ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การบริภาษ ด่า ติเตียน พระสงฆ์ ที่ประพฤติ เป็น บาป หรือ เป็น บุญ  (อ่าน 11181 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

kindman

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 272
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 ask1

การบริภาษ ด่า ติเตียน พระสงฆ์ ที่ประพฤติ เป็น บาป หรือ เป็น บุญ

 :13:
บันทึกการเข้า

saichol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 247
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
บาป ชัวร์  :67:
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

        หากไปว่า พระอริยะเจ้า ห้าม มรรคผล ด้วยแหละอย่างหนึ่ง

                และมีความลำบาก ตามกรรมอีกหลายอย่าง  เหมือนถูกอวิชชาความมืดปิดบังความสว่าง ในเรื่องทั้งหลาย

             ไม่ว่าจะเป็นภพนี้และโลกหน้า โดนหมด  ไม่ต้องเกิดดีกันเลย  ว่าอย่างนั้น


                  อย่าเลยครับ  มันได้ไม่คุ้มเสีย

                     ถ้าไม่รู้จริงอย่าเลย  เมื่อกรรมมันเกิดแล้วมันแก้ยากครับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
ข้อความโดย: kindman

ask1

การบริภาษ ด่า ติเตียน พระสงฆ์ ที่ประพฤติ เป็น บาป หรือ เป็น บุญ

 :13:




พยสนสูตร
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

             [๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายกล่าวโทษพระอริยะ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ความฉิบหาย ๑๐ อย่างเป็นไฉน คือ

       ภิกษุนั้นไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ ๑
       เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๑
       สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๑
       เป็นผู้เข้าใจว่าตนได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย ๑
       เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ๑
       ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑
       ย่อมถูกโรคอย่างหนัก ๑
       ถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ๑
       เป็นผู้หลงใหลกระทำกาละ ๑
       เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ๑


             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษ เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย กล่าวโทษพระอริยะ ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๐ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ฯ

      จบสูตรที่ ๘


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ บรรทัดที่ ๓๙๐๔ - ๓๙๑๕. หน้าที่ ๑๖๘ - ๑๖๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=3904&Z=3915&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=88
ขอบคุณภาพจาก http://buddha.dmc.tv/





พยสนสูตร
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

      [๒๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายติเตียนพระอริยเจ้า ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ที่ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๑ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ความฉิบหาย ๑๑ อย่างเป็นไฉน คือ

       ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ ๑
       เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๑
       สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๑
       เป็นผู้เข้าใจว่าได้บรรลุในสัทธรรม ๑
       เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ๑
       ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑
       บอกลาสิกขาเวียนมาเพื่อหินภาพ ๑
       ถูกต้องโรคอย่างหนัก ๑
       ย่อมถึงความเป็นบ้า คือ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑
       เป็นผู้หลงใหลทำกาละ ๑
       เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก ๑


      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายติเตียนพระอริยเจ้า ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ที่ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๑ อย่างอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ ฯ

      จบสูตรที่ ๖


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ บรรทัดที่ ๗๖๙๑ - ๗๗๐๓. หน้าที่ ๓๓๕.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=7691&Z=7703&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=213
ขอบคุณภาพจาก http://upload.wikimedia.org/


     พระสูตรนี้เป็นสูตรที่ ๖ ชื่อ "พยสนสูตร" เหมือนกับ สูตรที่ ๘ เป็นพระไตรปิฎกและพระสุตตันตปิฎกเล่มเดียวกับ ต่างกันตรงที่ ความฉิบหาย สูตรที่ ๖ มี ๑๑ ประการ แต่สูตรที่ ๘ มี ๑๐ ประการ
     ความต่างที่สังเกตได้ ก็คือ สูตรที่ ๘ ไม่มีความฉิบหายประการที่ว่า "บอกลาสิกขาเวียนมาเพื่อหินภาพ"



ans1 ans1 ans1 ans1

แนะนำให้อ่านกระทู้นี้ครับ
อยากทราบ โทษ ของการปรามาส พระรัตนตรัย ที่มีมาในพระไตรปิฏก ครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5925.0


 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
ใครได้อ่าน เห็นโทษ แล้ว พึงระวังสังวร ไว้นะครับ

   แต่ในทางกลับกัน ถ้า ไปบริภาษ พระที่ประพฤติไม่ดี สอนผิด ละครับ จะเป็นเช่นไร เพราะในบอร์ดนี้ บางท่านที่บริภาษ ด่า พระอยู่ นั้น เพราะคิดว่า พระท่านไม่ดี หรือ สอนผิด ประมาณนี้ นะครับ จึงได้กระทำการปรามาส เพื่อจะให้พระท่านยุติ หมายถึง เจตนาเขาก็มีเจตนาดี คือ ต้องการปราม พระ ประมาณนั้น

     คือหลักตัดสิน ว่าพระทำไม่ถูก หรือ สอนผิด นี้ ผมไม่ค่อยจะเข้าใจ กับความคิดหรือการตัดสินนะครับ

   ดังนั้น สรุปว่า ถ้าเขามีเจตนาปกป้องพุทธศาสน์ เพราะเขาคิดว่า พระสอนผิด อย่างนี้ แล้วก็พยายามบริภาษ ปรามาส ด้วยความคิดนั้น อยากทราบว่า อันนี้ต้องโทษในการปรามาสไหม ? มีบาปอกุศล ติดตัว ติตตามเขาหรือไม่ ?

    ขอบคุณ ครับ
 
   st11 st12
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา

modtanoy

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-5
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 213
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คิดว่า ไม่มี บาป นะคะ หลายคนอาจจะเป็นห่วง เรา ใช่หรือไม่ คะ

  แต่ถ้าหากทีมงาน หรือ สมาชิก ท่านใด ที่นี่ สามารถุ หาพระสูตร ยืนยันมาได้ ยินดี ยกเลิก การ ปรามาส และ บริภาษ ขอขมา ต่อ พระที่นี่  ที่เว็บนี้ ต่อไป

 (  แต่เชื่อว่า ไม่มี คะ )
 
  :58: :88: :88: :88:
บันทึกการเข้า

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เรียน เพื่อน สมาชิก ครับ ผม ความรู้น้อย แต่เกลี้ยกล่อมได้แค่นี้ 
 อยากให้เพื่อน ๆ ช่วยหยิบพระสูตร ที่กล่าวเรื่อง การบริภาษปรามาส พระธรรมดา ปกติ ก็เป็น บาปอกุศล แสดงแก่คุณ modtanoy ด้วยครับ เพื่อจะได้หยุดเวรภัย ด้านนี้ กับ เธอด้วย

   ผมทำได้แค่ นี้ นะครับ 
   ที่เหลือฝาก เพื่อน ๆ ทุกท่าน ด้วยนะครับ

   :49: thk56 st11 st12
บันทึกการเข้า

modtanoy

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-5
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 213
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คุณ nirvanar55 รับปากคุณแล้ว นะ
แต่เชื่อว่า ไม่มีหรอก พระสูตร นี้ ...... 555 55

    :49:
บันทึกการเข้า

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
มดตะนอยร้อนตัว 5555 หัวข้อนี้เพื่อมดตะนอยคนเดียวเลยนะจ๊ะ  :hee20hee20hee:
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ถ้ามีพระสูตร ดี ๆ ตรงความต้องการ และคำถาม ก็น่าจะเป็น มหากุศล แล้วนะ

   :25: :49: like1
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...

KIDSADA

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 439
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ตอนนี้ คุณ nirvanar55 พยายามห้ามทัพ คุณ modtanoy ใช่หรือไม่ ครับ

ผมจับประเด็นว่า
     
       1. การบริภาษ พระที่เป็น พระอริยะบุคคล นั้น คุณ modtanoy ยอมรับว่าเป็นบาปจริง
       2. ส่วนการบริภาษ พระที่คุณ modtanoy มีความเห็นว่า สอนผิด คิดผิด ทำผิด นั้นไม่มีบาป แต่ ถ้าเกิดมีพระสูตร ระบุได้ว่า แม้การบริภาษ พระสงฆ์ ที่ไม่เป็นพระอริยะ ก็ บาปเช่นกัน คุณ modtanoy จะยินดี ถอยทัพ เข้าใจว่า อย่างนี้ ใช่หรือไม่ ครับ

        เพราะคุณ modtanoy มีความเชื่อว่า พระสนธยา ธัมมะวังโส สอนผิด ทำผิด คิดผิด และไม่เป็นพระอริยะ ในสายตาและความรู้สึก ของคุณ modtanoy ดังนั้น จึงพยายาม บริภาษ ( ยังไม่เจอ ) ปรามาส (อันนี้พบบ่อย )  อยู่เสมอ

       เอาละครับ พี่น้อง ช่วยกันหน่อย ครับ .....

       thk56 st11 st12 :49:
บันทึกการเข้า
เราชอบ ป่วนแก็งค์ อ๊บ อ๊บ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

คนดีไม่ต้องการสิ่งใดอ้างอิงมากมาย เพราะเขาแยกแยะดี-ชั่วได้อยู่แล้วที่ใจเขาเอง
ส่วนคนชั่วย่อมหาข้ออ้าง หาเหตุผลแก้ตัวหรืออ้างอิงจับผิด เพื่อหวังให้ตนหลุดพ้นในภายหน้า


คนชั่วแม้พระพุทธเจ้าจะตรัสสอนติเตียนก็ยังชั่วดังเดิม
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปหาพระสูตรไรๆมาอ้างอิงให้ลำบากครับ
เพราะคนชั่วก็ชั่วดังเดิมไม่เปลี่ยนเพราะมันอยู่ในจริตสันดานเขา กรรมก็กรรมของเขา
คนเราเป็นอย่างไรดูได้จากพ่อ-แม่ ญาติ พี่ น้อง สภาพแวดล้อมของเขาเป็นอย่างนั้น ถูกสั่งสอนมาเป็นอย่างนั้น


จำในพระสูตรที่ท่านรพลสันต์โพสท์เรื่องเดินจงกลมได้ไหมครับว่า..
พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุว่า

คนที่เดินจงกลมกับพระโมคคัลลานะ เพราะเป็นผู้ใฝ่ฤทธิ์ มีฤทธิ์มากเหมือนกัน
คนที่เดินจงกลมกับพระสารีบุตร เพราะเป็นผู้ใฝ่ปัญญา มีปัญญามากเหมือนกัน
คนที่เดินจงกลมกับพระอานนท์ เพราะเป็นผู้ใฝ่รู้ เป็นผู้พหูสูตเหมือนกัน
คนที่เดินจงกลมกับเทวทัต เพราะเป็นผู้ใฝ่ในอกุศล เป็นผู้ลามกเหมือนกัน



คนประเภทใดก็จะคบหากันอย่างนั้นสภาพแวดล้อมที่บ้านก็เป็นอย่างนั้นแหละ
เมื่อรู้อย่างนี้ก็ปล่อยไปตามเวรกรรมเขาเสีย เขาเกิดมาเพื่อทำกรรมแบบพระเทวทัตก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องไปอ้างหาเหตุผลไรๆมาชี้แจง ขนาดพวกนิครนธ์ทั้งหลาย แม้พระพุทธเจ้าจะเมตตาเพียงไร แต่โดยจริตสันดานและสภาพแวดล้อมเขาเป็นอย่างนั้น จึงทำกรรมอย่างนั้นออกมา แม้พระพุทธเจ้าจะทรงพระกรุณาชี้ให้เห็นธรรมตามจริงเขาก็ไม่สน สุดท้ายก็ต้องวางใจไว้กลางๆ เพราะได้สงเคราะห์มาพอแล้ว(ซึ่งท่าน  RAPONSAN ก็หาพระสูตรมาให้เขาแล้ว) ไม่มีความลำเอียง อคติเพราะเกลียดชัง หรือไม่รู้ตามจริงแล้ว ก็ต้องปล่อยเขาไปตามวิบากกรรมเขา เมื่อเราไม่ยินดียินร้ายต่อเขาเพราะเห็นสิ่งที่เขาทำนั้นมันหาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์และอกุศลกรรม เราไม่ไปติดข้องใจอีกเราก็ไม่ทุกข์ตาม ต่อให้เขาจะทำหยาบช้าสักอีกล้านครั้งนั่นก็กรรมเขาไม่ใช่ของเรา คนเรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล เป็นผู้ติดตามและอาศัย ไม่ให้ความสำคัญกับเขา เขาก็เลิกไปเอง ก็แค่เด็กเรียกร้องความสนใจแค่นั้นเองอย่าใส่ใจนักเลย หรือถ้าจะเอาเรื่องก็สืบที่อยู่แล้วฟ้องหมื่นประมาทปรับเงินสัก 10 ล้าน ฐานทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียหาย และ เกิดผลเสียต่อการปฏิบัติเผยแพร้พระพุทธศาสนาของพระอาจารย์ แค่นี้ก็จบแล้ว

จบได้นะครับกับเรื่องไร้สาระแค่นี้ เราได้เมตตาสงเคราะห์เขาแล้ว แต่เขายังยึดในสิ่งที่เขาถูกพ่อแม่ สภาพแวดล้อม ญาติ สิตร สหายสั่งสอนตามๆกันมาก็ต้องปล่อยเขาไป



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2015, 09:15:09 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

modtanoy

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-5
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 213
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การที่เรา ไม่ชอบแนวทาง การปฏิบัติ แบบนี้ มีความผิดหรือ ?
ในเมื่อ เพื่อน พี่น้อง ญาติ ที่กำลังมาภาวนา ในสายนี้ สิ่งที่ต้องดำเนินให้ถูกต้อง คือ ความงมงาย หรือ ไสยศาสตร์ ซึ่งมองเห็นในสายนี้ เช่นการปลุกเสก ลงเลข ลงยันต์ ดูหมอดู ( ดวงดาว ) สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า หรือ คะ ? คือ ภาพ ทีไปที่วัด พลับ คณะ 5 เห็นเป็นอย่างนั้น และประกาศจำหน่าวยวัตถุมงคล ในราคาต่าง ๆ อย่างนี้ ไม่ใช่แจก หรือ ให้เป็นขวัญกำลังใจ เพื่อระลึกถึงธรรม ดำเนินแบบพุทธพาณิชย์

 ที่จริงฟังจากรายการ ก็พอเห็นสาระ ทางด้านการภาวนา หรือ แม้ข้อความในเรื่องกรรมฐาน ส่วนตัวก็ยอมรับอยู่นะ ของ ท่านอ้วน นี่แต่ ทำไมจึงมีเรื่องงมงาย ปนเปกันอยู่ เช่นการเขียนยันต์ ท่องคาถา เหล่านี้ เป็นต้น

   ยิ่งพอทราบท่านเป็นสายสวนโมกข์ มาก่อน เคยสอนเราว่าอย่างมงายใน วัตถุมงคล ในสมัยที่เรางมงาย เคยไปขอท่านรดน้ำมนต์ ท่านบอกว่า น้ำมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ คือน้ำเหงื่อที่ทำงานสุจริต นั่นแหละคือน้ำมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องให้พระมาพรม มารด มาอาบให้ก็ศักดิ์สิทธิ์ พรมน้ำมนต์ไป แต่ขี้เกียจ จะโชคดีได้อย่างไร  แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นว่า ท่านสอนเราอย่างนั้น แต่ปัจจุบัน ท่านกับไปพรมน้ำมนต์ นั่งปรก ปลุกเสก สร้างวัตถุมงคล เป็นต้น

    คือใจมองเห็นว่า ทำไม จึงสอนกลับตาลปัต อย่างนี้ มันขัดแย้งในใจ นะ

 นึกว่าการเสวนา จะทำให้ เกิด สัมมาทิฏฐิ คือ เห็นถูกต้องได้ ...

    :smiley_confused1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2015, 09:29:49 pm โดย modtanoy »
บันทึกการเข้า

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
คุณ modtanoy ต้องเปิดใจสักนิด ในสายนี้  นะคะ
ฉันเองก็เป็นศิษย์ สายสวนโมกข์ สายวัดหนองป่าพง เวลาไปร่วมกัจกรรม ก็จะเลือกไปในสายนี้ เมื่อก่อนในสายหลวงพ่ฤาษีลิงดำ สายหลวงปู่ดู่ ไม่เคยไปร่วม

    แต่พอได้เรียนกรรมฐาน สายนี้ มีพระอาจารย์สนธยา นำสอนเป็นไฟล์เสียงบ้าง เป็นหนังสือบ่้างเป็นข้อความในเว็บบ้าง ดิฉันก็เปิดใจและเข้าใจในความเป็น ของสายนี้

    มีข้อความพื้นฐาน เรื่อง เกี่ยวกับ ไสยศาสตร์ เครื่องลาง ของขลัง วัตถุมงคล นั้น อยู่ในเรื่อง วิปัสสนา ลองไปอ่านดูเป็นข้อความของพระอาจารย์ นะคะ

     :58: :49:
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

modtanoy

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-5
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 213
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขอบคุณ ๆ ฟ้าใส ที่แนะนำข้อความ ให้
  ส่วนตัวตอนนี้ หลังจาก ได้คุยกับ คุณ nirvanar55 ก็เปิดใจมากขึ้นแล้วนะคะ เพียงแต่ว่าอยากให้ตอบเรื่อง ความงมงายที่ปฏิบัติกันอยู่ อย่างนี้เป็น สีลัพตปรามาส หรือไม่ ? เพราะว่า ยึดถือแบบผิด ๆ แบบงมงาย ถ้ายึดถือแบบผิด แบบงมงาย จะเป็น พระโสดาบัน ได้อย่างไร ?

     คือถ้าตอบให้เข้าใจ ว่าทำไมต้องเรื่องพวกนี้ไปด้วย ในขณะที่เผยแผ่ ภาวนา แบบโลกุตตระธรรม หรือ มีเจตนาแอบแฝง ธุรกิจ อะไรในตรงนั้น

     :smiley_confused1: thk56
บันทึกการเข้า

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
คุณ admax ตอบได้ดีค่ะ เด็กเรียกร้องความสนใจ  like1 like1 like1 like1
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
 คุณ มดตะนอยเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้วใช่มั้ยค่ะ  st11
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ดนัย

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 179
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การติเตียนพระสงฆ์

     -   ผมว่าจะเป็นบุญ หรือจะเป็นบาป มันขึ้นกับเจตนาของผู้ติเตียน คุณธรรมของผู้ติเตียน ปฏิปทาของผู้ถูกติเตียน คุณธรรมของผู้ถูกติเตียน

     -   ผู้ที่รู้ในสังโยชน์ ข้อ ๓ สีลัพตปรามาส จริง ๆ ต้องเข้าถึงคุณธรรมตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ต้องรู้แจ้งถึงละสังโยชน์ได้ ดังนั้นผู้ที่รู้ว่า การยึดถือแบบใดผิด แบบใดงมงาย ต้องมีคุณธรรมอย่างน้อยเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ถึงจะรู้ได้ถูกต้องจริง ๆ แยกแยะได้ถูกต้องจริง ๆ ถ้ายังไม่ถึงพระโสดาบันก็ได้แค่จำมาพูด หรือตรึก นึก คิด ปรุงแต่งไปเอง ว่าสีลัพตปรามาสเป็นอย่างไร

     -   ผมรู้จักพระอาจารย์สนธยามานานพอสมควร ตอนที่รู้จักแรก ๆ พระอาจารย์ท่านก็มีความเห็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมคล้าย ๆ กับคุณ modtanoy ในตอนนี้ สำหรับผม ช่วงที่ท่านพระอาจารย์เปลี่ยนมาปฏิบัติแนวนี้ ผมก็แปลกใจ แต่ก็ไม่มากนักเพราะผมทราบสาเหตุบางส่วนที่ทำให้ความเห็นของพระอาจารย์เปลี่ยนจากแนวของท่านพุทธทาส ไม่แน่ใจว่าคุณได้เคยถามพระอาจารย์ตรง ๆ หรือไม่ หรือพระอาจารย์ท่านได้เคยอธิบายถึงสาเหตุหรือไม่ แต่พูดถึงทราบสาเหตุแต่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ช่วงนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเข้าใจและดำรงศรัทธาในพระอาจารย์ต่อไปหรือไม่

     -   ผมเป็นคนเชื่อในกฎของกรรม เชื่อเรื่องภพชาติ เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ผมว่าการที่คุณคอยติเตียนพระอาจารย์อยู่เนือง ๆ คงเป็นบุพกรรมของพระอาจารย์เช่นกัน ถึงแม้คุณอาจจะไม่ใช่ผู้ที่เคยถูกพระอาจารย์ติเตียนมาก่อน เรื่องนี้โทษใครไม่ได้ เป็นธรรมชาติของวัฏฏะสงสาร ผู้ยังมีกิเลส ก็ไปสร้างกรรม แล้วก็ต้องมารับวิบาก แต่การวิพากษวิจารณ์บุพกรรมของครูอาจารย์เป็นเรื่องไม่สมควร ผมคงพูดถึงแค่นี้ ในฐานะที่ผมนับถือพระอาจารย์สนธยาเป็นครูอาจารย์ ก็เป็นหน้าที่ของศิษย์ที่ต้องออกมาอธิบาย ชี้แจงตามสมควร กับผู้ที่กล่าวติเตียนครูอาจารย์

     -   เรื่องติเตียนกับสรรเสริญ ก็เป็นโลกธรรม เป็นธรรมของโลก แต่ผมเชื่อว่า สิ่งใดจะเกิดขึ้นได้ต้องมีเหตุปัจจัย และถ้าเหตุปัจจัยดับสิ่งนั้นก็ดับ อาจมีสักวันที่คุณ modtanoy เข้าใจพระอาจารย์และกลับมาศรัทธาท่าน แต่ก็อาจมีคนอื่นเข้ามาติเตียนพระอาจารย์อีก ก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะกายสังขารของพระอาจารย์ยังอยู่ในโลก

บันทึกการเข้า
"พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน"

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

    [๕๙๘] สาวัตถีนิทาน ฯ
    ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
    พระโกกาลิกภิกษุนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
    "พระเจ้าข้า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามกไปแล้ว สู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก"

      :91: :91: :91: :91:

     [๕๙๙] เมื่อพระโกกาลิกภิกษุกล่าวเช่นนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
     "โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้โกกาลิก เธอจงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก"

     แม้ครั้งที่สองแล พระโกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
     "พระเจ้าข้า บุคคลผู้มีวาจาควรเชื่อได้ควรไว้ใจได้ของข้าพระองค์จะมีอยู่ก็จริง ถึงเช่นนั้นแล พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็ยังเป็นผู้ปรารถนาลามก ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาลามก" ฯ
     แม้ครั้งที่สองแล พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
     "โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้โกกาลิก เธอจงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก"

     แม้ครั้งที่สามแล พระโกกาลิกภิกษุก็ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
     "ฯลฯ ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก" ฯ
     แม้ครั้งที่สามแล พระผู้มีพระภาคก็ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
     "ฯลฯ ภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก" ฯ


      :96: :96: :96: :96: :96:

      [๖๐๐] ลำดับนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุลุกจากอาสนะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว ฯ
      ก็เมื่อพระโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นาน ต่อมทั้งหลายขนาดเมล็ดพรรณผักกาดได้ผุดขึ้นทั่วกายของเธอ ต่อมเหล่านั้นได้โตขึ้นเป็นขนาดถั่วเขียวแล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดถั่วดำ แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดเมล็ดพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดลูกพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะขามป้อม แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะตูมอ่อน แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะตูม ต่อจากนั้นก็แตกทั่ว แล้วหนองและเลือดหลั่งไหลออกแล้ว ฯ

     ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว เพราะอาพาธอันนั้นเอง ครั้นกระทำกาละแล้วก็เข้าถึงปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ



      [๖๐๑] ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงแล้วมีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

     ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
     พระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว และเข้าถึงแล้วซึ่งปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
     ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล ฯ


      :25: :25: :25: :25:

     [๖๐๒] ครั้นล่วงราตรีนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ภิกษุทั้งหลาย  เมื่อคืนนี้ท้าวสหัมบดีพรหมเมื่อราตรีล่วงปฐมยามไปแล้วมีรัศมีงามยิ่งนัก ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ครั้นแล้วไหว้เราแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคำนี้กะเราว่าพระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว และเข้าถึงแล้วซึ่งปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ฯ

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้วไหว้เรากระทำประทักษิณ แล้วหายไปในที่นั้นเอง ฯ
      ...ฯลฯ..........

     
      อ่านเพิ่มเติมได้ที่
      http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=15&A=4844&Z=4945


อ้างอิง :- เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  บรรทัดที่ ๔๘๔๔ - ๔๙๔๕.  หน้าที่  ๒๐๙ - ๒๑๓.
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=15&A=4844&Z=4945&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=598
ขอบคุณภาพจาก
http://www.dmc.tv/
http://1.bp.blogspot.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 15, 2015, 11:28:12 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




อรรถกถาทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐

      
     ในทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
     บทว่า โกกาลิโก ภิกฺขุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า
     ถามว่า โกกาลิกนี้เป็นใคร และเหตุไรจึงเข้าไปเฝ้า.
     ตอบว่า ได้ยินว่า ผู้นี้เป็นบุตรโกกาลิกเศรษฐี ในโกกาลิกนคร โกกาลิกรัฐ บวชแล้วอาศัยอยู่ในวิหารที่บิดาสร้างไว้ มีชื่อว่า จูฬโกกาลิก มิใช่เป็นศิษย์ของพระเทวทัต. ฝ่ายรูปที่เป็นศิษย์ของพระเทวทัตนั้นเป็นบุตรพราหมณ์ มีชื่อว่า มหาโกกาลิก.

     ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี พระอัครสาวกทั้งสองพร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปจาริกไปในชนบท เมื่อใกล้ถึงวันเข้าพรรษา ประสงค์จะอยู่อย่างสงบ จึงส่งภิกษุเหล่านั้นไป ตนเองถือบาตรจีวร ถึงนครนั้นในชนบท ได้ไปสู่วิหารนั้น.
     แลในที่นั้น โกกาลิกภิกษุได้แสดงวัตรแก่พระอัครสาวกทั้งสอง.
     พระอัครสาวกทั้งสองชื่นชมกับพระโกกาลิกนั้นกล่าวว่า อาวุโส พวกเราจักอยู่ในที่นี้ตลอดไตรมาส ท่านอย่าได้บอกแก่ใครๆ แล้วถือปฏิญญาอยู่.


      :25: :25: :25: :25:

     ครั้นอยู่จำพรรษาปวารณาในวันปวารณาแล้ว พระอัครสาวกทั้งสองจึงบอกลาภิกษุโกกาลิกว่า อาวุโส เราจะไปละ.
     ภิกษุโกกาลิกกล่าวว่า อาวุโส พวกท่านอยู่ในวันนี้วันเดียว พรุ่งนี้ก็จักไป ดังนี้แล้ว
     วันรุ่งขึ้นจึงเข้าเมือง บอกพวกมนุษย์ว่า อาวุโส พระอัครสาวกมาอยู่ในที่นี้ พวกท่านไม่รู้ ไม่มีใครถวายปัจจัยสี่เลย.

     พวกชาวเมืองกล่าวว่า ท่านขอรับ พระเถระอยู่ที่ไหน ทำไมจึงไม่บอกพวกเรา.
     ภิกษุโกกาลิกกล่าวว่า อาวุโส บอกแล้วจะมีประโยชน์อะไร พวกท่านไม่เห็นภิกษุ ๒ รูปที่นั่งบนเถระอาสน์ หรือนั่นแหละพระอัครสาวก.
     พวกมนุษย์รีบประชุมกัน รวบรวมเนยใสน้ำอ้อยเป็นต้นและผ้าจีวร.

     ภิกษุโกกาลิกคิดว่า พระอัครสาวกเป็นผู้มักน้อยอย่างยิ่ง จักไม่ยินดีลาภที่เกิดขึ้นด้วยวาจาที่ประกอบขึ้น เมื่อไม่ยินดีก็จักบอกว่า ท่านทั้งหลายจงถวายแก่ภิกษุที่อยู่ประจำอาวาส ดังนี้ ให้พวกมนุษย์พากันถือลาภนั้นๆ ไปสำนักของพระเถระทั้งสอง.
      พระเถระทั้งสองเห็นดังนั้น จึงห้ามว่า ปัจจัยเหล่านี้ไม่ควรแก่พวกเรา ไม่ควรแก่ภิกษุโกกาลิก ดังนี้แล้วหลีกไป.





     ภิกษุโกกาลิกเกิดอาฆาตขึ้นว่า มันเรื่องอะไรกัน พระอัครสาวกทั้งสอง เมื่อตนเองไม่รับ ยังไม่ให้พวกมนุษย์ถวายแก่เราแล้วหลีกไป.
     แม้พระอัครสาวกทั้งสองไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วพาบริษัทของตนเที่ยวจาริกไปตามชนบท แล้วกลับมายังเมืองนั้นในรัฐนั้นตามลำดับ.

     ชาวเมืองจำพระเถระได้ ตระเตรียมทานพร้อมทั้งเครื่องบริขารทั้งหลาย สร้างมณฑปกลางเมืองถวายทาน และน้อมบริขารทั้งหลายเข้าไปถวายพระเถระ.
     พระเถระได้มอบถวายแก่ภิกษุสงฆ์.


        :91: :91: :91: :91:

       ภิกษุโกกาลิกเห็นดังนั้น คิดว่า เมื่อก่อนพระอัครสาวกเหล่านี้ได้เป็นผู้ปรารถนาน้อย บัดนี้กลายเป็นผู้ปรารถนาลามก แม้ในกาลก่อน ทำทีเสมือนผู้มักน้อย สันโดษและชอบสงัด จึงเข้าไปหาพระเถระกล่าวว่า อาวุโส เมื่อก่อน ท่านเป็นเหมือนมักน้อย แต่บัดนี้ท่านกลายเป็นภิกษุลามก คิดว่า จำเราจักทำลายที่พึ่งของพระอัครสาวกเหล่านั้นขั้นรากฐานทีเดียว รีบออกไปยังกรุงสาวัตถี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
       ภิกษุโกกาลิกนี้พึงทราบว่า เข้าเฝ้า เพราะเหตุนี้เอง.

       พระผู้มีพระภาคเจ้าพอทอดพระเนตรเห็นภิกษุโกกาลิกกำลังมาโดยรีบด่วน ทรงรำพึงก็ทราบว่า ภิกษุโกกาลิกนี้ประสงค์จะด่าพระอัครสาวก จึงได้มา. และทรงรำพึงว่า เราอาจห้ามได้ไหมหนอ ทรงเห็นว่าไม่อาจห้ามได้ ภิกษุโกกาลิกนี้ทำผิดในพระเถระทั้งหลายจึงมา ตายแล้วจักเกิดในปทุมนรกโดยส่วนเดียว
      เพื่อจะเปลื้องวาทะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบบุคคลผู้ติเตียนพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะแล้วยังห้ามไม่ได้ และเพื่อจะแสดงการกล่าวร้ายพระอริยะว่ามีโทษมาก จึงทรงห้ามว่า มา เหวํ ดังนี้ถึง ๓ ครั้ง.
    ...ฯลฯ...


อ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=598

ที่มา อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พรหมสังยุต ปฐมวรรคที่ ๑ ทุติยโกกาลิกสูตรที่ ๑๐
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=598
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=4844&Z=4945
ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้

     [๙๒] พระผู้มีพระภาคจึงตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมองมลทินจับช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมไม่ดี มีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์ฉันใด เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.

     ผ้าที่บริสุทธิ์สะอาด ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลืองสีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมดี มีสีสด ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะผ้าเป็นของบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.


อุปกิเลส ๑๖

    [๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่าไหน เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต [คือ]
           - อภิชฌาวิสมโลภะ [ละโมบไม่สม่ำเสมอ คือความเพ่งเล็ง]
           - พยาบาท [ปองร้ายเขา] โกธะ [โกรธ]
           - อุปนาหะ [ผูกโกรธไว้]
           - มักขะ [ลบหลู่คุณท่าน]
           - ปลาสะ [ยกตนเทียบเท่า]
           - อิสสา [ริษยา]
           - มัจฉริยะ [ตระหนี่]
           - มายา [มารยา]
           - สาเฐยยะ [โอ้อวด]
           - ถัมภะ [หัวดื้อ]
           - สารัมภะ [แข่งดี]
           - มานะ [ถือตัว]
          - อติมานะ [ดูหมิ่นท่าน]
          - มทะ [มัวเมา]
          - ปมาทะ [เลินเล่อ]
      เหล่านี้เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิต.


ที่มา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
http://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=12&item=92&items=1&preline=0&pagebreak=0
http://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=12&item=93&items=1&preline=0&pagebreak=0





อุปกิเลส หรือ จิตตอุปกิเลส 16 (ธรรมเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก ดุจผ้าเปรอะเปื้อนสกปรก ย้อมไม่ได้ดี)
       1. อภิชฌาวิสมโลภะ (คิดเพ่งเล็งอยากได้ โลภไม่สมควร, โลภกล้า จ้องจะเอาไม่เลือกควรไม่ควร)
       2. พยาบาท (คิดร้ายเขา)
       3. โกธะ (ความโกรธ)
       4. อุปนาหะ (ความผูกโกรธ)
       5. มักขะ (ความลบหลู่คุณท่าน, ความหลู่ความดีของผู้อื่น, การลบล้างปิดซ่อนคุณค่าความดีของผู้อื่น)
       6. ปลาสะ (ความตีเสมอ, ยกตัวเทียมท่าน, เอาตัวขึ้นตั้งขวางไว้ ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน)
       7. อิสสา (ความริษยา)
       8. มัจฉริยะ (ความตระหนี่)
       9. มายา (มารยา)
       10. สาเถยยะ (ความโอ้อวดหลอกเขา, หลอกด้วยคำโอ้อวด)
       11. ถัมภะ (ความหัวดื้อ, กระด้าง)
       12. สารัมภะ (ความแข่งดี, ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะกัน)
       13. มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน)
       14. อติมานะ (ความถือตัวว่ายิ่งกว่าเขา, ดูหมิ่นเขา)
       15. มทะ (ความมัวเมา)
       16. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเล่อ)


ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ขอบคุณภาพจาก
https://lh4.googleusercontent.com/
http://ih2.redbubble.net/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

noobmany

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 79
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

    พระพุทธองค์พระองค์ทรงธรรม..เพื่อคลายทิฏฐิ เหล่าเวไนย ทั้งหลาย ตลอดพระชนม์ชีพ

         
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เอาเป็นเรื่องๆนะมดตะนอย เธอจงฟัง เราจักกล่าวสิ่งอันเอื้อประโยชน์ต่อเธอดังนี้

๑. เรื่องติเตียน การติเตียนภิกษุ ท่านที่มีศีลให้ท่านทุศีล ท่านผู้มีธรรมให้ไม่มีธรรม ติเตียนเพราะ รัก เกลียด กลัว และ ไม่รู้ตามจริง ย่อมนำอนันตริยกรรมมาสู่ตน เหมือนที่ผมกล่าวว่า มดตะนอยเป็นเช่นนี้ พ่อแม่สั่งสอนมาให้พูดอย่างนี้ มดตะนอยทำอย่างนี้ไม่ถึงพระรัตนตรัย มดตะนอยเป็นหญิงที่ไม่รู้ธรรมไม่มีธรรม มดตะนอยคงเป็นพวกแม่ค้าปากตลาด มดตะนอยคงเป็นเด็กร่านหาเรื่องไปทั่ว ทั้งๆที่ไม่รู้ตามจริงว่ามดตะนอยเป็นอย่างไร เป็นแม่ชี มีศีล ๘ ฉันมื้อเดียว สวดมนต์เป็นนิตย์ มีศีลบริสุทธิ์ ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ อันนี้คือลำเอียง คืออกุศลกรรม หากมดตะนอยบรรลุโสดาบันขึ้นไปผมก็กรรมหนักมากตามสังโยชน์ที่มดตะนอยละได้ นี่จะเห็นได้ว่า เราไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นอย่างไร ยิ่งเป็นพระยิ่งยากลำบากนัก ถ้าพระปฏิบัติ ท่านจะปฏิบัติไม่ได้ถ้าไม่มีศีล เพราะผู้ปฏิบัติย่อมเห็นด้วยปัญญาว่าศีลนี้เป็นฐาน เป็นกุศล เป็นสติ เป็นสมาธิให้ถึงปัญญา ต่อให้พระที่ท่านปลุกเสกพระเครื่อ(ที่ไม่ได้ทำในทางอกุศลไสยดำ) ท่านก็ต้องมีศีล จึงจะมีจิตที่มีกำลังพอจะปลุกเสกได้ ดังนั้นเมื่อไม่รู้ว่าท่านเป็นพระอริยะหรือไม่ เราควรละการปรามาสนั้นเสีย กรรมนี้จักไม่เกิดขึ้นแก่เรา
    ส่วนการติเตียนในเรื่องความไม่เหมาะสมนั้น เช่นพระดื่มเหล้า ไม่ครองผ้า ๓ ผืน เดินไม่สำรวม ฉันข้าวหลังเที่ยงเลยไป มั่วสีกา คลุกอยู่กับบัณเฑาะ เปลือยกายในที่กว้างใิใช่ที่ลับตา ฯลฯ อันนี้ถ้าท่านทำผิดพระวินัย หรือ ทำสิ่งที่ไม่งาม การกล่าวติเตียนหรือกำชับท่านด้วยเจตนาอันดี เช่นว่า ภิกษุทำเช่นจักยังความเสื่อมเสีย ผู้ที่ยังไม่นับถือในพระพุทธศาสนาก็จะไม่นับถือ ผู้ที่มีศรัทธาอยู่ก็อาจจะเลิกศรัทธาได้ เห็นอย่างนี้แล้วก็รู้ตามความจริงด้วยว่าท่านทำผิดจริงโดยไม่ใช้ความคิดตนเป็นใหญ่ด้วยความอคติต่อท่าน เราก็กล่าวติเตียนได้ด้วยกุศลจิตเรานั้น และเมื่อคนมีกุศลจิตย่อมฉลาดที่จะปล่อยวางอกุศล คิด พูด ทำ ก็โดยชอบ ไม่หยาบคาย เลวทราม ย่อมกล่าวกับภิกษุท่านนั้นด้วยสัมมาชอบ แต่หากทำเพราะไม่รู้จริงก็กรรมหนักเราเอง ยิ่งปรามาสพระอริยะเจ้ายิ่งกรรมหนัก ดังนั้นถ้ากุศลจิตไม่มี และไม่รู้ตามจริงควรละไว้เสีย

- สิ่งใดประกอบไปอกุศล เป็นทุกข์ มิใช่ประโยชน์สุขต่อตนเองและผู้อื่น. ควรแล้วหรือที่เธอจะทำ ..ลองตรองดู

๒. เรื่องสร้างพระบูชา สร้างวัตถุมงคล พระสายพระป่าปกติท่านไม่สร้างพระนัก ท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านได้บอกกล่าวถึงเจตนาการสร้างพระและวัตถุมงคลแก่ผมดังนี้ว่า
    การที่ท่านสร้างนี้ เพราะพระพุทธศาสนาอีกไม่นานก็สิ้นแล้ว สมัยก่อนนี้ถ้าไม่มีพระเจ้าอโศกมหาราชให้พระอรหันต์มาเผยแพร่ธรรมของพระพุทธเจ้าจนถึงนี่ ป่านนี้เราก็ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่รู้จักทางพ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา บัดนี้ล่วงเลยมากึ่งพุทธทำนายที่พระพุทธศาสนาจะอยู่ถึง 5000 ปีแล้ว เราจะทำพระเครื่องบูชา ดำรงจิตมั่น ในวัตถุมงคลและพระเครื่องทั้งหลายนี้ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้แก่ชนทั้งหลาย ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กุศลธรรมดีงาม ศีล ทาน ภาวนา ทางปฏิบัติแห่งกุศลที่พระรัตนตรัยได้เพียรเผยแพร่อยู่นี้ให้คงอยู่ตราบสิ้นพุทธันดร เมื่อชนทั้งหลายได้มีวัตถุมงคลเหล่านี้แล้วน้อมเข้าถึง อนุสสติ ๖ ย่อมยังกุศลให้เกิดขึ้น ยึดมั่ยในปฏิปทากุศลดีตามตามเจตนาของพระพุทธศาสนาที่มีพระพุทธเจ้างองค์บรมศาสดาตรัสสอนธรรมไว้ดีแล้วนั้น
    ส่วนคนที่เอาเครื่องรางวัตถุมงคลเหล่านี้ไปทำในเชิงพานิชย์มันก็กรรมของเขาเอง ไปแสวงหารายได้จากสิ่งที่เราหรือครูบาอาจารย์ พระอริยะสงฆ์ทั้งหลายท่านตั้งใจจะทำเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้ชนทั้งหลายถึงเป็นอนุสสติเพื่อทำให้พระพุทธศาสนาและทางแห่งกุศลดีงามนี้ยั่งยืนอยู่ตราบสิ้นพุทธันดร เขาก็มีกรรมหนักของเขาเอง บางคนได้มรดกจากพ่อแม่มาด้วยความโง่ ไม่มีเงินก็เอาไปขายราตาถูกๆ คนที่เขาฉลาดเขารู้ เขาก็ใช้เงินนิดหน่อยซื้อมาแล้วก็นำไปเคารพบูชาด้วยอนุสสติมันก็บุญบารมีของคนนั้นที่ซื้อมา แต่เป็นดรรมของคนขาย กรรมแรกคือปล่อยของประกอบด้วยคุณดีหลุดไป กรรมเมื่อตายก็คือการนำวัตถุมงคลอันเป็นไปเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นตัวแทนพระรัตนตรัยอันหาค่าไม่ได้นี้ไปตีราคาไม่มีความเคารพนับถือในพระรัตนตรัย ไม่เห็นคุณค่าดีงาม ก็ตกอบายภูมิไป เพราะระลึกอนุสสติ ๖ ไม่ได้ แม้ยังชีพอยู่ และ ก่อนตาย ส่วนคนที่กวาดซื้อบูชาเพื่อหวังเงินไปขายต่อ ก็กรรมไม่ต่างกัน ก็แต่ว่าเขากวาดบูชามาปล่อยเพื่อเจตนาจะให้ผู้อื่นได้บูชาร่วมด้วยบ้างก็เป็นทานไป
    ทีนี้ต้องแยกส่วนจากเจตนามาเรื่องซื้อขาย ถ้าเขาเหล่านั้นไม่ขาย เราก็ไม่มีโอกาสนพมาบูชา ดังนั้นก็อยู่ที่เราเองด้วย บุญบารมีเรามี เราก็ได้มาบูชาเป็นอนุสสติของเราเอง บุญไม่มีให้แสวงหาจนตายก็ไม่ได้มา ดังนั้นถ้าเขาไม่นำมาขายเราก็ไม่มีโอกาสได้มาบูชาเป็นอนุสสติ เรื่ิงคนขายช่างเรื่ิองคนขาย เรื่องเราซื้อก็อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องผู้ทำก็อีกเรื่ิองหนึ่ง อยู่ที่เจตนาทั้งหมดนั้นแล

- เมื่อรู้ดังนี้แล้วเธอจะดำรงเจตนาอันเป็นกุศลอันเป็นกรรมดี หรือดำรงเจตนาในอกุศลอันเป็นกรรมชั่วที่จะติดตามเธอไปทุกภพชาติกันเล่า ..คงคิดเองได้นะครับ

- ทีนี้ เมื่อไม่รู้ตามจริงก็ให้ละความขุ่นใจตนเสีย ให้มองที่ใจตนว่า เพราะเหตุไรหรอเราถึงขุ่นข้องใจอย่างนี้ เพราะเหตุไรหนอท่านเหล่านั้นถึงทำในสิ่งนี้ แล้วอยู่ในความวางใจไว้กลางๆเสียได้ กรรมฐานก็เกิดแก่เราเอง

หวังว่าการตอบปัญหานี้จะไขข้อข้องใจให้คุณมดตะนอยนะครับ ผมเป็นผู้ยังไม่รู้ธรรม ยังไม่ถึงศีลบริสุทธิ์ ยังไม่ถึงทานบริสุทธิ์ ยังไม่ถึงการภาวนาอันเป็นที่สุดแห่งกองทุกข์ได้ ก็คงไขปัญหาคุณมดตะนอยได้เพียงเท่านี้ครับ

สุดท้ายนี้ก็ขอให้คุณมดตะนอยจงเป็นผู้ถึงสุขปราศจากกิเลสทุกข์ ดับความเร่าร้อนกายใจ ยังกายใจคุณมดตะนอยให้ถึงความผ่องใสเบิกบาน ด้วยบุญใดที่ผมได้ทำมาดีแล้วนี้ ขอให้ธรรมอันเป็นกุศลดังกล่าวทั้งปวงนี้ จงสำเร็จแก่คุณมดตะนอยในกาลทุกเมื่อเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 17, 2015, 01:36:41 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
จริงหรือพระอาจารย์สนธยา สร้างพระจำหน่าย

   รุ่นไหน ?
   เมื่อไหร่ ?
   
   อยากได้สักรุ่น

     :49:
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา