ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หลายท่าน บอกว่า ปีติและสุข เป็นธรรมขวาง พระนิพพาน  (อ่าน 7393 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ประสิทธิ์

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +14/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 639
  • จิตว่าง ก็เป็นสุข
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
หลายท่าน บอกว่า ปีติและสุข เป็นธรรมขวาง พระนิพพาน เวลาสนทนากันในเรื่องสมาธิ กรรมฐานทุกท่านก็มักจะกล่าวและพูดว่า สมาธิ ทำให้ติดสุข ไม่จำเป็นต้องฝึกสมาธิ ก็ได้แค่เจริญสติ ตามดู รู้ทันจิต ก็เพียงพอแล้ว อยากทราบความเห็นทุกท่าน มีความเห็นอย่างไร กับเรื่องเหล่านี้ ครับ

  :c017: :welcome:
บันทึกการเข้า
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครชู ช่างเขา
ใครด่า ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

:;

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
หลายท่าน บอกว่า ปีติและสุข เป็นธรรมขวาง พระนิพพาน สมาธิกรรมฐานทุกท่านไม่จำเป็นต้องฝึก ก็แค่เจริญสติ ตามดูรู้ทันจิต ก็เพียงพอแล้ว อยากทราบความเห็นทุกท่าน มีความเห็นอย่างไร กับเรื่องเหล่านี้ ครับ

ผู้ใดกล่าวเสียเช่นนี้แล้ว ต้องเรียกว่าหมดวาสนาเจโต อภิญญา เข้าข่ายจักเป็นเสีย วิปัสสก เท่านั้น ซึ่งพิจารณาแล้วก็

เหมาะควรแก่ผู้คนในยุคนี้ หรือสังเกตจะพบว่ากลุ่มพวกที่ชอบฤทธิ์ อภิญญา อย่างเก่งก็อาศัยเครื่องราง ขมังคาถา บ้า

มงคลวัตถุ ประมูลเช่า แค่นั้นจริงๆ ผู้ที่จะใฝ่ภาวนาจริงจังถึงสุขเอาสุขเป็นบาทฐานภาวนามีน้อยหายากแล้ว เว้นเสีย

แต่ครูอาจารย์ที่ลี้เร้นร้างสังคมมีอยู่บ้าง แต่ก็ยากจะเจอ ครับ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 06, 2012, 02:11:26 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
โดยส่วนตัวผมนะครับ

- การที่จะตามรู้ทันจิตมันยากครับ โดยมากเราจะรู้ตามหลังจากที่มันปรุงแต่งแล้วและแสดงเกิดขึ้นแล้ว อาจจะรู้ได้ก่อนเกิดสมมติบัญญัติใดๆ
- แต่การจะรู้ทันจิตที่ว่านี้ ต้องพึงพิจารณารู้สภาพจริงๆด้วยปัญญาในวิปัสนากัมมัฏฐานในสติปัสฐาน๔ กาย เวทนา จิต ธรรม
- แต่จะทำอย่างไรให้รู้ทันจิตสภาพจริงที่เป็นปรมัตถธรรมที่ไม่ใช่ความคิดปรุงแต่งสมมติแห่งตน หรือ ธัมมารมณ์ // การจะระลึกรู้หรือทำเช่นนี้ได้นั้นต้องอาศัยสมาธิครับ บางคนใช้สมาธิทั่วไปที่มีเพียงเล็กน้อย(ขณิกสมาธิ)เข้าพิจารณาอาจจะไม่ได้สภาพปรมัคถธรรม เพราะกำลังสมาธิไม่พอนั่นคือไม่ควรแก่งาน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าต้องใช้สมาธิที่สามารถเข้าถึงสภาพจิตของ อารมณ์สมถะ จึงจะแน่นและจดจ่อได้นานจนเห็นสภาพปรมัตถ์ได้ชัดเจน
- แต่สมาธินั้นสามารถเกิดขึ้นโดยไม่มีสติก็ได้ แต่ทุกครั้งที่สติเกิดสมาธิก็จะเกิดตามมา เพราะเมื่อสติระลึกรู้สิตได้ จิตเราต้องจดจ่อมีสมาธิในสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ แต่สมาธิที่ว่านี้อาจจะไม่ใช่สมาธิที่ควรแก่งานเสมอไป นั่นคือ อาจจะไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่สัมมาสมาธิจะเอื้อต่อสัมมาสติ และ สัมมาสติจะเกิดคู่กับสัมมาสมาธิเสมอ
- ดังที่ผมกล่าวมาในข้างต้นทั้ง 4 ข้อนั้น ส่วนตัวผมพิจารณาว่าทุกอย่างต้องไปควบคู่กัน เพื่อเข้าถึงทุกข์ รู้ทุกข์ และเห็นทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง โดยส่วนตัวของผมอาจจะกล่าวขัดกับหลายๆท่านว่าการปฏิบัติ อย่าไปหวังต้องการใน พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ อภิญญา ฌาณ ญาณ ให้ปฏิบัติด้วยปารถนาอยากจะลดละความทุกข์ อยากจะพ้นกองทุกข์ จนถึงที่สุดในกองทุกข์ หากเมื่อเห็นทุกข์แล้ว และสามารถหาเหตุพร้อมทางออกจากทุกข์ได้แล้วนั้น เมื่อเราสะสมบุญบารมีมาเพียงพอแล้ว มันก็จะเป็นเองโดยอัตโนมัติ
- ไม่ต้องอยากไปตั้งหวังปารถนาอยากได้สิ่งใดๆ เพราะหากตั้งความหวังอยากได้เช่นนั้นแล้วมันจะหาประโยชน์ใดๆไม่ได้แก่ตนเองและคนอื่น เพราะมันจะกลายเป็นตัณหา เป็นอัตตา อุปาทานให้ใจตน จะทำให้ไม่เห็นทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง แต่จะเห็นอัตตาอุปาทานตนเองแทน พระพุทธเจ้าไม่ได้เผยแพร่พระธรรมเพื่อฤทธิ์เดชใดๆ แต่เผยแพร่ธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายเห็นทุกข์ เห็นทางดับทุกข์ เห็นทางพ้นทุกข์

ลองดูครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 07, 2012, 02:17:32 am โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ศิล สมาธิ ปัญญา (ปัญญานั้น คือผล แล้วนะ)ถ้าขาด สมาธิ สามคํานี้จะครบองค์ประกอบมั๊ย เพราะศิล สมาธิคือเหตุ ปัญญาคือผล
      ถ้าศรัทธาในพระพุทธเจ้า ก็ควรว่าตาม ศิล สมาธิ ปัญญา
          ปีติ สุข เป็นราก เป็นเง่า เป็นเค้า เป็นโคลง เป็นมูล ของธรรม
           เพราะปีติ สุข มี อุเบกขา จึงเกิดภายหลัง
              อย่างในตําราวิชาโลกุดรสยบมาร
  ก็เริ่มมาจาก...สติ ธัมมวิจย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา(มีอุเบกขา วางอยู่องค์สุดท้าย วางแล้วใช่ติด ใช่ถืออยู่อีกมั๊ย)
     คงไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย
       เป็นวิชา เดิน โพชฌงค์ 7
      อยู่ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ
            ดูตัวอย่างในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้า ส่งพระมหากัสสปะ ไปเยี่ยม อาการป่วยของ ท่านองค์คุลิมาร เเละสอนให้เดินโพชฌงค์ 7 ก่อนมรณะภาพท่านก็ได้พระอรหันต์
       ผลประโยชน์ของวิชาโลกุดร สยบมาร
          1.แผ่ให้ผู้ที่ลําบาก
          2.แผ่บารมีให้มาร
          3.ทําจิตให้หลุดพ้น
          4.บูชาคุณครูบาอาจารย์
          5.เมตตา
          6.ปราบมาร
          7.มีความเพียร
          8.ปราบคนทุศิล
          9.รักษาโรคกาย โรคจิตตัวเองและผู้อื่น.

          ก็จงพิจราณา เอาเอง ว่าปีติ สุขจะขวางทางพระนิพพาน แบบที่ใครๆว่าใหม คงจะไม่จริงกระมัง ก็องค์คุลิมาร ยังได้เป็นพระอรหันต์ได้
           ..........อีกนัยหนึ่ง......
           ในวิชาหลวงปู่
                   ธาตุสุข คือ (ธาตุพระพุทธเจ้า) ธาตุกายสุข จิตสุข มีธาตุดิน นํา ลม ไฟ ทําจิตเป็นสุข สยบกิเลส ธาตุ
  อุปจารพุทธานุสติ ใช้สยบมารทั้งภายนอก ภายใน ใช้สยบภายในและภายนอก.
                          สุดแล้วแต่บุญวาสนานะจ๊ะ
                         
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

SRIYA

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 199
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คนที่คิดอย่างนี้ ควรได้อ่าน กระทู้ด้านล่างนี้นะคะ



ธรรมะสาระวันนี้ "ธรรม มีเหตุปัจจัย อาศัยซึ่งกันและกัน มิใช่เกิดขึ้นมาโดด ๆ"
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7558
บันทึกการเข้า
อยากให้ทุกชีวิต มีความอบอุ่น

rainmain

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 323
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ต้องตามอ่าน ถึงจะเคลียร์ ครับ เข้าใจง่ายตามพระสูตร ดีครับ

สาธุ สาธู สาูธู

 :25: :25: :25: :c017:
บันทึกการเข้า
คิดดี พูดดี ทำดี เป็นกุศล และ กรรมฐาน เป็นมหากุศล นะครับ

เสกสรรค์

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 419
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ที่ได้ยินมา คือ เมื่อถึงความสุขแล้ว จะทำให้ติดสุข ครับ เป็๋นอย่างนี้ แสดงว่าจากลำดับนั้น เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความสุข ดีได้ใช่หรือไม่ ครับ เพราะฟังครูอาจารย์ต่าง ๆ เตือนมาว่า ระวังติดสุข ทำไมต้องระวัง ผมเองก็ยังคิดในใจเลย เพราะผมเองก็ยังไม่ถึงสุขตรงนั้น แม้จะพยายามภาวนาเอาอย่างจริง ๆ จังมาหลายปีแล้ว ครับ

 ขอคำแนะนำตรงนี้เพิ่มด้วยครับ

  :c017: :25:
บันทึกการเข้า

samapol

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 304
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมเคยได้ยินพระอาจารย์ เคยพูดแสดงไว้ใน รายการ RDN นะครับว่า

  "ให้ถึงความสุข อันเป็นทิพย์เสียก่อนเถิด อย่าพึ่งไปกลัวเลย ยังไม่ถึง จะไม่ตีโพย ตีพาย ไปไย"

  :49:
บันทึกการเข้า

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การที่จะบอกว่า เป็นธรรมขวางหรือไม่ขวางนั้น....ป้าว่ายากที่จะตัดสินได้....ป้าว่าต้องดูที่ใจตนเองเท่านั้น..ถ้ามีแล้วหรือเป็นสภาวะนั้นแล้วไม่ยึดไม่ติดในอารมณ์นั้นๆและ/หรือก้าวข้ามผ่านไปได้.....(อาจจะด้วยปัญญา,ด้วยองค์สมาธิด้วยความอะไรก็แล้วแต่)...ก็ไม่น่าจะถือว่าขวางทางนิพพานกลับเป็นองค์หรืออารมณ์ให้พิจารณาก้าวข้าม(เป็นการทดสอบจิตของตนเองได้ระดับหนึ่ง)ได้....
แต่ถ้าจิตเราเองไปหลงในอารมณ์นั้นๆหรือไปแช่ไปติดกับอารมณ์นั้นๆ(ไม่จำเป็นต้องเป็นปิติธรรมอย่างเดียวหรอกอย่างอื่นๆก็มีเช่นสุข,ความเงียบ,ความเป็นอิสระ เป็นต้น)....อย่างนี้ก็เรียกว่า "ธรรมปิติเป็นเตรื่องขวางกันพระนิพพาน.....
"ผู้ใดกล่าวเสียเช่นนี้แล้ว ต้องเรียกว่าหมดวาสนาเจโต อภิญญา เข้าข่ายจักเป็นเสีย วิปัสสก เท่านั้น ซึ่งพิจารณาแล้วก็

เหมาะควรแก่ผู้คนในยุคนี้ หรือสังเกตจะพบว่ากลุ่มพวกที่ชอบฤทธิ์ อภิญญา อย่างเก่งก็อาศัยเครื่องราง ขมังคาถา บ้า

มงคลวัตถุ ประมูลเช่า แค่นั้นจริงๆ ผู้ที่จะใฝ่ภาวนาจริงจังถึงสุขเอาสุขเป็นบาทฐานภาวนามีน้อยหายากแล้ว เว้นเสีย

แต่ครูอาจารย์ที่ลี้เร้นร้างสังคมมีอยู่บ้าง แต่ก็ยากจะเจอ ครับ!"
...........................................................................
ปิติในที่นี้ คงเป็นองค์ธรรมในสมาธิ ไช่หรือไม่......???
แต่ป้าว่ายังมีปีติอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ไช่ในองค์สมาธิ แต่เป็นธรรมมะปีติที่เกิดในขั้นตอนวิปัสสนา(ไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร...ป้าไม่ถนัดในข้อธรรมะที่เป็นตัวหนัวสือ)ปิตินี้ จะเป็นลักษณะเบาตัวเบาตน ไปก็ง่ายมาก็คร่องละเอียดมากๆไม่ต้องแสวงหาก็ไม่เดือดร้อนกำลังเต็มเปียม.......ซึ่งลักษณะนี้ก็ไม่เที่ยงเช่นกัน...ถ้าใครไปยึดหรือก้าวร่วงไม่ได้ก็ เป็นธรรมขวางพระนิพพานเช่นกัน....
บันทึกการเข้า

intro

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 77
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ปีติ ในสมถะ  วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ปีติ ในวิปัสสนา  สติ ธัมมะวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัสทธิ สมาธิ อุเบกขา

 :49:
บันทึกการเข้า

lastman

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 158
  • สระบุรี มีอรอยพระพุทธบาทมากที่สุด.................
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ความกลัว
ความรู้มาก
ความไม่เข้าใจ
ความไม่ขวนขวาย
ความสงสัย

 เป็นอุปสรรค ต่อการภาวนา
 จงเรียนรู้ข้อผิดพลาด ที่เกิดขึ้น พร้อมหาวิธีการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น
 :49: :welcome:
บันทึกการเข้า
อนันตริยกรรม ๖ พึงงดเว้น
มีเพื่อนบอกว่าคุณจะเลวอย่างไรก็ได้ แต่อย่าทำผิดศีล ๕

ทิด...คนหนึ่งที่นับถืออาจารย์

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
คนที่คิดอย่างนี้ ควรได้อ่าน กระทู้ด้านล่างนี้นะคะ



ธรรมะสาระวันนี้ "ธรรม มีเหตุปัจจัย อาศัยซึ่งกันและกัน มิใช่เกิดขึ้นมาโดด ๆ"
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7558
ไปอ่านเพิ่มเติมจากเรื่องนี้ เลยนะจ๊ะ
สำหรับการปฏิบัติธรรม ก็มีลำดับการปฏิบัติธรรม มรรค และ ผลเป็นไปตามเหตุปัจจัยแห่งธรรม
ธรรมทั้งหมด เกื้อกูลกันด้วยเหตุปัจจัยอันนั้น เกื้อกูลกันนะจ๊ะ

  ศรัทธา เป็นเหตุให้เกิด ปราโมทย์
  ปราโมทย์ เป็นเหตุให้เกิด ปีติ

  ดังนั้น ปีติ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในการภาวนา ทุกท่านต้องผ่านธรรมสภาวะเป็นไปตามลำดับ ส่วนท่านใดจะอยู่ในสภาวะไหนนาน เร็ว ช้า ฉับพลัน ก็ต่างกันที่ ธรรมบารมีที่สร้างสั่งสมกันมาด้วยเป็นเหตุประการหนึ่ง ธรรมบารมี นี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ถึงไม่กล่าวก็มีอยู่อย่างนั้นเป็น สภาวะวิสัยของผู้ภาวนา เพื่อไปสู่ อริยะมรรค อริยะผล

  เจริญธรรม / เจริญพร

   ;)




บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

prachabeodee

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 135
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สา า าธุ....สาธุ....สาธุ........แล้วก็..สาธุ...สาธุ...สาธุ.........ด้วยเด๊อข้า.......
บันทึกการเข้า