ท่านธวัชชัยกล่าวดีปล้ว ถูกแล้ว สมควร,ล้ว ผมขออนุญาตเพิ่มเติมความเห็นแนวปฏบัติสักนิดดังนี้ครับ
1. พิจารณาเห็นกายภายในภายนอก เห็นแยกอาการทั้ง32 เห็นความเสื่อมไปในกาย เห็นความเจ็บปวดจากกายซึ่งความเจ็บปวดนั้นกายไม่ได้รับรู้แต่อาศัยวิญญาณมีอยู่คือจิตให้รับรู้ความอาพาธนั้น เห็นโผฐัพพะทางกาย เห็นกายสักเป็นแค่เพียงมหาภูตรูปทาประชุมรวมกัน มีไว้สักแต่เพียงใหเป็นระลึกรู้ความเปลี่นแผลงเสื่อมโทรมอันไม่สามารถไปบังคับใดๆได้ ดั่งดินไม่มีจิตไม่รับรู้ร้อนหนาว ไม่รู้เจ็บปวด ไม่มีความชอบมจไม่ชอบใจไรๆ แม้จะอยู่หรือเผชิญสภาพไรๆ แต่ที่เรารู้ทางกายเพราะอาศัยวิญญาณคอจิตเข้าไปรู้ในความเป็นไปของอาการนั้นๆ เจริญในกายานุสติปัฎฐานก็จะแยกในรูปขันธ์ได้
2. พิจารณาเวทนานุสติปัฎฐานเห็นกองเวทนาคือ สุขกายรู้ ทุกข์กายรู้ ไม่สุขไม่กายทุกรู้ สุขใจรู้ ทุกข์ใจรู้ วางเฉยไม่สุขไม่ทุกข์ใจรู้ เห็นเวทนาเกิดขึ้นเมื่อรู้ผัสสะใดๆจากสฬายตนะ สักแต่เพียงมีไว้ระลึกรู้ไม่ได้มีไว้เสพย์ คือเห็นกองเวทนา
3. พิจารณาจิตตานุสติปัฏฐานเห็นในความคิดว่ากุศล หรืออกุศล พิจารณาเห็น รัก โลภ โกรธ หลงในตน คือ กาม ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ในตน เป็นจิตเห็นความปรุงแต่งเกิดขึ้นประกองจิต สักแต่มีไว้ระลึกรู้ คือ เห็นสังขารขันธ์
4. พิจารณาจิตตานุสติปัฏฐานให้เห็นในความจดจำ ความเข้าไปให้ความสำคัญมั่นหมายไรๆ ความจำได้จำไว้ ความรู้บัญญัติเรื่องราวไรๆจากความจดจำสำคัญมั่นหมายเอาไว้ในใจ เป็นกองสัญญา
5. ระลึกรู้เห็นธรรมที่มีในตนบ้างหรือภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นความเข้าไปรู้สิ่งไรๆ หรือ ความรู้อารมณ์ไรๆทั้งปวงทั้ง 4 ข้อข้างต้น จะด้วยสมมติบัญญัติ หรือ ปรมัตถธรรมก็ตาม เป็นวิญญาณขันธ์
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านเจ้าของกระทุ้เพื่อใช้ในการปฏิบัตินะครับ ผทเป็นผู้รู้น้อยถึงไม่รู้เลย ปฏิบัติมาน้อยจึงตอบได้เพียงเท่านี้ครับ