ ตลอดทั้งบิดเบือนความจริง โดยนำเงินภาษีจากประชาชนมาใช้ปิดปากครอบครัวของผู้ตาย ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนอันชอบธรรม ก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความถูกต้อง จนนำมาซึ่งความจริงและการลงโทษเจ้าหน้าที่ครูฝึกผู้กระทำผิด ซึ่งมีผลทำให้สังคมไทยเกิดความสนใจเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายทหารมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้เกิดการทบทวนวิธีปฏิบัติของครูฝึกต่อทหารใหม่ ตลอดทั้งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติในเรื่องการเกณฑ์ทหาร การคัดเลือกทหารของกองทัพ และการปฏิบัติต่อบุคคลเพศที่สามในการตรวจคัดเลือกทหารอีกด้วย นอกจากนี้ยังต้องการให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องของเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ กล่าวคือ เมื่อมีผู้ถูกกระทำกล้าเปิดเผยขึ้นมาเป็นกรณีตัวอย่าง ก็จะทำ ให้มีผู้กล้าเปิดเผยความจริงเพิ่มตามมา เพราะเห็นแนวทางในการเรียกร้องความเป็นธรรมในกรณีที่ญาติถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะเดียวกันนี้มากขึ้น

ประการสุดท้าย คือ เพื่อจะหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำได้อีก ซึ่งตลอดระยะเวลาของการร้องเรียน เจ้าหน้าที่และครอบครัวที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการต่อสู้เพื่อหาความเป็นธรรม ถึงแม้ปัจจุบันเวลาจะผ่านมาเกือบครบ ๔ ปี แต่เจ้าหน้าที่และครอบครัวยังต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐ อำนาจมืดของระบบอุปถัมภ์ ในช่วงระยะเเรกๆก็มีการข่มขู่ ขับรถดักตาม ส่งกระสุนปืนบรรจุใส่ซองธูปมาให้ในงานศพ ให้บุคคลในพื้นที่เกลี่ยกล่อมให้รับเงินเพื่อให้เรื่องจบแต่เจ้าที่หน้าและครอบครัวเลือกเอาความยุติธรรมแทน


ขอบคุณข้อมูลและติดตามอ่านกระทู้ฉบับเต็มจาก คุณสมาชิกหมายเลข 2250431 และขอบคุณคลิปจาก รายการ Spring Reports
http://social.tnews.co.th/content/167118/
(โพสต์เมื่อ 2015-10-31)
12306  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ศาลสถิตยุติธรรม คือ ความตาย เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2015, 08:09:46 am


ศาลสถิตยุติธรรม คือ ความตาย
ธรรมะยู-เทิร์น โดยอิทธิโชโต

     “ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า...โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาหายใจออกแล้วหายใจเข้า หรือหายใจเข้าแล้วหายใจออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่าไม่ประมาทอยู่ ย่อมเจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล"

      (จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต,ปฏิปทาสูตรที่ ๓)


ask1 ask1 ask1 ask1 ask1

คนเราส่วนใหญ่กลัวความตาย ใช่หรือไม่.?

ความตาย เป็นเหมือนเป็นศัตรู เวลาที่เราจะออกรบ เพราะฉะนั้นความตายไม่คุ้นเคยกับใครและไม่มีใครต้องการ มันเป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิตไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็ต้องพบเจอ

คำว่า ‘ธรรมชาติ’ หมายความว่า มันเป็นอย่างนั้นของมัน ไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเกิดมาสวยเลิศ หรือสูงศักดิ์ ความตาย คือศาลยุติธรรมของหลักธรรมชาติ เสมอภาคกันหมด ไม่ว่าใครก็ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีข้อยกเว้น เราทำได้อย่างเดียว คือเรียนรู้ ยอมรับ และเข้าใจมัน

พระพุทธเจ้ากล่าวไว้แล้วว่า ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นของเราจริงๆ ก็ต้องบังคับได้ แต่ เราบังคับความตายไม่ให้เกิดกับเรา ไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เป็นของเราก็มี ไม่เป็นของเราก็มี แต่มนุษย์ คิดว่าเป็นของเราทั้งหมด ที่ว่าเป็นของเราก็มี คือดวงจิตนี้ที่เราจะต้องฝึก ฝึกให้ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ แม้กระทั่งความตาย เพราะถ้าไม่ฝึก ดวงจิตก็ไปยึดไปเหนี่ยวทุกอย่าง เมื่อดวงจิตนั้นไปยึดเหนี่ยวสิ่งใดก็จะเป็นสิ่งนั้น เป็นอัตตาก็ได้ เป็นอนิจจังก็ได้ เป็นอนัตตาก็ได้ เป็นคนดีก็เป็นได้ เป็นคนไม่ดีก็เป็นได้


 ans1 ans1 ans1 ans1

ดังนั้นการที่เราจะเรียนรู้ยอมรับความเป็นจริงให้ได้ โดยเฉพาะเรื่องความตาย ทำให้เราต้องมาฝึกธรรมะ การฝึกฝนธรรมะ ก็คือ เรามีหน้าที่เรียนรู้และยอมรับมัน ไม่ว่าปราชญ์ไทย จีน ฝรั่ง ก็ได้บอกเกี่ยวกับความตายตรงกันหมดก็คือ ยิ้มรับและยอมรับมัน

ส่วนคนที่จะยิ้มรับกับมันได้ ยอมรับได้ คือคนประเภทไหน คนที่ไม่เคยฝึก จะมองดูและยอมรับได้อย่างไร เหมือนเด็กที่กลัวคนตาย จะไปมองไหม หรือผู้ใหญ่ที่กลัวความเจ็บป่วย ก็มีแต่จะวิ่งหนี แต่ความจริงคือ วิ่งหนีไม่ได้ ทุกคนต้องประสบ จึงต้องมาฝึกฝน เพื่อให้เข้าใจหลักธรรมชาติ จึงจะอยู่กับมันได้ แต่มันก็เป็นเรื่องยากถ้าไม่ฝึกอย่างจริงจัง เพราะสิ่งที่คนหวงแหนที่สุดก็มีอยู่เท่านี้ คือร่างกาย เพราะกลัวตาย แต่ก่อนที่จะไปถึงความตาย เราจึงยอมสละได้ทุกอย่าง

 :25: :25: :25: :25:

เรายอมสละสิ่งของภายนอกที่หามาเพื่อนำไปรักษาการเจ็บป่วย และพอจะต้องเสียชีวิต ก็ยอมที่จะผ่าตัดอวัยวะบางส่วนออกไปเพื่อรักษาชีวิต เช่นเดียวกับบ้านเรือนที่เคยอยู่ ครอบครัวที่เคยมี สิ่งของที่เคยชอบใจ เมื่อภัย คือความตายจะมาถึง ก็จะกลัวความตายเป็นที่สุด จึงต้องทิ้ง ลูกเต้า ภรรยา ที่หวงแหนขนาดไหนก็ยังต้องทิ้ง

    แล้วจะทิ้งอย่างไรเมื่อภัยมาถึง.?
    เพียงจิตใจของผู้ที่มุ่งมั่น ก็สามารถทิ้งร่างโดยไม่ยึดติดได้ ไม่ต้องเป็นถึงพระอริยะ แค่เข้าใจความตาย เข้าใจกฎของธรรมชาติ ก็ยังทำได้ เรียกว่า เลือกตายดีก็ได้ เราจะเลือกแบบไหนล่ะ



ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20151110/216623.html
12307  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / วัดสิรินธรเทพรัตนารามฯ ชุมทางแห่งความรู้สู่ชุมชน เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2015, 07:34:11 am



วัดสิรินธรเทพรัตนารามฯ ชุมทางแห่งความรู้สู่ชุมชน

วัดสิรินธรเทพรัตนาราม ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นวัดราษฎร์ ตั้งอยู่เลขที่ 26 หมู่ 7 ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
       
       พระอารามแห่งนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประทานที่ดินจำนวน 62 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา เพื่อสร้างวัดในพระพุทธศาสนา (ตามเจตนาของผู้ถวายที่ดินคือนางสาวจำรูญ ภูไทย นางจำเริญ ภูไทย) เมื่อ พ.ศ. 2531 และทรงอุปถัมภ์โดยประทานทุนเริ่มแรกในการก่อสร้างพระอุโบสถ จำนวน 2,500,000บาท เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 4 รอบ วันที่ 2 เมษายน 2546
       
       ทรงมอบให้พระธรรมวราจารย์ (แบน กิตฺติสาโร) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นประธานกรรมการดำเนินการจัดสร้าง โดยแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นสถานที่สร้างวัด ส่วนหนึ่งเป็นสถานที่สร้างวิทยาเขตแห่งที่ 2 ของมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย และอีกส่วนหนึ่งเป็นสถานที่สร้างศูนย์เด็กเล็ก


        :25: :25: :25: :25:

       ต่อมา พ.ศ. 2537 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระนามาภิไธย เป็นนามวัดว่า “วัดสิรินธรเทพรัตนาราม” พร้อมทั้งทรงรับไว้ในพระราชูปถัมภ์
       
       เมื่อวัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2542 คณะสงฆ์จึงแต่งตั้งพระธรรมวราจารย์ ให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดสิรินธรเทพรัตนารามฯ จากนั้นการก่อสร้างพระอุโบสถจึงได้เริ่มต้นขึ้น โดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์อุโบสถเฉลิมพระเกียรติ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
       
       จากวันเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. 2533 ถึง พ.ศ. 2549 วัดสิรินธรเทพรัตนารามฯ มีหอพักสำหรับพระภิกษ6สามเณร 200 ห้องนอน มีกุฏิ 28 หลัง มีอาคารเรียนขนาดใหญ่ 2 หลัง มีห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติขนาดใหญ่ 1 หลัง กลุ่มอาคารศูนย์เด็กเล็ก 6 หลัง และตึกหอพัก 84 ห้องนอน เป็นอาคารคอนกรีต 3 ชั้น 1 หลัง

       


       นอกจากนี้ ยังมีสิ่งสำคัญภายในพระอาราม ได้แก่
       • พระอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมไทย 2 ชั้น สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กกว้าง 18 เมตร ยาว 37 เมตร ผนังภายในประดับด้วยหินแกรนิตและหินอ่อนบางส่วน หลังคาประดับด้วยช่อฟ้าใบระกา หน้าบันประดิษฐานพระนามาภิไธย ย่อ ส.ธ. ซุ้มประตูหน้าต่างประดับด้วยหินอ่อน และเบญจรงค์ หลังคามุงกระเบื้องสีแดง บานประตูด้านหน้าทั้ง 3 คู่ฝังมุก
       
       ภายในอุโบสถ พื้น บันไดด้านหน้า และด้านหลัง ปูด้วยหินแกรนิต เสาภายในประดับด้วยไม้สัก และหินอ่อน บัวหัวเสาภายนอกประดับด้วยปูนปั้น ซุ้มเหนือหน้าต่างภายในประดับด้วยเบญจรงค์ ซุ้มหน้าต่างภายนอกประดับด้วยหินอ่อนปูนปั้นบางส่วน มีตราวัด ส.ธ. เขียนลายเบญจรงค์ทุกซุ้ม เหนือประตูหน้าตรงข้ามพระประธานเขียนลายธรรมจักร 37 ซี่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 3.30 เมตร ฐานชุกชีพระประธาน ประดับด้วยหินอ่อนและหินแกรนิต ในซุ้มพระประธานเขียนลายเทพพนม ฝาผนังเหนือหน้าต่างเขียนลายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์

       


       • พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธสิหิงค์จำลอง ลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง 80 นิ้ว มีอักษรพระนามาภิไธยย่อ ส.ธ. ประดิษฐานที่ผ้าทิพย์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีทรงเททองหล่อพระประธาน ทรงยกช่อฟ้าอุโบสถ และทรงเปิดป้ายสนามกีฬาศูนย์เด็กเล็ก ในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2546
       
       • พระรูปเหมือนพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) ขนาดหน้าตักกว้าง 29 นิ้ว อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร องค์ที่ 4
       
       • พระรูปเหมือนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขนาดหน้าตักกว้าง 29 นิ้ว
       
       • ศาลาการเปรียญ เป็นอาคารทรงไทย 2 ชั้น สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

       




       วัดสิรินธรเทพรัตนาราม ในพระราชูปถัมภ์ แม้จะไม่ใช่วัดเก่าแก่ แต่ก็ถือว่าเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งที่ให้บริการทางด้านวิชาการแก่พระภิกษุสามเณร และคฤหัสถ์ เป็นสถานที่ให้ความรู้แก่ชุมชน พระภิกษุสงฆ์เป็นวิทยากรในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในโรงเรียนต่างๆ เป็นที่ตั้ง “ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์” ซึ่งเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กอ่อนก่อนวัยเรียน อายุ 2 ขวบครึ่ง ถึง 6 ขวบ ในโครงการพระราชดำริ ปี 2558 มีเด็กก่อนวัยเรียน จำนวน 982 คน ครูพี่เลี้ยง 84 คน ห้อง 36 ห้อง ถือเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กก่อนวัยเรียนที่ใหญ่ที่สุดในปริมณฑล กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ วัดสิรินธรเทพรัตนารามฯ ยังเป็นแหล่งชุมทางแห่งความรู้ทุกๆด้าน รวมทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชุมชนด้วย
       
       เวลาผ่านไปเพียง 20 ปีเศษนับแต่สร้างวัด หลังคาฝ้าเพดานของพระอุโบสถก็เกิดชำรุดทรุดโทรม ดังนั้น ทางวัดจึงร่วมกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จัดทำโครงการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ วัดสิรินธรเทพรัตนาราม ในพระราชูปถัมภ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และถวายเป็นพระราชกุศล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุครบ 5 รอบ วันที่ 2 เมษายน 2558
       
       โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป กำหนดแล้วเสร็จภายในพ.ศ.2559 เพื่อรักษาพระอุโบสถเฉลิมพระเกียรติ ให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรง และงดงามดังเดิม เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของพระภิกษุสามเณรในพระอารามที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์แห่งนี้

       


จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 177 กันยายน 2558 โดย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9580000099077
ขอบคุณภาพจาก https://www.google.co.th/
12308  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 3 เดือน ลดถุงพลาสติกได้ 20 ล้านใบ เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 09:08:53 pm


3 เดือน ลดถุงพลาสติกได้ 20 ล้านใบ

น.ส.ภาวิณี ปุณณกันต์ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า จากการที่ ทส.ร่วมกับภาคเอกชนผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ 16 หน่วยงาน ดำเนินโครงการพลังสร้างวินัยลดใช้ถุงพลาสติก ทุกวันที่ 15 และ 30 ของทุกเดือน เพื่อรณรงค์คนไทยทั่วประเทศลดการใช้ถุงพลาสติกและโฟม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา

ปรากฏว่า กลุ่มบริษัทเอกชนทั้ง 16 แห่ง ต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังพบว่าบริษัทห้างร้านต่างๆ ไม่ได้ดำเนินการรณรงค์เพียงเฉพาะวันที่ 15 และ 30 ของเดือนเท่านั้น แต่ยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกวัน ทำให้ผ่านมาเพียง 2 เดือน สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกได้รวมกันถึง 14,890,000 ใบ ขณะนี้ดำเนินการในเดือนที่ 3 คาดว่าน่าจะสามารถลดได้กว่า 20 ล้านใบ

ดังนั้น ฝากย้ำเตือนและขอความร่วมมือจากประชาชนในการเตรียมถุงผ้า กระเป๋า ปิ่นโต สำหรับใส่สินค้า อาหาร แทนการขอรับถุงพลาสติกในวันที่ 15 และ 30 ของทุกเดือน หรือทุกๆวัน เพราะการปฏิเสธการรับถุงพลาสติกจากห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ เพียงคนละ 1 ใบต่อวัน ทำให้ประเทศ ไทยลดขยะจากถุงพลาสติกได้ราว 70 ล้านใบต่อวัน.




ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/539056
http://www.dailynews.co.th/
12309  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สูงวัยเล่นออนไลน์ จะช่วยลับสมอง เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 08:53:15 pm


สูงวัยเล่นออนไลน์ จะช่วยลับสมอง

มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ลอนดอน ของอังกฤษ ได้พบว่าการลับสมองด้วยการเล่นเกมออนไลน์ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีความจำและความคิดอ่านดีขึ้น

การเล่นดังกล่าว นอกจากจะทำให้มีสมาธิแน่วแน่แล้ว ยังช่วยให้ทำกิจวัตรประจำวันต่างๆตั้งแต่ทำครัว แม้แต่ไปตลาดคล่องแคล่วขึ้นทางมหาวิทยาลัยได้เปิดให้ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เข้ามาฝึกการเล่นเกมออนไลน์ครั้งละนาน 10 นาที หรือตามแต่ใจ หลังจากที่ให้ทำไปนาน 6 เดือน ก็ได้วัดผล ปรากฏว่าผู้ที่เล่นลับสมองด้วยการเล่นเกม ได้มีความรู้ความชำนาญสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/538965
12310  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระสงฆ์ทั่วประเทศหนุน พุทธศาสนาประจำชาติ เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 08:51:19 pm



พระสงฆ์ทั่วประเทศหนุน พุทธศาสนาประจำชาติ

พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากที่องค์กรทางพระพุทธศาสนา ยื่นหนังสือต่อ ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ถึงเหตุผลของการสนับสนุนให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว หลังจากนี้จะมีการรณรงค์สนับสนุนให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ผ่าน 3 ส่วน คือ
      1.คณะสงฆ์
      2.มหาวิทยาลัยสงฆ์
      3.องค์กรทางพระพุทธศาสนา
เพื่อให้ทั้งพระสงฆ์ และประชาชนได้รับทราบและมีส่วนร่วมในการรณรงค์ครั้งนี้ ซึ่งถือว่ามีการดำเนินการที่ครอบคลุมทั้งประเทศแล้ว

 :25: :25: :25: :25:

เลขาธิการศูนย์พิทักษ์ฯ กล่าวต่อไปว่า การที่องค์กรทางพระพุทธศาสนาไปยื่นหนังสือต่อประธาน สปท.นั้น เหมือนเป็นการคิกออฟ ที่บ่งบอกว่าทางคณะสงฆ์ และองค์กรทางพระพุทธศาสนาจะดำเนินการรณรงค์เรื่องนี้อย่างจริงจัง พร้อมทั้งจะมีการรวบรวมรายชื่อผู้ที่สนับสนุนให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติให้ได้ 1 ล้านรายชื่อ โดยกำหนดสิ้นสุดการรวบรวมรายชื่อช่วงสิ้นเดือน พ.ย.นี้

จากนั้นจะนำรายชื่อทั้งหมด พร้อมเหตุผล ความจำเป็นของการบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และประธานคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/539062
12311  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โคมลอยเท่าตึก8ชั้น แข่งยี่เป็งเชียงแสน เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 08:48:37 pm


โคมลอยเท่าตึก8ชั้น แข่งยี่เป็งเชียงแสน

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 12 พ.ย. นายภาณุวัฒน์ ศรีสุข ผู้ใหญ่บ้านจอมกิตติ หมู่ 6 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย แกนนำการแข่งขันโคมลอยในงานประเพณียี่เป็งเมืองเชียงแสน เปิดเผยว่า นายพินิจ แก้วจิตคงทอง นายอำเภอเชียงแสน มอบหมายให้เป็นผู้จัดหาโคมลอยมาแข่งขันในงานยี่เป็งเมืองเชียงแสน ในปีนี้มีโคมลอยภาคเหนือจาก จ. เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย นำโคมลอยร่วมปล่อยแข่งขันวันที่ 23 พ.ย. ที่บริเวณลานหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน ผู้ชนะเลิศได้รับรางวัลเงินสด 10,000 บาท รองอันดับ 1 ได้ 7,000 บาท และรองอันดับที่ 2 ได้ 5,000 บาท

โคมลอยหรือโคมควันนั้นหมู่บ้านจอมกิตติได้จัดแข่งขันสืบทอดกันมานานเพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบสานการทำโคมลอย โดยปีนี้ทางชุมชนบ้านจอมกิตติได้จัดทำโคมลอยยักษ์ขนาดกว้าง 14 เมตร พอปล่อยควันเข้าไป โคมลอยจะมีความสูงเท่ากับตึก 8 ชั้น เมื่อปล่อยให้ลอยขึ้นไป จะมีเครื่องบินโฟมบินออกมาจากโคมยักษ์พร้อมกับพ่นควันสีสวยงามบนท้องฟ้า




นายภาณุวัฒน์เปิดเผยอีกว่า โคมลอยมักนำมาปล่อยกันในเทศกาลงานลอยกระทงทางภาคเหนือเรียกว่าประเพณียี่เป็ง ประเพณีลอยกระทงของชาวล้านนา ที่หมู่บ้านจอมกิตติ อ.เชียงแสน เป็นหมู่บ้านเดียวที่จัดให้มีการแข่งขันประกวดโคมลอย โคมลอยนอกจากจะใช้ลอยเพื่อเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังนิยมทำและเล่นกันมากในประเพณีเดือนยี่หรือ วันเดือนเพ็ญ และจะปล่อยในเวลากลางวัน ถือว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ด้วย ลักษณะของโคมลอยที่จะปล่อยขึ้นไปไม่มีรูปแบบที่แน่นอน แต่มักจะเลียนแบบธรรมชาติที่มองเห็น เช่น รูปลูกฟัก ลูกแตง รูปทรงกระบอก ทรงกลม ทรงเหลี่ยม กระต๊ิบข้าว และวันที่ 23 พ.ย.นี้ ทางหมู่บ้านจอมกิตติได้จัดโคมลอยไปร่วมแข่งขันในงานประเพณียี่เป็งเมืองเชียงแสน ที่ลานหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสนด้วย.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/539108
12312  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สร้างสุขหลอกเทวดา! จัดงานแต่งเด็กแฝด สินสอด 3 ล้าน เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 08:45:39 pm


สร้างสุขหลอกเทวดา! จัดงานแต่งเด็กแฝด สินสอด 3 ล้าน

ญาติเด็กฝาแฝดชาย-หญิง ยกสินสอดเงิน ทองคำ มูลค่าเกือบ 3 ล้าน จัดงานแต่งงานภายในบ้านพักที่นครสวรรค์ เพื่อเป็นการสร้างสุขหลอกเทวดา แก้เคล็ดตามความเชื่อ

เมื่อเวลา 08.39 น. วันที่ 14 พ.ย.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านอัญญ์มณีแต่ง หมู่ 10 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีการจัดงานแต่งงานเด็กหญิง-เด็กชายฝาแฝด โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างน่ารักอบอุ่นและสนุกสนาน สำหรับงานแต่งงานของน้องเพทาย และน้องไพลิน อังเดชาวัฒน์ คู่เด็กหญิงเด็กชายฝาแฝด ที่ครอบครัวอังเดชาวัฒน์ จัดขึ้นที่บ้านพักเลขที่ 88/8 หมู่ 10 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง นครสวรรค์ ซึ่งมีญาติพี่น้องและเพื่อนมาร่วมในงาน เรียกว่า งานนี้เต็มไปด้วยเด็กๆ ซึ่งจัดให้มีพิธีการเหมือนงานมงคลสมรสทุกประการ


 :49: :49: :49: :49:

โดยในตอนเช้าเริ่มด้วย พิธีสงฆ์ โดยพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นเป็นพิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ พิธีแห่ขันหมาก ที่ใช้เด็กเป็นผู้ถือทั้งหมด จำนวน 44 คน ซึ่งนำแห่ขบวนขันหมากโดยคณะกลองยาวเด็ก ของโรงเรียนโพฒิสารศึกษา จากนั้นเป็นพิธีสู่ขอโดย อาจารย์แห้ว หมอดูเทวดา ศาลเจ้าพ่อนาคราช ต.จันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เป็นเถ้าแก่ฝ่ายชายได้นำสินสอดเป็นเงินจำนวน 999,912 บาท ทองคำแท่งและรูปพรรณ น้ำหนักรวม 99 บาท เพื่อมาสู่ขอ ด.ญ.ณัฐวีภรณ์ อังเดชาวัฒน์ แฝดน้อง อายุ 3 ขวบ ซึ่งเป็นบุตรีของ ร.ต.ท.พิสิษฐ์พล นางลลดา อังเดชาวัฒน์ (พ่อ-แม่)ให้กับ ด.ช.ณัฐวีภัทร์ อังเดชาวัฒน์ แฝดพี่ อายุ 3 ขวบ พร้อมทั้งเชิญแขกผู้มีเกียรติร่วมรับประทานอาหารฉลองมงคลสมรสจัดโต๊ะจีนจำนวน 100 โต๊ะ

 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

สำหรับการจัดงานครั้งนี้ เพื่อสร้างสุขหลอกเทวดา เพราะแท้จริงแล้วเชื่อว่า การที่ฝาแฝดชายหญิงเกิดมาคู่กันนั้นมิใช่เรื่องง่าย แต่เนื่องด้วยแรงอธิษฐานที่มีแต่ภพก่อน ที่ทั้งสองไม่สมหวังในรัก จึงอธิษฐานก่อนฆ่าตัวตายพร้อมกัน ว่า ไม่ว่าชาติหน้าฉันใดให้เราได้เกิดมาเคียงคู่กัน และแล้วเขาทั้งสองจึงได้เกิดมาคู่กันในภพนี้แต่เป็นอีกฐานะพี่น้อง เพราะการเป็นพี่น้องนั้นไม่มีสิ่งใดมาพรากความรักจากกันไปได้ แต่จำเป็นต้องจัดงานแต่งงานขึ้น เพื่อสร้างสุขหลอกเทวดา ว่า เขาทั้งสองนั้นสมหวังในรักดังคู่รัก และสมคำอธิษฐานแล้วพวกเขาทั้งสองถึงจะไม่จากกันไปไหนอีก จึงได้มีการจัดงานแต่งนี้ขึ้น

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/539406
12313  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลำปาง สั่งปิดสำนักสงฆ์ป่าแม่มอก รุกป่า-ทำค้างคาวหนีจากถ้ำ (มีคลิป) เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 08:40:17 pm

สั่งปิดสำนักสงฆ์ป่าแม่มอก รุกป่า-ทำค้างคาวหนีจากถ้ำ

ป่าไม้-ฝ่ายปกครองรัฐ บุกตรวจ"สำนักกรรมฐานถ้ำสัตบรรน" สาขา 3 บ้านหัวน้ำ ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง ภายหลังพบรุก "ป่าสงวนแม่มอก" กระทบสิ่งแวดล้อม ค้างคาวในพื้นที่หายเพียบ จึงสั่งปิดสำนักสงฆ์ในทันที

กรณีชาวบ้านและผู้นำชุมชน ที่อาศัยอยู่ใกล้กับป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าแม่มอก" ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง เข้าร้องศูนย์ดำรงค์ธรรมให้ตรวจสอบการบุกรุกป่าสงวนผิดกฎหมาย ของสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง หลังจากสำนักสงฆ์ดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปจัดตั้งแผ้วถางพื้นที่ และการตั้งอยู่ของสำนักสงฆ์ดังกล่าวนั้น ส่งผลกระทบต่อ ค้างคาวขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ซึ่งยังไม่ทราบสายพันธ์ที่แน่ชัด ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำใกล้เคียงต้องยายหนี ลดจำนวนลงเป็นอย่างมาก ดังที่ปรากฏเป็นเหตุมาแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 13 พ.ย. นายสุเทพ พุทชา ผอ.ส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่าสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 ลำปาง และกำลังสายตรวจป่าไม้ ตลอดจนกำลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 150 คน บุกเข้าตรวจสอบสำนักสงฆ์ที่ชื่อว่า "สำนักกรรมฐานถ้ำสัตบรรน" สาขาที่ 3 ตั้งอยู่ที่เลขที่ 144 หมู่ที่ 1 บ้านหัวน้ำ ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง ตามคำร้องเรียนของชาวบ้าน โดยสถานที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบพระภิกษุเพียงรูปเดียว นอกจากนี้ยังพบ มรรคทายกและช่างก่อสร้างกลุ่มหนึ่ง กำลังดูแลงานก่อสร้างห้องน้ำขนาดใหญ่ ใกล้กับศาลาของสำนักสงฆ์ จึงได้สอบสวนทำประวัติเอาไว้ทั้งหมด



ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพื้นที่ของสำนักสงฆ์ดังกล่าวแล้ว พบว่าบุกรุกในพื้นที่ป่าจริง เนื่องจากที่ดินของสำนักสงฆ์กว่า 20 ไร่ ตั้งอยู่ในที่สปก. แต่เป็นของชาวบ้านเพียงบางส่วน และยังพบว่ามีการสร้างคล้าย ๆ บ้านพักอีก 7 หลังในพื้นที่ 12 ไร่เศษ พื้นที่ เขตประกาศปฎิรูปที่ดิน 11 ไร่เศษ อีกด้วย ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ลงบันทึกตรวจยึดต่อไป นอกจากนี้ยังได้ขอปิดสำนักสงฆ์ เพื่อไม่ให้มีการรุกร้ำเข้าไปในป่าสงวนแห่งชาติอีก โดยจะทำการปิดป้ายประกาศเขตหวงห้าม รวมทั้งให้ตำรวจเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนหาเจ้าของ ที่เริ่มโครงการดังกล่าว เพื่อแจ้งข้อหากระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติต่อไป.

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากทางเจ้าหน้าที่รัฐได้สั่งปิดสำนักสงฆ์ไปแล้ว แต่ทางฝ่ายมรรคทายก และผู้สนับสนุนได้แสดงความไม่พอใจ อ้างว่า สำนักกรรมฐานถ้ำสัตบรรน ไม่เคยรุกร้ำป่าไม้ และเปิดอย่างถูกต้องหลายสาขา เตรียมเร่งหารือด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แล้วเช่นกัน.




ชมคลิปได้ที่
https://youtu.be/6FA8q-voBvc
ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/360679
12314  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ภัยที่ใหญ่กว่า การตั้งจิตไว้ผิด..ไม่มี เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 09:03:10 am


ภัยที่ใหญ่กว่า การตั้งจิตไว้ผิด..ไม่มี
วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

ข่าวใหญ่การตายของอดีตเซียนพระนักระดมทุน-ระดมบุญ ผู้ลือลั่นคนหนึ่งในสยามประเทศ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสะท้อนใจไม่เฉพาะชาวพุทธเราเท่านั้น แต่มันมีนัยสำคัญมากสำหรับ “คนดี” หรือคนที่คิดว่าตนเองพยายามเป็นคนดีแล้ว แต่ยังไม่มีใครมองเห็นความดีของตน...อย่างยิ่งยวด

อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้เขาเดินทางในสัมปรายภพไปจนถึงสุคติด้วยเทอญ ด้วยความกตัญญูกตเวทีในจิตใจของเขา และความสำนึกผิดบาป อันเป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์ใจประเสริฐพึงมี และเขาก็มีสิ่งนี้ไม่น้อยในจิตใจของเขา

คนเราส่วนใหญ่อาจเคยประสบและพรรณนาความน้อยใจ ไม่ว่าจะเป็น...ทำดี ได้ดี มีที่ไหน  ทำชั่ว ได้ดี มีถมไป เช่นว่า  พ่อผมเป็นคนช่วยเหลือคน  ช่วยจนหมดตัว ไม่เห็นมีใครตอบแทนคุณเลย? แม่ผมเป็นคนทำบุญช่วยคนไม่ขึ้น  คนที่คุณแม่ช่วยเหลือทั้งหมด สะกดคำว่า “กตัญญู” กันไม่เป็นเลยสักคน! ฯลฯ ผมเองช่วงแรกๆ ของการทำงานเผยแผ่ธรรมะ ก็ยังเคยไปปรารภกับพระอาจารย์อนันต์ อกิญจโน วัดมาบจันทร์ จ.ระยอง
       “ท่านอาจารย์ครับ...เวลาเราทำความดีแล้ว บางครั้งก็ท้อแท้ใจเหมือนกันนะครับ”
       “ทำไมจึงคิดแบบนั้นเล่า...พิสุทธิ์”
       “ก็เพราะไม่เห็นใคร จะเห็นคุณค่า”
       “ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าเป็นคนดี ไม่จริง!”


 :96: :96: :96: :96:

บทสนทนาสิ้นสุดลงแค่ตรงนั้น ประหนึ่งการถ่ายทอดแบบเซน (Zen) ที่ไม่ต้องการคำอธิบายมากมายในรายละเอียด นอกเสียจากการกระแทกทางจิต (Impact) ที่เกิดขึ้น ครั้งเดียวก็เกินพอ  โยมจดจำไม่ลืมเลย สอดคล้องกับคำของท่านอาจารย์พุทธทาส...ที่ว่า  “เราจะได้ไม่อกแตกตายไปเสียก่อน (Refer...) คนดี หลายคนโดยเฉพาะชาวพุทธในแผ่นดินไทย”

       ชอบกันนัก  แบบว่าทำบุญ แล้วคาดหวังผล  เป็นคนดีแล้วคาดหวังการยอมรับนับถือ
       ถามว่าบุญ และ “การยอมรับนับถือ” จะมาจากไหน?
       และจะเอามันไปไหน? ถ้ายังจะแบกรับ  ขนถ่ายกันไปยังที่ไหนสักแห่งนั้นแสดงว่า...ยังมีตัวตนอย่างหนาแน่น  เกินขุดถอนไปได้  ตึกรามสูงเสียดฟ้าเป็น ๑๐๐ ชั้น ต้องฝังเสาเข็มลงลึกฉันใด อย่างมากก็อยู่ไม่เกิน ๓๐๐ ปี แต่รากลึกเหนียวแน่นหนาของจิตมนุษย์อันอุดมไปด้วยตัวกูของกูนั้นเป็นอสงไขย!

      คน “ติดดี” น่ะมันแกะยากว่าคน “ติดชั่ว” อีกนะครับท่าน ทำความเข้าใจตรงนี้ให้ดีๆ จะได้ไม่มีคนที่ทำท่าจะดี  ทำประโยชน์มากมายให้สังคมและจมจ่อมกับความทุกข์-ความยึดมั่นถือมั่น
      คิดว่าเงินทำบุญที่เรี่ยไรมานั้นเป็นของกู  คิดว่าความดีทั้งผองเป็นของกูแต่เพียงผู้เดียว ฯลฯ  แล้วมานั่งตีอกชกตัวว่าทำไมไม่มีใครเห็นคุณค่าของเราเลยซะงั้น  กรณีเช่นนี้แหละครับที่พระท่านว่าเรายังไม่ดีจริง


        :25: :25: :25: :25:

       การตั้งจิตไว้ผิดที่นั้นเป็นภัยอันตรายยิ่งใหญ่กว่าศัตรูร้ายยกกองทัพมาโจมตีเราเสียอีก!
       เพราะตั้งจิตไว้ไม่ถูกแต่แรก  การบำเพ็ญเพียรทำความดีก็เลยผิดไปเสียหมด

“สัมมาทิฐิ” จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงย้ำนักย้ำหนา แม้ในมรรคมีองค์ ๘  ท่านก็ยกให้เป็นองค์ประธาน เพียงมีสัมมาทิฐิเท่านั้นก็เหมือนตะวันเบิกอรุณ ยังไงตะวันก็ต้องโผล่พ้นขอบฟ้าเข้าสักวัน แต่หากขาดสัมมาทิฐิ  มีแต่จะตั้งจิตไว้ผิดที่ เช่นทำบุญก็หวังรวย  รักษาศีลก็หวังสวยในชาติหน้า  ตั้งใจภาวนาก็หวังว่าชาติหน้าเกิดมาฉลาดเฉลียว ทำดีก็หวังคนมายกหู ชูหาง ฯลฯ ก็จะเสียของเอาเปล่าๆ ประหนึ่งติดกระดุมเม็ดแรกผิด  เม็ดต่อๆ ไปก็จะผิด  แก้ไขให้ตายก็ไม่เรียบร้อย

      คล้ายๆ กฎข้อ ๑ ในระบบ ISO 9000 “Do it right at the first time” ทำบุญก็คือสละละตัวกู ของกู
      รักษาศีลก็เพื่อความเป็นปกติ  มิต้องจำอวดใคร
      ภาวนาก็เพื่อทำจิตให้นิ่งจนเกิดพลังจิตตานุภาพ เห็นสภาพเกิดดับของทุกข์ เพื่อดับทุกข์ในที่สุด




หากชาวพุทธคิดกันแบบนี้ก็จะไม่มีโอกาสเป็นบ้าหรือฆ่าตัวตายแต่อย่างใด นี้เป็นระดับปรมัตถธรรม หรือถ้าท่านคิดว่ามันยากเกินไปล่ะก็ ยังมีการทำความดีแบบไม่ยึดติดระดับเริ่มต้น (Beginner)  ก็คือ ให้น้อมนำหลักพรหมวิหารสี่ไปพิจารณา

คนเริ่มทำความดีมักจะมีพื้นฐานมาจากความมีเมตตาและลงมือทำช่วยเหลือคนด้วยความกรุณา  เมื่อเห็นพวกเขาลืมตาอ้าปากได้แล้ว  บางทีอาจจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าเราเสียอีก ก็ไม่มีอิจฉาแต่อย่างใด ใจมุ่งแต่จะมุทิตา (เห็นเขาดีก็ดีใจ  ปลื้มใจด้วย) สุดท้ายก็ปล่อยวางสิ้นทั้งหมด  เพราะทำงานด้วยจิตว่างและยกผลงานให้ความว่างเสมอมา ดังที่ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวไว้ไม่มีผิด

เมื่อใจเป็นอุเบกขา ประหนึ่งพ่อเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมา แม้ต้องทุ่มเททั้งเวลา ทั้งหมดเงินเป็นล้านๆ บาท ก็ไม่เคยคิดจะเอาคืนแม้แต่สตางค์แดงเดียว ไม่ใส่ใจด้วยว่าลูกๆ จะมายกย่องเทิดทูนพระคุณพ่อหรือเปล่า  ไม่ใช่สาระสำคัญเท่าการได้ทำหน้าที่ของพ่อคนหนึ่งเท่านั้น เพราะธรรมะคือหน้าที่

นี้ก็เป็นระดับโลกียธรรม หากใครไม่เอาความหลุดพ้น ก็จงมีใจเป็นพรหมวิหารสี่  มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่ ทำความดีกันต่อไป จะใส่ใจอะไรว่าใครจะเห็นคุณค่าหรือไม่ หากอยากจะคิดพิจารณาจริงๆ ก็ให้หันเข้ามาพิจารณาจิตตนกันดีกว่า ที่เราทำความดีอยู่นั้น...ดีจริงหรือเปล่า


 ans1 ans1 ans1 ans1

ทำดีเพื่ออะไร.? หรือทำดี แล้วอยากเข้าเฝ้า  รับรางวัล  รับพัดยศ  ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ  ได้ประกาศรางวัลแมกไซไซ (Ramon Magsaysay Award) ฯลฯ นั่นก็เท่ากับยังไม่ดีจริง เป็นพวกบ้าดี เมาบุญ  ตุนกุศลไปเกิดใหม่กันท่าเดียวอยู่ดี

              ทำดี เพื่อดี มีใครเห็น
              ทำดีอยากเด่นเป็นไฉน
              ปฏิบัติธรรม แล้วอยากรวย รวยทำไม
              คงรวยได้แต่กิเลส ตัณหาบาน

              ปฏิบัติธรรม ทำดีคือหน้าที่
              ทำความดีเพื่อเย็นเป็นนิพพาน
              ลดตัวกู ของกู จนเบาบาง
              ไม่มีฉัน ไม่มีใคร ให้เห็นเอยฯ


ขอบคุณบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151110/216620.html
12315  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทัวร์บุญอุ่นใจปี 3 ทอดกฐินทั่วไทย เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2015, 09:08:31 pm


ทัวร์บุญอุ่นใจปี 3 ทอดกฐินทั่วไทย

วันที่ ๗ พ.ย.๒๕๕๘  พระมหาชุมพล ชุติปญฺโญ พร้อมด้วยคณะอุบาสก และอุบาสิกาวัดอนงคารามวรวิหาร กรุงเทพฯ ได้นำผ้ากฐินมาถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดท่าเดื่อ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เพื่อสมทบทุนสร้าง เจดีย์เดื่อศรีคันไชย ได้จตุปัจจัยทั้งหมด ๑๐๒,๐๖๑ บาท

ต่อจากนั้นได้นำคณะไปถวายผ้าป่าในวัดที่อยู่ตามชนบท 2 วัดด้วยกัน คือ วัดจอมแจ้ง ได้จตุปัจจัย เป็นจำนวน ๒๒,๐๖๑ บาท และวัดศิริบุญญาราม นำจตุปัจจัจไปสร้างห้องสุขา เป็นจำนวน ๒๐,๒๑๐  บาท

ต่อจากนั้นได้นำคณะไปกราบพิพิฑภัณฑ์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่หลุย จนฺทสโร พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และสุดท้ายได้ไปสักการะพระธาตุพนม จ.นครพนม หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ






ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151113/216825.html
12316  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระวีระธุพระผู้นำพุทธในพม่ากับ...'กฎหมาย ๔ ฉบับ ที่เป็นกฎเหล็กคุ้มครองพุทธศาสนา เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2015, 09:03:56 pm

พระวีระธุพระผู้นำพุทธในพม่ากับ...'กฎหมาย ๔ ฉบับ ที่เป็นกฎเหล็กคุ้มครองพุทธศาสนา'
เรื่องและภาพ สำราญ สมพงษ์

นิตยสารไทม์ฉบับที่จะวางจำหน่ายในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ได้ตีพิมพ์ภาพ “พระวีระธุ” ผู้นำพระสงฆ์และชาวพุทธในพม่า ที่ตั้งกลุ่มก่อต้านชาวโรฮิงญา และชาวมุสลิมในพม่า จนเกิดเหตุจลาจลระหว่างชุมชน ที่รัฐอาระกันของพม่า และได้ลุกลามไปยังพื้นที่อื่นในพม่า โดยโปรยตัวอักษรที่หน้าปกว่า “โฉมหน้าชาวพุทธผู้สร้างความหวาดกลัว: กองกำลังพระสงฆ์เติมเชื้อความรุนแรงต่อต้านมุสลิมในเอเชียได้อย่างไร”

นอกจากนี้ในเล่ม ยังมีเรื่องจากปกพาดหัวว่า “เมื่อชาวพุทธคลั่ง” หรือ “When Buddhists Go Bad” โดยโปรยว่า “ศาสนาพุทธมีชื่อเสียงในเรื่องความรักสงบและอดทนอดกลั้น แต่ในหลายประเทศของเอเชีย พระสงฆ์กำลังเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดความดื้อรั้นและความรุนแรง โดยส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อต่อต้านมุสลิม”

สำหรับนิตยสารไทม์ ที่ตีพิมพ์ภาพปก “พระวีระธุ” เป็นนิตยสารไทม์ฉบับที่วางจำหน่ายในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ส่วนภาพปกฉบับที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องทหารผ่านศึกสหรัฐอเมริกา และการทำงานบริการสาธารณะ

 :49: :49: :49: :49:

อย่างไรก็ตามเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘ ได้เห็นชาวเมียนมาร์ทั้งพระและฆราวาสมากกว่า 3 หมื่นรูป/คน ต่างมุ่งตรงไปยังสนามกีฬาแห่งชาติย่างกุ้ง เพื่อร่วมงานเฉลิมฉลองภายใต้ชื่อว่า “งานเฉลิมฉลองการบังเกิดขึ้นแห่งพระราชบัญญัติ เพื่อความสามัคคี กลมเกลียว และความสงบสุขแห่งชาติ” หลังจากรัฐสภาได้ผ่านกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาจำนวน ๔ ฉบับ คือ
     ๑.กฎหมายว่าด้วยการควบคุมประชากร
     ๒.กฎหมายการเปลี่ยนศาสนาโดยต้องขออนุญาตจากทางการ
     ๓.กฎหมายการมีคู่สมรสเพียงคนเดียวรักเดียวใจเดียว และ
     ๔.กฎหมายที่ห้ามหญิงชาวพุทธแต่งงานกับชายชาวมุสลิม

ทั้งนี้ด้วยการผลักดันขององค์กรคณะสงฆ์ภายใต้ชื่อว่า “องค์กรสันติภาพมาบาธา” โดยมีพระมหาเถระภัททันตะติโลกะภิวังสา เป็นประธาน และมีพระวีระธุที่ได้รับการขนานามว่าเป็นพระหัวรุนแรงร่วมด้วย

 :41: :41: :41: :41: :41:

เมื่อเสร็จงานพระวีระธุถึงได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวทั่วไปโดยเฉพาะผู้สื่อข่าวจากประเทศไทยและถือเป็นครั้งที่ ๒ ที่ผู้สื่อข่าวไทยได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์ โดยกล่าวว่า รู้สึกปลื้มมากที่กฎหมายทั้ง ๔ ฉบับนี้ออกมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เป็นการยกฐานะสตรีให้สูงขึ้นเท่าเทียมกับเพศชาย ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิแต่อย่างใดแต่เป็นการให้เกียรติสตรีซึ่งเป็นเพศแม่มากกว่า

พระวีระธุ เชื่อว่า กฎหมายเหล่านี้จะทำให้สังคมเมียนมาร์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เพราะเท่ากับเป็นการจัดระเบียบสังคมใหม่ เพราะว่าประเทศเมียนมาร์ประกอบด้วยประชาชนที่หลากหลายศาสนาและเชื่อชาติ เพราะหากไม่มีกฎหมายที่จัดโครงสร้างทางสังคมให้ดีแล้วก็จะทำให้มีปัญหาอย่างเช่นที่ผ่านมา เท่ากับกฎหมายเหล่านี้เป็นหลักการพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และหลักการพื้นฐานของสันติภาพด้วย

 :96: :96: :96: :96:

“อาตมานั้นรักมนุษย์ทุกคนในโลกร่วมถึงรักสัตว์ด้วย อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็จะต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนาตลอดไปให้ดีที่สุด ใครจะเอาจีวรของอาตมาไปไม่ได้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรก็ตามก็จะไม่หวั่นไหว” พระวีระธุ กล่าว

พร้อมกันนี้พระวีระธุกล่าวด้วยว่า อาตมาต้องเดินทางไปประเทศไทยพูดคุยกับพระสงฆ์และชาวพุทธไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางในการแก้ปัญหาทางภาคใต้ เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข





หลากชาติพันธุ์ยอมรับและร่วมฉลอง

งานฉลองเริ่มขึ้นด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของชนเผ่าต่างๆ ต่อจากนั้นเป็นพิธีเปิดอย่างเป็นทางการโดยพระมหาเถระภัททันตะติโลกะภิวังสา ได้กล่าวถึงความเป็นมาของกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับว่า วันนี้เป็นวันสำคัญวันประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ในยุคปัจจุบันของประเทศเมียนมาร์และองค์กรสันติภาพมาบาธา เนื่องจากในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ โดยเฉพาะคนพาล แต่เพื่อให้ความยุติธรรม ความงาม ความดี เป็นที่เคารพน่าเลื่อมใสของคนในสังคม

เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมเมียนมาร์มีความขัดแย้ง ความอยุติธรรม ความไม่สงบ สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่มีไว้เพื่อข่มขู่ แต่มีไว้เพื่อสร้างความกลมเกลียว สงบสุข ยุติธรรม และความสามัคคี เป็นการสถาปนาสันติสุขให้เกิดขึ้นให้กับทุกเชื้อชาติและศาสนาในประเทศเมียนมาร์ และที่ผ่านมาก็ต้องขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งเกี่ยวกับสถานการณ์ขัดแย้งระหว่าง ๒ ศาสนา โดยเฉพาะในรัฐยะไข่ และมะริด และอีกหลายๆ แห่ง

 :25: :25: :25: :25:

การที่ชาวพุทธเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาในครั้งนี้ ดร.พระญาณิสสระมหาเถระ บอกว่า เหมือนกับเป็นการฉลองชัยชนะเช่นตอนที่พระพุทธเจ้าชนะพญามาร และหลังจากพระพุทธเจ้าชนะพญามารแล้วพระองค์ก็ต้องการที่จะอยู่เงียบๆ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับพญามารอีกแต่พญาการก็ติดตามพระองค์ตลอด ดังนั้นก็ขอให้ชาวพุทธอย่าให้นิ่งนอนใจว่าได้รับชัยชนะแล้วและอย่าได้ชื่นชมตัวเองมากนัก ซึ่งจะต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา เพราะว่ามารไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน

“ก่อนหน้านี้ก็มีกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาเช่นกันแต่นานไปก็หายไป ดังนั้นจะต้องนำกลับคืนมา และขอให้มีความเท่าเทียมกันกับทุกศาสนา เกี่ยวข้องกันด้วยความรักความเคารพซึ่งกันและกัน อย่าได้เอาเปรียบกัน อยู่ร่วมกันด้วยความอดทน” ดร.พระญาณิสสระมหาเถระ


 ask1 ans1 ask1 ans1 ask1 ans1


บริบทแห่ง“องค์กรสันติภาพมาบาธา”

พระมหาเถระภัททันตะติโลกะภิวังสา ในฐานะประธาน “องค์กรสันติภาพมาบาธา” บอกว่า อาตมาแม้ว่าจะอายุมาก ๗๗ ปีแล้ว แต่เมื่อได้รับการแต่งตั้งจากพระมหาเถระซิทตากู่และพระมหาเถระอื่นๆ ให้เป็นผู้นำองค์กร ก็ตั้งปณิธานที่จะทำงานเพื่อความผาสุกของคนในชาติ เริ่มแรกที่ตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาต้องต่อสู้กับข้อกล่าวหาต่างๆ ทุกสารทิศ ถูกคณะสงฆ์มหาเถรสมาคมแห่งชาติและรัฐบาลเข้าใจผิด คิดว่าอาตมาต้องการเป็นคู่แข่งกับมหาเถรสมาคมแห่งชาติ จึงต้องใช้เวลามากพอสมควรที่อธิบายทำความเข้าใจ

การดำเนินการร่างและผลักดันกฎหมายเหล่านี้ทำด้วยความตั้งใจบริสุทธิ์ที่จะนำเสนอกฎหมายที่โปร่งใส บนพื้นฐานของความจริงสากลและธรรมเนียมปฏิบัตินานาชาติ เสร็จแล้วก็ได้นำมาทดสอบจนได้รับการยอมรับของประชาชนเพราะต้องการให้กฎหมายเป็นประชาธิปไตยโดยประชาชนเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จึงได้รวบรวมรายชื่อพร้อมลายเซ็นได้กว่า ๕ ล้านคน นำเสนอต่อนายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดี

 st12 st12 st12 st12

เมื่อประธานาธิบดีได้อ่านร่างกฎหมายนี้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของประเทศและคณะที่ปรึกษา และในที่สุดก็ลงความเห็นร่วมกันว่ากฎหมายเหล่านี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะทำร้ายศาสนาเชื้อชาติบุคคลหรือพรรคการเมืองใดๆ เลย และเป็นสิ่งที่จะช่วยรักษาสันติภาพความกลมเกลียวของสังคมเอเชียซึ่งมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนาอย่างมาก ดังนั้นประธานาธิบดีได้สรุปว่าจริงๆ แล้วกฎหมายนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศเมียนมาร์ และจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตามการตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็ต้องผ่านกระบวนการทางรัฐสภาและในที่สุดก็ได้รับการรับรองจากรัฐสภาและประกาศใช้

หลังจากนั้นได้สรุปเนื้อหาของกฎหมายเหล่านี้เผยแพร่ให้แก่ประชาชนได้เข้าใจ ดังนั้นจึงขอรับรองได้ว่ากฎหมายเหล่านี้ไม่มีเป้าประสงค์ที่ใครองค์กรไหน ศาสนาไหนในทางไม่ดี หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้โดยตรงจะพยายามตอบคำถามให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่ตอบไม่หมดก็จะได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์กระจายเสียงหรือทางโทรทัศน์ต่อไป

 ans1 ans1 ans1 ans1

“ขอย้ำว่ากระบวนการออกกฎหมายครั้งนี้มีผลต่อทั้ง ๔ ศาสนาหลัก เราไม่ได้ทำเพื่อใคร เพื่อสมาคมหรือพรรคการเมืองใด มีเป้าประสงค์ที่จะสร้างความกลมเกลียวความเท่าเทียมกัน ความสงบสุขบนพื้นฐานหลากหลายวัฒนธรรมของเมียนมาร์เป็นสำคัญ และได้โปรดอนุญาตให้อาตมาได้แบ่งปันวิสัยทัศน์ที่จะทำให้ประเทศเหมือนสวรรค์ที่มีแต่ความสุขและความกลมเกลียวของประชาชนพร้อมร่วมแบ่งปันความบริบูรณ์และความสุขสุดท้ายจริงๆ ข้าพเจ้ากระตุ้นทุกคนให้กลับบ้านพร้อมสารแห่งสันติภาพ” ประธานองค์กรสันติภาพมาบาธากล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151113/216817.html
12317  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบแล้ว! หลวงตาหลงป่าที่ชะอำ มีอาการอิดโรย คนหาปลาพามาส่งสำนักสงฆ์ เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2015, 08:58:05 pm


พบแล้ว! หลวงตาหลงป่าที่ชะอำ มีอาการอิดโรย คนหาปลาพามาส่งสำนักสงฆ์

เจอหลวงตาหลงป่าเขาพระรอบ อ.ชะอำ แล้ว อยู่ในสภาพอิดโรย หนุ่มหาปลาช่วยพากลับสำนักสงฆ์ บอก เข้าป่าหวังไปเขื่อนแต่ระยะทางไกลจึงเดินกลับ ประกอบกลับฟ้ามืดทำให้หลงทาง...

เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 58 นายสุทัย เพิ่มพูน ประธาน อปพร.เทศบาลตำบลนายาง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ได้รับแจ้งจากคนหาปลาว่า เจอตัว พระสุจิต โตมอญ อายุ 72 ปี พระภิกษุจำวัดที่สำนักสงฆ์เขาพระรอบ มานานประมาณ 4 ปี ที่บริเวณอ่างเก็บน้ำหุบกระพง ซึ่งอยู่ติดกับวัด หลังเมื่อช่วงเย็นวันที่ 10 พ.ย. 58 หายตัวเข้าไปในป่าเขาพระรอบ พร้อมทั้งโทรศัพท์บอกลูกชายว่าหลงป่าหาทางกลับไม่ได้ จากนั้่นเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิสว่างสรรเพชญธรรมสถานจังหวัดเพชรบุรี หน่วยกู้ภัยทางหลวงศิรินทร์ ร่วมค้นหาทางภาคพื้นดิน และมีการสนับสนุนจากเฮลิคอปเตอร์จากกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ ตำรวจตระเวรชายแดนค่ายนเรศวร และสุนัขจากกองกำกับการถวายอารักขาวังไกลกังวล เข้าร่วมค้นหา กระทั่งมืดจึงได้ยุติการค้นหานั้น ในวันนี้ นายสุทัย จึงได้ให้ผู้ที่โทรศัพท์มาแจ้งพามาส่งที่สำนักสงฆ์เขาพระรอบ

เบื้องต้น พระสุจิต มีอาการอิดโรย ก่อนจะเล่าว่า วันเกิดเหตุเดินเข้าป่าเพื่อจะไปที่เขื่อน แต่เดินไปแล้วเห็นว่าระยะทางไกลเกินไป จึงตัดสินใจกลับ แต่เนื่องจากช่วงเวลานั้นเป็นเวลาค่ำแล้ว จึงเดินทางหาทางออกไม่ถูก กระทั่งเดินมาเรื่อย ๆ จนเจอคนหาปลาดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้จัดหาอาหารให้ฉัน และจะทำการสอบสวนต่อไป.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/539050
12318  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจ้าอาวาสหนองบัว เข้าพบ ตร. ปัดทุกข้อหากระทำชำเราด.ช.วัย 13 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2015, 08:55:58 pm


เจ้าอาวาสหนองบัว เข้าพบ ตร. ปัดทุกข้อหากระทำชำเราด.ช.วัย 13

เจ้าอาวาสหนองบัวลำภู เข้าพบตำรวจรับทราบข้อกล่าวหากระทำชำเรา ก่อนปฏิเสธทุกข้อหา หลังมีประชาชนร้องศูนย์ดำรงธรรม อ้างข่มขืน ด.ช.อายุ 13 ปี จนติดโรค ด้านเจ้าคณะอำเภอ เผย ถอดตำแหน่งแล้ว อยู่ระหว่างตั้งกรรมการสอบ

เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 58 เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งใน จ.หนองบัวลำภู ผู้ถูกกล่าวหา หลังมีประชาชนร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมหนองบัวลำภู ว่า บุตรชายอายุ 13 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศจนติดโรค โดยเจ้าอาวาสรายนี้ ได้มามอบตัวต่อ พ.ต.ท.นิกร หอมอ่อน พงส.ผนพ.สภ.เมืองหนองบัวลำภู เพื่อรับทราบข้อกล่าวหากระทำชำเราและอนาจารเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี และข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเจ้าอาวาสให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นพิมพ์มือและปล่อยตัวชั่วคราว

ทั้งนี้ ขณะที่ผู้สื่อข่าวไปทำข่าวมีหญิงสาวคนหนึ่งคอยกันมิให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ ก่อนจะพาตัวเจ้าอาวาสกลับวัด ต่อมา ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง พระครูศิริคุณาธาร เจ้าคณะอำเภอเมืองหนองบัวลำภู เจ้าอาวาสวัดศรีคูณเมือง ถึงกรณีข้อกล่าวหาดังกล่าวว่าทางคณะสงฆ์ได้ดำเนินการอย่างไร ซึ่งเจ้าคณะอำเภอชี้แจงว่า เรื่องนี้ได้รับเรื่องร้องเรียนมาแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจากสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดหนองบัวลำภู และเบื้องต้น คงจะต้องถอดตำแหน่งต่าง ๆ ของเจ้าอาวาสรูปดังกล่าว และรอผลการสอบสวนข้อเท็จจริงและผลทางคดีทางอาญา เพื่อจะได้ดำเนินการทางวินัยสงฆ์ต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/539040
12319  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วอนรัฐบาลเป็นคนกลาง ′พุทธ-อิสลาม′ แนะผู้นำศาสนาถกแก้ขัดแย้งร่วมกัน เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2015, 08:50:40 pm


วอนรัฐบาลเป็นคนกลาง ′พุทธ-อิสลาม′ แนะผู้นำศาสนาถกแก้ขัดแย้งร่วมกัน

(12 พ.ย.58) พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) ที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ศพศ.) เปิดเผยภายหลังยื่นหนังสือต่อ ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ถึงเหตุผลที่สนับสนุนให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ว่า ชาวพุทธ และคณะสงฆ์ ตื่นตัวกันมากในเรื่องเสนอบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

ขณะนี้ภาคีเครือข่ายชาวพุทธ และมหาวิทยาลัยสงฆ์ รณรงค์รวบรวมรายชื่อเพื่อสะท้อนให้ภาครัฐเห็นถึงความสำคัญต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศที่มี 94.6% และหากบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติได้ จะไปเพิ่มเติมในการออกกฎหมายปฏิรูปคณะสงฆ์ในบริบทต่างๆ ส่วนเหตุผลที่ต้องบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะมีนักวิชาการทำหนังสือทักท้วงไปยังกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ถอดข้อความในหนังสือแบบเรียน จึงควรบัญญัติพระพุทธศาสนาซึ่งคนส่วนใหญ่นับถือไว้ในรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ข้อดีของการบัญญัติพระพุทธศาสนา อาทิ จะได้รักษาสถาบันทั้ง 3 สถาบันอย่างเท่าเทียมโดยรัฐธรรมนูญ สนับสนุนมติชาวโลกที่ยกย่องให้ไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก เป็นต้น

 
 :96: :96: :96: :96:

พระเมธีธรรมาจารย์กล่าวอีกว่า กรณีนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ได้มอบให้ผู้แทนไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ตรวจสอบกรณีการแพร่กระจายข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ ที่สร้างความแตกแยกให้ชาวไทยพุทธ และชาวไทยมุสลิม เนื่องจากสำนักจุฬาราชมนตรี และสำนักคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศ ห่วงใยเรื่องที่คนบางกลุ่มพยายามแพร่กระจายความคิดสุดโต่ง ถือเป็นเรื่องที่เปราะบางในการสร้างความแตกแยกทางศาสนานั้น ไม่อยากให้โทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และควรให้คนกลาง คือรัฐบาลเข้ามาพูดคุยให้ความเป็นธรรมกับทุกศาสนา สำหรับข้อเสนอของจุฬาราชมนตรีที่เสนอให้รัฐบาลประสานกับทุกองค์กรจัดเสวนา เพื่อสอดส่อง และป้องกันไม่ให้มีการแพร่กระจายข่าวที่ทำลายศาสนาในโซเชียล รวมถึง ควรพูดคุยเกี่ยวกับเหตุ และผล ข้อดี และข้อเสีย

อย่างไรก็ตาม หากผู้นำศาสนาไม่หารือเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน จะทำให้ปัญหาต่างๆ ไม่จบ อาตมาเข้าใจที่นายอาศิสต้องการให้เรื่องต่างๆ สงบโดยเร็ว เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีความขัดแย้งระหว่างศาสนาเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งนี้ อยากให้ทุกศาสนาปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสดาตนเอง โดยเริ่มจากศาสนิก และเผยแพร่ไปสู่ประชาชน จะทำให้ปัญหาต่างๆ ไม่เกิดขึ้น


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

พระเมธีธรรมาจารย์กล่าวอีกด้วยว่า ร.อ.ทินพันธุ์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.ท.วิศิษฐ์ ศิริพร ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ฝากหนังสือขอให้บรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ และได้ยื่นให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แล้ว ครั้งนี้จะนำหนังสือที่องค์กรพุทธยื่นไปเสนอต่อนายมีชัยเช่นกัน แต่ตอบไม่ได้ว่าจะมีแนวโน้มนำไปบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือไม่


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1447322285
12320  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 12 สิ่งที่คนฉลาด..ไม่ทำเด็ดขาด เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2015, 10:47:17 pm


12 สิ่งที่คนฉลาด..ไม่ทำเด็ดขาด

คนจะฉลาดหรือไม่.. ไม่ได้วัดกันที่ความฉลาดทางเชาว์ปัญญา หรือ “ไอคิว (IQ)” สูง เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ หรือ “อีคิว(EQ)” สูง ควบคู่ไปด้วย
       
       คนฉลาดที่มีทั้งไอคิวและอีคิว จะมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเห็นคุณค่าสิ่งดีๆในชีวิต สามารถรับรู้และเข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น รวมทั้งควบคุมหรือปรับให้เหมาะสมกับสภาพการณ์นั้นๆได้ ที่สำคัญ บรรดาคนฉลาดแท้ๆมองตัวเองว่า เขาไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่เป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆของกลไกในโลกใบนี้เท่านั้น
       
       มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คนฉลาดทำและไม่ทำ แต่ที่แน่ๆมี 12 สิ่งที่คนฉลาด..ไม่ทำเด็ดขาด ไปดูกันว่า มีอะไรบ้าง

       
        ans1 ans1 ans1 ans1

       1. หนีปัญหา
       ทุกคนต่างมีปัญหาในชีวิตกันทั้งนั้น ปัญหาบางอย่าง อาจดูเหมือนแก้ยาก จนบางคนท้อและใช้วิธีหนีปัญหาด้วยการพึ่งยาเสพติด หรือฆ่าตัวตาย
       
       แต่สำหรับคนฉลาด ไม่เคยคิดหนีปัญหา เขาจะหาหนทางแก้ไขจนได้ เพราะเชื่อว่า ทุกปัญหามีทางแก้ ถ้าไม่ยอมแพ้เสียก่อน

       
       2. รอคอยโชควาสนา
       คนที่วันๆเอาแต่นั่งคอยนอนคอยโชคลาภวาสนา นั่นคือคนโง่และเกียจคร้าน แต่คนฉลาดไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้ เขาจะใช้หนึ่งสมอง สองมือ สองขา นำพาชีวิตไปสู่จุดหมาย ด้วยความสามารถ ความพยายาม และความขยันหมั่นเพียรของตัวเอง
       
       3. ปล่อยเวลาให้ผ่านไป
       เวลาเป็นของมีค่า ที่ผ่านไปแล้วไม่อาจหวนคืน คนฉลาดจึงไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ เขาจะใช้ทุกเวลานาทีอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การใช้ชีวิต โดยบริหารจัดการเวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด รวมทั้งมีวิธีทำงานที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด และไม่เสียเวลากับงานที่ไม่สำคัญ

       
       4. ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว
       คนฉลาดรู้ว่าคนที่ชอบทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว หรือพวกชาล้นถ้วย เป็นคนที่เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตัวเอง จึงหมดโอกาสที่จะได้พบกับสิ่งใหม่ๆดีๆที่จะเข้ามาในชีวิต เพราะฉะนั้น คนฉลาดจึงมักทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว เพื่อให้มีพื้นที่เหลือเสมอสำหรับรับความรู้ใหม่ๆที่จะเติมเข้ามา นั่นคือลดอัตตาของตนลงนั่นเอง
       
      5. ชอบพึ่งพาคนอื่น
       การอาศัยคนอื่นอยู่ตลอดเวลา โดยไม่พยายามพึ่งตัวเองก่อนนั้น เป็นสิ่งที่คนฉลาดไม่ทำอย่างแน่นอน เพราะมันทำให้ดูเหมือนคนไร้ความสามารถ
       
       “อัตตา หิ อัตโน นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คือพุทธสุภาษิตที่เหล่าคนฉลาดจำขึ้นใจ และใช้เป็นคาถาสู่ความสำเร็จในชีวิต

       
       6. มองข้ามการประหยัดเงิน
       การดูแลเรื่องการเงิน โดยหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในชีวิตประจำวันนั้น เป็นหนึ่งในคุณสมบัติดีเยี่ยมของคนฉลาด ซึ่งไม่เคยมองข้ามไป ไม่ว่าจะเป็นการปิดไฟทุกดวงที่ไม่ใช้ เลือกใช้หลอดประหยัดพลังงาน ซื้อของที่ใช้เป็นประจำตอนลดราคา เป็นต้น เพราะสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าสตางค์ได้อย่างแน่นอน





       7. โฟกัสสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
       มีหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ที่เราไม่อาจควบคุมได้ อาทิ การจราจรติดขัด เจอคนอารมณ์เหวี่ยงวีน รถเสียกลางทาง ซึ่งอาจทำให้รู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสียได้ง่าย แต่คนฉลาดจะตั้งสติ เลือกโฟกัสเฉพาะสิ่งที่เขาควบคุมได้ในขณะนั้น เช่น ใจของตัวเอง ซึ่งจะทำให้จิตใจสงบเย็นได้

       
       8. ขาดความรับผิดชอบ
       สิ่งที่คนฉลาดมีต่างจากคนอื่นคือ ความรับผิดชอบ เพราะรู้ดีว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใด หากรู้จักบริหารจัดการให้ดี มีความรับผิดชอบแล้วละก็ เขาก็จะมีความสุขในการใช้ชีวิต และในการงาน ที่ลืมความล้มเหลวไปได้เลย
       
      9. จมอยู่กับอดีตเลวร้าย
       คนทั่วไปมักฝังใจอยู่กับอดีตที่เลวร้าย แต่คนฉลาดจะก้าวข้ามไป ไม่เสียเวลาจมอยู่กับอดีตที่หวนกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่จะใช้มันมาเป็นบทเรียนในปัจจุบัน เพื่อจะไม่ทำผิดซ้ำอีก

       
       10. สร้างศัตรูรอบด้าน
       คนฉลาดตระหนักดีว่า การมีมิตรย่อมดีกว่ามีศัตรู เพราะมิตรจะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอ ขณะที่ศัตรูก็จะคอยปองร้ายอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น คนฉลาดจึงเลือกวิธี “เพิ่มมิตร” แทนการ “สร้างศัตรู”
       
       11. มองเฉพาะผลลัพธ์ที่เป็นตัวเงิน
       คนส่วนใหญ่ทำงานก็หวังได้เงินมากๆ ยิ่งงานสบายได้เงินมากก็ยิ่งอยากทำแม้ว่าจะไม่ชอบ แต่คนฉลาดไม่ได้คิดแค่นี้ เขาไม่ได้มองเฉพาะผลลัพธ์ที่เป็นตัวเงินเท่านั้น แต่มองรวมไปถึงความสุขที่เกิดจากการทำงานนั้นๆด้วย เพราะรู้ว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ทั้งหมด

       
       12. เสียกำลังใจ
       มีคำพูดว่า “เสียอะไรก็ได้ แต่อย่าเสียกำลังใจ” ดังนั้น ยามที่เดินไปข้างหน้าแล้วสะดุดหกล้ม คนฉลาดจะไม่มัวร้องไห้ หรือเสียกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อไปเหมือนคนอื่นๆ แต่จะรีบลุกขึ้นทันที แล้วเดินหน้าสู่จุดหมายด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

       
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 179 ตุลาคม 2558 โดย ประกายรุ้ง
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9580000122499
หน้า: 1 ... 306 307 [308] 309 310 ... 708