ไม่น่าจะเกี่ยว นะ แต่ถ้าสงสัยเรื่อง สมาธิ ลองไปฝึก ที่เรือนธรรม ดูก็ได้นะคะ

 

โดย เรือนธรรม

อบรมพุทธธรรม

ประจำเดือน  ตุลาคม  ๒๕๕๔    ณ ห้องหนังสือเรือนธรรม

 โทรศัพท์ ๐-๒๒๔๔๘๒๙๒ : www.ruendham.com/

วันพฤหัสบดี - วันอาทิตย์ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๕.๐๐ น.: ฟังธรรมบรรยาย

 วันพฤหัสบดี : พระอภิธรรม

โดย พระอาจารย์ทวี เกตุธมฺโม

วันศุกร์ : พระอภิธรรม

โดย พระอาจารย์มหาบุญช่วย ปัญญาวชิโร วัดบางยี่ขัน

วันเสาร์ เวลา ๐๙.๓๐-๑๕.๐๐ น.

: เช้า  เรื่อง วิถีจิต

: บ่าย  เรื่อง กรรม

โดย อาจารย์บุญณัฐศักดิ์ ทวิพัฒน์

วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๓๐ – ๑๕.๓๐ น.

:เช้า  เรื่อง ปฏิจจสมุปปาท

:บ่าย  เรือง ปริเฉท ๗ อกุศลสังคหะ

โดย อาจารย์บุญณัฐศักดิ์ ทวิพัฒน์

 

กิจกรรมประจำเดือน

 
๒๕ - ๒๗ พฤศจิกายน  ๒๕๕๔  : อบรมสมาธิเบื้องต้น ระดับ ๑

(เข้าเย็นวันศุกร์ เวลา ๑๘.๐๐ น. ออกวันอาทิตย์เวลา ๑๗.๐๐ น.)

อบรมสมาธิเบื้องต้น เป็นคอร์สเหมาะสำหรับผู้เริ่มใหม่ในการปฏิบัติที่ถูกต้อง

กรุณาสำรองที่ล่วงหน้า (ไม่มีค่าใช้จ่าย) โทร. ๐-๒๒๔๔-๘๒๙๒

ตั้งแต่เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๗.๐๐ น. ทุกวันพฤหัสบดี ,ศุกร์ ,เสาร์ และวันอาทิตย์

E-mail : ruendham@live.com

หมายเหตุ อบรมสมาธิระดับ ๒ จะมีทุกสามเดือน

 

ทุกวันเสาร์ เวลา ๑๐.๐๐- ๑๒.๐๐ น.

เชิญร่วมกิจกรรมหัวเราะเพื่อสุขภาพ

โดย อาจารย์กสานติ์ วณิชชานนท์

ร่วมปฏิบัติธรรมได้

โดยติดต่อคุณพัชรินทร์ โทร.๐๘๑-๙๓๑๕๔๕๕

[ประกาศ ฉบับที่ ๓ / ๒๕๕๔ศูนย์คนรุ่นใหม่ใจอาสาเพื่อผู้ประสบภัยที่สวนโมกข์กรุงเทพ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๐๙.๐๐ น. ๑. วานนี้ คณะของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ที่นำจตุปัจจัยไทยธรรมพร้อมกับถุงยังชีพ และ สิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ เช่น ส้วม ฯ รวมกันจำนวนประมาณ ๑,๐๐๐ ชุด ลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อนำกองกฐินน้ำใจช่วยภัยน้ำท่วมที่ได้รับจำนวนมาก ไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณรตามอารามต่าง ๆ ในเขตน้ำท่วมหนัก จำนวน ๑๐ อาราม ได้เดินทางกลับถึงศูนย์เมื่อเวลา ๒๒.๓๐ น. มีการสรุปซักซ้อมทบทวนภารกิจแล้วเสร็จประมาณเวลา ๒๓.๓๐ น. ในขณะที่คณะอาสาสมัครอีกชุดหนึ่งซึ่งเดินทางด้วยรถยนต์คอนเทนเนอร์อาสาจาก จังหวัดชลบุรีเพื่อนำน้ำและถุงยังชีพไปยังชุมชนในเขตบางกระดีตามการประสาน ของกลุ่มแกนนำชุมชนในพื้นที่ผ่านเครือข่ายผูประสบภัยสึนามิ-บ้านน้ำเค็ม แล้วมีปัญหาการจราจรขนส่งไม่สามารถส่งมอบของได้ทั้งหมด กลับมาถึงศูนย์ในเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น.ของวันที่ ๒๓ ตุลาคม. โดยนอกจากนั้นยังมีผู้บริจาค นำส่ง และคนอาสาจำนวนมากมาช่วยจัดทำถุงยังชีพได้เพิ่มขึ้นอีก ๙๐๐ ชุด สามารถส่งกระจายได้แล้วกว่า ๓,๐๐๐ ชุด ไปยังจังหวัดนครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท ปทุมธานี นนทบุรี ผ่านเครือข่ายการประสานและทำงานร่วมกันของภาคี เช่น เครือข่ายเกษตรทางเลือก เครือข่ายตลาดสีเขียว สหทัยมูลนิธิ กลุ่มรถอ๊อฟโรด เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ-บ้านน้ำเค็ม ฯลฯ โดยเวลา ๑๙.๐๐ น.ได้มีการประชุมร่วมกับอาสาสมัครร่วม ๑๐๐ คนที่รอการลำเลียงของขึ้นรถจากจังหวัดสระบุรีเพื่อนำส่งพื้นที่ประสบภัยห่าง ไกลยังไม่ได้รับความช่วยเหลือในลักษณะการชุมนุมประชุมชาวค่ายคนอาสาด้วย บรรยากาศที่ดียิ่ง. ๒. ได้เข้าร่วมหารือกับเครือข่ายภาคประชาชนช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่สถานี โทรทัศน์ไทยพีบีเอสซึ่งเป็นอีกขบวนใหญ่ รับทราบการประเมินสถานการณ์น้ำท่วมว่าน่าจะท่วมกระจายทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร ในระยะประมาณ ๑๐ วันจากนี้ไป ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมการอพยพ การก่อตั้งที่พักพิง และ การจัดการช่วยเหลือต่าง ๆ แบบมีส่วนร่วมของกลุ่มองค์กรชุมชนผู้ประสบภัย ในลักษณะกัลยาณมิตรพื้นที่ข้างเคียงเช่นที่ชาวจังหวัดนครปฐมกำลังก่อตัวเป็น ขบวนเครือข่ายกลัยาณมิตรรับคนกรุงเทพและธนบุรีไปพักพิง รวมทั้งได้รับทราบการถอนตัวออกจากศูนย์ฯ ศปภ.ที่ดอนเมืองของ ThaiFlood เพื่อความปลอดภัยของระบบหลังจากพบว่าระบบงานที่นั่นไม่เอื้อต่อการทำงานต่อ ไป. ๓. ศูนย์คนรุ่นใหม่ใจอาสาเพื่อผู้ประสบภัยที่สวนโมกข์กรุงเทพจะยังคงดำเนินการ ต่อเนื่องที่สวนโมกข์กรุงเทพจนกว่าจะเกิดสถานการณ์น้ำท่วมถึง พร้อมกับขยายขบวนไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ใจอาสาในพื้นที่อื่น ๆ ทั้งรายรอบกรุงเทพมหานครและทั่วประเทศตามที่จะมีกำลัง มีคนอาสา และ มีคนหนุนเสริมสนับสนุน. ๔. ขอให้ทุกท่านอย่าได้ประมาท ด้วยการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ด้วยสติสัมปชัญญะ ดูและรักษาทรัพย์สินให้ได้รับความปลอดภัยเท่าที่จะทำได้ จัดแยกและบรรจุสิ่งสำคัญยิ่งไว้ในสภาพพร้อมเคลื่อนย้ายติดตัว หากเป็นไปได้ ควรพิจารณาโยกย้ายออกจากที่พำนักที่มีความเสี่ยงสูง แล้วร่วมไม้ร่วมมือกันลดความเสียหายสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นพร้อมกับการช่วย เหลือเกื้อกูลแก่กันและกันตามกำลังความสามารถ มีแต่ความไม่ประมาทและการร่วมไม้ร่วมมือกันเท่านั้นที่จะช่วยให้เราข้าม ผ่านมหาภัยพิบัติครั้งนี้ได้. ๕. ทั้งนี้ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ได้ปรับแผนและกิจกรรมเพื่อสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมของคนรุ่นใหม่ใจอาสาอย่าง เต็มที่ พร้อมกับการเตรียมความพร้อมรับมือด้วยการงดเกือบทุกกิจกรรม รวมทั้งทำแนวกั้นน้ำต่าง ๆ และ การเคลื่อนย้ายสรรพสิ่งที่อาจเสียหายขึ้นสู่ที่สูงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะต่อเนื่องจนถึงสิ้นเดือนนี้เป็นอย่างน้อย.]

ประกาศ ฉบับที่ ๓ / ๒๕๕๔

ศูนย์คนรุ่นใหม่ใจอาสาเพื่อผู้ประสบภัย

ที่สวนโมกข์กรุงเทพ

๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๐๙.๐๐ น.

 

๑. วานนี้ คณะของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ที่นำจตุปัจจัยไทยธรรมพร้อมกับถุงยังชีพ และ สิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ เช่น ส้วม ฯ รวมกันจำนวนประมาณ ๑,๐๐๐ ชุด ลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อนำกองกฐินน้ำใจช่วยภัยน้ำท่วมที่ได้รับจำนวนมาก ไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณรตามอารามต่าง ๆ ในเขตน้ำท่วมหนัก จำนวน ๑๐ อาราม ได้เดินทางกลับถึงศูนย์เมื่อเวลา ๒๒.๓๐ น. มีการสรุปซักซ้อมทบทวนภารกิจแล้วเสร็จประมาณเวลา ๒๓.๓๐ น. ในขณะที่คณะอาสาสมัครอีกชุดหนึ่งซึ่งเดินทางด้วยรถยนต์คอนเทนเนอร์อาสาจาก จังหวัดชลบุรีเพื่อนำน้ำและถุงยังชีพไปยังชุมชนในเขตบางกระดีตามการประสาน ของกลุ่มแกนนำชุมชนในพื้นที่ผ่านเครือข่ายผูประสบภัยสึนามิ-บ้านน้ำเค็ม แล้วมีปัญหาการจราจรขนส่งไม่สามารถส่งมอบของได้ทั้งหมด กลับมาถึงศูนย์ในเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น.ของวันที่ ๒๓ ตุลาคม. โดยนอกจากนั้นยังมีผู้บริจาค นำส่ง และคนอาสาจำนวนมากมาช่วยจัดทำถุงยังชีพได้เพิ่มขึ้นอีก ๙๐๐ ชุด สามารถส่งกระจายได้แล้วกว่า ๓,๐๐๐ ชุด ไปยังจังหวัดนครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท ปทุมธานี นนทบุรี ผ่านเครือข่ายการประสานและทำงานร่วมกันของภาคี เช่น เครือข่ายเกษตรทางเลือก เครือข่ายตลาดสีเขียว สหทัยมูลนิธิ กลุ่มรถอ๊อฟโรด เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ-บ้านน้ำเค็ม ฯลฯ โดยเวลา ๑๙.๐๐ น.ได้มีการประชุมร่วมกับอาสาสมัครร่วม ๑๐๐ คนที่รอการลำเลียงของขึ้นรถจากจังหวัดสระบุรีเพื่อนำส่งพื้นที่ประสบภัยห่าง ไกลยังไม่ได้รับความช่วยเหลือในลักษณะการชุมนุมประชุมชาวค่ายคนอาสาด้วย บรรยากาศที่ดียิ่ง.

 

๒. ได้เข้าร่วมหารือกับเครือข่ายภาคประชาชนช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่สถานี โทรทัศน์ไทยพีบีเอสซึ่งเป็นอีกขบวนใหญ่ รับทราบการประเมินสถานการณ์น้ำท่วมว่าน่าจะท่วมกระจายทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร ในระยะประมาณ ๑๐ วันจากนี้ไป ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมการอพยพ การก่อตั้งที่พักพิง และ การจัดการช่วยเหลือต่าง ๆ แบบมีส่วนร่วมของกลุ่มองค์กรชุมชนผู้ประสบภัย ในลักษณะกัลยาณมิตรพื้นที่ข้างเคียงเช่นที่ชาวจังหวัดนครปฐมกำลังก่อตัวเป็น ขบวนเครือข่ายกลัยาณมิตรรับคนกรุงเทพและธนบุรีไปพักพิง รวมทั้งได้รับทราบการถอนตัวออกจากศูนย์ฯ ศปภ.ที่ดอนเมืองของ ThaiFlood เพื่อความปลอดภัยของระบบหลังจากพบว่าระบบงานที่นั่นไม่เอื้อต่อการทำงานต่อ ไป.

 

๓. ศูนย์คนรุ่นใหม่ใจอาสาเพื่อผู้ประสบภัยที่สวนโมกข์กรุงเทพจะยังคงดำเนินการ ต่อเนื่องที่สวนโมกข์กรุงเทพจนกว่าจะเกิดสถานการณ์น้ำท่วมถึง พร้อมกับขยายขบวนไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ใจอาสาในพื้นที่อื่น ๆ ทั้งรายรอบกรุงเทพมหานครและทั่วประเทศตามที่จะมีกำลัง มีคนอาสา และ มีคนหนุนเสริมสนับสนุน.

 

๔. ขอให้ทุกท่านอย่าได้ประมาท ด้วยการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ด้วยสติสัมปชัญญะ ดูและรักษาทรัพย์สินให้ได้รับความปลอดภัยเท่าที่จะทำได้ จัดแยกและบรรจุสิ่งสำคัญยิ่งไว้ในสภาพพร้อมเคลื่อนย้ายติดตัว หากเป็นไปได้ ควรพิจารณาโยกย้ายออกจากที่พำนักที่มีความเสี่ยงสูง แล้วร่วมไม้ร่วมมือกันลดความเสียหายสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นพร้อมกับการช่วย เหลือเกื้อกูลแก่กันและกันตามกำลังความสามารถ มีแต่ความไม่ประมาทและการร่วมไม้ร่วมมือกันเท่านั้นที่จะช่วยให้เราข้าม ผ่านมหาภัยพิบัติครั้งนี้ได้.

 

๕. ทั้งนี้ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ได้ปรับแผนและกิจกรรมเพื่อสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมของคนรุ่นใหม่ใจอาสาอย่าง เต็มที่ พร้อมกับการเตรียมความพร้อมรับมือด้วยการงดเกือบทุกกิจกรรม รวมทั้งทำแนวกั้นน้ำต่าง ๆ และ การเคลื่อนย้ายสรรพสิ่งที่อาจเสียหายขึ้นสู่ที่สูงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะต่อเนื่องจนถึงสิ้นเดือนนี้เป็นอย่างน้อย.

 

ศูนย์คนรุ่นใหม่ใจอาสา เพื่อผู้ประสบภัย

มูลนิธิโกมลคีมทอง / กลุ่มสลึง:พลังเพลง พลังปัญญา / สถาบันวิมุตตยาลัย / หอจดหมายเหตุ พุทธทาส อินทปัญโญ

๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๐๙.๐๐ น

http://www.bia.or.th/

นำมาแจ้งกับชาวสมาชิก ธรรม เพื่อร่วมอนุโมทนา หรือ เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันคะ

 

["ไม่เห็นแก่ตัว" ไม่เห็นแก่ตัว ผลก็รั่ว รดผู้อื่นไม่ต้องฝืน หยิบยื่นให้ ได้เสมอไม่เท่าไหร่ ในโลกเกลื่อน ด้วยเพื่อนเกลอเป็นโลกเลอ ล้นลาภ อาบไมตรีฯไม่เห็นแก่ตัว ก็เมตตา ขึ้นมาเองรู้ยำเกรง รู้ใช้ธรรม นำวิถีไม่อาจฆ่า ไม่อาจลัก ไม่ล่วงประเวณีไม่หลอกลวง และไม่มี ที่เมามายฯไม่เห็นแก่ตัว ก็หมดตัว จะยึดถือนั่นแหละคือ หมดมูลเหตุ กิเลสหายไม่อาจโลภ- โกรธ-หลง คงใจกายสะอาด-สว่าง- สงบได้ ฝ่ายนิพพานฯโดยพุทธทาสภิกขุ]

"ไม่เห็นแก่ตัว"

ไม่เห็นแก่ตัว   ผลก็รั่ว          รดผู้อื่น
ไม่ต้องฝืน     หยิบยื่นให้      ได้เสมอ
ไม่เท่าไหร่     ในโลกเกลื่อน  ด้วยเพื่อนเกลอ
เป็นโลกเลอ    ล้นลาภ         อาบไมตรีฯ

ไม่เห็นแก่ตัว    ก็เมตตา        ขึ้นมาเอง
รู้ยำเกรง         รู้ใช้ธรรม       นำวิถี
ไม่อาจฆ่า       ไม่อาจลัก     ไม่ล่วงประเวณี
ไม่หลอกลวง    และไม่มี       ที่เมามายฯ

ไม่เห็นแก่ตัว     ก็หมดตัว       จะยึดถือ
นั่นแหละคือ      หมดมูลเหตุ   กิเลสหาย
ไม่อาจโลภ-     โกรธ-หลง     คงใจกาย
สะอาด-สว่าง-   สงบได้         ฝ่ายนิพพานฯ
โดยพุทธทาสภิกขุ

ขอนัดคุณมดตะนอย ไปคุยกันสักที่หนึ่ง มีให้เลือก ๓ ที่
    ดุสิต สุทธาวาส นิพพาน
    สะดวกที่ไหน ก็แจ้งมา

สะดวกที่นี่ คะ ตามวัน เวลาดังกล่าว คะ

 

นิพพานเป็นภาวะธรรมชาติชนิดหนึ่งที่แสดงตัวอยู่ตลอด เวลา นิพพานนั้นอยู่ต่อหน้าต่อตาเราแล้ว เพียงแต่ว่าเรามองไม่เห็นเอง เหมือนกับว่าอากาศมีอยู่รอบตัวเราแต่เรามองไม่เห็น แต่นิพพานเป็นยิ่งกว่าอากาศ เพราะนิพพานมีอยู่ทุกที่ทุกสภาวะ

สภาวะ ของนิพพานนั้น พระพุทธเจ้าทรงนิยามด้วยคำว่า “ไม่” ซึ่งมีถึง ๓๐ “ไม่” ในพระไตรปิฎก ไม่นับอีก ๑๐ “ไม่”ในคัมภีร์รุ่นหลัง ๆ เช่น ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่แก่ ไม่มีที่สุด ไม่มีใครสร้าง ไม่เคลื่อน ไม่ผุพัง ไม่เคยมีไม่เคยเป็น ไม่เศร้าหมอง ฯลฯ กล่าวคือเป็นภาวะที่ไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ คนเรามักมองอะไรเป็นคู่ๆ(dualistic) เช่น สุข-ทุกข์ พบ-พราก ไป-มา ขาว-ดำ สั้น-ยาว ถ้าบอกว่านิพพานไม่ดำ คนก็จะคิดว่านิพพานคือขาว ถ้าบอกว่านิพพานไม่ต่ำ คนก็จะคิดว่านิพพานคือสูง ท่านจึงนิยามนิพพานด้วยคำว่าไม่ เช่น ไม่เกิด ไม่ตาย ฯลฯ จริงๆ แล้วภาวะดังกล่าวเป็นการพูดในเชิงสมมติสัจจะทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น สั้นกับยาว ทุกอย่างเป็นทั้งสั้นทั้งยาวในตัวเอง ดินสอยาวเมื่อเทียบกับเข็ม แต่สั้นเมื่อเทียบกับไม้เมตร เป็นต้น นี่คือสิ่งที่เป็นสมมติ สุข-ทุกข์ก็เป็นสมมติเช่นกัน แต่นิพพานเป็นภาวะพ้นจากสมมติทั้งปวง คือเป็นปรมัตถ์

ในที่สุดท่านก็เลยอธิบายง่ายๆ ว่า นิพพานคือความสงบเย็น สงบเย็นเพราะเห็นแจ้งในความจริงว่าไม่มีอะไรที่น่ายึดถือได้เลย จึงปล่อยวาง ไม่มีความอยากหรือการปรุงแต่งอีกต่อไป ความจริงข้อนี้ทำให้เราหลุดจากความหลง หลุดจากกิเลสและเข้าถึงความสงบเย็นที่แท้จริง

แต่เดิมคำว่า “นิพพาน” ในภาษาบาลีก็แปลว่า เย็น ท่านพุทธทาสอธิบายว่า เหล็กที่ร้อนแล้วเย็นลงก็เรียกว่าเหล็กนิพพาน ม้าที่พยศแล้วเชื่องลงก็เรียกว่าม้านิพพาน นิพพานเป็นภาษาที่ใช้กันในสมัยโบราณอยู่แล้ว ต่อมาพระพุทธเจ้านำมาใช้เพื่อชี้ให้เห็นถึงภาวะที่สงบเย็นในจิตใจ

สติ เป็น เหตุเกิด สมาธิ อันนี้ยอมรับคะ
แต่ สมาธิ ในองค์มรรค นั้นหมายถึง สมาธิ ขั้นอัปปนา หรือ คะ หรือ ขั้น อุปจาระ สมาธิกัน

 อันแท้จริง ในสายเจริญ สตินั้น พึ่ง สมาธิ เพียงแค่ ขณิกะสมาธิ เท่านั้นคะที่จะเจริญจิตเข้าสู่
 วิปัสสนาญาณ ต่าง ๆ ดังนั้น การสอนให้มุ่งจิตเป็น อุปจาระสมาธิ หรือ อัปปนา สมาธิ จึงเป็น
เรื่องที่ดูเหมือนจะอ้อม และ จะมีกี่คนมากน้อยทีี่่สามารถ ละสุข จากสมาธินั้นมาเจริญ วิปัสสนา
นั้นได้คะ ดังนั้น สมาธิ ที่เป็นขณิกะ สมาธินั้น มีอยู่ใน อิริยาบถ มีอยู่ในชีิวิตประจำวัน ซึ่งเราต้อง
ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ นั้นภายใต้ชื่อเรียกว่า การงาน หรือ งาน ดังนั้นการทำงานให้เป็นสุข คือ
ปราศจากกิเลส นั้นจัดเป็น การงานที่ดับสละกิเลส คือ ภาวะนิพพาน ใครทำได้มากก็เป็น พระอริยะ
ตามลำดับชั้น หลวงพ่อพุทธทาส หลวงพ่อปัญญา ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องนี้ เพราะท่าน
สอนให้ ชาวพุทธในเมืองไทย รู้จักคำว่า การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่แยกชีวิต ออกไป
นั่งกรรมฐาน อันเป็นรูปแบบ ที่ไม่ใช่หลักการเจริญวิปัสสนา แต่อย่างใด

สาธุ ยามเช้า คะ
 
 

[อย่างนี้ส่งเสริมความงมงาย ไม่ใช่หรือ คะ ?พระพุทธเจ้า สอนให้พระสงฆ์ทำอย่างนี้ หรือคะ ?]

การยึด พระธรรม เป็นครูอาจารย์

   พระธรรม เป็นสภาวะ
   พระธรรม เป็นอรรถ พยัญชนะ
   พระธรรม เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง

  การเคารพพระธรรม ไม่ใช่ บุคคล ก็น่าจะถูก คะ

 

   ปัจจุบัน ถ้า เพื่อน ๆ สมาชิก พิจารณาดูให้ดี ถึงพระสงฆ์ สมมุติสงฆ์ ในปัจจุบันนี้ต่างล้วนส่งเสริม พระธรรม
ตามพระอริยะมรรค หรือไม่ แต่กลับนำพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ปนเป กับความมัวเมา งมงาย เช่น การใบ้หวย ปลุกเสก ลงเลข ลงยันต์ อักขระ อะไรปานนี้ ล้วนแล้วแต่ทำให้เรางมงาย และห่างพระธรรมมากขึ้นทุกที พระสงฆ์ในปัจจุบัน มุ่งแต่ ลาภ ยศ ชื่อเสียง ศึกษา รับเงิน และทอง หาได้เป็นไปตามแบบอย่าง ที่ควรจะเป็น


อย่างนี้ส่งเสริมความงมงาย ไม่ใช่หรือ คะ ?
พระพุทธเจ้า สอนให้พระสงฆ์ทำอย่างนี้ หรือคะ ?


   ดั้งนั้น ถ้าเราหวังยึดติด กับพระสงฆ์ ที่ำทำอย่างนี้อยู่เราก็จะได้แต่ สมมุติสงฆ์ ที่บิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้ นะคะ แต่หากเรายึดพระธรรม มีอรรถ พยัญชนะ มีพุทธวัจนะ อันเป็นสาระ เราก็อยู่กับพระสงฆ์เหล่านี้ได้ ในฐานะที่ควรจะเป็น

  บุคคลใด เคารพพระธรรม ย่อมถึงแก่นสาระ แห่งธรรม คือ นิพพาน

  ในแนวทางของสายธรรม ที่ภาวนาอยู่ พระสงฆ์ที่เรียนธรรม กันจริง ๆ ไม่ทำเรื่องอย่างนี้ คะ

  ต้องอ่านเรื่อง จุลศีล มัชฌิมศีล ให้ดีนะคะ

   

คุณมดตะนอย ถามจริง เคยยกมือไหว้ "ท่านพุทธทาส" รึเปล่า
 เคยกราบพระพุทธรูปที่บ้านรึเปล่า (หรือไม่มี)

สมัยก่อน ก็ตอบว่าเคย คะ
แต่ในปัจจุบันต้องขอ กล่าวว่า พุทธะนับหมื่นอยู่ที่ใจ คะ

 พระพุทธเจ้า มิได้อยู่ที่ อิฐหิน ปูนทราย ทองเหลือง ทองแดง เท่านั้นคะ
เป็นเพราะเราไม่รู้มีโมหะ ไม่ได้เจริญสติ รู้แจ้งตรงนี้ จึงทำให้ เรายึดกับวัตถุมากเกินไปคะ

เรื่องสุญญตา ไม่ใ่ช่เป็นเรื่องของพระอรหันต์เท่านั้น คะแต่เป็นเรื่องของคนที่ใฝ่ในการพ้นจากสังสารวัฏฏ์นี้คะ

การละกิเลสมีทั้งแบบค่อยเป็น ค่อยไป แต่ก็มีการละกิเลสได้อย่างฉับพลันด้วยนะคะ

การศึกษาธรรมของมดตะนอยนั้นก็ยึดหลักทางสายกลางคะ คือ
 ไม่โต่งไปในด้านสนับสนุนกา่มคุณ
 ไมโต่งไปในด้านจิต มุ่งเรื่องจิต คือทรมานตน คะ

การปฏิบัตกรรมฐาน ถ้าปฏิบัติไปเพื่อการรักษากาย คือ ความเจ็บป่วย แก้กรรม เหล่านี้ก็เป็นทางโต่งเพื่อสนองกิเลสของตน มีสุขอิงอามิส คะ อันนี้บำรุงบำเรอกาย

 การปฏิบัติกรรมฐานแบบมุ่งทางจิต นั่งกรรมฐานกันเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นคืน ก็เหมือนพวกฤาษี อันนี้ก็เป็นการโต่งทางจิต นะคะ เพราะมุ่งทรมานกายเพื่อให้จิต ถึง

 ดังนั้นทางสายกลาง ต้องไม่โต่ง ซ้าย หรือ ขวา

สนทนาธรรม ยามเช้า คะ

วิจัยได้ดี คะ นั่นเป็นวิธีการเจริญ สติ คะเปลี่ยน สิ่งลบ ให้เป็น สิ่บวก คะ

 ดังนั้นถ้าเราเจริญสติ เราใ้หเป็นบวก เราก็จะพ้นจากความทุกข์ ทางจิตได้คะ

 เจริญธรรม เคารพพระธรรมนะคะ

 

คุณมดตะนอยคงไม่ได้เรียนหนังสือนะ......และไม่เคยกล่าวคำไหว้ครู

 คำถามอย่างนี้ อยากให้แยกจากโลก คะ

 ถ้าเป็นทางโลก มดตะนอย ก็มีครูอาจารย์ คะ

 ถ้าเป็นทางธรรม ก็มีแต่ พระธรรม คะ พระธรรม ไม่ต้องไหว้ครู ไม่ต้องสักการะ ด้วย อามิสบูชา คะ
แต่พระธรรม ต้องภาวนา คะ ปฏบัิติ คะ เป็น ธรรมบูชา คะ

  ดังนั้นตอนนี้ ขอให้คุณ nongyao แยกประเด็น โลก กับประเด็นธรรม ออกจากหลักการนี้ด้วยคะ
ถ้าเอามาผสมปนเป ก็จะสื่อความหมายทางปฏิบัติ ภาวนาไม่ได้คะ

  ส่วนทำไม ไม่ต้องให้ความสำคัญ กับครูอาจารย์ ที่เป็นบุคคลนั้น ก็เหตุผลที่เราต้องเคารพพระธรรมคะ

ควรศึกษา เรื่อง สุญญตา คะ เพราะสุญญตา นั้นมาจากธรรม ที่เป็นอนัตตา คะ
ส่วนการที่ถามว่า เข้าใจ อนิจจัง กับ ทุกขัง นั้นหรือยัง ก็ตอบได้ ว่า ผู้ที่ศึกษา สุญญตา จะเข้าใจพระไตรลักษณ์
ได้เองโดย สภาวะธรรม คะ

 ดังนั้น ผู้ที่ถึง ธรรมะสุญญตา ก็คือ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์

 พระอรหันต์ อยู่เหนือโลก คะ ดังนั้น รูปแบบ ที่เป็นพระสงฆ์ ระบบ ของชีวิต นั้นจึงดำรงอยู่ได้แบบธรรมดา
เพราะท่านไม่เป็นอะไร

  หลวงพ่อพุทธทาส ท่านได้กล่าวให้ฟัง บ่อย ๆ ว่า

  ทุกวัน ฉันไม่เป็นอะไร นั่นหมายถึงท่านเข้าถึง สุญญตา แล้ว ท่านจึงไม่ได้เป็นอะไร เลย มีแต่เราสมมุติให้ท่านเป็น คะ ดังนั้น ในหลักของมหายาน ที่เห็น พุทธบริษัท เป็นสงฆ์ นั้นเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะธรรมะที่ภาวนานั้นไม่ต้องยกฐานะ คือ อีโก้ ( ego ) ได้สูง เป็นการทำลาย มานานุสัย โดยสภาวะแห่งสุญญตา ดังนั้น
  อุบาสก อุบาสิกา ไม่ต้องไหว้ หรือ ทำความเคารพ ต่อ ภิกษุ หรือ ภิกษุณี เป็นต้นคะ

  ควรศึกษา เรื่อง สุญญตา ให้มากคะเพราะเป็นธรรมที่เราจะพ้นจากโลก คะ
 
 

 

[พระพุทธเจ้าบรรดาที่ล่วงไปแล้วด้วย ที่ยังไม่มาตรัสรู้ด้วย และพระพุทธเจ้าผู้ขจัดโศกของมหาชนในกาลบัดนี้ด้วย,]

พึงศีกษา คาถาบทนี้ นะคะ

เย จะ อะตีตา สัมพุทธา เย จะ พุทธา อะนาคะตา
โย เจตะระหิ สัมพุทโธ พะหุนนัง โสกะนาสะโน,

พระพุทธเจ้าบรรดาที่ล่วงไปแล้วด้วย ที่ยังไม่มาตรัสรู้ด้วย
และพระพุทธเจ้าผู้ขจัดโศกของมหาชนในกาลบัดนี้ด้วย,


สัพเพ สัทธัมมะคะรุโน วิหะริงสุ วิหาติจะ,
อะถาปิ วิหะริสสันติ เอสา พุทธานะธัมมะตา,

พระ พุทธเจ้าทั้งปวงนั้น ทุกพระองค์เคารพพระธรรม
ได้เป็นมาแล้วด้วย กำลังเป็นอยู่ด้วย และจักเป็นด้วย
 เพราะธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นเช่นนั้นเอง,

ตัสฺมา หิ อัตตะกาเมนะ มะหัตตะมะภิกังขะตา
สัทธัมโม คะรุกาตัพโพ สะรัง พุทธานะสาสะนัง,

เพราะฉะนั้น บุคคลผู้รักตน หวังอยู่เฉพาะคุณเบื้องสูง
เมื่อระลึกได้ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ จงทำความเคารพพระธรรม,

นะหิ ธัมโม อะธัมโม จะ อุโภ สะมะวิปากิโน

ธรรมและอธรรม จะมีผลเหมือนกันทั้งสองอย่างหามิได้,

อะธัมโม นิระยัง เนติ ธัมโม ปาเปติ สุคะติง,

อธรรมย่อมนำไปนรก, ธรรมย่อมนำให้ถึงสุคติ,

ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง,

ธรรมแหละย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเป็นนิจ,

ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ,

ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว, ย่อมนำสุขมาให้ตน,

เอสานิสังโส ธัมเม สุจิณเณ.

นี่เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ตนประพฤติดีแล้ว.


จากพระดำรัส นั้นพระพุทธเจ้า ให้ความสำคัญ กับพระธรรม มากกว่า พระสงฆ์ นะคะ
เพราะพระพุทธเจ้า ทั้งปวงนั้น ทุกพระองค์ เคารพพระธรรม

 เพราะพระธรรม เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว คะ
 ดังนั้น ความสำคัญ อยู่ที่พระธรรมคะ ไม่ใช่ที่บุคคล

 เพราะบุคคลอาจจะทำให้เราผิดทางได้ ถ้าเป็น มิจฉาทิฏฐิ คะ

 

"การภาวนาที่แท้จริง ไม่มีรูปแบบ เพราะกิเลสเข้ามาหาเราได้ทุกสภาวะ ทุกรูปแบบ เราพึ่งฝึกภาวนาโดยการเจริญสติ เป็นหลัก เพราะการเจริญ สติ ไม่มีรูปแบบ กับ ความก้าวหน้า ไปสู่วิถี แห่ง สุญญตา "

 การเจริญสติ ไม่ต้องมีกระบวนท่า รู้เห็นตามความเป็นจริง
วางใจ เมื่อ ตา กระทบ กับ รูป  ดับความพอใจ และความไม่พอใจ  เป็นต้น คะ
เพราะมีสติ รู้ ก็จะทำให้ สัมปชัญญะ ทัน เมื่อ ทันกิเลสก็เกิดไม่ได้ คะ

 ดังนั้นการฝึกสติ ไม่เหมือนกับการ นั่งกรรมฐาน คะ เพราะการนั่งกรรมฐาน นั้นเหมือนเอาหินทับหญ้าไว้ คะ
พอออกจากสมาธิ กิเลสก็พรั่งพรูเข้ามา เหมือนเดิม คะ ไม่สามารถที่ไปถึงคำว่า มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริงได้

อ่านข้อความจากท่าน สมาชิก Natthaponson ประกอบดูสิคะ
สมาหิโต ยถาภูตัง ปชานาติ" ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5371.msg19928;topicseen#msg19928

ดังนั้นถ้าต้องการไปสู่ nirvana หรือ freedom แล้วต้องใส่ใจเรื่อง สติ เพื่อให้เกิดปัญญามากที่สุดคะ
มีสติ รู้ทัน ดับกิเลส  และ สิ่งเหล่านี้ก็ปรากฏอยู่ด้วยพระพุทธพจน์ ที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วคะ

 

ตามหัวข้อเลยนะคะ

 ถ้าชาวบ้าน ที่มีการปฏิบัติ จนสำเร็จ เป็นพระอิรยะสาวก ตั้งแต่ พระโสดาบัน สมควรไหว้ สมมุติสงฆ์ หรือไม่

ถ้าไหว้สมมุติสงฆ์ จะเป็นโทษแก่ สมมุติสงฆ์หรือไม่

 

การให้คุณค่า กับพระธรรม ไม่ว่าจะเป็น สมถะ หรือ วิปัสสนา นั้นต้องพิจารณาที่ความพ้นจากทุกข์
คือ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

 อยากถามว่า ท่านทีเป็น ศิษย์กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ท่านได้เรียนอะไรจากครูอาจารย์ของท่าน

 ธรรมะ กรรมฐาน จึงเป็นเรื่องลึำกลับ

 ทั้งๆ ที่ พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเปิดเผย เปรียบเหมือน
 
 ผู้หงายของที่คว่ำ

 เปิดของที่ปิด

 เป็นผู้ชี้ทาง และ เป็นผู้ส่องทาง

 แต่ครูอาจารย์ของท่าน สอนพระธรรมแบบลึกลับเกินไปหรือไม่
จึงทำให้ท่านทั้งหลายเดินอ้อม หรือ เดินห่างจากพระธรรมกันหรือป่าว ถ้าเป็นดังนั้นการภาวนาของท่านจึงไม่มี
ความก้าวหน้า ไปสู่วิถี แห่ง สุญญตา กัน

 ดังนั้น การภาวนาที่แท้จริง ไม่มีรูปแบบ เพราะกิเลสเข้ามาหาเราได้ทุกสภาวะ ทุกรูปแบบ เราพึ่งฝึกภาวนาโดยการเจริญสติ เป็นหลัก เพราะการเจริญ สติ ไม่มีรูปแบบ

  จึงขอเชิญชวน ท่านทั้งหลาย ที่ต้องการภาวนา มาเจริญสติ แบบเคลื่อนไหว กันมาก ๆ เถิด

  อย่ามัวแต่ นั่งตั้งท่า ตั้งทาง เป็นเฉพาะนั่งสมาธิ หรือ เดินจงกรม ที่มีรูปแบบกันมาก

 

 

สุญญตา เป็นหลักธรรมขั้นสูง ในพระพุทธศาสนา ถ้าบุคคลใดศึกษาหลักธรรม เข้าใจเรื่องสุญญตา ก็จะบรรลุวัตถุประสงค์ ของพระพุทธศาสนาได้

  สุญญตา หมายถึง ความว่าง ๆ จากตัวตน ว่างจาก ของ ๆ ตน ว่าง จาก เรา จาก ของ ๆ เรา เป็นต้น
 
  สุญญตา มีอานุภาพ ทางจิต เพราะหากบุคคลเข้าใจเรื่อง สุญญตา ก็จะเข้าใจชีวิต

  และจะประคับประคองชีวิต อยู่ได้ด้วยหลักธรรม

  สุญญตา เริ่มจาก การเจริญ สติ เป็นพื้นฐาน คือรู้ กำหนด รู้

  พระสงฆ์ ในประเทศไทย ที่นำเรื่องสุญญตา มาตีแผ่ ก็คือ หลวงพ่อพุทธทาส

 

พุทธศาสนามีอยู่คำหนึ่งเป็น คำรวบยอด คือคำว่า “สุญญตา” ซึ่งแปลว่า ความเป็นของว่าง คือว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน ว่างจากสาระที่เราควรจะเข้าไปยึดถือด้วยกำลังใจทั้งหมดทั้งสิ้นว่า ตัวเรา-ของเรา การเพ่งพิจารณาดูให้เห็นว่า สิ่งทั้งปวงว่างจากสาระที่เราควรเข้าไปยึดถือนั้น เป็นตัวศาสนาโดยแท้ เป็นหัวใจของการปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา เมื่อรู้แจ้งว่าทุกสิ่งทุกอย่างว่างจากตัวตนแล้ว ก็เรียกว่ารู้พุทธศาสนาถึงที่สุด


คำว่า “ว่างจากตัวตน” คำเดียว ก็เป็นการเพียงพอ ที่รวบเอาคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาไว้ด้วยเสร็จ

        * เมื่อมันไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีส่วนไหนยั่งยืนถาวร ก็เรียกได้ว่าว่างเหมือนกัน
        * เมื่อดูแล้วเต็มไปด้วยลักษณะที่น่าสังเวชใจก็แปลว่า ว่างจากส่วนที่เราควรจะเข้าไปยึดถือเอา
        * เมื่อเราพิจารณาดูว่าไม่มีลักษณะไหนที่จะคงทนเป็นตัวตนของมันเองได้ เป็นเพียงธรรมชาติที่ผันแปรไปตามกฎของธรรมชาติ อันไม่ควรเรียกว่าเป็นตัวตนของมันเอง ดังนี้ก็เรียกได้ว่า ว่างจากตัวตน ได้

    ถ้าบุคคลใดเห็นความว่างของสิ่งทั้งปวงแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึก “ไม่น่าเอาไม่น่าเป็น” ในสิ่งต่างๆขึ้นมาทันที

        ความ รู้สึกไม่อยากเอา ไม่อยากเป็นนี่แหละ มีอำนาจเพียงพอที่จะคุ้มครองคนเรา ไม่ให้ตกไปเป็นทาสของกิเลสหรือของอารมณ์ทุกชนิด บุคคลชนิดนี้ไม่สามารถทำความชั่วต่อไป ไม่หลงใหลพัวพันติดอยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเอนเอียงไปตามสิ่งยั่วยวนใจใดๆ เขาย่อมมีจิตใจเป็นอิสระอยู่เสมอ และไม่มีความทุกข์เลย

http://office.bangkok.go.th/healthcenter41/index.php/km/74-trilak-rules

พระพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงตรัสแสดง พระธรรมไว้ ซึ่งถูกเรียบเรียง เป็นหนังสือชื่อว่า พระไตรปิฏก แล้ว

ดังนั้นถ้าทุกท่าน ต้องการภาวนาจริง ๆ ก็อาศัยตำรา คัมภีร์ หนังสือ พระไตรปิฏก เป็นครูอาจารย์

 อย่าไปให้ความสำคัญ กับครูอาจารย์ ซึ่งเป็น บุคคล กันมากเลยคะ เพราะการภาวนาเป็นเรื่องของเรา

เราเท่านั้นเป็นผู้ภาวนา คะ เจริญสติ ศึกษาหลักธรรม ตามพระไตรปิฏก กันเถอะคะอย่ามัวแต่ รอ ครูอาจารย์

ที่เป็นบุคคล กันเลยคะ

 

 

สาธุ จะ ยิ้ม หรือ หัวเราะ ตอนนี้ ถ้าสามารถบรรเทาทุกข์ใจในเบื้องต้น ก็ขอให้ ยิ้ม และ หัวเราะกันเถิดคะ
เมื่อวานไปที่นครสวรรค์ ไม่เห็นคนยิ้ม หัวเราะกันเลยคะ เห็นแต่ร้องไห้กันเป็นส่วนใหญ่ คะ

 

ธรรมะ ที่บำบัดจิต ในสภาวะ เครียด จากน้ำท่วม

ตอนนี้ความเครียด ของ คนที่ประสปภัย ก็สูงขึ้น ธรรมะที่จะทำให้จิตสงบ ลงได้

ก็คือ สติ เจริญสติกันให้มากขึ้น มีสติ รู้ว่า มีเกิด มีดับ มีสุข มีทุกข์ สลับกันไปในชีวิต

หน่วยงานที่ไปช่วยกัน ส่วนใหญ่จะมุ่งไปเรื่อง ปัจจัย 4 เป็นหลัก

แต่ปัจจัยที่ 5 คือ สภาวะจิต ที่ต้องได้รับการเยียวยาไปพร้อมกัน เพราะสภาวะที่กดดัน

ไม่ว่า ทรัพย์สินเสียหาย ผู้คนล้มตาย หนี้สินที่ท่วมท้น เป็นต้น เหล่านี้จะบรรเทาได้อย่างไร ?

จึงมีผู้ประชดชีวิต ฆ่าตัวตายในช่วงนี้ก็มี บางคนก็นั่งทุกข์ นอนทุกข์ ทั้งวันเลย

 ธรรมะของพระพุทธองค์ มีความสำคัญก็ตอนนี้ แหละคะ เพราะต้องใช้ธรรมเจริญ สติ ให้รู้จักแก่นทุกข์

คลายทุกข์ กันจริง ๆ

 ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแรงร่วมใจ กันช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน คะ

 ตอนนี้ คนไทยส่วนใหญ่ ก็พึ่งพระสงฆ์ พึ่งวัดกันในตอนนี้ เมื่อวาน เราได้ไปที่ นครสวรรค์ ในวัดต่าง ๆ

บนศาลาไม่ได้ว่างจากคนที่มาพึ่งพิง กัน ดังนั้นก็ยังมีคนอีกมาก ที่ยังไม่ได้เข้าถึงวัดและพระสงฆ์

 ก็ขอให้ทุกท่านได้ช่วย เยียวยา จิตใจซึ่งกันและกัน ด้วยคะ

สาธุ สาธุ สาธุ

 

บรรดาผู้ประกอบกิจการ ที่ต้องหยุดโรงงาน ในเขตอุตสาหกรรม ที่ได้รับผลกระทบกันตอนนี้ได้เปิดเผยตัวเลขว่า
มีพนักงานบริษัท ที่ต้องหยุดงาน แรงงานรายวัน ร่วม 200,000 กว่าคน และโรงงานก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้
กับการดำเนินกิจการ ได้ในสถานะการณ์ น้ำท่วมครั้งนี้

 นับว่าตอนนี้ เริ่มขยายเป็นวงกว้างแล้วคะ สำหรับความเดือดร้อน ทีกำลังเกิดผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรม

 

อนุโมทนา ด้วยคะ

ต้องรีบเข้าไปช่วยนะคะ ถ้าอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น ได้ทราบทางข่าวว่า มีการขนย้ายกันแตั้งแต่เมื่อวานแต่ก็ยังไม่เสร็จคนที่ไปช่วยก็หมดแรง กันไปยังไม่ได้หลับก็มี

  พระไตรปิฏก 45 เล่ม มีราคา 13000 - 15000 บาท ถ้าจำไม่ผิด
 ตอนนี้ยังคงค้างอยู่ อีก 20000 กว่าเล่ม เป็นจำนวนเงิน มากคะ ไปช่วยขนได้ ก็เป็นเงินตามนั้นคะ

 

ท่วมมากนะคะ ไม่ใช่เล็กน้อยเลยคะ วัดบ้านอ้อย อยู่ใกล้กรมทหาร ม พัน 5
เลยศาลากลางไปหน่อย เคยไป ไม่คิดว่า จะท่วมขนาดนี้

ที่วัดได้รับการช่วยเหลือหรือยังคะ

 

ทราบแล้วคะ คุณ lux แต่ประเด็นการปล่อยวาง รู้สึกว่าจะได้พิมพ์ไปแล้วนะคะ

 อย่างไรเสีย ถ้าไม่เข้าใจ ก็ลองหาคู่มือมนุษย์ อ่านดูได้คะ

  ถ้าที่สระุบุรี ก็มาร่วมสนทนา ปฏิบัติธรรมกัน ที่สวนอิทัปปัจจยตา พุแค สระุบุรีได้คะ

  ถ้าอยู่ปากเกร็ด ก็ขอเชิญที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ นะคะ

  ถ้าอยู่เขตรังสิต ก็ขอเชิญที่วัดปัญญานันทาราม

  ถ้าอยู่ภาคใต้ ก็เชิญที่ สวนโมกขพลาราม ไชยา

  ถ้าอยู่ภาคเหนือ ก็ขอเชิญที่ วัดอุโมงค์ เีชียงใหม่ และ สวนโมกเชียราย ใกล้สนามบินเก่า นะคะ

  ส่วนประเด็นการปล่อยวางจิต จะพยายามทะยอยมาให้อ่านคะ เพราะตอนนี้ทำงานอยู่คะ


 

[ตามอ่าน คะ แล้วขอให้ทุกท่าน เจริญ สติ ไปกับการอ่านด้วยนะคะ การเจริญสติ กับการอ่าน ก็คือ การอ่านอย่างมีสติ และมีเป้าหมายเพื่อความสงบเย็นแห่งใจ และ คลายความเห็นแก่ตัวคะ การอ่านนี้จึงจะเกิดประโยชน์ มาก ๆ คะ]

ตามอ่าน คะ แล้วขอให้ทุกท่าน เจริญ สติ ไปกับการอ่านด้วยนะคะ

 การเจริญสติ กับการอ่าน ก็คือ การอ่านอย่างมีสติ และมีเป้าหมายเพื่อความสงบเย็นแห่งใจ และ คลายความเห็นแก่ตัวคะ การอ่านนี้จึงจะเกิดประโยชน์ มาก ๆ คะ

 

การวางจิตเฉย ๆ ไม่ใช่วิธีการที่ถูกในการภาวนา นะคะ

  เหมือนคนโดนด่า แล้วไม่ด่าตอบ ก็ใช่ว่า คนที่นิ่งเงียบ จะไม่กรุ่นด้วย พยาบาท นะคะ

  ดังนั้น ความเห็นควร จะัตั้ง สติ คะเมื่อ ฟุ้งซ่าน ใจว้าวุ่น และ ใคร่ครวญ วิจยธรรมะ คะ

  โดยเฉพาะ พิจารณา ความตาย ความแก่ ความเจ็บ ความพลัดพราก ถ้าใคร่ครวญวิจยธรรมะ อยู่

ตรงนี้ ก็จะทำให้ สติเข้มแข็ง สมาธิ เข้มแข็ง เพราะเป็นการเจริญ สติ ปัญญา ซึ่งไม่ใช่เป็นแต่เพียงไปกด

ไปข่มอารมณ์ ไว้ แต่เป็นการใช้ สติ ปัญญา ในการดำเนินจิต คะ

   สมาธิ ที่ข่ม เพียงนิวรณ์ นั้นเป็นเพียง สมถะ ไม่มีอำนาจกำจัดกิเลส

   ถ้าเราจะทำสมาธิ ขอให้ทำสมาธิ พิจารณา ธรรมสภาวะ เกิด และ ดับ คะ ถึงจะสละกิเลสได้คะ

 

การภาวนา ธรรม แท้ที่จริง ในปัจจุบัน ติดอยู่ที่วิธีการคะ

  อันที่จริง อยู่ที่การเจริญสติ รู้ทัน และไม่เป็นทุกข์

  เราสามารถ ทำให้ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า เป็นการปฏิบัติภาวนาโดยไม่จำกัดกาลเวลาได้คะ

  วันหนึ่ง 24 ชั่วโมง เราต้องใช้ชีวิตกับการทำงาน อยู่กับงาน ตลอดคะ แต่จะทำงานนั้นอย่างไร ให้เป็นการภาวนาก็ต้องเจริญ สติ และ สนุกกับการทำงานนั้น มิใช่ มานั่งเบื่อ รองานหมดเวลา หรือ ทำอย่างซํงกะตาย การทำงานกับการภาวนา นั้น น่าจะต้องเป็นสิ่งที่ต้องคู่กันไป นะคะ

   ดังนั้น เราควรจะภาวนาในระหว่างทำงาน

   ถ้าหัวใจของการภาวนา คือ การลดละ กิเลส ทีี่เรียกว่า ความเห็นแก่ตัว

   เราต้องเปลี่ยน ตัวเรา ให้เป็น คนไม่เห็นแก่ตัว คะ

   คนไม่เห็นแก่ตัว ก็คือ คนที่ละ สักกายทิฏฐิ ได้คะ

   ดังนั้นการปฏิบัติภาวนา อย่ามัวแต่ยึดรูปแบบ ที่จะมานั่งหลับหู หลับตา หรือไปสวรรค์คะ

   เพราะเราควร หันเข้ามาดูใจของเรา ที่มี สวรรค์ นรก นิพพาน ที่กลางใจของเรานั้น จะภาวนาอย่างไร
ให้นิพพานได้คงอยู่ ในใจเราได้ตลอด

    ดังนั้นการทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม ทำงานให้สนุก เป็นสุข เมื่อทำงาน ทำนิพพานให้ปรากฏในบ้าน ในที่ทำงาน ไม่ใช่ให้นิพพาน มีอยู่แต่ในวัดคะ

   

[ระวัง ลูกชาวบ้าน บังพระสงฆ์ นะคะ คุณ สมภพ]

ระวัง ลูกชาวบ้าน บังพระสงฆ์ นะคะ คุณ สมภพ

 การยึดติดกับครูอาจารย์ มากเกินไป อาจจะทำให้ไม่ถึงสภาวะธรรม เพราะครูอาจารย์ สอนผิด
ซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้ว่า ครูอาจารย์ของเราเป็นพระอริยะบุคคล หรือไม่ ข้อพิสูจน์ โดยการเห็นนั้น
ย่อมบังใจของเราไม่ให้ ถึง สภาวะธรรม นะคะ

  ต้องระวัง คะ

 

 

 น่าจะวัดกัน ว่า ใช้ชีวิต ด้วยความสุข สงบ ไม่เร่าร้อน ไม่ฝืนธรรมชาติ คือ พระธรรม

 ยอมรับในกฏ แห่งพระไตรลักษณ์ นะคะ

   

ต้อง ปล่อยวาง ลงเสียบ้างคะ ไม่ใช่ อดทน

  ปล่อยวาง ความอยาก สำเร็จลงเสียบ้างคะ

  ส่วน อดทน เป็น อัตตกิลมถานุโยค คะ ทรมานตนให้เจ็บ ให้ปวด ยังผิดทางคะ

 ปล่อยวาง วิธีการลงบ้าง เพราะไม่ใช่ ว่าจำเป็นต้องนั่งให้เมื่อย ให้เหน็บกิน กันเป็น ชั่วโมง

 ต้องย้อนกลับมาดูว่า เราต้องการภาวนานี้เพื่ออะไร

   คำตอบ คือ นิพพาน ก็หมายถึง ความดับ ความเย็น คะ

  ดังนั้นถ้าเรา อดทน แล้ว เร่าร้อน เพราะทรมาน มีตัณหาเป็นแดนเกิดแล้ว จะสวนทางกลับ นิพพาน นะคะ

 

ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข

 

[ความเอ๋ย ความสุขใครๆทุก คนชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา"แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา"แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุขถ้ามันเผา เราก็ "สุก" หรือเกรียมได้เขาว่าสุข สุขเน้อ! อย่าเห่อไปมันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอย ฯ]

ความเอ๋ย ความสุข
ใครๆทุก คนชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา
"แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา"
แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ
ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข
ถ้ามันเผา เราก็ "สุก" หรือเกรียมได้
เขาว่าสุข สุขเน้อ! อย่าเห่อไป
มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอย ฯ



พุทธทาส ภิกขุ

ใครเห็นด้วยว่า การปฏิบัติธรรม ไม่จำเ้ป็นต้องมานั่งหลับหู หลับตา กันเลย

แท้ที่จริงการปฏิบัติธรรม อยู่ที่การเจริญสติ กับการงาน ในชีวิตประจำวัน โดยที่

ใจเราไม่ต้องทุกข์ เมื่อวานได้ดูรายการประวัติหลวงพ่อพุทธทาส ท่านถือได้ว่า

เป็นแบบฉบับ ปฏิวัติการปฏิบัติธรรมในชีิวิตประจำวัน เราควรมีศิลปะ ดำเนินชีวิต

โดยที่จิตเรามีนิพพาน อยู่ทุกเวลา

  ดังนั้น ส่วนตัวเห็นว่า การปฏิบัติธรรม แท้จริง ไมจำเป็นต้องมาันั่งหลับหู หลับตา

ตั้งท่านั่งกรรมฐาน เิดินจงกรม แต่เราควรใส่ใจการเจริญสติ ดับกิเลสที่เกิดเฉพาะหน้ากันดีกว่า

 เข่นทำงานไป ก็ให้ใจอย่าตกเป็นทาสกิเลส เป็นต้น

 ใครเห็นด้วย .... บ้าง



 

คือสงสัย ครับ ว่าเวลาที่เราฝึกกรรมฐาน แล้วจะวัดผลกรรมฐาน ได้อย่างไร สำหรับกรรมฐาน
โดยเฉพาะ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ใช้วิธีวัดผลกันอย่างไร ครับ

   

ล็อกเณรแสบ ลวงเด็ก 13 ขยี้กามคากุฏิวัดดังกลางกรุง แฉรู้จักกันผ่านเกมออนไลน์แล้วหลอกให้สาวน้อยตายใจเดินทางมาหาโดยที่ไม่รู้ มาก่อนว่าฝ่ายชายอยู่ในผ้าเหลือง ก่อนใช้คารมหว่านล้อมล่อลวงจนมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ขณะที่โปลิศลากคอจับสึกแจ้ง 2 ข้อหาหนักพรากผู้เยาว์-กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13
   
รวบเณรหื่นลวงสาว 13 ขยี้กามคากุฏิวัดดัง รายนี้เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 26 ก.ย. พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รองผบก.น.2 รักษาราชการแทนผบก.น.2  พ.ต.อ.สราวุธ จินดาคำ ผกก.สน.โคกคราม พ.ต.ท.ภูเบศ เส้นขาว รองผกก.(สส.) พ.ต.ต.จุมพล สินศิริพงษ์ สว.สส.สน. และร.ต.อ.มานะ จันทร์ลาด สว.กก.ดส. ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุม นายไพบูลย์ พูลสาริกิจ อายุ 20 ปี ซึ่งบวชเป็นสามเณรที่วัดแห่งหนึ่งย่านลาดปลาเค้า หลังจากล่อลวงเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปีทางอินเทอร์เน็ตมากระทำอนาจารและล่วงละเมิดทางเพศ
   
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ด.ญ.เป้ย (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี หายออกจากบ้านที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จากนั้น น.ส.ผา (ขอสงวนนามสกุล) มารดาของ ด.ญ.เป้ย แจ้งความที่ สภ.เชียงดาว ก่อนจะมีการประสานมาที่ศูนย์ประชาบดี เพื่อให้ช่วยติดตาม และมีการประสานงานกับ กก.ดส.บช.น. กับ สน.โคกคราม เนื่องจากสืบทราบว่า ด.ญ.เป้ย ได้มาพักอาศัยที่ กทม. ย่านวัดลาดปลาเค้า ต่อมาวันที่ 23 ก.ย. ด.ญ.เป้ย ได้แจ้งให้ญาติมารับที่หน้าห้างเมเจอร์ สาขารัชโยธิน
   
พ.ต.อ.เจริญ เปิดเผยว่า จากการสอบ ถาม ด.ญ.เป้ย ทราบว่ารู้จักกับ นายไพบูลย์ ผู้ต้องหา จากการเล่นเกมอินเทอร์เน็ต ชื่อเอ็ก ช็อต โดยได้ติดต่อพูดคุยทางเกมออนไลน์มาเป็นเวลา 4 เดือนจนได้เบอร์โทรศัพท์มือถือ และพูดคุยทางโทรศัพท์มาตลอด กระทั่งก่อนหนีออกจากบ้านมีปากเสียงกับพ่อ จึงถูกผู้ต้องหาหว่านล้อมให้มาหาที่กรุงเทพฯ โดยนั่งรถทัวร์จากเชียงใหม่ มาลงที่หมอชิต ก่อนจะนั่งแท็กซี่มาที่วัด “ด.ญ.เป้ย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชายที่เขาพูดคุยติดต่อในระยะเวลา 4 เดือน นั้นบวชเป็นเณรอยู่ที่วัดเมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ไม่มีที่ไป ประกอบกับถูกใช้คารมหว่านล้อมจึงยอมไปกับผู้ต้องหาก่อนถูกล่อลวงจนมีเพศ สัมพันธ์หลายครั้งภายในกุฏิในวัดดังกล่าว กระทั่งญาติของผู้ต้องหามาพบเห็นจึงได้แยกให้ ด.ญ.เป้ย มาอาศัยที่หอพักใกล้กับวัด ก่อนโทรศัพท์แจ้งญาติให้มารับ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้ขออนุญาตศาลอาญาอนุมัติหมายจับเลขที่ 1582/ 2554 ลงวันที่ 26 ก.ย. เข้าควบคุมตัวนายไพบูลย์ ที่วัดและนำตัวไปสึกทันที” รักษาราชการแทนผบก.น.2  กล่าว
   
สอบสวนนายไพบูลย์ให้การรับสารภาพว่า ปกติช่วยกิจการที่บ้าน โดยบวชเณรมาเป็นเวลา 4 เดือนและนำคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปไปเล่นเกมในวัด จึงได้รู้จัก ด.ญ.เป้ย ผ่านการเล่นเกม จนกระทั่ง ด.ญ.เป้ย มาอยู่ด้วย จนมีความสัมพันธ์กันในกุฏิวัด ยอมรับความผิดทั้งหมด ที่ทำไปเพราะรัก ด.ญ.เป้ย เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยไม่มีเหตุอันควรและกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentID=166006

 เราควรยกเลิก ระบบ ศักดินาของพระสงฆ์ แล้ว ยกเลิก พิธีกรรม ของชาวพุทธ กันดีไหม ?

เนื่องด้วยระบบ ศักดินา ของพระสงฆ์ในปัจจุบันไม่ได้ส่งเสริมในการลดกิเลส กัน ใช่หรือไม่ ?

หรือเราควรส่งเสริม มหายาน อย่าง ท่าน ติช นัท ฮัน กันดีไหม เพราะพระสงฆ์แบบ มหายานนั้นไม่ต้องไหว้

ต้องกราบก็ได้ แต่ การพูดคุยสนทนา กัน เหมือนคุยกับเพื่อนผู้สูงอายุ ท่านหนึ่ง ( ในความรู้สึก )

 

 

เชื่อหรือไม่ คนดี สามารถเปลี่ยนเป็นคนเลวได้ เพราะเสียใจ ?

  เพื่อนมดตะนอย คนหนึ่ง เป็นผู้หญิง เพียงเพราะสามี ไปมีเมียน้อย และไม่มาหาเธอ อีกตั้งแต่วันนั้นมาจนกระทั่งวันนี้ 12 ปี ตามอายุลูกเธอ ๆ ยังกินแต่เหล้าทุกวัน นี่ก็อายุเข้าไป 34 ปีแล้ว มองเห็นแล้ว สงสารมาก

  แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร .....

  ทำไม ความรัก จึงเกาะมนุษย์ได้กันเป็น ปี ๆ อย่างนี้

  ซึ่งบรรดาญาติ ๆ ของเธอคิดว่าจะเป็นไปไม่กี่เืดือน กี่ ปี ก็จะเลิก หยุดไปเอง แต่ นี่ 12 ปีเข้าไปแล้ว

 โรคก็รุม ทรัพย์ก็จาง สงสารแต่เด็กผู้หญิง อยู่คนเดียว ที่ เรายังพยายามสอนให้เธออดทน

   
้

น่าจะเป็นกรรม อะไรบางอย่าง อาจจะเป็นเพราะปรารถนาไว้ไม่ต้องการมีบุตร จากชาติก่อน

ข้างบ้านดิฉัน ไม่อยากมีลูก ทำงาน ขับสามล้อ มีลูกเป็นโหล

 น่าจะเป็นที่สุขภาพ น่าจะมีส่วนมาก นะคะ

  มีญาติทำงาน บ. เงินเดือน มาก บ้านใหญ่ พี่แก อ้วน ๆ อยากมีลูก ก็มีไม่ได้

ถึงแม้คำตอบนี้จะไม่ช่วยอะไรเลย แต่ก็เป็นกำลังใจให้นะคะ

 
 

เราคงจะเป็นคนอ่อนไหว มาก ๆ ที่พบรักกับคนที่คิดว่าใช่ แต่สุดท้ายด้วยใจที่รักและมอบให้ทุกอย่าง วันนี้เขาคนนั้นได้ทอดทิ้ง และเที่ยวพูดบอกต่อใครต่าง ๆ ว่าเราเป็น คนใจง่าย

  ทั้งแค้น ทั้งโกรธ ทั้งผิดหวัง และก็ทั้งรัก ว่าทำไมเขาจึงทำเยี่ยงนี้แก่เรา เรามีกรรมอะไร จึงต้องเป็นเช่นนี้ จนใจที่คั่งแค้นมาก ๆ ถึงกับเขียนคำสาปแช่งไว้ หลายหน้า

  แต่พอเวลาผ่านไป ๆ ได้สักเดือน เหมือนไฟที่สงบลง วันนี้ทำอย่างไรดีคะ ที่จะได้ไม่ผูกพันกับเขา

  มีเพื่อนบอกว่า สาปแช่งเขาอย่างไร ก็จะได้ ผลเช่นนั้น ถ้าเราจะเลิกคำสาปแช่งพวกนี้จะทำอย่างไรดี

  ทุกวันนี้ชายคนนี้ ก็ยังใช้วาจาเผ็ดร้อน สาดเสียคุยกันสนุกในกลุ่มชนของเขาซึ่งทำให้มีคนมาแทะโลม เหมือนเราเป็นผู้หญิงอย่างนี้ จะรับมือเหตุการณ์ อย่างนี้อย่างไร

  ( ปล. ติดตามอ่านบทความธรรม มา 2 - 3 เดือนแล้ว คะ )