ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: โยมอย่า "เสือก" vs วินัยพระมาจาก "โยมเสือก"  (อ่าน 2953 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28436
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
โยมอย่า "เสือก" vs วินัยพระมาจาก "โยมเสือก"
« เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2015, 11:01:54 am »
0


โยมอย่า "เสือก" vs วินัยพระมาจาก "โยมเสือก"

กรณีการแบนหนังเรื่อง "อาบัติ" กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนๆ ทางสังคม เกิดการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ซึ่งจริงๆ สังคมที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงไม่ใช่สิ่งน่ากลัวนะครับ เป็นสิ่งปกติในสังคมที่เจริญแล้วโดยทั่วไป เว้นแต่จะสับสนระหว่างการถกเถียงกับการแตกแยก ซึ่งมักถูกเอาไปรวมกันอย่างผิดๆ เสมอ

น่าสนใจว่า ในท่ามกลางการถกเถียงจากหลายฝ่าย มีพระภิกษุที่สนับสนุนการแบนหนังเรื่องนี้ ตั้งข้อวิจารณ์อันหนึ่งในทำนองว่า ทำไมต้องประจานพระ ทำไมไม่เสนอเรื่องดีๆ บ้าง และเรื่องอาบัติเป็นเรื่องของพระล้วนๆ โยมไม่เกี่ยว ฉะนั้น "โยมอย่าเสือก"

ที่จริงผมเดาว่าหนังเรื่องนี้ ในแง่ภาพยนตร์อาจไม่ได้มีอะไรใหม่ คงมีเรื่องราวในทำนองหนัง "สอนศีลธรรม" ทั่วไปที่มักมีข้อสรุปว่า อย่าทำชั่วนะไม่งั้นจะเจอเวรกรรมลงโทษ แต่ที่กลายเป็นปัญหาเพราะมีฉากที่พระเณรทำผิดไม่ว่าจะเรื่องชู้สาวหรือเรื่องอื่นๆ อัศจรรย์ครับ

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ผมว่าหนังแนวนี้ผู้ใหญ่ในกระทรวงวัฒนธรรมน่าจะชอบ ดีเสียอีกไม่ต้องออกโรงสั่งสอนเอง แต่ทั้งที่มีบทสรุปทางศีลธรรมแบบนี้ บรรดาผู้มีอำนาจก็ยังไม่ยอมให้ฉาย ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีระบบจัดเรตติ้งไว้ทำไมในบ้านเรา ผมว่าข้ออ้างของหลวงพี่ที่สนับสนุนการแบนรูปนั้นที่บอกว่าการมีฉากพระกระทำความผิดหรืออาบัติ เป็นการ ประจานพระ ทำลายศาสนา ทีพระทำดีๆ ทำไมจึงไม่นำเสนอบ้าง ควรหรือที่จะนำเรื่องพระทำผิดมาเสนอในสื่อ ฯลฯ เป็นข้ออ้างที่มีปัญหา หลวงพี่ครับ สื่อนำเสนอแง่ดีของพระเยอะแล้วครับ

ทุกวันพระก็มีพระเทศน์ในสื่อ หรือคลิปสั้นคั่นรายการต่างๆ มีเรื่องพุทธศาสนาในตำราเรียน ในวิชาตั้งแต่ประถม มีโครงการสารพัดของหลวงที่ใช้งบประมาณไปเท่าไหร่แล้วล่ะครับ อีกอย่างการบ่นทำนองข่าวชอบเสนอแต่ด้านลบของพระผมว่าที่เขานำเสนอด้านลบก็เพราะมันเป็น "ข้อเท็จจริง" ที่มีคุณค่าเชิงข่าวไงครับ เพราะงานสื่อสารมวลชนไม่ใช่งานประชาสัมพันธ์แบบสรรเสริญเยินยอ


 :97: :97: :97: :97:

แต่กลายเป็นว่า ข้อเท็จจริงหรือ "ความจริง" กลับเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้ในสังคมนี้ ก็ไหนว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความจริงและเหตุผล ทำไมการพูด"ความจริง" จึงกลายเป็นปัญหาไปเสียได้

ทำไมชาวพุทธบางส่วนจึงกลัวการพูดความจริง หรือไม่ต้องไปถึงกับการพูดความจริงก็ได้ครับ แค่การสะท้อนความจริงที่มีอยู่ผ่านสื่อภาพยนตร์ก็ยังสร้างหวาดกลัวหรือความวิตกกังวล ราวกับว่าหากนำเสนอแล้วพุทธศาสนาจะล่มสลาย


 :96: :96: :96: :96:

ถ้าการปกปิดความไม่ดีของพระเป็นการปกป้องพระศาสนา เราคงต้องเอาพระวินัยปิฎกไปซ่อนเสีย เพราะในพระวินัยปิฎก เรื่องราวของพระที่ทำผิดเป็น "ต้นบัญญัติ" นั้นวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าหนังเรื่องอาบัติเป็นไหนๆ

หนังเป็นงานศิลปะ ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏในหนังล้วนแต่เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นทั้งสิ้น ตัวละครที่เล่นบทแย่ๆ นั้นก็ไม่ใช่พระจริงๆ แม้ว่าประเด็นที่นำเสนอจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในสังคมก็ตาม แต่หนังไม่ใช่ข่าวมันจึงบอกเล่าเรื่องราวที่มีอยู่ในสังคมอย่างมีศิลปะกว่า ใครๆก็รู้ว่าหนังคือ งานศิลป์แขนงหนึ่ง และเจตนารมณ์ของมันจึงประกอบด้วยการเสนอสุนทรียรสพอๆ กับการเสนอความคิด และด้วยธรรมชาติเช่นนั้นเอง มันจึงเปิดพื้นที่ให้วิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบและโต้เถียงได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว ความกังวลที่มีต่อมันจึงเป็นความกังวลเกินจริงที่ไม่เชื่อมั่นในวิจารณญาณและสติปัญญาของคนดู

อีกประการหนึ่งการบอกว่า อาบัติเป็นเรื่องของพระล้วนๆ เป็นความผิดที่ไม่ควรเปิดเผยต่อสาธารณะ ผมว่าอาจไม่ตรงกับเจตนารมณ์จริงๆ ในพระวินัยก็เป็นได้ การที่พระกระทำผิดที่เรียกว่าอาบัตินั้น สิ่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้คือ ต้อง "เปิดเผย" ความผิดนั้นต่อผู้อื่น ในระดับอาบัติเล็กก็เปิดเผยต่อเพื่อนภิกษุด้วยกันหนึ่งรูปที่เราเรียกกันในเชิงพิธีกรรมว่า "ปลงอาบัติ"


 :41: :41: :41: :41: :41:

ในความผิดขั้นกลางคือสังฆาทิเสสนั้น ขั้นนี้ต้องประกาศความผิดในสงฆ์ คือประกาศความผิดนั้นต่อพระทั้งหมดในสังฆาวาสแล้วตั้งมติลงโทษ เช่น ให้ไปอยู่ปริวาส คือ แยกตัวออกไปจนสำนึกแล้วรับกลับเข้ามาใหม่ หรือในขั้นรุนแรงคืออาบัติปาราชิก คนคนนั้นก็หมดจาก "สมาชิกภาพ" ของความเป็นพระไปโดยอัตโนมัติแม้จะห่มจีวรอยู่ก็ตาม และการจับสึกย่อมเป็นการเปิดเผยความผิด ทั้งต่อสงฆ์ และต่อชุมชนฆราวาสโดยรวมอยู่แล้วในตัว

จะเห็นได้ว่า พระวินัยไม่มีเจตนาของการปกปิดความผิด และควรต้อง "เปิดเผย" ผิดน้อยก็เปิดเผยน้อย ผิดมากยิ่งต้องเปิดเผยมาก เพียงแต่กระบวนการเปิดเผยและลงมติลงโทษนั้นเป็นการจัดการในหมู่พระภิกษุสงฆ์ด้วยกันเอง ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะต้องการปกปิดฆราวาสนะครับ แต่เนื่องจากในแง่หนึ่ง พระวินัยเป็น "กติกาสงฆ์" เพื่อให้พระที่มาจากร้อยพ่อพันแม่อยู่ร่วมกันได้

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของสมาชิกในชุมชนพระโดยตรงที่จะดำเนินการกันเอง แต่กระนั้นก็มิได้ตัดออกจากความสัมพันธ์กับชาวบ้านเลย ถ้าเราไปอ่านพระวินัยปิฎก จะพบว่า
     หลายครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทก็เพราะชาวบ้านนี่แหละที่ติเตียนจนเรื่องไปถึงพระองค์ หรือในบางสมัย ก็รัฐและชาวบ้านนี่แหละที่เข้าไปตรวจตราสอดส่อง เช่น ในสมัย ร.1 ที่มีการ "สักหน้า" พระที่เป็นปาราชิกเพื่อไม่ให้กลับมาบวชได้อีก พูดง่ายๆ ก็เพราะชาวบ้าน "เสือก" นี่แหละ ถึงได้มีพระวินัยที่หลวงพี่ใช้อยู่



 ask1 ans1 ask1 ans1


ทําไมพระพุทธเจ้าถึงต้องฟังชาวบ้าน "ขี้เสือก" เหล่านั้นด้วย".?

ผมคิดว่าเพราะพระพุทธองค์ตระหนักว่า ภิกษุเองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคมเหมือนกัน แม้ท่านจะได้ตั้ง "ชุมชน" หรือสังฆะตามอุดมคติขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่สังฆะนั้นก็มิอาจตัดขาดจากสังคมภายนอกได้อย่างสิ้นเชิง อีกอย่างชุมชนพระก็ต้องอาศัยชาวบ้านเกื้อกูลในการเลี้ยงชีพจึงจะดำรงอยู่ได้ พูดอีกอย่างว่า เพราะข้าวแดงแกงร้อนที่ชาวบ้านใส่บาตรแท้ๆ พระถึงมีฉันมานั่งด่าโยมอย่างนี้ได้ และแม้แต่โบสถ์วิหารศาลาก็เพราะโยมทำบุญทั้งนั้น


 :96: :96: :96: :96:

ดังนั้น โดยเจตนารมณ์แห่งพระวินัย และโดยธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยเป็นมา พระและชาวบ้านจึงปล่อยให้มีการ "เสือก" กันและกันในระดับหนึ่ง เช่น ชาวบ้านมีปัญหาทางศีลธรรม พระก็ "คว่ำบาตร" ชาวบ้านคนนั้น คือไม่ติดต่อคบหา เมื่อมีสาวๆ ขึ้นกุฏิยามวิกาลหรือเงินวัดหายไป โยมก็จะไม่ไปใส่บาตรทำบุญหรือเรียกร้องให้ตรวจสอบเสีย แม้แต่การตั้งสมณศักดิ์แบบโบราณ พระก็ไม่ได้ตั้งกันเอง แต่โยม "รดสรง" ขึ้นให้เป็นทั้งนั้น นี่คือการเสือกกันไปมาของพระและโยมที่หล่อเลี้ยงสังคมพุทธมาตลอด

แต่การที่หลวงพี่รูปนั้นบอกว่า"เรื่องของพระ โยมอย่าเสือก" สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชาวบ้าน คือ พระสามารถจัดการชุมชนหรือสังคมตนเองในเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์โดยไม่มีชาวบ้านมาเกี่ยวข้องอีก เช่น ระบบการตั้งสมณศักดิ์ซึ่งยื่นขอและอนุมัติกันเองในพระเท่านั้น หรือการโยกย้ายตำแหน่งปกครอง เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ผมคิดว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของคณะสงฆ์ไทยที่รัฐเข้าไปดำเนินการทำหน้าที่แทนชาวบ้านและเปลี่ยนพระให้เป็น "ข้าราชการ" แบบหนึ่ง ภายใต้รัฐ หรืออย่างน้อยๆ ก็ใช้ระบบเดียวกับรัฐ เพื่อจะรวมเอาคณะสงฆ์มาเป็นพลังเสริมทางการปกครอง


 :91: :91: :91: :91:

หลวงพี่ที่บอกว่า โยมอย่าเสือก จึงเป็นผลผลิตของความเปลี่ยนแปลงอันนี้เอง ชุมชนพระที่เคยมีความแตกต่างหลากหลายในแต่ละภูมิภาคและใกล้ชิดกับชาวบ้านมาก ได้กลายมาเป็นชุมชนพระแบบเดียวกันหมดที่ใช้ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์เหมือนรัฐไทย แยกตัวออกจากชาวบ้าน มีอำนาจของตนเอง และสนองผลประโยชน์กันเองภายใน ที่จริง ด้วยระบบยศถาบรรดาศักดิ์นี่เอง โยมก็อาจไปเสือกพระในเรื่องผลประโยชน์ได้เช่นกัน คือถวายปัจจัยและจะได้ขอเครื่องราชฯ หรืออะไรๆ อีกมาก อย่างขอให้หลวงลุงช่วยเป็นหัวคะแนนให้ ฯลฯ

แต่ก็เป็นการเสือกที่สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และเป็นการเสือกที่ไม่เกี่ยวอะไรกับธรรมะทั้งนั้น


 ans1 ans1 ans1 ans1

นอกจากเรื่อง "เสือกๆ" ที่เต็มบทความผมไปหมดแล้ว ผมว่ากรณีการแบนหนังอาบัติ ยังสะท้อนภาพลักษณ์ สถานภาพและบทบาทของพระภิกษุในสังคมไทยได้ด้วย มองจากมุมผี พราหมณ์ พุทธ หลังการเข้ามาของพุทธศาสนาในดินแดนแถบนี้ สิ่งหนึ่งที่ศาสนาผีรับจากพุทธศาสนามา คือการแทนที่บุคคลศักดิ์สิทธิ์ จากเดิมคือหมอผีหรือคนทรงผีประจำเผ่ากลายมาเป็นพระ

พระในอดีต (จริงรวมถึงในปัจจุบัน) จึงทำหน้าที่ "หมอผี" ไปพร้อมๆ กับความเป็นนักบวชในพุทธศาสนา เช่น การรักษาโรคโดยสมุนไพรและเวทมนตร์คาถา การขจัดปัดเป่าเภทภัย ขับไล่ผีสางนางไม้ พระจึงต้องไปสวดมนต์ ไปทำพิธีกรรมทุกชนิดทางสิริมงคลและขจัดอัปมงคล ซึ่งเดิมเคยเป็นสิ่งที่คนของศาสนาผีทำมาก่อน และนอกจากผีแล้ว ยังทำหน้าที่แทนพราหมณ์ในหลายต่อหลายครั้งด้วย

 :03: :03: :03: :03:

แต่การทำเช่นนั้นได้ พระต้องรับเอาศีลพรตและความศักดิ์สิทธิ์แบบศาสนาผี-พราหมณ์เข้ามาใช้ ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เช่นที่ว่า มีความแตกต่างจากความศักดิ์สิทธิ์แบบพุทธศาสนา กล่าวคือ ความศักดิ์สิทธิ์แบบผีและพราหมณ์ เป็นความศักดิ์สิทธิ์ ที่อาศัยพิธีกรรม กฎเกณฑ์บางอย่างและอำนาจภายนอกดลบันดาล เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ได้ทั้งคุณและโทษหากละเมิด

เช่น การสร้างความศักดิ์สิทธิ์ด้วยพิธีกรรมการ "อภิเษก" (เสก) และ การละเว้นกิจกรรมบางอย่าง เช่น ไม่กินอาหารบางชนิด ไม่เสพกามไม่ว่าจะชั่วคราวหรือตลอดไป (แบบเดียวกับการถือพรตในศาสนาต่างๆ) โดยเชื่อว่าจะนำทิพยอำนาจมาสู่ผู้ปฏิบัติ และไม่เกี่ยวกับมโนทัศน์เรื่องกิเลสซึ่งมีขึ้นหลังการมีของพุทธศาสนาแล้ว


 :32: :32: :32: :32:

ในขณะที่ความศักดิ์สิทธิ์แบบพุทธศาสนาเกิดจากอำนาจภายในหรือคุณลักษณะของจิตใจ เกิดขึ้นจากการทำความดี หรือการประพฤติธรรมอะไรต่างๆ พระในบ้านเราจึงมีสถานภาพของความเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแบบไปพร้อมกัน

สังเกตนะครับว่าการทำผิดของพระ เรื่องปฐมปาราชิกหรือเรื่องเสพกามเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในบ้านเรา ทั้งๆ ที่ปาราชิกมีอีกตั้ง 3 ข้อ ก็เพราะปฐมปาราชิกหรือการเสพกาม ไม่ได้เป็นเพียงการทำลายความเป็นนักบวชตามเกณฑ์ของพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังทำลายความศักดิ์สิทธิ์แบบแรกลงด้วย


 :96: :96: :96: :96: :96:

พระอาจเป็นหมอยาได้ เป็นหมอผีได้ เป็นตลกก็ยังได้ อย่างหนังตลกพระต่างๆ ที่ไม่ถูกแบนในบ้านเรา แต่จะมีฉากพระที่เกี่ยวกับเรื่องเพศๆ หรืออะไรแบบนั้นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะมันกำลังทำลายความศักดิ์สิทธิ์ (แบบผี) ของพระซึ่งทำให้อำนาจอันสูงส่งลดลงไปด้วยไม่ว่าจะในสายตาชาวบ้านหรือพระเอง คือ ทำให้เราเห็นพระกลับมาเป็น"คน" ที่มีรักโลภโกรธหลง มีผิดมีถูก และอาจผิดพลาดได้แบบเดียวกับเรา ไม่ใช่บุคคลศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์อีกต่อไป

ผมว่า การที่พระกลับมาเป็นคน มีข้อดีคือ นอกจากความเคารพนับถือ เรายังอาจบ่มเพาะความรักความเมตตากรุณาและการให้อภัยต่อพระได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราขาดมากในสังคมนี้ และเป็นมิติที่เราไม่ค่อยปฏิบัติต่อพระในฐานะมนุษย์ด้วยกัน อาบัติจึงไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสียทั้งหมดในทางหนึ่งอาบัติได้แสดงพระกรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า โดยทรงเปิดช่อง หรือตั้งกติกาในพระวินัยในการให้อภัยต่อกัน ไม่ว่าในสังคมสงฆ์เองหรือสงฆ์กับฆราวาส ผ่านการเปิดเผยอาบัติ การยอมรับความผิดว่ามีอยู่จริง และคำรับรองว่าจะปรับปรุงแก้ไข แต่ปราศจากการยอมรับความผิดหรือความจริงแล้ว ปลงในเชิงพิธีกรรมแค่ไหนอาบัติก็ไม่ตก



โยมอย่า "เสือก" : คอลัมน์ ผี พราหมณ์ พุทธ โดยคมกฤช อุยเต็กเค่ง
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 23-29 ต.ค.2558
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1446281171
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
สะใจ หรือ ไม่ ที่ท่านทั้งหลาย กำลังทำให้ พระ ( คนที่มาบวช ) ถูกฆ่าเพิ่มขึ้น
วันนี้ไปเยี่ยมพระเพื่อน หลายองค์ ไปถึง ปรากฏว่า ท่านใส่ประตูเหล็ก ตรงประตูทางเข้า เป็นที่น่าแปลกใจ เมื่อสอบถามท่าน ๆ ก็เล่าให้ฟังว่า ช่วงนี้ มีคนเข้ามาขออาหาร ขนม นม เป็นต้น เมื่อเปิดประตูยื่นของให้ คนเหล่านนั้น กับลงมือปล้นจี้ชิงทรัพย์ กับพระ ลงมือกันสองคน เหตุนี้ไม่ใช่ธรรมดา และ ไม่ใช่เกิดที่แรก แต่มันเริ่มเกิด เหมือนไฟลามทุ่ง เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ความรุนแรงยังไม่มี เพราะพระยอมแต่โดนดี ไม่ขัดขืน เพื่อน ๆ ฉัน อย่างมากมีสตางค์ติดตัวสักพัน บางท่านก็ไม่มี วันนี้เริ่มเป็นอย่างนี้

   ข้อความที่อ่านมาต้้งแต่ ต้น เป็นความสะใจของคนแสดงใช่หรือ ไม่ ? แต่สิ่งที่เกิดจริง คือ การอัพเกรด จากเบาขึ้นไปหนัก ในด้านไม่ดี ทำให้คนที่ผิดศีลอยู่แล้ว กล้ากระทำในสิ่งที่ผิดศีลเพิ่มขึ้น และนี่เป็นสิ่งที่ คนทั้งหลาย บอกว่าสังคม ต้องรับรู้ ในเรื่องเหล่านี้ แต่ใครมารับผิดชอบ สังคมที่เศษฐกิจก็แย่อยู่แล้ว คนเลวอัพเกรดการกระทำเพิ่มขึ้น เพราะขาดความยำเกรง เหมือนนักเรียน ต่อยครูได้แล้ว ต่อไป มันจะเหลืออะไรในสังคม แล้วถึงวันนี้นความปลอดภัย ของคนที่มีอยู่ จะอยู่ต่อไหน ถ้าแม้แต่พระยังไม่ปลอดภัยเลย พวกคุณที่เป็นคนธรรมดา จะปลอดภัยได้อย่างไร สักวันหนึ่ง มิจฉาชีพเหล่านี้ ก็จะขาดความสำนึก ในคุณความดี

    หนังมีแผนโปรโมท การตลาด ได้เงินตามที่คนสร้างต้องการ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น มันมากกว่า เพราะคุณค่าทางจิตใจของคนหายไป เมื่อสิ่งยึดเหนี่ยวทางความดี หายไป คนก็จัญไร เพิ่มขึ้น

     วันนี้ฉันเดินบนถนน เด็กกุียขี้ยา เดินเข้ามาขอเงิน แซวอย่างเพื่อนสหายเล่นหัว กัน ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อน เด็กเหล่านี้ ถึงแม้เขาจะไม่ดี แต่ความนับถือพระก็ยังมีอยู่ ยังสามารถปรามด้วยคำพูด ห้ามหรือชี้นำได้ แต่วันนี้ ทำไม่ได้ เพราะเขามองว่า พระ ก็คือ พระที่ไม่ดี เหมือนกันทั้งประเทศ

     สักวันหนึ่ง คนที่พิมพ์ข้อความพวกนี้ ถ้าท่านทั้่งหลาย ที่มีญาติ มิตร ลูกหลาน ถูกคนพาลย่ำยี วันนั้นขอให้สำนึกไว้ว่า ท่านทั้งหลายได้ก่อกรรม ด้วยการอัพเกรด คนเลว ให้ไม่มีที่เกรงกลัวต่อบาป บาปที่ทำก็ไม่มีที่ละอาย เมื่อความจัญไรคืบคลาน มาถึงท่านแล้ว ก็จงเชิดหน้าชูตา รับกรรมที่ตนก่อ ไว้ซะ อย่าได้ไปบ่น ว่าพระไม่ได้สอนใครให้เป็นคนดี ไม่ได้สอนจริยธรรมในโรงเรียน ไม่ได้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ พระเป็นแต่ผี เท่านั้น

      เจริญธรรม / เจริญพร 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 02, 2015, 06:28:36 pm โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

waterman

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 302
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โยมอย่า "เสือก" vs วินัยพระมาจาก "โยมเสือก"
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2015, 12:29:15 pm »
0
แสดงว่า พระอาจารย์ ลบข้อความในส่วนที่แสดงความเห็น ออกหมดเรื่อง เหลือแต่ต้นกระทู้ เพราะเมื่อวาน ผมก็โพสต์ แสดงความเห็นไว้ อาจจะแรงสักนิด

   ต้องกราบขออภัย ด้วยครับ

    :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

Hero

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 557
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โยมอย่า "เสือก" vs วินัยพระมาจาก "โยมเสือก"
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2015, 12:30:28 pm »
0
^_^ รู้สึกสบายใจ เพราะข้อความที่ผมโพสต์ ไว้ถูกลบไปแล้วเช่นกัน


     :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ทำไมต้องมีอินทรีแดง เพราะสังคมเราบางครั้งก็ตาบอด
ปล่อยให้คนดี เดือดร้อน ดังนั้นจึงต้องมีผู้ปกป้องคนดี
hero ไม่ได้มีแต่ในหนังเท่านั้น นะครับ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: โยมอย่า "เสือก" vs วินัยพระมาจาก "โยมเสือก"
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2015, 12:35:18 pm »
0
ใช่ ฉันลบ ข้อความแสดงความเห็น ที่ดูค่อนข้างจะแรง อยู่ออกไปหมด ประมาณ 20 กว่าท่านในเมื่อวานนี้ แต่เหลือกระทู้ต้นไว้ ตามเจตนารมย์ของคนโพสต์ เพียงเพื่อให้ทราบว่า มีคนคิดอย่างนี้อยู่ ถึงเขาจะคิดแบบคนจัญไร เหมือนไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เลย ก็ตาม

    จึงไม่ลบหัวข้อนี้ทิ้ง และทุกท่าน ก็อย่าได้วิจารณ์ อะไรกันต่อในเรื่องนี้

    อยากให้ไปสนใจ เรื่องกรรมฐาน มากกว่า ที่จะมาเพ้อเจ้อเรื่องไร้สาระ

    อนาคต ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร การประหัตประหาร ในอนาคต จะเกิดขึ้นแน่นอน จะร้ายกว่า ที่ ม. นาลันทา  แต่ยังอีกสักพักหนึ่ง นะ

     เจริญพร ที่เข้าใจกัน ให้ยุติแสดงความเห็นเรื่องนี้ อย่าไปเป็นเครื่องมือให้กับพวกทำธุรกิจ

     จงใช้พื้นที่ ในที่นี้ เพื่อการภาวนาของพวกท่าน ในพระกรรมฐาน เถิด


       ;)[/b][/size]
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

เสริมสุข

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 223
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โยมอย่า "เสือก" vs วินัยพระมาจาก "โยมเสือก"
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2015, 03:17:22 pm »
0
 st11 st12 st12 st12
ควรเป็นเช่นนั้น ครับ เมื่อวาน เห็นโพสต์ กันอย่างหนัก เถึยงกันไปเถึยงกันมา ผมอ่านแล้ว นึกถึงห้องพันทิพเลยครับ ดีครับที่พระอาจารย์ ลบออกเสีย ผมอยากให้ที่นี่เป็น ห้องกรรมฐาน ที่ไม่ต้องไปเถียง ส่วนเรื่องที่ ทราบแค่เพื่อทราบ ไม่ต้องวิจารณ์ เอาเป็นว่า รับทราบข่าวสาร อย่างที่พระอาจารย์ ได้บอกไว้ ผมเห็นด้วยครับ

  :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
อยากได้รับความสุข จาก ธรรมะ อยากได้รับ ..... แหมก็อยากนี้จ๊ะ

nonestop

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 87
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โยมอย่า "เสือก" vs วินัยพระมาจาก "โยมเสือก"
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2015, 06:58:39 pm »
0
เมื่อวาน อ่านแล้ว รู้สึก ว่าคนสายธรรมทะเลาะ มีด่ากัน ด้วย
ส่งจิตออกนอกกันไปเลย จนกระทั่ง พระอาจารย์ มาห้ามทัพ

   :13: :13: :13:
บันทึกการเข้า
nonestop  หยุดทำ้ร้าย หยุดเบียดเบียน หยุดการกลับมาเกิด กันเถิดครับ