ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เทคโนโลยี Blockchain คืออะไร และมันจะมาเปลี่ยนโลกได้อย่างไร  (อ่าน 757 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


ในโลกยุคปัจจุบันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี Blockchain เป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาและสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมโลกเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้กันว่าผู้ที่สร้าง Blockchain นี้ขึ้นมาคือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto หรือผู้ที่เป็นบิดาแห่งเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีนามว่า Bitcoin ที่หลาย ๆ คนรู้จักกันดี

แต่สิ่งที่ผู้คนอยากรู้มากกว่าว่าใครเป็นคนสร้าง Blockchain ขึ้นมาก็คงจะเป็นคำถามที่ว่า Blockchian นั้นคืออะไร?

ซึ่งทาง Siam Blockchain จะมาอธิบายให้เข้าใจกันอย่างเห็นภาพง่าย ๆ

เทคโนโลยี Blockchain หากอธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ลองนึกภาพว่ามันเป็นเสมือนโซ่ที่สร้างขึ้นเพื่อกระจายข้อมูลเก็บไว้ในชิ้นส่วนโซ่ที่ต่อกัน แต่ข้อมูลเหล่านั้นจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ เรียกได้ว่า Blockchain เป็นอินเตอร์เน็ตในรูปแบบใหม่โดยเริ่มแรกถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างสกุลเงินดิจิทัล (Digital Currency) เช่นBitcoin อย่างไรก็ตามในตอนนี้เทคโนโลยี Blockchain ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับสกุลเงินดิจิทัลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ณ ปัจจุบันวงการอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้นำศักยภาพของเทคโนโลยี Blockchain ไปใช้ประโยชน์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจของตนอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น



Bitcoin ถูกเรียกว่าว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล” ที่มีมูลค่าปัจจุบันคือ 1.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Blockchain ก็ถูกนำมาสร้างเงินดิจิทัลประเภทอื่นได้ การมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้จะทำให้เรารู้ว่าเทคโนโลยี Blockchain นั้นเข้ามาปฏิวัติโลกในยุคปัจจุบันอย่างไรบ้าง

นาย Don & Alex Tapscott ผู้เขียนหนังสือ Blockchain Revolution (2016) กล่าวว่า

“เทคโนโลยี Blockchain เป็นเทคโนโลยี บัญชีเก็บข้อมูลแบบดิจิทัลที่กระจายข้อมูลแบบเหมือน ๆ กันที่สามารถตั้งโปรแกรมให้บันทึกข้อมูลใด ๆ ก็ได้ โดยไม่จำกัดอยู่แค่เพียงข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงิน”

ฐานข้อมูลที่ถูกกระจายให้แต่ละคนถือร่วมกัน
ลอกนึกภาพของเอกสารฉบับหนึ่งที่ถูกคัดลอกเป็นพัน ๆ ครั้งบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จากนั้นลองจินตนาการว่าเครือข่ายดังกล่าวถูกออกแบบมาให้อัพเดทข้อมูลในเอกสารดังกล่าวอยู่ตลอด เช่นเดียวกับการทำงานของ Blockchain โดยพื้นฐานก็เป็นเช่นนี้

ข้อมูลที่อยู่บน Blockchain จะสามารถเข้าถึงได้ทุกคน ฐานข้อมูลของ Blockchain จะไม่ได้ถูกเก็บไว้ในที่ใดที่หนึ่งเพียงแห่งเดียว หมายความว่าข้อมูลที่ถูกบันทึกบน Blockchain จะถูกเปิดเผยเป็นสาธารณะและสามารถถูกเข้ามาตรวจสอบได้ ข้อมูลเหล่านี้จะไม่มีส่วนกลางเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมและปกป้อง ดังนั้นนักแฮ็คจะไม่สามารถเข้ามาแฮ็คข้อมูลนี้ได้ เนื่องจากว่าไม่มีจุดศูนย์กลางให้โจมตี นั่นหมายความว่าหากพวกเขาต้องการจะแฮ็คเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลนั้น พวกเขาจะต้องโจมตีฐานข้อมูลที่ถูกกระจายออกไปทั้งหมดในเวลาพร้อมกัน อีกทั้งคอมพิวเตอร์หลายพันเครื่องหลายล้านเครื่องจะเข้ามาดูแลข้อมูลดังกล่าวทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้หมด

หากเปรียบเทียบ Blockchain เป็น Google Docs
หลักการทำงานพื้นฐานของ Google Docs หากอธิบายแบบง่าย ๆ คือการที่เราทำงานที่ต้องใช้ Microsoft Word บน Google Document และสามารถกดแชร์งานที่เราทำอยู่นี้ให้ผู้อื่นเข้ามาทำการตรวจสอบได้ ปัญหาคือคุณต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายจะส่งเอกสารมาก่อนที่คุณจะเข้ามาทำการแก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือตรวจสอบเอกสารนี้ได้เพราะอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ได้กดปุ่มแชร์เอกสารจนกว่าเขาจะทำงานนั้นเสร็จ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายนี้จะไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเอกสารได้พร้อม ๆ กันตราบใดที่มีฝ่ายหนึ่งยังไม่ได้กดปุ่มแชร์ ซึ่งกลไกการทำงานนี้ก็เหมือนกับการทำงานของธนาคารในการเก็บและถ่ายโอนเงินกล่าวคือทางธนาคารจะล็อคการเข้าถึงไว้และเมื่อต้องถ่ายโอนเงินก็จะเปิดให้เข้าถึงข้อมูลได้

หากเปรียบเทียบ Google Document กับบัญชีกระจายข้อมูล (Shared Ledger) ผู้ใช้งาน Google Docs จะสามารถเข้ามาทำงานในเอกสารพร้อม ๆ กันได้ถ้ามีการกดแชร์เอกสารทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเห็นความเคลื่อนไหวของเอกสารนี้ทุกอย่างทั้งก่อนแก้ไขและหลังการแก้ไขเอกสารนี้ซึ่งก็เหมือนกับการกระจายข้อมูลและเมื่อเราได้เผยแพร่ข้อมูลเป็นการทั่วไปให้กลุ่มคนจำนวนมากเข้าถึงได้มันก็จะกลายเป็น Distributed Ledger (การกระจายข้อมูลเป็นการทั่วไป)

คุณ William Mougayar ที่ปรึกษาด้านการลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้าน Blockchain กล่าวว่า

“ลองนึกภาพเอกสารที่เกี่ยวกับกฎหมายที่สามารถเอาเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้ได้ คือแทนที่จะส่งมันให้คนอื่น ๆ ไปมา แล้วไม่รู็เลยว่าใครแก้อะไรตรงไหนไปบ้าง และไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเวอร์ชันที่คนแก้มาตรงกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้มั้ย เอาจริง ๆ นะ ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าทำไมเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจทุก ๆ ตัวถึงไม่สามารถถูกแชร์ให้เห็นได้ แต่กลับถูกส่งกลับไปมา”

เทคโนโลยี Blockchain มีข้อดีอย่างไร ?
เทคโนโลยี Blockchain เหมือนกับอินเตอร์เน็ตตรงที่ว่ามันเป็นระบบที่มีความทนทานสูงมาก (Robustness) ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในกล่องที่อยู่บน Blockchain จะ

ไม่ถูกควบคุมโดยใครคนใดคนหนึ่ง
เมื่อจุดใดจุดหนึ่งเล็ก ๆ ในระบบเสีย จะไม่ส่งผลทำให้ระบบทั้งระบบล่ม (Has no single point of failure)
Bitcoin ซึ่งถูกสร้างปี 2008 ในตอนนั้น Blockchain ของ Bitcoin ไม่เคยมีรายงานว่าระบบการทำงานของมันมีความผิดพลาดหรือล้มเหลวเลย แต่ในปัจจุบันที่มีการแฮ็คหรือการจัดการที่ผิดพลาดเกิดขึ้นเพราะ human error หรือความผิดพลาดโดยมนุษย์ เช่นการแฮ็คเว็บผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ ไม่ใช่การเจาะระบบ Blockchain แต่อย่างใด

คุณ Ian Khan นักเขียนด้านเทคโนโลยีกล่าวใน Tedx ว่า

“ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก คือ Blockchain เป็นกลไกที่จะทำให้ทุกคนได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบของตนเอง ขจัดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการทำธุรกรรมหรือข้อผิดพลาดที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือเครื่องจักร, หรือแม้กระทั่งการแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้เกิดจากความยินยอมของคู่กรณีที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นแล้วความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดของเทคโนโลยี Blockchain คือการช่วยรับรองความถูกต้องของการทำธุรกรรมโดยการบันทึกข้อมูลโดยไม่เพียงแต่ผู้บันทึกข้อมูลตัวหลักเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของผู้บันทึกข้อมูลทุก ๆ ฝ่ายที่ถูกเชื่อมต่อกัน ผ่านกลไกการตรวจสอบที่มีความปลอดภัย”
เครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย (consensus) จะมีการตรวจสอบข้อมูลในทุก ๆ 10 นาที ระบบจะตรวจสอบธุรกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 10 นาทีนี้ การทำธุรกรรมในแต่ละครั้งดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ในกล่องที่เราเรียกว่า Block คุณสมบัติที่สำคัญคือ

ความโปร่งใสของข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้สาธารณะ
ข้อมูลจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้เพราะมันจำเป็นต้องใช้พลังการประมวลผลอย่างมหาศาลที่ต้องไปลบล้างข้อมูลบนเครือข่ายทั้งหมด (อ่านเพิ่มเติมเรื่องการโจมตี 51%)
ในทางทฤษฎีก็อาจเป็นไปได้ที่จะมีคนทำแบบนั้นแต่ในทางปฏิบัติแล้วมันเป็นไปได้ยากมาก ๆ ซึ่งความพยายามที่จะเข้าไปแทรกแซง Blockchain เพื่อขโมยเหรียญ Bitcoin นั้นว่ากันว่าจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อส่งกำลังประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่มากกว่าประเทศหนึ่งประเทศเสียอีก

คุณVitalik Buterin ผู้สร้างเหรียญEthereum กล่าวว่า

“เทคโนโลยี Blockchain เข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการ เมื่อผมพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในแถบตะวันตกผู้คนบอกว่าพวกเขาเชื่อถือ Google, Facebook หรือธนาคารมากกว่า แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบทวีปอื่นไม่ไว้วางใจองค์กรและบริษัทต่าง ๆ มากนักซึ่งผมหมายถึงแอฟริกา อินเดีย ยุโรปตะวันออกหรือรัสเซีย มันไม่เกี่ยวกับว่าจะต้องเป็นที่ที่ร่ำรวยเท่านั้นถึงจะเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ อันที่จริงแล้วเทคโนโลยี Blockchain มีโอกาสที่จะเข้าถึงประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวยมากที่สุดได้มากกว่าเสียอีก”

เครือข่ายโหนด (node)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ถูกเรียกว่า “โหนด” จะสร้างบล็อคขึ้น โหนดคือคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Blockchain โดยใช้ตัว client ทำการตรวจสอบความถูกต้องและส่งต่อการทำธุรกรรม โหนดจะได้รับสำเนาของ Blockchain ที่ดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติเมื่อมันเข้าไปอยู่บนเครือข่าย Blockchain



โหนดทุกตัวเป็นผู้ดูแล Blockchain และเข้ามาอยู่ในระบบด้วยความสมัครใจ ไม่ขึ้นกับส่วนกลาง (decentralized) แต่โหนดทุกตัวที่เข้ามาอยู่ใน Blockchain ก็มีจุดประสงค์คือการได้มาซึ่ง Bitcoin ที่ถูกขุดขึ้นมาใหม่

ในบางครั้งโหนดถูกเรียกว่าเป็นการขุด Bitcoin ซึ่งเป็นการเรียกที่ไม่เหมาะสมนัก การที่จะได้ Bitcoin มานั้นโหนดแต่ละอันต้องแก้ปริศนาคอมพิวเตอร์ โดยเริ่มแรก Bitcoin เป็นเหตุผลที่ Blockchain ถูกสร้างขึ้นแต่ตอนนี้ Blockchain กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในแง่การใช้งานมากที่สุด

ในตอนนี้มีเหรียญคริปโตเคอเรนซีที่เหมือนกับ Bitcoin อยู่ในตลาดประมาณ 1,600 เหรียญ ในขณะเดียวกันก็มีการนำเทคโนโลยี Blockchain ไปปรับใช้กับวงการอื่น ๆ มากขึ้น

คุณ Larry Summers อดีตเลขานุการกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า

“Bitcoin มีบุคลิกลักษระเหมือนเป็นเครื่องแฟ็กซ์ คือเครื่องแฟ็กซ์หนึ่งเครื่องก็เป็นได้แค่ที่กั้นประตูที่ไร้ประโยชน์ แต่ในโลกที่ใคร ๆ ทุกคนมีเครื่องแฟ็กซ์นั้นมันจะถือเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล”

แนวความคิดของการกระจายศูนย์ (decentralization)
เทคโนโลยี Blockchain ถูกออกแบบมาเป็นเทคโนโลยีแบบกระจายอำนาจที่ไม่ขึ้นกับส่วนกลาง (decentralized technology) อะไรที่เกิดขึ้นบน Blockchain คือการทำงานของเครือข่ายโดยรวม ประเด็นคือ Blockchain เป็นการตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการค้าในรูปแบบใหม่ซึ่งการตรวจสอบแบบดั้งเดิมอาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทำพร้อมกันได้เกือบทั้งหมดบน Blockchain หรืออาจทำให้การเก็บบันทึกข้อมูลบางประเภท เช่น การจดทะเบียนที่ดินกลายเป็นสาธารณะอย่างเต็มที่และทำให้เกิดการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของโลกใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Blockchain ในการจัดการกับฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำธุรกรรมของ Bitcoin ซึ่งก็หมายความว่า Bitcoin ถูกจัดการโดยเครือข่ายของมันเองโดยไม่มีอำนาจจากส่วนกลางเข้ามายุ่งเกี่ยว โดย decentralization นั้นก็คือเครือข่ายที่มีการดำเนินการแบบบุคคลต่อบุคคล (peer-to-peer) ที่ไม่ต้องขึ้นกับส่วนกลางนั่นเอง

คุณ Melanie Swan นักเขียนเกี่ยวกับ Blockchain ชื่อเรื่อง Blueprint for a New Economy (2015) กล่าวว่า

“เครือข่ายแบบ decentralized จะเป็นคลื่นลูกใหม่ของเทคโนโลยี”

ใครที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Blockchain ?
ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมทางการเงินดูเหมือนจะเป็นผู้ที่นำเทคโนโลยี Blockchain ไปใช้มากที่สุด โดยเฉพาะกับเรื่องการโอนเงินข้ามประเทศ ทำให้ตอนนี้นักพัฒนา Blockchain เป็นที่ต้องการในตลาดโลกเป็นอย่างมาก

การนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ทำให้สามารถตัดคนกลางสำหรับการทำธุรกรรมต่าง ๆ ออกไปได้ ลองนึกถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ถูกทำให้ใช้งานได้ง่ายมากขึ้นในปัจจุบันด้วยนวัตกรรม Graphical User Interface (GUI) ซึ่งหากนำ GUI มาเปรียบกับโลกของ Bitcoin นั้น มันก็คือกระเป๋า ( wallet) ที่เอาไว้เก็บเหรียญ Bitcoin และ cryptocurrency อื่น ๆ เพื่อโอน หรือนำไปใช้ซื้อของ

การทำธุรกรรมออนไลน์จะต้องมีการยืนยันตัวตนซึ่งในอนาคต wallet apps อาจมีการจัดการเกี่ยวกับการยืนยันตัวตนในรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย

คุณ Wiilliam Mougayar ผู้เขียนThe Business Blockchain: Promise, Practice, and Application of the Next Internet Technology กล่าวว่า

“ตัวตนในโลกออนไลน์จะมีลักษณะเป็น decentralized และเราจะเป็นเจ้าของข้อมูลที่เป็นของเราได้อย่างแท้จริง”

เทคโนโลยี Blockchain กับความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น
การกระจายข้อมูลบนเครือข่ายทำให้มันช่วยขจัดความเสี่ยงที่ข้อมูลจะถูกรวบรวมไว้ที่ส่วนกลาง

ทำให้นักแฮ็คไม่มีฐานข้อมูลกลางที่ไว้ใช้เจาะข้อมูล ในปัจจุบันนี้อินเตอร์เน็ตมีปัญหาด้านความปลอดภัย เราเชื่อว่าการใช้ username และ password จะช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลหรือทรัพย์สินของเรานั้นรั่วไหล เทคโนโลยี Blockchain จะช่วยทำให้ความปลอดภัยของข้อมูลและทรัพย์สินของเรามีมากขึ้นได้ด้วยวิธีการทางด้านความปลอดภัยของ Blockchain นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ต้องเข้ารหัส (encryption technology)

หรือที่เราเรียกว่า ‘key’ ตัว Public Key จะระบุ address ของผู้ใช้ที่อยู่บน Blockchain และ Bitcoin ที่ถูกโอนไปมาบนเครือข่ายจะถูกบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมไว้บน adress ของผู้ถือ ส่วน Private Key จะเปรียบเสมือน password ที่ทำให้เจ้าของสามารถเข้าถึง Bitcoin หรือเหรียญดิจิทัลอื่น ๆ ได้ ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้บน Blockchain จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

เครือข่ายบนเลเวลที่สอง
ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ที่ว่านี้จะทำให้เว็บไซต์นั้นมีเลเยอร์ของฟังก์ชันการทำงานตัวใหม่โผล่ขึ้นมา

ปัจจุบันผู้ใช้งาน Bitcoin สามารถที่จะส่งเงินหากันเองได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง อีกทั้งอัตราการใช้งานเหรียญดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมานั้น มูลค่าการทำธุรกรรมของ Bitcoin ต่อวันโดยรวมคิดเป็นตัวเลขที่สูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน ความได้เปรียบในด้านของความปลอดภัยของ Blockchain นั้นทำให้ธุรกิจด้าน internet กำลังพึ่งพาสถาบันการเงินแบบเก่าในปัจจุบันน้อยลง

คุณ George Howard อาจารย์รับเชิญของ Brown University, Berklee College of Music และผู้ก่อตั้ง George Howard Strategic กล่าวว่า

“ปี 2017 จะเป็นปีที่สำคัญของเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งบริษัท Startup หลายแห่งอาจจะเริ่มมีรายได้มากขึ้นหรือบางแห่งอาจจะไปไม่รอดเนื่องจากมีเงินทุนไม่มากพอ ในปี 2017 นี้จะเป็นปีที่มีการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการผลิตสินค้าเพิ่มมากยิ่งขึ้นแต่ผู้บริโภคอาจไม่สังเกตเห็นว่าเทคโนโลยีนี้เข้ามาทำให้ชีวิตของผู้คนหรือธุรกิจดีขึ้นอย่างไร ปี 2017 เป็นปีที่แสดงให้เห็นถึงการนำ Blockchain มาใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นซึ่งมันทำให้ผู้ที่สงสัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ได้เห็นการทำงานของมันด้วยตัวเองไม่ใช่แค่ได้ยินมา

ที่มา https://siamblockchain.com/2017/06/04/blockchain-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 28, 2021, 08:59:28 am โดย นิรตา ป้อมนาวิน »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ