ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย )  (อ่าน 10087 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

wayu

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 162
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย )
« เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:14:08 am »
0
                                       ชีวิตต้องสู้

เนื้อเรื่องย่อ
                 ชีวิตต้องสู้เป็นเรื่องราวชีวิตของครอบครัวๆหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูกอีกสองคน     ซึ่งพ่อมีชื่อว่าเชษฐ์     แม่มีชื่อว่าไพลิน     ส่วนลูกคนโตชื่อเมตต์
และคนเล็กชื่อสายชล     ทั้งหมดอาศัยอยู่ ณ ไร่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดและในตอนนี้
ข้าวโพดกำลังออกฝักมากมาย   แต่บริเวณไร่รอบๆไร่ของครอบครัวนี้ได้ถูกผู้มีอิทธิพล
กว้านซื้อที่ดินไปจนหมดแล้วยังเหลือก็แต่ไร่ของเชษฐ์นี่แหละ    ทางเสี่ยตงผู้มีอิทธิพลก็
ได้ส่งลูกน้องมาขู่หลายต่อหลายครั้งแต่เชษฐ์ก็ไม่ยอมตกลงเนื่องจากเป็นไร่ที่เขาได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างมา     แต่ต่อมาพอหนักๆเข้าเขาก็ห่วงความปลอดภัยของภรรยาและลูกๆจึงตัดสินใจขายให้เสี่ยตง       วันนัดรับเงินเสี่ยตงเล่นไม่ซื่อโดยการส่งลูกน้องมาดักปล้นเงินของเชษฐ์       ทำให้เชษฐ์และครอบครัวต้องอพยพหนีตายเข้าไปในป่าอย่างไม่คิดชีวิต      หนีเข้าป่ามาหลายวันจนได้มาพบกับพรานแสงพรานผู้ใจดี   เชษฐ์ได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นให้พรานแสงฟัง     พรานแสงก็เกิดความเห็นอกเห็นใจ
จึงได้แนะนำให้เชษฐ์และครอบครัวไปอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง    ชื่อหมู่บ้านไพศาลี  แต่ก็ต้องเดินทางอยู่หลายวันกว่าจะมาถึง        ณ    ที่หมู่บ้านแห่งนี้เองที่เขาใฝ่ฝันว่าจะมา
ก่อร่างสร้างตัวแทนที่เดิมที่เคยอยู่    โดยเขาให้สัญญากับไพลินภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของ
เขาว่าจะต้องเลี้ยงดูภรรยาและลูกๆของเขาให้อยู่ดีมีสุข    เพราะตลอดทางที่หนีตายกันมานั้นไพลินไม่เคยปริปากบ่นหรือทำอะไรให้เขาไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย    แถมยังคอยให้กำลังใจเชษฐ์ตลอดเวลา     จึงทำให้เชษฐ์รู้สึกรักใคร่และห่วงใยไพลินมาก และรู้สึกว่าเขาเป็นหนี้เธอมาก   จึงอยากที่จะตอบแทนเธอด้วยการทำให้เธอมีความสุขมากๆ
                         แต่เดิมที่เดียวนั้นไพลินมิใช่ชาวไร่แต่เป็นถึงลูกนายทหารซึ่งเชษฐ์ก็เป็นทหารรับใช้ในบ้านของพ่อของไพลินต่อมาทั้งคู่เกิดรักใคร่ชอบพอกันจึงได้พากันหนีมาเพราะรู้ว่าถ้าพ่อแม่ของไพลินรู้ก็คงไม่ได้สมรักกันแน่นอน      แต่ตลอดเวลาเชษฐ์ก็ดูแลให้ความสุขกับเธอเป็นอย่างดีเพียงแต่ว่าฐานะยังไม่ดีขึ้นเท่านั้นเอง




เวลาล่วงเลยมาหลายวันเชษฐ์และครอบครัวก็มาถึงยังหมู่บ้านไพศาลีและได้ซื้อที่ดิน
แปลงหนึ่งในหมู่บ้านแห่งนี้ซึ่งเป็นที่ดินที่ไม่ดีนักเนื่องจากที่ดินยังรกอยู่มากแต่เชษฐ์เป็นคนหนักเอาเบาสู้อยู่แล้วจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา     เขาค่อยๆถากถางหญ้าและสิ่งที่รกในที่ดินของเขาทุกๆวันจนเตียนโล่ง     แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาได้รับบาดเจ็บจากการถูกหนามตำเท้าเลือดออกมากซึ่งตัวเขาคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ   แต่ชาวบ้านบอกว่าที่ดินตรงที่เขาซื้อไว้นั้นเจ้าที่แรงนัก  ใครมาอยู่ก็จะมีอันเป็นไป    แต่เชษฐ์ก็ไม่เชื่อแต่ก็มิได้ลบหลู่เขาตั้งศาลเพื่อเป็นการขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง      หลังจากนั้นมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
                      ที่หมู่บ้านแห่งนี้เมตต์และสายชลได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนในหมู่บ้านแต่
เนื่องจากว่าตอนนี้อยู่ในช่วงหน้าหนาวเด็กๆจึงหนาวกันมากจนครูต้องสั่งให้เอาผ้าห่มไปโรงเรียนด้วย      เมตต์เป็นเด็กที่มีน้ำใจเขามีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนขาเป๋เขาคอยช่วยเหลือเพื่อนคนนี้อยู่เป็นประจำ         อาชีพส่วนใหญ่ของคนในหมู่บ้านไพศาลีนี้ก็คือการ
เข้าป่าไปหาของป่ามาขายยิ่งเข้าไปในป่าลึกก็จะยิ่งได้ของที่ดีมีราคามาขาย   แต่ก็ต้องเสี่ยงกับอันตรายจากสัตว์ร้าย    โดยเฉพาะกับเสือซึ่งถือว่าอันตรายมากที่สุด     วันหนึ่ง
มีคนหาของป่ามาบอกผู้ใหญ่บ้านว่า   เพื่อนของเขาที่เข้าไปหาของป่าด้วยกันแต่แยกกันเนื่องจากเพื่อนของเขาเข้าไปในที่ที่ลึกกว่าเพื่อที่จะไปหาน้ำผึ้งมาขาย แต่ยังไม่กลับออกมา      ผู้ใหญ่จึงเกณฑ์คนออกไปช่วยกันตามหาซึ่งเชษฐ์ก็ไปกับเค้าด้วย  ออกตามหากันอยู่สองวัน    แต่พอพบก็เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณเป็นดังที่ชาวบ้านคาดกันไว้ไม่มีผิดว่าชายคนนี้ถูกเสือกัดตาย       ทุกคนต่างเสียใจและจัดการเผาศพของชายผู้นี้ในป่าเนื่องจากสภาพศพแหลกเละไม่มีชิ้นดีจึงนำกลับไปยังหมู่บ้านไม่ได้        ต่อจากนั้นมาไม่นานเสือตัวดังกล่าวก็ออกอาละวาดที่หมู่บ้านอีก    จึงทำให้ผู้ใหญ่ต้องระดมคนออกตามล่าและก็จัดการฆ่าเสือตัวนั้นได้ในที่สุด
                          ระหว่างนี้ไร่ของเชษฐ์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเขาปลูกผลไม้และพืชไร่หลายๆอย่าง   เช่น     มะม่วง      มะขาม      ข้าวโพด         กล้วย    เป็นต้น    โดยเข้าไปซื้อพันธุ์มาจากในเมือง           ด้วยความพยายามและขยันอดทนของเขาทำให้พืชพันธุ์ออกดอกผลเป็นที่น่าพอใจ       และด้วยความเป็นคนมีน้ำใจเขามักจะนำของจากไร่ไปแบ่งปันให้เพื่อนบ้านอยู่เสมอๆ

                      ต่อมาเขาได้ตั้งชื่อไร่เพื่อเป็นของขวัญให้กับภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของเขาว่า
บ้านไร่ไพลิน       ไพลินภูมิใจในตัวสามีของเธอมากดีใจที่เธอดูและเลือกคนไม่ผิด   เชษฐ์เคยดีกับเธออย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้นเสมอมาไม่เคยเปลี่ยนแล้วเชษฐ์เคยพูดหรือสัญญาอะไรกับเธอไว้ก็ทำได้ดังปากว่าทุกอย่าง        ต่อมาเชษฐ์ได้ข่าวพรานแสงที่เคยช่วยเหลือตนไว้เมื่อครั้งหนีตายจากเสี่ยตงก็ได้ให้ความช่วยเหลือเจือจานตามสมควร
เชษฐ์และครอบครัวมีฐานะดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ       และด้วยความมีน้ำใจจึงเป็นที่รักใคร่ของคนในหมู่บ้าน     ใครมีปัญหาอะไรถ้าช่วยได้ขอให้บอกเชษฐ์ยินดีทำให้ด้วยความเต็มใจ       
                        และแล้วข่าวดีที่สุดที่ทุกคนในหมู่บ้านได้ยินดีกันถ้วนหน้าก็คือ  สมเด็จย่าจะเสด็จมาเยี่ยมเยือนพร้อมกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อมารักษาผู้ที่ป่วยไข้ในหมู่บ้าน     ชาวบ้านต่างพากันตื่นเต้นดีใจที่จะได้เข้าเฝ้ารับเสด็จอย่างใกล้ชิด  ซึ่งรวมทั้งครอบครัวของเชษฐ์ด้วยซึ่งเชษฐ์เตรียมผลไม้หลายอย่างไว้ถวายท่าน     เมื่อถึงวันที่สมเด็จย่ามาถึงทุกคนต่างเต็มไปด้วยความปิติยินดี    เชษฐ์และครอบครัวได้ถวายผลไม้ให้กับสมเด็จย่าท่านยังทรงตรัสว่า      ผลไม้ของเจ้าช่างสวยงามเหลือเกินอีกหน่อยคงทำกำไรให้ผลตอบแทนความมุ่งมั่นพยายามของเจ้าเป็นแน่     หลังจากรับเสด็จกันเสร็จเรียบร้อยหน่วยแพทย์ก็ทำการรักษาชาวบ้านที่ป่วยไข้       เชษฐ์และครอบครัวรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก          ไม่เพียงความสุขเท่านี้ที่เชษฐ์และครอบครัวได้รับเพราะว่าหลังจากรับเสด็จเสร็จเรียบร้อยไพลินได้เดินมาหยุดที่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง   และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น    โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ตามเสด็จมาด้วยเดินตรงมาที่ไพลิน     ไม่น่าเชื่อว่านายทหารผู้นั้นก็คือบิดาของเธอนั่นเองทั้งสองต่างโผเข้ากอดกันและต่างก็ร้องไห้ออกมาด้วยกันทั้งคู่      หลังจากนั้นก็ถามถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่าเป็นสุขทุกข์เพียงใดบ้าง           ไพลินพาพ่อของเธอไปหาเชษฐ์     เชษฐ์ตกใจมากแต่ก็ยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวคำขอโทษเป็นการใหญ่ผู้เป็นพ่อตาไม่ถือโทษโกรธเคืองอีกต่อไป
โดยบอกว่า     เธอได้พิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้วว่าเธอรักลูกสาวฉันจริง       และก็ขอให้รักและดูแลเค้าตลอดไปด้วย        หลังจากนั้นขบวนของสมเด็จย่าก็เสด็จกลับไปพ่อของไพลินก็ตามเสด็จไปด้วยแล้วสัญญาว่าจะกลับมาเที่ยวอีกพร้อมทั้งจะพาแม่ของไพลินมาด้วย
                        หลังจากนั้นไม่นานคุณตาและคุณยายของเมตต์และสายชลก็กลับมาที่บ้านไร่อีก      ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องราวในอดีต      และพูดถึงเรื่องในอนาคตว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป       ตายายชวนเมตต์และสายชลไปอยู่กับท่านที่กรุงเทพแต่เด็กทั้งสองอยากที่จะอยู่กับพ่อแม่มากกว่า     สรุปก็คือถ้าคุณตาคุณยายว่างเมื่อไหร่ก็จะมาเยี่ยมหลานๆ        นับแต่นั้นมาครอบครัวของเชษฐ์ก็อยู่กันอย่างมีความสุข  ณ  ที่บ้านไร่แห่งนี้
บันทึกการเข้า

wayu

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 162
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย )
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:15:03 am »
0
           ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง

           1.ธรรมชาติของมนุษย์คือ  มีความโลภ   มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด   โดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น
             2.ความรักความเข้าใจ   ความเห็นอกเห็นใจกัน     เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุข
             3.ความมีน้ำใจ  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   ต่อเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีที่ควรกระทำ
             4.การใจเร็วด่วนได้   หรือการชิงสุกก่อนห่าม  เป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องจะทำให้เราพบกับความลำบากในชีวิต
             5.ความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจเป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนไทย
             6.คนเราถ้ามีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงที่จะทำอะไร  ก็จะสามารถบรรลุผลสำเร็จในสิ่งนั้นๆได้
             7.คนเราจะเห็นใจกันหรือรู้ว่าใครคิดอย่างไรกับเราก็ต่อเมื่อมีความยากลำบากหรืออุปสรรคเกิดขึ้น
             8.ความผูกพันระหว่างพ่อ  แม่   ลูก  เป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งยากที่จะตัดขาด และ พ่อ แม่  พร้อมที่จะให้อภัยลูกเสมอ
             9.ความอดทน    ความขยันหมั่นเพียร   รวมทั้งการเป็นคนที่มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี      จะนำไปสู่ความสุขและความสำเร็จในชีวิต










                                         รายงาน
เรื่อง           ชีวิตต้องสู้


เสนอ         

จัดทำโดย            นาย    ภุมริน         วุฒิไตรรัตน์        3800382
บันทึกการเข้า

wayu

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 162
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
หนุ่มพิการหัวใจนักสู้ "จรินทร์ วงษ์ษา" ปลูกผักขายเลี้ยงแม่
คนสู้ชีวิต...โดย ศิริลักษณา
ที่ล่องลอยในสายชล         บางครั้งมีคลื่นลม     บ้างสงบพบสุขใจ   
บางลำต้องอับปาง   บางลำช่างแกร่งกว่าใคร
ล่องลอยไปดั่งใจ     ถึงฝั่งได้โชคดี

   ฉบับนี้เป็นเรื่องราวของ หนุ่ม หรือ จรินทร์   วงษ์ษา วัย 45 ปี ที่เกิดมาโชคร้าย เป็นเหยื่อของโรคโปลิโอ ขาลีบจนเดินไม่ได้ ต้องใช้แขนช่วยพยุงตัวเวลาไปไหน แต่เขาไม่เคยย่อท้อนอนรอโชคชะตา ใช้สติปัญญาแก้ปัญหาชีวิต ด้วยการปลูกผักสวนครัว ขนใส่รถเข็นนำไปขายหาเงินเลี้ยงตัวและแม่ได้อย่างน่าชืนชม
   ณ บ้านไม้มุงสังกะสีที่เก่าซอมซ่อ ปลูกอยู่บนคันดินเหนือร่องน้ำ ริมคลองวัดนาวงศ์ ตำบลหลักหก อ.เมือง ปทุมธานี หนุ่มกำลังโยกรถเข็นกลับเข้าบ้าน หลังจากออกไปตระเวนขายผัก ในหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ไม่ไกลจากที่เขาพักเท่าใดนัก
   “หนุ่ม” บอกกับเราว่า “ครอบครัวมีฐานะยากจน ยึดอาชีพทำนาและปลูกผักสวนครัวเลี้ยงชีพ โดยเช่าที่ดินเขา มีพี่น้องรวมทั้งหมด 7 คน เกิดและเติบโตอยู่แถววัดนาวงศ์ ปทุมธานี ตอนเด็กๆ ก็มีร่างกายปกติ อยู่มาวันหนึ่งก็รู้สึกเจ็บขา ปวดหัวเข่า จนเดินไม่ได้ แม่ต้องพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอก็เจาะหัวเข่าเพื่อหาวิธีรักษา ผมต้องใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในโรงพยาบาล    เหมือนเป็นบ้านไปเลย สุดท้ายก็ไม่สามารถรักษาได้ หมอเขาวินิจฉัยว่า ผมเป็นโปลิโอ”

   หลังออกจากโรงพยาบาล เขาก็อยู่กับแม่มาตลอด จากนั้นไม่นานขาของหนุ่มก็เริ่มลีบเล็กลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หดเหลือเพียงนิดเดียว ทำให้เขาเดินไม่ได้ ต้องใช้พลังจากแขนพยุงและพาตัวเองไปตามที่ต่างๆ ทำให้การเดินทางไปไหนต่อไหนเป็นไปอย่างยากลำบาก เขาต้องหารถ 3 ล้อ มาเป็นพาหนะคู่ใจ
ก่อนหน้าจะมาปลูกผักขาย เคยทำอาชีพอื่นก่อนไหม?
“ผมก็ไปขายของชำอยู่กับพี่ชาย แถววัดเขียนเขต คลอง 3 ปทุมธานี จนกระทั่งพ่อผมเสีย เขาโดนรถชน ตอนนั้นพ่ออายุ 54 ปี ผมจึงตัดสินใจกลับมาอยู่กับแม่เพราะแม่ไม่มีใครดูแล”
ตอนนี้ปลูกอะไรบ้าง?
    “ก็ปลูกทุกอย่าง มะพร้าว ผักบุ้ง กวางตุ้ง เอามามัดเป็นกำ แล้วก็ใส่รถเข็นขาย ก็ช่วยกันปลูกและดูแล 3 คน วันนี้ผักที่ไปขายก็มี ผักบุ้ง ชะอม มีกุ้ง แฟง แตงกวา ไปขายในหมู่บ้านอมรพันธ์ อยู่ห่างจากที่นี่ 2 กิโล” ส่วนภารกิจที่ปฏิบัติทุกวันของหนุ่มก็คือ ตื่นตอนตี 4 อาบน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จ พายเรือไปเก็บผัก ซึ่งตอนนี้มีทั้ง คะน้า ผักบุ้งจีน ผักกาดขาว กับกวางตุ้ง นำมาล้างทำความสะอาด มีแม่กับหลานสองคนมาช่วยคัดแยกและมัดผักเป็นกำใส่รถเข็นไปขายให้ลูกค้า ช่วง 9 โมงเช้า ถ้าฝนตกวันไหนเก็บผักไม่ทัน ก็ไม่ไปขาย หรือไม่ก็ออกตอนบ่าย ถ้าวันไหนเก็บผักได้เยอะ ก็ได้ตังค์เยอะ เพราะขายเพียงกำละ 5 บาท กำละ 2 บาท
ไปขายตรงไหนบ้าง?
    “ก็มี อมรพันธ์ ดาวทอง แล้วก็อู่เจริญ ถ้าของหมดไปไม่ถึง ก็อยู่แถวอมรพันธ์กับดาวทอง ถ้าเข้าสามซอยบางทีก็หมด” แล้วต้องซื้อยาฆ่าแมลงไหม? “แทบจะไม่ใช้เลย ผมจะใช้พวกน้ำหอยเชอร์รี่ สะเดา ตะไคร้ เอามาหมักรวมกันทำปุ๋ย ฉีดไล่แมลงปลอดภัยทั้งคนกิน คนใช้ สูตรก็คิดเอง ทำเอง ลองไปฉีดดูก่อนว่าได้ผลไหม ก็ได้ผลบ้าง แต่ว่าไม่เต็มที่ อันไหนที่แมลงกินก็ปล่อยเขากินไป รายได้ก็พออยู่ได้ครับ แบ่งให้แม่ใช้ ซื้อกับข้าวกับปลา ผมมีหน้าที่ทำแล้วก็ออกไปขาย แล้วก็มีหลานอีกคนมาอาศัยอยู่ด้วย คนนี้ก็เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่เขาแยกทางกัน ส่วนตัวเล็กๆ นั่นเป็นลูกของน้า แฟนเขาเสีย มาขออาศัยนอน พอเช้าก็ไปทำงาน เป็นแม่บ้าน”
    วิถีชีวิตทุกวันนี้ของหนุ่มเป็นไงบ้าง? “ผมเลือกใช้ชีวิตแบบนี้ดีกว่า รู้สึกชีวิตดีขึ้น ได้ออกกำลังกาย ได้สงบจิตใจ เช้าก็ตื่นมาเก็บผัก เข็นเอาไปขาย เสร็จแล้วก็กลับมากินข้าว ตกบ่ายก็พายเรือออกไปดูแลผักที่ปลูก พอค่ำก็กลับไปนอน มีความสุขดี มีวิทยุนอนฟังเพลงลูกทุ่ง ผมพอใจแล้วครับ คนสมัยนี้ไม่สู้ชีวิต อะไรนิดอะไรหน่อย ก็ฆ่าตัวตาย ผมว่าไร้สาระ อย่างผมนี่พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ผมไม่เคยท้อแท้สิ้นหวัง
     อยากเป็นกำลังใจ หรืออยากจะช่วยเหลือนักสู้อย่าง “หนุ่มจรินทร์” โทร.ไปหาเขาได้ที่หมายเลข 086-903-3451

ขอบคุณที่มา

http://www.lifenewsonline.com/index.aspx?ContentID=ContentID-090917175021026
บันทึกการเข้า

wayu

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 162
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ถ้า วันไหน เราเศร้ามากๆ ... ก็ให้มองดูคนพิการเอาไว้นะ พวกเค้าพยายามต่อสู้ชีวิต เพื่อที่จะอยู่ได้ในสังคมของคนปกติ ทั้งๆ ที่บางคนเค้ามีความยากลำบากมากมายที่จะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ แต่เค้าก็ยังอยู่ได้ คนพิการที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นอะไร และ ไม่ท้อแท้ต่อชีวิต เค้าจะมีความสุข และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์มากมาย มีคนพิการอีกมากมายที่เค้าสู้ชีวิต และ ประสบความสำเร็จในหลายๆ สาขาอาชีพ มีครอบครัวที่มีความสุขอีกด้วย

แล้วทำไม ... คนปกติธรรมดาอย่างเราๆ จะไม่พยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาของเราอย่างสร้างสรรค์ต่อสังคมและตัวเองบ้าง ทำไมจึงชอบที่จะคิดแต่ในทางลบให้กับชีวิต ชีวิตก็ตกต่ำไปตามที่คิดได้ทุกวัน เราควรซื่อสัตย์กับสิ่งที่เรายึดมั่น ความแข็งแกร่ง และ พลังในการมีชีวิต และ ภาพที่เรานึกฝันอยากจะเป็น เกิดจากสิ่งต่างๆ ที่เราให้คุณค่าอย่างมุ่งมั่น และ จริงจัง

ทุกชีวิตในโลกนี้ ... มีความสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
ในวิกฤติย่อมมีโอกาสอื่นๆ รออยู่เสมอ ลองตั้งใจดูดีๆ นะ

 

 

พาไปดูชีวิตของน้องหมวยเพื่อจะปลุกแรงสู้ได้บ้าง..........

เรื่องนี้ถ้าจำไม่ผิดเห็นเคยโพสต์ไปกระทู้ เรื่องหนึ่งแล้ว











บันทึกการเข้า

wayu

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 162
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คนสู้ชีวิต พิการกาย แต่ใจไม่ไร้รัก

            สอง ผัวเมียพิการท่อนล่าง นักสู้ชีวิตแห่งปากน้ำโพ ชีวิตระทมทุกข์ ถูกผู้คนดูถูกเอารัดเอาเปรียบ หันเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าส่งเสียลูกสาววัย 8 ขวบ ชนิดคนมือเท้าดียังอาย พบชีวิตรักดั่งนิยาย หลังประสบอุบัติเหตุเสียขา หมดอาลัยถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย กระทั่งมาพบรักกันที่ศูนย์สิรินธร ก่อนจะสานสัมพันธ์ฝ่าฝันอุปสรรค์ ท่ามกลางเสียงทักท้วงจากคนรอบข้าง ลบคำสบประมาทหวั่นลูกเกิดมาเป็นภาระสังคม

                ชีวิต คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ เอสลัด พัฒนบุตร กับ ณัฐทัตภัทร์ ศรีภูธร สองสามีภรรยาผู้พิการตระหนักในสิ่งนี้ดี ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 48/3 หมู่ 1 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เป็นอาคารพาณิชย์ชั้นครึ่ง ห้องมุมสุดซ้ายมือเปิดเป็นร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า “เอ อิเลกทรอนิกส์”

ขณะที่ “คม ชัด ลึก” ซึ่งได้รับแจ้งถึงเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของคู่รักพิการเดินทางมาพบนั้น ทั้งคู่กำลังขมักเขม้นอยู่กับการเคลื่อนย้ายทีวีสี 29 นิ้ว ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทั้งสองมีความสูงน้อยกว่าทีวีเครื่องที่กำลังจะย้ายเสียด้วยซ้ำ แต่เขาและเธอก็ไม่เคยร้องขอให้ช่วยแม้สักคำเดียว ตรงกันข้ามกลับเร่งมือเพื่อให้งานเสร็จสิ้นเสียโดยเร็ว

เอส ลัด พัฒนบุตร หรือเอ วัย 38 ปี พื้นเพเป็นคน จ.กระบี่ ฐานะค่อนไปทางยากจน ทำงานรับจ้างมาตั้งแต่เด็ก วันหนึ่งของปลายปี 2527 ขณะเดินทางไปทำงานกับเพื่อนคู่หูที่ทำหน้าที่ขับรถเกิดหลับใน รถเสียหลักประสานกับรถบรรทุก 10 ล้อ เป็นเหตุให้เขาต้องตัดขาทั้งสองข้างตั้งแต่โคนขาลงไป นับจากนั้นเป็นต้นขาเขาก็ดำเนินชีวิตอยู่ในฐานะผู้พิการเต็มขั้น

                ขณะ ที่ ณัฐทัตภัทร์ ศรีภูธร หรือภัทร์ อายุ 36 ปี เป็นคน จ.นครสวรรค์ ปี 2534 ขณะขี่รถจักรยานยนต์ไปเรียนหนังสือ เธอถูกรถบรรทุกพ่วงเกี่ยวล้มและทับขาทั้งสองข้าง จนต้องตัดขาทิ้งไม่แตกต่างไปจากสามี เด็กสาววัยเพียง 19 ปี ต้องหยุดเรียนและเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นอกจากจะรักษาอาการทางกายแล้วก็เพื่อเยียวยาความบอบช้ำทางจิตใจยาวนานถึง 5 ปี โดยไม่ออกไปไหนเลยนอกจากโรงพยาบาลเท่านั้น

                แต่ ดูเหมือนโชคชะตาจะลิขิตชีวิตของทั้งคู่เอาไว้แล้ว เมื่อเอสลัดตัดสินใจเข้ามาทำกายภาพบำบัดและทำขาเทียมที่ศูนย์สิรินธรเพื่อ การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับณัฐทัตภัทร์เริ่มทำใจได้เข้ามาที่ศูนย์แห่งนี้เมื่อ ปี 2539 ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสพบกันเป็นครั้งแรก

                “พอผมเจอภัทร์ก็เริ่มรู้สึกว่าผมรักผู้หญิงคนนี้และต้องการเธอมาเป็นคู่ครอง” เอสลัดเล่าด้วยสีหน้ายิ้มๆ

                นับ ตั้งแต่เอรับรู้ถึงความรู้สึกข้างในเขาก็สานสัมพันธ์กับภัทร์เรื่อยมาจน พัฒนากลายเป็นความรัก มีการให้กำลังใจซึ่งกันและกันยามที่ท้อแท้ กระทั่ง 1 ปีผ่านไป เอจึงตัดสินใจสมัครสอบไปที่มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีช่างไฟฟ้า เพื่อพิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นคุณค่าของคนพิการ ที่สำคัญคือเพื่อให้ชีวิตคู่ของเขาและภัทร์ที่จะมีขึ้นในอนาคตข้างหน้า สมบูรณ์แบบ

                ปี 2541 เอเดินทางไปเรียนที่ชลบุรีเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ระหว่างนี้เขายังคงติดต่อกับภัทร์ตลอดเวลา ในยุคที่คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคม แต่เอกลับใช้วิธีง่ายๆ และสุดแสนจะคลาสสิกขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความโรแมนติก นั่นคือการส่งจดหมายสัปดาห์ละ 1-2 ฉบับ

                 ความ สัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ภายใต้การจับจ้องของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ที่ต่างก็เป็นห่วงและกังวลถึงความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ด้วยกริ่งเกรงว่าหากเกินเลยไปมากกว่านี้ เนื่องจากหลายคนอาจคิดว่า ทั้งคู่เป็นคนพิการและที่ผ่านมาก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ดีเท่าที่ ควรจะเป็น หากอยู่กินด้วยกันแล้วมีลูกขึ้นมาก็รังแต่จะเป็นภาระสังคม

                ทว่า ท่ามกลางการทักท้วงด้วยความเป็นห่วงของคนรอบข้างก็ไม่สามารถทัดทานความรัก ของหัวใจทั้งสองดวงนี้ได้ ปี 2543 เอและภัทร์จึงเข้าสู่พิธีวิวาห์และแยกครอบครัวออกมาทำมาหากินตามลำพัง แม้จะพบพานกับความยากลำบากสักเพียงใด ทั้งคู่ก็ฝ่าฝันกันมาได้และพิสูจน์ให้คนรอบข้างได้ประจักษ์แก่ตา

                “พอ เราแยกครอบครัวออกมาตอนนั้นยังไม่มีงานทำ ฉันก็ทำอะไรไม่เป็น ฉันไม่เคยลำบาก พ่อแม่ดูแลเป็นอย่างดี ก็ได้แต่โทรศัพท์เข้าไปสมัครงานให้พี่เอตามร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่พอเขารู้ว่าเราพิการก็ปฏิเสธทุกรายไป เราลำบากมาก เดือดร้อนมาก ไม่มีเงิน แต่เราทั้งสองก็ตั้งใจไว้แล้วว่า แม้จะอดตายก็ไม่ยอมไปขอทานเด็ดขาด” ภัทร์ เล่าถึงความขมขื่นเมื่อหนหลัง

                ความ ทุกข์อยู่กับเราไม่นานหากเราไม่จมจ่อมอยู่กับมัน เอก็เช่นกันไม่นานเขาก็ได้ทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่ง เอต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นๆ เพื่อให้เถ้าแก่เห็นว่าเขาไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่นเลย แม้ว่าร่างกายจะพิการก็ตามเถอะ

                เอ ต้องปั่นรถวีลแชร์ไปทำงานวันละ 1 กิโลเมตรอยู่นานกว่า 1 ปี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ค่าจ้างที่น้อยแสน้อยถูกหักไปกับค่าอื่นๆ นักต่อนัก บางเดือนก็ไม่ได้รับเงินค่าจ้างเลย ในขณะที่เขามีภาระค่าใช้จ่ายอยู่ล้นมือ ไหนจะค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีค่าตรวจครรภ์สำหรับภัทร์ที่กำลังจะให้กำเนิดพยานรักในอีกไม่กี่เดือน ข้างหน้านี้

                สุด ท้ายเอเลยตัดสินใจลาออกมาเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าของตัวเองในปี 2543 และนี่คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของคู่รักพิการ ทุกวันนี้น้อยคนนักใน อ.เมืองนครสวรรค์จะไม่รู้จัก “เอ อิเลกทรอนิกส์”

                “ตอน ที่พี่เอลาออกจากงานมานั้นไม่มีเงินติดตัวสักบาทเดียว เราตระเวนหาห้องแถวเปิดร้าน โชคดีมีคนเห็นใจให้เราเช่าโดยยังไม่เก็บค่าเช่า ประกอบกับเถ้าแก่ที่ขายอะไหล่เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ยอมให้เครดิตซื้ออะไหล่เลย ช่วยให้มีวันนี้” ภัทร์เล่า

                ปัจจุบัน ร้านเอ อิเลกทรอนิกส์ เต็มไปด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้านานาชนิดตั้งอยู่เรียงราย แสดงให้เห็นถึงฝีมือและความไว้เนื้อเชื่อใจของช่างผู้เป็นเจ้าของร้าน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้แฝงความจริงอันแสนเจ็บปวด ไม่เฉพาะกับเจ้าของร้านเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ด้วย เนื่องจากพิษเศรษฐกิจและวิกฤตราคาน้ำมัน ทำให้ลูกค้าไม่มีเงินมารับเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้

                “ลูกค้า ไม่มีเงินมารับ ผมก็ไม่คิดจะขาย ถึงแม้จะได้รับผลกระทบ ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอะไหล่ ค่าอยู่ ค่ากิน ค่าเล่าเรียนของลูกสาวที่กำลังโตขึ้นทุกวัน” เอ เล่าถึงปัญหาที่พานพบ แต่เขาและภรรยาก็ยังมีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้า เมื่อหันไปมอง ด.ญ.ปรีญาภัสสร์ พัฒนบุตร หรือน้องอารัว ลูกสาววัย 8 ขวบ ที่นั่งอยู่ข้างๆ

                ปัจจุบัน น้องอารัวเรียนอยู่ที่ ร.ร.สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ชั้น ป.2 เด็กหญิงเล่าว่าตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพ่อแม่มีความผิดปกติไปจากคนทั่วไป แต่ในความแตกต่างบนพื้นฐานของคำว่าพิการนั้น กลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเป็นปมด้อยหรือน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ตรงกันข้ามความรักความห่วงหาอาทรที่บุพการีทั้งสองมีให้เธอกลับทำให้เด็ก หญิงรักและเทิดทูนพ่อแม่มากยิ่งขึ้น

                “หนู ไม่เคยอายเพื่อนๆ หรอกค่ะ แล้วเพื่อนๆ ก็ไม่เคยล้อเลียนถึงปมด้วยที่หนูมีด้วย ทุกคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคุณครูให้ความรักความเมตตาหนูมาก หนูรู้ว่าพ่อกับแม่เหนื่อยมาก จะทำอะไรก็ลำบากไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เขา ตอนนี้หนูอยากโตไวๆ จะได้ทำงานหาเงินมาช่วยพ่อกับแม่ ตอนนี้หนูก็ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด ไม่ดื้อไม่ซน” อารัว กล่าวฉะฉานเกินเด็กวัยเดียวกัน

                ด้วย ความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงนี้เอง น้องอารัวได้แสดงให้พ่อกับแม่เห็นด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด เมื่อผลการเรียนออกมาดีชนิดโรงเรียนต้องมอบทุนการศึกษาให้ในฐานะเด็กที่มีผล การเรียนดีแต่ยากจน

                “คม ชัด ลึก” บอกลาสามพ่อแม่ลูก เมื่อหันกลับไปจึงเห็นภาพแห่งความประทับใจอีกครั้ง เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยๆ ร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เอสลัดกับณัฐทัตภัทร์รู้สึกวิตกกังวลในวันที่เธอลืมตา ดูโลก ก่อนจะกลายมาเป็นความภาคภูมิใจในปัจจุบัน กำลังช่วยพ่อแม่ทำความสะอาดบ้าน หุงหาข้าวปลาอาหาร และรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลูกค้านำมาซ่อม ซึ่งเป็นภาพที่ผู้คนละแวกนี้พบเห็นจนชินตา

                ส่วน เอนั้นขอตัวเดินตรงไปที่รถกระบะนิสสัน เอ็นวี ที่ดัดแปลงขึ้นมาสำหรับคนพิการขาเช่นเขาโดยเฉพาะ พาหนะคู่ใจที่พาเขาและครอบครัวไปไหนต่อไหน รวมถึงเดินทางไปรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดมาซ่อม พาหนะที่เกิดจากความคับแค้นใจที่เขาได้รับจากรถรับจ้างที่ขูดค่าโดยสายเสีย จนไม่เหลือกำไรจากการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อวันวาน

ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/Sp-Report/2008/07/31/entry-1
บันทึกการเข้า

wayu

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 162
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ใครผ่านไปแถวๆ ซ.มหาดไทย รามคำแหง
อย่าลืมอุดหนุนคุณยายกันด้วยนะ
ขนมถุงละ 10 บาทเอง


คนสู้ชีวิต

 

 


 

 

 


ผมไม่รู้ว่าจะผิดกฎทางเวปหรือเปล่านะครับ แต่ลองโพสดู ถ้าไม่เหมาะสมหรือผิดกฎยังไงก็ขออภัยล่วงหน้าก็แล้วกันนะครับ

เรื่องมีอยู่ว่า ยายคนนี้แกขายขนมอยู่แถวๆที่ผมพักอยู่แถวรามคำแหง อยู่ในซอยมหาดไทยครับ ยายอายุคงเยอะมากๆแล้ว ขนาดเดินแกยังเดินแทบไม่ค่อยจะไหวเลยครับ
แกค่อยๆย่องๆอย่างช้าๆ ช้าๆ เพื่อเข็บรถเข็ญของแกเพื่อมาขายของครับ
ยายแกขายขนมถุงละ 10 บาท ซึ่งคิดดูว่ากำไรแกคงจะได้ประมาณ 3-4 บาทต่อถุง
แล้ว ถ้าจะได้กำไรสัก 100 บาทเนี่ย แกต้องขายขนมวันละกี่ถุง
และในตำแหน่งที่แกขายนั้นคนเดินผ่านก็น้อยมากๆ ถ้าช่วงไหนผมมีเงินผมก็จะช่วยอุดหนุน
แกอยู่ประจำครับ บางวันก็ 40 บาทแล้วก็หยิบขนมยายมา 1-2 บางวันก็เอามา4ถุงจ่ายไป 100บาทอะไรประมาณนี้อะครับ
แกจะได้กำไรมากๆหน่อย ถ้าจะไม่เอาเลย เกรงว่าจะเหมือนไปดูถูกแกอะครับ
แต่ขนมที่แกขายอร่อยนะครับ กรอบอร่อย ล่าสุดก็วันที่ถ่ายรูปนี่แหละครับ

รูปแรกนั้น พอซื้อเสร็จผมก็บอกแก่ว่า เอ้ายาย ยิ้มหน่อยๆ แล้วแกก็ยิ้ม ........
เวลาแกยิ้มน่ารักเชียว ดูอบอุ่น ผมก็มีความสุขครับ

ส่วน รูปที่สองนี้ คือสีหน้าแกตอนปกติที่ไม่ได้ยิ้มครับ ท่าทางแกคงใช้ชีวิตแบบลำบากอย่างนี้มานานแล้ว อายุขนาดนี้ไม่น่าจะต้องออกมาตากแดด ตากลมเลยนะครับ น่าจะใช้ชีวิตสบายๆ
พักผ่อน เปิดพัดลมเย็นๆอยู่ที่บ้าน เล่นกับลุกกับหลาน

จริงๆผมไม่รู้ว่าฐานะแกเป็นยังไงนะครับ แต่ผมเดาเอาว่าคงไม่ดีนัก คิดดูว่าถ้าวันนึงแกขายของได้กำไรแค่ 30-40 บาทต่อวัน แล้วชีวิตแกจะลำบากขนาดไหน

ผม เลยคิดว่าถ้าตัวผมคนเดียวช่วยยายคงไม่ไหวแน่ๆ ผมคิดมานานแล้ว ว่าจะทำยังไงถึงจะช่วยยายได้ อยากให้แกมีเงินไว้ใช้จ่าย อยากกินอะไรอร่อยๆก็จะได้ซื้อกิน ถ้าแกขายดีดี
ก็ต้องมีเงินเก็บ วันไหนไม่สบาย ก็จะได้หยุดพัก ไม่ต้องฝืนมาขายของ

ผมเลยคิดว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด คือว่าผมอยากให้ท่านๆทั่งหลาย
ถ้า ผ่านมาแถวรามคำแหง ก็แวะมาอุดหนุนแกหน่อยพอจะได้ไหมครับ ซื้ออะไรอร่อยๆมาฝากแกบ้าง หลายๆคนช่วยกันคนละนิดคนละหน่อย ผมว่าแกคงจะขายดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่ๆครับ หรือถ้าคุณอยู่ไกล ไม่สามารถมาอุดหนุนแกได้
ก็ช่วยด้วยการไปโพสเรื่องของยาย ในเวปต่างๆที่คุณเข้าอยู่เป็นประจำ หรือส่งเมล์ไปให้คนที่คุณรู้จัก ผมเชื่อว่าปราฎิหารมีจริงครับ

คุณอยากเห็นรอบยิ้มของยายเหมือนภาพแรกไหมหละครับ หวังว่าคงได้รับความร่วมมือจากทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนะครับ ขอบคุณครับ

ใจจริงผมอยากโพสเรื่องนี้ที่เวปพันทิพย์ แต่ผมโพสไม่เป็น ผมคิดว่าน่าจะมีคนอ่านเยอะ
จะได้ช่วยๆกันบอกต่อๆกันอะครับ ยังไงรบกวนหน่อยนะครับ
คิดว่ายายคนนี้เป็นยายจริงๆของเราซิครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ

เดี๋ยวผมจะลงรูปแผนที่ ที่ที่ยายเข็ญรถเข็ญมาขายประจำให้นะครับ เผื่อท่านใดว่างๆและไปแถวนั้นจะได้ไปหายายถูก ช่วยๆอุดหนุนกันหน่อยครับ ขอบคุณแทนคุณยายล่วงหน้านะครับ
สำหรับน้ำใจที่ทุกท่านกำลังจะมอบให้คุณยาย ขอบคุณครับ

ขอบคุณที่มา
http://nicky1544.storythai.com/200905/fw
บันทึกการเข้า

wayu

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 162
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย ) มีปณิธาน แล้วไม่ท้อถอย
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 12:32:20 am »
0
สุวิมล ฟองแก้ว คนดี คนใฝ่รู้ คนสู้ชีวิต คนไม่คิดฆ่าตัวตาย

รูปภาพของ ssspoonsak


นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว คนดี คนใฝ่รู้ คนสู้ชีวิต คนไม่คิดฆ่าตัวตาย

นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะมีชีวิตที่ดีได้

ลองดูผลงานของเธอซิครับ คลิกที่นี่

      สำหรับเยาวชนตัวอย่างคนแรกที่เราจะนำเสนอ เธอเป็นสุภาพสตรี ผมไปพบเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 เนื่องจากผมเดินทางไปให้ความรู้ เกี่ยวกับการสร้างเว็บ สร้างสื่อการสอนที่โรงเรียนเถินวิทยา อ.เถิน จ.ลำปาง เธอเป็นนักศึกษาจากสถาบันราชภัฏลำปาง เธอฝึกสอนวิชาคอมพิวเตอร์ เธอเป็นเด็กเรียนเก่ง 1 ใน 4 ของรุ่น แต่... เธอพิการมาแต่เด็ก ไม่มีมือ แขน ทั้งสองข้าง แต่เธอไม่เคยยอมแพ้ เธอสู้ตลอด เธอไม่คิดฆ่าตัวตาย เธอไม่คิดจะเป็นคนเลวของสังคม เธอไม่เคยคิดจะเป็นภาระของสังคม ผมชอบคำพูดของอาจารย์นพดล อาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ ที่โรงเรียนเถินวิทยา ว่า

        ใครว่าคอมพิวเตอร์ยาก แสดงว่าไม่สู้ ขนาดเด็กฝึกสอนของผมไม่เคยใช้มือทำ เธอใช้เท้าทำตลอด และทำได้ดี ไม่เชื่อก็ลองมาดูซิครับ

 

      แล้วคุณยังคิดจะฆ่าตัวตาย
      คิดจะเป็นคนเลวของสังคม
      คิดจะเป็นภาระของสังคม
      ทั้งที่คุณมีร่างกายครบ
      ช่างน่าอายและไร้สติสิ้นดี



อมูลเพิ่มเติม

ชีวิตคือการต่อสู้...ยอดคนยอดครูสาวพิการกาย

ชีวิตคือการต่อสู้ คนที่ไม่เคยต่อสู้ ก็ย่อมไม่รู้ว่าชีวิต คืออะไร? ชีวิตของ นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว ครูสาววัย ๒๘ ปี จากเมืองรถม้า จ.ลำปาง สาวพิการแต่กำเนิด แขนซ้ายกุดด้วนถึงต้นสะบักบ่า แขนขวาเหลือเพียงข้อศอก ขาซ้ายเป็นโปลิโอฝ่าเท้าคดงุ้มงอ แต่ด้วยอุดมคติและจิตใจมุ่งมั่นที่จะประกอบวิชาชีพครู เพื่อสอนเด็ก ๆ ให้เป็นคนดี สาวน้อยผู้อาภัพจึงได้ใฝ่รู้ใฝ่มุมานะเรียนและขวนขวายพยายามที่ จะฝึกทักษะการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยเท้าซ้ายและแขนเทียม ตั้งแต่ยังเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาประจำตำบล เรื่อยมา จนถึงระดับอุดมศึกษาที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เมื่อเรียนจบก็สมัครสอบบรรจุเป็นครู จนกระทั่งสอบขึ้นบัญชีได้เป็นครูสมใจนึกบรรจุเป็นครูผู้ช่วยที่ ร.ร.วัดถ้ำปลาวิทยาคม หมู่ ๕ ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา

?หนูอยากเป็นครูแต่การเป็นครูก็ต้องเขียนอธิบายบนกระดาน ตอนเด็ก ๆ ก็ลองหัดเขียนชอล์กแต่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะชอล์กจะแตกเมื่อถูกแขนเทียมหนีบ แต่พอเห็นครูคอมพิวเตอร์ใช้ปากกาไวท์บอร์ดเขียนกระดาน จึงทำให้คิดว่าเราน่าจะทำได้ จึงแอบหัดเขียนกระดานโดยใช้ปากกาไวท์บอร์ด เพื่อที่ว่าวันหนึ่งความฝันที่จะได้เป็นครูเป็นความจริงขึ้นมาจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อวิชาชีพ และถ้าหากว่าความฝันไม่เป็นจริงขึ้นมา ไม่ได้เป็นครูอย่างที่ฝันไว้ อย่างน้อยความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากวิชาคอมพิวเตอร์สามารถที่จะนำมาประกอบ อาชีพอิสระได้ สามารถที่จะมีรายได้เลี้ยงดูตนเอง ไม่เป็นภาระกับพ่อแม่ต่อไป การที่คนเราจะเรียนอะไรนั้นไม่สำคัญ ขอให้เลือกเรียนสิ่งที่ตนเองสนใจ ตัวเองถนัดและไม่เดือดร้อนใครก็พอ? ครูสุวิมล บอกเล่าพลางสาธิตการ ใช้คอมพิวเตอร์ด้วยอุ้งเท้าซ้าย โดยใช้นิ้วหัวแม่เท้าคลิกเมาส์สืบค้นข้อมูลได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนคนปกติ ใช้มือจับเมาส์ การพิมพ์ก็ใช้ท่อนแขนที่เหลือเพียงศอกด้านขวาเป็นอวัยวะเคาะแท่นคีย์บอร์ด พิมพ์หนังสือแผนการสอน รายงานการสอนได้อย่างรวดเร็วชนิดที่คนมือเท้าดี ๆ บางคนก็ยังพิมพ์และใช้เมาส์ได้ไม่คล่องแคล่วรวดเร็วเท่า

?แรก ๆ ตอนคุณครูสุวิมลมารายงานตัว ที่โรงเรียน ก็ตกใจเกรงว่าครูจะสอนลำบาก เพราะวิชาคอมพิวเตอร์เป็นวิชาที่ต้องใช้ทักษะมือและนิ้มือทั้งสองข้างเป็น อวัยวะสำคัญ แต่พอทราบว่าคุณครูสุวิมลจบการศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกคอมพิวเตอร์ศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางก็คิดว่าคงต้องผ่านทักษะการ ใช้คอมพิวเตอร์ด้วย เท้าหรือแขนเทียมมาอย่างโชกโชนจนชิน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง คุณครูสุวิมลสามารถใช้เท้าในการพิมพ์งาน ควบคุมเมาส์ได้เหมือนคนปกติใช้มือ และสอนนักเรียนได้อย่างดี ตนจึงมอบหมายให้เป็นครูประจำชั้น ม.๒ และรับผิดชอบวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ (ง ๔๑๒๐๑) ระดับชั้น ม.๔, วิชาฐานข้อมูล ชั้น ม.๓ และวิชา excel ชั้น ม.๒ ซึ่งคุณครูสุวิมลก็สอนได้เหมือนคนปกติ เด็กนักเรียนในระยะแรก ๆ ก็ประดักประเดิดบ้างแต่ต่อมาก็ชินและรู้สึกเฉย ๆ มุ่ง ที่จะรับความรู้จากครู มากกว่าที่จะไปมัวสนใจความผิดปกติของครู ผลสัมฤทธิ์และคุณภาพก็ปรากฏชัดเจน ซึ่งล่าสุดเด็กนักเรียนระดับชั้น ม.๔ ลูกศิษย์ของคุณครูสุวิมลก็ประสบความสำเร็จคว้าเหรียญเงิน ประกวดการเขียนโปรแกรม e-book ในการแข่งขันศิลปหัตถกรรม นักเรียนภาคเหนือของ จ.เชียงราย ที่ รร.ดำรงราษฎร์สงเคราะห์ อ.เมือง จ.เชียงราย?

นายเฉลิมศักดิ์ ศิริประภา ผู้อำนวยการโรงเรียน วัดถ้ำปลาวิทยาคม บอกเล่าถึงคุณครูสุวิมล ฟองแก้ว ยอดคนยอดครูอย่างชื่นชมและปลาบปลื้มใจ ด.ญ.จุฬารัตน์ สิทธิชัยวงศ์ นักเรียนชั้น ม.๓ รร.วัดถ้ำปลาวิทยาคม ลูกศิษย์คนหนึ่งของครูสุวิมลเล่าว่า "ประทับใจครูสุวิมลมาก ตอนแรกที่เห็นครูมารายงานตัวเพื่อสอนนักเรียนก็รู้สึกตกใจและแปลกใจเพราะครู เป็นคนพิการไม่พร้อมทั้งแขนและขา แต่ก็ยิ่งแปลกใจมากกว่าเมื่อรู้ว่าครูจะสอนประจำวิชาคอมพิวเตอร์ ซึ่งครูสุวิมลก็ใช้เท้าบังคับเมาส์ ใช้แขนเทียมพิมพ์หนังสือ อธิบายให้ความรู้ได้อย่างคล่องแคล่ว จนเป็นที่ชินตาของนักเรียนไปแล้ว ทราบว่าครูเขาใช้เท้าซักผ้า รีดผ้า ก็อยากไปช่วยคุณครูที่บ้านพักครู แต่ครูสุวิมลบอกว่าครูช่วยตนเองโดยใช้เท้าทำงานในชีวิตประจำวันเป็นปกติได้ ดีแล้ว"

ด้าน นาง ขนิษฐา เครือจักร์ นักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงราย เขต ๓ แสดงความคิดเห็นว่า "ตนเดินทางเข้าไปหาข้อมูลครูพิการเพื่อเป็นแบบอย่างของคนสู้ชีวิตและไปพบครู สุวิมลที่ รร.วัดถ้ำปลาวิทยาคม ต.โป่งงาม อ.แม่สาย ได้พูดคุยกับครูและทราบประวัติมาว่าคุณพ่อ-คุณแม่เป็นชาวไร่ชาวนาไม่มีความ รู้อะไรแต่ครูสุวิมลซึ่งเป็นลูกคนเล็กในจำนวนพี่น้อง ๒ คนต้องพิการ ซึ่งก็นับว่าโชคดีมากที่ได้รับกำลังใจและการสนับสนุนส่งเสริมจากผู้ปกครองจน เรียนจบมหาวิทยาลัย ไม่เป็นภาระของครอบครัวแถมยังเลี้ยงดูครอบครัวได้อีกด้วยจนดูเหมือนว่า สภาพร่างกายที่ผิดปกติมิใช่ปัญหาและอุปสรรคสำหรับคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนแต่อย่าง ใด" สำหรับผู้ที่อยากจะให้กำลังใจ และชื่นชมคุณครูพิการผู้ทำหน้าที่สอนคอมพิวเตอร์รายนี้สามารถติดต่อได้ที่ รร.วัดถ้ำปลาวิทยาคม ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย โทร. ๐-๕๓๗๐-๙๖๑๐ หรือ ๐๘-๑๐๓๓-๑๙๘๗ หรือจะเข้าไปที่โฮมเพจอันเป็นผลงานได้ที่ school.obec.go.th/ tpk_cr/

โดย เดลินิวส์ออนไลน์ โดย กริช มากกุญชร ๑๐ ส.ค. ๒๕๕๐ - 11 ส.ค. 50

ครูสาวพิการสู้ชีวิต..

สุดทึ่งครูสาว ชร.พิการ สอนหนังสือแบบไร้แขน-ขา ต่อสู้ชีวิตจนจบการศึกษาสุดท้ายสวรรค์ลิขิตให้สอบรับราชการครูแม่พิมพ์ของ ชาติท่ามกลางความภาคภูมิใจของญาติพี่น้อง

เมื่อวันที่ 17 ม.ค.51 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่า ที่โรงเรียนวัดถ้ำปลาวิทยาคม หมู่ 5 ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีเสียงเล่าขานตำนานครูพิการ ต่อสู้ชีวิตและทำหน้าครูสอนหนังสือลูกศิษย์ ด้วยจรรยาบรรณของการเป็นครู โดยไม่ย่อท้อ ทำให้วันครูแห่งชาติ วันที่ 16 มกราคม 2551 มีนักเรียนของโรงเรียนดังกล่าว เข้าแสดงมุทิตาจิตแก่อาจารย์สาวรายดังกล่าว ทราบชื่อคือ นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว อายุ 29 ปี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่บ้านเลขที่ 47 หมู่ 1 ต.สมัย อ.สบปราบ จ.ลำปาง ที่ยังคงทำหน้าที่สอนหนังสือตามปกติ

โดยสภาพครูหัวใจเหล็กรายนี้ มีร่างกายพิการโดยไม่มีแขนทั้งสองข้างและขาซ้ายเป็นโปลิโอ แต่ยังใช้ขาขวาทำหน้าที่แทนได้ดี ทำการสอนนักเรียนที่โรงเรียนวัดถ้ำปลาวิทยาคม สร้างความชื่นชมและสร้างตัวอย่างของความอดทนในการทำหนย้าที่อย่างไม่ย่อท้อ ต่อชะตากรรมชีวิต ทำให้บรรดาครูอาจารย์ และลูกศิษย์ ปลาบปลื้มใจอย่างมาก

นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว ตัวอย่างแม่พิมพ์ของชาติ กล่าวว่า ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ จ.ลำปาง เป็นบุตรของคุณพ่อเล็ก คุณแม่สังวาล ฟองแก้วมีพี่น้อง 2 คน ครูสุวิมลเป็นคนเล็ก จบการศึกษามัธยมตอนปลายที่ อ. สบปราบ จ. ลำปางมีร่างกายพิการโดยไม่มีแขนทั้งสองข้าง พิการมาตั้งแต่กำเนิดและขาซ้ายเป็นโปลิโอ ต่อจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางจนจบการศึกษา  เมื่อสอบถามการดำเนินชีวิตของครู ก็เล่าว่า พึ่งสอบเป็นครูที่โรงเรียนได้เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2549
                   
เมื่อมีการประกาศรับสมัคร จึงรีบไปสอบแข่งขัน เพราะมีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กที่อยากจะเป็นครู จนกระทั่งได้รับสอบผ่าน จึงได้เป็นครูสมใจฝัน โดยได้มาประจำการสอนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 ทำการสอนนักเรียน ม.1 ม.5 ม.6 แผนกคอมพิวเตอร์ ที่โรงเรียนวัดถ้ำปลาวิทยาคม ซึ่งตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ครู ไม่เคยย่อท้อ เพราะคิดว่าเป็นงานที่รัก ต้องการเห็นเยาวชนของชาติ มีการศึกษา จะได้ช่วยชาติพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญๆ ครูสาวหัวใจทรนง ยังกล่าวทิ้งท้ายเนื่องในวันครูแห่งชาติ ปี 2551 ว่า ขอให้เด็กนักเรียนทุกคนตั้งใจเรียน เพื่อเป็นอนาคตและเป็นพลเมืองที่ดีต่อสังคม.

ข่าวจาก เชียงใหม่นิวส์

เปิดหัวใจสู้ ?ครูสาวพิการแขน? ร.ร.ถ้ำปลาแม่สายเมืองพ่อขุนฯ


    ปลื้ม ครูสาวเมืองพ่อขุนฯ ที่ร่างกายพิการไร้แขนทั้ง 2 ข้าง แถมขาเป็นโปลิโอ แต่ ยังเดินหน้าสอนหนังสือแบบไร้แขน-ขา ตามความฝันวัยเด็ก พร้อมขอของขวัญวัน ครู 51 ให้เด็กทุกคนตั้งใจเรียน ผู้สื่อข่าวรายงาน จาก จ.เชียงราย วันนี้ (16 ม.ค.) ว่า ที่โรงเรียนวัดถ้ำปลา วิทยาคม หมู่ 5 ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีเสียงเล่าขานตำนานครู พิการ ต่อสู้ชีวิตและทำหน้าครูสอนหนังสือลูกศิษย์ ด้วยจรรยาบรรณของความเป็น ครูโดยไม่ย่อท้อ คือ นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว อายุ 29 ปี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ บ้านเลขที่ 47 หมู่ 1 ต.สมัย อ.สบปราบ จ.ลำปาง ทำให้วันครูแห่งชาติ วัน ที่ 16 มกราคม 2551 มีนักเรียนของโรงเรียนดังกล่าว พร้อมใจกันเข้าแสดง มุทิตาจิตแก่อาจารย์สาวรายดังกล่าว สภาพครูรายนี้มีร่างกายพิการโดยไม่มีแขน ทั้งสองข้าง และขาซ้ายเป็นโปลิโอ แต่ยังใช้ขาขวาทำหน้าที่แทนได้ดี ทำการสอน นักเรียนที่โรงเรียนวัดถ้ำปลาวิทยาคม สร้างความชื่นชมและสร้างตัวอย่างของ ความอดทนในการทำหน้าที่อย่างไม่ย่อท้อต่อชะตากรรมชีวิต ทำให้บรรดาครู อาจารย์ และลูกศิษย์ปลาบปลื้มใจอย่างมาก นางสาวสุวิมล ฟองแก้ว ตัวอย่างแม่ พิมพ์ของชาติ กล่าวว่า ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ จ.ลำปาง เป็นบุตรของคุณพ่อ เล็ก คุณแม่สังวาล ฟองแก้ว มีพี่น้อง 2 คน ตนเองเป็นคนเล็ก จบการศึกษามัธยม ปลายที่ อ.สบปราบ จ.ลำปาง มีร่างกายพิการโดยไม่มีแขนทั้งสองข้างมาตั้งแต่ กำเนิดและขาซ้ายเป็นโปลิโอ ต่อจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ ลำปางจนจบการศึกษา เมื่อสอบถามการดำเนินชีวิต ครูสุวิมล ก็เล่าว่า เพิ่งสอบ เป็นครูที่โรงเรียนได้เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2549 เมื่อมีการประกาศรับ สมัครจึงรีบไปสอบแข่งขัน เพราะมีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กที่อยากจะเป็นครู จน กระทั่งสอบผ่านจึงได้เป็นครูสมใจฝัน โดยได้มาประจำการสอนในชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ทำการสอนนักเรียน ม.1 ม.5 ม.6 แผนกคอมพิวเตอร์ ที่โรงเรียนวัดถ้ำปลา วิทยาคม ซึ่งตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ครูไม่เคยย่อท้อ เพราะคิดว่าเป็นงานที่ รัก ต้องการเห็นเยาวชนของชาติมีการศึกษาจะได้ช่วยชาติพัฒนาบ้านเมืองให้ เจริญ ครูสาวกายพิการยังกล่าวทิ้งท้ายเนื่องในวันครูแห่ง ชาติ ปี 2551 ว่า ขอให้เด็กนักเรียนทุกคนตั้งใจเรียนเพื่อเป็นอนาคตและเป็น พลเมืองที่ดีต่อสังคม


ขอบคุณที่มา

http://www.thaigoodview.com/node/651
บันทึกการเข้า

pussadee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 149
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย )
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 06:26:06 am »
0
สำนวน ( เว๊ยเฮ๊ย ) รู้สึกจะมาจาก การ์ตูนเรื่อง รีบอร์น นะคะ

 :57: :13:
บันทึกการเข้า

tcarisa

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 524
  • ก้าวน้อย แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย )
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 02:06:25 pm »
0
อนุโมทนากับนักสู้ ทั้งหมด ด้วยไม่มีคำว่า ย่อท้อ เมียจะเสียเปรียบ ขนาดนี้ชีวิตยังมีอยู่

ก็ต้องเร่งปฏิบัติ จะได้ไม่ได้ต้อง มาเกิด เป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ อย่างนี้

ว่าแต่ อะไรเป็นเหตุ ให้ทุกคนต้องมีชีวิตพิกล พิการอย่างนี้

รู้แล้วว่าจะตอบว่า กรรมไม่ดี ใช่ไหม ละ

 แต่ว่ากรรมอะไร ถึงปรุงแต่งให้เป็นอย่างนี้

  :25: :03:
บันทึกการเข้า
เราเป็นหน่ออ่อน ที่รอการเติบโต
จึงขอสั่งสมบารมีธรรม เพื่อพระนิพพาน

สถาพร

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 220
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตต้องสู้ ( เว้ยเฮ๊ย )
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มกราคม 16, 2011, 07:12:28 pm »
0
เห็นภาพแล้ว อ่านประวัติ ของแต่ละคน แล้ว
ชีวิตที่ลำเคํญของผม กลายเป็นเรื่อง เล็ก ๆ เลยครับ

 :13: :13: :13:
บันทึกการเข้า
ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน