ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ใครมาดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ  (อ่าน 8471 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

what-is-it

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 51
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เมื่อตะกี้ ทางช่อง 3 หมอลักษณ์บอกว่าตอนพระพุทธเจ้า
จะตรัสรู้ ได้มีพระอินทร์มาดีดพิณ 3 สาย พระพุทธเจ้าจึง
ทรงตรัสรู้  (แล้วชักชวนสร้างรูปเคารพพระอินทร์)

เป็นจริงแค่ไหน

 thk56
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 05, 2014, 10:44:06 am โดย what-is-it »
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ใครมีดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 04, 2014, 08:12:46 pm »
0
ณ ขณะปัจจุบัน ผมใคร่อยากสร้างท้าวพญายมราชมากกว่า ครับ! หวังอานิสงส์จักไปเที่ยวยมโลกสักครั้ง
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

what-is-it

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 51
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ใครมาดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 05, 2014, 10:44:31 am »
0
สรุปแล้ว เป็นพระอินทร์ ใช่หรือไม่คะ

  :88:
บันทึกการเข้า

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ใครมาดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มีนาคม 05, 2014, 09:25:17 pm »
0
พระอินทร์,ท้าวอมรินทร์,ท้าวมฆวาน,ท้าวโกสีย์,ท้าวสักกะ จะเรียกขานอย่างไรก็องค์เดียวกันนะครับ สำหรับเรื่องดีดพิณเชื่อก็เชื่อกันตามตำราใช่ขวางใคร แต่มันขวางพวกบัณฑิตคิดอนุมานตามไม่ได้ต้องสละสลวยในพจน์ในคำพร่ำให้คนนับถือครับ ซึ่งก็สุดแล้วแต่จะอนุมานตามตำรา หรือ อย่างบัณฑิตว่าปัญญาพุทธองค์ใคร่ครวญเอง ก็เอา พระอินทร์เป็นเทวราชาในชั้นดาวดึงส์หน้าที่ท่านต้องตามรักษาบารมีพระพุทธองค์ และสงฆ์ขีณาสพผู้ศากยะบุตรทั้งหลาย ครับ! (เดิมพระอินทร์องค์นี้ท่านชื่อ มฆะมาณพ มีภรรยา 4 คน (สุธรรมา,สุนันทา,สุจิตรา,สุชาดา) สร้างสมบุญบารมีไม่เคยเจอพระพุทธเจ้าซักครั้ง ครั้งนี้ด้วยหน้าที่ต้องรักษาบารมีพระพุทธองค์จึงไม่ห่างที่จักกล่าวอ้างในศาสนคัมภีร์ ครับ!
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28409
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ใครมาดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มีนาคม 06, 2014, 07:45:14 am »
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
๕. โพธิราชกุมารสูตร

ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา
(ยกมาแสดงบางส่วน)

     [๕๐๑] ดูกรราชกุมาร โอ เทวดาทั้งหลายเห็นอาตมภาพแล้ว กล่าวกันอย่างนี้ว่าพระสมณโคดมทำกาละเสียแล้ว. 
     เทวดาบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมไม่ได้ทำกาละแล้ว แต่กำลังทำกาละ.
     เทวดาบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมไม่ได้ทำกาละแล้ว กำลังทำกาละก็หามิได้ พระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์ ความอยู่เห็นปานนี้ นับว่าเป็นวิหารธรรมของพระอรหันต์.

     [๕๐๒] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงปฏิบัติเพื่อตัดอาหารเสียโดยประการทั้งปวงเถิด. 
     ครั้งนั้น เทวดาเหล่านั้นเข้ามาหาอาตมภาพแล้วได้กล่าวว่า
     ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ ท่านอย่าปฏิบัติเพื่อตัดอาหารเสียโดยประการทั้งปวงเลย ถ้าท่านจักปฏิบัติเพื่อตัดอาหารเสียโดยประการทั้งปวง ข้าพเจ้าทั้งหลายจักแทรกโอชาอันเป็นทิพย์ตามขุมขนของท่านท่านจักได้ยังชีวิตให้เป็นอยู่ด้วยโอชาอันเป็นทิพย์นั้น.

     อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า เราเองด้วยพึงปฏิญาณการไม่บริโภคอาหารโดยประการทั้งปวง เทวดาเหล่านี้ด้วยพึงแทรกโอชาอันเป็นทิพย์ตามขุมขนของเรา เราพึงยังชีวิตให้เป็นไปด้วยโอชาอันเป็นทิพย์นั้นด้วย ข้อนั้นพึงเป็นมุสาแก่เรา ดังนี้.
    อาตมภาพบอกเลิกกะเทวดาเหล่านั้น จึงกล่าวว่าอย่าเลย.
    แล้วอาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงบริโภคอาหารลดลงวันละน้อยๆ คือ วันละฟายมือบ้าง เท่าเยื่อถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง.

    อาตมภาพจึงบริโภคอาหารลดลงวันละน้อย คือ วันละฟายมือบ้าง เท่าเยื่อถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง. เมื่อบริโภคอาหารลดลงวันละน้อยๆ คือ วันละฟายมือบ้าง เท่าเยื่อถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง กายก็ผอมเหลือเกิน.


      :welcome: :welcome: :welcome:

     [๕๐๓] เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อยนั่นเอง อวัยวะน้อยใหญ่ของอาตมภาพย่อมเป็นเหมือนเถาวัลย์มีข้อมาก หรือเถาวัลย์มีข้อดำ ฉะนั้น. ตะโพกของอาตมภาพเป็นเหมือนเท้าอูฐฉะนั้น. กระดูกสันหลังของอาตมภาพผุดระกะ เปรียบเหมือนเถาวัฏฏนาวฬี ฉะนั้น.
     ซี่โครงของอาตมภาพขึ้นนูนเป็นร่องๆ ดังกลอนศาลาเก่ามีเครื่องมุงอันหล่นโทรมอยู่ ฉะนั้น. ดวงตาของอาตมภาพถล่มลึกเข้าไปในเบ้าตา ประหนึ่งดวงดาวปรากฏในบ่อน้ำลึก ฉะนั้น. ผิวศีรษะของอาตมภาพที่รับสัมผัสอยู่ก็เหี่ยวแห้ง ดุจดังผลน้ำเต้าที่ตัดมาสดๆ อันลมและแดดกระทบอยู่ก็เหี่ยวแห้ง ฉะนั้น.

    อาตมภาพคิดว่า จะลูบผิวหนังท้องก็จับถูกกระดูกสันหลัง คิดว่า จะลูบกระดูกสันหลังก็จับถูกผิวหนังท้อง. ผิวหนังท้องกับกระดูกสันหลังของอาตมภาพติดถึงกัน.
    เมื่ออาตมภาพคิดว่าจะถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ  ก็เซซวนล้มลงในที่นั้นเอง. เมื่อจะให้กายนี้แลมีความสบาย จึงเอาฝ่ามือลูบตัว.
    เมื่ออาตมภาพเอาฝ่ามือลูบตัว ขนทั้งหลายมีรากเน่าก็หล่นตกจากกาย.

    มนุษย์ทั้งหลายเห็นอาตมภาพแล้วกล่าวกันอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมดำไป.
    มนุษย์บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมไม่ดำเป็นแต่คล้ำไป.
    มนุษย์บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า จะว่าพระสมณโคดมดำไปก็ไม่ใช่ จะว่าคล้ำไปก็ไม่ใช่ เป็นแต่พร้อยไป.
    ดูกรราชกุมาร ฉวีวรรณอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของอาตมภาพ ถูกกำจัดเสียแล้ว เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อยนั่นเอง.


      :49: :49: :49:

    [๕๐๔] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาล ได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าเผ็ดร้อนที่เกิดเพราะความเพียรอย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ ไม่ยิ่งไปกว่านี้.
     สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอนาคต จักได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าเผ็ดร้อนที่เกิดเพราะความเพียรอย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ จักไม่ยิ่งไปกว่านี้.
     สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบัน ได้เสวยอยู่ซึ่งทุกขเวทนาอันกล้าเผ็ดร้อนที่เกิดเพราะความเพียรอย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ จะไม่ยิ่งไปกว่านี้.
     แต่เราก็ไม่ได้บรรลุอุตตริมนุสสธรรมอลมริยญาณทัสสนวิเสส (ความรู้ความเห็นของพระอริยะอันวิเศษอย่างสามารถยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์) ด้วยทุกกรกิริยาที่เผ็ดร้อนนี้ จะพึงมีทางเพื่อรู้อย่างอื่นกระมังหนอ.





กลับเสวยพระกระยาหารหยาบ

    [๕๐๕] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า
    เราจำได้อยู่ เมื่องานวัปปมงคลของท้าวศากยะผู้พระบิดา เรานั่งอยู่ที่ร่มไม้หว้าอันเยือกเย็น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมบรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนี้แลหนอ พึงเป็นทางเพื่อตรัสรู้.

     อาตมภาพได้มีความรู้สึกอันแล่นไปตามสติว่าทางนี้แหละ เป็นทางเพื่อตรัสรู้.
     อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า เราจะกลัวแต่สุขซึ่งเป็นสุขเว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรมหรือ. และมีความคิดเห็นต่อไปว่า เราไม่กลัวแต่สุขซึ่งเป็นสุขเว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรมละ.
     การที่บุคคลผู้มีกายผอมเหลือเกินอย่างนี้ จะถึงความสุขนั้น ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงบริโภคอาหารหยาบ คือข้าวสุก ขนมสดเถิด. อาตมภาพจึงบริโภคอาหารหยาบ คือข้าวสุก ขนมสด.

     ก็สมัยนั้น ปัญจวัคคีย์ภิกษุ บำรุงอาตมภาพอยู่ด้วยหวังว่า พระสมณโคดมจักบรรลุธรรมใดก็จักบอกธรรมนั้นแก่เราทั้งหลาย. นับแต่อาตมภาพบริโภคอาหารหยาบคือข้าวสุก ขนมสด.
     ปัญจวัคคีย์ภิกษุก็พากันเบื่อหน่ายจากอาตมภาพหลีกไปด้วยความเข้าใจว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก คลายความเพียรเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากไปเสียแล้ว.


     ครั้นอาตมภาพบริโภคอาหารหยาบมีกำลังขึ้นแล้ว ก็สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่.
     บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขผู้ได้ฌานเกิดแต่สมาธิอยู่.
     มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ตติยฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข.
     บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. ฯลฯ



ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=7663&Z=8236
ขอบคุณภาพจาก http://www.84000.org/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28409
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ใครมาดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มีนาคม 06, 2014, 08:23:44 am »
0
เมื่อตะกี้ ทางช่อง 3 หมอลักษณ์บอกว่าตอนพระพุทธเจ้า
จะตรัสรู้ ได้มีพระอินทร์มาดีดพิณ 3 สาย พระพุทธเจ้าจึง
ทรงตรัสรู้  (แล้วชักชวนสร้างรูปเคารพพระอินทร์)

เป็นจริงแค่ไหน

 thk56



 ans1 ans1 ans1

เรื่องราวของพระอินทร์ดีดพิณถวายพระโพธิสัตว์นั้น ไม่ปรากฏในชั้นพระไตรปิฎก ในโพธิราชกุมารสูตร ระบุชัดเจนว่า เหตุที่พระโพธิสัตว์เลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยานั้น มีสาเหตุมาจากทรงระลึกถึง การได้ปฐมฌานขณะนั่งอยู่ที่ต้นหว้า ในงานวัปปมงคลของพระบิดา (ไม่ได้กล่าวถึงพระอินทร์เลย)

เรื่องราวของพระอินทร์นั้นมาจากหนังสือ ปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส อยู่ในปริเฉทที่ 7. ทุกรกิริยาปริวรรต : พระโพธิสัตว์บำเพ็ญทุกรกิริยา


แนะนำให้ไปอ่านในเว็บนี้ครับ http://หนังสือธรรมะ.blogspot.com/2012/05/blog-post.html เป็น pdf file





ขอนำภาพพระพุทธประวัติ ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร พร้อมคำบรรยายมาแสดง ข้อมูลเหล่านี้นำมาจากหนังสือ ปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เช่นกัน


สมุดภาพพระพุทธประวัติ ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร
ภาพที่ ๒๑ : ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา ปัญจวัคคีย์เฝ้าปฎิบัติ พระอินทร์ดีดพิณถวายข้ออุปมา

    ตอนนี้เป็นตอนที่พระมหาบุรุษบำเพ็ญทุกกรกิริยา กลุ่มคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์นั้นคือ คณะปัญจวัคคีย์  มี ๕ คนด้วยกัน คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ทั้งหมดตามเสด็จพระมหาบุรุษออกมาเพื่อเฝ้าอุปัฏฐาก ส่วนผู้ที่ถือพิณอยู่บนอากาศนั้นคือ พระอินทร์

    คนหัวหน้า คือ โกณฑัญญะ เป็นคนหนึ่งในจำนวนพราหมณ์ ๘ คน ที่เคยทำนายพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ ตอนนั้นยังหนุ่ม แต่ตอนนี้แก่มากแล้ว อีก ๔ คน เป็นลูกของพราหมณ์ ที่เหลือคือใ นจำนวนพราหมณ์ ๗ คนนั้น

    ทุกกรกิริยาเป็นพรตอย่างหนึ่งซึ่งนักบวชสมัยนั้นนิยมทำกัน มีตั้งแต่อย่างต่ำธรรมดา จนถึงขั้นอาการปางตายที่เกินวิสัยสามัญมนุษย์จะทำได้อย่างยิ่งยวด ปางตาย คือ กัดฟัน กลั้นลมหายใจเข้าออกและอดอาหาร

   พระมหาบุรุษทรงทดลองดูทุกอย่าง จนบางครั้ง เช่น คราวลดเสวยอาหารน้อยลงๆ จนถึงงดเสวยเลย แทบสิ้นพระชนม์  พระกายซูบผอม พระโลมา(ขน) รากเน่าหลุดออกมา เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เวลาเสด็จดำเนินถึงกับซวนเซล้มลง

     ทรงทดลองดูแล้วก็ทรงประจักษ์ความจริง ความจริงที่ว่านี้ กวีท่านแต่งเป็นปุคคลาธิษฐาน คือ พระอินทร์ถือพิณสามสายมาทรงดีดให้ฟัง สายพิณที่หนึ่งลวดขึงตึงเกินไปเลยขาด สายที่สองหย่อนเกินไปดีดไม่ดัง สายที่สามไม่หย่อนไม่ตึงนัก ดีดดัง เพราะ

     พระอินทร์ดีดพิณสายที่สาม (มัชฌิมาปฏิปทา) ดังออกมาเป็นความว่า ไม้สดแช่อยู่ในน้ำ ทำอย่างไรก็สีให้เกิfไฟไม่ได้ ถึงอยู่บนบก แต่ยังสด ก็สีให้เกิดไฟไม่ได้ ส่วนไม้แห้งและอยู่บนบกจึงสีให้เกิดไฟได้ อย่างแรกเหมือนคนยังมีกิเลสและอยู่ครองเรือน อย่างที่สองเหมือนคนออกบวชแล้ว แต่ใจยังสดด้วยกิเลส อย่างที่สามเหมือนคoออกบวชแล้วใจเหี่ยวจากกิเลส

     พอทรงเห็นหรือได้ยินเช่นนั้น พระมหาบุรุษจึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยา ซึ่งเป็นความเพียรทางกาย แล้วเริ่มกลับเสวยอาหารเพื่อบำเพ็ญความเพียรทางใจ พวกปัญจวัคคีย์ทราบเข้าก็เกิดเสื่อมศรัทธา หาว่าพระมหาบุรุษคลายความเพียรเวียนมาเพื่อกลับเป็นผู้มักมากเสียแล้ว เลยพากันละทิ้งหน้าที่อุปัฏฐากหนีไปอยู่ที่อื่น


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/picture/f21.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ใครมาดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มีนาคม 06, 2014, 11:03:43 am »
0
 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

what-is-it

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 51
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ใครมาดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มีนาคม 06, 2014, 03:21:07 pm »
0
 thk56 thk56 thk56
บันทึกการเข้า

what-is-it

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 51
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ใครมาดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มีนาคม 06, 2014, 03:25:08 pm »
0
สรุปแล้ว คือ ในพระไตรปิฏก ไม่มีพระอินทร์ มาดีดพิณ แต่ พระพุทธเจ้าทรงดำริ ถึงคราเมื่อตอนพระองค์เข้าปฐมฌานได้ ครั้งทรงพระเยาว์ ใช่หรือไม่คะ

 ส่วนที่มีดีิดพิณ นั้นเป็นเรื่องแต่งเสริมเข้ามาปรากฏข้อความใน ปฐมสมโพธิ เป็นต้น

 สรุปอย่างนี้ใช่หรือไม่ คะ

  :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28409
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ใครมาดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มีนาคม 06, 2014, 07:09:00 pm »
0
สรุปแล้ว คือ ในพระไตรปิฏก ไม่มีพระอินทร์ มาดีดพิณ แต่ พระพุทธเจ้าทรงดำริ ถึงคราเมื่อตอนพระองค์เข้าปฐมฌานได้ ครั้งทรงพระเยาว์ ใช่หรือไม่คะ

 ส่วนที่มีดีิดพิณ นั้นเป็นเรื่องแต่งเสริมเข้ามาปรากฏข้อความใน ปฐมสมโพธิ เป็นต้น

 สรุปอย่างนี้ใช่หรือไม่ คะ

  :smiley_confused1:


 ans1 ans1 ans1 เข้าใจถูกต้องแล้วครับ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: ใครมาดีดพิณ ให้พระพุทธเจ้า ฟังกันแน่ คะ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มีนาคม 06, 2014, 08:16:47 pm »
0
พระไตรปิฏก น่าจะเชื่อถือได้มากกว่า นะคะ ส่วนปฐมสมโพธิ บางทีอ่านแล้ว ก็ไม่ค่อยค้าน เพราะผู้ประพันธ์เสริมแทรกความศรัทธา โดยเอา เทวนิยม มาใส่ คืออิทธิพลของพราหมณ์ มาผนวก ในพุทธ ปัจจุบัน เราก็เลยแยกไม่ออกว่า บางวัดเป็นพราหมณ์ หรือเป็นพุทธ เรื่องพิธีหยุมหยิม เทวรูป ต่าง ๆ ตลอดทั้งหมดนี้ ก็มาจาก เทวนิยม ในสาย พราหมณ์ ทั้งนั้น


   :49:
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น