ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดถิ่นฐาน “ชาวขแมร์” ในรัตนโกสินทร์ อยู่ตรงไหน ทำอะไรกันบ้าง.?  (อ่าน 203 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ภาพลายเส้นกรุงเทพ เมื่อทศวรรษ 1860 (ภาพจาก หนังสือ Travels in the central parts of Indo-China (Siam), Cambodia, and Laos โดย อ็องรี มูโอต์)


เปิดถิ่นฐาน “ชาวขแมร์” ในรัตนโกสินทร์ อยู่ตรงไหน ทำอะไรกันบ้าง.?

ชาวขแมร์ (ชาวเขมร) เข้ามาอยู่อาศัยในกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก ทั้งการถูกกวาดต้อนเข้ามาเพื่อค้าขาย หรือเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เช่น รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ที่เขมรมีศึกชิงอำนาจกันภายใน ทำให้ชาวขแมร์ต้องมาตั้งรกรากในกรุงศรีอยุธยากันไม่น้อย และแม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะล่มสลายลงใน พ.ศ. 2310 แต่ชาวขแมร์ก็ยังคงเข้ามาสร้างถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องในสมัยรัตนโกสินทร์ และทิ้งร่องรอยวัฒนธรรมต่าง ๆ มากมายไว้ในสังคมไทย
 
@@@@@@@

“บ้านกลางนา” พื้นที่ชั่วคราวของกลุ่มเชลยชาวขแมร์

หลังสิ้นกรุงศรีอยุธยา กลุ่มเชลยจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวลาว ชาวมอญ รวมทั้งชาวขแมร์ ถูกเกณฑ์ให้ย้ายไปอยู่ในพื้นที่เกษตรห่างไกลเมืองอย่าง “บ้านกลางนา” ที่ธนบุรี ชาวขแมร์ในบริเวณดังกล่าวเริ่มปลูกรากสร้างฐาน เปลี่ยนพื้นที่นอกเมืองให้เป็นชุมชนอาศัยของตนเอง แต่เมื่อเข้าสู่ราชวงศ์จักรี กลุ่มเชลยศึกดังกล่าวก็ต้องโยกย้ายครอบครัว เพื่อเปิดทางให้ค่ายทหารของเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนี) และต้องละทิ้งพื้นที่เกษตรกรรมที่ทำไว้ รวมถึงเข้าไปอาศัยในถิ่นฐานใหม่บนพื้นที่หนึ่งของวัดสระเกศ ทั้งยังต้องช่วยเชลยศึกขแมร์ที่เพิ่งถูกเกณฑ์มาขุดคูเมือง และก่อสร้างสถานที่สำคัญในพระนคร

“สนามกระบือ บ้านโรงไหม และบางลำพูบน” ถิ่นฐานเจ้านายและชาวขแมร์

ไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มเชลยที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในรัตนโกสินทร์ แต่กลุ่มชนชั้นนำยังพลัดถิ่นเข้ามาด้วยเช่นกัน เหตุเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2325 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สยามได้เชิญพระบรมวงศานุวงศ์จำนวน 5 พระองค์มาจากกัมพูชา เนื่องจากเกิดปัญหาระหว่างสยามกับกัมพูชา หนึ่งในนั้นคือ “นักองค์เอง” มาพำนัก ณ วังหน้า ภายใต้การอุปถัมภ์ของอุปราช

ผ่านไปในปี 2326 นักองค์เองได้ย้ายไปอยู่ที่สนามกระบือ บริเวณบ้านโรงไหม ต่อมารัชกาลที่ 1 พระราชทานพระราชวังใหม่ (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อวังเจ้าเขมร) แถบนอกคลองคูเมืองแก่นักองค์เอง แม้ว่าท้ายสุดนักองค์เองจะกลับไปขึ้นครองราชบังลังก์ที่อุดง หรือเมืองหลวงของกัมพูชาขณะนั้นแล้วก็ตาม แต่พระมารดาของนักองค์เองจำต้องพำนักอยู่กรุงเทพฯ จวบจนสิ้นพระชนม์

เมื่อชนชั้นเจ้านายย้ายมาพำนักที่กรุงเทพฯ ก็ต้องมีเหล่าบริวารขุนนางและครอบครัว ไพร่พล ตลอดจนผู้ติดตามมากมายพลัดถิ่นมาด้วยเช่นกัน กลุ่มขแมร์เหล่านี้ได้รับพระราชทานที่ดินให้อยู่แถบบ้านโรงไหมและบางลำพูบน ซึ่งอยู่นอกเขตศูนย์กลางเมือง โดยขุนนางนั้นถูกจัดให้อาศัยบริเวณทิศเหนือของวังหน้า ส่วนไพร่พลอาศัยนอกป้อมปราการตรงข้ามฝั่งคูเมือง ซึ่งก็คือบางลำพูบน

@@@@@@@

“หมู่บ้านขแมร์” กับวัฒนธรรมที่ทิ้งร่องรอยไว้มากมาย

ชาวขแมร์พลัดถิ่นเพิ่มจำนวนขึ้นอีกครั้งจากการกวาดต้อนเชลยศึกนับหมื่นคน หลังสยามเข้ารุกรานกัมพูชา จากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระรามราชาธิราช (นักองค์โนน) ผู้คนมากมายถูกบังคับให้เดินเท้าเข้ามาในกรุงเทพฯ เหตุเพราะต้องการกำลังคนในการก่อสร้างคูเมือง รวมถึงสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ

พวกเขาถูกเกณฑ์ให้ไปอาศัยบริเวณฝั่งตะวันออกของคูเมือง จนกลายเป็น “หมู่บ้านขแมร์” ซึ่งผนวกเข้ากับวังเจ้าเขมร บ้านบาตร และบ้านดอกไม้ คนในหมู่บ้านดังกล่าวมีอาชีพมากมาย ไม่ว่าจะแสดงละคอน ระบำกายกรรม หรือเกี่ยวกับศาสนา เช่น ผลิตสังฆภัณฑ์ มนต์ดำ ยิ่งไปกว่านั้น “การทำบาตรพระ” ยังเป็นอีกเครื่องมือทำมาหากินหนึ่งของพวกเขา

หมู่บ้านขแมร์เติบโตมากขึ้นจากการกวาดต้อนคนช่วงรัชกาลที่ 3 ผ่านฝีมือของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) การกวาดต้อนครั้งนี้ไม่เพียงแต่ได้ชาวขแมร์พลัดถิ่นจำนวนมาก แต่ยังมีเจ้าเขมรถึง 3 พระองค์มาด้วย ทำให้หมู่บ้านขแมร์นั้นขยับขยาย และกลายมาเป็นศูนย์กลางของชุมชนขแมร์

อย่างไรก็ตาม หมู่บ้านขแมร์ที่รุ่งเรืองก็ต้องจางหายไปตามกาลเวลา เมื่อสมเด็จพระหริรักษ์รามาอิศราธิบดี (นักองค์ด้วง) กลับไปยังกัมพูชา แม้ว่าพระโอรสของพระองค์จะยังพำนักอยู่ในฐานะตัวประกันหลวงก็ตาม พอถึงปี 2401 การมีอยู่ของเจ้าเขมรก็ยิ่งลดลง และถูกแทนที่ด้วยชั้นเจ้านายระดับล่าง รวมถึงสยามที่ก้าวเข้าสู่ความเจริญ ทั้งยังมีการเวนคืนและก่อสร้างถนนขนาดใหญ่เพื่อสลายย่านเขมร ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ทำให้ย่านนั้นถูกกวาดล้าง และถูกพัฒนาให้เป็นพื้นที่พาณิชย์ของกลุ่มคนจีนแทน

เมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มชาวขแมร์จึงเริ่มกลืนกลายตนเองให้มีความเป็นไทยมากกว่าที่จะยึดโยงชาติพันธุ์ของตนเองไว้เช่นเดิม

จะเห็นได้ว่าชุมชน “ชาวเขมร” ไม่ได้มีเพียงแต่สมัยอยุธยา ทว่าช่วงรัตนโกสินทร์ “ชาวขแมร์” ยังคงปรากฎอยู่ในสังคมไทย ไม่ว่าจะที่บ้านกลางนา บ้านโรงไหม บางลำพูบน และหมู่บ้านขแมร์ แม้ชาวขแมร์บางส่วนจะกลับบ้านเกิดเมืองนอน หรือบางพื้นที่ของชุมชนชาวขแมร์จะสูญสลายหายไปแล้ว แต่ชาวขแมร์ที่ยังหลงเหลือก็ได้นำวัฒนธรรมเดิมของตนเองมาผสมกลมกลืน เป็นส่วนหนึ่งในการก่อร่างสร้างความเป็นไทยในปัจจุบัน


อ่านเพิ่มเติม :-
    - “เขมรอยุธยา ญาติใกล้ชิดที่ถูกบิดเบือน”
    - “ร่องรอย “พระมหามงกุฎ” และของที่ราชวงศ์ไทยพระราชทานกษัตริย์กัมพูชา สมัยรัตนโกสินทร์”






อ้างอิง : แวน รอย, เอ็ดวาร์ด. Siamese Melting Pot ก่อร่างเป็นบางกอก. แปลโดย ยุกติ มุกดาวิจิตร. กรุงเทพมหานคร: มติชน, 2565.

ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : ปดิวลดา บวรศักดิ์
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2566
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_100893
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ