ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หัวเลี้ยว หัวต่อ ระหว่าง สมถะ และ วิปัสสนา สำหรับสายเจโตวิมุตติ  (อ่าน 3695 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


สำหรับท่านที่มีการฝึกภาวนา อานาปานสติ จนถึงสามารถเข้าฌานได้ ถึง ฌาน 4 แล้ว การที่เจริญ วิปัสสนา ต่อในอานาปานสติ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ปัจจุบันครูที่ไม่ได้ปฏิบัติจริงใน อานาปานสติ อธิบายผิดกันหมดเดี๋ยวนี้ เลยทำให้หลายคน เข้าใจผิดคิดว่า เมื่อเจริญจิตเป็น ฌานสมาบัติ คือ รูปสมาบัติ หรือ ฌาน สี่ เมื่อจะปฏิบัติใน วิปัสสนา ต้องถอยจากฌาน ออกมา ที่ ฌาน 3 บ้าง 2 บ้าง 1 บ้าง บางท่านก็สอนบอกว่าให้ออกจากรูปสมาบัติเลย อันนี้อธิบายสอนผิดเป็นบาปนะ เพราะสอนขวางธรรมแท้ ท่านที่เคยฟังแล้วเชื่อ ก็เพราะว่าไม่เคยเข้าฌาน ได้จึงนึกคล้อยเชื่อแบบนั้น และส่งเสริมความคิดแบบนี้ต่อไป เป็นการส่งข้อความให้กับผู้ภาวนาที่กำลังศึกษาภาวนาอยู่ ให้ภาวนาผิดทาง

   เหตุที่บอกว่า ผิด เพราะอะไร ดังนี้
    ถ้าอยู่ที่ ฌาน 4 ถอยออกมาที่ ฌาน 3 จิตจะทรงฌาน คือ สุขสมาธิ ด้วยอำนาจจิตของฌาน 3 เมื่อจิตเสวยสุข ในนามกายนั้น ไม่สามารถที่จะยกวิปัสสนาได้ เพราะสุขเป็นที่ปรารถนามากกว่า การยกจิตวิปัสสนา สุขจะบังทุกข์ อย่างสิ้นเชิง สังเกตง่าย ๆ เวลาเรามีความสุข เราจะลืมทุกข์ ลืมเวลา ลืมเรื่องต่าง ๆ เพราะกำลังมีความสุขอยู่ขณะนั้น

    ถ้าถอยออกมาที่ ฌาน 2 จิตจะทรง ปีติ สุข สลับไปมา ยิ่งแล้วใหญ่ เลย บางคนปีติแรง ตัวสั่น ตัวโยก ตัวโคลง บางคนน้ำตาซึมซาบ ขนลุกขนพองสยองเกล้า ยากมาก ซึ่งแน่นอนจิตแบบนี้ไม่พร้อม และไมคู่ควรแก่การวิปัสสนาเลย

    ถ้าถอยออกมาที่ฌาน 1 องค์แห่งฌาน ครบ งานมาก ต้องกลับมาบริกรรมอีก วิจารเข้าไปอีกคือตามบริกรรมอีก สลับด้วย ปีติ สุข เอกัคคตา เป็นบางช่วงวนไปมา หรือ เกิดทั้งห้าประการพร้อมกัน ดังนั้นจิตไม่พร้อมที่วิปัสสนา เพราะทรงอารมณ์ทั้ง 5 ไว้ 

    ดังนั้นในพระสูตรมากมาย พระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าเข้า ฌานที่สี่ พระองค์จะตรัสจิตพร้อมควรแก่การงาน จึงเจริญโพชฌงค์บ้าง สติปัฏฐานบ้าง ปฏิจจสมุปบาทบ้าง เป็นต้น

    สรุปในอานาปานสติ ขั้นตอนที่จะยกจิตเข้าสู่วิปัสสนา อยู่ที่ ขั้นตอนที่ 12 คือการเปลื้องจิต ในขณะที่จิตทรงอยู่ในฌานที่ 4 ด้วยการอธิษฐาน นิมิตที่เป็นปฏิภาคนิมิต นั่นก็คือลมหายใจ และลมหายใจออก มาเป็นบาท ด้วยการอธิษฐานในขณะนั้นว่า ข้าพเจ้าจักเปลือ้งจิตจากราคะ โทสะ โมหะ และ นิวรณ์ทั้ง 8 เมื่ออธิษฐาน ก็ตรวจดูลมหายใจเข้าออกด้วยการเข้าไปศึกษาว่า ขณะนั้นเมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ราคะ โทสะ โมหะ นิวรณ์ 8 มีอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่ก็อธิษฐาน แล้ว ศึกษาใหม่ จนกว่าจะเปลือ้งได้ เมื่อสามารถเปลื้องกิเลสได้ทั้ง 11 ประการนี้ เรียกว่า ตทังคนิพพาน คือการเข้าไปสงบระงับกิเลสด้วยอำนาจแห่งสมาธิในขณะนั้นเป็นการชั่วคราวยังมิได้เป็นถาวร เรียกว่าจิตเป็นสมาบัติ ควรแก่การงานคือ วิปัสสนา

     เมื่อจะส่งจิตขึ้นขั้นที่ 13 ให้ทำการอธิฐานกำหนดว่า บัดนี้จิตของเราได้เปลื้องจาก กิเลสทั้ง 13 ประการแล้ว หายใจเข้าก็ศึกษาว่า ผลเป็นอย่างไร หายใจออกก็ศึกษา ผลเป็นอย่างไร คือ พินิจพิจารณา เห็นชัด อย่างน้อยต้องเห็นชัดรอบ อย่างน้อย 12 รอบ จึงจะอธิษฐาน เข้าสู่ขั้นที่ 13

     วันนี้คงอธิบายเพียงเล็กน้อย สำหรับท่านที่ถามกันมามาก ถ้าอธิบายมากกว่านี้ ต้องพิมพ์มากขึ้นเป็นที่ลำบากจริง ๆ เพราะการพิมพ์นั้นไม่ใช่งานถนัดสำหรับอาตมา จึงขอยุติการอธิบายไว้แต่เพียงเท่านี้


     เจริญธรรม / เจริญพร

   
   
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
"ฉันสับสนหลายครั้ง เพราะเรียนมาผิดจากครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้วยความเคารพพอจะเข้าวิปัสสนาขั้นที่ 13 ก็ถอยออกจากฌาน อย่างที่ครูอาจารย์ทั้งหลายสอนกัน พอฉันถอยออก สมาธินิมิตก็ดับ สุขก็เกิดแทน ขณะนั้นฉันไม่สามารถเห็นอะไรเลยนอกจากสุข มันสบาย ๆ อยู่อย่างนั้นจนผ่านไปนานก็ยังไม่สามารถเข้าขั้นที่ 13 ได้ ฉันเลยถอยจิตออกไปยังฌานที่ 2 ปีติ ก็เกิดอย่างโลดโผน กายฉันโยกไป โยกมา สติพยายามพิจารณาความไม่เที่ยงตามขั้นที่ 13 แต่มันเหมือนเป็นคำพุดเข้าไปสะกดไม่เป็นธรรมชาติ สุดท้ายก็สูญเสียเวลาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งครูฉันเข้ามาบอกว่า ไม่ต้องถอยให้ปฏบัติตามท่านดังนี้...."

ข้อความส่วนหนึ่งจาก หนังสือเพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขออนุโมทนาสาธุ
   
          ขออาราธนาธรรม ที่มีในพระพุทธ          ใน พระธรรมและพระสงฆ์ประจักษ์แจ้ง
     หัวข้อธรรม ตามอานาปายกแสดง              คู่ลมออกให้จำแม่นเปลื้องจิตเอย
     สิบหกองค์ท่องปริยัติต้องจําได้                   ทำไม่ได้จําไม่ได้ไปท่องใหม่
    ครูอาจารย์เคยท่องบอกกรอกหูไว้             ปัจเวกไปได้หรรษาตามองค์ธรรม

        กาย เวทนา จิต และธรรมไปตามข้อ       สิบหกข้อทำไม่ได้ถอยลงใหม่
   ปัจเวกธรรมเหมือนบันไดเดินขึ้นไป             ลมเข้าออกนิมิตไว้ไม่หลงลืม
   ในไฟน์เสียงพระอาจารย์กล่าวไว้แล้ว             ให้เด็ดเดี่ยวและแน่แน่วตามกรรมฐาน
  ทั้งรวมโลกและละโลกไปตามกาล               สมถะบานวิปัสนาเบิกเปิดภพธรรม

      ในกาลนี้ที่ได้พบครูอาจารย์แล้ว            เป็นดั่งแก้วกลางหทัยแก้วลมปลาย
สิงสถิตย์อยู่กลางกระหม่อมศิษย์ทั้งหลาย    ไปทางใดย้ายพระธรรมไปทั่วตัว
พระโพชฌงค์พระอานาสําแดงเดช          ดวงพุทธาเลื่อนธรรมมาสติปัฏฐาน
ยกดวงแก้วโลกุดรสยบมาร                   สยบกิเลสทั้งภพสามโคตรมนุษย์เอย

     พิมพ์ได้นิดเพราะเข้ากะจะไปทำงาน           จะกลับไปอ่านญาณอานาปาอีกซักหน่อย
หลงๆลืมๆในขั้นตอนธรรมมัวๆเล็กน้อย               ขั้นตอนทยอย มหาสติปัฏฐาน ธรรมลงเอย
  ในผู้ปฎิบัติ ก็ต้องใช้กรรม ธรรมบ้าง กิเลสบ้าง        และต้องปล่อยวาง ตามธรรมที่มี ไปตามเงื่อนไข
ขอทิ้งทุกอย่างลงในเส้นกระดูกหลอดกรวยเยื่อใน      มีธรรมเป็นใหญ่ กิเลสจางครายพ่ายแพ้ตามธรรม

 

                 
         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 16, 2014, 01:52:12 am โดย aaaa »
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

sompong

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 218
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ช่วงนี้พระอาจารย์ โพสต์แต่ ขั้นสูง ทั้งนั้นเลยนะครับ

 thk56
บันทึกการเข้า

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
โมทนาสาธุ...ด้วยเด๊อ
บันทึกการเข้า

Hero

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 557
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขอเรียนถามครับ ว่า ครูอาจารย์ที่สอนพระอาจารย์ มีใครบ้างครับ
ผมจะได้ไม่ไปเรียนด้วย


 และครูที่สอนที่ถูก คือ ใคร ครับ
 ผมจะได้ไปหาและเรียนด้วย

  st11 st12 thk56 thk56
บันทึกการเข้า
ทำไมต้องมีอินทรีแดง เพราะสังคมเราบางครั้งก็ตาบอด
ปล่อยให้คนดี เดือดร้อน ดังนั้นจึงต้องมีผู้ปกป้องคนดี
hero ไม่ได้มีแต่ในหนังเท่านั้น นะครับ

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ขอเรียนถามครับ ว่า ครูอาจารย์ที่สอนพระอาจารย์ มีใครบ้างครับ
ผมจะได้ไม่ไปเรียนด้วย


 และครูที่สอนที่ถูก คือ ใคร ครับ
 ผมจะได้ไปหาและเรียนด้วย

  st11 st12 thk56 thk56

  สำหรับ ครูที่สอนผิด คงตอบให้ไม่ได้ ( เนื่องด้วยจรรยาบรรณ ของพระไม่ควรกล่าวโจมตี ครูอาจารย์ เพราะอย่างไรเสียเราก็เคยเคารพท่านเป็นครูอาจารย์ ถึงแม้จะรู้ว่าสอนผิด นั่นเพราะท่านไม่ได้ปฏิบัติได้ แต่อย่างน้อยก็ยังช่วยสอนอยู่ )

   สำหรับครูที่สอนถูก ก็เปิดเผยไม่ได้ เป็นสัญญา ของฉัน กับครูของฉัน เปิดเผยได้เฉพาะกับศิษย์สายตรงเท่านั้น เพราะบางอย่าง วิชาที่ได้รับการถ่ายทอดไว้ แทบจะไม่มีใครรู้เลย จึงเป็นเรื่องหนักใจ ที่จะบอกตอนนี้ มีหลายเรื่องที่ฉันเริ่มโพสต์ ออกมาแล้ว ปรากฏว่าในสายเดียวกันก็อ้ำอี้ง มีพวกส่งข้อความมาว่า อวดฉลาดเกินครูเพราะเข้าใจผิดว่า ครูที่สอนคือครูของเขาที่สอนเรา แต่อันที่จริงไม่ใช่ นะ ดังนั้นจึงเป็นการลำบากที่จะบอกในตอนนี้

   เจริญธรรม / เจิริญพร ที่สองข้อที่ถามมาตอบไม่ได้สักข้อ
   ;)
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ฉันสับสนหลายครั้ง เพราะเรียนมาผิดจากครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้วยความเคารพพอจะเข้าวิปัสสนาขั้นที่ 13 ก็ถอยออกจากฌาน อย่างที่ครูอาจารย์ทั้งหลายสอนกัน พอฉันถอยออก สมาธินิมิตก็ดับ สุขก็เกิดแทน ขณะนั้นฉันไม่สามารถเห็นอะไรเลยนอกจากสุข มันสบาย ๆ อยู่อย่างนั้นจนผ่านไปนานก็ยังไม่สามารถเข้าขั้นที่ 13 ได้ ฉันเลยถอยจิตออกไปยังฌานที่ 2 ปีติ ก็เกิดอย่างโลดโผน กายฉันโยกไป โยกมา สติพยายามพิจารณาความไม่เที่ยงตามขั้นที่ 13 แต่มันเหมือนเป็นคำพุดเข้าไปสะกดไม่เป็นธรรมชาติ สุดท้ายก็สูญเสียเวลาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งครูฉันเข้ามาบอกว่า ไม่ต้องถอยให้ปฏบัติตามท่านดังนี้...."
..................
ข้าพเจ้าไม่ได้ปฎิบัติตามแนงทาง มัชชิมา...แต่ก็ขอสาธุ...ด้วยกับท่านพระคุณเจ้าที่มีสติที่ละเอียด...มากพอที่จะจับได้ถึงสิ่งที่ปกติบุคคลทั่วไปสังเกตุไม่เหพบ(ในสภาวะนั้น..) ......
บันทึกการเข้า