ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมเวลา เรามาปฏิบัติธรรม ทำไมชีวิตถึงอาภัพลง ครับ  (อ่าน 13209 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

vijitchai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 100
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นคำถามที่ผมถามตัวเอง มาหลายปีแล้ว เมื่อก่อนผมทำงาน อยู่ที่บริษัท ไม่ได้สนใจธรรมะ หรือปฏิบัติภาวนาใด ๆ แต่ครั้นพอมีศรัทธาได้ ภาวนากรรมฐาน เรียนหลักธรรมอบรมจิตใจ ทำให้ใจไม่เป็นทุกข์ลดลงไปได้เยอะมาก แต่ขณะเดียวกัน ชีวิตผมทางด้านครอบครัว กับแย่ลง เมื่อเมียสุดที่รักจากไป แต่งงานใหม่ เจ้านายประเมินผลงานผมต่ำลงเหตุผลที่บอกผมก็คือ คุณทำงานดีแต่ขาดมนุษย์สัมพันธ์ เนื่องด้วยตั้งแต่ผมเริ่มนั่งกรรมฐาน ผมก็ขาดการสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้ทั้งกับเจ้านาย และลูกน้อง

   ชีวิตผมอยู่อย่างสันโดษ ขึ้น แต่ เงินเดือนกับขึ้นน้อย จนเกือบจะไม่ขึ้น
   ไม่มีเพื่อนคนใดในบริษัท คบค้าสมาคมกับผม เพราะว่าผม บ้า หรือ เพี้ยน และหลุดโลก
   เจ้านายไม่ส่งเสริมเพราะว่า ผมเข้ากับคนอื่น ๆ ไม่ได้
  พี่น้องญาติมิตร มาเบียดเบียนบ่อยขึ้น เพราะทราบว่าผมปฏิบัติธรรม ก็จะมายืมเงิน ขอใช้ ไม่คืนกันถี่ขึ้น
  ถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำจากเพื่อนร่วมงาน บางครั้งก็มีจดหมาย ด่า ....บนโต๊ะทำงาน เพราะไม่ไปร่วมปาร์ตี้
   ในขณะเดียวกัน ผมเองก็ประสบอุบัติเหตุบ่อยขึ้น ๆ ทั้งที่มีสติ ไม่ดื่มเหล้าเมามายแบบเมื่อก่อน

 ที่ขอเรียนถาม คือ ทำไมคนที่มาภาวนากรรมฐาน น่าจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นกับชีวิต แต่กลายเป็นว่า ชีวิตเราแย่ลงไปจากเดิมครับ

  :'( :smiley_confused1: :49: :c017:

 ขอบคุณทุกท่านที่อ่าน และ ช่วยตอบให้ผมครับ

 
 
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อม ครูบาอาจารย์ ผู้สอนกรรมฐาน ทุก ๆ รูป ครับ ข้าพเจ้าขอกล่าวถึง พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ตลอดชีวิต พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
การที่เรามาปฏิบัติ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น นอกจากเหตุผลเดียว คือ การกล่าวลาพุทธภูมิในชาตินี้ เพราะ จะไม่มีชาติหน้าอีกแล้ว ทุกอย่างจึงจะถาถมเข้ามา เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เขาก็จะไม่สามารที่จะส่งผลได้ จึงต้องรีบข้ามมาส่งผลเลย

อาจจะเป็นผลกรรมเก่าของคุณยังส่งผลต่อเนื่องกันอยู่ กำลังบุญของคุณอาจจะยังไม่มีมากพอที่จะต้านทาน ก็ต้องทำกำลังบุญให้มีเพิ่มมากขึ้น ให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก แนะนำให้สวดมนต์บทอุณหิสสะวิชะยะคาถา (ในหนังสือมนต์พิธี หน้า ๓๙ ) และสวดคาถา พญาไก่เถื่อน แล้วอธิฐานจิต ตามต้องการ
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ลองทบทวนตนเองในแบบที่ผมทำอยู่ดังนี้นะครับ แนวทางของผมมันไม่ใช่ว่าจะดีหรือถูกต้อง ผมยังด้อยความรู้อาจจะไม่สามารถไขข้อข้องใจของคุณได้ แต่อยากลองให้คุณไตร่ตรองดูดังนี้ครับ

1. พระพุทธศาสนา หรือ พระธรรม ไม่ได้ทำให้ชีวิตคุณแย่ลงเลย กลับทำให้มองเห็นสัจธรรมมากขึ้น เช่นความไม่เที่ยง ไม่คงอยู่ ความเสื่อมสูญสลาย ความพรัดพราก ความไม่มีตัวตนอันที่เราจะสามารถบังคับให้เป็นดุ่งใจได้ ความตั้งคงอยู่ และ ดับไป หากคุณไม่ศึกษาธรรม คุณจะเห็นว่า อ้อนี่คือสัจธรรมที่เป็นจริงไหม หรือ จะมองย้อนว่านี่มันของเราทำไมมันไม่อยู่กับเราตลอดไป แล้วร่ำไรรำพัน คับแค้นกายใจโหยหาตัวตนมันอยู่เช่นนั้น

2. ผมไม่อยากให้คุณไปตรึกนึกเรื่องอะไรที่ไม่สามารถรับรู้ได้ เพราะคุณจะเอามันมาตั้งเป้นอารมณ์เพื่อยกตนหนีความผิดที่ทำ ดังนั้นให้ตรึกนึกย้อนดูเช่นนี้ๆว่า
      2.1 เรื่องครอบครัว คุณมัวแต่หมกมุ่นลุ่มหลงจนลืมดูแลครอบครัวหรือไม่ เพราะคุณคิดว่าแต่งงานกันแล้วอยู่ด้วยกันแล้วยังไงก็ต้องรับเราให้ได้ไม่ว่าเราจะทำอะไร แค่เราไม่นอกใจเขาก็พอ หากคุณคิดเช่นนี้แสดงว่า คุณลุ่มหลงไปจนลืมหน้าที่ของสามีแล้ว แม้แต่พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ท่านแม้อยู่ในเพศครองเรือน ท่านก็ยังทำหน้าที่ของท่านที่เป็น สามี หรือ ภรรยา หรือ พ่อ หรือ แม่ โดยไม่ติดขัดเคืองใจใดๆ ไม่ถือโทษ ไม่ถือตน นี่คือเรียกว่าคุณลืมทำหน้าที่ของสามีที่ดีที่ควรดูแลภรรยาและบุตรหรือผู้ที่อยู่ในความอุปการะของเรา พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามให้คนปฏิบัติธรรมนั้นทำหน้าที่ของตนในครอบครัว ท่านกลับให้เรานั้นมีความเมตตา กรุณา มีทาน มีศีล เพื่อครอบครัว แม้ศีล๕ ที่เป็นเพศครองเรือนก็เพื่อความไม่กระทำผิดต่อครอบครัว ไม่เช่นนั้นเมื่อท่านวิสาขาท่านบรรลุโสดาบันทำไมยังครองเรือนปฏิบัติหน้าที่ของเมียได้ ทำไมพระเจ้าพิมพิสารบรรลุโสดาบันแล้วยังมีเมียมีลูกและครองราชเป็นกษัตริย์ได้ ดังนั้นการปฏิบัติธรรมต้องควบคู่กับการปฏิบัติในหน้าที่ครอบครัวและกิจการงานของตนให้ดี เมื่อภรรยาคุณจากไปคุณมองเห็นสิ่งใดในธรรมที่ตถาคตตรัสสอนบ้างครับ
 ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข,
ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์ ;  ซึ่งข้อนี้พระพุทธเจ้าตรัสย้ำเสมอก่อนปรินิพพานว่า คนเรามีความพรัดพรากเป็นที่สุด ไม่เพราะสภาพแวดล้อม ก็ด้วยกาลเวลา และ ความตาย
      2.2 เรื่องเงินเดือน มันอยู่ที่ความพอใจยินดีของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อเรา ไม่ใช่เพราะธรรมะทำให้คุณเป็น ธรรมะต่างหากที่สอนให้คุณมีความเพียรขยันอดทน ปล่อนวาง ไม่ถือตน พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรามีปกติกราบไหว้ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ถือตน ไม่คดโกง มีความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้าน มีพระธรรมและพระสูตรเยอะแยะที่พระคถาคตตรัสสอนไว้ หากธรรมะทำให้ชีวิตด้านการเงินแย่ลง ถ้างั้นผู้ใหญ่บริษัทใหญ่ๆโตๆ หรือแม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน ในหลวงของคนไทยทุกคน ท่านยังปฏิบัติธรรม และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การที่เงินเดือนไม่ขึ้นนี้คุณเห็นอะไรในธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนบ้างครับ
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง,
มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ ; ซึ่งข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า ปารถนามาก ก็ทุกข์มาก ปารถนาน้อยก็ทุกน้อย ไม่หวัง ไม่ปารถนาใคร่ได้เลย ก็ไม่ทุกข์เลย มันไม่มีสิ่งใดเป็นดั่งที่ใจเราหวังปารถนาไปทั้งหมด เพราะมันไม่มีตัวตนอันเราจะไปบังคับให้เป็นดั่งใจมันได้
      2.3 ไม่มีเพื่อนคบค้าสมาคมด้วย หรือ เจ้านายไม่ส่งเสริม นี่เรียกว่าคุณนั้นเวลาทำอะไรไม่ได้ดูสภาพแวดล้อมรอบๆตัว มัวแต่หมกมุ่นในสิ่งที่ตนเองชอบพอใจ จนลืมคบค้าสมาคมกับคนรอบข้าง การพูดคุยคบค้าสมาคมไม่จำเป้นว่าต้องกินเหล้า แม้ไปเที่ยวกับเขาเราก็บอกว่าช่วงนี้หยุดกินเหล้าแต่ไปเที่ยวนั่งเล่นด้วยกันได้ หรือ ชวนกันไปทานข้าวไปนั่นไปนี่ได้ เราสามารถพูดคุยสนทนาได้กับทั้งหัวหน้า เพื่อน ลูกน้องได้ เพศครองเรือนพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามให้มีเพื่อน ท่านกลับตรัสบอกคบคนให้ดูรู้ว่าใครจะสามารถให้แง่คิดที่ดีงาม ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ บางคนนั้นไม่ฉลาดแต่จริงใจใช้แรงช่วยเหลือด้วยใจ บางคนฉลาดให้แง่คิด แต่ไม่ใช่ว่าจะช่วยเราทุกเรื่อง ดังนั้นคบคนเราต้องเปิดใจตนเองสามารถจริงใจได้ทุกคนแต่ควรรู้ว่าแต่ละคนมีจุดดีหรือจุดเด่นอย่างไรต่างกันยังไงมีนิสัยอย่างไร
      2.4 ญาติพี่น้องมาเบียดเบียนบ่อย อะนี่พระพุทธเจ้าสอนให้เรามี
             เมตตา ความปารถนาดีอยากให้ผู้อื่นเป็นสุข
             กรุณา ความสงสาร(สงสารในทางธรรมไม่ใช่เราไม่รู้สึกคับแค้นเศร้าโศรกเสียใจกับเขา สงสารในธรรม คือ จิตระลึกรู้ว่าบุคคลนี้ หรือบุคคลเช่นนี้ๆ ควรแก่การที่เราจะเอื้ออนุเคราะห์ แบ่งปันสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์อันดีงามที่เป็นกุศลจิตและกุศลกรรมแก่เขา)
             ทาน คือ การให้  ให้เพราะปารถนาดีแก่เขา อยากให้เขาเป็นสุข ให้แล้วไม่มานั่งเสียใจเสียดายในภายหลัง ให้แล้วไม่คิดอยากได้คืน
             มุทิตา คือ ความยินดีเมื่อเขาได้รับสุข พ้นจากทุกข์กายและใจ ด้วยความไม่ติดข้องใจใดๆของเรา
             อุเบกขา คือ การวางเฉย วางใจไว้กลางๆไม่หยิบจับเอาความพอใจยินดี ไม่พอใจยินดีมาตั้งเป้นอารมณ์จนเกิดทุกข์
              การช่วยเหลือคน ไม่ใช่ว่าเราจะให้ไปทั้งหมดทุกอย่างแล้วจะดี หากช่วยแล้วตนเองเกิดความขุ่นเคือง ขัดข้อง มัวหมองใจ ก็แสดงว่าที่เราช่วยเขาไปนั้นด้วยความอยากความพอใจที่จะทำ ที่จะได้  ไม่ใช่ทำด้วยกุศลจิต ดังนั้นการช่วยเหลือคนให้ทำเท่าที่ทำได้โดยที่ไม่เบียดเบียนตัวเรามาก ไม่ใช่ว่าเขามาขอความช่วยเหลือแล้วกลัวตนเองลำบากก็เลยวางเฉยไม่ช่วยเหลือ อย่างนี้ก็ทำไปด้วยกิเลสตัณหาของตน นั่นคือความเห้นแก่ตัวนั่นเอง
              ทีนี้คุณก็ควรจะแยกแยะการช่วยเหลือได้ดีมากขึ้นนะครับ ให้ ให้ด้วยใจ ให้ด้วยความรู้ตนว่าเราสามารถทำได้แค่ไหน ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย
      2.5 ถูกกลั่นแกล้ง สิ่งที่คุณอ่าน คุณเห้น คุณเอามาปรุงแต่งจนเกิดความขุ่นมัวจิต นี่โทสะเกิด อกุศลเกิดแก่จิตแล้ว ที่โกรธก็เพราะรู้ความหมายในคำบัญญัตินั้นๆ แล้วเราเอามาปรุงแต่งว่าอย่างนี้มันด่าว่ากันนี่ ก็เกิดความไม่พอใจยินดี ทำไมไม่คิดว่าบางครั้ง เขาอาจจะมาล้อเล่นขำๆ และ อยากให้เราพูดคุยคบค้าด้วยตามปกติ นี่เห้นไหมแต่ตัวหนังสือคุณก็คิดเสพย์เสวยอารมณ์เป็นโทมนัสซะเต็มที่ หากคุณปฏิบัติธรรมจริงก็ควรละความขุ่นมัวจิตนั้น แล้วเจริญกุศลมองว่าเป้นเรื่องที่สนุกสนาน แล้วเปิดตนออกจากโลกส่วนตัวแข้าไปพบปะพูดคุยกับคนอื่นปกติตามหน้าที่ของเพื่อต่อไป
.      2.6 ประสบอุบัติเหตุบ่อยขึ้น เคยมองดูไหมครับว่าตนเองเผลอเลอตรงไหน ไม่ใช่มัวแต่เจริญสติเสพย์สมาธิจนลืมปัจจุบันขณะที่กำลังทำกิจธุระใดๆอยู่ นี่หากเป้นเช่นนี้อุบัติเหตุเกิดแน่ เช่น ขับรถอยู่ระลึกในสติ เสพย์สมาธิ มันแต่ระลึกไปในสติปัฏฐานบ้าง ไปจดจ้องเอากุศลจิต อกุศลจิตบ้าง ไปจดจ้องในสังขารปรุงแต่งบ้าง เมื่อตามองก็ย้อนไปว่าตาเห็นรูป เห็นวัณณะรูป จดจ้องพิจารณาตรึกนึกล่องลอยไป นี่ไม่ใช่สติครับ เป็นโมหะ ล่องลอยเป็นจิตส่งออกนอกไปแล้ว ดังนั้นกระทำกิจการใดก็ควรรู้ปัจจุบันขณะ แล้วมีสมาธิที่จะทำกิจการธุระนั้นให้สำเร็จไปได้ด้วยดี  สติ เป็นอย่างไร สติ คือ ความตามระลึก ความหวนระลึก สติ คือ กิริยาที่ระลึก ความทรงจำ ความไม่เลื่อนลอย ความไม่ลืม


- หากคุณมองย้อนดูที่ผมตอบกระทู้ จะเห็นว่า ทุกอย่างพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้หมดแล้ว เป็นจริงอย่างนั้น เหลือแค่ตัวเรานั้นปฏิบัติเพราะหลง หรือ ปฏิบัติด้วยสติ คุณไม่ต้องไปโทษธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ให้มองย้อนตนเองก่อนว่าทำผิดพลาดตรงไหน ส่วนใด อย่างไร ก่อนกล่าวโทษสิ่งอื่นๆ พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณาตนก่อนส่งจิตออกนอกไปกล่าวโทษคนอื่น
- คุณลองมองย้อนดูสิครับว่าก่อนที่คุณมารู้จักธรรมนั้น ความอยากเยอะไหม ความโกรธเกลียดเยอะไหม เมื่อกินเหล้าเสียเงินเยอะไหม ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไหม มีสติไหม มีสมาธิควรแก่งานไหม มีความปรุงแต่งในกิเลสเยอะไหม เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วมันสงบขึ้นไหม ทำให้คุณทุกข์น้อยลงไหม แล้วมามองว่าปฏิบัติธรรมแล้วมันดีต่อคุณไหม
- หากปฏิบัติเพราะหวังอยากได้ลาภสักการะ ขอแนะนับไปนับถือศาสนาอื่น เพราะศาสนาพุทธคถาคตตรัสไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นไปเพื่อลาภ สักการะ ฤทธิ์ เดช แต่เป้นไปเพื่อความหลุดพ้น พ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ที่คุณพบเจออยู่ยังไงล่ะครับ

- เมื่อปฏิบัติตนดีแล้ว ไม่ผิดพลาดบกพร่องแล้ว ค่อยไปโทษในสิ่งอื่น อย่างอื่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 20, 2012, 02:35:36 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

vijitchai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 100
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขอบคุณมากครับ สำหรับ คุณ MR.งังจัง  และ คุณ Admax ที่มาช่วยตอบ และ คุยเป็นเพื่อนกัน
ผมขออ่านก่อน นะครับ ก่อนที่จะมาชี้แจง เรื่องว่าทำไมเป็นอย่างนั้น หรือผมคิดไปเอง ว่าเป็นอย่างนั้น

 :49: :c017:
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อม ครูบาอาจารย์ ผู้สอนกรรมฐาน ทุก ๆ รูป ครับ ข้าพเจ้าขอกล่าวถึง พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ตลอดชีวิต พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

vijitchai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 100
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สิ่งสำคัญการเจริญ สติ เมื่อมีสติ ก็ต้อง มีความละอายแก่ใจ และเกรงกลัวต่อบาปกันบ้างครับ

 1.การที่ภรรยาผมนั้นต้องหย่าขาดจากผม เนื่องด้วยเหตุผล เพราะผมดีเกินไปครับ คือคำตอบของเธอเมื่อผมไม่พาเธอไปสังสรรค์ กินเหล้า คาราโอเกะ กันแบบเมื่อก่อน ตัวตนจริงก็คือ เธอไปไม่ได้กับเราซึ่งขาดรสชาด จืดชืด ก็ยอมรับนะครับ เพราะผมรู้สึกรังเกียจ สตรี ที่ มักมาก ขึ้นมากระทันหัน จะมากจะน้อยเมื่อเธอหันไปมีคนอื่น ทั้ง ๆที่มีเราเป็นตัวตน ไปปีนต้นงิ้ว สิ่งที่จะช่วยเธอจากบาปกรรมก็คือ การสลัดจากความเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน

 2.เรื่องเงินเดือน ผมก็พอใจนะ เพราะว่าเงินเดือนเลี้ยงชีวิตเราได้ อยู่ ถึงจะไม่ขึ้น ก็ดีกว่าตกงานเป็นภาระผู้อื่น แต่ที่ผมเล่าให้ฟัง เพราะว่าการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชา มาจากการขาดการสังสรรค์ ทำให้เพื่อนร่วมงานไม่ร่วมมือด้วย ซึ่งฟังก์ชั่นการทำงานจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องน้ำใจ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะทำงานตามฟังก์ชั่นที่ได้รับการจ้างงาน เมื่อเขาจ้างงานให้มาทำงานก็ต้องทำงานที่ได้รับจ้าง ไม่ใช่อู้งาน เอาเปรียบคนอื่น แอบหลับ แอบนอน แอบขโมยของ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งความเห็นผมตรงตัวที่ว่า จ้างแล้วทำงาน ไม่จ้างคือไม่ทำงาน แต่ผู้ที่ทำงานกับกลายเป็นว่า เมื่อประเมินผลงานกับไปวัดกันตรงที่ใคร พาเจ้านายไปเที่ยวกินได้มากกว่า อันนี้เยี่ยม คิดอัตราง่าย ๆ คือไปเที่ยว หยุดงาน ขาดงาน ทำงานไม่ไหว โอนงานให้คนอื่นทำ ถึงแม้เราจะไม่ได้รับความยุติธรรมเรื่องนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่พอใจ นะครับ เพราะเข้าใจดีว่า ช่องว่างของคนดี ไม่มีสำหรับคนที่ไม่ดี

 คือเมื่อเราปฏิบัติธรรม แล้ว การ ประจบ ( เลีย ) ไม่มีตามนิสัยเลยครับ

   :49:

 
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อม ครูบาอาจารย์ ผู้สอนกรรมฐาน ทุก ๆ รูป ครับ ข้าพเจ้าขอกล่าวถึง พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ตลอดชีวิต พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมตรัสสอนนางวิสาขาตอนที่ท่านมาเข้าเฝ้าสนทนาด้วยความคับแต้นใจ เพราะมีทหารมาหลอกเก็บภาษีแพงจนเกินจริงไปมากกับคนงานที่เรือนตอนที่ท่านนั้นไม่อยู่ว่า

อย่าเอาความสำเร็จของตนเอง(รวมไปถึงความสุขหรือความทุกข์ของตน)ไปผูกขึ้นไว้อยู่กับผู้อื่น

- หากคุณเข้าใจความหมายของประโยคธรรมนี้แล้ว ชีวิตคุณจะดีขึ้นแน่นอน แล้วจะทุกข์เบาบางลงไปมาก ความขุ่นมัว อัดอั้น คับแค้นใจจะน้อยลง
- คุณรู้ไหมชีวิตผมก็ประสบผมเจอเรื่องร้ายๆมามากแต่ผมไม่กล่าวโทษพระพุทธศาสนาให้เป็นแพะรับบาปกรรมที่ตนได้รับได้พบเจอ แต่ผมตรึกนึกว่า "สิ่งทั้งหลายที่พบเจอนั้นเป็นกำไรชีวิตให้ผมได้แจ้งโลกตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 27, 2012, 03:56:13 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

saichol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 247
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เชื่อว่า คุณ vijitchai นั้นคงจะเข้าใจ แต่กำลังสื่อ เรื่องการภาวนาธรรม ที่มีความลึกซึ้ง ตรงที่ว่า ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นมีความสุขภายใน แต่ ภายนอกนั้นไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ซึ่งอาจจะมีคนเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย คนที่รัก คนที่ชัง ก็ขึ้นอยู่ที่สังคม แต่ชีวิตผู้ปฏิบัติธรรม นั้นจะสวนทางกับโลก อยู่เสมอ
 
   ดังนั้น การวางใจ ปล่อยวาง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการปฏิบัติธรรม

  สาธุ กับการมาเล่าประสบการณ์ การภาวนาของแต่ละท่านคะ

   :25: :58: :bedtime2:
บันทึกการเข้า

vijitchai

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 100
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อันที่จริง ถามว่าผมเดือดร้อนใจหรือไม่ ก็ตอบว่า ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอกครับ แต่ผมกับชอบชีวิตสันโดษ แบบมีจุดหมายปลายทาง ครับ เพียงแต่ที่นำมาเล่า ก็เพื่อเสริมกำลังใจกับท่านที่มักจะโทษเรื่องการภาวนาเป็น สิ่งที่ทำให้เราแย่ จริงอยู่อาจจะดูแย่ในทางด้านฐานะ สังคม กันบ้าง ก็เพราะการปฏิบัติธรรม เป็นการปฏิบัติออกจากโลก ดังนั้น การปฏิบัติธรรม จึงเป็นเรื่องเหนือโลก เอาแบบโลกไม่ได้นะครับ ขอบคุณทุกท่าน ที่ได้คุยกันสนทนาธรรม เป็นกำลังใจกับผู้ปฏิบัติธรรม

   อย่างน้อย เวลาเราปฏิบัติธรรม จะได้มีกำลังใจการภาวนา เพื่อไม่ต้องไปอิงกับโลกกันมากนะครับ ถ้าตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะข้ามจากโอฆะ สังสารวัฏแล้ว อย่าเหลียวกับมาดูคนที่กำลังจมน้ำ ป๋อมแป๋ม กันเลยครับ รีบว่าย รีบคว้า ธรรมที่ อยู่กันตัว แล้วตั้งใจปฏิบัติให้ถึงที่สุด จะเป็นการดีครับ

  อนุโมทนา และเป็นกำลังใจกับทุกท่านนะครับ

  อันที่จริงหัวข้อนี้ ต้องการนำมาสะกิดใจ หลาย ๆ ท่านที่คิดว่าการปฏิบัติธรรม ต้องอยู่ในโลก นะครับ ดังนั้นหลายๆ ท่าน จึงพยายามประยุกต์การภาวนาให้เข้ากับชีวิตประจำวัน และทำตัวให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน โดยมีโลกธรรม เป็นที่ตั้งนะครับ

   :s_hi: :49: :67:
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อม ครูบาอาจารย์ ผู้สอนกรรมฐาน ทุก ๆ รูป ครับ ข้าพเจ้าขอกล่าวถึง พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ตลอดชีวิต พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนาสาธุกลับท่าน vijitchai ครับ
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
หัวข้อกระทู้ของคุณวิจิตรชัยนี้ล่วงมากว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ยังคงเป็นสัจจะแท้แก่ผู้ภาวนาอยู่จริงที่ว่าผู้ภาวนาคือผู้รู้ทุกข์อยู่กับความเป็นจริงอย่างเตรียมใจวาง ผมขอยืนยันตามคำกล่าวของคุณวิจิตรชัย การภาวนาไม่ใช่หวังอะไรดีดีมีแก่ชีวิตหรือผลิกเปลี่ยนชะตา แต่การภาวนาคือการรู้ในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้และทนยอมรับกับมันยาก ดังนั้นจึงหันมาภาวนาเพื่อเตรียมใจยอมรับผละวางหาหนทางที่พระพุทธองค์แนะแนวทางเดินไว้ว่าพ้นได้จริง โลกมันมีความจริงที่อำพรางกลบเกลื่อนไว้ด้วยความลุ่มหลงเพลิดเพลินเมินที่ยลมองกันอย่างถ่องแท้ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐกว่าเดรัจฉาน แต่หากขาดการฝึกฝนบ่มเพาะสันดานก็เป็นได้เพียงคนหรือเดรัจฉาน ผู้รู้ภาวนาคือผู้เจริญใครเมินหยามก็เขลาขลาดอนาถ ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2013, 10:56:32 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา