แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - raponsan
|
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 706
|
81
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "เย ธัมมา" คาถาดับทุกข์ บูชาเสด็จเตี่ย..รู้ว่าดีก็ปฏิบัติ
|
เมื่อ: มีนาคม 05, 2024, 07:47:16 am
|
. "เย ธัมมา" คาถาดับทุกข์ บูชาเสด็จเตี่ย..รู้ว่าดีก็ปฏิบัติ“เย ธัมมา เหตุปัปภวา เตสัง เหตุง ตถาคโต เตสัญ จ โย นิโรโธ จ เอวัง วาที มหาสมโน” คาถาสี่บทนี้...มีคำแปลว่า ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมนั้น และดับเหตุแห่งธรรมนั้น พระมหาสมณมีวาทะอย่างนี้
แม้เป็นคาถาแสนสั้น...แต่มานพผู้แสวงหา อย่างอุปติสสะ ก็เข้าใจแจ่มแจ้ง นี่คือคำสอนจากศาสดาองค์จริง...ภาษาชาวพุทธว่าได้ดวงตาเห็นธรรม...
รีบไปชวนเพื่อนมานพโกลิตะ ทั้งยังมีใจไปชวนอาจารย์สัญชัย...แต่อาจารย์ยังติดใจฐานะเจ้าสำนักใหญ่ปฏิเสธ สองมานพขอบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา
โลกรู้จักกันต่อมา พระสารีบุตร เอกอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะ เอกอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า
พระสารีบุตร แสดงธรรมได้ลุ่มลึกทั้งกว้างขวางเจนจบ... พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า “สอนแทนพระองค์ได้” แต่กระนั้น พระสารีบุตร ไม่เคยลืมคำสอนเยธัมมาของพระ “อัสสชิ” อาจารย์คนแรก รู้ว่าอาจารย์อยู่ทางทิศไหน ท่านก็จะหันศีรษะไปทางนั้นพระอัสสชิ เป็นบุตรของพราหมณ์ทั้ง 8 ที่ทำนายพระลักษณะ เจ้าชายสิทธัตถะ...ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะเป็นจักรพรรดิ ถ้าบวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก รู้ข่าวเจ้าชายทิ้งราชสมบัติออกบวช ก็ชวนเพื่อนอีกสามคนตามโกณฑัญญะพราหมณ์ ไปปรนนิบัติ...และเมื่อเจ้าชายตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ก็ทรงตามไปสอนอริยสัจ 4 จนถือเป็นพระปัญจวัคคีย์พระภิกษุในพุทธศาสนากลุ่มแรก
คาถา เย ธัมมา...ที่จริงก็คืออีกสำนวน บอกเนื้อหาอริยสัจ 4 ถือกันว่าเป็นคาถาที่สั้นและขลังกว่าคาถาใดๆ...อีกสามร้อยปีต่อมา พระเจ้าอโศกทรงเผยแผ่พุทธศาสนา...ก็ยังทรงใช้
พระพิมพ์สมัยศรีวิชัยในภาคใต้ หรือสมัยทวารวดีในภาคกลาง...จารึกคาถา “เย ธัมมา...” ยืนยันว่า คำสอนพระอัสสชิ ถูกเลือกไปใช้ แพร่หลาย กว้างไกลไปทั้งโลก
เหตุเกิดจากที่ใด ก็ต้องตามไปดูให้รู้ต้นเหตุและหาวิธีดับที่ต้นเหตุ นี่คือคาถาดับทุกข์ ที่ถูกใช้ดับทุกข์ได้จริง
คำสอนนี้มีที่มาที่ไป “กิเลน ประลองเชิง” บันทึกไว้ในคอลัมน์ “ชักธงรบ” เรื่อง “เย ธัมมา คาถาดับทุกข์” หลายปีมาแล้ว...เท้าความไปในหกสำนักศาสนาใหญ่ สมัยพุทธกาล สำนักของสัญชัยเวลัฏฐบุตร เป็นสำนักใหญ่ บรรดาสาวกได้ชื่อว่า “ปริพาชก” เก่งกาจในทางตอบโต้ปัญหา “อุปติสสมานพ” ถูกนับเป็นสาวกมือหนึ่ง อุปติสสมานพ เป็นลูกคนรวย เบื่อหน่ายชีวิตฟุ้งเฟ้อหรูหรา...อยู่กับอาจารย์สัญชัยนานจนพบว่า คำสอนอาจารย์ยังดับทุกข์ได้ไม่จริง
เช้าวันหนึ่ง ในเมืองราชคฤห์ อุปติสสะเห็นนักบวชหัวโล้นห่มเหลืองเดินบิณฑบาต คู้เหยียดมือเท้า การเหลียวดูเป็นไปอย่างสงบสำรวม น่าเลื่อมใส ก็สะดุดใจเดินตาม รอจนนักบวชนั้น นั่งฉันอาหารเสร็จ ก็ถาม...“อาจารย์ท่านเป็นใคร อาจารย์ท่านสอนอะไร”
นักบวชผู้นั้นออกตัวว่า บวชได้ไม่นาน ไม่สามารถสอนธรรมโดยพิสดาร อุปติสสะก็บอกว่า ขอแค่ย่อๆก็ได้ดังความข้างต้นที่กล่าวมานี้เอง
@@@@@@
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือที่หลายคนเรียกสั้นๆว่า “เสด็จเตี่ย”
“เสด็จเตี่ย”...ได้ชื่อว่าเป็นพระบิดาแห่งทหารเรือไทย พระองค์ท่านเป็นที่ศรัทธา เคารพรักของเหล่าทหารเรือ ชาวประมง และประชาชนทั่วไป ด้วยเชื่อว่าท่านเป็นคนที่มีเมตตามาก ทำให้ใครต่อใครต่างก็พากันมาขอพรกับพระรูปกรมหลวงชุมพรกันมากมาย บนบานศาลกล่าวขอกันแทบจะทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงาน การเงิน การค้าขาย สุขภาพ ความรัก หรือแม้กระทั่งเรื่องการเรียน การสอบเข้าเรียนต่อในสถานศึกษา สถาบันต่างๆ เครื่องสักการะที่ต้องเตรียมจะมีธูป 9 ดอก (19 ดอกก็ได้), เทียน 1 คู่, ดอกกุหลาบสีแดงหรือพวงมาลัยดอกมะลิ, หมากพลู, เบียร์, บรั่นดี, บุหรี่, ขนมหวาน...ผลไม้, กับข้าวไทย, ปืนใหญ่ หรือเรือรบจำลอง เป็นต้น
อีกครั้งที่คนใกล้ตัวมีโอกาสแวะสักการะศาลเสด็จเตี่ย บ้านเพ จ.ระยอง อีกที่ซึ่งมีผู้คนศรัทธามากล้นเดินทางเข้ามาแวะกราบไหว้ สักการะด้วยว่ามีเครื่องแก้บนมากมาย แต่ที่มากเป็นพิเศษก็คือรูปปั้นทหารเหล่าต่างๆ ตำรวจ โดยเฉพาะทหารเรือดูจะมากกว่าเพื่อน นับรวมไปถึงรูปปั้นช้าง ม้า ไก่ ปืนโบราณ ก็มีอยู่ไม่น้อย
จุดธูปเทียนบูชาเรียบร้อยแล้วกล่าว พระคาถาบูชาประจำพระองค์ “พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” ตั้งนะโม 3 จบ “โอมชุมพร จุติ อิทธิกะระนังสุขโข นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะพะ กะสะ มะอะอุ” (3, 5, 9 จบ)
@@@@@@
“โอมชุมพร จุติ อิทธิกะระนังสุขโข นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะพะ กะสะ มะอะอุ” คำบูชากรมหลวงชุมพรฯ มีความหมายอย่างยิ่ง นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย อธิบายสรุปความเอาไว้ว่า...
“ข้าพระพุทธเจ้าขอนมัสการพระรัตนตรัย ขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกกับขอน้อมไหว้บูชา พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์บิดาของทหารเรือไทย แม้สิ้นพระชนม์แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอบูชาด้วยการปฏิบัติตนนอบน้อมพระพุทธองค์...ดำเนินชีวิตด้วยการไม่คบคนพาล สังสรรค์บัณฑิต ทำดีเป็นนิตย์ คิดถึงอนิจจังตลอดไป ขอพระองค์โปรดประทานความสำเร็จ ความสุขสมหวัง แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ”นาวาเอกทองย้อย ย้ำว่า...รู้ว่าดีแล้วปฏิบัติ ได้ผลชะงัดยิ่งกว่าท่องคำบูชา
วันนี้เสี่ยงเซียมซีสรุปความรวมว่า *ดวงชะตาท่านดีมาก* หนึ่ง...เจ้านายเมตตาเอ็นดู สอง...เริ่มมีโชคแล้ว สาม...คนไข้กำลังป่วยจะทุเลา สี่...คนรักคนนี้ ใช่แล้ว ห้า...บุตรในท้องเป็นชาย หก...การที่คิดไว้จะสำเร็จ
“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.
รัก-ยมThank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/27674503 มี.ค. 2567 , 07:05 น. | ไลฟ์สไตล์ > วัฒนธรรม > รัก-ยม
|
|
|
82
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “พระพิบูลย์” พระเกจิอีสาน ที่ทางการไม่ไว้วางใจ จนถูกไต่สวน, ถ่วงน้ำ สั่งคุมตัวจน
|
เมื่อ: มีนาคม 05, 2024, 07:25:44 am
|
. พระพิบูลย์ วัดพระแท่น จังหวัดอุดรธานี (ภาพจากศิลปวัฒนธรรม, กรกฎาคม 2556)“พระพิบูลย์” พระเกจิอีสาน ที่ทางการไม่ไว้วางใจ จนถูกไต่สวน, ถ่วงน้ำ สั่งคุมตัวจนมรณภาพ พระพิบูลย์ วัดพระแท่น อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะพระนักพัฒนา, พระนักบุญ, พระเกจิชื่อดัง หนึ่งในความภาคภูมิใจของจังหวัดอุดรธานี แต่อีกด้านหนึ่ง พระพิบูลย์กลับถูกทางการคุมตัวจน “มรณภาพ”
คำตอบในเรื่องนี้ เชิดชาย บุตดี ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้ในบทความชื่อ “พระพิบูลย์ : ผู้มีบุญหรือนักบุญแห่งอุดรธานี” ในนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” เดือนกรกฎาคม 2556
พระพิบูลย์ มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านพระเจ้า ตำบลมะอึ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด พระพิบูลย์มีชื่อในการใช้เวทมนตร์คาถา และอภินิหารช่วยเหลือชาวบ้านมาตลอด หลังบวชได้ระยะหนึ่งก็ออกธุดงค์ไปร่ำเรียนวิชาคาถาอาคมกับอาจารย์ผู้วิเศษนานหลายปี ภายหลังกลับมาสร้างวัดในพื้นตามที่ที่อาจารย์แนะนำ เรียกว่า “วัดพระแท่น”
นอกจากนี้ พระพิบูลย์ยังเป็น “พระนักพัฒนา” นำพาชาวบ้านตัดถนนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับวัดพระแท่น เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับชุมชนและหมู่บ้านที่ขยายตัวมากขึ้น รวมทั้งนำพาชาวบ้านตั้งธนาคารข้าวเปลือก ธนาคารโค- กระบือ การซื้อจอบ-เสียมให้ชาวบ้านหยิบยืม และการชักชวนชาวบ้านให้นุ่งขาวห่มขาวเพื่อเข้าวัดถือศีล
จนเกิดคำเล่าลือเกี่ยวกับพระพิบูลย์แผ่กระจายอย่างกว้างขวาง เช่น ปราบจระเข้ยักษ์ในลำน้ำปาว, ปราบอาคมขับไล่ภูตผีให้กับชาวบ้าน, ใช้น้ำมนต์รักษาผู้เจ็บป่วย, ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าถูกต้อง ฯลฯ ชาวบ้านจึงเกิดศรัทธาเดินทางมากราบไหว้อยู่ไม่ขาด
@@@@@@@
ทั้งหมดนั่นทำให้พระพิบูลย์ถูกพระสงฆ์ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐในมณฑลอุดรจับตาอย่างใกล้ชิดเพราะมีพฤติการณ์คล้ายกับ “ผู้มีบุญ” (บุคคลที่อ้างตนเป็นผู้วิเศษ) และมีการคุมตัวพระพิบูลย์ในที่สุด
แม้จะไม่ทราบปีเกิดที่แน่นอนของพระพิบูลย์ หากการจับกุมของพระพิบูลย์ประเมินว่า คงเกิดขึ้นในระหว่างกลางทศวรรษ 2460 เป็นต้นมา เพราะในกลางทศวรรษ 2460 คือช่วงเวลาที่รัฐบาลสยามมีการตั้งพระสงฆ์ท้องถิ่นที่ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ เพื่อให้กลับมาฟื้นฟูงานด้านคณะสงฆ์ในมณฑลอุดรอย่างจริงจัง
การบริหารจัดการคณะสงฆ์หัวเมืองอีสาน รัฐสยามจัดส่งพระท้องถิ่นเข้าไปเรียนวัตรปฎิบัติที่กรุงเทพฯ จากนั้นจึงส่งกลับไปเป็นผู้ปกครองในพื้นที่ เช่น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) จากอุบลฯ เป็นผู้ปกครองและดูแลทั้งที่มณฑลอุบล และมณฑลนครราชสีมา
ส่วนในมณฑลอุดร ที่พระพิบูลย์อยู่นั้น พระสงฆ์ท้องถิ่นในมณฑลนี้ได้เรียนรู้วัตรปฏิบัติและจารีตสงฆ์อย่างกรุงเทพฯ ล่าช้ากว่ามาก พ.ศ. 2465 รัฐสยามแต่งตั้ง พระเทพเมธี (อ้วน ติสฺโส) ขึ้นเป็นผู้รักษาการเจ้าคณะมณฑลอุดร และแต่งตั้งให้ พระครูสังฆวุฒิกร (จูม พนฺธุโล) เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ (วัดที่ต่อมาเป็นสถานที่กักตัวพระพิบูลย์ถึง 15 ปี) อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าคณะมณฑลเพื่อเรียนรู้งานไปด้วย หลังจากนั้นอีก 3 ปีต่อมา จึงได้รับตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอย่างเป็นทางการ
@@@@@@@
จากเอกสารหลักฐานในพื้นที่ พระพิบูลย์ถูกคุมตัวด้วยข้อหาใด พอสรุปได้เป็น 2 ประเด็น คือ
1. บทบาทของพระพิบูลย์คล้ายกับพระสงฆ์เมืองยโสธรที่ถูกกล่าวหาว่ามีไปเข้าร่วมกับ “กลุ่มมีผู้บุญ” จึงถูกเพ่งเล็งจากคณะสงฆ์ในมณฑลอุดร แต่ไม่สามารถชี้ได้ชัดเจนว่า มีการซ่องสุมกำลังคนเพื่อเข้าโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐหรือสถานที่ราชการ, หลอกลวงเพื่อให้ผู้คนงมงายแล้วแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน
เป็นแต่มีกระทำการให้ผู้คนจำนวนมากนิยม จึงมิอาจลงโทษขั้นรุนแรงระดับเป็น “กบฏผู้มีบุญ” ทำได้เพียงการตักเตือนในการคุมตัวครั้งที่ 1 และคุมตัวไว้อย่างถาวรในครั้งที่ 2 เพื่อไม่ให้พระพิบูลย์กลับไปดำเนินบทบาทในลักษณะเช่นเดิมได้อีก เพราะถือว่ามีการตักเตือนแล้วแต่ก็ยังปฏิบัติดังเดิม
2. ความหมายของ “การสำรวมในความเป็นสมณเพศ” สำหรับพระพิบูลย์กับพระในมุมของรัฐสยามแตกต่างกันสิ้นเชิง พระพิบูลย์มีวัตรปฏิบัติเรียบง่ายตามอย่างครูอาจารย์อย่าง “พระครองลาว” ไม่ว่าการครองผ้าจีวรอย่างง่ายตามความสะดวก, การช่วยเหลือชาวบ้านผู้ตกทุกข์ได้ยาก, การนำชาวบ้านพัฒนาชุมชนรอบวัด ฯลฯ แต่ในมุมของรัฐ หรือเจ้าคณะมณฑลอุดร ต้องครองผ้าจีวรอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในทุกโอกาส, วางตนเหมาะสมกับคฤหัสถ์, มีหน้าที่หลักพระสงฆ์คือศึกษาพระธรรมวินัย ฯลฯ
@@@@@@@
ส่วนการคุมตัวพระพิบูลย์นั้น โดยทั่วไปกล่าวว่าพระพิบูลย์ถูกทางการคุมตัว 2 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1. ถูกคุมตัวไปที่วัดโพธิสมภรณ์ วัดของเจ้าคณะมณฑลอุดร ก่อนถูกคุมตัวไปไต่สวนต่อที่กรุงเทพฯ โดยไม่ได้ระบุว่าถูกนำตัวไปไต่สวนที่วัดใด หรือที่หน่วยงานใด ต่อมาถูกนำตัวไปถ่วงน้ำที่เกาะสีชัง เมื่อไม่มรณภาพเจ้าหน้าที่ที่คุมตัวจึงปล่อยพระพิบูลย์เพราะเลื่อมใส และการคุมตัวครั้งนี้ไม่สามารถระบุเวลาปีได้แน่นอน แต่คาดว่าคงจะปลายทศวรรษ 2460 เพราะใน พ.ศ. 2466 ได้มีการปฏิรูปงานคณะสงฆ์ในมณฑลอุดรขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งที่ 2. พระพิบูลย์ถูกคุมตัว/กักตัวไว้ที่วัดโพธิสมภรณ์ โดยเจ้าคณะมณฑลอุดรจัดให้พระพิบูลย์จำพรรษาที่กุฏิด้านท้ายวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ป่ารกจนมรณภาพ รวมเวลานานถึง 15 ปี เมื่อมรณภาพแล้วศพของพระพิบูลย์ก็ต้องถูกเก็บไว้ที่วัดโพธิสมภรณ์ต่อไปอีกเกือบ 4 ปี จึงสามารถนำศพท่านไปบำเพ็ญกุศล
การคุมตัวพระพิบูลย์ในครั้งนี้ สามารถคาดการณ์ช่วงเวลาได้ว่าคงจะเกิดขึ้นในราว พ.ศ. 2474 เพราะจากหลักฐานบอกว่าพระพิบูลย์มรณภาพ พ.ศ. 2489 และ พ.ศ. 2493 คือปีที่สามารถนำศพพระพิบูลย์กลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดพระแท่นได้ จากนั้นอีก 11 ปี (พ.ศ. 2504) จึงมีการฌาปนกิจศพพระพิบูลย์ที่สนามพิบูลย์รังสรรค์ ตรงข้ามกับวัดพระแท่น
@@@@@@@
หากข้อมูลพระครูมัญจาภิรักษ์ เจ้าอาวาสวัดพระแท่น และเจ้าคณะอำเภอพิบูลรักษ์ (ผู้สืบปณิธานพระพิบูลย์ในการพัฒนาสังคมชุมชนรอบวัดพระแท่น) พระพิบูลย์ถูกคุมตัวถึง 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกถูกคุมตัวไปที่วัดโพธิสมภรณ์ และก็ปล่อยตัวกลับวัดพระแท่นในระยะเวลาไม่นานนัก ครั้งที่ 2 ถูกคุมตัวไปที่วัดโพธิสมภรณ์ และถูกนำตัวเข้ากรุงเทพฯ ก่อนจับไปถ่วงน้ำที่เกาะสีชัง (โดยรายละเอียดเช่นดังที่กล่าวข้างต้น) และครั้งที่ 3 พระพิบูลย์ถูกคุมตัว/กักตัวไว้ที่วัดโพธิสมภรณ์จนมรณภาพ
ปัจจุบันเรื่องราวของพระพิบูลย์ได้ถูกขยายการรับรู้อย่างกว้างขวางในฐานะ “พระพัฒนา” และ “พระนักบุญ” ใน พ.ศ. 2540 อันเป็นปีที่มีการตั้งอำเภอพิบูลยรักษ์ จังหวัดอุดรธานี ก็นำชื่อของ “พระพิบูลย์” ในฐานะพระนักพัฒนารุ่นบุกเบิก มาเป็นชื่ออำเภอใหม่แห่งนี้
คลิกอ่านเพิ่ม :-
• ครูบาศรีวิชัย “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” กับความขัดแย้งในคณะสงฆ์ • ญาคูสีทัด พระผู้นำการสร้างงานพุทธศิลป์ในพื้นที่สองฝั่งโขงขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : วิภา จิรภาไพศาล เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 4 มีนาคม 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_128486
|
|
|
83
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “พระพุทธเจ้า” ปรินิพพานที่ใด ใช่ตามที่มหาปรินิพพานสูตรว่าไว้จริงหรือ.?
|
เมื่อ: มีนาคม 05, 2024, 07:12:11 am
|
“พระพุทธเจ้า” ปรินิพพานที่ใด ใช่ตามที่มหาปรินิพพานสูตรว่าไว้จริงหรือ.?ภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปพระพุทธประวัติตอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ภายในสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ภาพจิตรกรรมภายในวิหารพระภิกษุหลวงพ่อเพ็ชร ข้างวิหารหลวงพ่อเพ็ชร วัดท่าถนน (ภาพ : wikicommon) เคยสงสัยกันไหมว่า “พระพุทธเจ้า” ปรินิพพาน ที่ใด.?
เรื่องราวนี้ปรากฏอยู่ใน บทความ “พระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยโรคอะไร?” โดย พระมโน เมตฺตานนฺโท ใน นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 21 ฉบับที่ 9 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2543
ในบทความพูดถึงเหตุที่ทำให้พระพุทธเจ้าปรินิพพาน วันเวลาที่เกิด และอีกมากมาย แต่ครั้งนี้ จะขอยกเรื่อง “พระพุทธเจ้า” ปรินิพพาน ที่ใด ให้ทุกคนได้รู้กัน…
พระมโน เมตฺตานนฺโท ได้วิเคราะห์และอธิบายไว้ดังนี้
“ความในมหาปรินิพพานสูตรเล่าเรื่องปาฏิหาริย์มากมาย เมื่อทรงทอดพระองค์ลงระหว่างต้นสาละทั้งคู่ในป่าใกล้กรุงกุสินารา แต่สิ่งที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ไม่น่าจะเป็นบริเวณแท้จริงที่ปรินิพพาน ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ
@@@@@@@
๑. เมื่อทรงประชวรหนักนั้น ภิกษุผู้ติดตามน่าจะขวนขวายพาพระองค์ไปหาแพทย์ที่อยู่ในเมืองมากกว่าที่จะพาไปประทับในป่า โดยเฉพาะเมื่อทรงมีอาการหนาวสั่น ปวดท้อง และกระหายน้ำมาก เนื่องจากสภาพความต้องการของร่างกายผู้ป่วย จะเป็นปัจจัยที่บังคับให้ผู้ใกล้ชิดทั้งหลายขวนขวาย ให้พระองค์ทรงพระชนม์ให้นานที่สุด
การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมให้อบอุ่นเป็นความจำเป็นที่ต้องการในการดูแลผู้ป่วยที่หนาวจัด จึงน่าจะเป็นไปได้มากกว่าที่ว่าสาวกทั้งหลายพาพระองค์เข้ารับการรักษาภายในที่มุงบังที่ให้ความอบอุ่น
ซึ่งอาจมีแพทย์ดูแลใกล้ชิด ผู้พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้พระองค์สบายที่สุด ในสภาวะเช่นนี้ผู้ที่ดูแลน่าจะพยายามให้น้ำ (ซึ่งเป็นไปได้ว่าเป็นน้ำสมุนไพรบางอย่าง) ให้พระองค์จิบทีละน้อยเพื่อประทังความกระหาย ในสภาพนี้พระองค์เองไม่น่าจะทรงดื่มน้ำได้ทีละมากๆ
๒. เมื่อพระอานนท์ทราบว่า พระพุทธองค์จะปรินิพพานแน่แล้วได้เกิดความเสียใจจนกระทั่งจะเป็นลมไม่อาจประคองตนไว้ได้ ต้องยืนเหนี่ยวกลอนประตูรูปหัวสิงห์อยู่ กลอนประตูนี้อยู่ในป่าตามลำพังไม่ได้แน่นอน นอกเสียจากว่าพระพุทธองค์กำลังประทับอยู่ในห้องของอาคารที่อยู่ในเมืองกุสินารานั่นเอง
๓. หลังจากปรินิพพานแล้ว มัลลกษัตริย์ทั้งหลายมีมติที่จะเคลื่อนพระศพออกจากเมืองไปประตูทางทิศใต้ แต่ไม่อาจเคลื่อนพระศพได้ มิได้ระบุว่าต้องนำพระศพเข้าเมืองก่อน แสดงว่าสถานที่ปรินิพพานนั้นอยู่ในเมืองกุสินารานั่นเอง”
อ่านเพิ่มเติม :-
• “สูกรมัททวะ” พระกระยาหารมื้อสุดท้าย ของพระพุทธเจ้า คืออะไรแน่ ?!? • “สุขาวดี” คืออะไร? ทำอย่างไรจึงจะได้เข้าสู่ แดนสวรรค์ อันบริสุทธิ์ของชาวพุทธ • “พระปิณโฑลภารทวาชะ” พระอรหันต์ ที่อวดอิทธิฤทธิ์ จนพระพุทธเจ้าตำหนิ และบัญญัติเป็นข้อห้าม • พระมหากัสสปะ พระสาวกผู้เลิศ ในการ สมาทานธุดงค์
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : ปดิวลดา บวรศักดิ์ เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 4 มีนาคม 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_128458
|
|
|
84
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดเทคนิค การฝึกหายใจ ช่วยให้ผ่อนคลาย คลายเครียด และคลายกังวล
|
เมื่อ: มีนาคม 03, 2024, 08:08:03 am
|
. เปิดเทคนิค การฝึกหายใจ ช่วยให้ผ่อนคลาย คลายเครียด และคลายกังวลการฝึกหายใจ ทำง่าย คลายเครียด ช่วยสุขภาพดี
การฝึกหายใจ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยรับมือกับความเครียดที่เข้ามาหาเราได้ทุกรูปแบบจริง ๆ ค่ะ ความเครียดเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจมาจากงาน เงิน เพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก ผ่านชีวิตประจำวันของเรา หลายต่อหลายครั้งความเครียดก็ก่อตัวจนกลายเป็นความวิตกกังวล ที่ทำอย่างไรก็ไม่หายสักที
ปัญหาเหล่านี้จะคลี่คลายไปได้ เมื่อใช้เทคนิคการหายใจ 3 รูปแบบของ ดร.แอนดรูว เวล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด ผู้สนับสนุนการแพทย์ทางเลือกและการแพทย์ผสมผสาน ที่จะมาช่วยให้ทุกคนนผ่อนคลายลงได้นั่นเอง
@@@@@@@
รูปแบบที่ 1 : การกระตุ้นลมหายใจ หรือ การหายใจแบบสูบลม (The Stimulating Breath or the Bellows Breath)
การกระตุ้นลมหายใจเป็นเทคนิคการหายใจแบบโยคะ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพลังงานและความตื่นตัวให้ได้เหมือนไปออกกำลังกายมา
วิธีการฝึกหายใจ
การกระตุ้นลมหายใจสามารถฝึกหายใจในท่าไหนก็ได้ ไม่มีการจำกัดท่าว่าต้องนั่งหรือนอน 1. หายใจเข้าและออกผ่านทางจมูกเร็ว ๆ โดยที่ปากของคุณปิดสนิทอยู่ หายใจสั้น ๆ และรวดเร็ว ในระยะเวลาที่เท่า ๆ กัน 2. หายใจรูปแบบนี้เป็นเซท ๆ 1 เซท หายใจให้ได้ 3 ครั้งใน 1 วินาที หลังจากที่หายใจรูปแบบนี้เสร็จในแต่ละรอบให้หายใจตามปกติ 3. ครั้งแรกที่ฝึกหายใจรูปแบบนี้ ห้ามทำนานเกิน 15 วินาที สามารถเพิ่มเวลาในแต่ละเซทได้เซทละ 5 วินาทีหรือมากกว่านั้น จนกว่าจะครบ 1 นาทีรูปแบบที่ 2 : การหายใจแบบ 4-7-8 หรือการผ่อนคลายลมหายใจ (The 4-7-8 (or Relaxing Breath) Exercise)
การหายใจแบบ 4-7-8 เป็นยากล่อมประสาทตามธรรมชาติสำหรับระบบประสาท โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายมากยิ่งขึ้น หรือช่วยในการทำให้ผ่อนคลายได้ขณะที่เกิดความตึงเครียดขึ้นมากะทันหัน เหมือนการนับ 1 – 10 เพื่อให้เราใจเย็นลง
วิธีการฝึกหายใจ
การหายใจแบบ 4-7-8 ควรนั่งหลังตรง และวางปลายลิ้นไว้ตรงเหงือกหลังฟันหน้าข้างบนค้างไว้ตลอดการฝึกหายใจ 1. หายใจออกแรง ๆ โดยการเป่าลมออกทางปาก ให้มีเสียงดัง ฟู่! 2. ปิดปากให้สนิท แล้วหายใจเข้าผ่านทางจมูก นับ 1 – 4 ในใจ 3. กลั้นหายใจ นับ 1 – 7 ในใจ 4. หายใจออกแรง ๆ โดยการเป่าลมออกทางปาก ให้มีเสียงดัง ฟู่! นับ 1 – 8 ในใจ 5. หายใจรูปแบบนี้เสร็จนับเป็น 1 เซท ทำซ้ำไปอีก 3 เซท รวมเป็นทั้งหมด 4 เซท
การฝึกหายใจรูปแบบนี้ให้ได้ 2 ครั้งต่อวัน ในเดือนแรกที่คุณฝึกทำ ใน 1 ครั้งห้ามหายใจรูปแบบนี้เกิน 4 รอบ และในครั้งแรกที่ฝึกหายใจรูปแบบนี้ถ้าคุณรู้สึกเหมือนจะหน้ามืด ไม่ต้องกังวล มันจะหายไปเอง
@@@@@@@
รูปแบบที่ 3 : การนับลมหายใจ (Breath Counting)
การนับลมหายใจเป็นเทคนิคการหายใจง่าย ๆ ที่นิยมใช้ในพุทธศาสนนิกายเซน ตามหลักการแล้วจะหายใจแบบเงียบและช้า แต่ความลึกและจังหวะอาจแตกต่างกันไป โดยการนับลมหายใจสามารถใช้เพื่อฝึกสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบได้ อาจนับลมหายใจไปพร้อมกับ การนั่งสมาธิ หรือ ฝึกการนับลมหายใจเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำกัดท่าหรือสถานที่
การนับลมหายใจ เป็นการฝึกหายใจผ่านทางจมูก ควรนั่งในท่าที่สบาย จากนั้นนั่งหลังตรง ศีรษะเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อย หลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นหายใจตามปกติ
วิธีการฝึกหายใจ
1. รอบแรกหายใจออกนับ 1 2. หายใจออกครั้งที่ 2 นับ 2 3. หายใจรูปแบบนี้วนไปเรื่อย ๆ จนถึงหายใจออกนับ 5 4. เริ่มหายใจออกนับ 1 รอบที่ 2
การนับลมหายใจห้ามนับเกิน 5 และนับเฉพาะตอนที่หายใจออกเท่านั้น ลองฝึกหายใจรูปแบบนี้ให้ได้ 10 นาทีและนอกจาก 3 วิธีนี้แล้ว ก็ยังมีการหายใจอีกรูปแบบที่เรียกว่า ฝึกหายใจที่เรียกว่า deep breathing exercise ที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ปัญหาเรื่องการหายใจ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีภาวะลองโควิด
Deep Breathing Exercise
Deep Breathing Exercise เป็นการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลม (Deep breathing exercise) ซึ่งจะช่วยฟื้นฟู และเสริมความแข็งแรงให้กับปอด และยังช่วยลดความเครียด ทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้เต็มที่อีกด้วยค่ะ
สำหรับการฝึกทำได้ไม่ยากเลย คือ วางมือตรงหน้าท้องและหน้าอกเพื่อรับรู้ลมหายใจ การฝึกทำได้ไม่ยาก ด้วยการหายใจเข้าทางจมูกให้ท้องป่อง เป่าลมออกทางปากท้องยุบ ทำ 5 ครั้งต่อรอบ วันละ 3-4 ครั้ง
การฝึกหายใจร่วมกับเพิ่มความเคลื่อนไหวของทรวงอก (Chest Trunk Mobilization)
ท่าที่ 1. ไขว้มือข้างหน้า สูดหายใจเข้าพร้อมกางแขนออกและยกแขนขึ้น หายใจออก แล้วค่อย ๆ เป่าลมออกทางปาก พร้อมลดแขนลง ทำช้าๆ 5 ครั้งต่อรอบ ท่าที่ 2. หายใจเข้า กางแขนข้างใดก็ได้ออกข้างลำตัว พร้อมเอียงตัวไปฝั่งตรงข้าม หายใจออก แล้วค่อย ๆ เป่าลมออกทางปากพร้อมลดแขนลง ทำช้าๆ 5 ครั้งต่อรอบ
@@@@@@@
ข้อควรระวัง
หยุดฝึกทันที หากมีอาการเหล่านี้ • เหนื่อยหอบมาก • หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ • หายใจสั้นหรือถี่มากๆ
(อัตราการหายใจมากกว่า 22 ครั้ง/นาที หายใจเข้าและออก นับเป็น 1 ครั้ง)
โดย Suparada Aroonrungsikul
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
• เทคนิคการหายใจ ที่นักวิ่งมือใหม่ควรรู้ • เช็กสัญญาณเตือน โรคนอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ • ไขคำตอบอาการ เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่มThank to :- URL : https://cheewajit.com/mind/249359.htmlMIND | February 18, 2024 | By Riya ที่มา :- • Andrew Weil, M.D. • มหาวิทยาลัยมหิดล
|
|
|
85
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จัดสังฆทาน ยังไง ให้ได้บุญ งบไม่บาน
|
เมื่อ: มีนาคม 03, 2024, 07:41:12 am
|
. จัดสังฆทาน ยังไง ให้ได้บุญ งบไม่บานหลายท่านเคยซื้อสังฆทานสำเร็จรูปถวายพระ โดยมองหาถังราคาถูกเข้าไว้ แต่หารู้ไม่ว่าหลายครั้งข้าวของในถังไม่สามารถใช้การได้จริง วันนี้แอดชวนทุกคนมาเลือกซื้อของเพื่อ จัดสังฆทาน ด้วยตัวเอง รับรองว่า ราคาไม่แพง (เท่าสังฆทานสำเร็จรูป) แถมพระได้ใช้ประโยชน์จริง (ทุกอย่าง) แน่นอน
@@@@@@@
1. จัดสังฆทาน อุปกรณ์ในห้องน้ำ
• แปรงสีฟัน เลือกชนิดขนแปรงอ่อนๆ เพราะช่วยดูแลเหงือและฟันได้ดี • ยาสีฟัน ชนิดผงหรือหลอดก็ได้ แนะนำแบบสมุนไพรหรือมีส่วนผสมของเกลือ เพื่อระงับกลิ่นปากและป้องกันโรคเหงือกอักเสบ ที่สำคัญต้องไม่ลืมที่มีฟลูออไรด์ สำคัญมากนะคะ เพราะป้องกันเรื่องฟันผุ • ยาสระผม พระต้องใช้แชมพูสระหนังศีรษะเช่นเดียวกับฆราวาส อาจเลือกสูตรลดหรือรักษาปัญหาเรื่องโรคผิวหนัง ที่สำคัญต้องเป็นชนิดไม่มีกลิ่นหอม แนะนำว่าเลือกใช้เป็นสูตรสมุนไพรเพื่อป้องกันเรื่องการมีส่วนผสมของน้ำหอมไปเลยก็ได้ค่ะ • สบู่ ต้องไม่มีกลิ่นหอมแรงและไม่ควรมีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ • มีดโกน แนะนำแบบสองคม เพราะใช้โกนผมได้ดี • ผ้าเช็ดตัว สีสุภาพ อาจเลือกตามสีจีวรของท่าน เพื่อความเหมาะสม • กระดาษชำระ เลือกชนิดที่ไม่ยุ่ยง่าย และมีความยาวเหมาะสม ลองเปรียบเทียบหลายๆ ยี่ห้อ เพื่อดูว่ายี่ห้อใดคุ้มมากกว่ากัน
2. จัดสังฆทาน อุปกรณ์เครื่องเขียน
เนื่องจากพระสงฆ์ต้องเรียนปริยัติธรรมและจดกำหนดนัดหมายต่างๆ สมุด ปากกา ดินสอ ยางลบ จึงจัดเป็นสิ่งจำเป็นมากควรเลือกสีสันปกไม่ฉูดฉาด *ปากกาแดงจำเป็นมาก แต่ไม่ค่อยมีใครถวายท่าน
3. ยารักษาโรค
ควรจัดเป็นยาสามัญประจำบ้าน ได้แก่ ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง แก้ไอ แก้ไข้ แก้ปวดกล้ามเนื้อ ลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาใส่แผล *อย่าลืมสังเกตวันหมดอายุและฉลากผลิตภัณฑ์ยาก่อนถวาย
สิ่งสำคัญที่สุด.! แม้พระหลายรูปจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันและหัวใจแต่อย่าถวายยาเหล่านั้นให้ท่าน เพราะโรคเหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ แนะนำให้หาหนังสือดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันและหัวใจไปถวายท่านแทนจะดีกว่า
4. ของจำเป็นอื่นๆ
• หนังสือธรรมะ ทุกวันนี้หนังสือธรรมะ นิตยสาร หรือสื่อธรรมะจำพวกซีดี มีขายอย่างหลากหลายและราคาไม่แพง นอกจากช่วยให้ความรู้แล้วยังช่วยให้พระรู้ทันข่าวสารบ้านเมืองเพื่อนำไปประกอบการเทศนาได้อีกด้วย • ไฟฉาย หากเป็นพระป่า ควรถวายไฟฉายพร้อมถ่าน ควรเลือกแบบหลอด LED เพราะกินถ่านน้อย ทนทานและสว่างมาก
@@@@@@@
ประหยัดเงินแถมได้ของมีคุณภาพอย่างนี้…ถวายสังฆทานครั้งต่อไป ลองมาจัดสังฆทานด้วยตัวเองกันดีกว่านะคะ
Thank to :- ที่มา : Secrect Thailand URL : https://cheewajit.com/mind/5598.htmlMIND | January 07, 2024 | By A Cuisine
|
|
|
86
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “เรื่องการเงินของวัด” พระวินัยท่านให้สงฆ์จัดการกันเอง
|
เมื่อ: มีนาคม 03, 2024, 07:31:24 am
|
. “เรื่องการเงินของวัด” พระวินัยท่านให้สงฆ์จัดการกันเองรู้สึกวุ่นวายก้าวก่ายเรื่องพระเรื่องสงฆ์กันนัก โดยเฉพาะผู้ไม่ประสาเรื่องพระธรรมวินัย แต่ยังอวดศักดาใช้กฎหมายมาจัดระเบียบพระสงฆ์ โดยเฉพาะเรื่องเงินซึ่งทางภาษาพระท่านเรียกว่า “ปัจจัย” อันเป็นสิ่งจำเป็นต่อการครองสมณเพศเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว และยังความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชาวโลกตามพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาเอกของโลก
เรื่องเงินของพระ ของวัด พระคุณเจ้าผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมท่านกล่าวว่า….
เพราะเป็นเงินที่ประชาชนเขาศรัทธาถวายสงฆ์ ก็ต้องแล้วแต่สงฆ์ ท่านจะไปใช้ประโยชน์อย่างไร? ที่ไม่ผิดพระธรรมวินัย ไม่ผิดสมณวิสัย โยมเป็นไวยาวัจกร ก็ขวนขวายในกิจอันควรที่พระสงฆ์มอบหมาย พระธรรมวินัยไม่ได้ให้โยมมาเป็นใหญ่อยู่เหนือพระสงฆ์
ชาวพุทธโปรดเข้าใจตามนี้ จะได้ไม่หลงประเด็น และกระทำการก้าวล่วงพระธรรมวินัยโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
พระธรรมวินัยสมบูรณ์มาแล้วกว่า ๒๕๐๐ ปี ถ้าพระสงฆ์ทำผิดกฎหมาย ก็สามารถดำเนินคดีเอาผิดกับพระได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายใด ๆ ขึ้นมาควบคุมบังคับพระอีกเลย มิฉะนั้นจะกลายเป็นการเอากฎหมายมาใหญ่กว่าพระธรรมวินัย หวังว่าคงไม่มีใครอุตริคิดทำขึ้นมา
การออกกฎหมายใด ๆ ที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ ที่มีโทษทางอาญา ต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อพระธรรมวินัย ทั้งต้องเป็นไปเพื่อการปกป้องส่งเสริมพระธรรมวินัยให้แน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น อย่างนั้นจึงควร มิใช่การออกกฎหมายที่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ หรือมาเพิกถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว
@@@@@@@
หากนักกฎหมายคนใดคิดการเช่นนั้น คือการพยายามออกกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อพระธรรมวินัย มาสั่งการให้พระสงฆ์ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องทำอย่างโน้น ขอให้ชาวพุทธจงรับรู้ร่วมกันเถิดว่า ไอ้หรืออีคนนั้น กำลังกระทำตัวเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง พระสงฆ์จะต้องลุกฮือกันขึ้น เพื่อปกป้องพระธรรมวินัยอย่างแน่นอน เราผู้หนึ่งล่ะ จะไม่มีวันนิ่งดูดาย
กรณีที่จะออกกฎหมายมาควบคุมการเงินของวัด หรือควบคุมการใช้จ่ายเงินของพระสงฆ์ ก็ได้ยินแต่ข่าว แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด ขอดูไปก่อนว่า จะมีผลดี ผลเสียอย่างไร? และจะเป็นการเอากฎหมายมาก้าวล่วงต่อพระธรรมวินัยหรือไม่?
เพราะพระธรรมวินัยไม่ได้กำหนดให้พระต้องทำบัญชี ท่านจะใช้เงินบริจาคอันเกิดจากศรัทธาของประชาชนเพื่อสงเคราะห์โลก หรือใช้ในกิจสงฆ์อันควรอันชอบด้วยพระธรรมวินัยอย่างไรก็ได้ เว้นไว้แต่ว่า พระสงฆ์เอาเงินไปใช้ผิดประเภท ผิดวัตถุประสงค์ของการบริจาค อันอาจเป็นการยักยอกเงินสงฆ์ ซึ่งพระวินัยได้บัญญัติโทษไว้ถึงขั้น “ปาราชิก” หากจะออกกฎหมายจัดการกับผู้เช่นนั้น ก็ถือว่าสมควรอยู่ ทั้งนี้ต้องแยกแยะให้ชัดเจน
การใช้จ่ายเงินในแต่ละวัดแต่ละวัน ใครจะไปนั่งทำบัญชีได้ทุกอย่าง มันเพิ่มภาระขึ้นมาอีกมากมาย วัดทั่วประเทศจะมีพระเจ้าอาวาสทำบัญชีเป็นสักกี่รูปกี่วัด ถ้าจะให้โยมมาทำบัญชีให้ ใครจะเสียสละมาทำให้ฟรี และมีความซื่อสัตย์สุจริตมากพอไหม? ถ้าทำบัญชีผิดพลาด ตัวเลขตัวเงินไม่ตรงกัน พระสงฆ์จะถูกตรวจสอบเอาผิดกันเดือดร้อนวุ่นวายไปหมดทั้งประเทศ หรือเปล่า?
@@@@@@@
ทุกวันนี้พระท่านอยู่กันแบบเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ มีเงินบริจาคเข้ามา ก็เก็บไว้ใช้ในสิ่งที่จำเป็น แล้วแต่ผู้เป็นประธานสงฆ์จะพิจารณาเห็นสมควร ส่วนใหญ่ท่านก็ใช้จ่ายไปในการก่อสร้างเสนาสนะ ซ่อมแซมที่ชำรุดทรุดโทรมบ้าง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง ค่าหยูกค่ายาของพระเณรที่เจ็บไข้ได้ป่วย หรืออนุเคราะห์แก่วัดวาที่อดอยากขาดแคลน หรือบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตามแต่จะเห็นสมควร มีเท่าไรก็ใช้ไป เหลือเท่าไร ก็เท่านั้น
วัดดี พระดี ท่านไม่ได้เก็บสั่งสมเงิน หรือเอาเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์การบริจาคอย่างไม่เป็นธรรมเป็นวินัย เหมือนอย่างที่เคยปรากฏเป็นข่าวว่า พระเอาเงินไปเล่นหุ้น หรือไปลงทุนทำธุรกิจ ส่วนใหญ่แต่ละวัดจะไม่ได้ทำบัญชีอย่างเป็นกิจจะลักษณะตามหลักการทำบัญชี ยิ่งถ้าเป็นวัดที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ไม่ต้องพูดเรื่องเงินหรอก กระทั่งอาหารบิณฑบาตจะขบจะฉันก็ยังฝืดเคือง
วัดที่มีปัญหาเรื่องการเงิน มักเป็นวัดที่มีชื่อเสียงอยู่ในเมือง ที่มีศาสนวัตถุโดดเด่น มีศาลาสวดศพเยอะ ๆ มีตึกให้เช่าเยอะ ๆ มีการโปรโมทเพื่ออวดสรรพคุณ หรือทำธุรกิจขายเครื่องรางของขลัง วัดอย่างนั้นต่างหากที่มักมีปัญหา และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
การแก้ปัญหาในเรื่องใด ต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุดที่เป็นต้นเหตุของปัญหา มิใช่หว่านแหสะเปะสะปะไปทั่วบ้านทั่วเมือง เห็นหมาบ้าไม่กี่ตัว ก็ไปไล่จับหมาทั้งประเทศมาฉีดยากันบ้า คนที่คิดทำอย่างนั้นได้ มันน่าจะเป็นบ้ายิ่งกว่าหมาบ้าหรือเปล่า?
พระที่ท่านตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ส่วนใหญ่ท่านก็รักษาพระวินัยโดยเคร่งครัด พระวินัยท่านบัญญัติไว้ตอนแรก ห้ามไม่ให้พระรับเงินทองด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นรับแทน ถ้าขืนทำปรับอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ ต้องเอาเงินทองที่รับมานั้นสละทิ้งไป แล้วปลงอาบัติต่อหน้าสงฆ์ ๔ รูป จึงจะพ้นอาบัติได้
ต่อมาภายหลัง เมณฑกเศรษฐี ร้องขอให้พระพุทธองค์ทรงผ่อนผันให้มีไวยาวัจกรรับเงินทองแทนพระได้ เนื่องจากพระก็มาจากหลายสกุล ที่หยาบก็มี ที่สุขุมาลชาติก็มี ย่อมมีความแตกต่างในด้านความเป็นอยู่ ถ้าชีวิตพระต้องลำบากมากนัก บางรูปก็ไม่อาจจะทนทานตรากตรำอยู่ได้นาน อายุของพระศาสนาก็จะสั้นลง
@@@@@@@
ก็ลองคิดดูก็ได้ ถ้าพระไม่รับเงินทองที่ญาติโยมบริจาค กฐิน ผ้าป่า ก็ไม่ต้องทอดกันล่ะ แล้วพระเณร จะเป็นอยู่กันอย่างไร? เพราะทุกวันนี้จะไปไหนมาไหน จะทำอะไรก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่ารถ ค่ายา ค่าอาหาร ค่าก่อสร้าง ค่าซ่อมแซม กุฏิ วิหาร โบสถ์ ศาลา ซึ่งนับวันมีแต่ชำรุดทรุดโทรมไปเรื่อย ๆ ต้องบำรุงรักษาอยู่ตลอดเวลา
วัดเราเองก็มีสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน เผยแผ่ธรรมภาคปฏิบัติ ออกอากาศตลอด ๒๔ ชั่วโมง ค่าไฟเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ก็อาศัยศรัทธาจากประชาชนบริจาคเงินมาทั้งนั้น ถ้าไม่ให้พระรับเงินทอง แล้วจะให้หมาตัวไหนมาจ่ายค่าไฟค่าใช้จ่ายจิปาถะภายในวัดให้
หมาสองขาตัวที่มันเห่าเก่ง ๆ ที่คอยคิดแต่จะออกกฎหมายมาจัดการกับพระ ไอ้หมาตัวนี้มันจะมาจ่ายค่าไฟ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้วัดหรือ? มันก็ดีแต่เห่านั่นแหละ! ลองให้มันมาบวชเป็นพระดูบ้างสิ! มันเคยคิดที่จะบวชไหม? แล้วให้มันไม่ต้องรับเงินทอง ดูสิว่ามันจะอยู่ได้กี่วัน จะอยู่นานสู้หมาวัดที่มีสี่ขาได้หรือเปล่า? หมาวัดก็ไม่ได้รับเงินทองนะ แต่หมาวัดก็อยู่ในวัดได้ เพราะมันกินข้าวก้นบาตรพระ แต่เวลามันเจ็บป่วย ก็ต้องอาศัยเงินทองที่ญาติโยมบริจาคถวายพระมานั่นแหละ ไปเป็นค่ารักษาเยียวยา
พระพุทธองค์ก็ทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็น จึงทรงอนุญาตผ่อนผันให้มีไวยาวัจกรรับเงิน ทองแทนพระได้ เรียกว่า “เมณฑกานุญาต” แต่ห้ามมิให้พระยินดีในเงิน ทองที่เขาถวาย แต่ให้ยินดีในปัจจัย ๔ อันจะพึงมีพึงได้จากเงินทองนั้น คือ หากขัดสนด้วยปัจจัย ๔ อย่างหนึ่งอย่างใด ก็สั่งให้ไวยาวัจกรเอาเงิน ทองนั้น ไปจัดหามาให้ได้
@@@@@@@
ดังนั้น ใคร ๆ จึงไม่ควรอุตริมาพูดว่า อย่าเอาเงินทองไปถวายพระ มันจะทำให้พระเป็นบาป บาปโคตรพ่องโคตรแม่ม…สิ!
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้เอาไปถวายได้ แต่ถวายให้เป็น อย่าเอาเงินไปให้พระจับ ให้เอาเงินไปมอบให้ไวยาวัจกร หรือโยมอุปัฏฐากวัด หรือใส่ตู้บริจาคก็ได้ หรือวางไว้ในที่อันควร แล้วบอกพระว่า โยมขอถวายปัจจัย ๔ เป็นมูลค่าเท่านั้นเท่านี้ พระคุณเจ้าประสงค์สิ่งใดอันควรแก่สมณบริโภค โปรดเรียกหาจากไวยาวัจกร
ชาวพุทธจงรู้ไว้ พระวินัยห้ามไม่ให้พระรับเงินทองด้วยตนเอง แต่ทรงอนุญาตให้ผู้อื่นรับแทนได้ โปรดทำความเข้าใจเสียให้ถูกต้อง แต่พระวินัยห้ามไม่ให้พระจับเงินทอง หรือยินดีในเงินทองนั้น ทั้งห้ามไม่ให้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยเงินทองกับคฤหัสถ์ ดังเช่น การทำธุรกิจพุทธพาณิชย์ซื้อขายเครื่องรางของขลัง เป็นต้น
เงินทองมันเป็นของร้อน ท่านก็ไม่ให้เอามือไปจับ เดี๋ยวมันจะลวกมือ พระมีเงินทองติดตัว มันก็อันตราย จะถูกปล้นถูกจี้ มันไม่ต่างจากคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน แต่ว่า เงินทองมันก็เป็นของจำเป็นต่อการดำรงชีพ แต่ถ้าจำเป็นต้องจับ ท่านก็ให้เอาคีมไปหนีบไปจับ พอได้ใช้ประโยชน์ แต่ไม่ให้เอามือไปจับ เดี๋ยวมันจะลวกมือ จะตายเสียก่อนที่จะได้มรรค ผล นิพพาน หากมีกิจอันใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ท่านก็มอบให้ไวยาวัจกร หรือโยมอุปัฏฐากไปจัดการแทน นี่เรียกว่า เอาคีมไปจับ หรือถ้าจำเป็น พระก็ไปด้วยกันก็ได้ แต่พระไม่จำเป็นต้องจับเงิน หรือพกเงินใส่ย่ามไปเอง ให้โยมอุปัฏฐากที่ไว้ใจได้ถือไป
บางทีพระก็ต้องยอมลำบากบ้าง เพื่อรักษาพระวินัยให้บริสุทธิ์ ถ้าอยากสบายเหมือนฆราวาสก็อย่ามาบวชเลย มันจะหนักศาสนาเปล่า ๆ เป็นพระก็ต้องลำบากกว่าฆราวาสเป็นธรรมดา เพราะพระต้องรักษาศีล ๒๒๗ ชาวบ้านเขามีอย่างมากก็แค่ศีล ๕ พระจะไปทำตัวสบาย ๆ เหมือนฆราวาสได้อย่างไร?
แต่ก็นั่นแหละ สถานะของพระแต่ละรูป ก็ไม่เท่าเทียมกัน บางรูปก็มีโยมอุปัฏฐากดูแลเป็นอย่างดี ต่อให้เดินทางรอบโลก ก็ไม่ต้องจับเงินแม้แต่สักบาทเดียว ก็สามารถไปได้หมด
แต่พระบางรูปที่ไม่มีโยมอุปัฏฐากดูแล แถมด้อยทางด้านสติปัญญา ก็อาจมีทำผิดพระวินัยด้วยเรื่องจับเงินทองบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องปกติของการอยู่ร่วมกันในคนหมู่มาก ผู้ที่รักษากฏกติกาไว้ได้ก็มี ผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาแหกกฏกติกาอยู่เสมอก็มี เพราะโลกนี้มันมีทั้งคนดี คนชั่ว พระก็ต้องมีทั้งพระดี พระชั่ว เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะพระมาจากคน ถ้าคนชั่วมาบวช หากบวชแล้วไม่ตั้งใจปฏิบัติแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ไม่มีหิริ คือความละอายต่อบาป ไม่มีโอตตัปปะ คือความสะดุ้งกลัวต่อบาป กฏกติกาใด ๆ ในโลก ไม่ว่าจะดีแค่ไหน ก็บังคับคนเช่นนั้นให้ปฏิบัติตามไม่ได้
@@@@@@@
พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยไว้ ก็มิได้มีพระประสงค์เพื่อจะฆ่าพระให้ตาย แต่พระวินัยจะเป็นเหมือนรั้วกั้นทาง เพื่อคอยประคับประคองให้พระปฏิบัติตนอยู่ในกรอบอันเดียวกัน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ไม่ให้พระเดินหลงออกไปนอกทาง ซึ่งมันจะนำความวิบัติฉิบหายมาสู่พระได้
ยิ่งมีข่าวที่นิติบริกรคิดที่จะออกกฎหมายมาควบคุมเรื่องการเงินของวัดของพระ บังคับให้พระต้องทำบัญชี อันนี้ต้องระวังไว้ให้ดี ๆ มันเป็นดาบสองคม และจะเป็นการละเมิดพระวินัย เพราะในพระวินัยไม่ได้กำหนดให้พระต้องทำบัญชีรายงานใคร ในเมื่อมันเป็นเงินของสงฆ์ ที่เกิดจากศรัทธาของชาวพุทธที่มีต่อพระสงฆ์ ท่านมอบให้สงฆ์เป็นใหญ่ แล้วใครจะมาใหญ่เหนือสงฆ์ ใหญ่เหนือพระธรรมวินัย
เรื่องให้พระทำบัญชีเงินนี่ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ล่อแหลมต่อการละเมิดพระวินัย อาจเป็นการเอากฎหมายมาทำลายล้างพระวินัย และทำลายพระให้เหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ ได้เลย
ชาวพุทธเอ๋ย! ถ้าไม่รู้จักช่วยกันปกป้องพระธรรมวินัย ให้เขาเอากฎหมายมาใหญ่เหนือพระธรรมวินัยได้ นั่นแหละ คือการทำลายศาสนาพุทธให้สิ้นซากไปได้เลย พระธรรมวินัยคือองค์แทนพระศาสดา ท่านบัญญัติพระวินัยไว้ดีแล้ว ไอ้นักกฎหมายหัวดำ มันจะเก่งกว่าพระศาสดาแลหรือ?
อีกหน่อยจะหาหมามาบวชสักตัวก็ยังยาก เพราะถูกกฎหมายบังคับให้ทำโน่นทำนี่มากมาย ที่เกินขอบเขตของพระวินัย แล้วพระจะอยู่กันได้อย่างไร?
@@@@@@@
แค่รักษาศีล 227 ให้บริสุทธิ์ ก็หนักหนาสาหัสมากแล้ว ทั้งยังต้องทำความเพียรฝืนกิเลส ฆ่ากิเลส แล้วยังต้องมาปฏิบัติตามกฎหมายที่ออกมาบังคับพระให้ทำโน่นทำนี่ ต้องทำบัญชีไม่รู้กี่บัญชี และพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านก็ไม่ได้มาสนใจเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มีเท่าไรก็ใช้ไป จะก่อสร้างทำอะไรก็ทำไป ให้ทานสงเคราะห์โลกบ้าง เหลือเท่าไรก็เท่านั้น ไม่ได้มาคอยตรวจสอบทำบัญชีอย่างเป็นทางการตามกฎหมายเหมือนที่บริษัทห้างร้านทำกัน
ต่อไปคงจะวุ่นวายน่าดู เพราะการทำบัญชีก็ต้องมีใบเสร็จเป็นหลักฐาน ค่าใช้จ่ายบางอย่างก็ไม่มีใบเสร็จ และพระก็ไม่ได้จับเงินเอง นับเงินเอง หากตัวเลขกับตัวเงินไม่ตรงกัน จะไม่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกหรอกหรือ? จะมีกี่วัด พระกี่รูป ที่รู้เรื่องทำบัญชี ทุกวันนี้ วัดตามบ้านนอก จะหาพระเฝ้าวัดสักสองสามรูปก็ยังยาก
นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ศาสนาพุทธจะถูกทำลายโดยชาวพุทธด้วยกันเอง น่าเศร้าใจนัก! เอาหัวคิดอันชาญฉลาด ไปคิดออกกฎหมายอย่าให้นักการเมืองมันโกงชาติ ปล้นชาติ จะดีกว่าไหม? พระสงฆ์ท่านไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดต้องออกกฎหมายมาควบคุมกันขนาดนั้น
นักกฎหมายที่ดี ๆ ในบ้านนี้เมืองนี้ จงช่วยกันนะ อย่าให้พวกนิติบริกรใจคดทั้งหลายมาออกกฎหมาย มาบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ มาเพิกถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว มิฉะนั้น ศาสนาพุทธคงจะถึงกาลวิบัติฉิบหายในเวลาอีกไม่นาน
เมื่อออกกฎหมายอย่างหนึ่งได้ ก็จะมีอย่างที่สอง ที่สามตามมา โดยอ้างว่าป้องกันพระทำผิดพระธรรมวินัย ทั้งที่พระพุทธองค์ทรงป้องกันไว้อย่างรอบคอบแล้ว ผู้ที่จะประพฤติผิดพระธรรมวินัย ไม่มีสิ่งใดป้องกันได้หรอก นอกจากเขาจะมีหิริโอตตัปปะอยู่ภายในใจเองเท่านั้น
@@@@@@@
ซึ่งถ้าออกกฏหมายป้องกันคนทำผิดได้ ประเทศไทยก็ไม่ควรจะมีโจร ข้าราชการก็ไม่ควรจะมีการทุจริต ตำรวจทหารก็ไม่ควรจะมีการรีดการไถ บริษัทห้างร้านต่าง ๆ ก็ไม่ควรจะมีการโกงบัญชีหนีภาษี เพราะทั้งมวลก็มีกฏหมายเขียนป้องกันไว้หมดแล้ว แต่คนมันจะโกง มันกลัวกฏหมายเสียที่ไหน ฉันใดก็ฉันนั้น
การมาออกกฎหมายก้าวล่วงพระวินัย ให้ปรับโทษพระที่ทำผิดเกินจากพระวินัยได้ มันก็ห้ามพระทำผิดไม่ได้ แต่มันฆ่าพระดี ๆ ให้ตายได้แน่นอน เรื่องเงินทองพระวินัยปรับโทษปาราชิกเฉพาะที่เจตนาโกงเงินมีมูลค่าตั้งแต่ ๕ มาสก เทียบเท่าทองคำหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก สมัยนี้คงเทียบเท่าราคาทองคำหนักประมาณ ๑ บาท ถ้ามูลค่าต่ำกว่านั้น ก็ไม่ได้ปรับโทษ ถึงปาราชิก
แต่ถ้าถือเป็นเป็นโทษผิดทางกฎหมาย ก็จับสึกได้เลย นี่เรียกว่า เพิ่มโทษเกินจากพระวินัย
และพระที่ทำไม่ดี ก็จะมีมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าพระทำผิดกฎหมายแล้ว จะกลับตัวไม่ได้ ต้องถูกจับสึก ในขณะที่พระทำผิดพระวินัย ถ้าไม่ถึงขั้นผิดกฎหมาย ท่านให้โอกาสกลับตัวได้ พระปลงอาบัติแล้วก็เป็นอันพ้นผิดไป
ดังนั้น พระไม่ดี ก็จะใช้วิธีการหลบเลี่ยงกฎหมายให้แยบยลเข้าไปอีก ก็สมคบกับคนชั่ว นักกฎหมายชั่ว นักบัญชีชั่ว นั่นแหละ แล้วประพฤติทุจริตกันต่อไป
ในขณะที่พระดี ท่านไม่อยากยุ่งกับเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ เหล่านี้ ก็คงต้องหนีออกจากวัด ไปสร้างกุฏิอยู่ในที่สบายใจ ไม่ต้องเป็นวัดเป็นวาแม่ม..ล่ะ เพราะเป็นวัดมันมีแต่เรื่องยุ่ง ๆ ไม่รู้กฎหมายกี่ฉบับบังคับควบคุมเอาไว้ วัดจะกลายเป็นวัดร้างกันระเนระนาด เพราะไอ้นักกฎหมายหัวดำนี่แหละ มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า
เพราะถ้าจะออกกฎหมายจัดการกับพระอลัชชีที่ทำผิดพระวินัยจนถึงขั้นปาราชิกไปแล้ว มันไม่ใช่พระแล้ว แต่ไม่ยอมสึกออกไป ยังอาศัยศาสนาห่มผ้าเหลืองหลอกลวงประชาชนอยู่ หรือพวกที่ปลอมบวชเข้ามาสร้างความเสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา จะออกกฎหมายเอาโทษผิดทางอาญากับอลัชชีเหล่านี้ ก็เห็นสมควรอยู่
@@@@@@@
แต่จะออกกฎหมายเอาผิดกับพระที่ท่านไม่ได้ประพฤติผิดพระธรรมวินัยถึงขั้นปาราชิก หาควรไม่ เพราะพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ปลงอาบัติสำนึกผิด ก็พ้นจากอาบัติไปได้
อย่างที่บอกไว้แล้ว พระวินัยไม่ได้ทรงบัญญัติไว้เพื่อฆ่าพระ แต่เพื่อให้พระรู้การกระทำที่ผิด และแก้ไขปรับปรุงตัวให้ดีเสียใหม่ได้ พระพุทธองค์ทรงเปิดประตูไว้ให้กลับตัวได้ เพราะไม่มีใครจะทำถูกไปเสียทุกอย่าง คนเราย่อมมีโง่บ้าง มีฉลาดบ้างเป็นธรรมดา
อย่าพูดเลยว่า พระดีไม่กลัวทำผิดกฎหมาย ก็จริงอยู่ที่ท่านไม่กลัวทำผิดกฎหมาย เพราะพระวินัยละเอียดกว่ากฎหมาย แต่ถ้าออกกฎหมายมาบังคับพระได้ ลงโทษเอาผิดพระได้ ทั้งที่พระไม่ได้ทำผิดพระวินัย เป็นพระดีก็ถูกจับติดคุกได้ ดังเช่น กรณีบังคับให้พระทำบัญชีนี่แหละ จะเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน
พระวินัยบัญญัติปาราชิก 4 เท่านั้น จึงเป็นโทษประหาร แต่ถ้าออกกฎหมายเอาผิดพระได้ ก็เท่ากับเพิ่มโทษประหาร มีปาราชิกข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าผิดกฎหมายก็ต้องถูกจับสึก ก็เท่ากับมีปาราชิกเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
อีกหน่อยพระทำบัญชีผิดก็อาจต้องถูกจับสึก ต่อไปใครจะอยากบวช ใครจะเป็นเจ้าอาวาส วัดจะร้างไปตาม ๆ กัน นี่แหละ!! พวกอวดเก่งกว่าพระพุทธเจ้า อ้างว่าเพื่อปกป้องศาสนาพุทธ แต่ด้วยวิธีการที่ทำลายศาสนา ทำลายพระเณรให้หมดสิ้นไป
ถ้าชาวพุทธไม่ฉลาด ชาวพุทธก็ทำลายศาสนาพุทธเสียเอง ฆ่าพระเสียเอง ไม่ต้องรอให้ศาสนาอื่น ๆ มาฆ่ามาทำลายหรอก ....เอวังฯ
ประภาคารThank to : https://www.thairnews.com/เรื่องการเงินของวัด-พ/ โดย thairnews - 02/11/2560
|
|
|
88
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โวยวัดดังเชียงใหม่ ขูดค่าเช่าจาก 1,500 เป็น 17,000 รองเจ้าอาวาสรุดเคลียร์
|
เมื่อ: มีนาคม 02, 2024, 08:42:30 am
|
. โวยวัดดังเชียงใหม่ ขูดค่าเช่าจาก 1,500 เป็น 17,000 รองเจ้าอาวาสรุดเคลียร์ ผู้เช่าอาคารพาณิชย์หน้าวัดป่าเป้าขึ้นป้าย วิงวอนวัดดังกลางเมืองเชียงใหม่ลดค่าเช่า หลังแจ้งปรับค่าเช่าใหม่สุดโหดจากเดือนละ 1,500 บาทเป็น 17,000 บาท อ้างไม่พร้อมต่อสัญญาให้ขนของออกทันที
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้านค้าและผู้พักอาศัยในอาคารพาณิชย์ กว่า 23 คูหา หน้าวัดป่าเป้า บนถนนมณีนพรัตน์ ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นป้ายติดไว้หน้าอาคารเรียกร้องให้วัดป่าเป้าลดค่าเช่า หลังทางวัดให้ทนายความ ส่งหนังสือแจ้งผู้เช่าที่ใกล้หมดสัญญาว่า จะมีการปรับค่าเช่าใหม่ จากเดือนละ 1,500 บาทต่อคูหา เป็นเดือนละ 17,000 บาทต่อคูหา หากผู้เช่าไม่ดำเนินการต่อสัญญาตามกำหนด ถือว่าไม่ประสงค์จะเช่าอาคารพาณิชย์ต่อ ขอให้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารพาณิชย์ทันที
โดยอาคารพาณิชย์ที่ตั้งอยู่บนถนนมณีนพรัตน์หน้าวัดป่าเป้า ฝั่งคูเมืองเชียงใหม่ด้านนอก เป็นอาคาร 2 ชั้น นอกจากเป็นที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ยังเปิดเป็นร้านค้าขายเสื้อผ้า ชุดนักเรียน อุปกรณ์เดินป่า ร้านเครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้า หญิงวัย 50 ปี หนึ่งในผู้เช่า เปิดเผยว่า พ่อทำสัญญาเช่าที่ดินกับวัดป่าเป้ามาตั้งแต่ปี 2518 จากนั้นก็ลงทุนสร้างอาคารพาณิชย์ขึ้นเองเพื่ออยู่อาศัยและค้าขาย โดยช่วงแรกเสียค่าเช่าเดือนละ 200 บาท และขยับขึ้นมาเป็นเดือนละ 400 บาท ต่อเมื่อปี 2552 ผู้อาศัยที่ครบสัญญาเช่า เจ้าอาวาสรูปที่สองได้แจ้งขอปรับค่าเช่าเป็นเดือนละ 1,500 บาท ทำสัญญา 15 ปี พร้อมค่าเซ้ง หรือเงินกินเปล่า 500,000 บาท ผู้อาศัยทุกหลังตกลงทำสัญญา บางรายมีเงินก็จ่ายค่าเซ้งไปทั้งก้อน แต่บางรายก็ขอผ่อนจ่ายเป็นงวดๆ รวมค่าเซ้งที่ทางวัดได้ไปกว่า 11,500,000 บาท
กระทั่งเมื่อปลายปี 66 หลายครอบครัวใกล้หมดสัญญาเช่า ทางวัดจึงมอบหมายให้ทนายความส่งหนังสือมาแจ้งเรื่อการต่อสัญญาใหม่ และปรับค่าเช่าเป็นเดือนละ 17,000 บาทต่อคูหา หรือเพิ่มจากเดิมกว่า 10 เท่า และขอเก็บค่าเช่าล่วงหน้า 3 เดือน หากไม่ต่อสัญญาก็ให้ย้ายออกทันที เพราะทางวัดจะให้คนอื่นมาเช่าต่อ พร้อมมอบหมายให้ทนายความเข้ามาสำรวจอาคารพาณิชย์ สร้างความงุนงงให้ชาวบ้านเป็นอย่างมาก
เจ้าของรายนี้ บอกอีกว่า เวลานี้ชาวบ้านได้รับความร้อนเดือดร้อนมาก เพราะทางวัดแจ้งแบบกระชัดชิด หลายครอบครัวอาศัยอยู่มานานกว่า 70 – 80 ปี ตั้งแต่เป็นที่ดินเปล่า ทุกคนลงทุนสร้างอาคารขึ้นมาเอง หากวัดจะปรับขึ้นค่าเช่าก็ควรแจ้งให้ชาวบ้านทราบก่อน ช่วงแรกชาวบ้านพยายามเข้าไปพูดคุยกับเจ้าอาวาสขอลดค่าเช่าในราคาที่เหมาะสมและอยู่ได้เพราะเศรษฐกิจไม่ดี แต่เข้าไปคุยถึง 2 ครั้งเจ้าอาวาสไม่ยินยอม จนครั้งล่าสุดเจ้าอาวาสปฎิเสธไม่ให้เข้าพบโดยอ้างว่าอาพาธด้านนายปรีชา ขันธนา ประธานชุมชนวัดป่าเป่า กล่าวว่า นอกจากอาคารพาณิชย์หน้าวัด ยังมีชุมชนที่อยู่หลังวัดอีกกว่า 100 หลังคาเรือน หากวัดขึ้นค่าเช่าอาคารพาณิชย์ฝั่งด้านหน้า ก็เกรงว่าต่อไปจะขึ้นค่าเช่ากับชุมชนด้านหลังอีก จึงได้มีการยื่นขอเสนอขอให้ทางวัดเก็บค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท สัญญา 15 ปี และต่อสัญญาทุก 3 ปี โดยผู้เช่าจะเสียภาษีโรงเรือนเอง
ล่าสุดเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พระมหาอนุพันธ์ อภิวฑฺฒโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดป่าเป้า ได้เดินทางมาเจรจากับผู้เช่าอาคารพาณิชย์หน้าวัด เพื่อรับข้อเสนอจากผู้เช่าและนำไปหารือกับพระครูอมรวีรคุณ เจ้าอาวาสอีกครั้ง
พระมหาอนุพันธ์ กล่าวว่า ยังไม่ขอให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลอะไรเพราะยังไม่ได้ข้อสรุป ต้องนำข้อเสนอของชาวบ้านไปแจ้งให้เจ้าอาวาสทราบก่อน เพื่อตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นทางสำนักพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ ทราบเรื่องแล้วและจะลงพื้นที่มาพูดคุยในประเด็นนี้กับเจ้าอาวาสและชาวบ้านอีกครั้งขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนออนไลน์ URL : https://thebuddh.com/?p=77827
|
|
|
89
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ว่าด้วย “ตำรวจพระ”
|
เมื่อ: มีนาคม 02, 2024, 08:34:28 am
|
. ว่าด้วย “ตำรวจพระ” จากกรณีมีข่าว “หลวงพี่น้ำฝน” วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม จับกุมพระภิกษุที่เริ่ยไรเงินและอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง จนถูกสึกออกไป ตอนหลังมีข่าวว่า กลับมา “ห่มจีวรใหม่” อีกครั้ง ต่อมา พระธรรมวชิรานุวัตร หรือ “เจ้าคุณแย้ม” เจ้าคณะภาค 14 ไปเปิดสัมนาว่าด้วยพระวินยาธิการพร้อมมอบบัตรประจำตัวให้ หรือก่อนหน้านั่น พระเทพเวที “เจ้าคุณพล” เจ้าคณะภาค 6 ก็ไปเปิดศูนย์พระวินยาธิการ จังหวัดเชียงราย โดยมี กอ.รมน. ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น เข้าร่วม
หลังเสนอข่าวออกไป มีชาวพุทธจำนวนมากยังไม่ทราบว่า “พระวินยาธิการ” หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ตำรวจพระ” เกิดแล้ว โดยเฉพาะกรณี “หลวงพี่น้ำฝน” มีคนพูดถึงท่านค่อนข้างมาก เพราะบทบาทของท่านประเภท “ถึงลูกถึงคน” คล้าย ๆ กับในอดีต ตำนวนพระวินยาธิการ สิงห์เหนือเสือใต้ “มหาเสวย-มหาอดุลย์” เมื่อ “อลัชชี-พระนอกรีต” แค่ได้ยินชื่อ “เยี่ยวหด ตดหาย” โดยเฉพาะจำพวกบิณฑบาตล่วงเลยเวลาที่กำหนดไว้คือ ประมาณ 08.00 น. หรือจำพวกเช่าบ้าน หรือ ยืนอยู่กับที่ ประเภทนี้ถูกจับสึกหมด บางกรณีไล่จับจีวรปลิว!!
พระภิกษุที่ทุ่มเททำงานปราบปรามพระนอกรีตประเภทบู้ดุเดือดแบบ “พระมหาเสวย พระมหาอดุลย์” หรือแม้กระทั้ง “หลวงพี่น้ำฝน” เดียวนี้หายาก กลัวโยมมองว่า “ไม่เหมาะสม” ความเป็นสมณเพศ
ซ้ำเมื่อเห็นภาพของ “หลวงพี่น้ำฝน” เป็นพระวินยาธิการ โดยตำแหน่งของท่านคือ ประธานคณะทำงานดำเนินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 มีทั้งพระภิกษุและฆราวาสบางคน พูดเชิงทำนองแหนะกระแหน เนื่องจากภาพของท่านเป็น “พระสายมู” มองว่าไม่เคร่งครัด ประพฤติไม่เหมาะสมกับความเป็นสมณะ ทั้ง ๆที่ หลวงพี่น้ำฝน อีกด้านหนึ่งท่านเป็น “พระนักพัฒนา -สังคมสงเคราะห์” ตัวยง หากตัวจับยาก รูปหนึ่งในสังคมไทย
@@@@@@@
และหากจะว่าตำแหน่งของ “หลวงพี่น้ำฝน” เมื่อเทียบกับตำแหน่งทาง “ตำรวจภูธร” ก็เสมือน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 อย่างไรอย่างนั้น เพราะคุมถึง 4 จังหวัดคือ นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี ต่างกันนิดเดียวคือ “ตำรวจภาคภูธร 7” กินพื้นที่จังหวัดมากกว่าเท่านั้น
ความจริง “ตำรวจพระ” หรือ “พระวินยาธิการ” เกิดขึ้นมานานแล้วในคณะสงฆ์ เพียงแต่เดิมไม่มีกฎหมาย กฎระเบียบอะไรรองรับ ยุคก่อนการเกิดขึ้นของ “พระวินยาธิการ” เกิดขึ้นเพราะเจ้าคณะปกครองบางรูปต้องการ “แก้ปัญหาพระประพฤตินอกรีต” การจับกุม จับสึก บางกรณีเจอ “พวกหัวหมอ” เจอสายแข็ง หมิ่นเหม่ต่อ “ถูกฟ้องกลับ” เพราะไม่มีกฎหมาย กฎระเบียบอะไรรองรับ
“ผู้เขียน” ติดตาม ระเบียบพระวินยาธิการ ตั้งแต่ “ตั้งไข่” ไปร่างและประชุมกันอยู่ที่ “วัดหงส์” เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยมี “พระพรหมโมลี” วัดปากน้ำเป็นประธานกรรมการ ร่างระเบียบพระวินยาธิการ และหากจะว่าไปตามตรงระเบียบพระวินยาธิการ ถือว่าเป็น “ผลงานชิ้นเดียว” ของ “สมเด็จพระพุฒาจารย์” เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายปกครอง ที่มหาเถรสมาคมมีคำสั่งแต่งตั้งไว้เมื่อปี 2559 เพื่อการปฎิรูปกิจการพระพุทธศาสนา 6 +1 นอกนั้นมีหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะไม่ปรากฎออกมาสู่สาธารณชน หากมี “กราบขออภัย” สาระสำคัญของเระเบียบมหาเถรสมาคมว่าด้วยพระวินยาธิการ พ.ศ. 2562 นี้ ระบุว่า ออกตามความในมาตรา 15 ตรีแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535
เหตุผลสำคัญที่จำต้องออกระเบียบพระวินยาธิการ เนื่องด้วยการปฎิบัติหน้าที่ของพระวินยาธิการปัจุจุบัน ยังไม่มีบทบัญญัติรองรับที่ชัดเจน ดังนั้น เพื่อให้การปฎิบัติหน้าที่ของพระวินยาธิการเกิดความเรียบร้อยดีงาม ตามเจตนารมณ์แห่งการรักษาหลักพระธรรมวินัยและกฎหมาย จึงจำต้องออกระเบียบนี้ ลงนามโดย สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562
เนื้อหาหลัก ๆ แบ่งออก ชเป็น 6 หมวด 28 ข้อ เช่น คณะกรรมการ เจ้าคณะใหญ่ เป็นประธาน ไล่ลงไปจนถึงจังหวัด ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน พร้อมทั้งเจ้าคณะอำเภอในจังหวัดอีกไม่เกิน 5 รูป ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมเป็นคณะกรรมการ และจะต้องจัดตั้งศูนย์พระวินยาธิการประจำจังหวัด และตำบลหนึ่งให้มีพระวินยาธิการจำนวน 2 รูป คุณสมบัติสำคัญคือ ต้องเป็นพระสังฆาธิการ เป็นเปรียญหรือมีความรู้นักธรรมเอก อำนาจหน้าที่ คือ ตรวจตรา แนะนำ ชี้แจง ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการสืบสวน สอบสวนแล้วแต่กรณี หากเจอพระภิกษุสามเณร ไม่ยินยอมขออารักขาต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ เป็นต้น
ส่วนงบประมาณ หากจำไม่ผิดได้รับเงินอุดหนุนต่อปี ย้ำต่อปี รูปละ 2,000 พันบาท บางรูปบอกแค่ค่ารถต่อครั้งบางกรณีก็ไม่พอแล้ว..
@@@@@@@
“ผู้เขียน” คิดว่าระเบียบพระวินยาธิการหรือ “ตำรวจพระ” นี้ น่าจะเป็นเครื่องมือ “ป้องกัน” พระวินยาธิการถูกฟ้องกลับได้ดี ในขณะเดียวกันหาก “คณะสงฆ์” ใช้เป็น อาจนำไป “ปกป้องคุ้มครองภัย” ที่มากระทบคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาในมิติอื่น ๆ ได้ด้วย ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ขอคณะสงฆ์ทุกภาคต้องจับมือทำงาน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อาจต้องขอแรงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดสัมมนาระดมความร่วมคิด ร่วมทำ ตามหนต่าง ๆ เสมือนมาระดมความคิดว่า ภัยพระพุทธศาสนาทั้งภายในและภายนอกของเราตอนนี้มีอะไร แล้วคิดออกมาเป็นผัง ถอดออกมาเป็นฉาก ๆ แล้วหามาตรการแนวทางป้องกัน ซึ่งคิดว่าที่ผ่านมา คณะสงฆ์ ในภาพรวมยังไม่เคยทำในลักษณะแบบนี้
และเพื่อให้แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คณะสงฆ์ หรือ กลุ่มพระวินยาธิการ จำเป็นต้อง สร้าง “ภาคีเครือข่าย” เช่น สถาบันการศึกษา ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น ชาวบ้าน หรือแม้กระทั้งองค์ด้านกฎหมาย เช่น สภาทนาย องค์กรมูลนิธิอื่น ๆ “กลุ่มพระวินยาธิการ” ก็ควรดึงมาเป็นภาคีเครือข่าย ทั้งติดอาวุธทั้งอบรมกฎหมายคณะสงฆ์ต้องรู้ อย่างที่ “พระธรรมราชานุวัตร” เจ้าคณะภาค 10 ร่วมกับ “มูลนิธิทนายกองทัพธรรม” อบรมให้กับพระสังฆาธิการ ไวยาวัจกรในเขตปกครองภาค 10
บทบาท พระวินยาธิการ หรือ “ตำรวจพระ” หากจะว่าไป เมื่อมีระเบียบรองรับแบบนี้ ควรมีบทบาทและทำหน้าที่ให้เข้มกว่านี้ เพื่อดึงศรัทธาญาติโยมกลับมา ยุคนี้ “วิกฤติศรัทธา” ภาพลบ เกิดขึ้นกับคณะสงฆ์เป็นอันมาก คนเบื่อพระสงฆ์เยอะ ส่วนหนึ่งนอกจาก “ความเชื่อ” สังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนสำคัญเกิดจาก..สถาบันสงฆ์ เองเป็นนัยสำคัญ พูดให้ชัดคือ สังคมไทยยุคใหม่ ไม่ชอบพวกอภิสิทธิ์ชน ไม่ชอบคนอยู่ “เหนือคน” ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน มีนักวิชาการ คนชั่นกลาง เด็กรุ่นใหม่ บางกลุ่ม มองคน “เท่าเทียม” กันหมด
สุดท้าย ขอฝากถึง “พระวินยาธิการ” ซึ่งหากนับตำบลในประเทศไทยมีมากกว่า 7,000 ตำบล ๆ หนึ่ง มีพระวินยาธิการ 2 รูป รวมแล้ว 14,000 กว่ารูป ว่า เมื่อพวกท่านเป็น พระวินยาธิการ หรือ “ตำรวจพระ” แล้ว ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับพระภิกษุสงฆ์รูปอื่นๆ ต้องเคารพ “พระธรรมวินัย” กฎหมาย และจารีตที่ดีงาม อย่าง “หลงตัวเอง” ทำผิดเอง หรือ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่มิชอบ เอื้อต่อพวกพ้องเป็นอันขาด!!Thank to : https://thebuddh.com/?p=77853
|
|
|
91
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เขมรอยุธยา ญาติใกล้ชิดที่ถูกบิดเบือน
|
เมื่อ: มีนาคม 01, 2024, 10:00:34 am
|
. . เขมรอยุธยา ญาติใกล้ชิดที่ถูกบิดเบือนขบวนแห่ของชาวสยามหรือ “เสียมก๊ก” สุจิตต์ วงษ์เทศ เคยกล่าวว่า คนกลุ่มนี้เป็นพวกที่อยู่รัฐและบ้านเมืองบริเวณสองฝั่งโขงที่เป็นเครือญาติใกล้ชิดสนิทสนมของกษัตริย์กัมพูชาในยุคนั้น ไม่ใช่ “กองทัพเมืองขึ้นของขอม” ตามคำอธิบายของนักวิชาการเจ้าอาณานิคมตะวันตก “เขมร” ใน “อยุธยา” ญาติใกล้ชิดที่ถูกบิดเบือน!?
กลุ่มคนในวัฒนธรรมเขมรนับว่ามีบทบาทต่อสังคมอยุธยามาตั้งแต่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา เพราะอาณาจักรเขมรโดยเฉพาะในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้แผ่อิทธิพลเข้ามายังบริเวณภาคกลางของสยาม และ “ชาวเสียม” ก็มีส่วนร่วมในสงครามที่เขมรทำกับจาม ปรากฏเป็นภาพสลักที่ปราสาทนครวัดที่มีชื่อเรียกว่า “เสียมกุก” แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหาที่สิ้นสุดได้ยากว่า “เสียมกุก” ที่ปราสาทนครวัดหมายถึงชาวสยามที่บริเวณใดกันแน่
@@@@@@@
เขมรพระนครสมัยรุ่งเรือง ต้นแบบราชสำนักสยาม
นอกจากนี้ เขมร ยังเป็นวัฒนธรรมที่แข่งขันกับวัฒนธรรมทวารวดีในย่านนี้ตลอดตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 เมื่อสิ้นอำนาจไปแล้วได้ทิ้งร่องรอยทางศิลปกรรมเอาไว้ในรูปที่เรียกว่า “ศิลปะบายน” (Bayon Art) เช่น ปรางค์สามยอดที่เมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ปราสาทสระมรกตที่เมืองศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี ปราสาทวัดกำแพงแลงเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ฯลฯ
จารึกปราสาทพระขรรค์ ซึ่งทําขึ้นโดยพระวีรกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้กล่าวถึงนามเมืองสำคัญในเขตภาคกลางของสยาม 6 เมือง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงส่งพระพุทธรูปจำหลักแทนพระองค์ที่เรียกว่า “พระชัยพุทธมหานาถ” ไปประดิษฐานไว้ เมืองทั้งหกมีรายนามและข้อสันนิษฐานถึงอาณาเขตที่ตั้งกันดังต่อไปนี้
(1) “ลโวทยปุระ” (ละโว้ ลวปุระ หรือลพบุรี จังหวัดลพบุรี)
(2) “สุวรรณปุระ” (อาจเป็นที่เนินทางพระ สามชุก หรือไม่ก็ตัวเมืองสุพรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี)
(3) “ศัมพูกปัฏฏะนะ” (เมืองโบราณที่สระโกสินารายณ์ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี)
(4) “ชัยราชปุระ” (มีศูนย์กลางอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี ซึ่งมีร่องรอยการเป็นปราสาทเขมรเก่า)
(5) “ศรีชัยสิงหปุระ” (บางท่านว่าเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ขณะที่บางท่านเห็นต่างว่าเป็นเมืองสิงห์บุรีเก่าที่ตําบลจักรสีห์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี แต่โดยทั่วไปยอมรับว่าคือเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี)
(6) “ศรีชัยวัชรปุระ” (ศูนย์กลางอยู่ที่ปราสาทวัดกำแพงแลง จังหวัดเพชรบุรี)
ปราสาทเขมรได้พัฒนาคลี่คลายรูปแบบต่อมากลายเป็นมหาธาตุทรงปรางค์ บางครั้งเรียกว่า “ทรงฝักข้าวโพด” เพราะเป็นเจดีย์ที่มีรูปทรงคล้ายข้าวโพด [1] มหาธาตุทรงปรางค์ถือเป็นประธานหลักของเมืองสำคัญต่างๆ อาทิ ปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองลพบุรี ปรางค์ประธาน วัดมหาธาตุวรวิหาร เมืองราชบุรี ปรางค์ประธานวัดมหาธาตุ เมืองเพชรบุรี ปรางค์ประธานวัดจุฬามณีและวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก ปรางค์ประธานวัดหน้าพระธาตุ เมืองสิงห์บุรี ปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองสุพรรณบุรี และวัดมหาธาตุ กรุงศรีอยุธยา ก็เป็นมหาธาตุทรงปรางค์ เช่นกัน มหาธาตุทรงปรางค์นี้เป็นที่นิยมทำมาจนถึงวัดอรุณราชวรารามหรือวัดแจ้งที่กรุงเทพฯ
จาก คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง กล่าวถึง “พระมหาธาตุที่เป็นหลักกรุงศรีอยุธยา” มีอยู่ 5 องค์ คือ พระมหาธาตุวัดพระราม พระมหาธาตุวัดมหาธาตุ พระมหาธาตุวัดราชบุรณ (วัดราชบูรณะ) พระมหาธาตุวัดสมรโกฏ (วัดสมณโกศฐาราม) และพระมหาธาตุวัดพุทไธสวริย (วัดพุทไธสวรรย์) [2] นอกจากนี้ ในพื้นที่ย่านตัวเมืองกรุงศรีอยุธยา ยังพบเจดีย์ทรงปรางค์อีกหลายแห่ง ได้แก่ วัดส้มหรือวัดกุฎีฉลัก วัดเจ้าพราหมณ์ (วัดขุนพราหมณ์) วัดไตรตรึงษ์ วัดลังกา วัดถนนจีน วัดเชิงท่า วัดกษัตราธิราช วัดไชยวัฒนาราม วัดโลกยสุทธาราม วัดวรเชษฐ์เทพบำรุง
จากการที่เขมรเป็นศูนย์กลางการแพร่วัฒนธรรมอินเดียโบราณ ทำให้วัฒนธรรมเขมรที่ผสมผสานระหว่างอินเดียกับพื้นเมืองกลายเป็นต้นแบบของวัฒนธรรมจารีตในรัฐลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยารุ่นหลัง ที่ยังคงอ้างอิงและสร้างสิทธิธรรมจากการสืบทอดวัฒนธรรมเขมรยุครุ่งเรืองหรือเขมรพระนคร ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีหลวงหรือขนบธรรมเนียมของราชสำนักหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นภาษาราชสำนักหรือราชาศัพท์ก็พัฒนามาจากภาษาเขมรโบราณ ภาษานี้ใช้สื่อสารแพร่หลาย ดังจะเห็นได้จากจารึกและใบลานสมัยอยุธยา ที่นิยมจดจารด้วยภาษาเขมรโบราณ [3] การพระราชพิธี 12 เดือน (ทวาทศมาส) พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ไปจนถึงการแต่งกายของชนชั้นนำอยุธยาในยุคต้นและศิลปะการฟ้อนรำต่างๆ รวมถึงพิธีกรรมต่างๆ ที่พราหมณ์เขมรมีบทบาทต่อราชสำนักอยุธยา [4]
@@@@@@@
ญาติชิดสนิทใกล้ ชนชั้นนำอยุธยากับเขมรพระนคร
ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างอยุธยากับเขมรยังมีสาเหตุปัจจัยมาจากความเป็นเครือญาติชาติพันธุ์ระหว่างชนชั้นนำทั้งสองบ้านเมือง โดยเฉพาะราชวงศ์อู่ทองที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับเขมรพระนคร เพราะเมืองลพบุรีเคยเป็นเมืองลูกหลวงของเขมรพระนครในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มาก่อน ในเวลาต่อมา เมืองลพบุรียังคงมีความสำคัญในฐานะเมืองลูกหลวงของราชอาณาจักร เพียงแต่เปลี่ยนสถานะจากเมืองลูกหลวงของเขมรพระนคร มาเป็นเมืองลูกหลวงของอยุธยา ดังจะเห็นได้จากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) หลังสถาปนากรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 1893 ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสองค์โตขึ้นไปครองเมืองลพบุรี
อนึ่ง เมื่อพิจารณาประเด็นเรื่องเครือญาติแล้ว อันที่จริงชื่อ “ราชวงศ์อู่ทอง” นี้ควรปรับแก้เสียใหม่เป็น “ราชวงศ์ละโว้” หรือ “ราชวงศ์ลพบุรี” เพราะคำว่า “ราชวงศ์อู่ทอง” มาจากความเชื่อว่ากษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1893 ทรงอพยพมาจากเมืองอู่ทอง แต่ที่จริงราชวงศ์นี้สืบสายมาจากวงศ์กษัตริย์ผู้ครองเมืองลพบุรี ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางอำนาจของเขมรในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาก่อน
จากที่ชนชั้นนำอยุธยามีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเขมรพระนครจึงเป็นเหตุให้เอกสารล้านนาเรียกกรุงอโยธยาว่า “กรุงกัมโพช” ไปด้วย [5] อโยธยาในช่วงก่อนสถาปนากรุง พ.ศ. 1893 ก็คือเมืองท่าหน้าด่านทางตอนใต้ของแคว้นลพบุรีหรือรัฐละโว้ ต่อมาพัฒนากลายเป็นเมืองหลวงของรัฐละโว้แทนที่เมืองลพบุรี ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสัมพันธ์กับการเปลี่ยนราชวงศ์ที่นับถือพุทธมหายานแบบเขมร มาเป็นกลุ่มที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาทลังกาวงศ์ แต่ยังคงอ้างสิทธิสืบสายพระโลหิตมาจากกษัตริย์ราชวงศ์ก่อนหน้า [6]
แม้เมื่อหลังสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว กษัตริย์ผู้ครองเมืองจะหันไปมีสายสัมพันธ์กับแคว้นสุพรรณภูมิและนครศรีธรรมราช แต่ก็มิได้ละทิ้งขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมเดิมของตนที่เป็นฝ่ายนิยมเขมร การทวีความสำคัญของพุทธศาสนาแบบเถรวาทลังกาวงศ์ ยังทำให้กษัตริย์อโยธยาสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแคว้นสุโขทัยอีกด้วย เนื่องจากอโยธยาเป็นรัฐที่มีปฏิสัมพันธ์กับรัฐข้างเคียงกรอบทิศเช่นนี้ คือ ทิศตะวันออกสัมพันธ์กับเขมรพระนคร ทิศใต้สัมพันธ์กับนครศรีธรรมราช ทิศตะวันตกสัมพันธ์กับสุพรรณภูมิ ทิศเหนือสัมพันธ์กับสุโขทัย จึงเป็นเงื่อนไขให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์หนึ่งไปสู่อีกราชวงศ์หนึ่ง และที่สำคัญคือเปิดต่อการเข้ามาของคนภายนอกรอบทิศตลอดเวลา
ความนิยมในศิลปวัฒนธรรมเขมรพระนครยังมีอยู่ในหมู่ชนชั้นนำอยุธยา ล่วงมาถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้ทรงให้ช่างไปศึกษาและถ่ายแบบปราสาทสำคัญๆ ที่เมืองพระนครมาจำลองเป็นพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งรูปแบบจะคล้ายคลึงกับปราสาทที่ลานหน้าจักรวรรดิที่เมืองนครธม นอกจากนี้ ยังจำลองรูปแบบและผังมาสร้างปราสาทนครหลวงและวัดไชยวัฒนารามขึ้นที่กรุงศรีอยุธยาอีกด้วย [7]
@@@@@@@
เขมรอยุธยา มายังไง?
การเข้ามาของชาวเขมรในอยุธยามีทั้งเข้ามาโดยสงครามกวาดต้อนเข้ามาค้าขาย และการเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร การเข้ามาโดยวิธีสงครามกวาดต้อนนั้นครั้งใหญ่ๆ เกิดขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) เมื่อทรงนำทัพไปตีเมืองนครธมของเขมรพระนคร ส่วนฝ่ายเขมรเองก็เข้ามากวาดต้อนผู้คนโดยพระเจ้าละแวก (เอกสารไทยมักเรียก “พระยาละแวก” ซึ่งไม่เหมาะสม เป็นการลดพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดินเพื่อนบ้าน) ยกทัพมากวาดต้อนชาวเมืองแถบหัวเมืองตะวันออกและเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชา
สำหรับการเข้ามาด้วยสาเหตุทางการค้าขายโดยตรงนั้น จากเอกสารคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง ได้ระบุว่า ทุกปีจะมีพ่อค้าชาวเมืองพระตะบองเดินทางมาโดยคาราวานวัวต่าง มาตั้งร้านค้าอยู่ที่ตลาดบ้านศาลาเกวียน ตรงบริเวณทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมืองกรุงศรีอยุธยา ถัดจากหัวรอขึ้นไปราว 4-5 กิโลเมตร สินค้าต่างๆ ที่พ่อค้าชาวเขมรนำเข้ามาค้าขายยังตลาดบ้านศาลาเกวียนนั้น ได้แก่ เร่ว กระวาน ไหม กำยาน ครั่ง ดีบุก หน่องา ผ้าปูม แพรญวน ทอง พราย พลอย แดง และบรรดา “สินค้าต่างๆ ตามอย่างเมืองเขมร” [8]
ส่วนการเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ปรากฏในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ทำให้เกิดชุมชนใหญ่ของชาวเขมรขึ้นที่กรุงศรีอยุธยาและเมืองบางกอก โดยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ได้มีชาวเขมรที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก อพยพลี้ภัยจากการเบียดเบียนทางศาสนาเข้ามา สมเด็จพระนารายณ์ทรงให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บริเวณโบสถ์คอนเซปต์ชัญ เมืองท่าบางกอก (ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่วัดคอนเซ็ปชัญ ย่านสามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ) และให้อยู่ภายใต้ความดูแลของคณะมิสซังฝรั่งเศส เรียกว่า “บ้านเขมร” นอกจากมีประชากรเขมรแล้วยังมีชาวโปรตุเกส ฝรั่งเศส และเวียดนาม ที่เป็นชาวคริสต์เข้ามาอยู่ปะปนด้วย
@@@@@@@
ชุมชนบ้านเขมร มีอยู่ทั่วอยุธยา
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ได้มีชาวเขมรอพยพเข้ามาอยู่กรุงศรีอยุธยา ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บริเวณวัดค้างคาว ในพื้นที่เกาะเมืองมีวัดร้างแห่งหนึ่งชื่อ “วัดสวนหลวงค้างคาว” ปัจจุบันคือด้านหลังติดสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา จากที่มีชื่อพ้องกัน จึงทำให้เกิดความเชื่อว่าวัดสวนหลวงค้างคาวนี้ คือที่ตั้งของชุมชนเขมรที่เข้ามาในรุ่นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
แต่สภาพที่ตั้งและโบราณสถานของวัดสวนหลวงค้างคาวก็ชวนให้สงสัยว่า วัดสวนหลวงค้างคาวคงไม่ใช่วัดค้างคาวที่กล่าวถึงในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เพราะวัดสวนหลวงค้างคาวมีโบสถ์ขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านเหนือเนินดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เกิดจากการถมพูนดินสูงขึ้น ทั้งโบสถ์มีลักษณะเดียวกับวิหารหลวงวัดธรรมิกราชที่ติดกับพระบรมมหาราชวังทางทิศตะวันออก อีกทั้งวัดธรรมิกราชยังมีฉนวนทางเดินตัดตรงจากพระที่นั่งวิหารสมเด็จในพระบรมมหาราชวังมายังวิหารหลวงของวัด นี่เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นความสำคัญของวัดธรรมิกราชและวิหารหลวงไม่น้อยเลย
ทั้งโบสถ์วัดสวนหลวงค้างคาวและวิหารหลวงวัดธรรมิกราชยังมีขนาดใกล้เคียงกับพระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาท อาคารแบบนี้คือสถานที่ที่สามารถใช้เป็นที่ประชุมว่าราชกิจของกษัตริย์ได้ในกรณีฉุกเฉินหรือ ณ ขณะเสด็จมาประทับอยู่ อีกทั้งวัดสวนหลวงค้างคาวยังตั้งอยู่ริมคลองฉะไกรน้อย ซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรลัดตรงระหว่างพระบรมมหาราชวังไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาทางตอนใต้ เป็นที่สะดวกแก่เจ้านายในการเสด็จมายังสถานที่แห่งนี้อีกด้วย
วัดสวนหลวงค้างคาวมีลักษณะเป็นราชอุทยาน มีความสำคัญเกินกว่าจะพระราชทานให้แก่ชาวเขมรหรือชนชาติใด และเป็นสถานที่ที่พบร่องรอยการใช้งานอยู่ถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย เพราะมีใบสีมาหินทรายและสถูปเจดีย์รุ่นปลายอยุธยาล้อมรอบโบสถ์ สถานที่ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระพระราชทานให้แก่ชาวเขมร ตามพระราชพงศาวดารก็ไม่มีคำว่า “สวนหลวง” ซึ่งก็น่าแปลกใจว่า หากพระราชทานที่ดินสวนหลวงแห่งที่ 2 ของพระนคร (ต่อจากสวนหลวงแห่งที่ 1 คือสวนหลวงสบสวรรย์ ซึ่งสมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงให้สร้างเป็นวังหลังที่ประทับแก่พระเอกาทศรถไปแล้วนั้น) เหตุใดพระราชพงศาวดารจึงไม่ใช้คำว่า “สวนหลวงค้างคาว” มีแค่คำว่า “วัดค้างคาว”
บริเวณนอกเกาะเมืองทางทิศตะวันตก ย่านริมแม่น้ำเจ้าพระยา เยื้องหัวแหลม จุดบรรจบกันระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับคลองเมือง (แม่น้ำลพบุรี) ยังมีวัดอีกแห่งชื่อตรงกับพระราชพงศาวดารว่า “วัดค้างคาว” ปัจจุบันเป็นวัดร้าง เหลือเพียงซากเจดีย์ขนาดย่อม พื้นที่ถูกปรับปรุงเป็นลานจอดรถของวัดท่าการ้อง ถ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจะพระราชทานที่ดินบริเวณนี้ให้แก่ชาวเขมรอพยพก็ไม่แปลกเพราะเป็นที่นอกเกาะเมือง มีเส้นทางสัญจรต่อไปยังชุมชนเขมรเก่าแก่ที่ย่านเกาะมหาพราหมณ์อีกด้วย
อนึ่ง ชาวเขมรในอยุธยาสามารถแบ่งกว้างๆ ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม “เขมรเก่า” หรือที่อยุธยาเรียกว่า “ขอม” มีวัดขอม เกาะขอม บ้านขอม ตัวบทกฎหมายก็มีกล่าวถึง “ขอม” (คำว่า “ขอม” เป็นคำที่อยุธยาเรียกเขมร) ขอมกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่อยู่ในอยุธยามาแต่เดิม ชุมชนใหญ่อยู่ที่ย่านบางปะอิน และอีกกลุ่มคือ “เขมรใหม่” ที่เข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ การแบ่งลักษณะนี้ก็เช่นเดียวกับกรณีชาวมอญ ที่แบ่งเป็น “มอญเก่า” กับ “มอญใหม่” “มอญเก่า” นั้นได้แก่มอญที่เข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นจนถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวร ชุมชนใหญ่อยู่ที่โพธิ์สามต้น คลองสระบัว คลองบางลี่ “มอญใหม่” เป็นกลุ่มที่เข้ามาภายหลังตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์จนถึงสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ชุมชนใหญ่อยู่ที่สามโคก ปากเกร็ด ตลาดขวัญ (นนทบุรี) และหัวเมืองฝั่งตะวันตกในลุ่มแม่น้ำท่าจีนและแม่กลอง
เนื่องจากกลุ่มเขมรใหม่รุ่นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ อพยพเข้ามาพร้อมเจ้านายชั้นพระบรมวงศานุวงศ์ของเขมรขณะนั้น จึงมีสมัครพรรคพวกบริวารเข้ามาอยู่ด้วยกันมาก ราชสำนักให้การต้อนรับเป็นอย่างดี โดยอนุญาตให้ชาวเขมรเหล่านี้อยู่ใต้สังกัดเจ้านายเดิมของตน ต่อมาเมื่อเจ้านายเดิมนั้นสิ้นพระชนม์ ราชสำนักจึงแต่งตั้งผู้นำชุมชนคนใหม่ให้ทำหน้าที่แทน ซึ่งนั่นมาพร้อมกับการที่ชาวเขมรถูกสักเลกสังกัดในระบบไพร่ของอยุธยา เช่นเดียวกับชาวมอญและลาว
กลุ่มตระกูลไท-ลาวนิยมเรียกเขมรโบราณว่า “ขอม” เช่นมีค่าเรียก ว่า “ขอมอุโมงคเสลา” ในเอกสารตำนานพื้นเมืองของล้านนา หรืออย่างคำว่า “ขอมสบาดโขญลำพง” ในศิลาจารึกสุโขทัย อยุธยาก็เรียกเขมรโบราณว่า “ขอม” เช่นกัน จึงมีวัดชื่อ “วัดขอม” อยู่บริเวณพื้นที่ที่เป็นสุสานจีนวัดพนัญเชิงในปัจจุบัน แต่ตัววัดได้ร้างและถูกผนวกรวมเข้ากับวัดพนัญเชิงไปนานแล้ว อีกทั้งยังมีร่องรอยชุมชนเขมรอยู่ที่บริเวณวัดขนอน อำเภอบางบาล และวัดโปรดสัตว์ วัดทำเลย์ไท ที่อำเภอบางปะอิน ก่อนที่ชาวเขมรจะผสมกับชาวมอญที่เข้ามาอยู่ภายหลัง โดยมีร่องรอยใบสีมาที่ น. ณ ปากน้ำ (ประยูร อุลุชาฏะ) กำหนดนิยามเรียกว่า “ใบสีมาแบบขอมผสมทวารวดี” [9]
นอกจากนี้ ยังมีชุมชนเขมรตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านขอม (ปัจจุบันชื่อตำบลวัดยม) ท่าเกาะพระก็เคยมีชื่อเรียกว่า “เกาะขอม” และมีชุมชนขอมอยู่ที่ริมคลองบ้านโพธิ์ ปากคลองทางทิศตะวันออกเป็นที่ตั้งของชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่งของอยุธยาชื่อ “บ้านขอม” (ปัจจุบันคือตำบลสามเรือน อำเภอบางปะอิน) และคลองบ้านเลนในเขตอำเภอบางปะอิน ก็เป็นเครือญาติกับเขมรที่บ้านขอม บ้านเลนมีอาณาเขตครอบรวมถึงบริเวณวัดชุมพลนิกายาราม ซึ่งเป็นนิวาสถานเดิมของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฟอร์เรสต์ แมคกิลล์ (Forrest McGill) ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมในอยุธยา จะได้ข้อสรุปถึงแรงจูงใจสำคัญต่อความนิยมในศิลปกรรมรูปแบบเขมรของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ว่าส่วนหนึ่งก็เพราะทรงมีเชื้อสายชาวเขมรในอยุธยา [10] และอีกกรณีคือในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มีหลักฐานเป็นหนังสือคู่มือทูตสยามที่ไปฝรั่งเศส มีเนื้อความระบุว่าถ้าฝรั่งถามเกี่ยวกับพระองค์ว่า “กษัตริย์องค์ปัจจุบันสืบตระกูลมาแต่ใด” ให้ทูตสยามตอบไปว่า ทรงสืบเชื้อสายมาจาก “สมเด็จพระปฐมสุริยนารายณีศวรบพิตร” กษัตริย์ต้นวงศ์ผู้สร้างเมืองเขมรพระนคร [11]
สมัยอยุธยามีชาวเขมรอพยพเข้ามาอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ก็มีเจ้านายเขมรลี้ภัยจากปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติเข้ามา คือกรณีนักองค์ราม หรือนักองค์โนน เมื่อเวลาใกล้จะเสียกรุงฯ พ.ศ. 2310 นักองค์รามได้ร่วมเดินทัพไปหัวเมืองตะวันออกกับกลุ่มพระยาตาก (สิน) ภายหลังเมื่อสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงและทำศึกได้รับชัยชนะในกัมพูชา สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ก็ทรงแต่งตั้งนักองค์รามขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงกัมพูชา และในกรุงธนบุรีก็มีชุมชนเขมรตั้งอยู่ที่ย่านคลองสำเหร่ คลองสามเสน คลองสำโรง คลองทับนาง วัดบางยี่เรือ [12]
อ่านเพิ่มเติม :-
• ขอมอยู่ไหน? ไทยอยู่นั่น ขอมกับไทย ไม่พรากจากกัน • “เขมร” ไม่เรียกตัวเองว่า “ขอม” ไม่มีคำว่าขอมในภาษาเขมร คำว่า “ขอม” มาจากไหน? • “เมืองพระนคร” บ้านเมืองล่มสลาย ผู้คนถูกกวาดต้อน เหตุสงคราม “อยุธยา” บุก “เขมร” • เขมร ใน อยุธยา กองกำลังพระองค์เจ้าดำ ก่อกบฏพระเจ้าท้ายสระ?ขอขอบคุณ :- ที่มา : Downtown Ayutthaya ต่างชาติต่างภาษา ผู้เขียน : กำพล จำปาพันธ์, โมโมทาโร่ เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 26 มกราคม 2566 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_100399เชิงอรรถ :- [1] สันติ เล็กสุขุม, เจดีย์: ความเป็นมาและคำศัพท์เรียกองค์ประกอบเจดีย์ใน ประเทศไทย (กรุงเทพฯ: มติชน, 2552), น.34. [2] คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง (นนทบุรี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิาช, 2555), น. 40. [3] ศานติ ภักดีคำ และนวรัตน์ ภักดีคำ, ประวัติศาสตร์อยุธยาจากจารึก (กรุงเทพฯ: สมาคมประวัติศาสตร์, 2561); ก่องแก้ว วีระประจักษ์, บรรณาธิการ, สารนิเทศจากคัมภีร์ ใบลานสมัยอยุธยา (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2545), น. 113-121. [4] ประกอบ ผลงาม, สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์: เขมรถิ่นไทย (นครปฐม: สถาบันวิจัย ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, 2538) [5] กำพล จำปาพันธ์, “กัมโพช: ละโว้-อโยธยาในเอกสารล้านนา,” วารสารมนุษยศาสตร์สาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 15, 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2557): 74-82. [6] ศรีศักร วัลลิโภดม, กรุงศรีอยุธยาของเรา (กรุงเทพฯ: มติชน, 2546), น. 29. [7] Forrest McGill, “The Art and Architecture of the reign of King Prasatthong of Ayutthaya (1629-1656)” (PhD.Thesis in The History of Art at University of Michigan,1977), pp. 264-265. [8] คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง, น. 7. [9] น. ณ ปากน้ำ (ประยูร อุลุชาฏะ), ห้าเดือนกลางซากอิฐปูนที่ อยุธยา (กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2558), น.90. [10] Forrest McGill, “The Art and Architecture of the reign of King Prasatthong of Ayutthaya (1629-1656)”, pp. 263-264. [11] ไมเคิล ไรท์, ภูมิศาสตร์ – ประวัติศาสตร์สยาม: เอกสารชั้นต้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์ที่เปิดเผยใหม่, เข้าถึงเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2562, เข้าถึงได้จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_7424[12] กำพล จำปาพันธ์, พระเจ้าตาก กษัตริย์นักการค้า และธนบุรีศรีมหาสมุทร (กรุงเทพฯ: มติชน, 2561), น. 26-28, 216-217. หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากหนังสือ Downtown Ayutthaya ต่างชาติต่างภาษาและโลกาภิวัฒน์แรกในสยาม-อุษาเคย์, เขียนโดย กำพล จำาปาพันธ์, โมโมทาโร่ (สำนักพิมพ์มติชน, 2566)
|
|
|
92
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบฐานโยนี โบราณวัตถุอายุกว่า 600 ปี บนเทือกเขาหลังสวนโมกข์
|
เมื่อ: มีนาคม 01, 2024, 09:44:28 am
|
. พบฐานโยนี โบราณวัตถุอายุกว่า 600 ปี บนเทือกเขาหลังสวนโมกข์เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านพบวัตถุโบราณที่บริเวณเทือกเขานางเอ ด้านหลังสวนโมกขพลาราม (วัดธารน้ำไหล) หมู่ที่ 6 ต.เลม็ด อ.ไชยา จึงแจ้งนายชวลิต โรจนรัตน์ นายอำเภอไชยา ทราบ และประสานนายกิตติ ชินเจริญธรรม หัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ไชยา พระมหาธงชัย วรรณะวีโร เจ้าอาวาสวัดรัตนราม(วัดแก้ว) ต.เลม็ด อ.ไชยา ร่วมตรวจสอบ โดยต้องเดินเท้าขึ้นบนเทือกเขาระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร
เมื่อเดินไปถึงบนเทือกเขาได้พบวัถตุโบราณเป็นฐานโยนี (หรืออวัยวะเพศหญิงพระแม่อุมา)เป็นลักษณะแท่งคล้ายศิวลึงค์เป็นแท่งสองแท่นเหมือนกับวางซ้อนกันบนแท่นอิฐ มีก้อนหินน้อยใหญ่ วางอยู่รอบๆ ซึ่งคาดว่าอายุประมาณราวสมัยอยุธยา (674ปี) โดยมีชาวบ้านในพื้นที่นำบายศรีและสิ่งของมาสักการะ พระมหาธงชัย วรรณะสีโร เจ้าอาวาสวัดรัตนราม(วัดแก้ว) เปิดเผยว่า สถานที่แห่งนี้เป็นเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์ ด้านล่างเป็นวัดและมีบ่อน้ำเจ็ดแห่ง เชื่อว่า เป็นที่ตั้งของกษัตริย์สมัยศรีวิชัย ซึ่งบนเทือกเขาบริเวณนี้เต็มไปด้วยเจดีย์ต่างๆถือว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง เพราะเป็นที่เก็บกระดูกของเจ้าเมืองของกษัตริย์และพระตั้งแต่แรก
“ จากการสำรวจที่ตรงนี้พบว่า เป็นศิวลึงค์ มีร่องรอยการขุดเป็นฐานแกะสลักเป็นหินทรายแดง มีร่องน้ำของโยนี เต็มไปด้วยเศษอิฐ คาดว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ในสมัยก่อน เพราะเป็นแนวดิน ที่ไม่ใช่ตามธรรมชาติ ซึ่งในพื้นที่ อ.ไชยา จะพบของแบบนี้มากคาดว่าที่บริเวณนี้จะมีก่อนเกิดพุทธศักราช(กว่า 2,567ปี) “ ด้านนายกิตติ ชินเจริญธรรม หัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติไชยา กล่าวว่า บริเวณนี้เป็นจุดที่มีหินทรายแดงนำไปสร้างพระพุทธรูปและโบราณวัตถุในสมัยก่อน ตามความเชื่อชาวบ้านคิดว่า เป็นศิวลึงค์ โยนี เบื้องต้นได้เก็บภาพเก็บหลักฐานเพื่อนำไป ศึกษาองค์ประกอบต่างๆ เพื่อหาข้อมูลให้กับชาวบ้าน เพราะ อ.ไชยา เป็นเมืองยุคโบราณในสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ และมีการสำรวจค้นหา จึงขอให้ชาวบ้านช่วยดูแลรักษาทรัพย์สมบัติครั้งประวัติศาสตร์ เพื่ออนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาต่อไปThank to : https://www.matichon.co.th/region/news_4449212วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 - 21:48 น.
|
|
|
94
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภาษาพูด-ภาษาเพลง ของคนสมัยเริ่มแรก
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2024, 09:03:09 am
|
. ภาษาพูด-ภาษาเพลง ของคนสมัยเริ่มแรก คนสมัยเริ่มแรกมีภาษาพูดและภาษาเพลงผสมกลมกลืนด้วยกัน เรื่องเล่าสมัยเริ่มแรกเป็นภาษาพูดในชีวิตประจำวัน ซึ่งประกอบด้วยคำพูดปกติกับคำคล้องจองคลุกเคล้าผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
เมื่อต้องการเน้นพิเศษบางช่วงบางตอนของเรื่องเล่าก็สร้างเป็นคำคล้องจอง ครั้นบอกเล่าถึงตรงที่มีคำคล้องจองจะเปล่งลีลาทำนองพิเศษโดดเด่นออกมา จนนานไปคำคล้องจองมีพลังเหนือเรื่องเล่าปกติจึงถูกใช้งานโดยเฉพาะ แล้วเรียกกันต่อมาว่าคำขับลำ หมายถึงคำคล้องจองถูกขับลำด้วยทำนองลีลาต่างๆ กระทั่งเติบโตแตกแขนงเรียกสมัยหลังว่าโคลงกลอน
คำคล้องจองเก่าแก่มีสอดแทรกเรื่องกำเนิดโลก และเรื่องกำเนิดมนุษย์จากน้ำเต้า ซึ่งปัจจุบันพบความทรงจำสืบเนื่องเป็นลายลักษณ์อักษรมีสองสำนวน คือ พงศาวดารล้านช้าง กับ ความโทเมืองจากเมืองหม้วย
คำคล้องจองดั้งเดิมมีลักษณะเสรีและมีขนาดสั้นๆ แล้วค่อยๆ ยืดยาวขึ้นเรื่อยๆ ตามต้องการใช้บอกเล่าเป็นเรื่องราวที่มียาวขึ้น จึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคำพูดในชีวิตประจำวันโดยไม่กำหนดแบบแผน ไม่กำหนดจำนวนคำและสัมผัสว่าต้องอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น (ตรงข้ามกับร้อยกรองที่คุ้นเคยทุกวันนี้ล้วนให้ความสำคัญต่อสิ่งที่เรียกสมัยหลังจนปัจจุบันว่าฉันทลักษณ์ หมายถึงกำหนดจำนวนคำแต่ละวรรค และกำหนดสัมผัสเสียงระหว่างวรรค)
ร้อยกรองมีกำเนิดคลุกเคล้าอย่างขาดไม่ได้ด้วยทำนองเสนาะของขับลำและเพลงดนตรีอย่างเสรี เมื่อมีพัฒนาการสมัยหลังๆ จึงให้ความสำคัญเรื่องสัมผัสเสียง (สัมผัสนอก, ใน) และระดับเสียง (เอก, โท) [คำอธิบายมีรายละเอียดอยู่ในหนังสือโองการแช่งน้ำ และข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา ของ จิตร ภูมิศักดิ์ สำนักพิมพ์ดวงกมล พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2524]
วรรณกรรมสมัยแรกๆ เพื่อฟังเสียงขับหรือร้อง จึงต้องอ่านออกเสียง หรือ “อ่านด้วยหู” เพราะยังไม่เป็นวรรณกรรมเพื่ออ่านด้วยตา (หลังมีการพิมพ์จึงเป็นวรรณกรรมอ่านด้วยตา)
@@@@@@@
ขับลำคำคล้องจอง
ขับลำคำคล้องจองเก่าสุดราว 2,500 ปีมาแล้ว หรือเรือน พ.ศ.1 ไม่พบหลักฐานตรงไปตรงมา แต่พบสัญลักษณ์เป็นลายเส้นบนภาชนะสำริดอยู่ในหลุมศพที่เวียดนาม บริเวณหลักแหล่งดั้งเดิมของจ้วง-ผู้ไท
ลายเส้นสำริดชุดหนึ่งเป็นรูปคนแต่งคล้ายหญิง มี 3 คน ดังนี้ คนนำหน้าทำท่าฟ้อน, คนกลางเป่าแคน, คนตามหลังทำท่าฟ้อน ทั้งหมดคล้ายขับลำคำคล้องจองคลอแคนในพิธีกรรมหลังความตาย (เพราะพบรูปเหล่านี้ในหลุมศพ)
พิธีกรรมหลังความตายของคนชั้นนำของเผ่าพันธุ์ เช่น หัวหน้าเผ่าพันธุ์ มีพิธีขับลำบอกผีฟ้าว่าส่งขวัญคนตายขึ้นฟ้าไปรวมพลังกับผีฟ้าเพื่อคุ้มครองคนยังไม่ตายอยู่ในชุมชน เส้นทางส่งขวัญคนตายขึ้นฟ้าเริ่มออกจากเรือน ผ่านสถานที่ต่างๆ แล้วล่องเรือหรือแพข้ามห้วงน้ำกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับเมืองฟ้า ตลอดเส้นทางที่ส่งขวัญผ่านไป เนื้อความรำพึงรำพันสั่งเสียสั่งลาผู้คนเครือญาติ, บ้านเรือน, สัตว์, สิ่งของ, ภูมิสถานป่าดงพงไพร ฯลฯ
แต่ผีฟ้าเป็นสิ่งมีอำนาจเหนือธรรมชาติ (หมายถึงไม่ใช่คน) ต้องสื่อสารด้วยภาษาผีฟ้าที่แสดงออกด้วยเครื่องเป่าเป็นเสียงสูงต่ำเรียกแคน ดังนั้น การสื่อสารกับผีฟ้าต้องทำโดยหมอขวัญขับลำคำสู่ขวัญเป็นภาษาคน ผ่านหมอแคนซึ่งทำหน้าที่แปลงถ้อยคำภาษาคนเป็นภาษาผีฟ้าซึ่งอยู่ต่างมิติเพื่อให้ผีฟ้ารับรู้ตั้งแต่ต้นจนปลาย ด้วยเหตุดังนั้นการติดต่อสื่อสารกับผีฟ้าต้องทำคู่กันด้วยหมอขวัญกับหมอแคน (ความเชื่ออย่างนี้เป็นต้นตอวงมโหรีราชสำนักสมัยหลังกำหนดแบบแผนประเพณีสีซอสามสายคลอคำร้องตั้งแต่คำต้นจนคำท้าย)
ขับลำคำคล้องจองมีต้นตอรากเหง้าเก่าสุดพบในโซเมียเมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว หรือเรือน พ.ศ.1 บริเวณตอนใต้มณฑลกวางสีของจีนต่อเนื่องกับทางตอนเหนือของเวียดนามอันเป็นหลักแหล่งดั้งเดิมของจ้วง-ผู้ไท ซึ่งเป็นกลุ่มเก่าสุดของคนพูดตระกูลภาษาไท-ไต จากนั้นแผ่ไปตามเส้นทางการค้าดินแดนภายในถึงลุ่มน้ำโขง, ลุ่มน้ำสาละวิน, ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เมื่อฟักตัวอยู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ภาษาไท-ไตถูกเรียกสมัยปัจจุบันว่าสำเนียงเหน่อ
ลักษณะสำคัญร่วมกันของคนพูดตระกูลภาษาไท-ไต ได้แก่ นับถือผีฟ้า, เชื่อเรื่องขวัญ, มีประเพณีทำศพครั้งที่สอง, ทำนาดำหรือนาทดน้ำ, รู้เทคโนโลยีสำริด ฯลฯ เหล่านี้พบหลักฐานแพร่กระจายจากโซเมียทางตอนใต้ของจีน-ทางเหนือของเวียดนามเข้าลุ่มน้ำโขง ลงลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นที่รับรู้ทั่วไปทั้งไทยและสากล
ประเพณีขับลำคำคล้องจองเหล่านี้ต่อไปข้างหน้าเติบโตเป็นการละเล่นขับซอ (ขับแปลว่าร้อง ส่วนซอเป็นคำลาวแปลว่าร้อง) แพร่หลายในรัฐอยุธยา กระทั่งมีพัฒนาการเป็นขับเสภาในกรุงรัตนโกสินทร์
หลักฐานลายเส้นสำริดเป็นต้นทางสร้างสรรค์สืบเนื่องต่อมา ดังนี้ (1.) คำสั่งเสียสั่งลาเส้นทางส่งขวัญ เป็นต้นแบบนิราศต่อไปข้างหน้า (2.) ท่าฟ้อนลายเส้นสำริด เป็นต้นตอ “ยืด-ยุบ” ของท่าฟ้อนท่ารำต่อไปข้างหน้า (3.) ขับลำคลอแคนเป็นต้นทางแบบแผน “ดนตรี”, “ปี่แคนซอ” (ร้องกับปี่แคน) ในราชสำนักอยุธยา (พบในอนิรุทธคำฉันท์)ภาษาพูด-ภาษาเพลงของคนสมัยเริ่มแรก พบหลักฐานลายสลักเมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว รูปคนแต่งคล้ายหญิง นุ่งยาวปล่อยชายสองข้าง มีเครื่องประดับเป็นขนนกและใบไม้สวมหัว ร่วมกันขับลำคำคล้องจองแล้วเป่าแคนคลอ พร้อมฟ้อนประกอบ (ลายเส้นจำลองจากลายสลักบนขวานสำริด ขุดพบในหลุมศพเมืองดงเซิน ริมแม่น้ำซองมา จ.ถั่นหัว เวียดนาม)ต้นทางร้อยกรอง
ภาษาพูด-ภาษาเพลงของคนสมัยเริ่มแรกเป็นต้นทางร้อยกรองทุกวันนี้
คำคล้องจองสมัยแรกเริ่มของจ้วง-ผู้ไทใช้เวลาพัฒนาการในที่สุดเป็นร้อยกรอง พบร่องรอยเป็นสุภาษิตจ้วงหลายบท ได้แก่ “ทางอยู่ที่ปาก หมากอยู่ที่ต้น”, “กินข้าวคิดถึงนา กินปลาคิดถึงน้ำ”, รักข้าวต้องหมั่นลงนา รักเมียต้องขยันเยี่ยมยาย” (naz-นา สัมผัสกับ bah-เมีย) [จากหนังสือจ้วง : ชนชาติไทในสาธารณรัฐประชาชนจีน ภาคที่ 2 : วัฒนธรรม (ปรานี กุลละวณิชย์ บรรณาธิการ) จัดพิมพ์โดยศูนย์ภาษาและวรรณคดีไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2531]
คำคล้องจองที่ว่า “กินข้าวคิดถึงนา กินปลาคิดถึงน้ำ” ยังพบในกลุ่มผู้ไทพูดกันว่า “กินข้าวอย่าลืมเสื้อนา กินปลาอย่าลืมเสื้อน้ำ” ได้ความตรงกัน แต่ต่างกันที่ทางผู้ไทมีคำว่า “เสื้อนา” กับ “เสื้อน้ำ” คำว่า “เสื้อ” ก็คือเชื้อ หมายถึงบรรพชน บางทีเรียก “ผีเชื้อ” (ออกเสียง “ผีเสื้อ”)
จากคำคล้องจองอย่างง่ายๆ ถ้าส่งสัมผัสไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นร่าย พบในจ้วง-ผู้ไท มีร่ายชนิดวรรคละ 5 คำ แล้วส่งสัมผัสจากคำท้ายของบาทไปยังคำที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 ของวรรคถัดไป (จากหนังสือ งานจารึกและประวัติศาสตร์ ของ ประเสริฐ ณ นคร พิมพ์เนื่องในโอกาสฉลองอายุ 6 รอบ เมื่อ 21 มีนาคม 2534)
กลอนเพลงชาวจ้วง-ผู้ไทที่ยกมานี้มีลักษณะเสรี ไม่เคร่งครัดจำนวนคำแต่ละวรรค และไม่กำหนดเสียงสัมผัสใน แต่จะให้ความสำคัญที่จังหวะขับหรือร้อง คือจะมีกี่คำก็ได้ แต่ให้อยู่ในจังหวะที่ไพเราะรื่นเริงก็แล้วกัน ซึ่งคล้ายกับกลอนเพลงยุคแรกๆ ของไทย เช่น กาพย์กลอนลุ่มแม่น้ำโขง (แถบล้านนาและอีสาน), กลอนเพลงร้องเรือ (ภาคใต้) และกลอนร้องเล่นหรือกล่อมเด็ก (ภาคกลาง) รวมทั้งบทร้องมโหรีในราชสำนักสมัยอยุธยา
ครั้นหลังรับศาสนาจากอินเดีย คำคล้องจองในศาสนาผีได้รับยกย่องเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ เช่น บทสวด, บทเทศน์มหาชาติ, บทสรรเสริญ หรือประณามพจน์ ฯลฯ แล้วถูกเรียกว่าร่าย มีทั้งร่าย (ปกติ) และร่ายยาว ขณะเดียวกันก็มีพัฒนาการเป็นโคลงและกลอน
คำคล้องจองเป็นต้นทางของคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองที่รู้จักทั่วไปในทุกวันนี้ว่ากลอน มี 3 พวก คือ กลอนร่าย, กลอนลำ, กลอนร้อง (มีอธิบายอย่างละเอียดใน โองการแช่งน้ำ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ สำนักพิมพ์ดวงกมล พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2524)
[คำคล้องจองเป็นส่วนหนึ่งอย่างสม่ำเสมอของภาษาพูดในชีวิตประจำวันบรรพชนคนไทย ทำให้สมัยหลังมีคำพูดติดปากทั่วไปว่า “ไทยเป็นชาตินักกลอน” คำว่า “กลอน” ตรงนี้หมายถึงคำคล้องจอง ซึ่งไม่ใช่กลอนแปดแบบสุนทรภู่] • ขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 กุมภาพันธ์ 2567 คอลัมน์ : สุจิตต์ วงษ์เทศ เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_748608
|
|
|
95
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ท่องแดนมหานรก “อเวจี” ภพภูมิแห่งการลงทัณฑ์ผู้ทำกรรมหนัก ตามคติไตรภูมิ
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2024, 08:10:21 am
|
. ภาพ พยายมราช ในโลกนรก จากจิตรกรรมไตรภูมิ ฉบับรัชกาลที่ 9 (ภาพจาก ไตรภูมิ ฉบับรัชกาลที่ 9, กระทรวงวัฒนธรรม, 2554ท่องแดนมหานรก “อเวจี” ภพภูมิแห่งการลงทัณฑ์ผู้ทำกรรมหนัก ตามคติไตรภูมิตามคติไตรภูมิ “โลกนรก” หรือ “นิรยภูมิ” เป็นส่วนหนึ่งของอบายภูมิหรือทุคติภูมิ 4 (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกามภูมิ) ประกอบด้วยพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล มีมหานรกหลายขุมซ้อนทับกันหลายชั้น โดยมี “อเวจี” อยู่ล่างสุด แต่ละชั้นยังมีนรกบริวารรายล้อมอยู่ร่วมร้อยขุม
@@@@@@@
“มหานรก” ใน “นิรยภูมิ”
นิรยภูมิ จะแบ่งออกเป็น “มหานรก” มีด้วยกัน 8 ขุมใหญ่ ตั้งซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ และแยกกันอย่างชัดเจนอยู่ลึกลงไปใต้โลกมนุษย์ มนุษย์ที่ทำกรรมชั่ว เมื่อเสียชีวิตจะลงไปเกิดเป็นสัตว์นรกในชั้นเหล่านี้เพื่อใช้กรรม เรียงจากชั้นบนสุดลงไปยังชั้นล่างสุดได้ ดังนี้
1. สัญชีวนรก หรือนรกไม่มีวันแตกดับ เป็นนรกสำหรับผู้เบียดเบียนผู้อื่น สัตว์นรกจะถูกทรมานจากนิรยบาลด้วยสารพัดวิธีจากคมอาวุธจนตาย จากนั้นจะมี “ลมกรรม” พัดผ่านให้คืนชีพมาเสวยโทษทัณฑ์เรื่อย ๆ เป็นภาวะเกิด-ตาย วนเวียนอยู่เช่นนั้น อายุของสัตว์นรกคือ 500 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีโลกมนุษย์
2. กาฬสุตตนรก หรือนรกเส้นด้ายดำ เป็นนรกสำหรับผู้ที่ทำร้ายผู้มีพระคุณหรือทำลายชีวิตสัตว์โลก หลังถูกตีด้วยด้ายดำจนเกิดเส้นตามร่างกาย สัตว์นรกจะถูกเฉือนด้วยคมอาวุธตามรอยเหล่านั้น อายุของสัตว์นรกคือ 1,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 3 โกฏิ (1 โกฏิ เท่า 10 ล้าน) กับอีก 6 ล้านปีโลกมนุษย์
3. สังฆาฏนรก หรือนรกบดขยี้ เป็นนรกสำหรับผู้ไร้ความเมตตา ชื่นชอบการทารุณกรรม สัตว์นรกจะถูกกระหน่ำตีด้วยฆ้อนเหล็ก และบดทับด้วยลูกไฟกับภูเขาเหล็ก อายุของสัตว์นรกคือ 2,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 14 โกฏิกับอีก 5 ล้านปีโลกมนุษย์
4. โรรุวนรก หรือนรกแห่งเสียงคร่ำครวญ เป็นนรกสำหรับคนโลภ ฉ้อโกง ร่างของสัตว์นรกจะถูกตรึงให้นอนคว่ำหน้า หัว มือ และเท้าจมอยู่ในดอกบัวเหล็กที่เปลวเพลิงลุกท่วม ร้องครวญครางด้วยความทุกข์แสนสาหัส แต่ไม่ตาย อายุของสัตว์นรกคือ 4,000 ปี โดย 1 วันของนรกขุมนี้เท่ากับ 23 โกฏิกับอีก 4 ล้านปีโลกมนุษย์
5. มหาโรรุวนรก หรือนรกแห่งเสียงคร่ำครวญอย่างยิ่งยวด เป็นนรกสำหรับคนจิตใจโหดเหี้ยม ทำความชั่วทั้งปวงด้วยจิตอาฆาตพยาบาท ดอกบัวเหล็กของนรกขุมนี้จะเพิ่มคมตามกลีบดอก และสัตว์นรกต้องจมอยู่ในดอกบัวเหล็กทั้งตัว อายุของสัตว์นรกคือ 8,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 921 โกฏิกับอีก 6 ล้านปีโลกมนุษย์
6. ตาปนรก หรือนรกแห่งความร้อนรุ่ม เป็นนรกสำหรับคนบาปที่พร้อมด้วยโลภะ โทสะ โมหะ สัตว์นรกจะถูกหลาวเหล็กแท่งใหญ่ราวต้นตาลเสียบพร้อมเปลวไฟพวยพุ่ง ก่อนถูกสุนัขนรกฉุดกระชากลงมากิน อายุของสัตว์นรกคือ 16,000 ปี โดย 1 วันนรกเท่ากับ 1,842 โกฏิกับอีก 12 ล้านปีโลกมนุษย์
7. มหาตาปนรก หรือนรกแห่งความร้อนรุ่มอย่างยิ่งยวด เป็นนรกสำหรับผู้ที่เคยฆ่าคนและฆ่าสัตว์เป็นหมู่มาก ๆ ไม่คำนึงถึงชีวิตผู้อื่น ต้องอยู่ในกำแพงและภูเขาเหล็กที่เต็มไปด้วยหนามแหลม พร้อมลมกรดพัดพาร่างไปโดนหนามเสียบ อายุของสัตว์นรกขุมนี้คือ ครึ่งกัลป์ (ตามตำราไตรภูมิกถา 1 กัลป์ เทียบได้กับเวลาที่ภูเขาสูง 1 โยชน์ กว้าง 3 โยชน์ มีเทวดาเอาผ้าทิพย์บางดุจควันไฟมาถูภูเขาในทุก ๆ 100 ปี เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าภูเขาจะราบเสมอแผ่นดิน จึงเรียกได้ว่าสิ้นกัลป์หนึ่ง ซึ่ง 1 กัลป์เท่ากับ 64 อสงไขยปี และอสงไขยปีเท่ากับเลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว)
8. อเวจีนรก หรือนรกอันแสนสาหัสไร้ปรานี ทั้งลึกและกว้างใหญ่ที่สุด เป็นนรกสำหรับผู้ทำกรรมหนักอันได้แก่ ฆ่าบุพการี (พ่อ-แม่) ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต และยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก ขุมนรกล้อมด้วยกำแพงเหล็กที่เปลวไฟลุกท่วม สัตว์นรกจะถูกเพลิงเผาผลาญด้วยอิริยาบถต่าง ๆ ทั้ง นั่ง ยืน หรือนอน ตามกรรมของตน อยู่ห้องสี่เหลี่ยมพร้อมหลาวเหล็กเสียบทะลุร่างตรึงให้แน่นิ่งไม่สามารถขยับร่างกายได้ อายุของสัตว์นรกขุมนี้คือ 1 กัลป์
ใครชดใช้กรรมใน “อเวจี”.?
บุคคลสำคัญที่เคยใช้กรรมอยู่ในนรกชั้น “อเวจี” คือ พระเทวทัต ผู้ทำอนันตริยกรรม หรือการพยายามปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า หลังสิ้นชีพพระเทวทัตก็ลงมาเกิดในมหานรกขุมนี้ทันทีในร่างสัตว์นรกสูง 300 โยชน์ เสวยทุกข์ในห้องสี่เหลี่ยม พร้อมหลาวเหล็กขนาดเท่าต้นตาล แท่งแรกแทงจากข้างหลังทะลุด้านหน้า แท่งที่ 2 แทงทะลุสีข้างซ้าย-ขวา และแท่งสุดท้ายเสียบกลางศีรษะทะลุกลางลำตัวลงมาด้านล่าง โดยปลายหลาวเหล็กทุกด้านถูกยึดติดเพดานของห้องสี่เหลี่ยมนั้น
@@@@@@@
นอกจากมหานรกขุมใหญ่ทั้ง 8 แล้ว จากคำอธิบายของพระเทพมุนี ระบุว่า มีนรกขุมย่อยที่อยู่ถัดออกไป เป็นนรกบริวาร เรียกว่า “อุสสทนรก” ซึ่งตั้งอยู่ทั้ง 4 ทิศ เหนือ-ใต้-ออก-ตก ของมหานรกทุกขุม แต่ละทิศจะมี 4 ขุม ดังนี้
1. คูถนรก ขุมนรกที่เต็มไปด้วยหนอนตัวใหญ่คอยกัดกินสัตว์นรกที่ผ่านเข้ามา
2. กุกกุฬนรก ขุมนรกที่เต็มไปด้วยเถ้าถ่านคอยเผาสัตว์นรกให้กลายเป็นจุณ
3. อสิปัตตนรก ขุมนรกที่มีต้นมะม่วงใหญ่สำหรับหลอกให้สัตว์นรกเข้ามาพักพิง จากนั้นใบมะม่วงจะกลายเป็นหอกพุ่งแทงสัตว์นรกเหล่านั้น มีกำแพงเหล็กติดเปลวเพลิงขวางกั้นพร้อมสุนัขนรกและแร้งนรกคอยรุ่มฉีกกินสัตว์นรกทั้งหลาย
4. เวตรณีนรก ขุมนรกที่เต็มไปด้วยน้ำเค็มและเครือหวายหนามเหล็กคอยทิ่มแทงให้เกิดแผล มีไฟลุกท่วมกลางน้ำกับดอกบัวกลีบคมที่ติดเปลวเพลิงอยู่ตลอด สัตว์นรกที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำเค็มจะถูกนิรยบาลใช้เบ็ดเกี่ยวลากขึ้นมาบนฝั่งเพื่อทำทัณฑ์ทรมานต่อ
มีอุสสทนรก 16 ขุม ต่อมหานรก 1 ขุม จึงมีอุสสทนรกทั้งสิ้น 128 ขุม (8 x 16) รายล้อมมหานรกทั้ง 8 ขุมใหญ่
@@@@@@@
ยมโลกนรก
ถัดจาก “อุสสทนรก” ออกไป ยังมีนรกบริวารอีกชั้นหนึ่ง เรียกว่า “ยมโลกนรก” ซึ่งเป็นขุมนรกชั้นนอก ล้อมอยู่นอกสุดของมหานรก เป็นนรกสำหรับผู้ทำกรรมดีบ้างร้ายบ้าง
ยมโลกนรก เป็นนรกประจำทั้ง 4 ทิศ เหนือ-ใต้-ออก-ตก เช่นกัน แบ่งเป็นทิศละ 10 ขุม มีดังนี้ โลหกุมภีนรก, สิมพลีนรก, อสินขะนรก, ตามโพทะนรก, อยคุฬะนรก, ปิสสกปัพพตะนรก, ธุสะนรก, สีตโลสิตะนรก, สุนขะนรก และยันปาสาณะนรก ยมโลกเหล่านี้จะประจำอยู่ในทุกทิศของมหานรก แบ่งเป็นชื่อและประเภทการใช้กรรมเหมือนกัน
มหานรก 1 ขุมใหญ่ มียมโลกนรกอยู่ทิศละ 10 ขุม รวมมียมโลกนรก 40 ขุม (4 ทิศ, 4 x10) ต่อมหานรก นิรยภูมิซึ่งมีมหานรก 8 ขุมใหญ่ จึงมียมโลกนรกทั้งสิ้น 320 ขุม (8 x 40)
@@@@@@@
สัตว์นรกเมื่อใช้กรรมในมหานรกแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้น จะต้องมาใช้กรรมในอุสสทนรกต่อ หากกรรมยังไม่สิ้นอีก ก็ใช้กรรมต่อในยมโลกนรก การใช้กรรมด้วยทุกข์โทษหนักเบาจะขึ้นอยู่กับชั้นของมหานรก ยกตัวอย่างคือ กรรมในสุนขะนรก ชั้นอเวจีนรก (มหานรกชั้นล่างสุด) ย่อมทุกข์หนักกว่ากรรมในสุนขะนรก ชั้นสัญชีวนรก (มหานรกชั้นบนสุด) เพราะมีอายุการใช้กรรมนานถึง 1 ชั่วกัลป์
นอกจากนรกขุมใหญ่ คือ มหานรก, นรกบริวารอย่างอุสสทนรก และนรกบริวารชั้นนอกสุดอย่างยมโลกนรกแล้ว นิรยภูมิยังมีนรกพิเศษอยู่อีกซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง 3 โลกอันได้แก่ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกนรก เป็นขุมมืดมิดเพราะไม่มีแสงใดส่องไปถึง เรียกว่า “โลกกันตรนรก” เต็มไปด้วยสัตว์นรกร่างกายใหญ่โต รูปร่างแปลกประหลาด ลอยเคว้งด้วยความหนาวเหน็บอยู่ชั่วนิรันดร์ โลกกันตรนรก เป็นขุมนรกสำหรับผู้ที่กระทำทรมานบุพการี หรือทำร้ายผู้ทรงศีลอยู่เป็นนิจซึ่งเป็นกรรมหนักนั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม :-
• สวรรค์แบบพุทธที่เทวดาตกชั้นได้ จาก “ฉกามาพจร” ในไตรภูมิพระร่วง • เดือน 7 สารทจีน นรก “เปิด” ให้วิญญาณมารับส่วนกุศลในโลกมนุษย์
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : เด็กชายผักอีเลิด เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 14 กันยายน 2565 URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_93024?utm_source=dableอ้างอิง :- - พระมหาธรรมราชาที่ 1 พญาลิไทย; กรมศิลปการ (ตรวจสอบและชำระใหม่). (2526) ไตรภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง. กรุงทพฯ : กรมศิลปการ. - พระเทพมุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9). (2526). โลกทีปนี, อนุสรณ์ พลตำรวจเอก ประเสริฐ รุจิรวงศ์. กรุงเทพฯ : กราฟิคอาร์ต.
|
|
|
96
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระเป็นที่พึ่งของประชาชน.??
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2024, 06:55:45 am
|
. พระเป็นที่พึ่งของประชาชน.?? “ผู้เขียน”วานนี้ได้รับข้อมูลอัพเดทเกิดเหตุการณ์โรงงานพลุระเบิดในพื้นที่หมู่ 3 ต.ศาลาขาว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 23 คนเกือบทุกชั่วโมงจาก “ปลัดเก่ง” คุณสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทยและ เช้านี้ปลัดเก่ง ก็ส่งข้อมูลอัพเดท การเยียวยาเพิ่มเติมอีกว่า
1. กรณีเสียชีวิต จ่ายค่าจัดการศพ 29,700บาท ถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวจ่ายเพิ่มอีก 29,700 บาท โดยใช้เงินจาก อปท. 2. กรณีบาดเจ็บ สาหัสจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 4,000 บาท 3. ขอรับการช่วยเหลือเพิ่มเติมจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ตามหลักเกณฑ์และแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ดังนี้ กรณีเสียชีวิต ค่าจัดการศพ รายละ 50,000 บาท, เงินทุนเลี้ยงชีพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ครอบครัวละ 30,000 บาท ,เงินทุนเลี้ยงชีพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ที่มีบุตรอายุไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์ อีกครอบครัวละ 50,000 บาท และหากเป็นกรณีบาดเจ็บจะเยียวยาด้วย เงินทุนเลี้ยงชีพผู้บาดเจ็บสาหัส รายละ 30,000 บาท และ เงินทุนเลี้ยงชีพผู้บาดเจ็บทั่วไป รายละ 15,000 บาท
อันนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยส่งมาให้พิจารณาเพื่อเผยแพร่ให้สาธารณะชนได้รับทราบ และเท่าที่รู้ตอนนี้ศพของผู้เสียชีวิต ตั้งกระจายอยู่ตามวัดต่าง ๆ ประมาณ 4-5 วัด ๆ เช่น วัดโรงช้าง 13 ศพ วัดลาดกระจับ 6 ศพ วัดพระธาตุ 2 ศพ. และวัดขรัวตาหนู 2 ศพตลอดทั้งวันพยายามดู “ท่าที” สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ในฐานะประธานฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม และพระสังฆาธิการในพื้นที่โดยเฉพาะเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรีในฐานะ “เจ้าของพื้นที่” ว่า มีท่าทีอย่างไรบ้าง เป็น “พระเป็นที่พึ่งของประชาชน” ได้ จริงหรือไม่ แต่ไร้ข้อมูลข่าวสาร หรือพวกท่านอาจทำอยู่ แต่ผู้เขียน “มีตาหามีแววไม่”
ล่าสุดค่ำวันนี้มีคนส่งภาพ “กลุ่มหมู่บ้านรักษาศีล 5” นำโดย “พระพรหมเสนาบดี” กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค 7 รูปนี้แม้อายุจะ 80 แล้ว แต่ “คิดไว ทำไว” พระหนุ่มบางรูปยังแพ้ นำหน้าขอเยียวยาช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยการบริจาคระดมเงินไปก่อนแล้ว
“สมด็จพระมหาธีราจารย์” ประธานฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์ ความจริงท่านมีบารมี มีทุนทรัพย์ มีบริวารครบครัน แค่ “กระดิกนิ้ว” ไม่ต้องพูด เงินก็ไหลมาเทมาแล้ว ความจริง “สมเด็จธีร์” ท่านเป็นคนขยันเป็นพระทำงาน ชอบบุกลุยลงพื้นที่ แต่หลังๆ “ทีมงานกองเลขา” ไม่เข้าขากันหรือไรไม่ทราบ..ไม่ขยับ ไม่ชยัน ไม่ลงพื้นที่ ไม่ลุยเหมือนช่วงแรกๆที่ “ลูกพี่” เป็นประธานฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม
ความจริงในคณะกรรมการมหาเถรสมาคมมี “พระสุพรรณบุรี” อย่างน้อย 2 รูป คือ พระพรหมบัณฑิต และ พระพรหมโมลี และทั้ง “พวกท่าน” เหล่านี้มีองค์กรที่คอยช่วยเหลือคนสุพรรณบุรีด้วยกันเองชื่อ “สหภูมิสุพรรณบุรี” องค์กรนี้เดิมตั้งอยู่ที่วัดโพธิ์ท่าเตียน ซึ่งมี “เจ้าคุณโอบามา” คือ พระเทพวัชราจารย์ อยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน เหตุการณที่เกิดขึ้นที่สุพรรณบุรีไม่มั่นใจว่า “แอคชั่น” อะไรบ้าง!!“ผู้เขียน” ได้รับข้อมูลว่าตอนนี้กลุ่มพระสงฆ์ที่ขับเคลื่อนหมู่บ้านรักษาศีล 5 กำลังระดมเงินจากเครือข่ายที่เป็นพระสงฆ์ด้วยกัน เช่น เจ้าคณะจังหวัดอยุธยา สระบุรี ลพบุรี รองเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี พระอาจารย์แก้ว วัดหลวงพ่อรวย เจ้าคุณต่อศักดิ์ วัดโบสถ์ รวมทั้งพระคุณเจ้ารูปอื่น ๆ ได้เกือบ 200,000 บาทแล้ว เพื่อลงไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์พลุระเบิดในครั้งนี้..พระไม่ทั้งประชาชน มันต้อง “ฉับไว” และทันเหตุการณ์แบบนี้
อันนี้ต้อง “ชื่นชม” พระพรหมเสนาบดี และบรรดา “ลูกทีม” หมู่บ้านรักษาศีล 5 ทั้งเจ้าคณะจังหวัดอยุธยา ลพบุรี สระบุรี รองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี รองเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี และรวมทั้ง “เจ้าคุณต่อศักดิ์” พระราชมหาเจติยาภิบาล พวกท่านคือนอกจากเป็นพระราชาคณะคือ เป็น “พระของพระราชา” แล้ว ยังเป็น “พระของประชาชน” ด้วย สมแล้วที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าของหัวทรงมอบภาระธุระให้ดูแล “ต่างพระเนตร- พระกรรณ”Thank to : https://thebuddh.com/?p=76776
|
|
|
98
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โปรยทานงานบวช 1 แสนบาท ทำวัดแทบแตก.!
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2024, 06:50:19 am
|
. โปรยทานงานบวช 1 แสนบาท ทำวัดแทบแตก.!วัดแทบแตกชาวบ้านกว่า 300 คน ร่วมงานบวชหลานชายสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ใช้เครื่องยิงธนบัตรโปรยทานเงินสดกว่า 1 แสนบาท
ที่วัดเขื่อนนคร เขตตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เป็นงานอุปสมบท นายรัชพล ครุทิน หรือนาคอ่ำ จัดขึ้นตามประเพณี โดยในช่วงพิธีนำนาคเข้าอุปสมบทที่วัดได้มีขบวนแห่ โดยมีการประกอบพิธีเหมือนกับบวชนาคทั่วไป มีวงดนตรีบรรเลงเพลง นางรำทั้งใส่เสื้อทีมสีเขียว และชุดไทยร่วมร่ายรำด้วยความสนุกสนาน ทั้งญาติผู้ร่วมงานที่นำนาคที่นั่งบนหลังม้าแห่ ม้าออกท่าทางเต้นตามจังหวะเพลง สร้างความสนุกสนานกับผู้ร่วมงานที่นำนาคไปอุปสมบทที่วัดด้วยความสนุกสนาน
จนถึงบริเวณพระอุโบสถ และได้ทำการแห่นาครอบพระอุโบสถจำนวน 3 รอบ ถึงเวลาที่ผู้ร่วมงานบุญรอคอย คือการรับทานจากนาคที่ทำการเข้าอุปสมบทที่มีนาคโปรยเหรียญที่ห่อด้วยกระดาษเต็มตะกร้าใหญ่ให้กับผู้ร่วมงาน แต่สิ่งที่หน้าสนใจมากกว่าคือ ลุงของนาคคือนายวะสัน บรรเจิดศิลป์ สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ นำแบงค์ธนบัตรชนิดราคา 20 บาท และ 100 บาทจำนวนเงินรวมกว่า 1 แสนบาท ใส่เครื่องยิงธนบัตรจนทำให้ให้ธนบัตรที่แลกมาใหม่ติดกัน ยิงไม่ค่อยออกจึงต้องใช้วิธีหยิบเงินโปรยท่ามกลางประชาชนที่ร่วมบุญรับเงินโปรยทานกันอย่างคึกคัก
โดยนายวะสัน บรรเจิดศิลป์ สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ระบุ ว่า ในงานบวชครั้งนี้เป็นงานบวชหลานชายจึงอย่างร่วมบุญ นำเงินกว่า 1 แสนบาท มาร่วมโปรยทานเพื่อเป็นบุญกุศลร่วมถึงให้ของขวัญแก่ชาวบ้านในช่วงเทศกาลงานบุญใหญ่ของอุปสมบทพระThank to : https://www.amarintv.com/news/detail/20794126 ก.พ. 67
|
|
|
99
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เช็งเม้ง 2567 ตรงกับวันไหน มีประวัติที่มาอย่างไร
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2024, 06:47:26 am
|
. เช็งเม้ง 2567 ตรงกับวันไหน มีประวัติที่มาอย่างไรเช็งเม้ง คือเทศกาลที่ลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีนต่างเดินทางมารวมตัวกัน เพื่อไหว้สุสานบรรพบุรุษอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา วันเช็งเม้ง 2567 ตรงกับวันศุกร์ที่ 5 เมษายน 2567 ลูกหลานสามารถเริ่มต้นไหว้เช็งเม้งได้ตั้งแต่วันพุธที่ 20 มีนาคม 2567 เป็นต้นไปจนถึงวันเช็งเม้ง ในเทศกาลนี้ลูกหลานต้องทำอะไรเพื่อไหว้บรรพบุรุษบ้าง
@@@@@@@
วันเช็งเม้ง 2567 ตรงกับวันไหน
วันเช็งเม้ง ปี 2567 ตรงกับวันศุกร์ที่ 5 เมษายน ตามปฏิทินจันทรคติปีนี้วัน “ชุงฮุง” หรือวันเริ่มไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวันที่ประตู 3 ภพเปิด ตรงกับวันพุธที่ 20 มีนาคม 2567 ลูกหลานจึงสามารถเริ่มเดินทางไปไหว้ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันเช็งเม้ง
คำว่า เช็งเม้ง หมายถึงความสะอาด บริสุทธิ์ และแสงสว่าง ชาวไทยเชื้อสายจีนจะรวมตัวกันนัดญาติพี่น้อง ลูกหลาน ไปยังสุสานเพื่อทำความสะอาดและจัดเตรียมของไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ
@@@@@@@
ประวัติเทศกาลเช็งเม้ง
ประวัติของเทศกาลเช็งเม้งเป็นประเพณีที่ปฏิบัติตามความเชื่อของลัทธิขงจื๊อ ซึ่งถือความกตัญญูต่อบรรพบุรุษเป็นหลัก ตำนานการเกิดวันเช็งเม้งมีเรื่องเล่าไว้หลายตำนาน หนึ่งในนั้นคือจุดเริ่มต้นสมัยราชวงศ์ถัง ราวปี พ.ศ. 1161-1170 คาดว่าผู้คิดค้นคือขุนนางราชวงศ์โจว เป็นผู้กำหนดพิธีการจัดการงานไหว้หลุมศพ จากบันทึกของราชวงศ์ถัง การไหว้สุสานหลุมศพบรรพบุรุษกระทำปีละ 2 ครั้ง ช่วงต้นปีและปลายปี
ตำนานการทำความสะอาดสุสานในเทศกาลเช็งเม้งก่อนเริ่มการไหว้นั้น มาจากพระเจ้าฮั่นเกาจู ผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่น เนื่องจากพระองค์ระลึกถึงบิดามารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว จึงเดินทางไปยังบ้านเกิด แต่จำสุสานของบิดามารดาของตนไม่ได้ จึงอธิษฐานต่อเทพบนสวรรค์ด้วยการโปรยกระดาษสีขึ้นฟ้า เพื่อให้กระดาษปลิวไปตกยังป้ายสุสานใด จะถือว่าสุสานนั้นเป็นสุสานของบิดามารดา เมื่อทรงทอดพระเนตรป้ายหลุมศพที่กระดาษตกลงไปชัดๆ ก็พบว่าเป็นหลุมศพของบิดามารดาของพระองค์ หลังจากนั้นประเพณีทำความสะอาดฮวงซุ้ย และทาป้ายชื่อหลุมศพใหม่ จึงเป็นที่นิยมปฏิบัติกันต่อมาภาพจาก iStockลูกหลานต้องทำอะไรในวันเช็งเม้ง
สิ่งที่ยึดถือปฏิบัติเป็นประเพณีในวันเช็งเม้ง ที่ลูกหลานชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนทำสืบต่อกันมา มีดังต่อไปนี้
1. ทำความสะอาดสุสานบรรพบุรุษให้น่ามอง แต่ห้ามถอนหญ้า เพราะอาจไปกระทบกับตำแหน่งต้องห้าม เช่น ทิศอสูร ทิศแตกสลาย ทิศดาวเบญจภูติ 2. ตกแต่งสุสานให้ดูใหม่ หากป้ายชื่อบรรพบุรุษมีสีซีดแล้วก็ลงสีป้ายชื่อใหม่โดยใช้สีเขียว หรือสีทองขลิบเขียว นำกระดาษม้วนสีรุ้งมาตกแต่งให้สวยงาม แต่ไม่ควรปักธงบนหลังเต่า เพราะเชื่อกันว่าจะทำให้หลังคาบ้านของบรรพบุรุษรั่ว 3. กราบไหว้เจ้าที่ เป็นการให้เกียรติ และขอบคุณที่ช่วยคุ้มครองดูแล 4. กราบไหว้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ 5. เผากระดาษเงิน-กระดาษทอง และจุดประทัด 6. ล้อมวงกินอาหารไหว้ร่วมกัน เป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากลาของไหว้ เพื่อแสดงความสามัคคี และจุดประทัด เพื่อความเป็นสิริมงคลในเทศกาลเช็งเม้งภาพจาก iStockวันเช็งเม้ง 2567 มีของไหว้อะไรบ้าง
สำหรับของไหว้ในวันเช็งเม้ง จะแบ่งออกเป็นของไหว้สำหรับเจ้าที่ และของไหว้สำหรับบรรพบุรุษ
ของไหว้เจ้าที่
• เนื้อสัตว์ 3 อย่าง • ขนม 3 อย่าง • ผลไม้ 3 หรือ 5 อย่าง • ธูป 5 ดอก พร้อมเทียนแดง 1 คู่ • เหล้า หรือน้ำชา
ของไหว้บรรพบุรุษ
• ข้าวสวยใส่ถ้วย พร้อมตะเกียบ • เหล้า หรือน้ำชา • กระดาษเปิดทาง • อาหาร 3 หรือ 5 อย่าง • สัตว์ประเภท หมู ไก่ เป็ด หรือปลา • กับข้าวอื่นๆ ที่บรรพบุรุษชอบรับประทาน และผลไม้ลูกสวยๆ เช่น ส้ม, แอปเปิล, กล้วย, ทับทิม, แก้วมังกร, องุ่น • ขนมไหว้ ได้แก่ ขนมไข่, ซาลาเปา, ฮวกก้วย และจูชังเปี๊ยะ • กระดาษไหว้เจ้า ได้แก่ กระดาษหงิ่งเตี๋ย, กระดาษเงินกระดาษทอง และกระดาษรูปของใช้ต่างๆ • ประทัด
Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/276609026 ก.พ. 2567 12:51 น. | ไลฟ์สไตล์ > วัฒนธรรม > ไทยรัฐออนไลน์
|
|
|
100
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / งานบุญไม่ใช้เงิน วัดประดู่ตะบอง มีรายละเอียด
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2024, 06:23:14 am
|
. งานบุญไม่ใช้เงิน วัดประดู่ตะบอง มีรายละเอียด”สร้างพระโดยไม่ใช้เงิน วัดประดู่ตะบอง อยุธยา โดย หลวงพ่อขวัญ ตอนนี้มีงานบุญที่เพิ่งทราบ เมื่อ 2-3 วันก่อนชวนคนสร้างพระโดยไม่ใช้เงิน เพียงส่งทองเหลืองเก่า หรือใหม่ไปรวมหลอมละลาย ก่อนวันที่ 6 เมษายน 2567 นี้
วัดประดู่ตะบอง อยุธยา โบสถ์เก่าอายุกว่า 200 ปี เป็นโบสถ์ที่อยู่กลางทุ่งนา มีต้นโพธิ์ ต้นไทร ขึ้นยึดกำแพงโบสถ์โดยรอบ และพระพุทธรูป ศักดิ์สิทธิ์สันนิษฐานว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง วันนี้มีงานบุญใหญ่แล้ว งานบุญไม่ใช้เงิน วัดประดู่ตะบอง มีรายละเอียด หากมีจิตศรัทธาและอยาก ร่วมบุญ แต่ไม่มี ทองเหลือง ก็สามารถไปร่วมงานบุญใหญ่นี้ได้ ที่ วัดประดู่ตะบอง เลขที่ 39 บ้านกะทุ่ม หมู่ที่ 2 ตำบล กะทุ่ม อำเภอ มหาราช จังหวัด พระนครศรีอยุธยา 13150 หรือ อยาก ส่งทองเหลืองไปร่วมหล่อองค์พระ ก็ส่งไปได้ตามที่อยู่วัดได้เลยค่ะ อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป คือ
คัมภีร์ตำราสร้างพระพุทธรูปของวัดป่าบง กล่าวว่า เจ้าของพระพุทธรูปที่สร้างถวายนั้น จะได้เสวยสุขทั้งในเมืองคน และเมืองฟ้าด้วยระยะต่างกันดังนี้
1. พระพุทธรูปที่เขียนบนใบไม้ (อย่างใบลาน) มีอานิสงส์ (ให้ได้สุขนานถึง) 5 กัปป์ 2. พระพุทธรูปที่วาดบนแผ่นผ้า กรดาษ หรือทำด้วยดินเหนียว มีอาสงส์ 10 กัปป์ 3. พระพุทธรูปสลักจากหิน หยก ไม้จันทร์ มีอานิสงส์ 19 กัปป์ 4. พระพุทธรูปสลักจากท่อนไม้ต่างๆ มีอานิสงส์ 19 กักป์ 5. พระพุทธรูปรูปหล่อด้วยทองแดงหรือทองเหลือง มีอานิสงส์ 17 กัปป์ 6. พระพุทธรูปสร้างด้วยครั่ง มีอานิสงส์ 20 กัปป์ 7. พระพุทธรูปสลักจากงาช้าง มีอานุสงส์ 30 กัปป์ 8. พระพุทธรูปสลักก่ออิฐถือปูน มีอานิสงส์ 32 กัปป์ 9. พระพุทธรูปสร้างจากหินและเงิน มีอานิสงส์ 45 กัปป์ 10. พระพุทธรูปสร้างจากผงดอกไม้ผสมน้ำรัก มีอานะสงส์ 100 กัปป์ 11. พระพุทธรูปสร้างจากทองคำ มีอนิสงส์ 12 กัปป์ 12. พระพุทธรูปสร้งรูปจากโลหะ ๕ ชนิด มีอานิสงส์ 10,000 กัปป์ 13. พระพุทธรุปแก้วมณี (เพชร, นิล, ทับทิม, โกเมน, บุษราคัม ฯลฯ) มีอานิสงส์อสงไขยขอขอบคุณ : อาจารย์นิติกฤตย์ กิตติศรีวรนันท์ ผู้บอกบุญในครั้งนี้ Thank to : https://www.thainewsonline.co/belief/belief/86745026 กุมภาพันธ์ 2567
|
|
|
101
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “เราอาจผิดเองก็ได้” ทำไมบางคนถึงมักโทษตัวเอง แม้กำลังถูกเอาเปรียบ
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2024, 08:30:47 am
|
. “เราอาจผิดเองก็ได้” ทำไมบางคนถึงมักโทษตัวเอง แม้กำลังถูกเอาเปรียบทำไมเราต้องทำงานอยู่คนเดียวล่ะ? ค่าตอบแทนเท่านี้เหมาะสมแล้วหรอ? ให้เรามาเอาโต๊ะก่อน ทำไมถึงไม่รีบตามมากันนะ? หลายครั้งที่เราเกิดคำถามกับตัวเอง ว่าสถานการณ์ที่เราเจออยู่นั้น เรากำลังถูกเอาเปรียบหรือเปล่า จริงๆ เราก็มีคำตอบในใจตั้งแต่เราเริ่มเอะใจกับตัวเองแล้วล่ะ แต่พออะไรเหล่านั้นมันเกิดขึ้นกับตัวเอง แทนที่เราจะอยากลุกขึ้นสู้ กลับรู้สึกโทษตัวเองแทน ทำไมในเรื่องที่เราถูกเอาเปรียบ ถึงทำให้เราโทษตัวเองได้นะ
ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่ เมื่อเราถูกเอาเปรียบจนเกิดคำถามในใจ นั่นแปลว่าเรากำลังรู้ตัวแล้วล่ะ ว่าสิ่งนี้มันไม่แฟร์กับเรา หลายครั้งเราอาจปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย เกินกว่าจะมีปัญหากับใครเพราะเรื่องนี้ แต่พอถึงคราวเจอปัญหาใหญ่ เราก็ไม่กล้าลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองอยู่ดี “เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกมั้ง” “เราอาจไม่ดีเอง คิดมากไปเองก็ได้” มีสารพัดเหตุผลให้กับทั้งฝ่ายที่เอาเปรียบเรา และสารพัดเหตุผลที่ย้อนกลับมาโทษตัวเราเองเสียได้
ทั้งที่เหตุการณ์ตรงหน้า เอื้ออำนวยให้เราเห็นทุกอย่างว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเรา ทำไมเราถึงคิดว่าเราเองก็มีส่วนผิดกันนะลองมาฟังเรื่องนี้จาก โชบา ซรีนิวาซา (Shoba Sreenivasa) และ ลินดา ไวน์เบอร์เกอร์ (Linda E. Weinberger) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา จาก Keck School of Medicine ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งนี้เนี่ย เรียกว่า ‘Self-Blame’ ความรู้สึกผิดที่จะโทษคนอื่นเมื่อเจอกับปัญหา ทั้งที่สิ่งนั้นไม่ใช่ความผิดของเราเองก็ตาม ส่วนมากมักเกิดจากประสบการณ์ร้ายๆ ทางจิตใจในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็น ขาดความสนใจ ถูกกดดันมากเกินไป ถูกทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิดทางเพศ และอื่นๆ
เหตุการณ์ร้ายๆ เหล่านี้ ส่งผลให้ผู้ถูกกระทำไม่ได้รับอนุญาตให้รู้สึกว่าตนรู้สึกอย่างไร เช่น เจ็บปวด โกรธ โกรธเคือง ถูกทอดทิ้ง ถูกปฏิเสธ รู้สึก หรือต่อให้แสดงความรู้สึกออกมาได้ แต่ก็มักไม่ได้รับความสนใจ ไม่ได้รับการแก้ปัญหา สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ถูกกระทำไม่รู้ว่าเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาควรตอบสนองไปแบบไหน นอกจากย้อนกลับมาโทษตัวเองในวัยเด็ก เรามีผู้ปกครองเป็นคนที่คอยปกป้อง คอยบอก คอยสอนเรา แต่เมื่อวันหนึ่ง เขากลับหันมาทำร้ายความรู้สึกของเราเอง เราตั้งคำถามไปแล้วก็ไม่ได้คำตอบกลับมา ว่าทำไมเราถึงเจ็บปวดแบบนี้ ทำไมเราถึงถูกปฏิบัติแบบนี้ นั่นทำให้เราไม่อาจจับต้นสายปลายเหตุอะไรได้ นอกจากโทษตัวเอง เก็บกดความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง แล้วรู้สึกว่าต่อจากนี้ หากเกิดเรื่องผิดพลาดอะไร มันจะเกี่ยวข้องกับเราเองเสมอ
แต่เราอาจเคยเห็นการโทษตัวเองในรูปแบบอื่น อย่างการโทษตัวเองเพื่อโน้มน้าวให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดแทน เช่น “เรื่องนี้ฉันผิดเองทั้งหมดแหละ โทษเธอไม่ได้หรอก” “ฉันผิดเองที่ไว้ใจให้เธอทำ ไม่คิดว่าเธอจะทำออกมาเป็นแบบนี้” แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้แตกต่างจากการโทษตัวที่กล่าวไปข้างต้น เพราะขาดถึงความรู้สึกผิดที่แท้จริง และยังรู้อีกว่าสิ่งนี้จะสามารถเป็นเครื่องมือให้พลิกสถานการณ์เป็นอีกด้านได้ ความรู้สึกเบื้องหลังการโทษตัวเองสองแบบนี้จึงต่างกัน
@@@@@@@
แล้วสิ่งเหล่านี้ส่งผลกับเรายังไงบ้าง
• ตำหนิตัวเองมากเกินไป จากประสบการณ์ที่เคยถูกตำหนิ ว่ากล่าว วิจารณ์อย่างไม่มีเหตุผล ไม่เป็นธรรม เราจึงนำการตัดสินและมาตรฐานเหล่านั้นที่เคยเจอ มาเก็บไว้เป็นไม้บรรทัดในใจ และคอยตัดสินตัวเอง มองตัวเอง จากไม้บรรทัดบิดเบี้ยวเหล่านั้น
• มองโลกแค่ขาวกับดำ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จากประสบการณ์ที่ถูกตำหนิ ทำร้ายจิตใจอยู่เสมอ ทำให้เรามักมองหาคนผิดให้กับเรื่องนี้ และมองว่ามีแค่ถูกกับผิดเท่านั้น (เพื่อให้มีคนมารับผิดชอบว่าเป็นต้นเหตุของปัญหานี้) และคนผิดก็มักเป็นเราเองเสมอ
• ไม่ถนอมความรู้สึกของตัวเอง นอกจากจะโทษตัวเองอยู่เสมอแล้ว ความรู้สึกที่ตามมาคือ เรารู้สึกว่าเราสมควรได้รับความเจ็บปวด สมควรถูกตำหนิ ทำให้เมื่อเราเกิดความเสียใจขึ้นมา เราจะไม่ดูแลความรู้สึกของตัวเองเท่าที่ควร เพราะรู้สึกว่า การไม่ได้รับความรัก การถูกตำหนิ การเป็นคนผิด นั้นเป็นเรื่องปกติ ที่เราไม่ต้องจัดการอะไร พฤติกรรมที่กล่าวมานั้น อาจนำเราไปสู่ความสัมพันธ์เป็นพิษได้ ไม่ว่าจะกับเพื่อน ที่ทำงาน หรือคนรักก็ตาม เพราะเรามีแนวโน้มที่จะเคยชินกับการถูกทำร้ายจิตใจ มองว่ามันเป็นเรื่องปกติ หรือรู้สึกว่าเรานี่แหละสมควรได้รับความเจ็บปวดนี้แล้ว เราเลยอาจถูกเอาเปรียบจากเพื่อนร่วมงาน หรือตกอยู่ในวังวนทำร้ายใจกับคนรัก จนไม่กล้าลุกขึ้นสู้ ไม่กล้าเดินออกมาจากจุดนั้น
ถ้าใครที่ตกอยู่ในความรู้สึกนี้มากเกินไป เราแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่างจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาจะดีที่สุด แต่ถ้าใครยังอยู่ในระดับที่คิดว่าพอประคับประคองความรู้สึกได้ สิ่งแรกที่เริ่มทำได้คือ อะไรที่เราไม่ผิดก็ไม่จำเป็นต้องรับไว้ทั้งหมด จากนั้นรวบรวมความกล้า แสดงความรู้สึกในใจของเราออกไป เราเองมีสิทธิ์ที่จะทักท้วงเมื่อถูกเอาเปรียบ โต้แย้งเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้เราไม่ได้รับความเป็นธรรม
แผลในใจที่เกาะกินความรู้สึกของเราอยู่กับเรามาเท่าอายุ ไม่ต้องรีบร้อนเป็นคนใหม่ในชั่วข้ามคืน ค่อยๆ ให้ตัวเองได้เดินไปทีละก้าว ได้ลองวิธีที่เหมาะกับตัวเองไปเรื่อยๆ คิดไว้เสมอว่า แม้ใครจะละเลยความรู้สึกเราแค่ไหน แต่ตัวเราเอง อย่าละทิ้งความรู้สึกตัวเองเด็ดขาด Thank to :- URL : https://thematter.co/lifestyle/mental-health/self-blame/222987Posted On 24 February 2024 Worakan J. Graphic Designer : Kotchamon Anupoolmanee Editorial Staff : Paranee Srikham อ้างอิงจาก :- Psychology TodayPsychcentralScienceDirect
|
|
|
103
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ใช้ AI ..เยียวยาจิตใจ.!? | แชตบอต “ใส่ใจ” (Psyjai) ของมหาวิทยาลัยมหิดล
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2024, 07:59:56 am
|
. ใช้ AI ..เยียวยาจิตใจ.!? | แชตบอต “ใส่ใจ” (Psyjai) ของมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นอะไรที่น่าสนใจมิใช่น้อย กับข้อมูลที่ระบุว่า ความสุขของคนไทยทุกวันนี้ลดน้อยลง.!!
นอกจากนั้นยังมีตัวเลขที่บ่งบอกว่า สุขภาพจิตคนไทยถดถอย มีสถิติในปี 2566 พบว่า มีผู้ป่วยจิตเวชมากถึง 2.5 แสนคน ในจำนวนนี้ต้องรักษาในโรงพยาบาลมากเกือบ 3 หมื่นคน
ปัญหาเรื่องของสุขภาพจิต หากเป็นประเทศตะวันตก ก็จะถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่พวกเขาจะเดินเข้าไปพึ่งพาปรึกษาหมอ แต่..ไม่ใช่เลย.!! สำหรับบ้านเรา..จริงไหม.??
ในสังคมไทย โดยเฉพาะในระดับกลางๆ ลงไป หากบอกว่าไปพบจิตแพทย์ล่ะก็ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ทั้งๆ ที่โรคทางใจ ก็ถือเป็นอาการที่ควรจะมีหมอช่วยดูแลและวินิจฉัยเฉกเช่นเดียวกับโรคทางกายอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามีบางส่วนเหมือนกัน ที่เข้าใจเข้าถึงการต้องใช้บริการหมอด้านจิตเวช เพื่อเยียวยารักษาใจ หรือแก้ปัญหาที่ตัวเองคิดไม่ตก แต่ปัญหาติดอยู่ที่ว่า ค่าใช้จ่ายสูงพอสมควรในการพบแพทย์แต่ละครั้ง หลายต่อหลายรายจึงเลือกทางออก ไปหาหมอดูหมอเดา ไปจนถึงหมอด้านสายมู ซึ่งราคาพอจะรับได้มากกว่า
@@@@@@@
วันนี้มนุษย์ป้าอยากจะชี้ทางออกให้กับสายมูทั้งหลายที่คิดว่า หมอดู อาจารย์สำนักต่างๆ ช่วยได้นั้น คิดใหม่เถิดจะเกิดผล อย่างน้อยที่สุด ลองค้นหา นวัตกรรมแชตบอต “ใส่ใจ” (Psyjai) ที่ทางมหาวิทยาลัยมหิดลพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นช่องทางในการเยียวยาจิตใจของคนทุกเพศทุกวัยค่ะ
ระบบ AI ที่สามารถพูดคุยกับทุกเพศทุกวัย ช่วยประเมินสภาวะจิตใจและอารมณ์เบื้องต้น บรรเทาความเครียดด้วยหลักจิตวิทยา เปิดบริการแล้ววันนี้ให้เข้าถึงได้ง่ายในทุกที่ทุกเวลา ตลอด 24 ชม.
นวัตกรรมนี้มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการดูแลคนไทยให้มีสุขภาพจิตที่ดี ผู้ใช้งานสามารถตระหนักรู้ถึงสภาวะอารมณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า และนำไปสู่การจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ช่วยลดความยากลำบากของประชาชนในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิต
ก็ลองดูนะคะ แชตบอตใส่ใจ (Psyjai) นี้ให้บริการผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) วิเคราะห์อารมณ์จากเนื้อหาการพูดคุย และมีระบบจัดการการสนทนา (Dialogue Management) สำหรับส่งข้อความโต้ตอบให้สอดคล้องกับอารมณ์และประเด็นปัญหาที่ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์หรือตรวจจับได้ ประหยัดทั้งเงินและเวลาแน่นอน แถมไม่โดนต้มด้วยค่ะ.
"ป้าเอง"Thank to : https://www.thaipost.net/columnist-people/535961/17 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 0:02 น.
|
|
|
104
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “ประติมากรรมสำริด”จาก“ปราสาทสระกำแพงใหญ่” คือ รูปสนองพระองค์พระเจ้าสุริยวรมันที1
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2024, 07:50:14 am
|
. “ประติมากรรมสำริด” จาก “ปราสาทสระกำแพงใหญ่” คือรูปสนองพระองค์พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1..?นอกจากประติมากรรม “Golden Boy” ที่พิพิธภัณฑ์ The MET (The Metropolitan Museum of Art) สหรัฐอเมริกา เตรียมส่งคืนไทยในเดือนพฤษภาคมนี้แล้วนั้น ยังมีประติมากรรมอีกชิ้นหนึ่ง ที่มีรูปแบบศิลปะแทบจะเหมือนกัน งดงามไม่แพ้กัน นั่นคือ “ประติมากรรมสำริด” จาก “ปราสาทสระกำแพงใหญ่” จังหวัดศรีสะเกษ
ในรายการ SILPA PODCAST GOLDEN BOY EP.3 “พระเจ้าชัยวรมันที่ 6” กษัตริย์เขมร ไม่ใช่ต้นแบบ “Golden Boy” รศ. ดร. รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิเคราะห์ประติมากรรมชิ้นนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
โดยแต่เดิมมีผู้เสนอว่า ประติมากรรมสำริด จาก ปราสาทสระกำแพงใหญ่ เป็นทวารบาล แต่ อ. รุ่งโรจน์ ศึกษาจากรูปแบบศิลปกรรมและหลักฐานอื่น ๆ ประกอบ ทำให้มั่นใจได้ว่า ไม่ใช่ทวารบาล หากแต่เป็นรูปสนองพระองค์ของกษัตริย์เขมรโบราณพระองค์หนึ่ง นั่นคือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1ประติมากรรมสำริดจากปราสาทสระกำแพงใหญ่ (ภาพจาก เฟซบุ๊ก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย)ไม่ปรากฏว่า ปราสาทสระกำแพงใหญ่สร้างขึ้นในสมัยใด และจารึกที่ปราสาทสระกำแพงใหญ่ก็ไม่ได้กล่าวถึงพระนามพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 แต่จารึกที่ปราสาทพระวิหาร ได้กล่าวถึงการที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 สั่งให้มีการก่อกำแพงที่ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าพระองค์โปรดให้สถาปนาปราสาทแห่งนี้
หากประติมากรรมสำริดนี้เป็นรูปสนองพระองค์ของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ก็ต้องสร้างขึ้นเมื่อพระองค์สวรรคตไปแล้ว หรือก็คือสร้างในรัชกาลถัดมา ซึ่งกษัตริย์องค์ต่อมาคือ พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ประติมากรรมสำริด “Golden Boy” (ภาพจาก www.metmuseum.org)และพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 พระองค์นี้นี่เอง ที่ อ. รุ่งโรจน์ เสนอว่า เป็นตัวตนของประติมากรรม “Golden Boy” คือเป็นรูปสนองพระองค์ของพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 ไม่ใช่พระเจ้าชัยวรมันที่ 6
ติดตามรับชมเรื่องราวแบบเต็ม ๆ ได้ใน SILPA PODCAST GOLDEN BOY EP.3 “พระเจ้าชัยวรมันที่ 6” กษัตริย์เขมร ไม่ใช่ต้นแบบ “Golden Boy” โดย รศ. ดร. รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 20.00 น. YouTube : Silpawattanatham คลิกไปที่ https://youtu.be/JRWC_VTB76Q
อ่านเพิ่มเติม :-
• น่าสงสัย!? ประติมากรรม “Golden Boy” เก่าแก่กว่ายุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 • เรารู้ได้ไงว่า “พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2” เป็นผู้สถาปนา “นครวัด” ทั้งที่ไม่มีจารึกบอก?
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_127878
|
|
|
105
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / DNA ของผีบรรพชน จากโลงผีแมน ที่ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2024, 08:32:51 am
|
. DNA ของผีบรรพชน จากโลงผีแมน ที่ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอนวัฒนธรรม “โลงผีแมน” คือลักษณะเฉพาะของการปลงศพ ซึ่งมีการค้นพบอยู่มากในเขต อ.ปางมะผ้า จ. แม่ฮ่องสอน (หมายความว่ายังมีการพบในพื้นที่อื่นๆ ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ในข้อเขียนชิ้นนี้จะพูดถึงกลุ่มวัฒนธรรมนี้ในเขตปางมะผ้าเป็นพิเศษ) มีลักษณะที่โดดเด่นจากการใช้ “โลงไม้” ซึ่งมักจะทำจากไม้สักผ่าครึ่ง แล้วขุดเนื้อไม้ตรงกลางออกให้เป็นเหมือนโลง ส่วนปลายทั้งสองด้านจะมีการแกะสลักเป็นรูปต่างๆ โดยไม้ที่ถูกผ่าครึ่งแล้ว จะถูกนำมามาประกบกันเป็นคู่ จากนั้นจึงนำมาตั้งไว้อยู่บนเสาไม้จำนวน 4-6 เสา หรือวางไว้บนคานภายในถ้ำอีกทีหนึ่ง
และก็เป็นที่น่าสนใจอีกด้วยว่า “ถ้ำ” อันเป็นสถานที่เก็บโลงผีแมนเหล่านี้ มักจะตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เกือบจะเป็นยอดของเทือกเขาหินปูน โดยบริเวณที่เป็นยอดเขาเหล่านี้ มักจะถูกนับว่าเป็นสถานที่สำคัญ หรือศักดิ์สิทธิ์ จึงมักมีสิ่งก่อสร้างในศาสนาต่างๆ รวมถึงศาสนาผีพื้นเมืองของอุษาคเนย์ด้วย
แน่นอนว่า “โลงผีแมน” ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพิธีปลงศพย่อมเกี่ยวข้องกับศาสนา และความเชื่อ และเป็นไปได้ด้วยว่า ตัวของโลงผีแมนเองก็คือ ส่วนหนึ่งของความศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะของ “ผีบรรพชน” นั่นเอง มีผู้อธิบายว่า “ผีแมน” นั้น เป็นภาษาไทยใหญ่ แปลว่า “ผีที่โผล่ขึ้นมา”
อย่างไรก็ตาม คำว่า “แมน” นั้น หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมักจะปรากฏในเอกสารโบราณของล้านช้างคู่กับคนอีกกลุ่ม ที่เรียกตัวเองว่า พวกแถน ด้วยเช่นกัน
@@@@@@@
โดยปราชญ์ทางด้านประวัติศาสตร์ และนิรุกติศาสตร์อย่าง จิตร ภูมิศักดิ์ ผู้ล่วงลับ ได้เคยอธิบายเกี่ยวกับ “พวกแมน” เอาไว้ในหนังสือ “โองการแช่งน้ำ และข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทย ลุ่มน้ำเจ้าพระยา” ว่า
“พวกแมน พวกเจ้าบ้านผ่านเมืองล้วนต้องใช้คำว่าแมน นำหน้าทั้งสิ้น, พวกแมนนี้ บางทีก็เรียกว่าพวกผี หรือผีฟ้า ซึ่งต่ำลงมากว่าแถน. ร่องรอยอันนี้ เราได้พบในวรรณคดีไทยอย่างเลือนรางมาก คือใน ลิลิตพระลอ ซึ่งออกชื่อพ่อของพระลอว่า ท้าวแมนสรวง ผู้ครองเมืองสรวง นี่เป็นทำนองเดียวกันกับพวกแมนในวรรณคดีเรื่องขุนเจือง ของล้านช้าง เช่น แมนฟอง ครองเมืองคาเขียว ดังนี้ เป็นต้น”
ถ้าจะเชื่อตามที่จิตรอธิบายแล้ว คำว่า “แมน” ก็หมายถึง “ผี” คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาผี และย่อมเป็น “ผีบรรพชน” โดยเฉพาะบรรพชนของพวกแมน เพราะจิตรอธิบายว่า พวกแมน บางทีก็เรียกว่า “ผีฟ้า” ซึ่งเป็นเทวดาที่มีนิวาสสถานบนพื้นโลก
คำว่า “โลงผีแมน” ที่นักโบราณคดีนำมาใช้นั้น เป็นคำที่ชาวบ้านในท้องถิ่นใช้เรียกกลุ่มโลงไม้พวกนี้มาก่อน ชื่อโลงผีแมนนี้จึงแสดงให้เห็นถึงร่องรอยที่สืบเนื่องของความเชื่อในศาสนาผี ของพวกแมนด้วย
น่าสนใจว่าเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้จัดให้มีการแถลงข่าว “โลงผีแมน ข้อมูลใหม่สู่การถอดรหัสสืบรากมนุษย์ยุคโบราณ 1,700 ปี กับการบูรณาการศาสตร์ ด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ กับวิทยาศาสตร์” ขึ้นที่ท้องพระโรง มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวังท่าพระ
ส่วนผู้ที่เป็นคนให้ข้อมูล และร่วมพูดคุยในการแถลงข่าวเกี่ยวกับหัวข้อข้างต้นนั้น ก็มีอยู่ 2 คนสำคัญ
หนึ่งก็คือนักโบราณคดี ผู้ทำงานวิจัยเรื่องวัฒนธรรมโลงผีแมน มาอย่างยาวนานตั้งแต่เรือน พ.ศ.2544 ซึ่งก็นับเป็นเวลา 20 กว่าปีมาแล้วเลยทีเดียวอย่าง ศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
ส่วนอีกหนึ่งก็คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์ ที่สนใจในการนำงานทางด้านนี้มาเชื่อมโยงกับงานทางด้านมานุษยวิทยา และพันธุศาสตร์โบราณ อย่าง รศ.ดร.วิภู กุตะนันนท์ แห่งคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ดังนั้น ถ้าจะมีใครที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องของ “พันธุศาสตร์” ของผู้คนที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรม “โลงผีแมน” (และได้ใช้โลงผีแมนเป็นที่บรรจุชิ้นส่วนสังขารของตนเองด้วย) แล้วน่าเชื่อถือที่สุด ก็คงจะไม่พ้นทั้ง 2 คนนี้ไปได้หรอกนะครับ การแถลงข่าวในครั้งนี้จึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ศ. ดร. รัศมี ชูทรงเดช นักวิจัยมหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีบนพื้นที่สูงและริเริ่มการขุดค้นแหล่งโบราณคดีใน จังหวัดแม่ฮ่องสอนมากกว่า 20 ปี (ภาพจาก ข่าวสด)ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดของการแถลงข่าวในครั้งนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น การที่ค่าอายุ 1,700 ปี (อันเป็นค่าอายุที่เก่าที่สุดที่พบในที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างที่นำไปตรวจสอบ DNA จากโลงผีแมน ซึ่งมีการใช้งานต่อเนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวมาอีกนับพันปี) นั้น มีการผสมผสานของ DNA จากกลุ่มคน 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มหัวบินเนียน (Hoabinhian, คนพื้นเมืองอุษาคเนย์ในยุคก่อนจะมีโลหะใช้) ซึ่งมีชุด DNA เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลมอญ-เขมร ในปัจจุบัน
กลุ่มคนยุคเหล็กจากลุ่มน้ำฉางเจียน (หรือที่มักเรียกกันในโลกภาษาไทยว่า แม่น้ำแยงซีเกียง) ทางตอนใต้ของจีน ซึ่งมี DNA เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไท
และกลุ่มคนยุคเหล็กจากแม่น้ำเหลือง (แม่น้ำพวงเหอ หรือในโลกภาษาไทยมักเรียกว่า แม่น้ำฮวงโห) ทางตอนเหนือของจีน
ลักษณะดังกล่าวแตกต่างไปจากชุด DNA ที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างในวัฒนธรรมบ้านเชียง และกลุ่มตัวอย่าง DNA ของผู้คนยุคเหล็กในบริเวณนี้ ที่มีอายุเก่าแก่ขึ้นไปถึงช่วง 1,800 ปี
ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มตัวอย่างหลังนั้น มีชุดของ DNA ของกลุ่มหัวบินเนียน และลุ่มน้ำฉางเจียน แต่ไม่พบร่องรอยของ DNA ของกลุ่มคนจากลุ่มน้ำเหลือง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนจากลุ่มน้ำเหลืองเข้ามาในพื้นที่แถบทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งคงจะเริ่มเมื่อช่วง 1,700 ปีที่แล้ว
ถึงแม้ว่า DNA ของกลุ่มตัวอย่างจากวัฒนธรรมโลงผีแมน แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับพวกลัวะ, กะเหรี่ยงปาดอง และมอญ ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่พวกเดียวกันเสียทีเดียว
ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นถึงกลุ่มคนที่หลากหลายที่เข้ามาผสมผสานกับผู้คนในวัฒนธรรมโลงผีแมนอย่างเข้มข้น ตลอดในช่วง 1,700 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นชุดของ DNA ของทั้ง 3 กลุ่มชนดังกล่าวในปัจจุบัน
(และก็น่าสังเกตด้วยนะครับว่าช่วง 1,700 ปีที่แล้ว ใกล้เคียงกับช่วงที่เริ่มมีการรับเอาเทคโนโลยีการทำนาทดน้ำจากจีนเข้ามาในอุษาคเนย์ โดยกลุ่มคนในปัจจุบันที่มี DNA เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนในวัฒนธรรมโลงผีแมน และพูดภาษาตระกูลจีน-ทิเบต คือพวกปาดอง หรือกะเหรี่ยงคอยาว)
@@@@@@@
เป็นอันสรุปได้ว่า ชิ้นส่วนกระดูกของ “ผีแมน” ที่เก็บอยู่ในโลงไม้เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า ผีของกลุ่มชนที่คนในพื้นที่เรียกว่า “แมน” (ไม่ว่าชนกลุ่มนั้น จะถือว่าพวกตนเองเป็นพวกแมนหรือเปล่าก็ตาม) เป็นบรรพชนของคนถึง 3 กลุ่มเป็นอย่างน้อย
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ การวิจัย DNA โบราณในครั้งนี้ เน้นการศึกษา “ออโตโซม” (autosome คือ โครโมโซมร่างกายส่วนที่กำหนดลักษณะทางพันธุกรรมและลักษณะทางกายภาพต่างๆ) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลำดับเครือญาติ ของเจ้าของกระดูกในโลกผีแมนต่างๆ ที่ถูกนำใช้เป็นตัวอย่างในการศึกษาว่ามีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด
ลักษณะอย่างนี้ชวนให้นึกถึงความเชื่อเรื่องผีบรรพชน และพิธีศพของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในอุษาคเนย์ปัจจุบันนี้ ที่มีการฝังศพครั้งที่สอง (Secondary burial) ด้วยการนำเอากระดูกไปบรรจุรวมกันในกลุ่มเครือญาติ โดยถือเป็นผีประจำตระกูลตนหนึ่งตนเดียวกัน
โดยในที่นี้ผมอยากจะเชิญชวนให้ลองเปรียบเทียบกับพิธีศพของพวกจาม
ชาวจามเชื่อว่า มนุษย์เราเมื่อ “เกิด” ขึ้นมานั้น ก็คือได้ “ตาย” ไปจากท้องของแม่ในเวลาเดียวกัน ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่มนุษย์ได้ตายลง เขาก็แค่กลับเข้าไปเกิดอยู่ในท้องแม่อีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้น ในการฝังศพครั้งแรกพวกจามจะตั้งปะรำพิธี ในงานศพ เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง (ดังนั้น จะเรียก “ปะรำ” ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะปะรำที่พวกจามสร้างในงานศพมีหลังคาโค้งเหมือนกระดองเต่า หรือท้องของแม่ ไม่ได้เป็นหลังคาเรียบเหมือนปะรำพิธีบ้านเรา) “ศพ” ของผู้ตายก็คือ “เด็ก” ที่อยู่ในท้องของแม่
ส่วนเสาเอกปะรำพิธีจะมี “ลึงค์” (จามเรียกว่า “ลิงคัม”) ที่ทำจากไม้ ตั้งเอาไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายของอวัยวะเพศชาย และเชื่อว่าเป็นการสร้างร่างกายในโลกใหม่ให้กับผู้ตาย
แต่งานศพของพวกจามยังไม่ได้จบง่ายๆ เท่านี้ เพราะหลังจากที่ฝังไปครบปีแล้ว ก็จะมีการนำศพขึ้นมาเผา แต่ก่อนหน้าที่จะมีการเผา 2 วัน จะต้องมีการนำเอา “หิน” ที่มีลักษณะกลมเกลี้ยงจากแม่น้ำลำธาร หรืออาจจะจากครัว จำนวน 9 ก้อน มาวางเรียงตั้งสูงขึ้นไปบนฟ้าในที่แจ้งในลักษณะของ “ก้อนหิน 3 เส้า” ที่รองรับเตา หรือภาชนะในครัว
โดยมีการอ้างว่า หินแต่ละก้อนเป็นสัญลักษณะของเดือนแต่ละเดือน หิน 9 ก้อนหมายถึง 9 เดือนที่ผู้ตายอยู่ในท้องของแม่ จากนั้นวันที่ 3 จึงค่อยทำลายหินสามเส้าที่ก่อมามาจากหิน 9 ก้อนนั้น เป็นสัญลักษณ์ของการคลอด แล้วจึงขุดเอาศพผู้ตายขึ้นมาเผาได้
จากนั้นชาวจามจะเก็บกระดูกหน้าผากของผู้ตายที่เหลือจากการเผา นำมากะเทาะออกเป็น 9 ชิ้น แล้วเก็บรวมกันไว้ในกล่องที่ใช้เฉพาะในพิธีที่ชื่อว่า “กุต” (Kut) ซึ่งเรียกด้วยภาษาจามว่า “klaong” โดยเชื่อกันว่าการเก็บกระดูกเอาไว้ในกล่องที่ว่านี้ จะช่วยให้ผู้ตายได้เข้าไปอยู่ร่วมกับบรรพชนของพวกเขาในโลกนิรันดร์
ครอบครัวของฝ่ายภรรยาจะเป็นฝ่ายนำกล่องที่ว่านี้ ไปเก็บไว้กับครอบครัวของฝ่ายสามี จนครอบครัวนั้นสามารถรวบรวมกล่องได้มากพอสมควรแล้ว จึงนำไปประกอบพิธีกุต ซึ่งโดยปกติมักอยู่ที่ราว 15-30 กล่อง โดยมักกินระยะเวลานานราว 5-10 ปี
แต่ตัวอย่างหลายกรณีในปัจจุบันนั้นก็แสดงให้เห็นว่า หลายตระกูลไม่ได้มีการทำพิธีกุตกันมาหลายสิบปีเลยทีเดียว
@@@@@@@
อย่างไรก็ตาม พวกจามยังมีความเชื่อสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกตระกูลต้องมีสุสานที่ใช้ประกอบพิธีกุต และใช้สำหรับเป็น ที่จะนำร่างทิพย์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จากพิธีศพไปรวมเข้ากับบรรพชน ในดินแดนอันเป็นนิรันดร์ที่พวกจามเรียกว่า “muk akei” ไม่อย่างนั้นแล้วจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างรุนแรงว่า ไม่มีบรรพชนคุ้มหัว
ในพิธีที่สุสานกุต ครอบครัวจะนำเอากล่องเหล่านี้วางเรียงตามลำดับอาวุโสในตระกูล เมื่อเสร็จพิธีกรรมเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นการอัญเชิญพระอิศวร พระนารายณ์ และผีบรรพชนทั้งหลายแล้ว ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีศักดิ์สูงที่สุดในชุมชน จะเป็นผู้ประกอบพิธีในตอนเที่ยงคืน ซึ่งที่ว่าเป็นเวลาที่ชาวจามกลุ่มใหญ่ที่เมืองนิงถ่วง เชื่อว่าเป็นเวลาที่พระอิศวรลงมาจุติ
พิธีจะใช้เวลา 3 วัน 3 คืน ในช่วงเวลานี้ผู้คนในครอบครัวห้ามเข้าร่วมในพิธี ส่วนในพิธีจะมี “หิน” 6 ก้อน ก้อนแรกเป็นตัวแทนของ “Po Dhi” ซึ่งชาวจามถือว่าเป็นผู้คอยควบคุมดูแลกุต
อีกสองก้อนสำหรับชายหญิงที่ตายดีวางเรียงไว้ในแถวเดียวกัน และอีกสองก้อนสำหรับชายหญิงที่ตายไม่ดี วางเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่อีกด้าน
ส่วนก้อนสุดท้ายมีไว้สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปักรักษากุต
ท่ามกลางพิธีการต่างๆ ที่ดำเนินไปตลอด 3 วัน 3 คืน จนในท้ายที่สุด ผู้ตายทั้งหลายจะไปรวมเข้ากับบรรพชนของพวกเขาในดินแดนอันเป็นนิรันดร์ โดยผ่าน “ก้อนหิน” ที่เรียกว่า “กุต” พวกนี้นั่นเอง
ภายในอะไรที่เรียกว่า “โลงผีแมน” นั้น ก็บรรจุไว้ด้วยกระดูกของสายตระกูลเดียวกัน ไว้ภายในโลงไม้เดียวกัน ดังปรากฏหลักฐานจากการศึกษาออโตโซม ในงานวิจัย DNA ที่เพิ่งแถลงข่าวไปนั้น ก็ชวนให้นึกถึงการที่พวกจามนำเอาปู่ย่าตายายของเขาไปรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับบรรพชนในหิน ผ่านพิธีกุตอย่างจับจิตจับใจ
เอาเข้าจริงแล้ว “โลงผีแมน” จึงอาจจะทำหน้าที่อย่างเดียวกับ “หินกุต” ของพวกจาม คือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการหลอมรวมผู้ตายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของความศักดิ์สิทธิ์ ของผีบรรพชนก็เป็นได้ •ขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 กุมภาพันธ์ 2567 คอลัมน์ : On History เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_747153
|
|
|
106
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไขปริศนาวันเวลาที่ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” มรณภาพ 20 ก.พ. หรือ 21 ก.พ. หรือ 22 มี.ค.
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2024, 08:23:14 am
|
. ไขปริศนาวันเวลาที่ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” มรณภาพ 20 ก.พ. หรือ 21 ก.พ. หรือ 22 มี.ค.?มาอีกหนึ่งปริศนา (ปราบเซียน) ที่เกี่ยวข้องกับครูบาเจ้าศรีวิชัย นั่นคือเรื่องวันมรณภาพของท่าน
เนื่องจากที่ผ่านมานั้นในเอกสารแต่ละเล่ม ล้วนให้ข้อมูลสับสนหลายแนวทาง จนเรามิอาจรู้ได้ว่าที่ถูกต้องคือวันไหนกันแน่ ระหว่าง 20 กุมภาพันธ์, 21 กุมภาพันธ์ กับ 22 มีนาคม
ส่วนศักราชนั้น ระบุว่า พ.ศ.2481 ไม่ใช่ประเด็นปัญหา เป็นที่เข้าใจกันได้ว่า หากนับแบบปัจจุบันก็คือต้นปี 2482 นั่นเอง เนื่องจากในอดีต ก่อนที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะเปลี่ยนระบบใหม่ในปี พ.ศ.2484 นั้นเราเริ่มนับศักราชใหม่ในช่วงสงกรานต์
ในที่สุดก็ได้ข้อยุติว่า วันมรณภาพของครูบาเจ้าศรีวิชัยคือวันที่ 21 กุมภาพันธ์ แน่ชัดแล้ว
@@@@@@@
ถอดรหัสจาก “คร่าวร่ำ” เคลื่อนศพ
คําว่า “คร่าว” ภาษาล้านนาอ่านเสียง “ค่าว” เป็นรูปแบบคำประพันธ์ล้านนาประเภทหนึ่งที่ลักษณะละม้ายก้ำกึ่งระหว่างกลอนและร่ายของทางภาคกลาง ส่วนคำว่า “ร่ำ” คนเหนืออ่าน “ฮ่ำ” หมายถึงการพรรณนารำพึงรำพันร่ำไร
หลักฐานยืนยันว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัยถึงแก่มรณภาพในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2481 (นับตามปฏิทินระบบเดิม หากนับแบบปัจจุบันคือปี 2482) หรือตรงกับวันอังคาร เดือน 6 เหนือ ขึ้น 3 ค่ำ ปีขาล นั้นมีปรากฏในคำประพันธ์ประเภท “คร่าว” ชื่อเรื่องว่า
“ค่าวฮ่ำจะเอาศพครูบาสีวิไชยมาเวียงลำพูน” บันทึกโดย “พ่อน้อยจี๋” ชาวบ้านอาศัยแถบประตูแสนปรุงชั้นนอก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้อยู่ในเหตุการณ์การเคลื่อนย้ายศพ เขียนคำคร่าวเป็นตัวอักษรธัมม์ล้านนา
ปริวรรตเป็นภาษาไทยกลาง เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2537 โดย พ่อครูอินทร สิงหนาท อดีตประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอลี้ ผู้ล่วงลับ โดยพ่อครูอินทรได้รับต้นฉบับมาจากพ่อน้อยเป็ง จ๊ะถา หมู่ที่ 2 บ้านห้วยแหน ตำบลป่าไผ่ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ปัจจุบันคร่าวฉบับดังกล่าว เก็บรักษาไว้ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง
พ่อน้อยจี๋ เป็นหนึ่งในศิษย์ที่ติดสอยห้อยตามครูบาเจ้าศรีวิชัยตั้งแต่ท่านยังมีชีวิต กล่าวถึงการเคลื่อนขบวนศพครูบาเจ้าศรีวิชัยจากวัดบ้านปางเข้าสู่วัดจามเทวี ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากครูบาเจ้าศรีวิชัยมรณภาพได้ราว 1 ปีเต็ม
ตอนต้นของคร่าวระบุชัดว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัยมรณภาพในวันอังคาร และปีขาล ทั้งสองข้อนี้ตรงกับวันและปีที่ท่านชาตะ สำหรับเดือนและวันตามจันทรคตินั้นเป็น เดือน 6 เหนือ (หรือเดือน 4 ภาคกลาง) วันออก (หมายถึง ขึ้น) 3 ค่ำ เมื่อตรวจสอบกับหนังสือปฏิทิน 120 ปีแล้ว ตรงกับ “วันที่ 21 กุมภาพันธ์”
จากการที่ท่านมรณะในเวลาก่อน 01.00 น. ของเช้าวันใหม่ แต่เลยเวลา 24.00 น. ของคืนวันก่อนไปแล้ว คือ 24.50 นาที 30 วินาที ถือเป็นเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างคืนวันจันทร์เลยเที่ยงคืนเล็กน้อย กำลังย่างเข้าสู่เช้าวันใหม่ของวันอังคาร
ช่วงเวลาที่ท่านมรณภาพนั้น พ่ออุ๊ยสี แสนอุ่น (เสียชีวิต พ.ศ.2558 เมื่ออายุ 98 ปี เป็นหลานชายแท้ๆ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย) เล่าไว้เป็นหลักฐานว่า เป็นตอนเช้ามืด ท่านจำได้อย่างแม่นยำ เพราะคืนก่อนที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยจะมรณภาพนั้น พ่ออุ๊ยสี แสนอุ่น ได้ฝันไปว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัยมาสั่งให้ตนเป็นผู้ดูแลวัด และเมื่อตื่นขึ้นมาจึงเกิดสงสัยว่า ทำไมครูบาเจ้าศรีวิชัยต้องมาสั่งตนคนเดียว จึงรีบเดินไปวัดบ้านปาง เพื่อจะสอบถามกับครูบาเจ้าศรีวิชัย แต่ไปไม่ทัน ครูบาเจ้าศรีวิชัยดับจิตเสียก่อน
และวันที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยมรณภาพ มีชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านได้ยินเสียงฟ้าคำรามเบาๆ แต่ญาติโยมที่เฝ้าครูบาเจ้าศรีวิชัยไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่ร้องไห้
ความที่ท่านมรณะในเวลาก่อนจะตีหนึ่ง แต่พ้นเที่ยงคืนนิดหน่อยเท่านั้น จึงมีบางท่านบันทึกว่าครูบาเจ้าศรีวิชัย มรณะวันที่ 20 กุมภาพันธ์ อันตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 2 ค่ำ
ดังเช่นในแผ่นจารึกหินอ่อนป้ายสถูปครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ปัจจุบันแตกหักเป็นสองท่อน ทำขึ้นใน พ.ศ.2490 ในคราวที่บรรจุอัฐิครูบาเจ้าศรีวิชัย โดยครูบาศีลาภรณ์พิมล (ครูบาบุญมา สีลาภิรโต) มหาวงศ์ ภิกขุ ที่แผ่นจารึกเขียนวันมรณภาพของครูบาเจ้าศรีวิชัยว่า เดือน 6 เหนือขึ้น 2 ค่ำ วันจันทร์ กุมภาพันธ์ 2481
คร่าวร่ำของ “พ่อน้อยจี๋” ระบุวันเวลาที่เริ่มเคลื่อนศพครูบาเจ้าศรีวิชัยออกจากวัดบ้านปางสู่วัดจามเทวี ว่าอยู่ในเดือน 6 เหนือ แรม 3 ค่ำ ปี 2482 (หมายถึงต้นปี 2483 คือเก็บศพที่วัดบ้านปางหนึ่งปีเต็ม)
ทั้งๆ ที่เจ้าวรทัศน์ ณ ลำพูน ได้เดินทางมาขอร้องให้ย้ายศพครูบาเจ้าศรีวิชัยไปไว้ที่วัดจามเทวีตั้งแต่เดือนธันวาคม 2482 เพื่อสะดวกต่อการกราบไหว้ของประชาชนทั่วล้านนา
แสดงว่าพ่อน้อยจี๋ ย่อมทราบดีว่าครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขารในปีขาล วันอังคาร เดือน 6 เหนือ ขึ้น 3 ค่ำ (ตรงกับ 21 กุมภาพันธ์) จึงพยายามอิดเอื้อนรั้งเวลาเก็บศพไว้ที่วัดบ้านปางให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็มีข้อต่อรองกับเจ้าวรทัศน์ ณ ลำพูน ได้ว่าขอเก็บศพครูบาเจ้าศรีวิชัย ณ มาตุคามเป็นเวลา 1 ปีเต็มจดหมายแจ้งข่าวมรณกรรมครูบาเจ้าฯ ครูบาทองสุขลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์
หลักฐานสำคัญที่ใช้เป็นเครื่องยืนยันว่าครูบาเจ้าศรีวิชัยมรณะวันที่ 21 กุมภาพันธ์ อีกชิ้นหนึ่ง ก็คือราวปี 2530 ครูบาอานันท์ พุทฺธธมฺโม แห่งวัดพระธาตุแสงแก้วมงคล จังหวัดพะเยา กำลังวางแผนจัดสร้างพิพิธภัณฑ์เครื่องบริขารครูบาเจ้าศรีวิชัยที่วัดบ้านปาง จึงเก็บรวบรวมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับครูบาเจ้าศรีวิชัย
ครูบาอานันท์ได้สัมภาษณ์ “ครูบาทองสุข ธมฺมสโร” (บั้นปลายชีวิตสึกเป็นหนาน พระลูกศิษย์ที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยไว้วางใจมาก เป็นผู้ที่เอาน้ำผึ้งกรอกปากครูบาเจ้าศรีวิชัยทันทีที่มรณะ และได้รับมอบหมายให้รักษาการเฝ้าวัดบ้านปางแทน จึงมีสถานะเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านปางรูปที่ 2) ขณะนั้นมีอายุ 90 ปีกว่า เล่าให้ครูบาอานันท์ ฟังว่า
“ครูบาเจ้าศรีวิชัยบอกกับศิษยานุศิษย์ในคืนวันจันทร์ว่า “เฮาจะละสังขารในวันที่เฮาเกิดเน้อ” (หมายถึงวันอังคาร) จากนั้นท่านก็ถามศิษย์ตลอดเวลาว่า เลยเที่ยง (หมายถึงเที่ยงคืน – ภาษาเหนือนิยมเรียกเที่ยงคืนแบบย่อๆ ว่าเที่ยงเท่านั้น) หรือยัง ถ้าถึงเที่ยงแล้วให้บอกด้วย ครั้นเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนเศษ ท่านก็ถามย้ำอีกว่าเลยเที่ยงแล้วใช่ไหม ลูกศิษย์ยังไม่อยากให้ท่านสิ้นลม ก็ไม่มีใครกล้าบอก แต่ก็อดสงสารท่านไม่ได้ เพราะสภาพสังขารท่านไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงตัดสินใจบอกความจริงกับครูบาว่าล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่แล้ว จากนั้นครูบาก็ละสังขาร”
การยืนยันเจตนารมณ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัย ว่าท่านมีความประสงค์จะละสังขารในวันอังคารนั้น ตามความเชื่อของชาวล้านนา หากเมื่อคนเราเกิดและตาย ในวันหรือปีเดียวกัน จะเชื่อว่าผู้ตายได้หมดบุญที่มีมาแล้ว ถือเป็นการตายที่สมบูรณ์
หลังจากครูบาเจ้าศรีวิชัยมรณภาพได้เพียง 3 วัน ครูบาทองสุขได้เขียนจดหมายแจ้งข่าวต่อเครือข่ายศิษยานุศิษย์ทั่วล้านนา ในจดหมายลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยจะมรณภาพในวันที่ 22 มีนาคม เพราะจักเป็นการขัดแย้งกับหัวจดหมาย (จดหมายฉบับนี้เก็บรักษาไว้ที่วัดบ้านปาง โดยครูบาอานันท์ พุทฺธธมฺโม เป็นผู้ไปขอจดหมายจากทายาทของพ่อหนานอ้าย ชาวดอยสะเก็ด ผู้เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของครูบาเจ้าศรีวิชัยที่ได้รับจดหมายของครูบาทองสุข)
หากนับตั้งแต่วันที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยเกิดคือ 11 มิถุนายน 2421 ถึงวันมรณภาพ 21 กุมภาพันธ์ 2481 (หรือนับแบบปัจจุบันคือ 2482) แล้ว สิริรวมอายุได้ 60 ปี 8 เดือน 10 วัน หรือมีอายุย่าง 61 ปี
ตรงกับข้อมูลสัมภาษณ์แม่ชีเทียมตา ไชยกันต์ จากบ้านแม่ช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ อายุ 91 ปี (เมื่อ พ.ศ.2559) เล่าว่ามีคร่าวซอขับร้องป่าวประกาศกระจายข่าวกันทั่วแผ่นดินล้านนาตอนที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยมรณภาพใหม่ๆ ว่า
“หกสิบเอ็ด เป็นเสร็จธุระ สีวิไชยพระ ท่านเสี้ยงแก่กรรม”
เป็นที่รับรู้กันในสังคมล้านนาว่าครูบาเจ้าศรีวิชัยมรณภาพในขณะที่อายุย่าง 61 ปีแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าจะระบุวันที่ 20 กุมภาพันธ์ หรือ 21 กุมภาพันธ์ ก็มีค่าเท่ากัน ถือว่าไม่ผิดทั้งคู่ แต่หากจะยึดตามเจตนารมณ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยอย่างแท้จริงแล้ว พบว่าท่านมีความประสงค์จะมรณภาพในวันอังคาร มิเช่นนั้นคงไม่อั้นลมหายใจให้ยืดยาวข้ามคืน
@@@@@@@
22 มีนาคม การตีความที่คลาดเคลื่อน
ส่วนกรณีที่เอกสารบางเล่มตีความเป็นวันที่ 22 มีนาคมนั้น ปรากฏครั้งแรกในหนังสือที่พระวิมลญาณมุนี อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำพูน จัดทำเพื่อบำเพ็ญกุศลศพครูบาเจ้าศรีวิชัย ในปี 2482
เป็นการนำระบบการนับเดือนทางจันทรคติไปเทียบกับภาคกลางแบบคร่าวๆ โดยไม่คำนึงถึงรายละเอียดปลีกย่อย คือคิดว่าในเมื่อโดยมาตรฐานแล้ว เดือน 6 เหนือ = เดือน 4 กลาง ดังนั้น คำว่าเดือน 4 ควรจะต้องเป็นมีนาคม และวันขึ้น 2 ค่ำ (หากยึดก่อนเที่ยงคืน) ในเดือนมีนาคม ก็จะตรงกับวันที่ 22 จึงได้ยึดเอาวันนั้นมาเป็นวันมรณะของครูบาเจ้าศรีวิชัย
ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเทียบกับตารางปฏิทิน 120 ปี พบว่าวันที่ 22 มีนาคม 2481 (หรือ 2482 ตามแบบใหม่) ตรงกับวันพุธ ไม่ใช่วันอังคาร ซ้ำยังเข้าสู่ปีเถาะ ล่วงเลยจากปีขาลไป อีกทั้งเดือนมีนาคมตั้งแต่วันที่ 21 เป็นต้นมาก็เข้าสู่เดือน 5 ภาคกลาง หรือเดือน 7 เหนือไปแล้ว ไม่ใช่เดือน 6 อีกต่อไป
สำหรับประเด็นการที่มีหนังสือบางเล่ม ระบุวันที่ 22 มีนาคม ด้วยเช่นกันนั้น เข้าใจว่าเป็นการเขียนตามการตีความของพระวิมลญาณมุนี ที่เผยแพร่ไว้ก่อนแล้ว เพราะหนังสือของพระวิมลญาณมุนีได้พิมพ์แจกอย่างแพร่หลายในช่วงบำเพ็ญกุศลศพครูบาเจ้าศรีวิชัยตอนที่เคลื่อนศพมาวัดจามเทวีหลังมรณภาพ 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ท่านที่เชื่อว่า 22 มีนาคมคือวันที่ถูกต้อง ก็ถือว่าสงวนไว้สำหรับความเห็นส่วนบุคคล เพราะท้ายที่สุด ผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณของตนเองเป็นผู้ตัดสินขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25-31 สิงหาคม 2560 คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ เผยแพร่ : วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_51479
|
|
|
107
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คติธรรม “วันมาฆบูชา” สมเด็จพระสังฆราช | จงมี “นิวาตธรรม” ความอ่อนน้อมถ่อมตน
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2024, 07:32:28 am
|
. คติธรรม “วันมาฆบูชา” สมเด็จพระสังฆราช | จงมี “นิวาตธรรม” ความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นพื้นอุปนิสัยวันที่ 23 ก.พ. 67 เนื่องในวันมาฆบูชา ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม ความว่า
“ดิถีมาฆบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ดิถีเช่นนี้ชวนให้พุทธบริษัท น้อมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ประทานแก่พระอรหันตสาวก ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งล้วนอุปสมบทโดยวิธีเอหิภิกขุ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ณ ดิถีเพ็ญเดือน ๓ หลังสมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสรู้และประกาศพระศาสนาแล้ว ๙ เดือน
เมื่อพิจารณาจากประวัติการณ์แห่งวันจาตุรงคสันนิบาต ย่อมเห็นประจักษ์ว่า พระภิกษุผู้มาประชุมกันเป็นมหาสังฆสันนิบาตนั้น ต่างพรั่งพร้อมกันมา ณ เวฬุวันมหาวิหาร ด้วยอานุภาพแห่ง “คารวธรรม”
พุทธบริษัททั้งหลายผู้เป็นอนุชน จึงพึงเทิดทูนจริยาของพระอรหันต์ทั้งนั้น ขึ้นเป็นแบบอย่างทางประพฤติแห่งตนๆ โดยสำนึกว่า ถึงแม้พระสาวกทุกรูป ได้บรรลุถึงคุณธรรมสูงสุด ดับกิเลสเพลิงทุกข์ได้สิ้นเชิงแล้ว แต่ก็ยังคงเคารพนอบน้อมอย่างยิ่งต่อพระบรมศาสดาและพระธรรม
เพราะฉะนั้น พุทธบริษัทผู้มุ่งหมายความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม จึงจำเป็นต้องมี “นิวาตธรรม” คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นพื้นอุปนิสัย
ขอจงระลึกไว้ว่า คุณธรรมแห่งพระอรหันต์นั้น สูงส่งเหนือกว่าอิสริยยศทั้งปวงในโลก หากแต่พระอรหันต์กลับปราศจากความอวดดื้อถือดี ปราศจากความเนรคุณลบหลู่ดูหมิ่น เพราะทุกรูปต่างมีความคารวะนอบน้อมอย่างมั่นคง ต่อพระรัตนตรัย ต่อการศึกษา ต่อความไม่ประมาท และต่อการปฏิสันถาร ดังนี้
บรรดาผู้ยังมีธุลีในดวงตา มีกิเลสเครื่องเศร้าหมองครอบงำใจอยู่ จึงพึงเพียรหมั่นเพิ่มพูนคารวธรรม ให้งอกงามขึ้นในตนอยู่เสมอ ให้สมด้วยธรรมภาษิตที่ว่า “มหตฺตปตฺโตปิ นิวาตวุตฺติ” แปลความว่า “ถึงแม้จะดำรงตำแหน่งใหญ่ คืออิสริยยศที่กว้างขวาง แต่ก็ไม่ผยองด้วยยศ ถ่อมตน ทำตามโอวาทของบัณฑิต.” เพื่อความผาสุกร่มเย็นในจิตใจตน ตลอดจนประเทศชาติ และโลกนี้ได้อย่างยั่งยืน
ขอพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงดำรงมั่นคงอยู่ในโลกนี้ตลอดกาลนาน และขอสาธุชนทั้งหลายจงพร้อมเพรียงกันศึกษาพระสัทธรรมนั้น เพื่อบรรลุถึงความรุ่งเรืองสถาพรสืบไป เทอญ.”Thank to : https://thebuddh.com/?p=77726
|
|
|
108
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สถิติคนนับถือศาสนา “คริสต์” อันดับหนึ่ง พุทธอันดับสี่ คาดอีก 30 ปี อิสลามครองโลก
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2024, 07:21:57 am
|
. สถิติคนนับถือศาสนา “คริสต์” อันดับหนึ่ง พุทธอันดับสี่ คาดอีก 30 ปี อิสลามครองโลกวันที่ 23 ก.พ. 67 : ถึงแม้ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปขนาดไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์ยังต้องมีที่พึ่งทางใจ นั่นจึงทำให้ศาสนาไม่เคยหายไปจากชีวิตมนุษย์ ซึ่งจากการสำรวจของ Pew Research Center ตั้งแต่ปี 2488 จนถึงปี 2567 พบว่า ประชากรทั่วโลกมากกว่า 85 % ยังคงเชื่อในศาสนาอยู่ และทั่วโลกตอนนี้ก็มีศาสนาให้นับถือมากถึง 4,200 ศาสนา
Pew Research Center เผยว่า จากประชากรโลกจำนวนเกือบ 8 พันล้านคน • มีประมาณ 2.6 พันล้านคนที่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งจำนวนนี้นับรวมนิกายทั้งหมดแล้ว ทำให้ชาวคริสเตียนคิดเป็น 31.7% ของประชากรโลก • ส่วนศาสนาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอันดับสอง คือ ศาสนาอิสลาม ซึ่งคิดเป็นเกือบ 25% ของประชากรโลก และ • อันดับสามคือ ศาสนาฮินดูซึ่งมีผู้นับถือเกือบ 1.1 พันล้านคน และคิดเป็น 15% ของประชากรโลก • ส่วนศาสนาพุทธ อยู่อันดับสี่“ศาสนาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกปี 2023 แบบแบ่งตามนิกาย” (จำนวนโดยประมาณ)
- อิสลาม นิกายซุนนี 1,543,271,481 คน, อิสลาม นิกายชีอะห์ : 215,232,293 คน - คริสเตียน นิกายโรมันคาทอลิก 1,250,319,000 คน , คริสเตียน นิกายโปรเตสแตนต์ : 624,924,000 คน , คริสเตียน นิกายอีสเทิร์นออร์โธดอกซ์ : 293,599,000 คน , คริสเตียน นิกายแองกลิคัน : 75,331,423 คน - ฮินดู : 1,073,619,000 คน - พุทธ นิกายมหายาน : 334,718,996 คน , พุทธศาสนา นิกายเถรวาท : 185,328,289 คน - ชินโต : 121,818,711 คน
Pew Research Center ยังเผยอีกว่า ภายในปี 2593 จะมีประชากรนับถือศาสนาอิสลามรวมกันมากถึง 2.7 พันล้านคน คิดเป็น 29.7 % ของประชากรโลก ซึ่งจะส่งผลให้ชาวมุสลิมมีบทบาทบนเวทีโลกมากขึ้น ขอบคุณ :- ที่มา : เพจ สปริงนิวส์ URL : https://thebuddh.com/?p=77736
|
|
|
109
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผีเฮี้ยน.!! อาถรรพ์วัดบ้านแก น้ำไม่ไหลทุกงานศพ
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2024, 09:34:21 am
|
. ผีเฮี้ยน.!! อาถรรพ์วัดบ้านแก น้ำไม่ไหลทุกงานศพ คนนั่งเต็มศาลา เจ้าอาวาสเลี้ยงโต๊ะจีนผีทุกปีวันที่ 22 ก.พ.67 หลังมีข่าวสือเล่าต่อๆ กันมา เกี่ยวกับผีเฮี้ยน อาถรรพ์ศาลาการเปรียญเทพทรงธรรม วัดบ้านแก ต.ศรีพราน อ.แสวงหา จ.อ่างทอง ทำเอาชาวบ้านถึงกับหวาดผวา จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่พิสูจน์ข้อเท็จจริง
พระครูสุตานุยุต เจ้าอาวาสวัดบ้านแก เปิดเผยว่า เรื่องเล่าที่มีคนเจอผีที่บริเวณศาลาการเปรียญ ที่เล่าขานกันมานานนั้น น่าจะเกิดกับจิตของผู้คนที่อ่อนไหว ที่ผ่านมามีชาวบ้านเล่าถึงความเฮี้ยนมีเรื่องเล่าชวนขนหัวลุก ที่บริเวณศาลการเปรียญวัดบ้านแก ว่ากลางวันแสก ๆ ยังพบเห็นวัยรุ่นขี่รถจยย.เข้าไปในบริเวณใต้ถุนศาลาการเปรียญเป็นประจำ และไม่ยอมออกมา โดยภายในใต้ถุนศาลานั้น มักได้ยินเสียงเหมือนมีคนทำอะไรอยู่ แต่เมื่อเดินเข้าไปดูก็พบแต่ความว่างเปล่าเหมือนทุกครั้ง
ในยามค่ำคืน ชาวบ้านมักจะพบเห็นมีคนเดินอยู่บนศาลาการเปรียญเป็นประจำ ทั้งที่ไม่มีงานใดๆ โดยจะมายืนเกาะลูกกรงที่ศาลาเป็นรูปคนที่ยืนอยู่แต่ไม่เห็นมีขา ซึ่งเวลามีงานศพจะพบว่าน้ำประปาที่อยู่บริเวณบนศาลานั้น จะหยุดไหลทุกครั้ง ทั้งที่วัดปล่อยน้ำตามปกติ ส่วนในยามค่ำคืนบนศาลาจะพบว่ามีผู้คนจับกลุ่มนั่งกันอยู่บนศาลากันเป็นกลุ่มๆ ทั้งๆ ที่วัดไม่มีงานพิธีใดๆ ให้เห็นอยู่ประจำ ส่วนในตอนกลางคืนนั้น ผู้คนก็จะไม่ค่อยกล้ามาบนศาลาเพียงลำพัง
ทั้งนี้ บนศาลาการเปรียญเชื่อมต่อไปยังเมรุเผาศพ เป็นศาลาการเปรียญที่บรรยากาศสุดวังเวง และที่บริเวณจุดใต้เมรุเผาศพ จะพบว่ามีจอมปลวกขนาดใหญ่ ที่เชื่อกันว่ามีดวงวิญญาณสิงสถิตอยู่ด้วย ชาวบ้านจะมาขอหวยอยู่เป็นประจำ ที่ผ่านมานั้น เคยมีวัยรุ่นคึกคะนองอยากลองดี และรายการทีวีไปท้าพิสูจน์มาแล้วหลายครั้ง มีเจอดีบ้างไม่เจอบ้าง ส่วนชาวบ้านในพื้นที่จะพบเห็นสิ่งแปลกๆ ในวัดแห่งนี้เป็นประจำ โดยที่ผ่านมาวัดได้ทำบุญโต๊ะจีนผี เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เหล่าดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว บริเวณหน้าศาลาการเปรียญเป็นประจำทุกปี
Thank to : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_810891222 ก.พ. 2567 - 21:20 น.
|
|
|
110
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศาลฎีกา สั่งคืนเงินทั้งหมด ให้ “อดีตพระพรหมสิทธิ -พระพรหมดิลก”
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2024, 07:07:18 am
|
. เฮ.!! ศาลฎีกา สั่งคืนเงินทั้งหมด ให้ “อดีตพระพรหมสิทธิ -พระพรหมดิลก” ระบุไม่ได้ “ทุจริต -ฟอกเงิน” ศาลฎีกาสั่งคืนเงินทั้งหมดให้อดีตพระพรหมสิทธิ -พระพรหมดิลก เนื่องจากศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาจากการฟอกเงิน
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09:00 น. ศาลฎีกาได้นัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกา โดยพิพากษาว่า
สืบเนื่องจากคดีนี้ พนักงานอัยการในฐานะผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้ทรัพย์สินเงินฝากในบัญชีธนาคารของพระพรหมสิทธิตกเป็นของแผ่นดิน โดยมีมูลฐานมาจากการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณ โครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรม สำหรับเด็กเยาวชนประชาชนและข้าราชการ ประจำปี 2559 และ โครงการศูนย์กลางการเผยแพร่กิจการพระพุทธศาสนา เพื่อความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ประจำปี 2559 ให้กับวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
โดยการอนุมัติงบประมาณดังกล่าว เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กระทำโดยไม่เป็นไปตามระเบียบ และกฎหมาย และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
พระพรหมสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านในฐานะ ผู้คัดค้านที่หนึ่งว่า เงินในบัญชีเงินฝากของพระพรหมสิทธิไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับงบประมาณทั้งสองโครงการ และไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาจากการฟอกเงิน ขอให้คืนเงินในบัญชีเงินฝากให้แก่พระพรหมสิทธิ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้คืนเงินในบัญชีเงินฝาก ส่วนที่พระพรหมสิทธิมีอยู่ก่อน หรือได้มาก่อนที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะอนุมัติจัดสรรและโอนจ่ายเงินงบประมาณทั้งสองโครงการให้แก่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เนื่องจากเงินที่มีอยู่ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้มาจากการฟอกเงิน แต่มีคำสั่งให้เงินที่พระพรหมสิทธิได้มา ในภายหลังจากที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอนุมัติจัดสรรงบประมาณทั้งสองโครงการให้กับวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ตกเป็นของแผ่นดินพระพรหมสิทธิได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับ หรือแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยมีคำพิพากษาให้คืนเงินทั้งหมดให้กับพระพรหมสิทธิ เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้เงินที่มีอยู่ในบัญชีเงินฝากธนาคาร จะได้มาในระหว่างที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอนุมัติจัดสรรและโอนจ่ายเงินงบประมาณทั้งสองโครงการให้ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหารก็ตาม
แต่จากหลักฐาน แหล่งที่มาของเงินจำนวนดังกล่าว มีที่มาของเงินจากเงินทำบุญเงินอุทิศให้ และ เป็นเงินบริจาคที่มีบุคคลมอบให้กับพระพรหมสิทธิ ในระหว่างที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ โดยมีแหล่งที่มาของเงินเป็นเช็คเงินสด เช็คของขวัญ ตั๋วเงินปันผลจากกองทุนต่างๆ และดอกเบี้ย เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่เงินที่ได้มาจากงบประมาณทั้งสองโครงการ ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือฟอกเงินพนักงานอัยการในฐานะผู้ร้องได้ยื่นฎีกาและขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาได้มีคำสั่ง ยืนตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ โดยให้คืนเงินส่วนที่เหลือทั้งหมด ทุกบัญชีเงินฝากตามที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง ให้แก่พระพรหมสิทธิ เนื่องจากศาลฎีกาเห็นว่า แม้เงินในบัญชีเงินฝากของพระพรหมสิทธิ ในส่วนที่ได้มาในระหว่างที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอนุมัติจัดสรรงบประมาณทั้งสองโครงการ ให้กับวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหารแล้วก็ตาม
แต่เงินจำนวนดังกล่าว มีการพิสูจน์แหล่งที่มาของเงินได้ทุกบัญชี อาทิเช่น เงินที่ได้รับมาจากวัดพุทธธาราม ลีดส์ประเทศอังกฤษ เป็นเงินที่พุทธศาสนิกชน อุทิศถวายให้กับวัดพุทธธาราม ลีดส์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งขณะนั้น พระพรหมสิทธิ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ มีภารกิจต้องดูแลวัดพุทธาราม ลีดส์ ประเทศอังกฤษด้วยเงินที่มีแหล่งที่มาจากเช็คเงินสด ทั้งระบุชื่อผู้มอบให้และไม่ระบุชื่อ และเช็คของขวัญ และตั๋วเงิน และเงินปันผลต่าง ๆ ตลอดจนดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
และการที่พระพรหมสิทธิอุปสมบทเป็นพระภิกษุดำรงอยู่ในสมณศักดิ์สูง และมีตำแหน่งทางคณะสงฆ์ในระดับสูง เป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ซึ่งเป็นพระอารามหลวง เป็นประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ อยู่ในตำแหน่งและฐานะอันเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั่วไปจำนวนมาก ย่อมจะมีประชาชนทำบุญถวายเงินให้ เพื่อใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งไม่มีงบประมาณในการสนับสนุน ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา จึงต้องใช้เงินที่มีผู้ทำบุญถวายใช้ในการเผยแผ่พระพระพุทธศาสนา
หากไม่ได้รับการอุปถัมภ์สนับสนุนจากญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญหรือร่วมบริจาคเงินสมทบย่อมยากที่จะปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศสืบจากสมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) ต่อไปได้ โดยไม่ต้องสงสัย ซึ่งมีวัดในสาขาอยู่ถึง 18 วัด
การมีเงินในบัญชีจำนวนดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เงินในบัญชีเงินฝากของพระพรหมสิทธิทั้งหมด จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาจากการฟอกเงิน
ส่วนในกรณีเงินฝากในบัญชีของพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ซึ่งถูกฟ้องอยู่ในสำนวนเดียวกัน ศาลก็มีคำสั่งให้คืนเงินทั้งหมด เช่นเดียวกัน
Thank to : https://thebuddh.com/?p=77648
|
|
|
111
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมการศาสนา-กรมศิลปากร จัดกิจกรรมโครงการเข้าวัด ไหว้พระ ชมโบราณสถาน ยามราตรี
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2024, 06:54:35 am
|
. “เสริมศักดิ์” มอบกรมการศาสนา-กรมศิลปากร จัดกิจกรรมโครงการเข้าวัด ไหว้พระ ชมโบราณสถาน ยามราตรีต่อเนื่องวันที่ 5 ก.พ.67 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ 1/2567 ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยได้กำชับให้ทุกหน่วยงานสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)เร่งเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ไปพลางก่อนในไตรมาสที่ 2 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล
อีกทั้งในที่ประชุมกรมการศาสนารายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อน Soft Power ด้านเฟสติวัลและด้านท่องเที่ยว ภายใต้เทศกาล Thailand Winter Festivals ของรัฐบาล โดยดำเนินโครงการเปิดวัดสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่องเที่ยวยามค่ำคืน ภายใต้โครงการจาริกเส้นทางบุญในมิติศาสนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ช่วงเดือนมกราคม 2567 ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
มีการเปิดพระอุโบสถ พระวิหาร และเสนาสนะสำคัญภายในวัดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ซึ่งมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กรมศิลปากรรายงานผลการจัดโครงการราตรีนี้ที่วัดไชยวัฒนาราม เปิดให้ประชาชนแต่งกายชุดไทยเข้าชมโบราณสถานยามค่ำคืนในทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ทำให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนทั้งร้านให้เช่าชุดไทย ร้านอาหาร และที่พักในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในวันเสาร์ อาทิตย์ มีเงินหมุนเวียนจากการให้เช่าชุดไทยไม่ต่ำกว่า 6-7 แสนบาท และกรมศิลปากรมีรายได้จากค่าเข้าชมตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน- ธันวาคม 2566 กว่า 2 ล้านบาท
ซึ่งกรมศิลปากรขยายเวลาโครงการนี้ไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 ภายใต้ชื่องาน “ยามค่ำอยุธยา 2567 Ayutthaya Sundown 2024” และนอกจากวัดไชยวัฒนารามแล้ว ยังขยายเวลาเปิดให้เข้าชมวัดราชบูรณะและพระราชวังจันทรเกษมยามค่ำคืนในกิจกรรม“Night at The Palace ย้อนเวลา ชมวัง 4 ศตวรรษ พระราชวังจันทรเกษม” ซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญในอดีต เนื่องจากเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชนายเสริมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า กรมศิลปากรยังได้จัดกิจกรรมศิลปากรสัญจร เช่น กิจกรรม “ไหว้พระ ชมโขน ยลศิลป์ ถิ่นพิมาย” ณ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 20-21 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างมากจากประชาชน และจะจัดกิจกรรม“2 นครา มรดกโลก” พาเยี่ยมชมโบราณสถาน ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งทั้ง 2 แห่งเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม เป็นต้น
ขณะเดียวกันหอภาพยนตร์(องค์การมหาชน)รายงานว่า จะจัดงาน Night@Maya City 4 กุมภา ราตรี ที่รัก ในวันที่ 14 -17 กุมภาพันธ์ 2567 ที่หอภาพยนตร์ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม มีกิจกรรมชมเมืองมายายามค่ำและร้านค้า ร้านคราฟต์มากมาย
“ได้กำชับให้กรมการศาสนาและกรมศิลปากรดำเนินโครงการส่งเสริม Soft Power ด้านการท่องเที่ยวในมิติทางศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมในยามค่ำคืน เช่น เที่ยววัดไหว้พระ ชมอุทยานประวัติศาสตร์ โบราณสถานในยามราตรีอย่างต่อเนื่อง และฝากทุกหน่วยงานของวธ.จัดทำโครงการลักษณะนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้คนไทยและชาวต่างชาติได้ท่องเที่ยวเชิงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมในช่วงกลางคืน
เนื่องจากอากาศไม่ร้อน ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้าน ชุมชน ร้านค้ารอบวัดและโบราณสถาน รวมถึงที่พักและร้านอาหารภายในจังหวัดด้วย ช่วยแก้ปัญหาความยากจนและส่งเสริมเศรษฐกิจของชาติ” นายเสริมศักดิ์ กล่าวThank to : https://thebuddh.com/?p=77209
|
|
|
112
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "มังกรทอง" ประทานทรัพย์ พลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2024, 06:46:28 am
|
. "มังกรทอง" ประทานทรัพย์ พลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ชาวจีนโบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ 4 ชนิด คือ กิเลน หงส์ เต่า มังกร โดยเชื่อว่า “มังกร” เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งมังกรจีนหรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า “เล้ง–เล่ง–หลง–หลุง” จะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของการออกเสียงของในแต่ละท้องถิ่น
ทว่า... “ชาวจีน” ถือว่ามังกรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพศชาย เนื่องจากมังกรจีนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์...เป็นสัตว์แห่งเทพเจ้าในสรวงสวรรค์และเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ
ว่ากันด้วยเรื่องลักษณะมังกรจีน...เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ลักษณะหัวคล้ายอูฐ มีเขาคล้ายเขากวาง ดวงตาคล้ายดวงตากระต่ายป่าหูคล้ายหูวัว ปีกคล้ายนกอินทรี มีลำคอยาวคล้ายงู ช่วงท้องมีลักษณะคล้ายกบหรือหอยกาบ และเกล็ดเหมือนของปลาคาร์ป รูปร่างคล้ายกับปลาตัวใหญ่ เท้าคล้ายกับเท้าเสือ
เสียงร้องคล้ายเสียงตีฆ้อง เมื่อหายใจลมหายใจมีลักษณะคล้ายเมฆ ซึ่งบางครั้งก็ออกมาเป็นฝน บางครั้งก็เป็นเปลวไฟ
“มังกรจีน” มีเขี้ยวขนาดใหญ่หนึ่งคู่อยู่ที่ขากรรไกรบน มีหนวดยาวลักษณะเหมือนไม้เลื้อย และมีแผงคอเหมือนของสิงโตอยู่บนคอ...คาง...ข้อศอก มีเกล็ด 117 แผ่น แบ่งออกเป็น “หยิน” และ “หยาง”
โดย 81 แผ่นเป็นหยางมีความดี... 36 แผ่นเป็นหยินมีความชั่วเขาสันหลังทอดยาวไปตามหลังและหางเป็นหนามยาวและสั้นสลับกัน มีโหนกอยู่บนหัวไว้สำหรับบิน แต่ถ้าเขาไม่มีโหนก มังกรก็จะกำคทาเล็กๆไว้ใช้ในการบินแทน...นอกจากนี้แล้วสีของมังกรจีนก็มีหลายสี ตั้งแต่แกมเขียวจนถึงทอง หรือบางแหล่งก็ว่ามังกรจีนมีสีน้ำเงิน ดำ ขาว แดง เขียว หรือเหลือง
ว่ากันว่า...“มังกรจีน” ในตำนานมีอิทธิฤทธิ์ สามารถทำตัวเองให้ใหญ่เท่ากับจักรวาลหรือให้เล็กเท่ากับหนอนไหม นอกจากนี้ยังมีนิสัยเมตตากรุณา เป็นมิตร ทะเยอทะยาน และมองโลกในแง่ดี ที่สำคัญ...มังกรจีนยังฉลาดมีปัญญามาก มีความเด็ดขาด และมีพลัง จึงถูกยกย่องให้เป็นที่ปรึกษาของผู้นำ
สำหรับการนำสัญลักษณ์มังกรมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปวาด รูปปั้น หรือประดับตามข้าวของเครื่องใช้ หากเป็นของจักรพรรดิ มังกรจะมี 5 เล็บ...ของขุนนางจะมี 4 เล็บ...ถ้าสามัญชนจะมี 3 เล็บเท่านั้น
0 0 0 0ศรัทธา “เหรียญมังกรทอง” ปลุกเสกที่วัดเล่งเน่ยยี่ เพื่อเป็นสิริมงคลและเตือนสติไม่ให้ประมาทในโอกาสเทศกาลตรุษจีน บรรจุในซองสีแดง มีข้อความภาษาจีน “อู่ฝู ฉางโช่ว ฟู้กุ้ย คังหนิง ฮ่าวเต๋อ ฮั่นจง” และข้อความภาษาไทย “ประทานทรัพย์ โชคลาภ สุขภาพ ร่ำรวย การงานมั่นคง การเงินมั่งคั่ง”
สำหรับคนปีมะโรง เกิด พ.ศ.2471, 2483, 2495, 2507, 2519, 2531, 2543, 2555, 2567, 2579, 2591 “มูลนิธิเมาไม่ขับ”...แจกให้ประชาชนในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ไม่มีการเช่าหาแต่อย่างใด
“มังกรทอง” หรือ “พญามังกร” เป็นมังกร 4 ตัว ซึ่งปกครองอยู่เหนือทะเลทั้ง 4 คือ ทะเล ตะวันออก (ตัง), ใต้ (น้ำ), ตะวันตก (ไซ) และเหนือ (ปัก) กล่าวกันว่าพญามังกรนั้นอาศัยอยู่ในปราสาทมหาสมุทรหรูหรา...วังใต้ทะเลและกินไข่มุกเจียงตู หรือไข่มุกและโอปอลเป็นอาหาร
พญามังกรทั้งสี่เป็นพี่น้องกัน แต่บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่า มังกร 4 ตัวนี้ มีผู้ควบคุมชื่อว่า “ฉินแท็ง” เป็นมังกรที่มีสีแดงเลือด มีแผงคอเป็นไฟยาว 900 ฟุต
ย้ำว่า “มังกร”... เป็นสัตว์อมตะ แถมยังมีอิทธิฤทธิ์มาก เนื่องจากมีลูกแก้ววิเศษอยู่ในปาก ทำให้สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ หรือจะเดินดิน ดำน้ำก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้แล้วยังสามารถล่องหนหายตัว แปลงกายเล็กใหญ่ได้ตามใจ ทั้งยังเป็นพาหนะของ “เจ้าแม่กวนอิม” อีกด้วย...ชาวจีนจึงยกย่องให้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง
0 0 0 0“มังกร” จากความเชื่อในตำนานสู่สัญลักษณ์มงคล พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก สุโขทัย เผยแพร่ไว้ว่า คำว่า “มังกร” ภาษาจีนอ่านว่า “หลง” เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสัตว์วิเศษในตำนานและวรรณกรรมของโลกตะวันออกและโลกตะวันตก หากแต่มีลักษณะแตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละชนชาติ
โดยมังกรปรากฏเด่นชัดในดินแดนแถบเอเชียตะวันออก ได้แก่ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น โดยเฉพาะในวัฒนธรรมจีนให้ความสำคัญกับมังกรจนถึงกับยกย่องเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติเลยทีเดียว
“มังกร” ที่พบในตำนานของทางยุโรปและของทางเอเชียแตกต่างกันทั้งในแง่ของลักษณะและสัญลักษณ์ โดยลักษณะของมังกรในดินแดนเอเชียตะวันออกเป็นสัตว์ผสมจากสัตว์ 9 ชนิด จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลานหรืองู ไม่มีปีกแต่สามารถบินไปในอากาศได้ ขณะที่มังกรทางยุโรปจะมีขา มีปีก สามารถพ่นไฟได้
ในแง่สัญลักษณ์ในคติความเชื่อของจีนซึ่งแผ่ขยายไปยังวัฒนธรรมเกาหลีและญี่ปุ่นด้วยนั้น จะถือว่ามังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับฟ้าฝนและแหล่งน้ำ มีสถานะเป็นเทพเจ้า
รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของ “จักรพรรดิ” ซึ่งเป็นสมมติเทพดังจะเห็นได้จากการสงวนให้มังกร 5 เล็บ ใช้ประดับตกแต่งบนข้าวของเครื่องใช้ของ จักรพรรดิและรัชทายาทลำดับที่ 1–2 เท่านั้น สำหรับรัชทายาทในลำดับถัดมาหรือขุนนางในระดับต่างๆจะจำแนกด้วยการประดับมังกรที่มีรายละเอียดแตกต่างกัน
นอกจากนี้มังกรยังถูกกำหนดให้เป็นสัตว์ประจำทิศตะวันออกใน “ศาสตร์ฮวงจุ้ย” อีกด้วย ขณะที่ตำนานทางยุโรปจะถือมังกรเป็นสัตว์อันตรายและน่าสะพรึงกลัวสำหรับมนุษย์ เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย
ซึ่งเป็นคติที่สืบมาจากความหวาดกลัวงูของชาวยุโรปและยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่า วีรบุรุษ ผู้ใดสามารถสังหารมังกรได้จะได้รับการยอมรับและขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ เหตุนี้มังกรจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ทั้งที่มีตัวตนจริงและกษัตริย์ในตำนาน
จากความเชื่อในวัฒนธรรมจีน มังกรจึงติดตัวชาวจีนไปทุกหนทุกแห่งและได้แผ่ขยายความเชื่อไปยังดินแดนที่ไปถึง โดยปรากฏในงานศิลปกรรมจีนทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม
หรือ...แม้แต่ของใช้อย่างเครื่องถ้วยก็ตาม ซึ่งนอกจากจะใช้ในชีวิตประจำวันแล้วยังใช้เป็น เครื่องประดับตกแต่งอาคารสถานที่เพื่อเสริมบารมีและความเป็นสิริมงคลให้กับเจ้าของและผู้อยู่อาศัยเช่นกัน
“ศรัทธา” นำมาซึ่ง “ปาฏิหาริย์” เชื่อไม่เชื่ออย่างไรโปรดอย่าได้ “ลบหลู่”.
รัก-ยมThank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/276395118 ก.พ. 2567 06:05 น. | ไลฟ์สไตล์ > วัฒนธรรม > รัก-ยม
|
|
|
113
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ดร.มานะ' ชำแหละ '10 วัฒนธรรมเป็นพิษ' ที่ซ้ำเติมให้คอร์รัปชันลุกลามเกินเยียวยา
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2024, 06:10:09 am
|
. 'ดร.มานะ' ชำแหละ '10 วัฒนธรรมเป็นพิษ' ที่ซ้ำเติมให้คอร์รัปชันลุกลามเกินเยียวยา21 ก.พ. 2567 - ดร. มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง '10 วัฒนธรรมเป็นพิษ' (Toxic Culture) ที่ซ้ำเติมให้คอร์รัปชันลุกลามเกินเยียวยา มีเนื้อหาดังนี้
@@@@@@@
1. ‘ยกย่องคนรวย’ คนมีอำนาจ อิทธิพล กราบไหว้ยกย่องแม้รู้ว่าเขามีชื่อเสียง ร่ำรวย มีตำแหน่งใหญ่โตได้เพราะคดโกง เอารัดเอาเปรียบสังคม เช่น ส.ว. รายหนึ่งอุปถัมภ์กิ๊ก อีกรายหนึ่งพัวพันเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ
2. ‘เพื่อนช่วยเพื่อน’ คนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน ผู้ใหญ่ฝากมา คนสีเดียวกัน เมื่อมีปัญหาถูกผิดต้องดูแลกัน ทำให้คนโกงมากมายหลุดคดีหรือคดีล่าช้า เช่น กรณีบอสกระทิงแดง ทั้งที่ต่างรู้ดีว่าการใช้ตำแหน่งหน้าที่หรือเอาของหลวงมาช่วยเหลือกันเป็นเรื่องผิด แล้วสักวันจะพากันติดคุก
3. ‘เกรงใจ’ แม้รู้ว่าผิดก็หยวนยอมกัน ปล่อยให้ทำหรืออนุมัติเรื่องให้ กลัวเขาหาว่าไร้น้ำใจ แทนที่จะตรงไปตรงมากับเรื่องของส่วนรวม สุดท้ายคือผิดทั้งคนขอและคนชอบเกรงใจ เช่น อนุมัติให้เบิกเงินเกินจริง เอารถหลวงไปใช้ที่บ้าน
4. ‘อ้างความลับราชการ’ ความมั่นคงของชาติ แม้กระทั่งเรื่องที่แอบไปเซ็นต์สัญญากับเอกชนทั้งที่ใช้เงินภาษีประชาชนไปจ้างไปซื้อของเขา เช่น สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้า บ้างก็อ้างว่าต้องเป็นหน่วยงานรัฐเท่านั้นจึงขอข้อมูลได้ มายุคนี้ง่ายขึ้นอีกคืออ้างเป็นข้อมูลผู้ป่วยหรือข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การเปิดเผยข้อมูลคดีของ ป.ป.ช.
5. ‘งานใครงานมัน’ แต่ละหน่วยงานมีกฎหมาย อำนาจ บทบาท เป้าหมายและผลงานที่ต้องทำ มีสายบังคับบัญชาที่แยกจากกัน ทำให้ต่างคนต่างอยู่ รับรู้ต่างกัน เมื่อมีปัญหาจึงโยนเรื่องกันไปมา สุดท้ายอำนาจและผลประโยชน์แอบแฝงของใครบางคนจึงอยู่เหนือเป้าหมายเพื่อส่วนรวม เช่น กรณีแอชตันคอนโดย่านอโศก คดีหมูแช่แข็งเถื่อน ที่พัวพันทั้งคนในกรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมศุลกากร6. ‘สักแต่ว่าทำ’ ใครให้ทำอะไรก็ทำ รางวัลก็ได้ มีครบหมดตามนโยบายและ KPI ฟังดูน่าจะดี แต่ไม่รู้ว่าทำต่อเนื่อง ทำทั่วถึงไหม ประชาชนได้ประโยชน์จริงหรือเปล่า ชวนให้คิดไปว่าหลายหน่วยงานแค่ทำเอาหน้าเอาผลงาน ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองคงเจริญไปไกลกว่านี้ เช่น กรณีส่วยสินบนกรมอุทยานฯ การประเมิน ITA การทำ e-Service
7. ‘แถ’ ด้วยคำพูดดูเท่ห์เพราะไม่มีเหตุผลดีพออธิบายได้ โดยไม่ยี่หระว่าใครจะเชื่อหรือไม่ เช่น น้ำรอระบาย มันคือแป้ง นาฬิกายืมเพื่อน บ่อยครั้งสังคมก็จำยอมหรืองุนงงแล้วหยุดวิจารณ์ คนพวกนี้ไม่รู้จักละอายยังคงทำเลียนแบบกันหัวยันหาง ทุกองค์กร จนสังคมเอือมระอา
8. ‘ถูกระเบียบ เป็นไปตามขั้นตอน’ เพียงอ้างแค่นี้แล้วเชิดหน้าสบายใจ ทั้งที่รู้ว่าเบื้องหลังวางแผนชั่วกันมา เหมือนบอกชาวบ้านว่า ‘จับไม่ได้ แปลว่าไม่โกง’ อย่างนี้เสาไฟกินรี ศูนย์โอท็อปร้าง โครงการประเภท ‘คิด - ทำ – ทิ้ง’ จึงผลาญเงินภาษีเต็มทั่วแผ่นดิน
9. ‘ใช้ดุลยพินิจพร่ำเพรื่อ’ ของเจ้าหน้าที่เพราะกฎหมายเปิดช่องไว้มากมาย โดยไม่มีกฎกติกากำหนดแนวปฏิบัติให้ชัดเจนว่า อะไรทำได้แค่ไหน เงื่อนไขอย่างไร อะไรต้องห้าม คนมีอำนาจจึงฉวยโอกาส เช่น สินบนแลกใบอนุญาตสร้างบ้าน สร้างโรงงาน
10. ‘คนผิดลอยนวล’ แม้ใช้เงินใช้อำนาจผิดๆ จนบ้านเมืองเสียหายก็ไม่มีใครต้องรับผิด ทั้งโกงกิน ซื้อของแพง ใช้งานไม่ได้ ใช้ไม่คุ้มค่า อย่างการจัดซื้อเรือเหาะ เครื่องตรวจจับระเบิด GT 200 การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์หอยสังข์ที่สงขลา นักการเมืองรุกที่ดินการรถไฟที่บุรีรัมย์ เป็นต้น
@@@@@@@
ตัวอย่างวัฒนธรรมเป็นพิษเหล่านี้ทำให้บ้านเมืองอ่อนแอเต็มไปด้วยคอร์รัปชัน หากไม่แก้ ไม่ก้าวข้าม อนาคตคนไทยก็ติดอยู่ในกับดักเช่นทุกวันนี้ สังคมไทยต้องการผู้นำประเทศที่เป็นแบบอย่างสร้างการเปลี่ยนแปลง (Leader Lead Culture) แต่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีอัศวินขี่ม้าขาวไหม ทางเดียวมั่นใจได้ คือคนไทยต้องใช้กระแสสังคมกดดันให้เกิดบันทัดฐานใหม่ ให้รู้ว่าเราต้องการอย่างไร รังเกียจคนและพฤติกรรมเช่นไร
ดร. มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) 20 กุมภาพันธ์ 2567Thank to : https://www.thaipost.net/x-cite-news/538278/21 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 6:40 น.
|
|
|
114
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คืนวันมาฆบูชา ชวนชม "ไมโครฟลูมูน" ดวงจันทร์เต็มดวง ไกลโลกที่สุด
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2024, 05:53:15 am
|
. คืนวันมาฆบูชา ชวนชม "ไมโครฟลูมูน" ดวงจันทร์เต็มดวง ไกลโลกที่สุดคืนวันมาฆบูชา 24 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องห้ามพลาดชม "ไมโครฟูลมูน" ปรากฏการณ์ดวงจันทร์เต็มดวงไกลโลกที่สุดในรอบปี สังเกตเห็นได้ตลอดคืน เริ่มกี่โมง
คืนวันมาฆบูชาในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ ชวนชมปรากฏการณ์ ไมโครฟูลมูน (Micro Full Moon) หรือ ดวงจันทร์เต็มดวงไกลโลกที่สุดในรอบปี โดย เพจเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความเรื่อง "ดวงจันทร์เต็มดวงไกลโลกที่สุดในรอบปี คืนวันมาฆบูชา" ระบุว่า วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา
ดวงจันทร์เต็มดวงโคจรอยู่ในระยะไกลโลกที่สุดในรอบปี หรือเรียกว่า ไมโครฟูลมูน (Micro Full Moon) เวลาประมาณ 19.32 น. มีระยะห่างจากโลกประมาณ 405,909 กิโลเมตร คืนดังกล่าวดวงจันทร์เต็มดวงจะมีขนาดปรากฏเล็กกว่าปกติเพียงเล็กน้อย
เวลาที่เหมาะสมในการสังเกตการณ์ คือ ช่วงเย็นของวันที่ 24 ก.พ. 2567 ตั้งแต่เวลาประมาณ 18.22 น. เป็นต้นไป ทางทิศตะวันออก สังเกตการณ์ได้ตลอดคืน จนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 25 ก.พ. 2567
วันขึ้น 15 ค่ำ หรือ วันเพ็ญ คือ วันที่ดวงจันทร์โคจรมาอยู่ด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หันด้านที่ได้รับแสงอาทิตย์เข้าหาโลก ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์เต็มดวง เมื่อดวงอาทิตย์ลับของฟ้าทางทิศตะวันตก ดวงจันทร์เต็มดวงจะขึ้นทางทิศตะวันออก
@@@@@@@
ดังนั้น ในวันที่ดวงจันทร์เต็มดวง จะไม่สามารถสังเกตดวงอาทิตย์ในเวลาเดียวกันได้ ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณ 29.5 วัน ดวงจันทร์จึงจะกลับมาเต็มดวงอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเป็นวงรี 1 รอบ ใช้เวลา 27.3 วัน ส่งผลให้ในแต่ละเดือนจะมีทั้งวันที่ดวงจันทร์ใกล้โลกและไกลโลก แต่ทว่า ณ ขณะที่ดวงจันทร์โคจรมาอยู่ตำแหน่งใกล้โลกที่สุด หรือไกลโลกที่สุด อาจไม่ใช่วันที่ดวงจันทร์เต็มดวงก็ได้
นักดาราศาสตร์จึงใช้ ช่วงที่สามารถเห็นดวงจันทร์เต็มดวง มากำหนดวันเกิดปรากฏการณ์ ที่เกี่ยวกับตำแหน่งการโคจรของดวงจันทร์ใกล้โลก และไกลโลกที่สุดซึ่งตำแหน่งที่ดวงจันทร์ใกล้โลกที่สุด เรียกว่า เปริจี (Perigee) มีระยะห่างเฉลี่ยประมาณ 357,000 กิโลเมตร
และตำแหน่งที่ดวงจันทร์ไกลโลกที่สุด เรียกว่า อะโปจี (Apogee) มีระยะห่างเฉลี่ยประมาณ 406,000 กิโลเมตร การที่ผู้คนบนโลกมองเห็นดวงจันทร์มีขนาดปรากฏเล็กกว่าปกติในคืนไกลโลกนั้น นับเป็นเหตุการณ์ปกติที่สามารถอธิบายได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์Thank to : https://www.thansettakij.com/lifestyle/travel-shopping/589193ฐานเศรษฐกิจ | 23 กุมภาพันธ์ 2567
|
|
|
115
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้อแนะจาก วิชา “ความสุข” (Psychology and the Good Life)
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2024, 07:44:15 am
|
. ข้อแนะจากวิชา “ความสุข” | วรากรณ์ สามโกเศศ เมื่อต้นปี 2018 ที่มหาวิทยาลัย Yale วิชา “ความสุข” (Psychology and the Good Life) เป็นที่นิยมของนักศึกษาเป็นอย่างมาก มีนักศึกษาลงเรียนถึง 1,200 คน ซึ่งเป็นประวัติการณ์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่มีอายุกว่า 320 ปี
ต่อมาก็มีการปรับปรุงวิชานี้ให้เรียนฟรีออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ Coursera โดยใช้ชื่อว่า “The Science of Well-Being” (วิทยาศาสตร์แห่งสุขภาวะ) และต่อมาเมื่อโควิด-19 ระบาด วิชานี้ก็เป็นที่นิยมอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ตามมา จนมีคนลงทะเบียนรวมทั้งสิ้นถึง 3.3 ล้านคน
ผู้เข้าเรียนส่วนใหญ่บอกตรงกันว่า วิชานี้ได้เปลี่ยนชีวิตอย่างสำคัญ ปัจจุบันวิชาลักษณะนี้ได้กระจายสู่มหาวิทยาลัยจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาและเป็นที่นิยมอย่างมากโดยใช้หลายชื่อ เช่น Psychology of Happiness / Positive Psychology
จุดเริ่มต้นของวิชามาจากแนวคิดของ Martin Seligman นักจิตวิทยาคนสำคัญในทศวรรษ 1990 ว่าวิชาจิตวิทยาควรเน้นมากขึ้นไปที่การพัฒนาสุขภาพจิตแทนการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตดังที่เป็นมาเนิ่นนาน สาขาของวิชาจิตวิทยาที่เรียกว่า Positive Psychology จึงเกิดขึ้น
แนวคิดนี้เน้นการใช้ความเข้มแข็งของบุคลิกภาพและพฤติกรรมในการทำให้ปัจเจกบุคคลสามารถสร้างชีวิตที่มีความสุข มีความหมายและเป้าหมาย
@@@@@@@
ลองมาดูกันว่า 10 ข้อแนะจากวิชาที่ Yale ดังกล่าวแล้ว ซึ่งทำให้เกิดชีวิตที่มีความสุขนั้นมีอะไรบ้าง ผู้สอนเน้นว่าไม่ต้องทำทุกอย่างตามที่ระบุก็ได้ หากลงมือทำจริงและเลือกทำสัก 3 อย่าง ก็จะเห็นผล
1. “ยิ้ม” เป็นสิ่งที่ง่ายและมีพลัง (การเป็น“The Land of Smiles” ของบ้านเรามีพลังเสน่ห์เสมอ) จงยิ้มเสมอ ถึงแม้บางครั้งจะไม่รู้สึกอยากก็ตาม การยิ้มปลดปล่อยสาร serotonin (สารตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทกับสมองและส่วนอื่นของร่างกาย) และ dopamine (ฮอร์โมนที่ให้เกิดความรู้สึกที่ดีๆ เกิดความพึงพอใจ) ในสมองของเรา
ผู้สอนบอกว่า ควรเริ่มต้นชีวิตทุกวันด้วยรอยยิ้ม มันดีต่อสุขภาพตนเองและเป็นการมอบความรู้สึกที่ดีให้แก่ผู้อื่นด้วย จงยิ้มให้ใครก็ได้ที่เดินผ่านมา มันเป็นสิ่งที่ช่วยปรับอารมณ์ของเราให้ดีขึ้นทันที
2. “3 สิ่งสำคัญยิ่ง” จดบันทึกความรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหนึ่งวันที่ผ่านมาก่อนนอน เลือกมาประมาณ 3-5 เรื่องทั้งเล็กและใหญ่ ถามตัวเองว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้ จึงเกิดขึ้น.? เป็นเพราะโชค.? บางคนเมตตาเรา.? หรือเราเมตตาเขา.? เพราะเราทำงานหนัก.? หรือเป็นเพราะทัศนคติของเรา.?
การสะท้อนคิดเช่นนี้จะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในบริบทที่กว้างขวางและเกิดความรู้สึกในด้านบวก เช่น ได้ดื่มกาแฟเลิศรส ทำโครงการใหญ่จบลง ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้รับของขวัญ มีคนซาบซึ้งกับสิ่งที่เราทำ หกล้มหัวแตกเพียงเล็กน้อย ฯลฯ การจดบันทึกจะทำให้สามารถกลับมารับรู้ความรู้สึกและความนึกคิดเก่าๆ ได้เสมอ
3. ในแต่ละวันจงกำหนดแผนกระทำสิ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อยที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ตาม เช่น คุยกับเพื่อนถูกใจ ท่องโซเชียลมีเดีย ดูกีฬา ทีวีรายการโปรด อ่านหนังสือ ฟังเพลง กินอาหารจานโปรด ฯลฯ เลือกอะไรก็ได้ที่ทำให้มีความสุข 4. คุยกับเพื่อน คนรู้จักหรือแม้แต่คนแปลกหน้า อย่าลืมว่าความพึงพอใจในชีวิตของมนุษย์มาจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม”) การกล่าวคำ “สวัสดี” “ขอบคุณ” พร้อมกับรอยยิ้ม นำความสุขใจให้ผู้รับและผู้กล่าวเสมอ
5. รับฟังจากคนที่เห็นว่าสำคัญหนึ่งถึงห้านาทีในแต่ละวัน การมีความสัมพันธ์เชื่อมต่อกับผู้อื่นคือแหล่งสำคัญของการเติมความสุขในชีวิต และการรับฟังอย่างตั้งใจคือเครื่องมือในการได้รับความสุขจากความสัมพันธ์ นิกายเซนสอนว่า “การให้ความสนใจคือพื้นฐานที่สุดของความรัก”
6. เดินท่ามกลางสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ มนุษย์เกิดมาเพื่อเดิน มิใช่เพื่อนั่ง การเดินไม่ว่าอย่างจริงจังหรือเคลื่อนไหวใช้ชีวิตที่ไม่เนือยนิ่งคือการออกกำลังกายในแต่ละวันที่สำคัญ ยิ่งถ้าเดินในป่าในเขาท่ามกลางธรรมชาติจะช่วยลดความเครียดและทำให้สภาพอารมณ์ดีขึ้นดังนั้นข้อนี้จึงได้สองเด้ง
7. กระทำสิ่งที่เป็นความเมตตาแก่ผู้อื่นอย่างวางแผนหรือมิได้วางแผนก็ได้ ไม่ต้องใหญ่โตอะไรก็ได้ เช่น เปิดประตูให้คนที่เดินตามมา กดลิฟต์ให้คนอื่น เขียนโน้ตขอบคุณ ให้ทางแก่รถคันอื่นพูดจาสุภาพให้เกียรติคนอื่น ฯลฯ คนเราจะรู้สึกดีๆกับตนเอง เคารพตนเอง ก็ต่อเมื่อได้ทำสิ่งที่ดีเท่านั้น8. นึกถึงความโชคดีของตนเองและรู้สึกขอบคุณเสมอ ลองจิตนาการว่าสิ่งที่ตนเองมีอยู่ในปัจจุบันเช่นมีอาหารกินครบมื้อ มีสุขภาพดี มีอาชีพและรายได้ ฯลฯ และในวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้หายไปทั้งหมด ตนเองจะรู้สึกอย่างไร พลังของความรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้ง เป็นสิ่งสำคัญที่พบจากงานวิจัยจำนวนมากว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้บุคคลหนึ่งเกิดความสุข ซึ่งต่างจากการไม่รู้จักความรู้สึกขอบคุณซึ่งทำให้เกิดความร้อนรุ่มเพราะหาความสุขไม่พบ
9. ยกโทษให้ตัวเองเมื่อได้ทำสิ่งผิดพลาด หรือได้ทำบางสิ่งน้อยเกินไป เตือนใจตนเองว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และการดำรงชีวิต จงมีความกล้าหาญที่จะยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตนเอง แล้วจะมีความเครียดน้อยลง
10. ความสุขความภาคภูมิใจส่วนหนึ่งมาจากการมีความคิดริเริ่ม ซึ่งการจดไอเดียใหม่ลงสมุดบันทึก ถ่ายรูป เขียนรูป ฝึกฝนแก้ไขปัญหา ประดิษฐ์ของเล่น มีงานอดิเรก ฯลฯ จะสามารถช่วยได้ในการจุดประกายและสานต่อ
@@@@@@@
ทั้ง 10 ข้อแนะที่นำมาจากวิชานี้เน้นการปฏิบัติเป็นใหญ่ โดยไม่มีเรื่องของศาสนาหรือความเชื่อเข้ามาปะปน ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องการปฏิบัติล้วนๆ ที่จะก่อให้เกิดความสุข (ไม่ให้คำจำกัดความของความสุขด้วย เพราะตัวเองจะเป็นคนกำหนดเองในที่สุด) โดยทั้งหมดอยู่ในขอบเขตที่บุคคลหนึ่งสามารถปฏิบัติได้ โดยไม่ต้องใช้เงินและใช้เวลามาก และนี่คือ คำอธิบายว่า เหตุใดวิชานี้จึงประสบความสำเร็จ
เมื่อ “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ข้อแนะเหล่านี้จะช่วยทำให้ “สุขภาวะ” ซึ่งครอบคลุมทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้น เพราะเมื่อเราทำให้ “นาย” มีความสุขและเป็นตัวนำแล้ว “บ่าว” ก็ต้องตามมาในที่สุดครับ.Thank to : https://www.bangkokbiznews.com/health/social/1111840By ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ | อาหารสมอง06 ก.พ. 2567 เวลา 8:26 น.
|
|
|
116
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผู้สูงอายุต้องรู้ 5 นิสัยอันตราย พาให้อายุสั้น มีอะไรบ้าง.?
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2024, 07:13:13 am
|
. ผู้สูงอายุต้องรู้ 5 นิสัยอันตราย พาให้อายุสั้น มีอะไรบ้าง.?เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ หลายคนก็อยากมีอายุยืนยาวเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข ซึ่ง 5 เคล็ดลับนิสัยดีที่พาอายุยืนนั้นเราได้เอ่ยถึงไปแล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่ขณะเดียวกันก็ควรรู้จัก 5 นิสัยอันตรายที่พาให้อายุสั้นลงด้วย เพื่อให้เราหันมาสังเกตตัวเองว่ามีนิสัยเหล่านี้ไหม
ถึงแม้จะเป็นผู้สูงวัยแล้วก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ เหล่านี้ได้ ลองตั้งเป้าหมายเล็กๆ ค่อยๆ ปรับไปทีละอย่าง เช่น ฝึกแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น หรือตั้งใจฟังมากขึ้น รู้จักควบคุมอารมณ์เวลาอยากเถียงแบบไร้เหตุผล ลองหายใจลึกๆ 2-3 ครั้ง ถอยออกจากสถานการณ์นั้นๆ แล้วลองสำรวจว่าคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
@@@@@@@
1. อายุสั้นถ้า…ก้าวร้าวหรือขี้โมโห
แม้ว่าความก้าวร้าวหรือขี้โมโหมักจะเป็นเรื่องของความโกรธและพฤติกรรมก้าวร้าว แต่ส่งผลต่อนิสัยที่แสดงถึงความไม่เป็นมิตร การต่อต้าน ความขุ่นเคือง ความแปลกแยก การไม่เห็นด้วย ไปจนถึงพฤติกรรมรุนแรง (ที่มา: Mind Help) คนแบบนี้มักมีปัญหาในเรื่องการสื่อสารและความสัมพันธ์ ซึ่งนำไปสู่การโดดเดี่ยวทางสังคมและความเครียดที่สูงขึ้น โดยระดับคอร์ติซอลหรือที่เรียกว่า “ฮอร์โมนแห่งการต่อสู้หรือหนี” ที่หลั่งออกมาตอนก้าวร้าว สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ การวิจัย (อ้างอิงจาก Handbook of Cardiovascular Behavioral Medicine) ระบุว่า ระดับคอร์ติซอลที่สูงอย่างต่อเนื่องนานๆ สามารถเพิ่มการอักเสบในร่างกาย และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้
จากผลวิจัยปี 2013 ที่ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (Journal of the American Heart Association) ชี้ชัดว่า คนที่ก้าวร้าวขี้โมโหจะไม่ค่อยดูแลตัวเอง มีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่และมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ซึ่งเป็นเหตุทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ได้แก่ ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ โดยความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุก็สูงมาก เมื่อเทียบกับคนที่ไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว
ความก้าวร้าวหรือขี้โมโหนั้น บางคนอาจฝังรากมาตั้งแต่เกิด หรือไม่ก็ซึมซับจากสภาพแวดล้อม แต่การปรับเปลี่ยนให้ก้าวร้าวน้อยลงหรือใจเย็นขึ้นสามารถทำได้ ขอแค่ต้องมุ่งมั่นและตั้งใจให้เต็มที่ ต้องมีสติรู้เท่าทันการกระทำและความรู้สึกของตนเอง ซึ่งสามารถช่วยชะลอและจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ได้โดยไม่ตอบสนองอย่างรุนแรง การบรรเทาความเครียดด้วยโยคะ การทำสมาธิ และการกำหนดลมหายใจ จะช่วยลดความก้าวร้าวและผลกระทบต่อสุขภาพได้ และอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยให้คุณผ่านพ้นบาดแผลทางใจในอดีตและปัจจัยอื่นๆ ที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมโกรธได้ เปลี่ยนใจร้อนเป็นใจเย็น ชีวิตสุขขึ้นแน่นอน!2. อายุสั้นถ้า…วิตกกังวลเกินเหตุ
Clinical Psychology Reviews ระบุว่า การวิตกจริตหรือมีความกังวลสูงเป็นนิสัยที่สะท้อนถึงคนที่มีแนวโน้มจะเกิดอารมณ์ด้านลบได้ง่าย เช่น วิตกกังวล กลัว กลุ้มใจ และหงุดหงิด ฯลฯ คนที่วิตกจริตมากๆ จะมีปฏิกิริยาทางอารมณ์และเกิดความเครียดได้มากกว่า โดยมักมองว่าสถานการณ์ต่างๆ เป็นอุปสรรคหรือถูกกดดัน ส่งผลให้ไวต่อความเครียด มีโอกาสเป็นทุกข์และไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ได้มากขึ้น
การกังวลใจเป็นสิ่งปกติ และหากกังวลใจมากจนเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต โดยเฉพาะโรควิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า คนประเภทนี้มักรู้สึกกังวลใจ ร้อนรน กลัว และหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา จนนำไปสู่วงจรอารมณ์ด้านลบ กระตุ้นให้เกิดความเครียดทำให้รับมือกับปัญหาได้ยากขึ้น
ความเครียดเรื้อรังที่เกิดจากระดับความวิตกจริตสูงจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ระดับฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล (cortisol) ที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จนนำไปสู่ปัญหาด้านหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังบางอย่างได้ นอกจากนี้ คนที่วิตกกังวลมากๆ มีโอกาสที่จะมีพฤติกรรมที่เสี่ยงสุขภาพ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด หรือนิสัยการกินที่ไม่ดี ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพเพิ่มขึ้น (ที่มา: Journal of Psychiatry Research)
วิธีคลายความวิตกกังวล คือ ต้องฝึกฝนให้ตนเองมีสติและทำสมาธิ ซึ่งจะช่วยลดความเครียด ทำให้มองเห็นสถานการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนและมีเหตุผลมากขึ้น ส่วนการทำจิตบำบัดจะช่วย 'รีเฟรช' ความคิด และหาวิธีจัดการกับอารมณ์เชิงลบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมด้วยการดูแลตัวเองอย่างครบถ้วน เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็จะช่วยลดความวิตกกังวลและทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้นแล้ว
3. อายุสั้นถ้า…เก็บกดอารมณ์จนเครียด
การเก็บกดอารมณ์เป็นการพยายามควบคุมหรือระงับความรู้สึกข้างใน อาจจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เป็นการพยายามเก็บไว้ไม่ให้คนอื่นรู้ ซึ่งมักเกิดจากแรงกดดันทางสังคมหรือสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้แสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมา (ที่มา: Healthline)
คนเราบางครั้งก็ต้องพยายามเก็บอารมณ์บ้าง แต่ทำบ่อยๆ ก็ไม่ดีเพราะอาจกระทบกับร่างกายและจิตใจได้ ทำให้เครียดและกังวลเพิ่มขึ้น จนอาจนำไสู่ความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล เป็นต้น
การเก็บกดอารมณ์เป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อร่างกายได้เช่นกัน ความเครียดเรื้อรังจากการพยายามกดอารมณ์ไว้ตลอด จะทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลพุ่งสูง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ความดันโลหิตสูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (ที่มา: Psychology Today) แถมยังอาจอาการทางกายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะใดๆ เลย อย่างปวดหัว ปวดเมื่อย หรือปัญหาระบบทางเดินอาหารอีกด้วย
เคล็ดลับในการสู้กับการ "เก็บกด" ก็คือ "ปล่อยวาง" รับรู้ถึงอารมณ์นั้นและแสดงความรู้สึกอย่างเหมาะสม ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนฝูงญาติมิตร ฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน หากรู้สึกเกินจะรับไหวก็ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้เลย ทั้งหมดที่กล่าวมานี้สามารถช่วยเอาชนะอารมณ์หดหู่ และผลกระทบต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยโดยไม่ตัดสิน จะเป็นอีกแรงที่ช่วยเยียวยาจิตใจและ สุขภาพโดยรวมได้4. อายุสั้นถ้า…มัวแต่กลัวสายตาคนอื่น
กลัวสายตาคนอื่น ไม่กล้าออกสังคม เก็บกดความรู้สึก ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นลักษณะนิสัยของคนที่ชอบเก็บตัว ปิดกั้นพฤติกรรมหรือการแสดงออกของตนเองในสถานการณ์ต่างๆ ทางสังคม โดยมักเกิดจากความรู้สึกประหม่า กลัวการถูกตัดสิน หรือต้องการหลีกเลี่ยงการประเมินในแง่ลบจากผู้อื่น ส่งผลให้ขาดความมั่นใจจนรู้สึกไม่กล้าแสดงออกอย่างอิสระ (ที่มา: Practical Psychology)
คนที่ชอบเก็บตัวมักเครียดและวิตกกังวลมากกว่าปกติเวลาเข้าสังคม เพราะกลัวการถูกมองในแง่ลบหรือกลัวการถูกปฏิเสธ ทำให้ขาดความมั่นใจ คิดมาก และรู้สึกประหม่าอึดอัด หากเก็บตัวนานๆ อาจนำไปสู่การโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนสนิท หรือคนที่เข้าใจเราจริงๆ รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลก เศร้า ท้อแท้ และสิ้นหวัง ซึ่งอาจทำให้เป็นโรคภาวะซึมเศร้าและโรควิตกกังวลได้
ความเครียดต่อเนื่องที่เกิดจากการเก็บตัวส่งผลต่อร่างกายได้ ยิ่งเครียด ร่างกายยิ่งผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น งานวิจัยจาก Encyclopedia of Behavioral Medicine ชี้ให้เห็นว่า คนที่ชอบเก็บตัวจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
ใครที่ชอบเก็บตัวลองปรับวิธีคิดใหม่ สร้างความมั่นใจในตนเอง ฝึกฝนทักษะการเข้าสังคม ค่อยๆ เปิดใจออกไปพบปะผู้คน เพื่อลดความกลัวและความวิตกกังวล หรือแม้แต่การปรึกษาหรือการเข้ากลุ่มคนที่มีปัญหาคล้ายกันก็สามารถช่วยให้คุณเลิกเก็บตัวและช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพได้
5. อายุสั้นถ้า…ชอบเอาแต่ใจ
จมอยู่กับตัวเอง ระวังจะกลายเป็นคนที่ “เอาแต่ใจ” เกินไป เพราะมัวแต่สนใจสิ่งที่ตัวเองต้องการและอยากได้จนสร้างปัญหาให้กับคนอื่น ส่งผลเสียรอบด้านไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ย่ำแย่ เหงา และโดดเดี่ยว แถมยังไม่เห็นอกเห็นใจหรือเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นเข้าไปอีก ก็ยิ่งยากที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีได้ ส่งผลให้รู้สึกแปลกแยกและเก็บตัวมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เครียด วิตกกังวล และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น
การหมกมุ่นอยู่กับตัวเองและความเครียดอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายได้เช่นกัน งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร PeerJ เมื่อปี 2017 เผยว่า ความเครียดเรื้อรังจากการมีปัญหากับคนอื่น หรือการแยกตัวออกจากสังคม อาจให้ระดับคอร์ติซอลพุ่งสูงจนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันและหลอดเลือดหัวใจอ่อนแอลงได้
นิสัยเอาแต่ใจสามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยการฝึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รับฟังอย่างตั้งใจ ใส่ใจคนรอบข้าง มีเมตตา พร้อมช่วยเหลือผู้อื่น และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จะได้ปรับมุมมองให้กว้างขึ้น เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น และทำให้มีสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น
@@@@@@@
อย่างไรก็ตาม 5 นิสัยอันตรายเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุเท่านั้นที่ควรปรับตัว แต่ไม่ว่าจะอยู่ช่วงวัยใด หากรู้ว่าตัวเองมีนิสัยหรือทัศนคติเหล่านี้แล้วสามารถปรับเปลี่ยนได้เร็วตั้งแต่ตอนที่ยังอายุไม่มากนักก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพกายและใจตนเอง รวมถึงดีต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างในระยะยาว ที่จะช่วยทำให้อายุยืนขึ้นอีกด้วยThank to :- website : https://www.thairath.co.th/lifestyle/lifestyle45plus/276462720 ก.พ. 2567 13:16 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์สไตล์ 45+ > ไทยรัฐออนไลน์ | ภาพจาก : iStock ข้อมูลอ้างอิง : Health Digestอ่านบทความเกี่ยวกับวัยกลางคนและผู้สูงอายุได้ที่ Lifestyle 45+
|
|
|
120
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 2567 ปี ขอเชิญร่วมกราบสักการะธรรมราชา พระบรมสารีริกธาตุ
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2024, 06:47:38 am
|
. มหามงคลชีวิต ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 2567 ปี ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เชิญร่วมกราบสักการะธรรมราชา พระบรมสารีริกธาตุ มหามงคลชีวิต ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 2567 ปี ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเชิญร่วมกราบสักการะธรรมราชา พระบรมสารีริกธาตุ พร้อมอรหันตธาตุพระอัครสาวก จอมทัพธรรม พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ ในโครงงานธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุ มหานทีคงคาลุ่มน้ำโขง (Ganga-Mekong Holy Buddha Relics Dhammayatra)
สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ร่วมจัดพิธีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ณ กรุงนิวเดลลี และพระอรหันตธาตุพระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ จากสถูปสาญจี สาธารณรัฐอินเดีย เพื่อให้พุทธบริษัทกราบสักการะ
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ร่วมกับรัฐบาลไทย โดย กระทรวงวัฒนธรรม กรมการศาสนา รัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย โดย สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย พร้อมทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน จัดพิธีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุพระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ จากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานชั่วคราวที่ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 22 กุมภาพันธ์ – วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567 ภายใต้โครงงานธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุ มหานทีคงคาลุ่มน้ำโขง
สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 มีพันธกิจหลักในการดำเนินงานกิจกรรมโครงการต่าง ๆ เพื่อการขับเคลื่อนการ เผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้าง ความเข้าใจที่ดีในการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปึกแผ่นด้วยสันติสุขในกลุ่มประเทศชาวพุทธแถบทวีปเอเชียโดยอาศัยหลักพระพุทธศาสนาเป็นแกนกลางในการพัฒนาให้เกิดความเจริญอย่างยั่งยืนและมั่นคงบนเส้นทางอริยมรรค
@@@@@@@
สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เป็นองค์กรอิสระไม่หวังผลกำไร ก่อกำเนิดจากการรวมตัวของพุทธบริษัท ร่วมกันทำงานสร้างความมั่นคงด้านพระพุทธศาสนา ด้วยการปลูกฝังศรัทธาในพระพุทธศาสนาผ่านกิจกรรมโครงการต่างๆ โดยอาศัยความร่วมมือภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาล องค์กรเอกชน คณะบุคคล และบุคคล เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และด้วยตระหนักถึงวิกฤตปัญหาที่มวลมนุษยชาติต้องเผชิญอันสามารถแก้ไขเบ็ดเสร็จได้ด้วยพุทธธรรม
สถาบันโพธิคยาฯ ดำเนินงานตามพันธกิจดังกล่าวต่อเนื่องมาแล้วเป็นเวลา 17 ปี และมีผลงานโดดเด่นเป็นที่รู้จัก คือ งานธรรมยาตรา 5 แผ่นดินลุ่มน้ำโขง (ไทย-เมียนมา-เวียดนาม-สปป.ลาว-กัมพูชา) ซึ่งจัดผ่านไปแล้ว 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ธรรมยาตรา 5 แผ่นดิน ตามรอยพระอริยสงฆ์ลุ่มน้ำโขง จัดขึ้นในปีพ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 ธรรมยาตรา 5 แผ่นดินลุ่มน้ำโขง พุทธศาสตร์การทูตสู่สันติภาพโลก จัดขึ้นในปีพ.ศ. 2562 โครงการธรรมยาตราฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเดินตามรอยบาทองค์พระศาสดา เพื่อรวมพลังสายธารศรัทธาของพุทธบริษัทลุ่มแม่น้ำโขงให้มีความสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ในฐานะที่มีสมเด็จพ่อองค์เดียวกัน คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า มีแม่น้ำโขง. เป็นดุจแม่ ที่คอยหล่อเลี้ยงคนในภูมิภาคนี้ ให้ดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคง และเพื่อประกาศพระพุทธศาสนา สืบสานพุทธปณิธานของพระพุทธองค์ให้ดำรงคงอยู่ตลอดไป
อนึ่ง ความสำเร็จของโครงการธรรมยาตรา 5 แผ่นดินทั้ง 2 ครั้ง สามารถสร้างพลังศรัทธา และความสามัคคีของประชาชนทั้ง 5 ประเทศ ให้เกิดขึ้นได้อย่างกว้างขวาง จนนำมาสู่โครงการธรรมยาตรา ครั้งที่ 3 ในชื่อ ธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุ มหานทีคงคาลุ่มน้ำโขง ซึ่งเป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นธรรมยาตราเชื่อมดินแดนของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากมหาธรรมนทีคงคา สู่แผ่นดินแห่งพุทธธรรมลุ่มน้ำโขง นำเสด็จฯ โดยพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เป็นธรรมราชา ตามเสด็จฯ โดยพระอรหันตธาตุพระสารีบุตร พระมหาโมคคลานะ พระอัครสาวกซ้ายขวาจอมทัพธรรม
สำหรับกำหนดการพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุพระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ จะจัดขึ้นในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม พ.ศ. 2567 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง จากนั้นธรรมยาตรา ไปภาคเหนือ ที่ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 5-8 มีนาคม พ.ศ.2567 ต่อไปยัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ วัดมหาวนาราม (วัดป่าใหญ่) จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 10-13 มีนาคม พ.ศ.2567 สิ้นสุดภาคใต้ที่วัดมหาธาตุวชิรมงคล (วัดบางโทง) จังหวัดกระบี่ ในวันที่ 15-18 มีนาคม พ.ศ.2567 และส่งเสด็จกลับไปยังสาธารณรัฐอินเดีย
@@@@@@@
ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 กล่าวว่า “งานมหามงคลนี้เกิดขึ้นจากสามัคคีธรรมของทุกฝ่าย ในการเชื่อมต่อพลังศรัทธาในพุทธธรรมของประชาชน 2 ภูมิภาคจากลุ่มแม่น้ำคงคา คือ สาธารณรัฐอินเดีย ถิ่นกำเนิดพระพุทธศาสนา สู่ลุ่มแม่น้ำโขง ดินแดนพระพุทธศาสนาประดิษฐานมั่นคง ในประเทศไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยสถาบันโพธิคยาฯ ดำริโครงการธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุ มหานทีคงคาลุ่มน้ำโขง ขึ้น มีรัฐบาลไทยโดยกระทรวงวัฒนธรรม กรมศาสนา เป็นผู้อาราธนาพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมพระอรหันตธาตุพระอัครสาวก พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ มีผู้แทนระดับสูงจากรัฐบาลอินเดียเป็นผู้อัญเชิญมา ด้วยการประสานงานจากสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้พุทธบริษัท ทั้งชาวไทยและประเทศเพื่อนบ้านกราบสักการะ
นับเป็นโอกาสสำคัญครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในการธรรมยาตราของ พระบรมสารีริกธาตุ เสด็จพร้อมพระอรหันตธาตุพระอัครสาวกทั้งซ้ายขวา จากนำอัญเชิญประสานงานโดยสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย นอกจากนั้น ด้วยพระบรมสารีริกธาตุ คือส่วนที่เหลืออยู่ของพระสรีระขององค์พระศาสดาและหลังจากการถวายพระเพลิง การเสด็จของพระบรมสารีริกธาตุจึงเปรียบประดุจดัง องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จฯ โดยพระองค์เอง และเมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปไหน ย่อมประทานพรโปรดพุทธศาสนิกชน โปรดเวไนยสัตว์ ผู้อยู่ในข่ายแนะนำสั่งสอนได้ สามารถบรรลุธรรมได้
“เราจึงควรถือโอกาสนี้ สร้างศาสนาธรรมให้ปักหลักมั่นคง ด้วยการนำคำสอนขององค์พระศาสดาซึ่งคือปริยัติธรรม นำมาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปฏิเวธธรรม มีความเข้าใจและเข้าถึงธรรมะได้จนสามารถยกระดับจิตใจให้ทุกคนในแผ่นดินลุ่มน้ำโขงได้มีความสุขกับการใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่เบียดเบียนกัน รู้จักคำว่าอภัยและรับรู้ลมหายใจให้มากที่สุด เพื่อสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงธรรมะให้เกิดขึ้นเพื่อสืบทอดความรัก ความสามัคคี และสร้างสันติสุขโดยธรรมให้เกิดขึ้น
@@@@@@@
“ผมเชื่อมั่นว่า ปัญหาวิกฤตสังคมที่รุมเร้าโลก ชนะเบ็ดเสร็จได้โดยธรรม หรือธรรมวิชัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่แก้ปัญหาได้ทุกระดับ สถาบันโพธิคยาฯ จึงขอรณรงค์ให้ผู้นำทุกภาคส่วนหันมาใช้ “ธรรม” เป็น “อำนาจ” ไม่ใช้ “อำนาจ” เป็น “ธรรม”
“งานนี้ผมจึงมุ่งหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มของการสร้างศตวรรษแห่งธรรมะ (Dhamma Century) อันเป็นการเสริมสร้างสันติธรรมในหมู่ชาวพุทธ ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความร่วมมือ สามารถพัฒนาไปสู่การเป็นศตวรรษแห่งธรรมะ ด้วยการนำหลักธรรมคำสอนของศาสนา เป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือด้านศาสนาและส่งเสริมคุณธรรมของประชาคมโลก เพื่อสร้างความสงบสุข แก่มวลมนุษยชาติสืบไป”
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://bodhigaya980.com/dhamayartra/dhammayatra-3/thank to : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_810109417 ก.พ. 2567 - 17:27 น.
|
|
|
|