ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปฏิบัติธรรม ให้รู้จากทุกข์ ก่อนเป็นเรื่องแรก  (อ่าน 3148 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ไปอ่านเจอจึงนำมาฝากครับ


พระอาจารย์ของผมมักเร่งให้ลูกศิษย์ปฎิบัติอยู่เสมอ ท่านจะเน้นมากเรื่องการเดินจงกรม ซึ่งตัวท่านเอง ท่านจะเดิน ที่ทางจงกรมอยุ่บ่อยครั้ง ไม่มีวันไหนที่ท่านไม่เดินจงกรม ท่านเดินไวมาก เร็วมากฝนจะตก แดดจะออก ฟ้าจะผ่า ยุงจะกัด ไฟจะดับ ลมจะมา ฟ้าจะแดง ตะวันทอแสง ดวงจันทร์กลางหัว ท่านเดินจงกรมอยู่แบบนั้น ยามที่ท่านหยุดเดินจะมีอยู่นะเท่าที่สังเกต คือวันที่ แมงเม่าขึ้นมาเยอะ มดขนไข่ผ่านทางเดินจงกรม ติดกิจนิมนต์ นั่นแหละ จึงเป็นวันที่ผมได้มีโอกาสที่จะคุยกับท่านได้บ้าง ผมมักจะพยายามแกะเมล็ดทานตะวันให้ท่านฉัน หรือบางทีก็ไปซื้อสำเร็จรูปมา ในยามฉันน้ำปานะ
ครั้งหนึ่งท่านจึงสอนผมว่า เธอรู้มั้ย พวกเราโชคดีมากนะ ที่ได้มาเจอพระพุทธศาสนา เราต้องปฏิบัตินะ

พี่เอ (นามสมมติ) แกเคยทำแท้งมา ถ้าแกจมอยู่กับทุกข์แกท้อแกสิ้นหวังไม่มีปฎิบัติ แกฟังทีวีสมัยนี้แกก็ไปแก้กรรมนู้นแล้ว แต่อาจารย์ก็บอกแกว่า อหิงสกะ ฆ่าคนตายไปเยอะกว่าแกยังเป็นพระอริยะได้ ในชาตินั้น แกเลยปฎิบัติ

พี่บี(นามสมมติ) แกเคยติดคุกมาเป็นโจรมา ถ้าแกใส่ใจเสียงคนในหมู่บ้านแกก็ไปทะเลาะกะเพื่อนบ้านแล้ว อาจารย์เลยแนะนำให้ไปอ่าน เรื่องโจรเคราแดง แกยังเป็นอริยะได้ ในชาตินั้น

น้าซี(นามสมมติ) ลูกแกไม่ได้เรื่องซักคน ขโมยของแกเอาไปเที่ยวกินเหล้า กลับมานอนหลับ ไม่ทำการทำงาน ถ้าแกหมดกำลังใจปฎิบัติธรรมนี่เสร็จเลย อาจารย์เลยแนะนำให้ไปดู พระเจ้าอชาติศัตรูตัดหนังเท้าพ่อ ท่านยังปฎิบัติอยู่ ลูกเรายังดีกว่านั้นเยอะ เราน่าจะปฎิบัตินะเรายังมีฝ่าเท้าที่ดีอยุ่

ป้าดี(นามสมมติ) ผัวแกไปมีเมียน้อย แกกลุ้มใจปฎิบัติไม่ได้ ลูกแกก็ปลอบอกปลอบใจ  พระอาจารย์บอกว่า ไปอ่านเรื่องนางปฎาจารา ดู แกอ่านแกยังว่า ลูกแกก็ยังดี ยังไม่ตาย แกดีกว่าตั้งเยอะแกกลัวชาติหน้าจะเจอผัวแกอีก รีบปฎิบัติใหญ่เลย

ลุงอี(นามสมมติ) กินเหล้ามา 30 ปีจนเป็นโรคตับ สุดท้ายแกกลัวตายกลัวตกนรก เพราะแกฝันเห็นเพื่อนคอเหล้าแกชวนไปอยู่ด้วยในสภาพเสื้อผ้าขาด แกกลัว มาบ่นน้อยใจกะอาจารย์ว่าปฎิบัติไม่ทันไม่รอดนรกแน่ ทำมา30ปี อาจารย์ให้ไปอ่านเรื่อง สันตติมหาอำมาตย์ เมาเหล้าตอนเช้า ไม่ข้ามวันเป็นอริยะ

น้าเอฟ(นามสมมติ) นั่นน่ะเป็นระดับครุสอนศาสนาของศาสนา X เลยนะ แต่แกก็บ่นว่าไม่ได้เริ่มแต่เด็กจะได้เป็นอริยะมั้ย กลัวมิจฉาทิษฐิ จะบังตา อาจารย์ให้ไปอ่าน เรื่องชฎิลทั้ง 3 แกก็เลยว่า แกยังโชคดีกว่านี้นา แกก็เลยปฎิบัติ

........ผมจำอีกหลายอย่างไม่ได้นะครับ แต่ท่านก็เน้นและย้ำเสมอว่า ทุกๆคนสามารถปฎิบัติธรรมได้ เป็นอริยะได้ทุกคน.......

..........เว้นแต่....... เธอนี่แหละ...ตัวปัญหา....ฮ้า ทำไมผมละครับ......

      คนที่ไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้สำเร็จคือคนที่...ขี้เกียจไม่มีความเพียร กินเสร็จแล้วนอนเหมือนเธอไง แถมยัง ...ไม่เห็นทุกข์ไงล่ะ ไม่มี  1 ในอริยสัจ 4 ซะแล้ว จะต่อยังไงล่ะ     (เป็นเพราะว่าเวลาผมไปปฏิบัติธรรมกะพระอาจารย์ในวันหยุด บางครั้งผมกินอิ่มจึงนอนในมุ้งที่เตรียมไป ไว้ตรงชานศาลาเพราะกลัวยุงกัด ทั้งๆที่พระอาจารย์ก็เดินจงกรมอยู่ในทางของท่านแต่ผมก็นอนเฝ้ามุ้ง)

.......ก็คนอื่นเค้าเห็นทุกข์แล้วเค้าปฎิบัติ เค้าเห็นอริยสัจตัวแรก เลย ...แต่เธอชีวิตมันสุขเกินไปปฎิบัติเหยาะๆ แหยะๆ ผลบุญมันเยอะไป นี่แหละจะไม่ได้อะไรก็แบบนี้แหละ.....แล้วทำไงล่ะครับ ......ไปหาทุกข์ในสุขให้เจอนะ......แล้วเอามาเล่าให้พระอาจารย์ฟัง....อยากรู้ว่าเธอจะเห็นทุกข์ในสุขได้แค่ไหน.......

อืม คราวนี้....การบ้านหนักเหมือนกันเลยครับ..แล้วเพื่อนๆละครับเพื่อนๆมีทุกข์ในสุขมาเล่าให้ผมฟังมั้ยครับ....การบ้านรอบนี้ท่าทางจะยากเอาการอยู่ครับ

จากคุณ    : คนที่รักเธอ


 :49: :49: :49:

บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี

doremon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 171
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฏิบัติธรรม ให้รู้จากทุกข์ ก่อนเป็นเรื่องแรก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2012, 01:29:07 am »
0
จิตเป็นส่วนประกอบหนึ่งของชีวิตเท่านั้น
 ร่างกายก็เป็นส่วนประกอบอีกอันหนึ่ง

หลายคนให้ความสำคัญเรื่องจิตมาก คิดว่า จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว
แต่ไม่ใช่  อย่างนั้นทั้งหมด

เมื่อบังคับจิตได้ และจิตบังคับ กายอีกที ได้  ถ้าเป็นเช่นนีจริง  พวกนักกีฬา
คงมาฝึกจิตกันหมดแล้ว  เพราะ การฝึกร่างกายที่กระทำได้นอกเหนืออำนาจจิตมีอีกเยอะ

ทั้งร่างกายและจิตใจ รวมเรียกว่าชีวิต
ชีวิตนี้ มีอำนาจ ครอบคลุมทั้งจิตและกาย ไว้ในใต้กฏเกณของชีวิต อย่างเข้มงวด

พุทธศาสนา ไม่ส่งเสริม ให้ใครไปฝึกจิตให้มีอำนาจ อย่างโยคี
แต่ทรงสอน  แนวทางปฏิบัติเพื่อยกระดับชีวิตให้สูงขึ้น  และเป้าหมายสูงสุด คือ บรรลุพุทธ

ชีวิตนั้นสอดคล้อง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสิ่งแวดล้อม ดั่งคำกล่าวของพระพุทธว่า
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมไม่เป็นสอง

การดำเนินชีวิต ด้วย เมตตา และเผยแพร่ธรรมนั้น เป็นสิ่งแวดล้อมที่ เป็นไปตามกฏเกณที่อำนวยให้บรรลุพุทธภาวะไ
บันทึกการเข้า

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฏิบัติธรรม ให้รู้จากทุกข์ ก่อนเป็นเรื่องแรก
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2012, 02:01:10 am »
0
อนุโมทนา ครับ

 :25:
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

แพนด้า

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฏิบัติธรรม ให้รู้จากทุกข์ ก่อนเป็นเรื่องแรก
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2012, 02:11:35 pm »
0
คนที่ตายไปแล้วนั้น...ร่างกายก็ถูกเผาไปหมดแล้ว

แล้วดวงจิตนั้น... ไม่สลายไปด้วย
คือ ออกจากร่างตอนที่ตาย หมดลมหายใจ ไปก่อนแล้ว
(ทางภาษาธรรม จะเรียกว่า "ขณะจิต" ไม่นิยมเรียกว่า "ดวงจิต")

แต่จิต(นาม)ของเราไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีรูปมารองรับ
เมื่อเราตายจิตของเราจะหาร่างใหม่เกิดในทันที ในภพภูมิที่แล้วแต่กรรมจะพาไป

แต่เนื่องจากบุคคลย่อมทำกรรมต่าง ๆ ทั้งดีและชั่วในชีวิตหนึ่ง ๆ
กรรมที่มีกำลังแรงที่สุดจะให้ผลก่อน
เปรียบเช่นการโยนหินก้อนใหญ่และกิ่งไม้ลงน้ำ ก้อนหินใหญ่จะจมน้ำก่อน

กรรมนั้นมีน้ำหนักโดยลำดับคือ
กรรมที่มีกำลังมาก เรียกว่า "คุรุกรรม" ถ้าเป็นกรรมดี
เช่นการได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ หมดอาสวกิเลส ก็จะนิพพานทันที
ไม่ว่าจะเคยทำร้ายชีวิตใครมาเป็นร้อยเช่นองคุลิมาลก็ตาม
แต่ถ้าเป็นกรรมชั่ว เช่นฆ่าพ่อแม่ของตัว ไม่ว่าจะเคยทำบุญทำทานมาบ้าง แต่เขาก็จะไปสู่ทุคติโดยทันทีเช่นกัน

กรรมที่มีกำลังรองลงมาคือ "อาจิณณกรรม" เป็นกรรมที่ทำประจำจนติดตัว และ หยั่งรากฝังลึกลงในทั้งหลาย “ภิกษุยิ่งตรึกตรองถึงวิตกใด ๆ มาก เธอก็มีใจน้อมไปข้างวิตกนั้น ๆ มาก”

จึงจำเป็นที่เราจะต้องคิดดี พูดดี ทำดีอยู่ให้ติดเป็นนิสัยส่งผลไปเป็น "อาสันนกรรม" หรือ กรรมใกล้ตาย ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะจิตดวงสุดท้ายเป็นจิตที่นำเราไปสู่ภพภูมิใหม่ เหมือนวัวที่หิวโหยออกมาจากคอก ก็ยืนและเล็มหญ้าอยู่หน้าปากคอกนั้นเอง
ดังนั้นเราสามารถเลือกเกิดในชาติหน้าได้ ถ้าตอนตาย จิตดวงสุดท้ายคิดดี ดังคำบาลีว่าไว้ดังนี้

"จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา"
เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้ เมื่อจิตผ่องใส สุคติเป็นอันหวังได้

ดังนั้น เราจึงมักนิยมนิมนต์พระมาสวดมนต์แก่ผู้ใกล้เสียชีวิต
ให้เขาระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และกุศลต่าง ๆ ที่เคยได้ประกอบ
เพื่อการตายอย่างมีสติ ดับกิเลสพร้อมสิ้นลม

สุดท้ายคือ "กตัตตากรรม" คือกรรมสักแต่ว่าทำ ไม่มีเจตนา เช่น เดินเหยียบกิ้งกือตายโดยไม่ตั้งใจ หรือ ทำบุญเพื่อเอาหน้าโดยไม่ประกอบด้วยปัญญา อันนี้เป็นกรรมที่มีกำลังอ่อน ให้ผลเมื่อไม่มีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีกำลังมากกว่า

รายละเอียดอ่านได้เพิ่มเติมจาก:
http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?f=3&t=186
บันทึกการเข้า

vichai

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 207
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฏิบัติธรรม ให้รู้จากทุกข์ ก่อนเป็นเรื่องแรก
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2012, 02:12:59 pm »
0
    

 [๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอา
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะ
เข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปี
บ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปี
บ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็น
ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ

จิตเป็นธรรมชาติที่เกิดดับเร็วที่สุดไม่มีอะไรที่รวดเร็วเท่าจิต
เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไป จิตดวงหนึ่งก็เกิดขึ้นมาแทนที่
แต่ก่อนที่จิตดวงก่อนจะดับไปนั้น ได้ทิ้งเชื้อคือกรรมและกิเลสไว้ให้จิตดวงต่อไป เหมือนกับมารดาบิดา แม้จะตายจากไปแล้วก็ยังได้ทิ้งกรรมพันธุ์
ให้แก่ลูกหลานได้นำสืบไป การเกิดดับของจิตเป็นไปรวดเร็วติดต่อกัน
จนเราไม่อาจที่จะกำหนดได้ เช่นเดียวกับกระแสไฟฟ้าที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่ติดต่อกันรวดเร็วจนเราไม่อาจจะสังเกตได้

จิตเกิดดับครั้งหนึ่งเรียกว่า “ขณะหนึ่ง หรือดวงหนึ่งของจิต” และจิตดวงหนึ่งยังมีขณะเล็กหรืออนุขณะอีก ๓ คือ อุปปาทขณะ ฐิติขณะและภังคขณะ
ขณะที่จิตเริ่มเกิด เรียกว่า อุปปาทขณะ ขณะที่จิตตั้งอยู่ยังไม่ดับไป เรียกว่า ฐิติขณะ ส่วนขณะที่จิตกำลังดับไป เรียกว่า ภังคขณะ

เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ถ้าสนใจศึกษา หาอ่านได้ที่
http://www.prapitum.mbu.ac.th/phrarpitum/apitum-perface.html
บันทึกการเข้า
มาศึกษาธรรมะ ครับ ยินดีรู้จักทุกท่านที่เป็นกัลยาณมิตร ครับ
เครดิต คุณกบแย้มกะลา