ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หญิงรักหญิงของใหม่ของสังคมไทย ?  (อ่าน 3440 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
หญิงรักหญิงของใหม่ของสังคมไทย ?
« เมื่อ: มีนาคม 16, 2011, 09:00:54 pm »
0

หญิงรักหญิงของใหม่ของสังคมไทย ?

ภาพฝาผนังผู้หญิงเชยนมกันที่วัดคงคาราม จ.ราชบุรี

บทความ โดย ชมพู่*
ความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิงนั้น คนที่ไม่ใช่ชาวหญิงรักหญิงมักจะตั้งคำถามอยู่เสมอว่าเป็นสิ่งที่รับมาจากต่างประเทศ ไม่ใช่วัฒนธรรมไทยหรือเปล่า

ซึ่งบางครั้ง การถามทำนองนี้ ที่ตั้งคำถามถึงความถูกต้อง  ชอบธรรมของความรักของหญิงกับหญิงก็ทำให้ เราเองก็พลอยรู้สึก หวั่นไหวไปด้วย หรือบางครั้งก็ไม่รู้จะตอบคำถามของเขายังไงดี

อัญจารี   ในฐานะเป็นกลุ่ม  หรือที่รวมของชาวหญิงรักหญิง จึงรู้สึกว่าเราน่าจะทำอะไรเพื่อให้พวกเรากันเอง มั่นใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น  และสามารถบอกกับคนที่เข้าใจผิดในเรื่องนี้ได้อย่างมีเหตุผลหนักแน่นพอ

ตัวอย่างแรกที่อยากจะยกมาคือ ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังที่วัดคงคาราม

วัดนี้  มีความเก่าแก่ถึง  217  ปี เป็นวัดมอญ อยู่ที่จ.ราชบุรี ภายในวัดมีสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ต่างๆ  หอนอน  หอฉัน  และตัวโบสถ์วัดได้รับการขึ้นทะเบี้ยนเป็นสิ่งอนุรักษ์ของกรมศิลปากร


ส่วนภาพจิตกรรมฝาผนังนั้น ได้รับการให้ความสนใจและศึกษาตลอดจนตีพิมพ์เป็นเอกสารมากมาย  เพราะเป็น ภาพเก่าที่มีความสวยงามมาก  และแสดงให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ของชีวิตไทยสมัยเก่า

ภาพวาดส่วนใหญ่เป็นเรื่อง   ทศชาติ   ของพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้  และด้วยการบรรยายชาติต่างๆนี่เองได้มีภาพที่ แสดงถึงความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิงอยู่  มีทั้งผู้หญิงที่ถูกลงโทษเพราะมีความสัมพันธ์กับหญิงด้วยกัน  ภาพนางใน และหญิงชาวบ้านธรรมดา ไม่อยากบอกมากกว่านี้เพราะอยากให้ไปดูเองที่วัด

อีกตัวอย่างหนึ่งที่ยกมาก็คือบทกลอนของสุนทรภู่ จากการศึกษาของชลดา เรืองรักษ์ลิขิต ภาควิชาภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(1) ได้แสดงให้เห็นว่าสุนทรภู่ได้กล่าวถึงเรื่องของหญิงรักหญิงเอาไว้หลายตอนด้วยกัน
ในที่นี่จะยกมาให้อ่านเพียงสองตอนเท่านั้น จากเรื่องนิราศพระประธม

ที่ปลูกรักจักได้ชื่นทุกคืนค่ำ
ก็เตี้ยต่ำตายฝอยกร๋องกร๋อยโกร๋น
ที่ชื่นเชยเคยรักเหมือนหลักประโคน
ก็หักโค่นขาดสูญประยูรวงศ์
ยังเหลือแต่แม่ศรีสาครอยู่
ไปสิงสู่เสน่หานางสาหงส์
จะเชิญเจ้าเท่าไหร่ก็ไม่ลง
ให้คนทรงเสียใจมิได้เชย


ข้อความตอนนี้แสดงว่าแม่ศรีสาครนั้นรักใคร่อยู่กับนางสาหงส์ คำว่า "สิงสู่" ในที่นี้แสดงว่าความรักที่แม่ศรีสาคร มีต่อนางสาหงส์ ถึงขั้นหลงใหลอยู่อย่างไม่ยอมจากมาหรือไม่ยอมอยู่ห่างไกล 

นอกจากนี้ข้อความที่ว่า  "จะเชิญเจ้าเท่าไรก็ไม่ลง" แสดงว่าสุนทรภู่ก็มีจิตหมายปองนางศรีสาคร แต่นางศรีสาคร ไม่สนใจสุนทรภู่ และไม่ยอมเลิกรักนางสาหงส์

ในเรื่องเดียวกันนี้  สุนทรภู่กล่าวถึงแม่ม่ายอีกคนหนึ่งที่รักผู้หญิงด้วยกัน สุนทรภู่กล่าวไว้ว่า

สงสารแต่แม่ม่ายสายสวาท
นอนอนาถหนาวน่าน้ำตาไหล
อ่านหนังสือหรือว่าน้องจะลองไน
เสียดายใจจางจืดไม่ยืดยาว
แม้นยอมใจให้สัตย์จะนัดน้อง
ไปร่วมห้องหายหม้ายทั้งหายหนาว
นี่หลงเพื่อนเหมือนเคี้ยวข้าวเหนียวลาว
ลืมข้าวเจ้าเจ้าประคุณที่คุ้นเคย


ข้อความนี้ผู้วิจัย(2) ได้ตีความว่าหมายถึงความรักของหญิงหม้ายคนหนึ่งที่มีต่อหญิงด้วยกัน ในข้อความที่กล่าว ถึงมีความหมายว่าแม่หม้ายผู้นี้รู้รสความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชายมา แล้ว แต่เมื่อมารู้รสความสัมพันธ์ระหว่างหญิง กับหญิงกลับชอบใจมากกว่า

สำหรับตัวสุนทรภู่เองนั้น   ผู้วิจัยตีความเอาจากบทกลอนอื่นๆของเขาแล้วเห็นว่า  สุนทรภู่เองไม่ส่งเสริมให้ผู้หญิง มีพฤติกรรมเช่นนี้  และกล่าวเปรียบเทียบว่าความรักแบบนี้สู้ความรักแบบชายจริงหญิงแท้

อีกตัวอย่างหนึ่งที่ยกมาที่นี่คือ กลอนเพลงยาว เรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ซึ่งแต่งโดยคุณสุวรรณ (3) ซึ่งเป็น ผู้แต่งบทละครตลกเรื่อง   "พระมเหลเถไถ"

คุณสุวรรณนี้เป็นธิดาพระอุไทยธรรม  (กลาง)  เป็นราชินีกูลบางช้าง ถวายตัวอยู่ในสำนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งเป็นพระราชธิดารัชกาลที่ 3

เพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์นี้คุณสุวรรณแต่งขึ้นเมื่อประมาณไม่ก่อนพศ.  2384 เพื่อบันทึกเรื่องราวของเพื่อนๆ ในรั้ววัง และจำเพาะที่จะล้อ "หม่อมเป็ดสวรรค์"มากที่สุด

หม่อมเป็ดสวรรค์เป็นใคร?

"หม่อมสุด"  และ  "หม่อมขำ" เป็นหม่อมห้ามสองสาวของกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ สองหม่อมนี้มี ความสนิทสนมกลมเกลียวกันเป็นพิเศษ เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ สวรรคตแล้ว หม่อมสุดเข้าไปรับราชการใน พระบรมมหาราชวัง  ประจำอยู่ที่ตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ต่อมาไม่นาน หม่อมขำเพื่อนสาวก็ตามหม่อมสุด เข้าไปรับราชการอยู่กับกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเช่นเดียวกัน

ตามประวัติกล่าวว่าหม่อมขำออกจะเป็นหญิงกรีดกรายไว้กริยา ซึ่งคุณสุวรรณได้เขียนเอาไว้ว่า

เดินเหินโยกย้ายส่ายกริยา   จึงชื่อว่าหม่อมเป็ดเสด็จประทาน

ส่วนหม่อมสุดนั้น คุณสุวรรณบรรยายไว้ว่า

ชื่อคุณโม่งโด่งดังฝีปากดี
จะพาทีกลางสนามไม่ขามใคร
พูดเล่นเฮฮาร่าเริงแรง
ถึงนายแฟงนายคงครูไม่สู้ได้
แหลมฉลาดปรีชาปัญญาไว
หนังสือไทยอ่านคล่องทำนองชาย


หม่อมสุดนั้นเป็นผู้ที่รู้หนังสือดี  กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพจึงมักจะโปรดให้อ่านบทกลอนถวายเมื่อบรรทมเสมอ และที่เรียกว่าคุณโม่งแทนหม่อมสุดนี้ มีเหตุผลอยู่ว่า คืนหนึ่งเมื่ออ่านหนังสือพระราชนิพนธ์ถวาย หม่อมสุด สำคัญว่ากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพบรรทมหลับ ก็ดับเทียนแล้วเอาผ้าคลุมโปงกอดจูบหม่อมขำ หรือหม่อมเป็ดซึ่ง นอนอยู่ปลายพระบาท

คุณสุวรรณเขียนเพลงยาวบรรยายฉากนี้ไว้ว่า

ครั้นพระองค์ทรงพลิกพระกายกลับ
หมายว่าพระบรรทมหลับสนิทนิ่ง
ก็สมจิตคิดไว้ใจประวิง
ก็คลานชิงกันขยับดับเทียนชัย
เข้าชุลมุนวุ่นวายอยู่ปลายพระบาท
อุตลุตอุดจาดทำอาจโถง
เอาเพลาะหอมกรอมหุ้มกันคลุมโปง
จึงตรัสเรียกคุณโม่งแต่นั้นมา


แต่กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพบรรทมยังไม่หลับ  ทรงเห็นหม่อมสุดทำเช่นนั้นจึงประทานชื่อให้ว่า "คุณโม่ง" เพราะชอบเอาผ้าคลุมโปงกอดสาวดังกลอนข้างต้นนั้นเอง

นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่กรมหมื่นฯ ไม่ได้เอาผิดกับสองหม่อม เพียงแต่เรียกชื่อประชดเล่นๆเท่านั้น    ถ้าเป็นห้องของเจ้านายผู้ชาย  หรือเจ้านายอื่น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร

นอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ เหมือนกับสิ่งที่ญรญ.เผชิญกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เช่น การ ที่อยากจะเปิดเผยความสัมพันธ์ และให้คนรู้ว่าเป็นแฟนกัน  แต่ก็ทำได้แค่เพียงคนใกล้ชิดเท่านั้น เพราะนึก ออกว่าถ้าพูดออกไปจะมีปฏิกริยาอะไรกลับมาบ้าง ดังคำกลอนที่เขียนไว้ว่า

ครั้งหนึ่งเป็ดสวรรค์กระสันจิต
บอกกับคนชอบชิดสนิทหน้า
ว่าคุณโม่งคู่ชีวิตมานิทรา
อยู่ในห้องของข้ามาหลายวัน
พูดแล้วก็ปรามห้ามปาก
อย่าพูดมากไปให้ฉาวคนจะกล่าวขวัญ
เจ้าจงช่วยปกปิดให้มิดควัน
เสร็จสั่งดังนั้นก็นิ่งไป


ความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิง จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่รับมาจากตะวันตก แต่มีอยู่มาก่อนแล้วในประวัติศาสตร์ไทย (อย่างน้อยก็ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์) ดังเช่นกลอนของหม่อมสุวรรณที่เขียนขึ้นในรัชกาลที่  3

จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลานับร้อยปีแล้ว แต่เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับญรญ.เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ก็ยังคงตามมาหลอกหลอนกันจนปัจจุบันนี้ สืบต่อไป



เชิงอรรถ
1) บทความ "รักร่วมเพศในงานของสุนทรภู่" โดย ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต วารสารรามคำแหง ปีที่ 11 ฉ.พิเศษ
2)หมายถึง คุณชลดา เรืองรักษ์ลิขิต
3) บทความ "หม่อมห้าม เลสเบี้ยน" ศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ 1ปีที่ 1พย.2522

*บทความโดยกลุ่มอัญจารี องค์กรสนับสนุนและปกป้องสิทธิคนรักเพศเดียวกัน ที่กลุ่มสะพาน เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อ การทำความเข้าใจ เรียนรู้ เรื่องคนรักเพศเดียวกัน แก่ผู้สนใจทั่วไป จึงนำมาเผยแพร่อีกครั้ง

ที่มา  http://www.sapaan.org/article/34.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: หญิงรักหญิงของใหม่ของสังคมไทย ?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 22, 2011, 01:26:42 pm »
0
เมื่อก่อนเรื่อง ญ ร ญ  หรือ ช ร ช นั้นเป็นเรื่องที่ปกปิดกันในสังคมไทย

แต่ทุกวันนี้ ดูเหมือน คนพวกนี้จะประสพความสำเร็จ ในเวที สื่อ ซึ่งสามารถเข้าไปยืน ไปวิจารณ์ ไปแสดงความคิด

ตามหลักยุค สไตล์ตะวันตก ที่เรียกว่าประชาธิปไตรย เพื่อได้แสดงตัวตนเองได้อย่างเต็มที่

  ในสังคมพุทธ ไม่ได้รังเกียจ คนพวกนี้ เพียงแต่การอุปสมบถเป็น พระภิกษุ นั้นต้องไม่ใช่พวกลักเพศ วิปริตร

เพราะการปฏิบัติธรรมขั้นสูง คือพระนิพพานนั้น ต้องมีสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูกต้อง

   ความเห็นถูกต้อง คือ การยอมรับความถูกต้อง ความจริง ไม่วิปริต ผิดเพี้ยน จากธรรมะ คือ ธรรมชาติ

 เกิดชาติใด ถ้าต้องเิกิดอีกขอให้ข้าพเจ้า อย่าได้วิปริตผิดเพศ เลยนะจ๊ะ

 :25:
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร