ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อศรัทธา หวั่นไหว ควรทำอย่างไร  (อ่าน 5801 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

pakorn

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 65
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
เมื่อศรัทธา หวั่นไหว ควรทำอย่างไร
« เมื่อ: มกราคม 20, 2010, 06:47:33 am »
0
เมื่อเราปฏิบัติ ภาวนาแล้ว เราจะเขวเพราะศรัทธาตก ด้วยสาเหตุต่าง ๆ เราควรทำอย่างไร
เพื่อไม่ให้ศรัทธา ของเราหวั่นไหวครับ
บันทึกการเข้า

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อศรัทธา หวั่นไหว ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 01:03:48 pm »
0
อารักขกรรมฐาน คือกรรมฐานที่คุ้มครองพระกรรมฐาน และเป็นที่คุ้มครองแห่งศรัทธา

1.พุทธานุสสติ กรรมฐาน การตามระลึกถึงพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นกรรมฐานเริ่มต้น ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ
2.มรณานุสสติ กรรมฐาน การตามระลึกนึกถึงความตาย
3.กายคตาสติ กรรมฐาน การตามพิจารณา กาย
4.เมตตานุสสติ กรรมฐาน การแผ่เมตตา ออกไปโดยหาที่สุดมิได้ และ ไม่มีประมาณ

ธรรม 4 ข้อนี้เป็นเหตุ คุ้มครองศรัทธา และพระกรรมฐาน ทั้งปวง

บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28362
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ธรรมอันเป็นกำลัง 5 ประการ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 01:26:54 pm »
+1
ธรรมอันเป็นกำลัง 5 ประการ

พุทธภาษิตหรือธรรมะทั้งปวง ที่ประพุทธเจ้าทรงแสดงสอนมีความหมายหลายระดับ ตั้งแต่ระดับตื้นมีคุณในระดับนั้น ถึงระดับลึกซึ้ง เป็นคุณอย่างยิ่ง ยังให้พ้นความพ้นทุกข์ได้เป็นลำดับ ตั้งแต่ทุกข์น้อย ทุกข์ใหญ่ จนถึงความพ้นทุกข์ได้สิ้นเชิงจริง สำคัญที่ผู้มีบุญได้สดับรับฟังแล้ว จะต้องใคร่ครวญพิจารณาอย่างประณีตรอบคอบ ประกอบพร้อมด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา อันเป็นกำลัง 5 ผู้มีธรรมอันเป็นกำลังทั้ง 5 ประการนี้ ย่อมสามารถเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีคุณลักษณะ 3 ประการ คือ ทรงสอนเพื่อให้มีผู้รู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น ทรงสอนมีเหตุที่มีผู้อาจครองตามให้เห็นจริงได้ และทรงสอนเป็นอัศจรรย์ คือ ผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์ควรแก่ความปฏิบัติ

ศรัทธา : ความเชื่อ ความเลื่อมใสในธรรม

ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความเลื่อมใสในธรรมเป็นกำลัง 5 ประการ
ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่นในประพุทธเจ้า ว่าทรงตรัสรู้ คือ ทรงรู้แจ้งในทุกสิ่ง ทรงรู้แจ้งโลก ไม่มีผิดแม้แต่น้อยในสิ่งที่ทรงตรัสรู้ สิ่งใดที่รับสั่ง สิ่งใดทีทรงแสดงสอน สิ่งทั้งปวงนั้นล้วนเป็นสัจจะ ล้วนเป็นความจริง ล้วนเป็นความถูกต้อง


วิริยะ : ความเพียรบากบั่นในธรรม

วิริยะ คือ ความเพียรความบากบั่นในธรรมเป็นกำลัง 5 ประการ
วิริยะ คือ ความบากบั่นพากเพียรพยายามศึกษา ใคร่ครวญตรึกตรอง ทำความเข้าใจปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสอนให้ได้ผลสำเร็จ


สติ : ความระลึกได้ในสิ่งที่ทำ คำที่พูด


สติ คือ ความระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดแล้วแม้นาน ในธรรม เป็นกำลัง 5 ประการ

สติ คือ ความระลึกได้ถึงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ และความระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำ คำที่พูดของตน และของผู้อื่นทั้งนั้น ที่เคยได้พูดได้ทำได้ยินได้ฟังได้รับรู้ อันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อประกอบความคิดของตนให้เกิดปัญญา หนึ่งในธรรมเป็นกำลัง 5 ประการ

สติเปรียบดั่งหางเสือควบคุมเรือชีวิต

ผู้ขยันอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทขยันแล้วก่อให้เกิดความสำเร็จ ความเจริญ และประเภทขยันแล้วก่อให้เกิดความล้มเหลว ความเสื่อม

ผู้ขยันจึงต้องมีสติ สติเป็นตัวสำคัญ ท่านเปรียบสติเป็นหางเสือเรือที่จะควบคุมเรือชีวิตให้ดำเนินไปอย่างสวัสดี แม้จะมีมรสุมชีวิตหนักบ้างเบาบ้างผ่านเข้ามาตามแรงแห่งกรรมของตน

สติเป็นความระลึกได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต

ผู้มีสติ คือ ผู้มีความระลึกได้ถึงเหตุถึงผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ประสบพบผ่าน เกี่ยวกับเรื่องที่ได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็น เกี่ยวกับสิ่งที่ทำคำที่พูดแล้วแม้นานในอดีต มีสติระลึกได้ถึงเหตุถึงผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังประสบพบผ่าน เกี่ยวกับเรื่องราวที่กำลังได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็นเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังทำคำกำลังพูดในปัจจุบัน มีสติระลึกได้ถึงเหตุถึงผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะต้องประสบพบผ่าน เกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็น เกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องทำคำที่จะต้องพูดในอนาคต สติเป็นความระลึกได้ทั้งสามกาล

ความมีสติทั้งปวงที่เกิดขึ้น
เป็นเหตุแห่งความรอบคอบ ใคร่ครวญ

ความมีสติระลึกได้ในเหตุในผลในเรื่องทั้งปวง ที่เกิดขึ้น ที่ประสบพบผ่าน และที่พูดที่ทำด้วยตนเอง ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ย่อมเป็นเหตุให้รอบคอบใคร่ครวญก่อนที่จะพูดจะฟังจะทำการทั้งปวง

เพราะสติความระลึกได้ ย่อมจักทำให้ระลึกได้ว่า การพูดการทำสิ่งใดเป็นคุณหรือเป็นโทษอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการพูดการทำของตนเอง หรือการพูดการทำของผู้อื่นใดที่ตนประสบพบผ่านก็ตาม

ความมีสติระลึกได้ จะทำให้เว้นจากการพูดการทำสิ่งที่เป็นโทษ จะพูดจะทำแต่สิ่งที่เป็นคุณ เป็นการไม่ทำให้ความไม่ดีเกิดซ้ำรอย เป็นการทำให้ความดีเกิดเนือง ๆ

ความมีสติระลึกได้จะทำให้เว้นการการพูดการทำสิ่งที่เป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์ จะพูดจะทำแต่สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ สติความระลึกได้เช่นนี้มีคุณนัก เปรียบได้ทั้งหางเสือเรือคอยบังคับเรือชีวิตให้สวัสดี และเป็นได้ทั้งครูผู้อบรมสั่งสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักพาล รู้จักบัณฑิต คือ รู้จักคนชั่วคนดี

คนมีสติ ทำให้มีธรรมของคนดีบริบูรณ์

สติความระลึกได้จักยังสัปปุริสธรรม ธรรมของคนดีให้มีบริบูรณ์ทั้งความรู้จักเหตุ ความรู้จักผล ความรู้จักตน ความรู้จักประมาณ ความรู้จักกาล ความรู้จักประชุมชน ความรู้จักบุคคล ความมีสติระลึกอยู่ในเหตุผลทุกกาลเวลา ทั้งเหตุทั้งผลในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต คือ ความมีสัปปุริสธรรม ธรรมของคนดี จักเป็นเหตุให้มีการงานสะอาด เพราะผู้มีสตินั้น ก่อนจะทำการใด จักใคร่ครวญด้วยดี เว้นการเป็นโทษ ทำแต่การเป็นคุณ และมีสติเตือนตนอยู่เสมอให้สำรวมทั้งกายวาจาใจในความดีงาม ความสงบเรียบร้อย และถูกต้อง จึงอาจกล่าวได้ว่า ความมีสติจะทำให้เป็นผู้อยู่ในธรรม ไม่อยู่ในความประมาทอันเป็นทางแห่งความตาย

สมาธิ : ความตั้งจิตมั่น


สมาธิ คือ ความตั้งจิตมั่น ในธรรมเป็นกำลัง 5 ประการ
สมาธิ คือ ความสำรวมใจมั่นคงในศรัทธา ในวิริยะ ในสติ คือ มีใจเชื่อมั่นคงจริงในพระพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้จริงแล้ว มีใจตั้งมั่นจริงที่จะพากเพียรศึกษา ปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีใจมั่นแน่วแน่สำรวมสติรู้สึกตัวอยู่เสมอ ในการคิดในการพูดในการทำ รวมทั้งในการดูในการฟังเพื่อสามารถระลึกได้ทุกเวลา ถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดแล้ว...แม้นาน ทั้งของตน ทั้งของผู้อื่น พร้อมระลึกได้ถึงเหตุถึงผลของการพูดกรทำนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระลึกได้ทุกเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ อันจักนำมาซึ่งปัญยานั่นเอง


ปัญญา : ความรอบรู้


ปัญญา คือ ความรอบรู้ ความฉลาดเกิดแต่เรียนและคิดในธรรมเป็นกำลัง 5 ประการ
ปัญญา คือ ความคิดใคร่ครวญข้อธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสอนเป็นการใช้ปัญญาพิจารณาพระปัญญาของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดปัญญาเป็นความรู้ความเข้าใจจริงของตน มิใช่เป็นพระปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ตนจดจำไว้

ผู้ใดเพียงรับฟังมาและจดจำไว้ ซึ่งความรู้จริงของผู้อื่น แต่มิได้รู้จริงด้วยในเรื่องใด ผู้นั้นยังไม่มีปัญญาในเรื่องนั้น

http://larndham.net/index.php?showtopic=24135
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28362
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
การปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 01:33:44 pm »
+1
การปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์



ก า ร ป รั บ อิ น ท รี ย์ ใ ห้ ส ม ดุ ล
พระครูเกษมธรรมทัต (พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรํสี)
วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา

อินทรีย์ ก็คือ ความเป็นใหญ่
ก็คือ เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตนเองนั้น
ใครจะมาเป็นใหญ่กว่าไม่ได้

อินทรีย์มี ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
บางทีท่านก็ขยายออกไปละเอียดขึ้นเป็นอินทรีย์ ๒๒

อินทรีย์ประการที่ ๑ : ศรัทธา

คือ ความเชื่อ ในกระบวนการของความเชื่อแล้ว
ศรัทธาเป็นใหญ่ เหมือนอย่างตา ตาก็เป็นใหญ่ในกระบวนการเห็น
จะเอาอย่างอื่นมาทำหน้าที่เรื่องการเห็นไม่ได้
เราเรียกว่าอินทรีย์คือความเป็นใหญ่

ศรัทธา คือความเชื่อ การปฏิบัติก็ต้องมีความเชื่อ
ซึ่งก็เป็นองค์ของความตรัสรู้เหมือนกัน

อินทรีย์ ๕ พละ ๕ องค์ธรรมเหมือนกัน
แต่ต่างกันที่ความเข้มข้น พละนั้นเข้มข้นกว่า

ศรัทธาความเชื่อ ก็แบ่งออกเป็น ๔ อย่าง

๑) กัมมสัทธา

เชื่อในกรรมว่า กรรมมีจริง บุญบาปมีจริง กุศลกรรมมี อกุศลกรรมมี
บางคนไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าบุญจะมีจริง บาปจะมีจริง
มันก็ล่อแหลม ในการที่จะทำความชั่วต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมาปฏิบัติ
ถ้าไม่มีความเชื่อเสียแล้ว ไม่มีความศรัทธาแล้ว
ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม ที่ปฏิบัติกันอยู่นี้ก็เพราะเชื่อในเรื่องของกรรม

๒) วิปากสัทธา

เชื่อผลของกรรม ผลของกรรมมีจริง
ความสุขความทุกข์ ที่เกิดขึ้น
ที่ได้ยศลาภสักการะชื่อเสียงอะไรต่างๆ
มันเป็นผลเกิดขึ้นมาจากกรรม

ต้องมีความเชื่อว่าเกิดมาจากกรรม
ปฏิเสธว่ามีผู้มีอำนาจมาดลบันดาล มีพระเจ้ามาดลบันดาล
มาสร้างหรือว่ามีอำนาจของดวงดาวอะไรต่างๆ

คนที่มีวิปากสัทธา ก็ไม่ไปเชื่อเรื่องอำนาจของดวงดาวต่างๆ
อำนาจลี้ลับ อำนาจพระเจ้า อะไรต่างๆ
เพราะว่ามีศรัทธา คือ เชื่อมั่นว่า ความสุข ความทุกข์ต่างๆ นี้
เกิดมาจากกรรมอย่างแน่นอน

การเห็น การได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส
เป็นวิบาก คือเป็นผลของกรรมทั้งนั้น
เห็นขณะหนึ่งก็เป็นวิบาก ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส
ทีละขณะๆ เป็นวิบาก คือเป็นผลทั้งนั้นเลย

ท่านจัดวิบากออกไปเป็น กุศลวิบาก กับอกุศลวิบาก
คำว่ากุศลวิบากคือเป็นผลของกุศล
อกุศลวิบากคือเป็นผลของอกุศล
แต่พูดง่ายๆ ว่า กุศลวิบากคือผลบุญ อกุศลวิบากคือผลบาป

อกุศลก็หมายถึงธรรมที่มีโทษให้ผลเป็น
ความทุกข์เป็นตัวเหตุของความทุกข์เรียกว่าบาป
กุศลเป็นธรรมที่ไม่มีโทษให้ผลเป็น ความสุข
ก็เป็นตัวเหตุเหมือนกันแต่เป็นเหตุแห่งความสุขเรียกว่าบุญ

ผลของอกุศล เราก็เรียกว่าอกุศลวิบากหรือผลบาป
ผลของกุศลก็เรียกว่ากุศลวิบากหรือผลบุญ
ในชีวิตประจำวันก็มีอยู่ เห็นก็มีเห็นดี เห็นไม่ดี มี ๒ อย่าง

ได้ยินเสียง ก็ได้ยินเสียงเพราะ ไม่เพราะ
ได้กลิ่นก็กลิ่นเหม็น กลิ่นหอม
ได้ลิ้มรส ก็รสอร่อย ไม่อร่อย
ได้สัมผัสทางกาย ก็สัมผัสดี ไม่ดี
นี้คือผลเป็นวิบากเกิดขึ้น

ฉะนั้น ในขณะที่ได้ฟังเสียงไม่ไพเราะเช่น
จะทำกรรมฐานเสียงสุนัขกัดกันก็ต้องมีความเข้าใจแล้วว่า นี่คืออะไร
นี่คืออกุศลวิบาก คือผลของบาป บาปของใคร บาปของเรา
แสดงว่าเราก็ต้องทำบาปแบบนี้ไว้

คืออาจจะไปทำเสียงหนวกหูให้คนอื่นเขา
ที่กำลังจะทำความสงบเข้าไว้ในอดีต
ทำเหตุไว้แล้ว ถ้าไม่มีเหตุ ผลจะเกิดขึ้นไม่ได้

เรื่องหลักธรรมคำสอนพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องของเหตุของผล
ไม่มีคำว่าบังเอิญ ไม่มีการเกิด ขึ้นลอยๆ
โดยการขาดเหตุขาดปัจจัย ต้องมีเหตุทั้งนั้น

ฉะนั้น เราก็อนุมานเอาได้ว่า เมื่อผลอย่างไร
เหตุก็ต้องสอดคล้องกับผลอย่างนั้น

ในเมื่อเราได้ยินเสียงหนวกหู ก็แสดงว่าเราต้องทำให้คนอื่นหนวกหู
เราก็เข้าใจเอาว่าอันนี้เป็นผลของบาป มันก็ไม่ไป โกรธใคร
จะโกรธใครละ ก็มันผลที่เราทำไว้เอง
ได้ยินเสียงด่า เขาด่าว่ามา
เราก็รู้แล้ว อ๋อ นี่ผลของบาปนะนี่
แสดงว่าเราคงด่าเขาไว้

ตอนนี้เป็นผลของบาปเกิดขึ้นมันก็ไม่ โกรธใคร
รู้ว่ากำลังใช้หนี้อยู่ กำลังใช้หนี้ คิดว่ากำลังใช้หนี้

ถ้าหากว่าเราเป็นหนี้อยู่ สมมุติว่าเราไปกู้หนี้ยืมสินเขาไว้
ถึงคราวเจ้าหนี้เขามาทวง แล้วเราก็มีเงินที่จะใช้หนี้
มันก็ควรจะเบาใจว่า
เออ ได้ชดใช้หมดกันไปหรือน้อยลงไปลดต้นทุนไป
เราจะไปโกรธ เจ้าหนี้ก็ไม่ได้
เขามาทวงเรา ได้มีเงินใช้ก็ควรจะเบาใจ

เพราะฉะนั้นถ้าหากทุกคนทำใจ อย่างนี้ได้ มันก็จะลดความโกรธลงไป
เวลาประสบกับอารมณ์ไม่ดี ถูกเขากลั่นแกล้ง
ถูกเขาเสียดสี ถูกเขาใส่ร้ายหรือถูกเขาทำร้าย
เราก็นึกว่า เขามาทวงหนี้ ได้ใช้หนี้ไป
นี่เป็นผลของกรรมที่เราทำไว้ เป็นผลของบาปที่เราทำไว้
ถ้าหากว่าได้พิจารณาอย่างนี้ เราก็จะไม่ทุกข์ใจ

แต่เราก็มักจะไม่ยอมใช้ดีๆ แต่กลับกู้หนี้ใหม่อีก
คือเขาด่ามาก็ต้องด่าบ้าง เขาแกล้งมาเราก็ต้องแกล้งมันบ้าง
เรามักจะว่าก็มันอยากทำกับเราก่อน อย่างแค่ยุงมากัดนี่
เราก็ต้องรู้ว่า อ๋อ นี่เป็นผลกรรม เราก็ต้องเคยกัดใครเขาไว้
เราก็ต้องนึกว่าเออ เป็นผลของกรรม

ถ้าเราคอยมานึกว่ามันอยากกัดเรานี่ ต้องจัดการ
ถ้าเราไม่มีกรรมชนิดว่าเคยกัดเขาไว้นี่มันจะไม่ถูกกัด

ถ้านึกอย่างนี้ ก็เบาใจได้ชดใช้กัน
ได้ที่เราเกิดมาเพราะว่า มันมีกรรม เกิดมากำลังเป็นวิบาก
เป็นผลอยู่ มีเห็น มีได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส
รู้สัมผัสอยู่ทุกขณะ ทีละขณะ ทีละขณะ

ฉะนั้นเมื่อเวลาประสบอารมณ์ที่ดี ก็ให้รู้ว่านี่เป็นผลบุญ
ได้ฟังเสียงไพเราะได้กลิ่นหอมได้อาหารอร่อยได้สัมผัสดีเวลา
เราร้อนมีพัดลมพัดมาเย็นสบาย เราก็รู้ว่า
อ้อ อันนี้เป็นผลบุญนะ แสดงว่าเราก็คงจะให้กุศลที่ดีไว้

เช่นอาจจะเคยถวายพัดลมไว้ เคยไปพัดใครให้เย็น
เคยเอาน้ำไปอาบใคร ไว้ให้เย็น เราก็ได้เย็น
ในขณะที่เราร้อน นั่งอยู่อากาศร้อน หรือแดดมันร้อน
เราก็รู้ว่า อ้อ แสดงว่าเราคงจะต้องไปเผาใครเข้าไว้
ก็ให้ผลกระเส้นกระสายมาไม่เต็มที่ แล้วก็ไม่ต้องโกรธใคร

ฉะนั้น เมื่อประสบกับอารมณ์ไม่ดีต่างๆ ก็ให้รู้ว่าเป็นผลของบาป
ทำใจให้เข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม
มันจะลดโทสะลงไปมาก แล้วมันเป็นปัญญาด้วย
เขาเรียกว่า กัมมัสสกตาปัญญา เป็นปัญญาที่รู้
เข้าใจในเรื่องของกรรมและผลของกรรม

เวลาเราจะทำบุญกุศลอันใด
อานิสงส์มากกว่าคนที่ไม่เข้าใจ

คนที่ไม่เข้าใจเรื่องกรรม
ผลของกรรมทำบุญก็สักแต่ทำไปอย่างนั้น ไม่เข้าใจอะไร

แต่ถ้าเราเรียนศึกษาเราจะทำบุญไปนี่
มันจะประกอบด้วยปัญญาเข้าใจว่านี่มันอะไร เป็นอะไร
หรือเราพิจารณาเห็น ได้ยินรู้กลิ่นรู้รสดีไม่ดี
เราเข้าใจว่าเป็นผลของบุญผลบาป ปัญญาเกิดขึ้นในขณะนั้น

ฉะนั้นเวลาได้รับผลบุญเราก็อย่าประมาท
เราก็นึกว่านี่เราเบิกเงินจากธนาคารมาใช้ แล้วนะ
มันยุบไปแล้ว ต้องเอาไปเติมไว้อีก

ที่เราได้รับความสุข ได้ลาภสักการะ ได้เห็นได้กลิ่นรู้รสที่ดี
ก็รู้ว่านี่เบิกมาใช้แล้วนะอย่าประมาท
ต้องเอาไปเติม ไปเร่งทำกุศลอีก

นี้เป็นเรื่องปัญญาที่รู้ในเรื่องของกรรมและผลของกรรม
ถ้าหากว่ายิ่งไปกว่านั้น ถ้าจะให้ประเสริฐกว่านั้น
คือมีสติมี วิปัสสนาปัญญา มหากุศลญาณสัมปยุตต์
คือ กุศลที่ประกอบด้วยวิปัสสนาปัญญา
แต่ทำได้ยาก ถ้าไม่ได้เป็นนักปฏิบัติก็จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย

คือมีสติรู้เท่าทัน
เวลาเห็น ระลึกรู้ ได้ยิน ระลึกรู้ ลิ้มรส
สัมผัสกายเย็นร้อนอ่อนแข็ง ระลึกรู้
เห็นเป็นรูปเป็นนาม มีปัญญาเกิดขึ้น
ในขณะที่เจริญสตินั้นจิตเป็นมหากุศลประกอบด้วยวิปัสสนาปัญญา

๓) กัมมัสสกตาสัทธา

คือ เชื่อว่าเรามีกรรมเป็นของของตน
เรื่องกรรมนี้เมื่อบุคคลทำกรรมอันใดไว้
บุคคลนั้นก็จะต้องเป็นเจ้าของกรรมนั้น
โยนไปให้คนอื่นไม่ได้

ทำบาปแล้วจะไปโยนให้คนอื่นรับก็ไม่ได้
ทำบุญไว้ใครก็มาแย่งเอาบุญไปไม่ได้
เป็นเจ้าของจริงๆ ไม่เหมือนสมบัติภายนอกอื่นๆ

บางทีเราตายไปแล้วก็เปลี่ยนมือกันไป
เรื่องของกรรมนี่เป็นเจ้าของจริงๆ
เป็นทายาทรับมรดกของกรรม

๔) ตถาคตโพธิสัทธา

คือ เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ว่า
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้จริงๆ มีความตรัสรู้ได้จริง
บางสิ่งบางอย่างเราไม่มีปัญญาที่จะเข้าไปรู้เห็นได้
แต่เราเชื่อว่าพระพุทธองค์ตรัสรู้จริง สอนเรามาอย่างนี้จริง
เราเชื่อ เรื่องนรกสวรรค์เราพิสูจน์ด้วยตนเองไม่ได้
เพราะไม่มีฌาณอภิญญาจะไปมีตาทิพย์ เห็นสิ่งลี้ลับอย่างนั้น

แต่เราก็เชื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่โกหกเราแน่ พระองค์ตรัสรู้ได้จริง
แต่บางสิ่งบางอย่างเรายังเข้าไม่ถึง
เรื่องฌาณ เรื่องอภิญญา เรื่องมรรคผล

แม้ยังทำไม่ได้แต่เราก็เชื่อว่าจริง พระพุทธเจ้าสอนไว้จริง
ต้องอาศัยตถาคตโพธิสัทธา
ตถาคตโพธิสัทธามีส่วนสำคัญโดยเฉพาะการประพฤติปฏิบัติ

ถ้าเราไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าข้อปฏิบัติอย่างนี้
ธรรมะอย่างนี้จะทำให้คนพ้นทุกข์ได้จริง
เราก็จะไม่มานั่ง ปฏิบัติเดินปฏิบัติกันอยู่ ไปสนุกสนานดีกว่า

ถ้าความเชื่อมันลดระดับลงไป มันก็ประสบความสำเร็จไม่ได้
เพราะฉะนั้นศรัทธาต้องสร้างให้เกิดขึ้นให้มากขึ้น

อินทรีย์ประการที่ ๒ : คือ วิริยะ

ได้แก่ความเพียร ความเพียรพยายาม ในการที่จะทำกรรมฐาน
ทำกุศล ละอกุศล บาปอันใดที่ยังไม่เกิดก็เพียรอย่าให้มัน เกิดขึ้น
บาปอันใดที่เกิดขึ้นแล้วเพียรละออกไป
กุศลอันใดที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นก็เพียรให้มันเกิดขึ้น
กุศลอันใดที่เกิดขึ้นแล้วก็เพียรพยายามให้เจริญขึ้น

โดยเฉพาะเพียรตั้งสติ เพียรระลึกรู้อยู่เสมอ
เพียรเดินจงกรม เพียรนั่งกรรมฐาน เพียรเจริญภาวนาอยู่
ขาดความเพียรแล้วก็ประสบความสำเร็จไม่ได้


อินทรีย์ประการที่ ๓ : สติ

เป็นตัวระลึกรู้ ตัวรู้ทัน ที่เป็นไปในสติปัฏฐานทั้ง ๔
คือระลึกรู้ลงไปในกาย มีลมหายใจเข้าออก
อิริยาบถใหญ่คือยืนเดินนั่งนอน
ริยาบถย่อยต่างๆ ระลึกรู้ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม
คือ สิ่งที่ปรุงแต่งในจิตใจสภาพ ธรรมต่างๆ

อินทรีย์ประเภทที่ ๔ : สมาธิ

สมาธิเป็นตัวตั้งมั่นในอารมณ์ สมาธิ ตั้งมั่น
ก็ต้องมีความตั้งมั่นในขณะที่เจริญกรรมฐาน
ก็ต้องมีสมาธิตั้งมั่นในอารมณ์
เป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ
ก็มีความตั้งมั่นแนบแน่นไปตามลำดับ

เจริญวิปัสสนา ใช้ขณิกสมาธิพอเป็นขณะๆ ที่จะรู้เท่าทัน
ตั้งมั่นในอารมณ์เป็นขณะทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย
อุปจารสมาธิก็ใกล้ฌาณเข้าไป ชักไม่รำคาญในเสียง
เสียงดังมาก็ไม่รู้สึกรำคาญพอได้ยิน
อัปปนาสมาธิก็แนบแน่นดิ่งลงไปในอารมณ์

อินทรีย์ประการที่ ๕ : ปัญญา

ปัญญาคือความรู้ ความรู้ความเข้าใจ
ในวิธีการประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งไปเห็นรูปเห็นนามเป็นไตรลักษณะ

การปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์นั้น ท่านก็กล่าวไว้ว่า

ทำศรัทธากับปัญญาให้ สมดุล
ทำวิริยะกับสมาธิให้สมดุล
ส่วนสติก็เป็นตัวกลางตัวประสานได้ทุกธรรม คือเข้าได้ทุกที่

ศรัทธากับปัญญา

บางคนมีแต่ความเชื่อแต่ขาดปัญญาเขาเรียกว่างมงาย
เชื่ออะไรก็เชื่อหัวปักหัวปำ
งมงายไปขาดเหตุผลขาดปัญญา

ปัญญามากไป ไม่มีศรัทธา ก็ฟุ้งซ่านเหมือนกัน ไม่ได้ปฏิบัติสักที
คนมีแต่ปัญญาปฏิบัติไม่ลง ไม่เชื่อไปหมด
อาจารย์องค์นั้นก็ไม่ได้เรื่อง องค์นี้ก็ไม่ได้เรื่อง
อันนั้นจะถูกมั้ย พอปฏิบัติกลัวไม่ถูก อันนั้นก็ไม่ถูก

วิจัยธรรมมากเกินไป ไม่ศรัทธาไปหมด ปฏิบัติไปๆ มันก็ฟุ้งซ่าน
ความเชื่อไม่มี ไม่มีความสมดุล
มีศรัทธามีปัญญาสมดุลกันเชื่อด้วยมีปัญญาด้วย

ความเพียรกับสมาธิให้สมดุลกัน

คือถ้าเพียรมากแต่ขาดสมาธิมันก็ไม่เคร่งเครียด
บางทีเครียดหมดมันไม่มีสมาธิ
บางทีก็ลำบากกายเปล่า เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน
ทำมากทั้งวันทั้งคืนแต่สมาธิไม่เจริญเลย
มันก็ไปทางทุกข์กายลำบากกาย

แต่ถ้าหากสมาธิมาก ความเพียรน้อยกว่า
มันก็ไม่เห็นธรรมไม่เห็นสภาวะ
ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐานน้อย

ที่จะให้เกิดความรู้เห็น เห็นสภาวะของความเกิดดับ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไม่เห็น มันดิ่งลงไป

บางทีเราปฏิบัติไปนี่สมาธิมันมาก
มันก็คอยจะนิ่งๆ ดิ่งลงไปเฉยๆ ไม่รับรู้อะไร

เราต้องสร้างความเพียรให้ทัน
คือเพียรระลึกเพียรพยายามที่จะให้มันเกิดการรู้เท่าทันขึ้น
มันมีความสมดุลขึ้น


ถ้าหากว่าบุคคลได้มีอินทรีย์ ๕ ที่สมดุลกัน
การปฏิบัติก็จะได้รับผลขึ้น
ที่ปฏิบัติอยู่ ไม่ค่อยมีความสมดุลย์กัน
ก็ต้องอาศัยการพิจารณาสังเกตให้มันสม่ำเสมอ

คิดว่าได้แสดงมาพอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
ที่สุดนี้ขอความสุข ความเจริญในธรรม
จงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทุกท่านทุกคนเทอญ



(ที่มา : "การปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์" ใน วิปัสสนาภูมิ โดย พระครูเกษมธรรมทัต (พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรํสี) ; วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา, พิมพ์ครั้งที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๘, หน้า ๑๗๙-๑๘๕)


ที่มาลานธรรมจักร • แสดงกระทู้ - การปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์ : พระครูเกษมธรรมทัต

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อศรัทธา หวั่นไหว ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 01:38:38 pm »
0
ศรัทธา 4 ประการ อังคุตรนิกาย สัตตะกะนิบาต
1 กัมมะสัทธา  เชื่อกรรม เชื่อกฏแห่งกรรม
2 วิปากะสัทธา เชื่อผลของกรรม
3 กัมมัสสะกะตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์ ทุกชีวิตมีกรรมเป็นของ ๆ ตน
4 ตถาคะตะโพธิสัทธา เชื่อการตรัสรู้ ขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คุณปกรณ์ เจ้าคะ เราต้องวิเคราะห์ ศรัทธา อันไหนที่กำลังหวั่นไหว จะได้กล่าวเข้าเจริญศรัทธา ได้ถูกคะ

อิ อิ  ;D ;D
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28362
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อศรัทธา หวั่นไหว ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 01:41:35 pm »
0

เห็นคุณฟ้าใสมาช่วยตอบกระทู้แล้วดีใจครับ

อยากเห็นคุณฟ้าใสมาช่วยตอบบ่อยๆ


ส่วนคุณปกรณ์ ลองอ่านบทความที่ผมเสนอนะครับ

โดยเฉพาะการปรับอินทรีย์ ปัญญาคุณอาจจะมากเกินไป

จนข่มศรัทธา กรณีนี้จะเหมือนผม พวกชอบคิดมาก

การเจริญสติจะช่วยได้ ผมก็กำลังทำอยู่

ขอให้เจริญในธรรมนะครับ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

nimit

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 117
  • เรามาเพื่อจรรโลงพระกรรมฐาน
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อศรัทธา หวั่นไหว ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มกราคม 25, 2010, 01:26:01 pm »
0
เมื่อศรัทธา ใดหวั่นไหว ก็ให้กลับไปพิจารณาความจริงในใจเราครับ

มีคำตอบครับ..........

 8)
บันทึกการเข้า
ธรรมจักรสถิตอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นมีแต่ความร่มเย็น

หลวงพี่เฉย

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +11/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 88
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อศรัทธา หวั่นไหว ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มกราคม 26, 2010, 12:08:28 am »
0
ฟังทางนี้จะบอกให้   ต้องสร้างศรัทธาใหม่ให้มั่นคงก่อนนะท่าน...โดยกลับไปที่จุดเริ่มต้น  เจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆม๊าก!ที่สุด..ม๊ากสุด!.ม๊าก!ซ๊ะจนน้ำตาแห่งความปีติล้นไหลออกมาทางตา...ก็ชื่อว่าได้ธรรมปีติขั้นต้น ขั้นเริ่มแรกก่อนเข้ากรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับแล้วละน๊ะ.  ขอให้สำเร็จดังใจปารถนาเด้อญาติโยมเอ้ย... เจริญพร.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2010, 03:57:48 am โดย หลวงพี่เฉย »
บันทึกการเข้า
"ขอให้รวยโดยฉับพลัน!!!...ทุกท่านเทอญ"   วรธมฺโมภิกฺขุ (หลวงพี่เฉย)

patra

  • RDNpromote
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรมรรค
  • *
  • ผลบุญ: +100/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 971
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: เมื่อศรัทธา หวั่นไหว ควรทำอย่างไร
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ตุลาคม 19, 2010, 01:13:11 am »
0
อย่าลืม คำภาวนา กันนะครับ

 :13:
บันทึกการเข้า
ข้าพจ้า สนับสนุนการเผยแผ่ พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ