แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
12281
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จะขาดใจมั้ย? เมื่อคอโซเชียล ถูกสั่งห้ามใช้ 'เฟซบุ๊ก' 1 สัปดาห์เต็ม
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:49:42 am
|
จะขาดใจมั้ย? เมื่อคอโซเชียล ถูกสั่งห้ามใช้ 'เฟซบุ๊ก' 1 สัปดาห์เต็ม ตามไปดูสถิติน่าสนใจเกี่ยวกับการใช้งานสังคมออนไลน์ดัง จากการวิจัย 1,095 ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ใช้งานได้ และห้ามใช้งานโดยเด็ดขาด…
ยอมรับมาเถอะว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนในยุคปัจจุบันไปแล้ว จนทำให้เราต้องหยิบสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตขึ้นมาวันละหลายๆ รอบ ทั้งคอยอัพเดตความเคลื่อนไหวบนสังคมออนไลน์ หรือแชร์เรื่องราวต่างๆ ให้เพื่อนในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของคุณ
เคยลองคิดเล่นๆ มั้ยว่า... ถ้าคุณถูกสั่งห้ามใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กซัก 1 สัปดาห์ ชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไร?โซเชียล...สังคมออนไลน์ที่คนส่วนใหญ่บอกว่าขาดไม่ได้!!! ล่าสุด มีนักวิจัยจากสถาบันวิจัยความสุขในโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กราว 1,095 คน ซึ่งใช้งานสังคมออนไลน์ดังกล่าวอยู่เป็นประจำ โดยกว่า 94% ของผู้ทำการทดสอบนี้ ระบุว่าพวกเขาใช้งานเฟซบุ๊กทุกวันจนเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน
อย่างไรก็ตาม การทดลองในครั้งนี้ได้แบ่งผู้ใช้งานออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ถูกห้ามให้ใช้งานเฟซบุ๊กเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และกลุ่มที่สามารถใช้เฟซบุ๊กได้ตามปกติ โดยผลการวิจัยดังกล่าว ระบุว่า 88% ของผู้ที่ไม่ได้เข้าเฟซบุ๊กเป็นเวลา 1 สัปดาห์นั้น มีความสุขเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับอีก 81% ที่ยังคงใช้งานเฟซบุ๊กตามปกติ
นอกจากนี้ จากการวิจัยยังพบว่า กลุ่มที่ถูกห้ามใช้เฟซบุ๊กนั้น มีอารมณ์โกรธเคืองต่อสิ่งต่างๆ น้อยลง และกลับมามีความกระตือรือร้นในการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น รวมถึงการเข้าสังคม และการร่วมกิจกรรมทางสังคมก็เพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กตามปกติ กว่า 55% ระบุว่าพวกเขามีความเครียดเพิ่มขึ้นกด Like กันเป็นประจำ จากการวิจัยดังกล่าว นักวิจัยได้สรุปว่าการมีความเครียดเพิ่มขึ้นของผู้ที่ใช้งานเฟซบุ๊กเป็นประจำนั้น อาจมาจากการที่พวกเขาต้องรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ของเพื่อนบนโลกออนไลน์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะความคิด และอารมณ์ของพวกเขานั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม... คงต้องบอกว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิจัยจากพฤติกรรมคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และยังมีภาวะแวดล้อมแตกต่างกัน จึงไม่อาจใช้เป็นบทสรุปได้ว่า ผู้ใช้งานหรือไม่ได้ใช้เฟซบุ๊ก จะมีพฤติกรรมเดียวกันนี้...!!!ที่มา : nextshark https://www.thairath.co.th/content/539869
|
|
|
12282
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัศจรรย์ “หล่มภูเขียว” 280 ล้านปี อันซีนลำปาง บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์-ลึกหยั่งไม่ถึง
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:46:43 am
|
อัศจรรย์จริง! “หล่มภูเขียว” 280 ล้านปี อันซีนลำปาง บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์-ลึกแท้ยากหยั่งถึง ลำปาง - พ่อเมืองรถม้านำทีมเร่งสำรวจ พร้อมสนับสนุนงบพัฒนา “หล่มภูเขียว” แอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ คาดหลุมยุบกลางป่าดิบแล้งอายุ 280 ล้านปี ที่มีน้ำเขียว-ใสไม่เคยเน่า ลึกจนหยั่งไม่ถึงก้นบ่อ ชี้เป็นอีกหนึ่ง “อันซีนลำปาง” ชาวบ้านเชื่อมี “พญางูใหญ่” อาศัยอยู่ จังหวัดลำปางเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต้องห้ามพลาด ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยโหมกระหน่ำประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง จากที่มีจุดขายมากมายที่คนมองผ่านไป เมื่อเร็วๆ นี้ นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมหัวหน้าส่วนที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยว ได้นำผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจแหล่งท่องเที่ยว “หล่มภูเขียว” ซึ่งถือว่าเป็น Unseen Lampang ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท พื้นที่หมู่ 6 ต.บ้านอ้อน อ.งาว โดยมีนายพีระเมศร์ ตื้อตันสกุล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท พร้อมผู้นำท้องถิ่น นำสำรวจ พร้อมเสนอแผนพัฒนาหล่มภูเขียว เบื้องต้นผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางพร้อมสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาปรับปรุงถนนทางเข้าจากปากทางไปยังหล่มภูเขียว ซึ่งปัจจุบันยังเป็นถนนดินแดงที่เต็มไปด้วยฝุ่น ฤดูฝนถนนลื่นไม่สามารถเข้าไปได้ โดยมีการเสนอทำเป็นถนนลูกรังบดอัด ขนาดกว้าง 4 เมตร ระยะทาง 4.5 กิโลเมตร, ปรับทัศนียภาพบริเวณลานจอดรถยนต์-พื้นที่สำหรับจำหน่ายสินค้าของชาวบ้าน, พัฒนาห้องน้ำ พื้นผิวทางเดินเท้าและเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว สำหรับ “หล่มภูเขียว” เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ประมาณ 2 ไร่ อยู่กลางป่าดิบแล้งล้อมรอบไปด้วยผาหินปูนสูงชัน มีความร่มรื่นจากต้นไม้ใหญ่โดยรอบ บรรยากาศเงียบสงบ ผิวน้ำในแอ่งมีสีเขียวมรกตคล้ายโอเอซิส ลึกจนไม่สามารถหยั่งถึง ทั้งนี้ มีการสันนิษฐานว่า หล่มภูเขียว เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกในสมัยดึกดำบรรพ์ หรืออาจเกิดจากการยุบตัวของหินปูน ซึ่งเคยเป็นเพดานถ้ำมาก่อน แล้วจมลงใต้น้ำ เรียกว่าหลุมยุบ (Sink Hole) คาดว่ามีอายุกว่า 280 ล้านปี ต่อมาจึงกลายเป็นแหล่งรับน้ำ ความลึกไม่สามารถหยั่งถึง ก่อนหน้านี้เคยมีการนำไม้ปักลงไปแต่ก็ไม่ถึงพื้นดิน จึงไม่สามารถวัดความลึกของแอ่งน้ำแห่งนี้ได้ ชาวบ้านได้เล่าว่า แอ่งน้ำแห่งนี้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เป็นแอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ สามารถนำไปรักษาผู้ป่วยให้หายได้ และหากมีงานประเพณี ชาวบ้านก็จะนำน้ำจากแอ่งนี้ไปใช้ในการทำน้ำพระพุทธมนต์ และจะไม่มีใครลงไปเล่นน้ำ ที่ผ่านมามีการนำปลาหลากชนิดมาปล่อยจนมีตัวขนาดใหญ่ และจะไม่มีใครกล้านำปลาในแอ่งนี้ไปรับประทาน เพราะเชื่อว่าหากใครมานำปลาไปรับประทานก็จะเกิดเภทภัยขึ้น และไม่อนุญาตให้อาหารปลาโดยเด็ดขาด
ชาวบ้านยังพบเจอเรื่องราวมหัศจรรย์อีกหลายครั้ง เช่น การบนบานศาลกล่าว ชาวบ้านเคยนำเทียนมาจุดบนแพลอยไปบนผิวน้ำ จู่ๆ แพได้จมลงไปชั่วครู่ก่อนโผล่ขึ้นมา โดยเทียนที่จุดไว้ก็ยังคงมีเปลวไฟอยู่ สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ชาวบ้านยังหาคำตอบไม่ได้คือ บริเวณโดยรอบแอ่งน้ำจะมีต้นไม้น้อยใหญ่ล้อมรอบ ทุกวันจะมีใบไม้หล่นลงมาจนเต็ม แต่ปรากฏว่าทุกเช้าใบไม้เหล่านั้นจะหายไปหมด น้ำจะใสเขียวจนเห็นตัวปลา ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าหากใบไม้ที่ตกทับถมกัน และจมอยู่ก้นแอ่งน้ำหลายร้อยปี โดยที่น้ำไม่หมุนเวียน แอ่งน้ำแห่งนี้น่าจะเน่าเสียไปแล้ว จึงเชื่อว่าแอ่งน้ำแห่งนี้มี “เจ้าพ่อหล่มภูเขียว” คอยปกปักรักษาและดูแล จึงได้ตั้งศาลไว้ด้านบนแอ่งน้ำแห่งนี้เพื่อสักการะ และทุกปีจะมีการจัดพิธีบูชาน้ำ เพราะเชื่อว่าในแอ่งน้ำมี “พญางูใหญ่” อาศัยอยู่ สำหรับเส้นทางเข้าไปยัง “หล่มภูเขียว”นั้น หากนักเดินทางไปยังอำเภองาว ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าไปทางตำบลบ้านอ้อน ประมาณ 7 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวเข้าทางน้ำตกแม่แก้ ไปทางหล่มภูเขียว ด้วยเส้นทางดินแดงประมาณ 4.5 กิโเมตร ตลอดเส้นทางจะมีป้ายขนาดเล็กบอกเส้นทางจนถึงหล่มภูเขียว ชมคลิปได้ที่ https://youtu.be/iuf5p2NH3vwขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000127428
|
|
|
12283
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “จุลกฐิน” ชื่อกฐินเล็ก แต่อานิสงส์ยิ่งใหญ่ มนต์เสน่ห์วิถีไทยแห่ง เมือง “แม่แจ่ม”
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:36:50 am
|
“จุลกฐิน”ชื่อกฐินเล็ก แต่อานิสงส์ยิ่งใหญ่ มนต์เสน่ห์วิถีไทยแห่ง เมือง“แม่แจ่ม” หลังออกพรรษามาได้สัปดาห์กว่าๆ เช้าวันหนึ่งที่ออฟฟิศจู่ๆก็มี “ซองขาว” มาวางเด่นอยู่ที่โต๊ะผม หะแรกเห็นตกใจ!!! เห็นไกลๆนึกว่าเป็นซองขาวอย่างว่า แต่ว่าเมื่อไปเห็นใกล้ๆค่อยโล่งใจ เพราะนี่คือซองกฐินทีน้องในออฟฟิศมาชวนผมทำบุญและร่วมเป็นคณะกรรมทอดกฐินที่วัดแห่งหนึ่งในภาคกลาง ครับงานนี้ผมให้ชื่อ ทำบุญ และจกไปด้วยความยินดี สำหรับเมืองไทยเราเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณว่าหลังวันออกพรรษา(แรม 1 ค่ำ เดือน 11) ก็จะเป็นเทศกาลทอดกฐิน ซึ่งปีหนึ่งจะทำได้เพียงครั้งเดียวในช่วงนี้ และเป็นเวลาแค่ 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 โดยกฐินในบ้านเราแบ่งหลักๆ เป็น “กฐินหลวง” ที่พระมหากษัตริย์ทรงทอดกฐินตามวัดพระอารามหลวง และ “กฐินราษฎร์” ที่พุทธศาสนิกชนคนทั่วไปนำไปทอดตามวัดต่างๆ นอกจากนี้ก็ยังมีกฐินชนิดพิเศษอีกประเภทหนึ่งคือ “จุลกฐิน” หรือ “กฐินแล่น” ที่หลายๆคนมักเข้าใจผิดคิดว่าจุลกฐินเป็นกฐินเล็ก แต่จริงๆแล้วจุลกฐินเป็นกฐินที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน แต่เต็มไปด้วยความละเอียดลออ และเต็มไปด้วยความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจของชุมชน โดยต้องทำการเก็บฝ้าย ทอฝ้าย ตัดเย็บเป็นผ้าไตรจีวร 1 ชุด ให้แล้วเสร็จ ก่อนจะนำไปถวายวัดในเช้าถัดไป เค้ามูลของการทำจีวรให้เสร็จในวันเดียว ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์อรรถกถา กล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้ารับสั่งในคณะสงฆ์ในวัดพระเชตวันร่วมมือกันทำผ้าไตรจีวรเพื่อถวายแก่พระอนุรุทธะ ผู้มีจีวรเก่าใช้การเกือบไม่ได้แล้ว โดยในครั้งนั้นเป็นงานใหญ่ ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงช่วยการทำไตรจีวรด้วย โดยทรงรับหน้าที่สนเข็มในการทำจีวรครั้งนี้ด้วย จุลกฐินยังมีลักษณะพิเศษ คือ ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาก็สามารถนำองค์กฐินไปทอดที่วัดได้ หากแต่คิดจะทำจุลกฐินต้องมีการเตรียมตัวกันก่อนล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี 1… สำหรับ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ยังคงมีการสืบสานการทำบุญจุลกฐิน ตามวิถีประเพณีดั้งเดิมอันงดงามเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ ซึ่งเดิม อ.แม่แจ่ม จะมีการจัดงานบุญจุลกฐินที่ “วัดยางหลวง” ต.ท่าผา ที่ปีนี้มีการจัดขึ้นไปในวันที่ 7-8 พ.ย.ที่ผ่านมา(8 พ.ย. เป็นงานแห่องค์กฐินไปถวายวัด) อย่างไรก็ดีมาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่“วัดบ้านทัพ” ต.ท่าผา ก็เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีการรื้อฟื้นประเพณีจุลกฐินขึ้นมา และมีการจัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ทางวัดได้เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญในงาน “ทอฝ้าย สายบุญ จุลกฐิน” ปีที่ 5 ขึ้น เมื่อวันที่ 14-15 พ.ย. ที่ผ่านมา งานนี้ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานด้วย จึงได้นำความประทับใจที่ได้พบเจอมาบอกเล่าสู่กันฟัง โดยภายในงานผมโชคดีได้เจอกับพี่“อรรถพล ปราโมทย์” หรือ “พี่ต้อง” ชาวเชียงใหม่ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับจุลกฐินอย่างลึกซึ้ง ซึ่งพี่ต้องได้ช่วยอธิบาย ให้ความรู้ ไขความกระจ่างเกี่ยวกับงานจุลกฐินแม่แจ่มให้ฟังอย่างละเอียด “จุลกฐินเป็นกิจกรรมการทำกฐินที่ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 วัน ซึ่งคนสมัยก่อนถือว่าได้บุญมากล้นกว่าการทอดกฐินปกติ(กฐินราษฎร์)” พี่ต้องเกริ่นนำก่อนจะอธิบายรายละเอียดของงานจุลกฐินให้ฟังว่า งานจุลกฐินเป็นงานประเพณีที่ดั้งเดิมมีขึ้นเฉพาะในชุมชนที่มีการปลูกฝ้าย ทอผ้า เพราะต้องทำผ้าไตรจีวร 1 ชุดให้แล้วเสร็จภายใน 1 วัน แล้วจึงนำไปถวายวัดในเช้าวันถัดไป ซึ่งชาวชุมชนต้องสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันเตรียมงาน จัดงาน และทอผ้าไตรจีวรให้เสร็จ ทั้งนี้ในบ้านเราแต่เดิมจะมีการจัดงานจุลกฐินขึ้นเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานที่มีการปลูกฝ้าย ทอผ้า แต่ว่าในยุคนี้มีการจัดงานจุลกฐินประยุกต์เพื่อการท่องเที่ยวขึ้น โดยมีการนำฝ้ายจากที่อื่นมาปั่น นำช่างทอผ้าจากที่อื่นมาทอด้วยแนวคิดแก่นประเพณีดั้งเดิม ขณะที่รูปแบบรายละเอียดและการสร้างสรรค์นั้นมีการปรับเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม และสภาพพื้นที่ สำหรับที่วัดบ้านทัพนั้นเป็นอีกหนึ่งชุมชนที่สามารถทำจุลกฐินได้ เพราะเป็นชุมชนที่มีการปลูกฝ้าย ทอผ้ามานับแต่อดีต ซึ่งลุง“วันชัย สารินจา” มัคทายกวัดบ้านทัพ บอกกับผมว่า งานจุลกฐินวัดบ้านทัพมีการจัดขึ้นมาตั้งแต่อดีต ก่อนที่จะหายไป ทางวัดจึงรื้อฟื้นขึ้นมา และจัดต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 5 แล้ว โดยงานจุลกฐินปัจจุบันที่วัดบ้านทัพ จะเป็นการร่วมมือกันของ 3 ชุมชนในตำบลท่าผา คือ บ้านทัพ บ้านท้องฝาย และบ้านไร่ ซึ่งทั้ง 3 หมู่บ้าน ปัจจุบันยังคงมีการทอฝ้ายและมีคนทอผ้าอยู่เป็นกิจวัตร 2… งานจุลกฐินวัดบ้านทัพเริ่มกันตั้งแต่เช้าของวันที่ 14 พ.ย. วันนี้เรียกว่า “วันดา” เป็นวันเตรียมงาน จัดเตรียมข้าวของอุปกรณ์สำหรับการแห่องค์กฐินในวันรุ่งขึ้น เตรียมอุปกรณ์สำหรับการปั่นฝ้าย ทอฝ้าย การทำผ้าไตรจีวรที่จะนำไปถวายพระในวันรุ่งขึ้น รวมถึงเตรียมอาหารการกินในแบบขันโตกพื้นเมืองไว้เลี้ยงแขกเหรื่อ เตรียมการแสดงศิลปวัฒนธรรม ไว้ให้ผู้มาร่วมงานได้ชมกัน จากนั้นพอถึงช่วงเย็นจะเป็นช่วงเวลาที่คึกคักมา พ่ออุ๊ย แม่อุ๊ย ต่างพากันที่วัดเพื่อตระเตรียมการทำองค์กฐิน ทอผ้าไตรจีวร นอกจากนี้ในช่วงเย็นยังมีการเลี้ยงขันโตกกับแขกเหรื่อผู้มาเยือน มีการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมจากโรงเรียนในพื้นที่ เช่น ฟ้อนต่างๆ การแสดงกลองปู่จา เป็นต้น รวมถึงเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยว คนต่างถิ่นที่มาร่วมงาน สามารถลองเรียนรู้ในกระบวนการงานบุญจุลกฐิน เช่น ร่วมอีดฝ้าย ปั่นฝ้าย หรือร่วมทอผ้าได้ โดยมีชาวบ้านผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ ครั้นในช่วงหัวค่ำเมื่อถึงฤกษ์ที่เหมาะสม จะเป็นพิธีสมโภชน์องค์กฐินในวิหาร จากนั้นก็จะเป็นพิธีเก็บฝ้ายที่ถือฤกษ์งามเหมือนกัน สำหรับพิธีเก็บฝ้ายพี่ต้องเล่าให้ฟังว่า ในอดีตจะต้องคัดผู้หญิงพรหมจรรย์ 7 นาง ที่เป็นดังตัวแทนของ “สัตบริภัณฑ์คีรี” หรือ เขาสัตบริภัณฑ์ทั้ง 7 นุ่งขาว ห่มขาว มาเก็บตัวนอนที่วัด 1 คืน ก่อนมีงาน ครั้นถึงช่วงเก็บฝ้ายก็จะนำฟ้อนมาเก็บฝ้ายจากนั้นจึงเปิดให้คนทั่วไปร่วมกันไปช่วยเก็บฝ้าย ส่วนในปัจจุบันพิธีการเก็บฝ้ายก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยตามสภาพพื้นที่ โดยพิธีเก็บฝ้ายปีนี้ที่วัดบ้านทัพนั้นจะมีเทวดาเข้าร่วมด้วย “จะเห็นได้ว่างานจุลกฐินต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี วางแผนกันมาหลายเดือน เพราะต้องลงมือปลูกฝ้าย เพื่อให้ฝ้ายโตและออกดอกพอดีในช่วงหลังวันออกพรรษา ไม่เกินหนึ่งเดือน เพื่อสามารถเก็บฝ้ายมาทอในงานจุลกฐินได้” พี่ต้องอธิบาย พร้อมกับบอกว่า ฝ้ายที่เก็บได้มาจะนำไปรวมกับฝ้ายอีกส่วนหนึ่งที่ชาวบ้านนำมาถวายเพื่อนำไปทอเป็นผ้าไตรจีวรต่อไป รวมถึงมีการกวน“ข้าวมธุปายาส” หรือ “ข้าวทิพย์” เพื่อไปถวายวัดในวันรุ่งขึ้นด้วย สำหรับกระบวนการทำผ้าไตรจีวรหลังการเก็บฝ้ายได้แก่ การ“อีดฝ้าย”ที่เป็นการนำฝ้ายมาแยกเมล็ด, การ“ก๋งฝ้าย”คือดีดฝ้ายให้ฟูปุย การปั่นฝ้ายเป็นเส้นด้าย นำไปขึ้นกี่ทอเป็นผ้าผืนสีขาว แล้วนำไปตัดเย็บเป็นผ้าไตรจีวร 1 ชุด ก่อนที่จะนำไปย้อมเป็นจีวรสีฝาด ซึ่งทั้งหมดต้องทำให้เสร็จก่อนเช้า โดยชาวบ้านที่นี่จะแต่งชุดสวยๆงามๆมาร่วมช่วยงาม ทั้งเด็กผู้ใหญ่ พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย พร้อมๆกับมีการแบ่งหน้าที่กันเป็นแผนกๆอย่างดี ก่อนจะส่งต่อให้เหล่าช่างทอในช่วงสุดท้าย สำหรับปีนี้มีกี่ 10 ตัว กับช่างทอมาผลัดเปลี่ยนกันทอ มือสอง มือสาม ไปตลอดทั้งคืน จนกระทั่งแล้วเสร็จเป็นไตรจีวรในช่วงประมาณ ตี 4 ให้ผู้ที่มาร่วมทอฟ้า เตรียมงาน จัดงาน ได้ไปนอนพักผ่อนเอาแรง แล้วตื่นขึ้นมาแต่งชุดสวยงามๆกันเต็มยศ เพื่อไปร่วมงานบุญกันด้วยจิตใจผ่องแผ้ว โดยแม่อุ๊ยและผู้หญิงชาวแม่แจ่ม(รวมถึงแขกเหรื่อที่มาร่วมงานและนักท่องเที่ยวหลายๆคน)จะพากันสวมชุดขาวหรือชุดพื้นบ้านล้านนา พร้อมกับสวมผ้า“ซิ่นตีนจกแม่แจ่ม” อันสวยงามเป็นเอกลักษณ์มาร่วมงานกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อิ่มเอิบบุญ
3… หลังตระเตรียมงาน ทำผ้าไตรจีวรได้แล้วเสร็จในวันดา(14 พ.ย.) วันรุ่งขึ้น 15 พ.ย. เป็นวันถวายบุญ โดยชาวบ้านจะนำต้นกฐิน บริวารกฐิน มาไว้ที่วัด จากนั้นจะนำไปตั้งต้นขบวนที่บ้านท้องฝายที่อยู่จากจากวัดบ้านทัพไปประมาณกิโลเมตรกว่าๆ ก่อนจะจัดขบวนแห่แหนกันมาอย่างคึกคัก นำโดยนางรำและชุดฟ้อนนกกิงกะหร่า ตามด้วยขบวนแห่องค์กฐินที่ต้องใช้ผู้ชายล้วนแห่ ก่อนต่อด้วยขบวนแห่อื่นๆ ขบวนแห่จุลกฐินวัดบ้านทัพ แม้จะไม่ใช่ขบวนใหญ่ แต่ก็เป็นขบวนงานบุญที่คึกคักเต็มไปด้วยพลังแห่งศรัทธา ซึ่งขบวนจะแห่ไปสิ้นสุดที่วัด เพื่อทำพิธีถวายองค์กฐินให้แก่วัด พร้อมทำพิธีสืบต่อชะตาแก่ผู้มาร่วมงาน แล้วทางวัดจะนำผ้าไตรจีวรไปให้แก่พระภิกษุผู้รูปที่ขาดแคลนจีวรหรือต้องการใช้จีวรต่อไป อันถือเป็นการเสร็จสิ้นพิธีจุลกฐินแห่งวัดบ้านทัพ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ที่สร้างความประทับใจให้กับคนต่างถิ่นที่มีโอกาสได้เข้ามาร่วมงานอย่างผมได้เป็นอย่างดี
และนี่ก็คืออีกหนึ่งอานิสงส์ที่ผมได้รับจากงานนี้ นับเป็นอีกวิถีไทยที่มากไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่น่าสัมผัสเรียนรู้พร้อมอนุรักษ์ให้ดำรงคงอยู่ไปตราบนานเท่านาน ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับ สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในอำเภอแม่แจ่ม และแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0-5324-8604-5 ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000127730
|
|
|
12285
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านชื่นชม"พระภูเก็ต" มุดท่อช่วยชีวิต'หมาน้อย'
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:21:33 am
|
ชาวบ้านชื่นชม"พระภูเก็ต" มุดท่อช่วยชีวิต'หมาน้อย'
คุณพระช่วยของแท้!ชาวเมืองคอนยกย่องภิกษุหนุ่ม-เพื่อนพระศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดภูเก็ต เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา หลังร่วมกับกู้ภัยลงทุนมุดท่อช่วยเหลือลูกสุนัขในท่อระบายน้ำ จนมีคนนำเรื่องไปเผยแพร่ยังสังคมออนไลน์
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิประชาร่วมใจ จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า กลางดึกคืนวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมาได้รับแจ้งมีเหตุลูกสุนัขตกลงไปในท่อระบายน้ำ ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ 84 ทุ่งท่าลาด ต.นาเคียน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ภายหลังนำกำลังไปช่วยเหลือพบกลุ่มพระภิกษุ 4-5 รูปอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมภูเก็ต พร้อมชาวบ้านกำลังช่วยกันใช้เหล็กงัดฝาท่อระบายน้ำออกมา เพื่อลงไปช่วยเหลือลูกสุนัขดังกล่าว โดยมีแม่สุนัขนอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ภายหลังเจ้าหน้าที่นำเครื่องมือ และไฟฉายช่วยอีกแรงกระทั่งสามารถล้วงเอาลูกสุนัขออกมาได้ 1 ตัว ด้วยความทุลักทุเล เจ้าหน้าที่รายเดิมเล่าอีกว่า ขณะที่หน่วยกู้ภัยกำลังปิดฝาท่อ ปรากฏว่าพระสุเทพ ไม่ทราบนามสกุล และฉายา บอกว่ายังมีลูกสุนัขอีกตัวอยู่ในท่อลึก ขอให้ช่วยเหลือก่อน จากนั้นพระสุเทพก็ได้ลงไปในท่อดังกล่าวด้วยตัวเอง และพบว่ามีลูกสุนัขตัวลายอยู่ในท่ออีกตัวจริง ๆ แต่เนื่องจากลูกสุนัขตัวดังกล่าวหวาดกลัวผู้คน ทำให้ต้องไปงัดท่ออีกแห่งเพื่อใช้มือล้วงเข้าไปช่วยเหลือนำตัวออกมาได้สำเร็จ ท่ามกลางความโล่งใจของชาวบ้านที่มารอลุ้นเหตุดังกล่าว
ทั้งนี้ได้มีชาวบ้านรายหนึ่งถ่ายภาพ และคลิปวีดีโอ ก่อนนำไปลงสู่โลกออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นช่วงที่พระสุเทพ พยายามมุดท่อลงไปช่วยเหลือลูกสุนัขจนเหงื่อออกโทรมกายไปทั้งตัว สบง-จีวร สกปรกมอมแมมจากน้ำเสียกลิ่นเหม็นคลุ้ง ทำให้ผู้พบเห็นต่างประทับใจในความเมตตาของพระสุเทพและกลุ่มพระจากศูนย์ปฏิบัติธรรมภูเก็ตเป็นอย่างมาก.
ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/361431
|
|
|
12286
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ไม่ธรรมดา'ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ"สุโขทัย"ยิ่งใหญ่อลังการ
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 07:15:32 am
|
'ไม่ธรรมดา'ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ"สุโขทัย"ยิ่งใหญ่อลังการ งานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จ.สุโขทัย จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ มีพิธีตักบาตรรับอรุณ ณ อุโบสถ วัดตระพังเงิน ประกวดกระทงเล็ก พนมหมาก พนมดอกไม้ ไฮไลต์การแสดงแสงสีเสียงเรื่อง "ความรุ่งเรืองของนครสุโขทัย" และอื่นๆ อีกมากมาย
นายปิติ แก้วสลับสี ผวจ.สุโขทัย เปิดเผยว่า การจัดงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ประจำปี 2558 ซึ่งทางจังหวัดร่วมกับกรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 21-25 พ.ย.นี้ จะมีกิจกรรมย้อนยุคต่างๆ มากมาย โดยในช่วงเช้าของวันที่ 21 พ.ย. ตั้งแต่เวลา 05.30 น. จะมีพิธีตักบาตรรับอรุณ ณ อุโบสถ วัดตระพังเงิน พิธีรำบวงสรวง บูรพกษัตริย์สุโขทัยทุกพระองค์ ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ของนักเรียนจำนวน 2,000 คน การประกวดกระทงเล็ก พนมหมาก พนมดอกไม้ ลานเทศน์ลานธรรม โดยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานในเวลา 16.00 น.ส่วนในภาคกลางคืน จะมีการประกวดโคมชักโคมแขวน หมู่บ้านวิถีไทย การแสดงพื้นบ้าน ตลาดโบราณสมัยสุโขทัย การประกวดกระทงใหญ่ การแสดงโขน การประกวดนางนพมาศ การแสดงตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กิจกรรมข้าวขวัญวันเล่นไฟ
รวมทั้งการแสดงแสงสีเสียงเรื่อง "ความรุ่งเรืองของนครสุโขทัย" ซึ่งถือเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน ณ วัดมหาธาตุ ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้าชมตำนานความยิ่งใหญ่อลังการของกรุงสุโขทัยในอดีตอย่างเนืองแน่น และในวันที่ 25 พ.ย. ซึ่งเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ในภาคเช้าจะมีขบวนอัญเชิญไฟพระฤกษ์และพระประทีปพระราชทานแห่รอบเมือง ก่อนจะนำไปยังแท่นประดิษฐานพระประทีป บริเวณสระตระพังตาล และ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปเป็นประธานอัญเชิญลงลอยเป็นปฐมฤกษ์ ณ สระน้ำวัดสระศรี (ตระพังตระกวน) ในเวลา 22.30 น.ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/539980
|
|
|
12287
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เกจิดัง'หลวงปู่เอี่ยม'สิ้น เก็บสังขารโลงแก้วกราบ
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 10:38:00 am
|
เกจิดัง'หลวงปู่เอี่ยม'สิ้น เก็บสังขารโลงแก้วกราบ พระเกจิดังแห่งวัดเมืองยาง "หลวงปู่เอี่ยม ฐานวโร" ละสังขารสงบด้วยโรคชรา สิริอายุ 91 ปี 5 เดือน พรรษา 67 เตรียมเก็บร่างใส่โรงแก้วไว้ให้ลูกศิษย์กราบไหว้
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา พระครูประภัศร์ธรรมารามหรือ หลวงปู่เอี่ยม ฐานวโร พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดเมืองยาง ต.เมืองยาง อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ได้มรณภาพลงด้วยโรคชราที่วัดเมืองยาง หลังถูกส่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลนางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่เมื่อต้นเดือน พ.ย.2558 ที่ผ่านมาด้วยโรคชรา แต่อาการไม่ดีขึ้นและมรณภาพลงเมื่อเวลา 05.22 น. วันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมาด้วยอาการสงบ สิริอายุ 91 ปี 5 เดือน 4 วัน พรรษา 67 พรรษา นับเป็นพระสงฆ์ที่มีอายุมากเป็นอันดับสองรองจากหลวงปู่ผาด ฐิติปัญโญ หรือพระครูวิบูลย์ ปัญญาวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดบ้านกรวดอ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ที่มรณภาพเมื่อวันที่ 5 ม.ค.2558 มีอายุ 104 ปี 8 เดือน 2 วัน พรรษา 85 พรรษา ขณะที่พระอาจารย์ธรรมทัต ชินทตโต ศิษย์ที่ไว้วางใจของหลวงปู่ กล่าวว่า การบำเพ็ญกุศลศพของหลวงปู่เอี่ยมจะมีพิธีสวดพระอภิธรรมทุกวันเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. เป็นเวลา 9 วัน จากนั้นจะมีพิธีบรรจุศพหลวงปู่เอี่ยมไว้ในโลงแก้วเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้
สำหรับประวัติ หลวงปู่เอี่ยม ฐานวโร หรือพระครูประภัศร์ธรรมมาราม เดิมชื่อนายเอี่ยม พงษ์พิมาย เกิดเมื่อวันพุธที่ 11 มิ.ย. 2467 จบ ป.4 เป็นชาวบ้าน ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา บุตรนายแป้น กับนางมี พงษ์พิมาย ซึ่งเมื่ออายุครบ 24 ปีได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดใหม่ประตูชัย ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา และอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2491 ที่วัดสระเพลง ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ต่อมาได้ขอย้ายสำนักจากพระอธิการเกิดเจ้าคณะอำเภอพิมาย มาอยู่ที่วัดเมืองยางต.หนองป่อง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/361323
|
|
|
12288
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จับตา "มารศาสนา" ปฏิบัติการทำลายศรัทธาพุทธศาสนิกชน : แก๊งปลอมบวช
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 10:29:14 am
|
จับตา "มารศาสนา" ปฏิบัติการทำลายศรัทธาพุทธศาสนิกชน : แก๊งปลอมบวช ปลอมบวชปัญหาคาราคาซังของ พุทธศาสนา โดยกลุ่มบุคคลที่ประพฤติตนเป็น “มารศาสนา” อาศัยความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนใช้เป็นช่องทางในการหาเลี้ยงชีพ
จากข้อมูลของ ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระบุชัดว่า ปัญหาการปลอมบวชเกิดขึ้นทุกปี โดยทางส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนาตรวจพบ และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมเฉลี่ยปีละประมาณกว่า 10 ราย
แม้จะดูเหมือนมีจำนวนไม่มาก แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่พบเห็นผู้ที่มาปลอมบวช แล้วไม่ทราบข้อเท็จจริง เกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวพระสงฆ์ของพระพุทธศาสนาลงได้ เพราะผู้ที่ปลอมบวชจะแต่งกายเหมือนพระสงฆ์ทุกประการพระเมธีธรรมาจารย์ โดยสิ่งที่จะสังเกตได้ว่าเป็น “คนปลอมบวช” หรือ “พระสงฆ์” นั้น ทางส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา แนะนำวิธีสังเกตคือ ผู้ที่ปลอมบวชจะมีพฤติกรรมที่ไม่สำรวม ห่มจีวรไม่สะอาด รุงรัง ทั้งยังบิณฑบาตมุ่งหวังแต่เงินเท่านั้น
“การปลอมบวช ส่วนใหญ่จะมุ่งเรี่ยไรเงิน แสวงหาประโยชน์ รวมทั้งมีเจตนาอื่นๆแอบแฝงอยู่ด้วย โดยจะพบผู้ปลอมบวชมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ รองลงมา คือ พื้นที่ภาคตะวันออก และจังหวัดที่อยู่ตามแนวชายแดน” นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ กล่าวยืนยันถึงพฤติกรรมของผู้ปลอมบวช พร้อมทั้งเปิดเผยพื้นที่ที่มักจะพบกลุ่มมารศาสนากลุ่มนี้
ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่า แหล่งหากินของผู้ปลอมบวชส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นเมืองขนาดใหญ่ คนอาศัยอยู่จำนวนมาก ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ ยังพบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการปลอมบวช ซึ่งน่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ การปลอมบวชเป็นพระสงฆ์ เพื่อแสดงพฤติกรรมเสื่อมเสีย โดยมีเป้าหมายให้พุทธศาสนิกชนเสื่อมความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ ยืนยันว่า ปัจจุบันปัญหาปลอมบวช นอกจากหวังลาภสักการะแล้ว ยังมีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย ซึ่งทางศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ ได้รับข้อมูลมาว่า มีกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาปลอมบวชเป็นพระสงฆ์แล้วประพฤติตัวเสื่อมเสีย เช่น ดื่มเหล้า เข้าไปกินอาหารในร้านหรูๆ เที่ยวในสถานที่อโคจรของพระสงฆ์ ทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด เป็นต้น จากนั้นจะมีการเผยแพร่ภาพออกไปทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2558 ทางศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ ได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ นับ 100 ราย
“กรณีล่าสุดที่พบที่ จ.สงขลาเมื่อเดือน ต.ค. ที่มีภาพพระสงฆ์นั่งดื่มเหล้าในวัดแห่งหนึ่ง เมื่อตรวจสอบเชิงลึกไปแล้วก็พบว่า บุคคลที่ปรากฏในภาพไม่ใช่พระสงฆ์ ทั้งยังมีการทำหนังสือสุทธิปลอม และมีเจตนานั่งดื่มเหล้าในพื้นที่วัด เพื่อให้มีผู้มาบันทึกภาพให้เกิดความเสื่อมเสีย ซึ่งขณะนี้ ทางศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ
กำลังจับตากลุ่มปลอมบวชที่มีพฤติกรรมสร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนา เพื่อรวบรวมข้อมูลประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ กล่าวย้ำ “ทีมข่าวศาสนา” มองว่า จากข้อมูลของส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา และศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ บ่งชี้ชัดเจนว่า “กลุ่มผู้ที่ปลอมบวช” ไม่ว่าจะปลอมบวชเพื่อหวังลาภสักการะ หรือปลอมบวชเพื่อมุ่งหวังทำลายความศรัทธาต่อพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ผลลัพธ์ในแง่ลบล้วนออกมาตรงกัน คือ ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา
และเราเชื่อว่า หนทางที่จะช่วยกำจัด “กลุ่มมารศาสนา” กลุ่มนี้ให้หมดไป หรือให้ลดน้อยลง นอกจากพวกเราในฐานะพุทธศาสนิกชนจะต้องไม่ทำบุญกับพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น นุ่งห่มจีวรไม่เรียบร้อย สวดมนต์ไม่เป็น วอกแวก มุ่งแต่จะเรี่ยไร่เงินทองอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้คือการช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากพบเห็นกลุ่มบุคคลที่แต่งกายเป็นพระสงฆ์แล้วมีพฤติกรรมดังกล่าว อย่ามองผ่านไปโดยถือว่าธุระไม่ใช่ แต่ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ
เพราะการแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ถือว่ามีความผิดเข้าข่ายการปลอมบวช มีโทษทางอาญาจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่รับแจ้งเหตุสามารถกล่าวโทษได้ทันที
ถึงเวลาแล้วที่พุทธศาสนิกชนทุกคนจะต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตากำจัด “มารศาสนา” กลุ่มนี้ให้สูญสิ้นไปเสียทีเถอะ.....!!!
ทีมข่าวศาสนาขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/539755
|
|
|
12291
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดูไว้..ตำรวจคนจริง.! โปลิศ "มีสำนึก" ออกใบสั่งให้ตัวเอง "เหตุจอดรถช่องคนพิการ"
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 07:31:44 am
|
ดูไว้ ตร.คนจริง โปลิศ "มีสำนึก" ออกใบสั่งให้ตัวเอง "เหตุจอดรถช่องคนพิการ" สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจแดนลุงแซมสร้างความฮือฮาด้วยเสียงชื่นชม ด้วยการ"ลงโทษตัวเอง"จากเหตุที่เขา"เผลอไปจอดรถในที่สำหรับคนพิการ"
รายงานระบุว่า ในเหตุการณ์นี้ นายตำรวจเดวิด ครากค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา ออกใบสั่งลงโทษตัวเองด้วยการปรับเงิน จากเหตุที่เขาเผลอไปจอดรถในที่จอดสำหรับคนพิการ โดยเหตุการณ์เริ่มต้นที่อนุสรณ์สถานมิลวอกี ซี่งมีการพิธีเนื่องในวันทหารผ่านศึก โดยนายตำรวจผู้นี้ได้เข้าร่วมด้วย แต่เขาได้กระทำความผิดดังกล่าว จึงได้ลงโทษตัวเองด้วยการ "ออกใบสั่งให้ตัวเอง"
ก่อนที่ต่อมาเจ้าตัวจะได้แถลงเปิดเผยว่า "ผมรับคำสั่งให้ไปร่วมพิธีที่อนุสรณ์สถานในเมืองมิลวอกี จากนั้นผมก็จอดและลงไปร่วมพิธีในนั้น แต่ทว่าผมไม่ทันสังเกตว่าผมจอดรถในที่ของคนพิการ ซึ่งตามกฎหมายแล้ว เจ้าหน้าที่จะได้รับการยกเว้นให้สามารถจอดรถในที่คนพิการได้ในบางกรณี เช่น เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือ คำสั่งเร่งด่วนจากทางการ แต่ว่านี่ไม่ใช่ข้อยกเว้นข้างต้น ดังนั้น ผมจึงสมควรถูกลงโทษ"
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่คลากค์ต้องเสียค่าปรับเป็นเงิน 35 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,260 บาท นอกจากนี้ ขณะเดียวกัน เขายังได้มอบเงินอีกเป็นจำนวน 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,180 บาท เพื่อมอบให้แก่องค์กรด้านคนพิการด้วยชมคลิปได้ที่ http://metro.co.uk/2015/11/15/police-officer-noticed-hed-parked-in-disabled-bay-so-gave-himself-a-ticket-5502898/ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1447652323
|
|
|
12293
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทัวร์เมืองเก่า เล่าเรื่องวันวาน ผ่านที่เที่ยวหลากหลาย ที่ "เพชรบุรี"
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 07:23:01 am
|
พระปรางค์ห้ายอดที่สร้างตามศิลปะแบบขอม ในวัดพระมหาธาตุ ทัวร์เมืองเก่า เล่าเรื่องวันวาน ผ่านที่เที่ยวหลากหลาย ที่ "เพชรบุรี" "เพชรบุรี" เป็นเมืองที่มีประวัติยาวนานเก่าแก่แห่งหนึ่งในประเทศไทย และมีความหลากหลายทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิต จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวของกษัตริย์ เพราะไม่ว่าทุกยุคทุกสมัยกษัตริย์ของไทยมักจะมาเยือนท่องเที่ยวที่เมืองเพชรบุรีเสมอ นอกจากนั้นยังเป็นที่ที่มีก่อตั้งเริ่มต้นหลายอย่างกลายเป็นรากฐานประวัติศาสตร์ครั้งแรกในประเทศไทยจนเกิดการแพร่หลายไปทั่ว ได้มาเยือนเพชรบุรีคราวนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเพชรบุรี ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงาน มอสโก ประเทศรัสเซีย ร่วมกันจัดเส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ “ครั้งแรกของสยามในจังหวัดเพชรบุรี” เพื่อเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวประวัติศาสตร์อันหลากหลายในจังหวัด ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบุรีมากขึ้นโบสถ์ปลูก ที่ "วัดคุ้งตำหนัก" โดย เอื้อมพร จิรกาลวิศัลย์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงาน มอสโก ได้กล่าวไว้ว่า “เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มประเทศรัสเซียมีความสนใจท่องเที่ยวในเชิงทางวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ควบคู่กับการท่องเที่ยวธรรมชาติมากขึ้น จึงได้สำรวจเส้นทางเพื่อหาแหล่งท่องเที่ยวที่จะตอบสนองนักท่องเที่ยวได้ดี จึงพบว่า จังหวัดเพชรบุรีนั้นเป็นจังหวัดที่มีความพร้อม และท่องเที่ยวได้หลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม วิถีชีวิตและที่สำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับประเทศชาติตะวันตกมาอย่างยาวนานมากกว่า 100 ปี และเป็นจุดเริ่มต้นหลายอย่างที่น่าสนใจ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นจุดท่องเที่ยวที่จะดึงความสนใจนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้มาท่องเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น”พระประธานในโบสถ์แกะสลักด้วยไม้ทองหลาง ที่แรกที่จะไปเยือนนั้นคือ “วัดคุ้งตำหนัก” ตั้งอยู่ที่ ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม เป็นวัดเก่าแห่งหนี่งในเพชรบุรี และมีเรื่องเล่าตำนานที่กล่าวกันว่า ในสมัยอยุธยาตอนปลายนั้น บริเวณบ้านบางด้วน คุ้งน้ำบางตะบูน เคยมีพลับพลา หรือตำหนักพระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จประพาสทรงเบ็ดและได้สร้างตำหนักไว้ที่วัดคุ้งตำหนัก ใกล้ปากอ่าวบางตะบูน เพราะเป็นที่ที่มีปลาชุกชุมอย่างมาก ตามที่ปรากฏไว้ในนิราศเมืองเพชรของสุนทรภู่ที่กล่าวไว้ว่า “ถึงวังที่ตั้งประทับรับเสด็จ มาทรงเบ็ดปลากระโห้ไม่สังหาร ให้ปล่อยไปในทะเลเอาเพดาน แต่โบราณเรียกว่าองค์พระทรงปลา “ ซึ่งในปัจจุบันไม่ปรากฏร่องรอยของพระตำหนักดังกล่าว เหลือไว้เพียงเรื่องเล่าแต่กาลก่อนในอดีตเท่านั้น
พระประธาน ที่"วัดคุ้งตำหนัก" มีความสวยงามอย่างมาก ภายในวัดคุ้งตำหนักนั้น มีโบสถ์ปลูกที่เก่าแก่เป็นอย่างมาก มีการสันนิษฐานไว้ว่าโบสถ์ปลูกหลังนี้ได้สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งคำว่าโบสถ์ปลูกนั้น หมายถึงโบสถ์ที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ส่วนคำเรียกว่า โบสถ์ก่อ นั้นหมายถึงโบสถ์ที่สร้างด้วยอิฐด้วยปูน โบสถ์ปลูกที่วัดคุ้งตำหนักแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยไม้สักทั้งหลัง และความพิเศษของโบสถ์ปลูกนี้นั่นคือ พระประธานในโบสถ์ สร้างมาจากไม้ทองหลางที่ช่างได้แกะสลักเป็นพระพุทธรูป มีความเก่าแก่สวยงามเป็นอย่างมาก
โต๊ะเรียนเก่าแก่จัดแสดงให้ชมที่ “โรงเรียนอรุณประดิษฐ์” แสดงประวัติชมผลงานให้ได้ชม “โรงเรียนอรุณประดิษฐ์” จากนั้นเส้นทางท่องเที่ยวที่ไปเยือนต่อไปคือ “โรงเรียนอรุณประดิษฐ์” ตั้งอยู่ใน อ.เมือง เป็นโรงเรียนเก่าแก่ในจังหวัดเพชรบุรีที่มีประวัติศาสตร์สำคัญในประเทศไทย เพราะเป็นโรงเรียนที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับชาติตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้น โรงเรียนแห่งนี้สร้างขึ้นโดยคณะมิชชันนารีที่เดินทางมาจากคริสตจักรเพรสไบทีเรียน ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อมาเผยแพร่ศาสนาและวางรากฐานการศึกษาแผนใหม่ให้กับชาวเพชรบุรี ซึ่งประกอบไปด้วย ศาสนาจารย์ เอส.จี.แมคฟาร์แลนด์ (Rev. S.G. McFarland) ศาสนาจารย์ ดาเนียล แมคกิลวารี (Rev.Daniel McGilvary) และครอบครัว โดยศาสนาจารย์ เอส.จี.แมคฟาร์แลนด์ ได้ลงมือก่อสร้างอาคารเรียนขึ้นด้วยมือของตัวเอง โดยอาคารเรียนหลังแรกที่สร้างเสร็จนั้น เป็นอาคารเล็กๆ หลังคามุงด้วยจาก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรีฝั่งตะวันตก ติดกับด้านทิศใต้ของวัดไชยสุรินทร์ ขณะนั้นเรียกว่า โรงเรียนฝึกหัดทำการ ซึ่งชาวเมืองเพชรมักจะเรียกว่า “โรงเรียนฝรั่งวัดน้อย” ซึ่งนับว่าเป็นโรงเรียนราษฎร์สตรีแห่งแรกของเพชรบุรี และของประเทศไทย ที่สอนวิชาการทั่วไปและการเย็บปักถักร้อย ที่นี่เองจักรเย็บผ้าได้นำมาถูกใช้เป็นครั้งแรก เพชรบุรีจึงได้ชื่อว่า "เมืองแห่งจักรเย็บผ้า" ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนกลายเป็นโรงเรียนสหศึกษาที่มีผู้ชายเข้ามาเรียนได้ด้วย ถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรีปัจจุบันจากโรงเรียนสตรีหญิงแห่งในประเทศไทยได้กลายเป็นโรงเรียนสหศึกษา คริสตจักรจีนเพชรบุรี จากนั้นถัดไปไม่ไกล ที่ “คริสตจักรจีนเพชรบุรี” เป็นที่ที่อยู่ของ “ศาสนาจารย์เหล่า หยกเกีย”ศาสนาจารย์หญิงคนแรกของประเทศไทย ที่มีอายุยาวนานถึง 101 ปี และได้ถวายตัวรับใช้ศาสนาคริสต์มาอย่างยาวนาน ท่านได้เข้ามาอยู่ที่เพชรบุรีในวัยสาว ตั้งแต่ปี 2490 จนมีความผูกผันในเมืองเพชรบุรีอย่างมาก ก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเรียนรู้ต่อและเผยแพร่หลักคำสอนของพระเจ้า จนกระทั่งท่านเกษียณอายุตัวเองที่ฮ่องกง จึงได้ตั้งใจกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศไทยในเมืองเพชรบุรีอีกครั้ง เพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า ยึดมั่นปฏิบัติตนตามหลักคำสอนในศาสนาคริสต์ และตั้งใจที่จะเผยแพร่ จนกลายเป็นที่นับถือทั่วไปแก่ศาสนิกชน และได้รับสถาปนาเป็นศาสนาจารย์หญิงคนแรกของประเทศไทยอีกด้วย"ศาสนาจารย์เหล่า หยกเกีย” ศาสนาจารย์หญิงคนแรกของประเทศไทย "วัดกำแพงแลง" มีโบราณสถานที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี สถานที่ต่อมาที่ไปเยือนคือ "วัดกำแพงแลง" ตั้งอยู่ใน ต.ท่าราบ อ.เมือง ที่วัดแห่งนี้เป็นโบราณสถานที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี แสดงถึงความเป็นบ้านเมืองขนาดใหญ่ของเพชรบุรีในสมัยอดีต โดยที่นี่สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นช่วงยุคสมัยขอมมีความรุ่งเรืองอย่างมากตามดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำเพชรบุรี วัดแห่งนี้เป็นเทวสถาน สร้างตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ ต่อมาเมื่ออิทธิพลของศาสนาพุทธได้เผยแผ่เข้ามาในบริเวณนี้ จึงมีการดัดแปลงให้เป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนา ภายในวัดกำแพงแลงเดิมเคยมีปรางค์ 5 องค์ มีปรางค์ประธานอยู่ตรงกลางและมีปรางค์ทิศอยู่ 4 มุมปัจจุบันเหลือเพียง 3 องค์ และมีการสันนิษฐานว่าปรางค์แต่ละหลังใช้เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป เช่น พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม พระนางอุมา เป็นต้นภายในวิหารมีพระพุทธรูปที่เป็นที่นับถือของชาวพุทธเพชรบุรี วัดกำแพงแลงเป็นวัดที่เก่าและมีความสำคัญแล้วยังมี “วัดมหาธาตุวรวิหาร” ตั้งอยู่ ต.คลองกระแช อ.เมือง เป็นวัดเก่าแก่และสำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี ที่สันนิษฐานไว้ว่าสร้างขึ้นในสมัยทวาราวดี ภายในวัดมีพระปรางค์ห้ายอดที่สร้างตามศิลปะแบบขอม ซึ่งปรางค์แต่ละองค์สร้างด้วยศิลาแลง นอกจากนั้นภายในวัดมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเพชรบุรีนับถือเป็นอย่างมาก คือ พระพุทธรูปหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อบ้านแหลม และหลวงพ่อทอง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนชาวเพชรบุรีรูปปั้นล้อการเมืองมีให้ชมได้ที่ วัดมหาธาตุ รูปปูนปั้นแกะสลักบนเพดานที่มีดาวเทียมอยู่เหนือเทพทั้งหลาย และสิ่งไฮไลต์พิเศษของวัดนี้ นั่นคือการเดินชมศิลปะลายปูนปั้นชั้นครูฝีมือ ช่างสิบหมู่เมืองเพชรที่ปรากฏไว้ตามหน้าบันและฐานพระพุทธรูปภายในวัดมากมาย มีทั้งความสวยงามและเรื่องราวที่ปรากฏออกมา เช่น รูปปั้น หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของประเทศไทย ในท่าทางแบกฐานเจดีย์ โดย อาจารย์ทองด้วง เอมโอฐ ที่ปั้นรูปปั้นอันนี้ได้มีแนวคิดไว้ว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นย่อมมีภาระงานหนักในการดูแลบ้านเมือง จึงเปรียบเสมือนการแบกรับของหนักดังเช่นพระเจดีย์นั่นเอง
รูปปั้นแกะสลัก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กำลังแบกฐานพระเจดีย์ "ลานสุนทรภู่" ที่วัดพลับพลาชัย จากนั้นสถานที่ต่อไปที่ไปเยือนนั่นคือ “ลานสุนทรภู่” ที่วัดพลับพลาชัย เป็นลานที่มีท่าน้ำที่สุนทรภู่นั้นได้มาขึ้นเรือที่ท่าน้ำแห่งนี้ โดยได้กล่าวขานถึงไว้ในนิราศเมืองเพชรที่ได้ประพันธ์ไว้ ในปัจจุบันที่ตรงนี้ได้มีการสร้างรูปปั้นอนุสาวรีย์สุนทรภู่ เพื่อยกย่องสุนทรภู่กวีเอกของไทย ที่ได้แต่งนิราศเมืองเพชรอันเป็นนิราศเรื่องสุดท้ายในชีวิต และเชื่อว่าเพชรบุรีนั้นเป็นบ้านเกิดของมารดาสุนทรภู่อีกด้วยหม้อตาลเมืองเพชรที่เจอในแม่น้ำเพชรบุรี เหรียญตราและคันฉ่อง ในสมัยราชวงศ์ถัง ที่พบเจอ จากนั้นเดินไปไม่ไกลไปชมหม้อตาลเมืองเพชรที่เป็นเอกลักษณ์ และมีอยู่จำนวนมากมายในแม่น้ำเพชรบุรี โดย “ครูเจี๊ยบ” หรือ กิตติพงษ์ พึ่งแตง ครูสอนพลศึกษา โรงเรียนสุวรรณรังสฤษฎ์วิทยาลัย จังหวัดเพชรบุรี ได้เล่าให้ฟังว่า โบราณวัตถุเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไว้บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของคนเมืองเพชรบุรีว่า ในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองด้านการค้าขายมาตั้งแต่สมัยทวารวดี สุโขทัย อยุธยาเรื่อยมาจนถึงรัตนโกสินทร์ จึงเป็นเหตุให้เริ่มที่จะค้นหาวัตถุข้าวของที่อยู่ในแม่น้ำเพื่อเก็บรักษาไว้เรียนรู้และความเป็นมาของเพชรบุรี นอกจากนั้นครูเจี๊ยบได้เจอหลักฐานประวัติศาสตร์สำคัญ นั่นคือเหรียญตราและคันฉ่อง ซึ่งสันนิษฐานเป็นของในสมัยราชวงศ์ถัง จึงเป็นหลักฐานแสดงว่า เมืองเพรชบุรีดั้งเดิมนั้นเป็นเมืองการท่าที่สำคัญ เรียกว่าได้ที่แห่งนี้ถือเป็น “ตะกอนอารยธรรมลุ่มแม่น้ำเพชรฯ” เลยทีเดียว
ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งในเพชรบุรี ที่มีความสำคัญและมีเรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายที่รอให้ไปเที่ยว สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวชูโรงที่เป็นตัวเลือกท่องเที่ยวอีกแบบหนึ่งที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ว่าประเทศไทยนั้นไม่ใช่เป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองที่ท่องเที่ยวเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่รอให้ศึกษา และชมความสวยงามเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกต่อไป ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000127180
|
|
|
12294
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สีสันทอดกฐิน! วัดน้ำกระจายสงขลา สร้างหุ่นไดโนเสาร์และคาวบอยนำขบวนแห่
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 07:12:00 am
|
สีสันทอดกฐิน! วัดน้ำกระจายสงขลา สร้างหุ่นไดโนเสาร์และคาวบอยนำขบวนแห่ ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ชาวสงขลาสร้างสีสันทำบุญทอดกฐิน สร้างหุ่นไดโนเสาร์ และคาวบอยนำขบวนเข้าวัด ท่ามกลางบรรยากาศที่สนุกสนาน และอิ่มบุญ วันนี้ (15 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเดือนนี้เป็นช่วงเทศกาลทอดกฐิน ตามวัดต่างๆ ใน จ.สงขลา ได้จัดกิจกรรมทอดกฐินกันอย่างคึกคัก แต่ที่แปลก และสนุกสนานมากที่สุดวัดหนึ่งคือ การทำบุญทอดกฐินที่วัดน้ำกระจาย ต.พะวง อ.เมืองสงขลา เพราะขบวนกฐินของชาวบ้านใน ต.พะวง แตกต่างจากวัดอื่น โดยมีการทำเป็นหุ่นไดโนเสาร์ตัวใหญ่ความสูงกว่า 2 เมตร และยาวเกือบ 5 เมตร คาบวัวไว้ในปากนำขบวน ตามด้วยขบวนกองยาวหลายสิบขบวน พร้อมด้วยนางรำ และผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กๆ ที่ช่วยกันลากจูงกฐินไดโนเสาร์เข้าวัดน้ำกระจายกันอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ ยังมีขบวนกฐินแบบคาวบอย ซึ่งมีการทำหุ่นม้าตัวใหญ่มีคนขี่ และมีการติดแท่นอาวุธปืนไว้บนหลังม้าด้วย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน และอิ่มบุญ และเป็นสีสันของการทำบุญที่แปลก และมีแห่งเดียวใน จ.สงขลาขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9580000126854
|
|
|
12299
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดสระเกศฉลองใหญ่ ห่มผ้าแดงภูเขาทอง 18-27 พ.ย.นี้
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2015, 08:07:39 pm
|
วัดสระเกศฉลองใหญ่ห่มผ้าแดงภูเขาทอง เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เผยจัดงานห่มผ้าแดงภูเขาทอง 18-27 พ.ย.นี้ ริ้วขบวนยิ่งใหญ่ พร้อมเปิดให้พุทธศาสนิกชนสักการะพระบรมสารีริกธาตุตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน
วันนี้(16 พ.ย.)พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กล่าวว่า ตามที่ทางวัดสระเกศฯ มีการจัดงานห่มผ้าแดง องค์พระเจดีย์บรมบรรพต เนื่องในงานเทศกาลประจำปี นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ที่บรมบรรพต (ภูเขาทอง) เป็นประจำทุกปี โดยปีนี้กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 18-27 พ.ย. ซึ่งช่วงเช้าของวันที่ 18 พ.ย.จะมีพิธีอัญเชิญผ้าแดง ด้วยการจัดริ้วขบวนต่างๆ
ซึ่งริ้วขบวนในปีนี้จะยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย ขบวนรถโบราณกว่า 100 คัน ขบวนรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ 100 คัน ขบวนรถดนตรีไทย ขบวนรถสามล้อย้อนยุค ขบวนรถบุปผชาติ ขบวนธงชาติ ธงศาสนา ธงพระมหากษัตริย์ ขบวนกลองยาวประเพณีอีสาน พร้อมขบวนนางรำ โดยจะตั้งขบวนบริเวณท้องสนามหลวง เพื่ออัญเชิญไปยังวัดสระเกศฯ และเมื่อถึงวัดสระเกศฯพุทธศาสนิกชนจะลงเดินเท้าอัญเชิญผ้าแดงจากหน้าวัดสระเกศฯ ขึ้นไปห่ม องค์พระเจดีย์บรมบรรพต พร้อมทั้งมีพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระพรหมสิทธิ กล่าวต่อไปว่า พระเจดีย์บรมบรรพต ภูเขาทอง จำลองแบบมาจากพระเจดีย์วัดภูเขาทอง ในจ.พระนครศรีอยุธยา มีความสูงประมาณ 100 เมตร ความกว้างโดยรอบเส้นศูนย์กลางประมาณ 500 เมตร สร้างโดยพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีถึง 3 พระองค์ด้วยกัน คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยใช้เวลาในการก่อสร้างเป็นเวลากว่า 50 ปี จากนั้นรัชกาลที่ 5 ก็ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย ที่ขุดได้จากกรุงกบิลพัสดุ์ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บรรจุประดิษฐานไว้บนองค์บรมบรรพต ภูเขาทอง และโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ งานเทศกาลนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และงานวัดภูเขาทอง ถือเป็นงานวัดครั้งแรกในกรุงเทพฯ จึงเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทั้งนี้เชื่อกันว่าอานุภาพแห่งการบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในชีวิต แคล้วคลาดปลอดภัย เป็นความเชื่อที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล สำหรับงานภูเขาทองวันที่ 18 - 27 พ.ย.นี้ จะเปิดให้พุทธศาสนิกชนสักการะพระบรมสารีริกธาตุได้ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น. ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/361239
|
|
|
12301
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / “พิพิธภัณฑ์สักทอง” หนึ่งเดียวในไทย ชวนไปไหว้พระสังฆราช 19 พระองค์
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2015, 07:13:01 am
|
อาคาร “พิพิธภัณฑ์สักทอง” งดงามอย่างมีเอกลักษณ์ “พิพิธภัณฑ์สักทอง” หนึ่งเดียวในไทย ชวนไปไหว้พระสังฆราช 19 พระองค์ โดย : หนุ่มลูกทุ่ง “พิพิธภัณฑ์สักทอง” เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ฉันอยากจะมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง เพราะได้ยินมาว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในบรรยากาศเรือนทรงปั้นหยาหลังงามที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง อีกทั้งยังเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 19 พระองค์ ของประเทศไทยให้ได้ชมประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณหล่อด้วยสัมฤทธิ์ เมื่อฉันเดินทางมาถึงพิพิธภัณฑ์สักทอง ที่ตั้งอยู่ภายใน “วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร” บริเวณถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต สิ่งแรกที่ได้เห็นก็คือบ้านทรงปั้นหยาแบบประยุคต์สองชั้นสวยงามอลังการ ที่ด้านหน้าทางเข้าเป็นที่ประดิษฐาน “ประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณหล่อด้วยสัมฤทธิ์” ให้ได้แวะสักการะขอพรก่อนเข้าชมจำนวนวงปีไม้สัก “พิพิธภัณฑ์สักทอง” หลังจากฉันก็ได้ก้าวเท้าเข้าสู่ภายในพิพิธภัณฑ์สักทอง ที่มีบรรยากาศโออ่าทุกสัดส่วนถูกตกแต่งด้วยไม้สัก แต่ที่โดดเด่นสะดุดตาฉันเป็นที่สุดก็คงจะเป็นเสาบ้านไม้สักทองขนาดสองคนโอบ ที่มีลวดลายไม้สีเหลืองตระการตา ฉันได้รู้มาว่าบ้านหลังนี้มีเสาไม้สักทองดังกล่าวถึง 59 ต้น และไม้สักที่ใช้ในการสร้างบ้านหลังนี้มีอายุถึง 479 ปี จากการนับจำนวนวงปีร่วมกับการวิเคราะห์ค่าอายุโดยใช้สัดส่วนของคาร์บอนไอโซโทปบรรยากาศห้องนิทรรศการภายใน “พิพิธภัณฑ์สักทอง” และฉันได้พบกับทางเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ และได้รับคำแนะนำในการเดินชมส่วนต่างๆ ในส่วนแรกบริเวณประตูเข้ามาจะเป็นห้องโถงใหญ่ที่จัดแสดงนิทรรศการประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งแต่เดิมนั้นอาคารพิพิธภัณฑ์อันงดงามหลังนี้ มีชื่อว่า “บ้านแก้ว” ถูกสร้างขึ้นที่จังหวัดแพร่ โดยลักษณะเป็นทรงปั้นหยาประยุกต์สองชั้น สร้างขึ้นด้วยไม้สักทองทั้งหลัง ซึ่งทางเจ้าของบ้านได้เข้ามาทำงานอยู่ที่กรุงเทพ จึงไม่มีเวลาดูแลและมีความคิดที่จะขายบ้านหลังนี้ แต่ก็กลัวว่าไม้ที่มีค่าจะถูกแปรรูปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและหมดค่าไปในที่สุด จึงได้ขอร้องให้ทางโครงการ นาวิน ปาร์ค รับซื้อไว้เพราะเชื่อว่าจะยังคงรักษาสภาพบ้านแก้วไว้อย่างดี หลังจากนั้นบ้านหลังนี้จึงย้ายมาอยู่ที่ นาวิน ปาร์ค รังสิต จังหวัดปทุมธานีห้องโถงชั้นสองจัดแสดง “พระพุทธรูปโบราณ” ต่อมา ศ.ดร.อุกฤษ และ คุณมณฑินี มงคลนาวิน ได้ทำหารซื้อบ้านหลังดังกล่าว และได้มอบให้กับทางวัดเทวราชกุญชร สร้างเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้สักทอง เพื่อให้เป็นศูยน์เผยแพร่ความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนา และแหล่งการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์ อีกทั้งเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในมงคลวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในมงคลวโรกาสที่ทรงเจริญ พระชนมพรรษา 75 พรรษา ปี พ.ศ. 2550ห้องจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 19 พระองค์ ในส่วนที่ 2 จะเป็นห้องขนาดใหญ่ใกล้ๆ บันไดทางขึ้นชั้นสอง ที่ภายในจัดแสดงประวัติของ ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภา 5 สมัย ผู้ที่มอบบ้านหลังนี้ให้กับทางวัดเพื่อแหล่งศึกษาเรียนรู้ และภายในห้องนี้ยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระสยามเทวาธิราช” องค์จำลอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองไทยให้ได้สักการะบรรยากาศห้องจัดแสงหุ่นขี้ผึ้งพระมหาเถระรูปสำคัญ และแท่นประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เสร็จจากสักการะองค์พระสยามเทวาธิราชแล้ว ฉันก็เดินไปยังห้องจัดแสดงอีกห้องหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ภายในห้องนี้จัดแสดงประวัติของวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร ที่ได้กล่าวไว้ว่าเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่เดิมมีชื่อว่า “วัดสมอแครง” คำว่า "สมอแครง" นั้น น่าจะมาจากคำว่าถมอแครง เป็นภาษาเขมร แปลว่าหินแกร่ง แต่เรียกเพี้ยนกันต่อมาเป็นวัดสมอแครงหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพุฒาจารย์โต จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระองค์ทรงรับวัดสมอแครงนี้เป็นพระอารามหลวง และพระราชทานชื่อวัดให้ใหม่ว่า "วัดเทวราชกุญชร" โดยนำชื่อมาจากพระนามเดิมของกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ ต้นสกุล กุญชร ณ อยุธยา พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 ผู้ที่ทรงเป็นคนบูรณปฏิสังขรณ์วัดเทวราชกุญชรฯ อันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สักทองแห่งนี้ในปัจุบัน และที่ห้องก็ยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระคลังมหาสมบัติ” องค์จำลอง ให้ได้ชมความสวยงามและสักการะองค์เทพารักษ์ผู้ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดินแท่นประดิษฐาน "พระบรมสารีริกธาตุ" หลังจากชมนิทรรศการในชั้นล่างเสร็จเรียบร้อย ฉันก็เดินขึ้นสู่ชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ และได้พบกับห้องโถงขนาดใหญ่ที่จัดแสดงพระพุทธรูปโบราณสมัยอยุธยา และทางด้านซ้าย-ขวาของห้องโถงนี้มีห้องขนาดใหญ่อยู่สองห้อง ห้องแรกนั้นเป็นห้องจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้ง 19 พระองค์ พร้อมประวัติในด้านคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติของทุกๆ ท่าน ตั้งแต่สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรก จนถึง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ที่ได้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556“พระสยามเทวาธิราช” องค์จำลอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองไทย ในห้องถัดมาเป็นห้องจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งพระมหาเถระรูปสำคัญและเกจิอาจารย์ชื่อดังของไทยหลายๆ ท่าน อาทิ สมเด็จพุฒาจารย์โต , หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต , พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) พร้อมกับประวัติของแต่ละท่านให้ได้ชมและศึกษา และภายในห้องนี้ก็ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุให้ได้กราบสักการะขอพรกันอีกด้วยเทพารักษ์ผู้ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดิน ปิดท้ายการตะลอนเที่ยวในสัปดาห์นี้ ฉันก็อยากจะบอกว่าพิพิธภัณฑ์สักทอง เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจมาก เพราะนอกจากจะได้ชมความสวยงามของเรือนไม้สักทองหลังงามที่หาดูได้ยากในปัจจุบันแล้ว ก็ยังจะได้ชมพระพักตร์ของสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้ง 19 พระองค์ และหุ่นขี้ผึ้งพระมหาเถระรูปสำคัญ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุญตาจริงๆ หากใครมีโอกาสแล้วเยี่ยมชมด้วยประการทั้งปวง พิพิธภัณฑ์สักทอง ตั้งอยู่ภายในวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร ถนนศรีอยุธยา แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10.00-17.00 น. ค่าเข้าชม 30 บาท พระภิกษุ สามเณร แม่ชี ผู้สูงอายุ (อายุเกิน 60 ปี) เข้าชมฟรี การเดินทาง : รถโดยสารประจำทางสาย 9,524,64,3,30,33 หรือใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยา ลงท่าเทเวศร์ แล้วเดินไปยังไปยังวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000125837
|
|
|
12304
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: บวชมา ๘ ปี จบพุทธศาสตร์ มจร. สึกออกมาสมัครทหาร ปรับตัวไม่ได้ โดนครูฝึกซ้อมจนตาย
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2015, 09:04:09 am
|
ป.ป.ท.ฟัน "ร.ท.กับพวก" ซ้อม "พลทหารวิเชียร" วันที่ 10 พฤศจิกายน 2558 หลังจากมีการเผยแพร่ข้อเขียนในเฟซบุ๊คจนได้รับความสนใจอย่างล้นหลามในสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องของพลทหารวิเชียร เผือกสม โดยหลานสาวที่ชื่อ "เมย์" อดีตนักศึกษาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้บอกเล่าถึงชะตากรรมของน้าชาย ซึ่งสมัครเป็นทหารเกณฑ์ และถูกส่งไปฝึกทหารใหม่ที่จังหวัดนราธิวาส กระทั่งถูกครูฝึกทหารรุมทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 นั้น
จากการตรวจสอบของ ทีมข่าว NOW26 ทราบว่า หลังเกิดเหตุ ญาติของ พลทหารวิเชียร ได้แจ้งความร้องทุกข์ในคดีอาญา แต่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นทหารยศต่ำกว่าพันตรี จึงอยู่ในอำนาจการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ กระทรวงยุติธรรม หรือ ป.ป.ท.
การสอบสวนดำเนินมานานกว่า 4 ปี ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้ส่งหนังสือแจ้งการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีการเสียชีวิตของพลทหารวิเชียร ระบุว่า ร้อยโทหนึ่งนายกับพวกรวม 10 คน ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และประมวลกฎหมายอาญาทหาร พ.ศ.2473 มาตรา 30 วงเล็บ 4 หลังจากนี้จะมีการส่งสำนวนคดีไปยังพนักงานอัยการต่อไป
สำหรับ พลทหารวิเชียร เผือกสม เป็นพลทหารประจำกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือค่ายปิเหล็ง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งค่ายทหารแห่งนี้เคยถูกคนร้ายบุกปล้นอาวุธปืนจำนวน 413 กระบอก เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 นับเป็นเหตุการณ์ที่ถือกันว่าเป็นปฐมบทความรุนแรงรอบใหม่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
พลทหารวิเชียร มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสงขลา เพิ่งสึกจากการเป็นพระและเข้ารับการเกณฑ์ทหาร โดยก่อนหน้านั้นเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาการศึกษาพัฒนาชุมชน จากภาควิชาการพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ญาติของพลทหารวิเชียร ได้รับแจ้งเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2554 ว่า พลทหารวิเชียรเสียชีวิต โดยหลักฐานจากการชันสูตรศพของแพทย์จากโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ระบุว่าเสียชีวิตเนื่องจากไตวายเฉียบพลัน กล้ามเนื้อฉีกขาดรุนแรง ร่างกายถูกของแข็งกดทับ และมีร่องรอยถูกรุมซ้อมทำร้ายร่างกาย ต่อมามีการสอบสวนจนทราบว่า การซ้อมทรมานเกิดขึ้นระหว่างการควบคุมของครูฝึกในหน่วยฝึกทหารใหม่ของค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชครินทร์ โดยบรรดาครูฝึกอ้างว่าพลทหารวิเชียรถูกลงโทษเพราะหลบหนีการฝึก
ในส่วนของคดีแพ่ง มารดาของพลทหารวิเชียร ได้ยื่นฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางละเมิดต่อหน่วยงานต้นสังกัด ปรากฏว่าสามารถเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้ โดยศาลแพ่งสั่งให้กองทัพบกเป็นผู้ชดเชยเยียวยาค่าเสียหายแก่มารดาของพลทหารวิเชียร เป็นเงิน 7,049,213 บาท "ประวิตร" ชี้กรณี "พลทหารวิเชียร" เป็นไปตาม ก.ม. ด้าน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการเสียชีวิตของ พลทหารวิเชียร ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับเงินชดเชยไปแล้ว แต่ยังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีอาญาว่า ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่าทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมายทั้งหมด เพราะได้มีการร้องเรียนและแจ้งความแล้ว ก็ต้องว่ากันไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ร้องเรียนไปยังกองทัพแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร พลเอกประวิตร กล่าวว่า เดี๋ยวกองทัพคงดูเอง ทำอยู่แล้ว ทำทุกเรื่องอยู่แล้วที่มา http://www.now26.tv/view/60415ขอบคุณภาพจาก http://2.bp.blogspot.com/ , http://images.voicecdn.net/ เรื่องย่อ : พลทหารวิเชียร เผือกสม ได้เคยอุปสมบทเป็นพระภิกษุและศึกษาจนจบชั้นปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) คณะพุทธศาสตร์ สาขาวิชาศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ผลการเรียนเกียตินิยมอันดับ 1 และสำเร็จระดับปริญญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผลการเรียนดีเยี่ยม เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2554 พลทหารวิเชียรได้สมัครเข้ารับการเกณฑ์ทหารและเข้าฝึกที่หน่วยฝึกทหารใหม่ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส
ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2554 ครูฝึกทหารใหม่และเจ้าหน้าที่ทหารรวมกันประมาณ 10 นาย ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายพลทหารวิเชียร โดยทรมานและกระทำทารุณโหดร้าย โดยอ้างว่าพลทหารวิเชียร เผือกสม หลบหนีการฝึก ทำให้พลทหารวิเชียร ได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้เสียชีวิตในวันที่ 5 มิถุนายน 2554 โดยสาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากไตวายเฉียบพลันจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่มา http://www.prachatai.com/journal/2013/07/47723ขอบคุณภาพจาก https://fbcdn-photos-b-a.akamaihd.net/
|
|
|
12308
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 3 เดือน ลดถุงพลาสติกได้ 20 ล้านใบ
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 09:08:53 pm
|
3 เดือน ลดถุงพลาสติกได้ 20 ล้านใบ น.ส.ภาวิณี ปุณณกันต์ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า จากการที่ ทส.ร่วมกับภาคเอกชนผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ 16 หน่วยงาน ดำเนินโครงการพลังสร้างวินัยลดใช้ถุงพลาสติก ทุกวันที่ 15 และ 30 ของทุกเดือน เพื่อรณรงค์คนไทยทั่วประเทศลดการใช้ถุงพลาสติกและโฟม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา
ปรากฏว่า กลุ่มบริษัทเอกชนทั้ง 16 แห่ง ต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังพบว่าบริษัทห้างร้านต่างๆ ไม่ได้ดำเนินการรณรงค์เพียงเฉพาะวันที่ 15 และ 30 ของเดือนเท่านั้น แต่ยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกวัน ทำให้ผ่านมาเพียง 2 เดือน สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกได้รวมกันถึง 14,890,000 ใบ ขณะนี้ดำเนินการในเดือนที่ 3 คาดว่าน่าจะสามารถลดได้กว่า 20 ล้านใบ
ดังนั้น ฝากย้ำเตือนและขอความร่วมมือจากประชาชนในการเตรียมถุงผ้า กระเป๋า ปิ่นโต สำหรับใส่สินค้า อาหาร แทนการขอรับถุงพลาสติกในวันที่ 15 และ 30 ของทุกเดือน หรือทุกๆวัน เพราะการปฏิเสธการรับถุงพลาสติกจากห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ เพียงคนละ 1 ใบต่อวัน ทำให้ประเทศ ไทยลดขยะจากถุงพลาสติกได้ราว 70 ล้านใบต่อวัน.ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/539056http://www.dailynews.co.th/
|
|
|
12309
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สูงวัยเล่นออนไลน์ จะช่วยลับสมอง
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 08:53:15 pm
|
สูงวัยเล่นออนไลน์ จะช่วยลับสมอง มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ลอนดอน ของอังกฤษ ได้พบว่าการลับสมองด้วยการเล่นเกมออนไลน์ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีความจำและความคิดอ่านดีขึ้น
การเล่นดังกล่าว นอกจากจะทำให้มีสมาธิแน่วแน่แล้ว ยังช่วยให้ทำกิจวัตรประจำวันต่างๆตั้งแต่ทำครัว แม้แต่ไปตลาดคล่องแคล่วขึ้นทางมหาวิทยาลัยได้เปิดให้ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เข้ามาฝึกการเล่นเกมออนไลน์ครั้งละนาน 10 นาที หรือตามแต่ใจ หลังจากที่ให้ทำไปนาน 6 เดือน ก็ได้วัดผล ปรากฏว่าผู้ที่เล่นลับสมองด้วยการเล่นเกม ได้มีความรู้ความชำนาญสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน.ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/538965
|
|
|
12311
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โคมลอยเท่าตึก8ชั้น แข่งยี่เป็งเชียงแสน
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 08:48:37 pm
|
โคมลอยเท่าตึก8ชั้น แข่งยี่เป็งเชียงแสน เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 12 พ.ย. นายภาณุวัฒน์ ศรีสุข ผู้ใหญ่บ้านจอมกิตติ หมู่ 6 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย แกนนำการแข่งขันโคมลอยในงานประเพณียี่เป็งเมืองเชียงแสน เปิดเผยว่า นายพินิจ แก้วจิตคงทอง นายอำเภอเชียงแสน มอบหมายให้เป็นผู้จัดหาโคมลอยมาแข่งขันในงานยี่เป็งเมืองเชียงแสน ในปีนี้มีโคมลอยภาคเหนือจาก จ. เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย นำโคมลอยร่วมปล่อยแข่งขันวันที่ 23 พ.ย. ที่บริเวณลานหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน ผู้ชนะเลิศได้รับรางวัลเงินสด 10,000 บาท รองอันดับ 1 ได้ 7,000 บาท และรองอันดับที่ 2 ได้ 5,000 บาท
โคมลอยหรือโคมควันนั้นหมู่บ้านจอมกิตติได้จัดแข่งขันสืบทอดกันมานานเพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบสานการทำโคมลอย โดยปีนี้ทางชุมชนบ้านจอมกิตติได้จัดทำโคมลอยยักษ์ขนาดกว้าง 14 เมตร พอปล่อยควันเข้าไป โคมลอยจะมีความสูงเท่ากับตึก 8 ชั้น เมื่อปล่อยให้ลอยขึ้นไป จะมีเครื่องบินโฟมบินออกมาจากโคมยักษ์พร้อมกับพ่นควันสีสวยงามบนท้องฟ้านายภาณุวัฒน์เปิดเผยอีกว่า โคมลอยมักนำมาปล่อยกันในเทศกาลงานลอยกระทงทางภาคเหนือเรียกว่าประเพณียี่เป็ง ประเพณีลอยกระทงของชาวล้านนา ที่หมู่บ้านจอมกิตติ อ.เชียงแสน เป็นหมู่บ้านเดียวที่จัดให้มีการแข่งขันประกวดโคมลอย โคมลอยนอกจากจะใช้ลอยเพื่อเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังนิยมทำและเล่นกันมากในประเพณีเดือนยี่หรือ วันเดือนเพ็ญ และจะปล่อยในเวลากลางวัน ถือว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ด้วย ลักษณะของโคมลอยที่จะปล่อยขึ้นไปไม่มีรูปแบบที่แน่นอน แต่มักจะเลียนแบบธรรมชาติที่มองเห็น เช่น รูปลูกฟัก ลูกแตง รูปทรงกระบอก ทรงกลม ทรงเหลี่ยม กระต๊ิบข้าว และวันที่ 23 พ.ย.นี้ ทางหมู่บ้านจอมกิตติได้จัดโคมลอยไปร่วมแข่งขันในงานประเพณียี่เป็งเมืองเชียงแสน ที่ลานหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสนด้วย.ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/539108
|
|
|
12313
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลำปาง สั่งปิดสำนักสงฆ์ป่าแม่มอก รุกป่า-ทำค้างคาวหนีจากถ้ำ (มีคลิป)
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 08:40:17 pm
|
สั่งปิดสำนักสงฆ์ป่าแม่มอก รุกป่า-ทำค้างคาวหนีจากถ้ำ ป่าไม้-ฝ่ายปกครองรัฐ บุกตรวจ"สำนักกรรมฐานถ้ำสัตบรรน" สาขา 3 บ้านหัวน้ำ ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง ภายหลังพบรุก "ป่าสงวนแม่มอก" กระทบสิ่งแวดล้อม ค้างคาวในพื้นที่หายเพียบ จึงสั่งปิดสำนักสงฆ์ในทันที
กรณีชาวบ้านและผู้นำชุมชน ที่อาศัยอยู่ใกล้กับป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าแม่มอก" ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง เข้าร้องศูนย์ดำรงค์ธรรมให้ตรวจสอบการบุกรุกป่าสงวนผิดกฎหมาย ของสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง หลังจากสำนักสงฆ์ดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปจัดตั้งแผ้วถางพื้นที่ และการตั้งอยู่ของสำนักสงฆ์ดังกล่าวนั้น ส่งผลกระทบต่อ ค้างคาวขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ซึ่งยังไม่ทราบสายพันธ์ที่แน่ชัด ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำใกล้เคียงต้องยายหนี ลดจำนวนลงเป็นอย่างมาก ดังที่ปรากฏเป็นเหตุมาแล้วนั้น
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 13 พ.ย. นายสุเทพ พุทชา ผอ.ส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่าสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 ลำปาง และกำลังสายตรวจป่าไม้ ตลอดจนกำลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 150 คน บุกเข้าตรวจสอบสำนักสงฆ์ที่ชื่อว่า "สำนักกรรมฐานถ้ำสัตบรรน" สาขาที่ 3 ตั้งอยู่ที่เลขที่ 144 หมู่ที่ 1 บ้านหัวน้ำ ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง ตามคำร้องเรียนของชาวบ้าน โดยสถานที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบพระภิกษุเพียงรูปเดียว นอกจากนี้ยังพบ มรรคทายกและช่างก่อสร้างกลุ่มหนึ่ง กำลังดูแลงานก่อสร้างห้องน้ำขนาดใหญ่ ใกล้กับศาลาของสำนักสงฆ์ จึงได้สอบสวนทำประวัติเอาไว้ทั้งหมด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพื้นที่ของสำนักสงฆ์ดังกล่าวแล้ว พบว่าบุกรุกในพื้นที่ป่าจริง เนื่องจากที่ดินของสำนักสงฆ์กว่า 20 ไร่ ตั้งอยู่ในที่สปก. แต่เป็นของชาวบ้านเพียงบางส่วน และยังพบว่ามีการสร้างคล้าย ๆ บ้านพักอีก 7 หลังในพื้นที่ 12 ไร่เศษ พื้นที่ เขตประกาศปฎิรูปที่ดิน 11 ไร่เศษ อีกด้วย ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ลงบันทึกตรวจยึดต่อไป นอกจากนี้ยังได้ขอปิดสำนักสงฆ์ เพื่อไม่ให้มีการรุกร้ำเข้าไปในป่าสงวนแห่งชาติอีก โดยจะทำการปิดป้ายประกาศเขตหวงห้าม รวมทั้งให้ตำรวจเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนหาเจ้าของ ที่เริ่มโครงการดังกล่าว เพื่อแจ้งข้อหากระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติต่อไป.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากทางเจ้าหน้าที่รัฐได้สั่งปิดสำนักสงฆ์ไปแล้ว แต่ทางฝ่ายมรรคทายก และผู้สนับสนุนได้แสดงความไม่พอใจ อ้างว่า สำนักกรรมฐานถ้ำสัตบรรน ไม่เคยรุกร้ำป่าไม้ และเปิดอย่างถูกต้องหลายสาขา เตรียมเร่งหารือด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แล้วเช่นกัน.ชมคลิปได้ที่ https://youtu.be/6FA8q-voBvcขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/360679
|
|
|
12315
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทัวร์บุญอุ่นใจปี 3 ทอดกฐินทั่วไทย
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2015, 09:08:31 pm
|
ทัวร์บุญอุ่นใจปี 3 ทอดกฐินทั่วไทย วันที่ ๗ พ.ย.๒๕๕๘ พระมหาชุมพล ชุติปญฺโญ พร้อมด้วยคณะอุบาสก และอุบาสิกาวัดอนงคารามวรวิหาร กรุงเทพฯ ได้นำผ้ากฐินมาถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดท่าเดื่อ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เพื่อสมทบทุนสร้าง เจดีย์เดื่อศรีคันไชย ได้จตุปัจจัยทั้งหมด ๑๐๒,๐๖๑ บาท
ต่อจากนั้นได้นำคณะไปถวายผ้าป่าในวัดที่อยู่ตามชนบท 2 วัดด้วยกัน คือ วัดจอมแจ้ง ได้จตุปัจจัย เป็นจำนวน ๒๒,๐๖๑ บาท และวัดศิริบุญญาราม นำจตุปัจจัจไปสร้างห้องสุขา เป็นจำนวน ๒๐,๒๑๐ บาท
ต่อจากนั้นได้นำคณะไปกราบพิพิฑภัณฑ์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่หลุย จนฺทสโร พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และสุดท้ายได้ไปสักการะพระธาตุพนม จ.นครพนม หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.komchadluek.net/detail/20151113/216825.html
|
|
|
12317
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบแล้ว! หลวงตาหลงป่าที่ชะอำ มีอาการอิดโรย คนหาปลาพามาส่งสำนักสงฆ์
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2015, 08:58:05 pm
|
พบแล้ว! หลวงตาหลงป่าที่ชะอำ มีอาการอิดโรย คนหาปลาพามาส่งสำนักสงฆ์ เจอหลวงตาหลงป่าเขาพระรอบ อ.ชะอำ แล้ว อยู่ในสภาพอิดโรย หนุ่มหาปลาช่วยพากลับสำนักสงฆ์ บอก เข้าป่าหวังไปเขื่อนแต่ระยะทางไกลจึงเดินกลับ ประกอบกลับฟ้ามืดทำให้หลงทาง...
เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 58 นายสุทัย เพิ่มพูน ประธาน อปพร.เทศบาลตำบลนายาง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ได้รับแจ้งจากคนหาปลาว่า เจอตัว พระสุจิต โตมอญ อายุ 72 ปี พระภิกษุจำวัดที่สำนักสงฆ์เขาพระรอบ มานานประมาณ 4 ปี ที่บริเวณอ่างเก็บน้ำหุบกระพง ซึ่งอยู่ติดกับวัด หลังเมื่อช่วงเย็นวันที่ 10 พ.ย. 58 หายตัวเข้าไปในป่าเขาพระรอบ พร้อมทั้งโทรศัพท์บอกลูกชายว่าหลงป่าหาทางกลับไม่ได้ จากนั้่นเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิสว่างสรรเพชญธรรมสถานจังหวัดเพชรบุรี หน่วยกู้ภัยทางหลวงศิรินทร์ ร่วมค้นหาทางภาคพื้นดิน และมีการสนับสนุนจากเฮลิคอปเตอร์จากกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ ตำรวจตระเวรชายแดนค่ายนเรศวร และสุนัขจากกองกำกับการถวายอารักขาวังไกลกังวล เข้าร่วมค้นหา กระทั่งมืดจึงได้ยุติการค้นหานั้น ในวันนี้ นายสุทัย จึงได้ให้ผู้ที่โทรศัพท์มาแจ้งพามาส่งที่สำนักสงฆ์เขาพระรอบ
เบื้องต้น พระสุจิต มีอาการอิดโรย ก่อนจะเล่าว่า วันเกิดเหตุเดินเข้าป่าเพื่อจะไปที่เขื่อน แต่เดินไปแล้วเห็นว่าระยะทางไกลเกินไป จึงตัดสินใจกลับ แต่เนื่องจากช่วงเวลานั้นเป็นเวลาค่ำแล้ว จึงเดินทางหาทางออกไม่ถูก กระทั่งเดินมาเรื่อย ๆ จนเจอคนหาปลาดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้จัดหาอาหารให้ฉัน และจะทำการสอบสวนต่อไป.
ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/539050
|
|
|
12318
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจ้าอาวาสหนองบัว เข้าพบ ตร. ปัดทุกข้อหากระทำชำเราด.ช.วัย 13
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2015, 08:55:58 pm
|
เจ้าอาวาสหนองบัว เข้าพบ ตร. ปัดทุกข้อหากระทำชำเราด.ช.วัย 13 เจ้าอาวาสหนองบัวลำภู เข้าพบตำรวจรับทราบข้อกล่าวหากระทำชำเรา ก่อนปฏิเสธทุกข้อหา หลังมีประชาชนร้องศูนย์ดำรงธรรม อ้างข่มขืน ด.ช.อายุ 13 ปี จนติดโรค ด้านเจ้าคณะอำเภอ เผย ถอดตำแหน่งแล้ว อยู่ระหว่างตั้งกรรมการสอบ
เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 58 เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งใน จ.หนองบัวลำภู ผู้ถูกกล่าวหา หลังมีประชาชนร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมหนองบัวลำภู ว่า บุตรชายอายุ 13 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศจนติดโรค โดยเจ้าอาวาสรายนี้ ได้มามอบตัวต่อ พ.ต.ท.นิกร หอมอ่อน พงส.ผนพ.สภ.เมืองหนองบัวลำภู เพื่อรับทราบข้อกล่าวหากระทำชำเราและอนาจารเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี และข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเจ้าอาวาสให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นพิมพ์มือและปล่อยตัวชั่วคราว
ทั้งนี้ ขณะที่ผู้สื่อข่าวไปทำข่าวมีหญิงสาวคนหนึ่งคอยกันมิให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ ก่อนจะพาตัวเจ้าอาวาสกลับวัด ต่อมา ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง พระครูศิริคุณาธาร เจ้าคณะอำเภอเมืองหนองบัวลำภู เจ้าอาวาสวัดศรีคูณเมือง ถึงกรณีข้อกล่าวหาดังกล่าวว่าทางคณะสงฆ์ได้ดำเนินการอย่างไร ซึ่งเจ้าคณะอำเภอชี้แจงว่า เรื่องนี้ได้รับเรื่องร้องเรียนมาแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจากสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดหนองบัวลำภู และเบื้องต้น คงจะต้องถอดตำแหน่งต่าง ๆ ของเจ้าอาวาสรูปดังกล่าว และรอผลการสอบสวนข้อเท็จจริงและผลทางคดีทางอาญา เพื่อจะได้ดำเนินการทางวินัยสงฆ์ต่อไป.ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/539040
|
|
|
|