ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - สายฟ้า
หน้า: [1] 2
1  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ถ้าเรายังพอใจอยู่ในสังสารวัฏ นี้ ควรทำอย่างไร ถึงจะไม่หลุดไปอบายครับ เมื่อ: ธันวาคม 14, 2011, 10:07:13 am
ถ้าเรายังพอใจอยู่ในสังสารวัฏ นี้ ควรทำอย่างไร ถึงจะไม่หลุดไปอบายครับ เพราะเกรงว่าการเพลิดเพลินในสังสารวัฏ นี้อาจเป็นเหตุให้ลงอบายได้

  จึงอยากทราบวิธีการที่ จะอยู่ในสังสารวัฏ โดยที่เราไม่ต้องเสีี่ยงที่จะลงไปอบาย ครับ

 ควรมีคุณธรรม อะไรบ้างครับ สำหรับการที่เราจะอยู่เป็น พุทธภูิมิ ต่อไป

  :c017: :25:
2  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / หลวงปู่ละมัย ฐิตมโน สวนป่าสมุนไพร จ.เพชรบูรณ์ ได้ละสังขาร 8 ธ.ค.54 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2011, 02:13:22 pm
เรียนกัลยาณมิตรทุกท่าน

เนื่องด้วยหลวงปู่ละมัย ฐิตมโน สวนป่าสมุนไพร จ.เพชรบูรณ์
ได้ละสังขาร เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2554 (เวลาโดยประมาณ 2.10 น.)


ร่วมบุญได้ถึงวันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2554 เวลา 12.00 น.

3  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นั่งกรรมฐาน แล้ว มีเสียงลั่นที่หู แก้อย่างไร ครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2011, 09:43:35 am
เวลานั่งกรรมฐาน แล้ว มีเสียง ลั่น เปรียะ ๆ พรึ่บ อย่างนี้ แก้อย่างไรครับ
ได้ยินดังมาก จนรำคาญครับ ออกจากสมาธิสักครู่ ถึงจะหาย เป็นตอนที่ภาวนาอยู่ที่ ฐาน 2 ครับ

  :c017:
4  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / เพลง คนไทยไม่เคยทิ้งกัน เมื่อ: ตุลาคม 29, 2011, 10:30:39 am




เครดิต วีดีโอ lumpan100
5  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รถไฟความเร็วสูงจีนตกราง 23 ก.ค.2554 เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2011, 11:33:00 am


วันนี้ (23 ก.ค.) เวลา 20.34น. ตามเวลาในประเทศจีน เกิดอุบัติเหตุรถไฟความเร็วสูงของจีนขบวน D3115 ที่วิ่งจากเมืองหางโจวไปยังเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียงตกราง ทำให้โบกี้บางส่วนร่วงลงจากรางที่วางอยู่บนสะพานที่มีความสูงจากพื้นดิน ประมาณ 20-30 เมตร ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

สื่อจีนรายงานว่า รถไฟความเร็วสูงขบวน D3115 ซึ่งสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยวิ่งจากต้นทางเมืองหางโจวไปยังปลายทางเมืองเวินโจวเป็นระยะทางประมาณ 740 กิโลเมตร ออกเดินทางออกจากชานชลาเมืองหางโจวเมื่อเวลา 16.36น. ที่ผ่านมา และมีกำหนดถึงที่หมายเวลา 21.45น. เมื่อเวลาประมาณ 20.30น. ขณะที่รถไฟขบวนวิ่งผ่านบริเวณซวงอวี่เซี่ยอ้าว ในเขตของเมืองเวินโจวได้เกิดอุบัติเหตุตกรางจนทำให้โบกี้บางส่วนของขบวนรถ ดังกล่าวตกลงจากรางซึ่งวางอยู่บนสะพานสูงจากพื้นดินราว 20-30 เมตร โดยโบกี้หนึ่งได้กระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง ขณะที่อีกโบกี้หนึ่งห้อยต่องแต่งอยู่บนสะพาน

รายงานจากสื่อเวินโจวที่อยู่ในที่เกิดเหตุระบุด้วยว่า ในแต่ละโบกี้ของขบวนรถไฟดังกล่าวบรรจุผู้โดยสารได้ราว 100 คน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยมีบางส่วนอาจถึงขั้นเสียชีวิต

จีนเพิ่งเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา ก่อนเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง และล่าสุดเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2554 ได้เปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงสายปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลักของประเทศจีน ทว่าหลังจากเปิดให้บริการได้ราวสิบวัน เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ก็เกิดเหตุขัดข้องทำให้รถไฟจำนวน 19 ขบวน ที่วิ่งระหว่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ต้องหยุดนิ่งระหว่างทางเป็นเวลากว่า 90 นาที เนื่องจากประสบกับพายุฝนและลมแรง ทำให้ระบบการจ่ายพลังงานของรถไฟมีปัญหา

การเร่งรัดก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจำนวนหลายสายในประเทศจีนในช่วงหลายปี ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นอย่างมากในหมู่ข้าราชการและผู้รับเหมา นอกจากนี้การก่อสร้างอย่างเร่งรีบยังทำให้มีผู้ตั้งข้อสงสัยถึงมาตรฐานความ ปลอดภัยของระบบรถไฟความเร็วสูงในจีนอีกด้วย


http://www.vkizz.com/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87/
6  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โจ๋เชียงใหม่โชว์เก๋่า รุมกระทืบวัยรุ่นต่างถิ่นปางตาย เมื่อ: มิถุนายน 04, 2011, 10:05:36 am
โจ๋เชียงใหม่โชว์เก๋่า รุมกระทืบวัยรุ่นต่างถิ่นปางตาย

โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กยกย่องวีรกรรมตัวเอง ตำรวจไอซีทีเ่ร่งแกะรอยดำเนินคดี


สภ.เมือง เชียงใหม่ ได้รับแจ้งเหตุจาก นายก๊อบ (นามสมมติ) อายุ 18 ปี นักศึกษาชั้น ปวส.1 โรงเรียนแห่งหนึ่ง พร้อมกับ นางอ่อน (ไม่มีนามสกุล) อายุ 40 ปี ชาวพม่า เดินทางมาแจ้งความว่า เมื่อคืนวันที่ 24 พ.ค. นายก๊อบ (นามสมมติ) อายุ 18 ปี และ นายไก่ (นามสมมติ) อายุ 16 ปี สองพี่น้องถูกรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส

โดยวันเกิดเหตุ นางอ่อน เล่าว่าลูกชาย 2 คน ได้ไปเที่ยวงานสรงน้ำพระธาตุดอยคำ ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีการแสดงมหรสพ ระหว่างที่เดินอยู่ในงานได้ถูกกลุ่มวัยรุ่นอ้างว่าตนเองว่าเป็นกลุ่ม "เป๋อเว่อ" มากันประมาณ 20 คนได้เข้ารุมทำร้ายร่างกายและใช้เหล็กตีศรีษะลูกชาย (นายก๊อบ) มีบาดแผลฉกรรจ์ทั้งหมด 3 แห่ง ส่วน นายไก่ ลูกชายอีกคนถูกตีที่ศีรษะได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล

ทั้งนี้ นายก๊อบ (นามสมมติ) เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเรื่องกลุ่มแก๊งเป๋อเว่อได้มาโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กกล่าวชมเชย กลุ่มพฤติกรรมของพวกตัวเองที่สามารถสร้างวีรกรรมครั้งนี้ขึ้นมา นอกจากนี้ยังยกย่องตัวเองว่าเป็นคนเก่งที่สามารถทำร้ายคนแก๊งอื่นได้

อนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มอบข้อมูลให้ตำรวจไอซีที ตร.ภ.5 แกะรอยการใช้เฟซบุ๊กของวัยรุ่นกลุ่มนี้ เพื่อมาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป 
7  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Buddha Thus Have I Heard - 01 เปิดฉากเริ่มเรื่อง เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2011, 09:17:16 pm
Buddha Thus Have I Heard - 01 เปิดฉากเริ่มเรื่อง

8  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อยากทราบว่า เวียนเทียน นี่จำเป็นต้องทำเฉพาะวันสำคัญทางศาสนา เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2011, 09:13:11 pm
อยากทราบว่า เวียนเทียน นี่จำเป็นต้องทำเฉพาะวันสำคัญทางศาสนา
หรือเปล่า  และเพื่ออะไร แล้วเวลาเวียนเทียนคนจะต้องท่องอะไรบ้าง
หรืออธิษฐานตามใจเรา และได้บุญเนื่องจากอะไร

อยากถามตามเขาบ้างครับ

 :c017:
9  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กฏแห่งกรรม เพียงอ่าน แล้วคิด... ทำไว้ในใจและหาทางละจากวงเวียนนี้เสีย เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 04:04:47 pm

 1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย 
          เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

 2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
          เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

 3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
          เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

 4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต
          เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

 5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
          เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

 6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
          เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

 7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
          เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน 

 8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
          เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

 9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
          เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้ญาติในชาติก่อน

 10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า 
          เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

 11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
          เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

 12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
          เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

 13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
          เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

 14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
          เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

 15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญาอ่อนและหูหนวก
          เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

 16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
          เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้น น้ำลำธารให้เป็นพิษ

 17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
          เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

 18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
          ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มา ไม่มีสิ้นสุด

 19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
          คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า
10  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สอบถาม เรื่องบุญ บาป หน่อยครับ เกี่ยวกับ วัด เมื่อ: เมษายน 04, 2011, 12:00:07 pm
เมื่อวานได้ไปที่วัด ปรากฏในวัด มีต้นมะม่วงในวัด ที่เจ้าของที่ดินได้ถวายให้วัดแล้ว เป็นมะม่วงพันธ์ดี พวกเราเห็น
มีจำนวนมาก ด้วยความอยากลิ้มลองก็เลยไปนำมากินกันแก้ความอยากกัน แต่ก่อนที่จะกินนั้น ก็ได้ไปขอหลวงพ่อ
เจ้าอาวาส ซึ่งท่านปกครองวัดอยู่ ซึ่งวันนั้นพวกญาติพี่น้อง พ่อแม่ได้ไปทำบุญเลี้ยงเพลกัน อยู่แล้ว ท่านก็อนุญาตพวกเราก็เลยปีนขึ้นไปเก็บมากินคนละลูกสองลูก สมความอยาก

  แต่มาตอนนี้ ก็มีคนพูดว่า เอาของวัดกินเป็นเปตร ตายไปเป็นเปตร

  ทำให้พวกผม ก็หนาว ๆ ร้อน ๆ กันอยู่ว่า เราพลาดกันแล้วใช่ไหมนี่...แม้ว่าขอถูกต้อง ก็ยังบาปอีกหรือนี่....
ื่
  เผอิญเมื่อวานผมไปเห็นคนแก่ที่บอกว่าผมจะเป็นเปตรนั้น ช่วงพระไปทำวัตรแกไปสอยมาเป็นตระกร้าเลย..

  เรื่องของคนแก่นั้น ขอพักไว้ก่อน


  ผมสงสัยว่า พวกผมมีความผิดหรือไม่ครับ

  ถ้ามีความผิด ทำอย่างไรจะแก้ไขให้หนักเป็นเบาได้ครับ....

   :41:
11  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / บางครั้งเราพูดโกหก ด้วยความจำเป็น อย่างนี้ผิดศีลหรือไม่ครับ เมื่อ: มีนาคม 29, 2011, 05:14:35 pm
คือ เห็นพ่อไปบ้านสองครับ แม่ให้ตามไป แล้วก็ถามว่า พ่อไปที่ไหนครับ ผมรู้ว่าถ้าตอบว่า พ่อไปบ้านแม่สอง

แม่จะต้องทะเลาะกับพ่อครับ จึงพูดโกหกไปว่าพ่อไปทำงานที่บ้านนั้นครับ

อย่างนี้ถือว่าเป็นการผิดศีล หรือไม่ครับ......

และจะทำอย่างไร ถ้าเราต้องรักษา ศีล ก็ต้องพูดความจริงกันใช่หรือไม่ครับ

ถ้าพูดความจริงแล้ว ต้องทะเลาะตบตีกันอีก บาปเกิดจากผมเป็นคนพูดจริง ใช่หรือไม่ครับ

 :021:
12  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มีเหตุผลเดียวที่คุณเบื่อคน เบื่องาน คือ คุณไม่กล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่อ: มีนาคม 03, 2011, 09:31:58 am



มีเหตุผลเดียวที่คุณเบื่อคน เบื่องาน  คือ  คุณไม่กล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลง

ถ้าคุณอยากได้งานดี ๆ ทำ  จงเริ่มทำดี ๆ กับงานของคุณ
ทำดี ๆ คือ ทำด้วยใจ
ทำโดยไม่กลัวความผิดหวัง  และ ทำในสิ่งที่คุณต้องทำ
การทำงานที่เปี่ยมไปด้วยความเต็มใจและตั้งใจจริง
เป็นเรื่องของคนที่เติบโตเต็มที่แล้วยังมีเกียรติ
ถ้าคุณทำงานโดยไม่เห็นว่ามันสำคัญและมีค่า
คุณก็ไม่ควรทำลายคุณค่าของงานด้วยการฝืนใจทำ

คุณจะรู้จักคนรักและมิตรสหาย
ก็ด้วยการมอบหมายงานให้เขาทำ
งานจะเปิดเผยธาตุแท้ของมนุษย์
ถ้าคุณทำงานเพื่อความอิ่มท้อง
จิตใจของคุณจะกระหายหิวและเหี่ยวเฉา
ถ้าคุณทำงานเพื่อความอิ่มใจ
แม้ท้องไส้ของคุณจะไม่อิ่มเต็ม
แต่มันก็จะให้พลังและกำลังใจที่คุณต้องการ
คุณต้องมีเวลาให้กับส่วนอื่น ๆ ของชีวิต
“งานมาก” ไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างอะไรได้

เราทุกคนจะมีเวลามากพอสำหรับทุกสิ่ง
ถ้าเรารู้จักใช้เวลาให้เป็น
ถ้าเราเห็นถึงคุณค่าของแผนงาน
ไม่ว่างานอะไรก็ตาม   คุณจงพอใจที่จะทำ
หรือจงพอใจที่จะไม่ทำ   แต่อย่างทำด้วยความไม่พอใจ
เมื่องานที่คุณรักกำลังจะล้มเหลว
อย่าสิ้นศรัทธา  แม้ว่าคุณจะสิ้นทุกสิ่ง

จงศรัทธาในตัวคุณเอง
คุณยังไปได้ดีกว่าที่คุณเป็นอยู่
สิ่งใดที่ทำให้คุณล้มเหลว  คุณต้องเรียนรู้

ต้องเข้าใจ  และต้องเอาชนะ
ชีวิตคุณจะมีความหมายก็ตรงที่มีอุปสรรคมาท้าทายคุณ
แล้วคุณ ตั้งใจจริงที่จะไม่ยอมแพ้
งานที่ดีต้องมีปัญหาและอุปสรรค

ถ้าคุณไม่มีปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญมาท้าทาย
คุณก็ไม่อาจพบกับความรู้สึกดี ๆ ได้ในชีวิต
การค้นคว้าและขบคิดจนแก้ปัญหายุ่งยากได้สำเร็จ
การฝ่าฟันอุปสรรคหนักหน่วงจนได้ชัยชนะ
สองสิ่งนี้ให้ความรู้สึกอะไรกับคุณ  คงจำได้
ชีวิตคุณถ้าไม่ได้ต่อสู้กับความยุ่งยากหนักหน่วงเสียบ้าง
ชีวิตก็คงจืดชืดน่าเบื่อหน่ายเป็นที่สุด

งานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
คุณจึงไม่ใช่รู้จักแต่จะก้าวไปเท่านั้น
คุณต้องรู้จักที่จะหยุดพักด้วย
ชีวิตจะเหมือนหนังสือที่ไม่มีวรรคตอนและย่อหน้า
ถ้าคุณไม่รู้จักว่าเวลาใดควรทำ เวลาใดควรหยุด

ทำงานในวันนี้ให้ดีที่สุด
เพราะเป็นวันที่คุณแน่ใจได้ว่าจะได้ทำ
ทำซิ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด  เพราะพรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ

การทำงานด้วยใจ
เป็นขั้นตอนสุดท้าย  ของการศึกษาทั้งปวง
13  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ใครรู้สึกว่าเบื่อแล้วกับการเกิด เกิดชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้ายเถอะ เมื่อ: มกราคม 27, 2011, 09:10:48 pm
ใครรู้สึกว่าเบื่อแล้วกับการเกิด เกิดชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้ายเถอะ

พอแล้วขอไปนิพพานดีกว่า

มีใครรู้สึกว่าขอเกิดชาตินี้ชาติสุดท้ายพอ ตายแล้วขอไปนิพพานดีกว่า ไม่เอาแล้วการเกิดถ้ามี

คุณคิดแบบนี้เพราะอะไรครับ ?

สำหรับ ผม ผมก็คิดว่า ชาตินี้เกิดมามีแต่ทุกข์ ถ้าเกิดใหม่มันก็คงจะทุกข์อีก
ต่อให้ชาติหน้าเกิดมาหน้าตาดีมาก ฐานะชาติตระกูลดีมาก สุขสบายมาก แต่จริงๆ มันก็ทุกข์อยู่ดี

ที่สำคัญ เกิดมาชาตินี้ยังทุกข์ขนาดนี้ ชาติก่อนทำบุญไว้อาจจะมากกว่าที่ทำชาตินี้ 
แล้วถ้าชาตินี้ทำบุญน้อยกว่าชาติที่ผ่านๆมา ชาติหน้าคงเกิดมาลำบากมากขึ้นกว่านี้อีกเป็นแน่

สุดท้าย ไปนิพพานดีกว่า (คิดจริงๆนะ)
ผมไม่ได้เป็นพระโสดาบัน หรืออะไรนะ แค่เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ไม่สุขจริงเท่านั้น

ถ้าคิดอย่างนี้ พอหรือยัง กับเส้นทางการเป็น สาวกภูมิ ครับ ถ้ายังต้องเพิ่มอะไรอีกครับ โปรดชี้แนะด้วยครับ

ร้องไห้ หรือ

หัวเราะ

มีสุข หรือ

มีทุกข์






:25: :25: :25:
14  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตาบอดคลำช้าง ครับ เมื่อ: มกราคม 27, 2011, 09:00:33 pm


ตาบอดคลำช้าง ครับ

15  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปรัชญาที่ชาวจีนถือว่าเป็นมนตรานำโชคมาสู่ชีวิ ต เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 12:09:57 pm
ปรัชญาที่ชาวจีนถือว่าเป็นมนตรานำโชคมาสู่ชีวิ ต

(chinese tantra totem for good luck)
 
1. จงให้มากกว่าที่ผู้รับต้องการ และทำอย่างหน้าชื่นตาบาน
 
2. จงพูดกับคนที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่า แต่เขาก็มีความสำคัญเท่ากัน
 
3. จงอย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน ใช้ทั้งหมดที่มีและนอนเท่าที่อยากจะนอน
 
4. เมื่อกล่าวคำว่า "ฉันรักเธอ" จงหมายความตามนั้นจริง ๆ
 
5. เมื่อกล่าวคำว่า "ขอโทษ" จงสบตาเขาด้วย
 
6. ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน จงหมั้นเสียก่อนอย่างน้อย 6 เดือน
 
7. จงเชื่อในรักแรกพบ
 
8. อย่าหัวเราะเยาะความฝันของผู้อื่น คนที่ไม่มีฝันก็เหมือนไม่มีอะไร
 
9. เมื่อรักจงรักให้ลึกซึ้ง และ ร้อนแรง อาจจะต้องเจ็บปวดแต่นั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็ม
 
10. ในเหตุการณ์ขัดแย้ง โต้อย่างยุติธรรม ไม่มีการตะโกนใส่กัน
 
11. อย่าตัดสินคนเพียงเพราะญาติๆ ของเขา
 
12. จงพูดให้ช้า แต่ต้องคิดให้เร็ว
 
13. ถ้าถูกถามด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบ จงยิ้มแล้วถามกลับว่าจะรู้ไปทำไม
 
14. จงจำไว้ว่า สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือความรัก และความสำเร็จ ล้วนต้องมีการเสี่ยง
 
15. พูดว่า ขอพระคุ้มครอง เมื่อได้ยินใครจาม
 
16. เมื่อพ่ายแพ้ จงอย่าสูญเสียบทเรียนไปด้วย
 
17. จงจำ 3 R :- นับถือผู้อื่น นับถือตนเอง รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ
 
18. จงอย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มาทำลายมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่
 
19. ทันทีที่รู้ตัวว่าทำผิด ลงมือแก้ไขทันที
 
20. จงยิ้มเวลารับโทรศัพท์ ผู้ฟังจะเห็นได้จากน้ำเสียงของเรา
 
21. จงหาโอกาสอยู่กับตัวเองบ้าง
16  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / น้ำตกเกลือแร่ ที่ประเทศตุรกี ( อยากไปบ้าง ) เมื่อ: มกราคม 16, 2011, 02:38:02 pm






17  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 10 วิธี ที่พอจะทำให้ลืมคนที่อยากลืม เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 12:25:04 pm

10 วิธี ที่พอจะทำให้ลืมคนที่อยากลืม
เหมือนจะยากมากในการที่เราจะลืมใครสักคน แต่ไม่มีอะไรที่เกินความพยายาม ก่อนอื่นให้ทำตามนี้นะ

1. นึกว่าเหตุที่เราต้องลืมเขาเพราะอะไร คงไม่ใช่ส่วนดีของเขาแน่ๆ

2. หลังจากนั้นให้พยายามย้ำความคิดนั้น เพื่อจะไม่ให้เกิดความ อาวรณ์เขามากไป

3. พยามหลีกเลี่ยงการเจอเขาแบบตัวต่อตัว เพราะเกิดเขาเผลอมาทำดีกะเรา เราจะยิ่งเขว แต่ถ้าเขามากะแฟน จะดีมาก (แบบว่าช้ำสุดๆม้วนเดียวจบ)

4. หลีกเลี่ยงไปซ้ำที่เดิมๆ ที่เคยไปกะเขา

5. หากิจกรรมที่ต่างจากเมื่อคบเขา เช่น แต่ก่อนเขาและเราชอบฟังเพลง ป๊อบ ให้เปลี่ยนใหม่ มาฟังเพลงร้อคแทน (เอาให้โลกแตกไปเลย)

6. อย่าทำให้ตัวเองว่าง เกาะเพื่อนๆ เข้าไว้ มันจะเป็นช่วงหนึ่งแหละ หลังจากนั้น จะสามารถอยู่คนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง

7. ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่นลงเรียนต่อ ไปเรียนทำขนม ไปเรียนร้องเพลง ฯลฯ (มีโอกาสเจอเพื่อนๆใหม่ด้วย)

8. อย่านั่งมองท้องฟ้าตอนเย็นๆ เพราะมันจะเหงามาก เคยมีคนศึกษาพบว่าบรรยากาศตอนเย็นคนอยากฆ่าตัวตายมากที่สุด

9. อย่านั่งมองฝนตก เหมือนถ่ายมิวสิกวีดีโอ มันจะยิ่งอยากร้องไห้แล้วถ้าร้องไห้ไม่มีคนมาเช็ดน้ำตาหรอกเพราะคุณไม่ใช่ นางเอกน่ะสิ

10. อย่าหาเรื่องกินจนอ้วน เพราะมันจะทำให้คุณหมดความมั่นใจไปกว่าเดิม

Ps... ลองทำดูนะ เผื่อจะได้หลุดจากความทรมานซะที..
18  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ตายไม่เน่า...เผาไม่ไหม้ “พ่อท่านเขียว” เกจิอาจารย์ขลังแห่งลุ่มน้ำปากพนัง เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 11:35:08 am
ตายไม่เน่า...เผาไม่ไหม้

“พ่อท่านเขียว” เกจิอาจารย์ขลังแห่งลุ่มน้ำปากพนัง

“วัด หรงบน” เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ยังมีการติดต่อได้ลำบาก จากลุ่มน้ำปากพนัง ต้องล่องเรือนานกว่าชั่วโมง ก่อนขึ้นฝั่งที่ บางตะพงษ์ แล้วจะต้องเดินลัดเลาะข้ามทุ่งหญ้าไปอีกไกล จึงจะถึงวัดหรงบน เพื่อกราบนมัสการ “พ่อท่านเขียว” เกจิอาจารย์แห่งลุ่มน้ำปากพนัง เนื่องจากไม่มีถนนเข้าไปถึง อีกทั้ง “พ่อท่านเขียว” ก็ยังไม่มีคนต่างถิ่น รู้จักมากนัก นานทีจึงจะมีคนเข้าไปกราบนมัสการท่าน



“พ่อ ท่านเขียว” ได้มรณภาพไปแล้ว ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๑๙ ณ วัดคงคาวดี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดหรงบนนัก และเป็นเส้นทางเดินผ่านมาจากบางตะพงษ์นั่นเอง การจัดการศพของท่านนั้น พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์ เจ้าอาวาส วัดคงคาวดี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน ได้ตั้งศพของพ่อท่านไว้ที่วัดคงคาวดีหนึ่งคืนพร้อมทำการสวดอภิธรรม เพื่อให้บรรดาสานุศิษย์ได้เคารพศพพ่อท่าน จากนั้นรุ่งขึ้นจึงนำศพของพ่อท่านเดินทางไปยังวัดหรงบน ปรากฏว่าเมื่อชาวบ้านรู้ข่าว ต่างพากันมาร่วมไว้อาลัยพ่อท่านมากมาย และมีการสวดอภิธรรมจนครบ ๓ คืน ระหว่างงานสวดอภิธรรมนั้นได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยบรรดาลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือพ่อท่าน ต่างต้องการแสดงความกตเวทิตคุณ ตามประเพณีงานศพของทางภาคใต้ ซึ่งเป็นประเพณีพื้นถิ่น คือทำการจุดดินปืนที่ใส่ “กระบอกเหล็ก” ยาว ๑ ศอก (ประเพณีนี้คนภาคใต้นิยมจุดกัน) คล้ายกับพลุเพื่อส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ไกลออกไปได้ทราบว่ามีงานศพ ปรากฏว่าการจุดในคืนแรก ดินปืนด้านหมดทั้งสามลูก ไม่ยอมดังหรือติดเลยแม้แต่ลูกเดียว

ต่อมาคืนที่สอง ลูกศิษย์เริ่มจุดอีกช่วง ๑๘.๐๐ น. ปรากฏว่าครั้งนี้จุดทั้งหมดห้าลูก แต่ก็ด้านหมดทุกลูก ไม่ดังและไม่ติดเช่นเดียวกันกับคืนแรก ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันประหลาดใจ ว่าเป็นเพราะเหตุใด จากนั้นพอคืนที่สาม ลูกศิษย์ผู้ที่จุดดินปืนก็ไม่ยอมลดละ ได้ทำการจุดดินปืนที่เตรียมมาใหม่ ในเวลาเดิม ๑๘.๐๐ น. แต่ปรากฏว่าจุดไม่ติด เช่นกันกับสองคืนแรก จะมีก็เพียงควันพวยพุ่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่ยอมระเบิดเลยแม้แต่ลูกเดียว ทำให้ผู้ที่จุดงวยงงสงสัย ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ กระทั่งหลังการบำเพ็ญกุศลเรียบร้อย ก็จะทำการฌาปนกิจศพพ่อท่าน ตามประเพณี แต่บรรดาลูกศิษย์ต่างแตกความคิดกันออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากให้เผาศพพ่อท่าน แต่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการให้เก็บศพพ่อท่านไว้ไม่อยากให้เผา แต่เสียงส่วนใหญ่ต้องการให้เผาศพพ่อท่าน จะได้หมดห่วงหมดกังวล จึงทำให้ ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา ทำการต่อรองขอว่า “ถ้าเผาศพพ่อท่านครบ ๑ ชั่วโมงแล้วไม่ไหม้ ขอให้เก็บศพไว้บูชา” ทุกฝ่ายจึงต่างก็ตกลงกันได้ด้วยดี
การฌาปนกิจศพ “พ่อท่านเขียว” ได้ทำการตั้งเมรุเผากันที่กลางลานวัด โดยใช้ไม้ฟืนที่ชาวบ้านช่วยกันนำมาโดยใช้เหล็กสามท่อน วางรองโลงศพต่างเชิงตะกอนแบบง่ายๆ เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรอเวลาทำการเผาตามประเพณี แต่พอถึงเวลากลับไม่มีใครกล้าจุดไฟเผาพ่อท่านเลย ดังนั้น นายเหลี้ยง ชนะเสน เถ้าแก่โรงสี บ้านใสหมาก อ.เชียรใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์พ่อท่านอีกผู้หนึ่ง จึงเป็นผู้อาสาจุดไฟเอง โดยไม่ลืมทำพิธีขอขมาศพพ่อท่านก่อน แล้ววานท่านอาจารย์เพชร เป็นผู้จุดไฟที่ดอกไม้จันทน์ที่ตนถืออยู่ก่อน จากนั้นนายเหลี้ยงจึงทำการจุดไฟที่กองฟืนทันที ชั่วครู่ไฟจึงค่อยๆลุกลามขึ้นไหม้ทั้งดอกไม้จันทน์ ที่บรรดาญาติโยมนำไปวางไว้ทั้งด้านบนและด้านข้างโลงศพ และฟืนที่รองอยู่ จนควันโขมงและค่อยๆโหมแรงขึ้นๆจนท่วมโลงศพ และฟืนที่สุมอยู่ โดยมี “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างก็คอยจับเวลาดูนาฬิกา ว่าจะครบ ๑ ชั่วโมงเมื่อใด ไฟได้โหมแรงขึ้นๆจนกองฟืนที่สุมไว้ไหม้เกือบหมดแล้ว แต่เวลาก็ยังเหลืออีกมากทำให้ “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างออกอาการหงุดหงิดตามๆกัน แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ จึงได้แต่เร่งเวลาให้ครบชั่วโมงโดยเร็ว แต่ไฟได้ไหม้ทั้งฟืนและโลงศพจนหมดก่อน ที่ผู้ที่จับเวลาจากนาฬิกาที่มีถึงสามคน จากทั้งสองฝ่าย ก็ได้ตะโกนบอกว่า “ครบชั่วโมงแล้ว”

เสียงฆ้องเสียงระฆัง จึงตีรัวดังขึ้น ตามที่นัดหมายกันไว้ นาทีนั้นโดยไม่มีใครคาดคิด นายเหลี้ยง ผู้ที่ทำการจุดไฟรีบวิ่งเข้าไปยังกองไฟที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ แม้จะเริ่มมอดลงบ้างแล้วแต่ก็ยังมีไฟลุกอยู่เป็นส่วนมาก แต่ นายเหลี้ยง ไม่นำพาและไม่ได้หวาดหวั่นกับไฟที่ยังคุกรุ่นเหล่านั้นเลย กลับเดินแหวกควันไฟเข้าไป พร้อมเอามือช้อนลงอุ้มศพของพ่อท่านขึ้นให้ทุกคนดู ปรากฏว่าศพของพ่อท่านเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยใดๆ ให้เห็นว่าผ่านการถูกเผามาเลย แม้แต่จีวรก็ยังเหลืองอร่ามไม่มีร่องรอยถูกเผาเช่นกัน

ผู้ที่เห็น เหตุการณ์ จึงต่างส่งเสียงดังลั่น ส่วนนายเหลี้ยง ที่ใช้มือช้อนใต้ศพ จึงถูกเหล็กรองโลงศพเข้าเต็มๆ แต่แทนที่เหล็กจะร้อนเพราะถูกไฟเผา ปรากฏว่าเหล็กรองโลงศพพ่อท่านเขียวกลับเย็นเฉียบ ไม่มีความร้อนดั่งเช่นเหล็กที่ถูกไฟเผามาก่อนเลย ทำให้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างงงงวยกันยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเป็นเรื่องที่สุดอัศจรรย์โดยแท้ พอได้สติบรรดาญาติโยมต่างเฮโลไปรุมฉีกจีวรของพ่อท่านเก็บไว้ จนจีวรที่ห่อหุ้มร่างของพ่อท่านหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ



เรื่อง ที่เล่ามานี้นับเป็นเรื่อง “อัศจรรย์” และ “เหลือเชื่อ” อย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ไปร่วมงานฌาปนกิจศพพ่อท่าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทุกคนยืนยันได้ เพราะผู้ที่เล่าเหตุการณ์นี้ก็คือ “นายเหลี้ยง ชนะเสน พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์ ท่านอาจารย์ขำ วัดหงษ์แก้ว” รวมทั้ง “นายตั้ง” ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ไปร่วมงาน ต่างยืนยันได้ทุกคน แสดงว่าบุญบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของ “พ่อท่านเขียว” นั้นยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะเพียงแค่ “ท่านมรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย” ก็ถือว่าอัศจรรย์อยู่แล้ว แต่นี่ “เผาไม่ไหม้” แม้แต่จีวรที่ห่อหุ้มร่างกายท่านก็ยังไม่ไหม้อีกด้วย

ปัจจุบัน “ศพของพ่อท่าน” ก็แข็งเป็นหินไปแล้ว สรีระของท่านแข็งและแกร่งมาก แต่คงเค้ารูปแบบเดิมทุกประการเพียงแต่แห้งลงไปบ้างเท่านั้น ขณะนี้ทางวัดได้นำ “สรีระของท่าน” ใส่โลงแก้วไว้ เพื่อให้ผู้คนทั่วไปได้กราบไหว้บูชาและได้ชมสรีระของพ่อท่านด้วยตัวเอง เพราะหากใครได้ไปกราบ “ร่างพ่อท่าน” สักครั้ง ก็นับเป็นบุญอย่างยิ่ง


ย่อจากบทความของ ‘แฉ่ง บางกะเบา’
‘ตายไม่เน่า...เผาไม่ไหม้’
นสพ.เดลินิวส์ วันที่ 1 กันยายน 2550
ภาพจาก
http://www.be2hand.com/scripts/shop.php?do=article_detail&news_id=1752&user=praonline
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา กับความแตกต่าง ..... เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 01:18:35 pm
“The Foolish The Clever The Wise – คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา” เขียนโดยคุณ ไชย ณ พล คือแนวทางในการพัฒนาคุณค่าแห่งตน ในระหว่างพฤติกรรมคนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา

เมื่อทราบถึง พฤติกรรมคนโง่ พฤติกรรมคนฉลาด และ พฤติกรรมคนเจ้าปัญญา แล้วทั้ง 96 ข้อ จงประเมินดูว่าตนเองอยู่ในจำพวกไหน ทำเครื่องหมายไว้แล้ว นับจำนวนรวมแต่ละประเภท แล้วหาอัตราส่วนระหว่างพฤติความโง่ พฤติความฉลาด พฤติความเจ้าปัญญาที่มีอยู่ในใจตน

จากนั้นจงตั้งใจลดความโง่ พร้อมทั้งเพิ่มความฉลาดในใจตนให้มากขึ้น และพัฒนาจากความฉลาดสู่ความเจ้าปัญญาให้มากยิ่งๆขึ้นไป แล้วประเมินใหม่ทุกเดือนภายในหนึ่งปี ควรขจัดความโง่ให้สิ้นไปไม่เหลือซาก แล้วจะพบว่าชีวิตนี้มีคุณค่า และมีความหมายขึ้นตามลำดับ


ว่าด้วยระบบธรรมะ

 

คนโง่ ปรับธรรมะเข้าหาคน
จึงได้คนจำนวนมากเดินตามธรรมะเทียม

 

คนฉลาด ปรับคนเข้าหาธรรมะ
จึงได้คนจำนวนน้อยอยู่รักษาธรรมะแท้

 

คนเจ้าปัญญา ปรับธรรมะและคนเข้าหากัน
ณ จุดแห่งประโยชน์สูงสุดที่เหมาะสมและเป็นไปได้
จึงได้คนจำนวนพอดีอยู่ รักษาธรรมะที่ดีพอ

 

 

ว่าด้วยสำนึกในส่วนรวม

 

คนโง่ คิดแต่เรื่องส่วนตัว

ทำอะไรก็เพื่อตนเอง

แม้อาจทำให้คนอื่นเสียหาย

จึงเป็นที่รังเกียจ สังคมไม่ต้องการ


คนฉลาด คิดแต่เรื่องส่วนรวม

ทำอะไรก็เพื่อส่วนรวม

แม้อาจทำให้ตนเสียหาย

สังคมต่างต้องการแต่ตนไม่อาจตั้งอยู่ได้


คนเจ้าปัญญา คิดแต่เรื่องคุณธรรม

ทำอะไรก็เพื่อประโยชน์สุขทุกฝ่ายในทุกกาลเวลา

จึงเป็นที่ต้องการของทุกฝ่าย

ในขณะที่เขาอาจจะไม่ต้องการใครเลย

 
ว่าด้วยความเป็นธรรม
คนโง่ ชอบเรียกหาความเป็นธรรม
จนบ่อยครั้งใช้กระบวนการที่ไม่เป็นธรรมในการ เรียกหา
จึงยิ่งพาให้ห่างไกลความเป็นธรรม
คนฉลาด ชอบสร้างความเป็นธรรม
ปั้นแล้วปั้นอีก ปั้นอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมแท้ แม้พยายามถึงที่สุด
เพราะความเป็นธรรมแท้ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งทวิลักษณ์
จึงเป็นความหวังดีที่ล้มเหลวเรื่อยไป
คนเจ้าปัญญา ชอบประพฤติธรรม
ดำรงอยู่และดำเนินไปโดยธรรม
จึงได้สิทธิพิเศษโดยธรรม
 
ว่าด้วยความสันโดษ
คนโง่ เอาสันโดษบำรุงความเกียจคร้าน
จึงตกต่ำ
คนฉลาด เอาสันโดษสรรหาคุณหาและความพอดี
จึงบริหารเก่งสำเร็จง่าย
คนเจ้าปัญญา เอาสันโดษเป็นมาตรการปล่อยวาง
จึงได้บุญมากและสำเร็จได้ด้วย บุญฤทธิ์
“สันโดษ” คือ ความยินดีพอใจตามมีตามได้ตามกำลังและความจำเป็นของตน
 
ว่าด้วยปัญญาสัมพันธ์
คนโง่ ยึดถือความรู้
จึงได้แต่แท่งเทียนที่ไร้แสง
คนฉลาด ยึดถือปัญญาญาณ
จึงได้แสงเทียน ส่องทาง
คนเจ้าปัญญา ยึดถือความบริสุทธิ์
จึงได้ประโยชน์จากแสงแห่งชีวิต
“ปัญญาญาณ” คือ ปัญญาที่เกิดความรู้ขึ้นจากความรู้สึกภายในลึกๆของเราเอง ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ เหมือนมีเสียงภายในคอยกระซิบบอก เป็นการหยั่งรู้ได้เองโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม และไม่ต้องใช้การไตร่ตรองใดๆ
ว่าด้วยการสั่งสอน
คนโง่ ชอบสอนความโง่ของคน
ด้วยการก่นด่าส่วนที่โง่ของเขา
ยิ่งสอนจึงยิ่งโง่ทั้งคนสอนและคนถูกสอน
คนฉลาด ชอบสอนความฉลาดของคน
โดยการกระตุ้นให้คิด พูด ทำ อย่างชาญฉลาด
จึงเกิดบรรยากาศสร้างสรรค์ ได้สิ่งใหม่ๆ เสมอ
ยิ่งสอนจึงยิ่งแตกฉานและสนุกสนานทั้งคนสอนและคนถูกสอน
คนเจ้าปัญญา ชอบสอนโดยไม่สอน
ด้วยการนำ ผู้ถูกสอนไปสู่แหล่งกำเนิดปัญญาแท้ๆ เพื่อให้รู้เอง
จนรู้จริงและรู้ ยิ่งๆขึ้นไปถึงที่สุด
ยิ่งสอนจึงยิ่งล้ำค่า และร่าเริงในสัจจะอันยิ่ง
และได้มหาปราชญ์เป็นเพื่อร่วมทางอีกมากมาย
ว่าด้วยความรักและศรัทธา
คนโง่ หลงไหลได้ปลื้มกับความรัก ความศรัทธาที่ผู้อื่นมอบให้
จึงเหลวไหลไปกับสิ่งเร้าอันฉายฉวยเนืองนิตย์
ใจมักตกเป็นทาสผู้รักและศรัทธาจึงเสียความศรัทธาโดยง่าย
คนฉลาด ไม่ใส่ใจในความรัก ความศรัทธาที่ผู้อื่นมอบให้
จึงแข็งกระด้าง และหยิ่งยะโส
แม้ดูเหมือนน่าศรัทธา แต่ไม่น่าคบหา
คนเจ้าปัญญา ไม่หวั่นไหวต่อความรักและความศรัทธาที่ผู้อื่นมอบให้
แต่ใช้ให้เกิด ประโยชน์ในการพัฒนาผู้ที่รักและหลั่งศรัทธาแล้ว
ยกระดับจนเขามีคุณสมบัติ ดั่งตน
จึงได้ผองชนเป็นทายาทมหาศา
ว่าด้วยการบริหารศรัทธา
คนโง่ รู้อะไรใหม่ ก็เชื่อไว้ก่อนว่าจริงหรือไม่จริง
จึงงมงายอย่างยิ่ง
คนฉลาด รู้อะไร ก็ไม่เชื่อไว้ก่อนว่าจริงหรือไม่จริง
แต่เอามาทดลอง จนเห็นชัด จึงเชื่อ
จึงมีเหตุผลอย่างยิ่ง
คนเจ้าปัญญา รู้อะไร ก็ไม่สนว่าจะจริงหรือไม่จริง
สนใจเพียงว่ามีประโยชน์และมีโทษเพียงใด
แล้ว สกัดโทษทิ้ง บริโภคเฉพาะประโยชน์
จึงได่คุณค่าแห่งการรู้ในทุกสิ่ง
ว่าด้วยค่าของคน
คนโง่ ประเมินค่าคนจากปริญญา
จึงเห็นแค่ตรายี่ห้อปะติดชีวิต
คนฉลาด ประเมินค่าคนจากความสามารถ
จึงรู้จักคุณภาพของชีวิต
คนเจ้าปัญญา ประเมินค่าคนจากความเอื้อประโยชน์
จึงได้ประโยชน์แท้แห่งชีวิตจริง
ว่าด้วยความคิด

คนโง่ : ทำก่อนแล้วจึงคิด จึงผิดพลาดอยู่เนืองๆ ต้องเปลืองเวลาและความรู้สึก ตามแก้ปัญหาไม่สิ้นสุด

คนฉลาด : คิดมากก่อนแล้วจึงทำ จึงเพ้อเจ้ออยู่เป็นประจำ แม้ประสงค์จะทำดีทากแต่ทำได้น้อย เพราะเขม่าความคิดปิดกั้นความกล้าหาญ

คนเจ้าปัญญา : คิดไปทำไป จึงทำได้อย่างที่คิด และคิดพอดีที่ทำประหยัดพลังงานและบริหารเวลาได้เหมาะสม ลดความหลอนป้องกันความผิดพลาดขื่นขมและประสบความสำเร็จโดยไม่เหน็ดเหนื่อย

****************

ว่าด้วยทัศนคติ

คนโง่ : ดูหมิ่นความดี มองโลกในแง่ร้ายด้านเดียว จึงได้รับแต่สิ่งชั่วร้ายมาพาชีวิตตกต่ำ กลายเป็นทาสสถานการณ์ ยามพบสิ่งดีจะไม่เข้าใจจึงพลาดโอกาสใหญ่

คนฉลาด : ชอบทำดีและคิดดี มักมองโลกในแง่ดีด้านเดียว จึงได้แต่สิ่งดีโดยมาก ครั้นพบสิ่งชั่วร้าย จะทนไม่ได้ ทำใจไม่เป็น ต้องถอยหนีสถานการณ์ดวงใจแตกร้าว ชีวิตจึงมีแต่ความระคายเคืองและปฏิฆะเร้นลึก

คนเจ้าปัญญา : ละชั่วเด็ดขาด และทำดีเป็นนิสัย โดยไม่ติดดี แล้วละแม้ความดีเข้าสู่ความบริสุทธิ์ จึงเห็นที่สุดแห่งความเป็นจริงแท้แห่งโลกว่าทุกสิ่งในโลกมีทั้งคุณ โทษ และความเป็นกลางอยู่ จึงบริหารสถานการณ์ได้ และทำใจได้ในทุกภาวการณ์

*****************

ว่าด้วยความโง่และความฉลาด

คนโง่ : ชอบคิดว่าตนฉลาดแล้ว จึงดักดานอยู่กับความโง่ของตนตามที่เป็น

คนฉลาด : ชอบคิดว่าตนโง่ จึงชอบแกล้งโง่ และมักโง่ได้สมปรารถนาในที่สุด

คนเจ้าปัญญา : ย่อมเห็นความโง่และความฉลาด ที่ซ้อนกันอยู่ และวิธีที่จะยกจิตสู่ปัญญายิ่งๆขึ้นไป จึงค่อยๆ หายโง่ และเลิกฉลาดโดยลำดับ

********************

ว่าด้วยการพูดจา

คนโง่ : ชอบเถียง เขาจึงได้การทะเลาะ และความบาดหมางแทนความรู้

คนฉลาด : ชอบถาม เขาจึงได้ความรู้ และมิตรภาพมากกว่าความแตกแยก

คนเจ้าปัญญา : ชอบเฉยสังเกตลึก เข้าใจสิ่งต่าง อย่างลึกซึ้งแล้วจึงนำเสนออย่างเหมาะสม

**************************

ว่าด้วยการจัดการกับปัญหา

คนโง่ : พอพบกับปัญหาอะไรก็โวยวาย ก่อให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์อีกหลายชั้น จึงยิ่งเสียหาย......

คนฉลาด : พอพบปัญหาก็วิเคราะห์ เป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา จึงมักติดบ่วงความคิด วนไปวนมา......

คนเจ้าปัญญา : พอพบปัญหาอะไรก็วางก่อน พอเป็นอิสระมีอำนาจเหนือกว่าปัญหาแล้ว จึงจัดการกับปัญหานั้นอย่างเหนือชั้น.......

**********************

ว่าด้วยการบริหารและการปกครอง

คนโง่ : พยายามบริหารคน จึงวุ่นวายสับสนตามธรรมชาติของคน

คนฉลาด : พยายามบริหารประโยชน์สัมพันธ์ จึงยุ่งยากซับซ้อนตามปรารถนาอันไม่สิ้นสุด

คนเจ้าปัญญา : พยายามบริหาระบบธรรม จึงสงบลงตัว ณ จุดพอดี.....

*********************

ว่าด้วยความคิด!!!

คนโง่ : เห็นแต่ความชั่วร้ายของคนอื่น และโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่เรื่อย เป็นการทำมิตรให้กลายเป็นศัตรู ชีวิตจึงอยู่ในท่ามกลางอันตราย

คนฉลาด . : เห็นแม้ความชั่วร้ายในตนเอง จึงกล้ายอมรับความจริงและแก้ไขตัว ทำให้ตนดีขึ้น ทำให้แม้ศัตรูก็ยอมรับได้มากขึ้น ชีวิตจึงเจริญและผาสุกโดยลำดับ

คนเจ้าปัญญา : เห็นความชั่วร้ายสากล จึงเข้าใจทุกคนในทุกสถานการณ์ เห็น***ส่วนการบริหารคนที่เหมาะสม โดยไม่ทำร้ายคน แต่จะทำลายความชั่วสากลให้สิ้นไป จึงสนุกสนานในการบริหารเรื่อยไป......

*********************

ว่าด้วยการบริหารธรรม

คนโง่ : ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ

คนฉลาด : ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึก และดำเนินชีวิตด้วยดี

คนเจ้าปัญญา : ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น!!.......

*********************

ว่าด้วยการทำงาน

คนโง่ : ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็นและมักไม่ได้คุณค่าอื่นๆของงาน

คนฉลาด : ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่และได้เงินตามมาโดยง่าย

คนเจ้าปัญญา :.ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียงและมิตรมหาศาลย่อมตามมาเสมอ......

********************

ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณ

คนโง่ : เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก

คนฉลาด : กตัญญูผู้มีพระคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รู้จบ

คนเจ้าปัญญา : ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่องทุกฝ่ายจึงได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง

******************

ว่าด้วยความเพียร

คนโง่ : มัวขยันในเรื่องไร้สาระ จึงมักพบปะแต่เรื่องไร้ประโยชน์ แล้วมักตัดพ้อว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี

คนฉลาด : มักขยันในเรื่องที่มีคุณมากมีโทษน้อย จึงได้ประโยชน์มากและมีโทษแทรกบ้าง แล้วมักบ่นว่าอุตส่าระวังอย่างสุดแล้วยังพบเรืองร้ายๆ อีก

คนเจ้าปัญญา : ขยันทำตนให้เหนือคุณและโทษ จึงบริหารสถานการณ์อย่างอิสระ ไม่ปรากฏเสียงตัดพ้อหรือบ่นว่าอีกต่อไป

***************

ว่าด้วยความจริงจัง
คนโง่ : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องจริงจัง จึงเครียดแทบบ้า

คนฉลาด : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ จึงสนุกสนานจนไร้สาระ

คนเจ้าปัญญา : เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตเป็นตัวเร่งวิวัฒนาการ จึงรุ่งเรืองรวดเร็ว

*****************

ว่าด้วยความประสบความสำเร็จ

คนโง่ : รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบซักครั้ง

คนฉลาด : เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก

คนเจ้าปัญญา : ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างความสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า

ขอขอบคุณสาระ ดีดี จาก
ธรรมะดิลิเวอร์รี่
20  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เสี้ยนหนามของสมาธิ คืออะไร ครับ เมื่อ: ธันวาคม 12, 2010, 10:16:31 am
เสี้ยนหนามของสมาธิ คืออะไร ครับ

 สำหรับผู้ฝึกเบื้องต้น นี่คืออะไร ครับ

 มีวิธีแก้ไขอย่างไร ครับ

  :25:
21  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เก็บตกภาพประทับใจงานลอยกระทง ที่ผ่านมา เมื่อ: ธันวาคม 06, 2010, 04:32:51 pm






























22  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เลือกของทำบุญอย่างไรให้เหมาะสม .. ? เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 02:48:08 pm

 
  เลือกของทำบุญอย่างไรให้เหมาะสม
 
< การ ทำบุญเป็นสิ่งที่ อยู่คู่คนไทย เชื่อว่าชาวพุทธเกือบทุกท่านคงเคยถวายเครื่องสังฆทาน และมีทั้งซื้อแบบสำเร็จตามห้างร้านต่างๆ หรือการจัดเอง แต่รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ทำบุญไปนั้นได้ใช้ประโยชน์มากน้อยเพียงใด


เลือกของทำบุญอย่างไรให้เหมาะสม


อะไรบ้างกลายเป็นของไม่ได้ใช้ประโยชน์และถูกกองล้นวัด 10 อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็น

1.ใบ ชา ซึ่งพระสงฆ์ส่วนใหญ่ระบุว่า ปัจจุบันพระสงฆ์ไม่ค่อยฉันน้ำชา ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้แท้ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพน่าจะดีกว่า เพราะน้ำผลไม้ส่วนใหญ่ที่อยู่ในถังสังฆทาน มักเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่มีคุณภาพ ส่วนใหญ่เป็นน้ำหวานแต่งกลิ่น รส หรือ ผงสมุนไพรห่อที่ไม่ค่อยมีคุณภาพนัก

2.ขิงผงสำเร็จรูป เป็นเครื่องดื่มที่คนส่วนใหญ่คิดว่า พระสงฆ์น่าจะชอบฉัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

3. ยาจุดกันยุง ส่วนนี้อาจจะจำเป็นสำหรับพระที่จำพรรษาในป่าหรือชนบทไกลๆ

4.นมข้นหวาน

5.กาแฟผงสำเร็จรูป

6.ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขันพลาสติก ซึ่งจากการสำรวจพบว่า อุปกรณ์เหล่านี้ถูกกองไม่ได้ใช้ประโยชน์จนล้นวัด

7.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

8.น้ำดื่มบรรจุขวด

9.ขนมคุ้กกี้ ขนมอบต่างๆ

10.ธูป เทียน ไม้ขีดไฟ ที่ส่วนใหญ่มักอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานได้ ที่สำคัญของเหล่านี้มีจำนวนเกินพอแล้วในวัด

สิ่งของที่เป็นประโยชน์และเป็นของจำเป็นต้องใช้

1.ยาสระผม คนมักคิดว่าพระไม่มีผมไม่จำเป็นต้องใช้ยาสระผมแต่จริงๆแล้วจำเป็นเพราะส่วน หนึ่งอาจมีคราบไคลและไขมันที่เกาะสกปรกตามหนังศรีษะอยู่บ้าง

2.มีดโกน ใบมีดโกน พระได้ใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย

3.อุปกรณ์ เครื่องครัว เช่นจาน กะทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำ ที่มีคุณภาพซึ่งพระสามารถใช้เป็นของส่วนตัวและเอื้อเฟื้อสำหรับญาติโยมที่มา ทำบุญได้ด้วย

4.อุปกรณ์ช่าง ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน ที่พระมีโอกาสได้ใช้ในการซ่อมแซมต่างๆในวัดและกุฏิ

5.อุปกรณ์ทำความสะอาด ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดแข็ง ที่โกยขยะ ซึ่งเป็นอุปกรณ์จำเป็นแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย

6.ข้าว สาร อาหารแห้ง เลือก ที่คุณภาพดีไม่ใช่ที่บรรจุในถังสังฆทานที่มักใช้ไม่ได้ ส่วนนี้ท่านจะได้ใช้ในการบริจาคหรือนำไปอุปการะผู้ยากไร้ที่มาพึ่งใบบุญของ วัดได้ด้วย

7.เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ

8.หนังสือธรรมะ หรือหนังสือแนวทางการดูแลสุขภาพ

9.ผ้าสบง จีวร ผ้าอาบน้ำ เลือกที่คุณภาพดี

10.ยาสมุนไพร ยารักษาโรค เลือกที่มีคุณภาพมาตรฐานในการผลิตหรือมีตราอย.รับรอง

รู้แบบนี้แล้ว ทำบุญคราวหน้าอย่าลืมเลือกของที่เป็นประโยชน์ด้วย ทำบุญได้บุญแน่นอน
23  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เมื่อพระเรวตะ ถูก โควินทกะ ถามเรื่องความสุข เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 02:46:56 pm
เมื่อโควินทกะ ถาม พระเรวตะ ว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ความสุข

  เรวตะตอบว่า  ความสุข ก็มาจาก ความทุกข์
                 ความทุกข์ เกิดจาก ความชั่วอันเกิด กายทุจริต วาจาทุจริต และ ใจทุจริต
                 เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์

                 ต้องตั้ง วิวรัติเจตนา งดเว้น ด้วยศีล เืพื่อให้ กาย วาจา สะอาด

                 ส่วนใจทุจริต นั้น ควบคุมใจ ด้วย สมาธิ และ ปัญญา
                 ด้วยการสำรวมระวัง อินทรีย์ คือ เพื่อทำให้ กิเลส เบาบาง เป็นประการที่ 1
         
           สติ เป็นเครื่องป้องกันเหมือน ยาม โดยการเจริญสติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นประการที่ 2

                 ปัญญา รู้รอบด้วยการเห็นตามความเป็นจริง อันเกิดจาก การฟัง การคิด การภาวนาจึงจะทำให้
                 มีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง เป็นประการสุดท้าย

                 เป็นหนทางสู่ความสุข

 โควินทกะตอบว่า อัศจรรย์ จริง ๆ อัศจรรย์ จริง ๆ อัศจรรย์ จริง ๆ

 จากเรื่อง ลีลาวดี


24  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คลิปน้ำท่วม 2485 ครับ คึกคักครับสมัยก่อน เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 10:50:23 am
!
25  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้อมูลน้ำท่วมช่วงนี้ ครับ เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 10:42:56 am
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยโพสต์
         สถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดยังคงน่าเป็นห่วง สาเหตุที่ทำให้เกิดอุทกภัยครั้งนี้ เนื่องจากเกิดภาวะฝนตกหนัก ติดต่อกันหลายวัน ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเข้าขั้นวิกฤติ มีปริมาณน้ำเกินกว่าระดับกักเก็บไว้ได้ และจำเป็นต้องระบายน้ำออกจากเขื่อน ทำให้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนทางภาคเหนือไหลลงมายังแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบกับช่วงวันที่ 24-27 ตุลาคม เป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุน ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้กรุงเทพฯ จมอยู่ใต้บาดาลได้ กทม. เผยวันนี้น้ำเหนือ-ทะเลหนุนยังไหว

         ผอ.สำนักระบายน้ำ กทม. เผยน้ำเหนือไหลบ่าเจ้าพระยา บวกกับน้ำทะเลหนุนสูงสุดวันนี้ ยังไม่กระทบ กทม. เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

         นายสัญญา ชีนิมิตร ผอ.สำนักระบายน้ำ กทม. เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำเหนือไหลบ่าผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบกับน้ำเหนือหนุนสูงสุด ในวันนี้ (21 ตุลาคม) ว่า ผ่านไปได้ด้วยดี น้ำเหนือที่ไหลลงเจ้าพระยา ยังอยู่ในปริมาณไม่มากเท่าไร สามารถรับน้ำได้ตลอด อย่างไรก็ตาม ทาง กทม.จะเฝ้าระวังเหตุน้ำท่วมตลอด 24 ชั่วโมง

         ขณะที่มีการประกาศเตือนให้ชาว กทม. เฝ้าระวังในช่วง 1-2 วันนี้ ที่น้ำเหนือจะไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยปริมาณถึง 3,600 ลบ.ม.ต่อวินาที และจะมาสมทบกับน้ำทะเลที่จะหนุนขึ้นสูงที่สุดในช่วง 24-27 ตุลาคมด้วย ทั้งนี้ในวันนี้ (21 ตุลาคม) หลังเวลา 17.30 น. ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะระดับน้ำจะขึ้นมากกว่าวานนี้ที่ปากคลองตลาดวัดได้ 1.55 เมตร

          ขณะที่ลำคลองในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพ ได้แก่ เขตหนองจอก ลาดกระบัง มีนบุรี และคลองสามวา มีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังไม่น่าเป็นห่วง เพราะมีคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต และคลองระพีพัฒน์ ที่จะระบายน้ำส่งต่อไปยัง จ.สมุทรปราการ อย่างไรก็ตาม หากมีฝนตกหนักลงมาก็อาจสร้างปัญหาได้

 
ข่าวน้ำท่วม จ.นนทบุรี ประกาศไทรน้อยเขตภัยพิบัติ
 
         สถานการณ์น้ำท่วม ใน จ.นนทบุรี ล่าสุดทางจังหวัดได้ประกาศให้ อ.ไทรน้อย เป็นเขตภัยพิบัติ แล้ว ขณะที่ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณวัดค้างคาว ม.4 ต.บางไผ่ อ.เมืองนนทบุรี ต่างก็ได้รับผลกระทบเหตุน้ำท่วมเช่นกัน เนื่องจากบริเวณดังกล่าว อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อน้ำเหนือไห]บ่ามาประกอบกับช่วงน้ำทะเลหนุนสูง น้ำจะเอ่อทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน

         นอกจากนี้ยังมีหลายจุดที่น้ำท่วมขังแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ที่ ต.เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด  ได้ถูกน้ำท่วมสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร เฉพาะเวลาน้ำขึ้นในช่วงเช้าและเย็น ทั้งนี้ กรมชลประทาน คาดว่า สถานการณ์จะรุนแรงกว่าเดิม เนื่องจากน้ำเหนือจะไหลลงสมทบอีกระลอก ประกอบกับจะมีน้ำทะเลหนุนสูง ช่วง 25 - 27 ตุลาคมนี้

 
ปทุมธานี เร่งกั้นน้ำเข้า 3 ทิศทาง

          ระดับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำเข้าท่วมวัด โรงเรียน บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อ.เมือง และ อ.สามโคก ซึ่งเป็น 2 อำเภอที่แม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน โดยบางจุดมีน้ำท่วมขังสูงถึง 2.30 เมตร เจ้าหน้าที่และชาวบ้านต้องเร่งนำกระสอบทรายมาวางเป็นคันแนวกั้นน้ำที่เอ่อ จากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน จากชั้นนอกไม่ให้เข้าท่วมชั้นใน เพราะอาจจะมีการระบายน้ำจากแม่น้ำป่าสักลงแม่น้ำเจ้าพระยาอีก

          โดยนายชาญ พวงเพ็ชร นายก อบจ.ปทุมธานี ได้สั่งเฝ้าระวังทิศทางและเตรียมการป้องกันน้ำที่จะเข้าปทุมธานี ทั้ง 3 ทางอย่างเต็มที่ ทั้งจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และฝั่ง อ.หนองเสือ ที่รับการระบายน้ำมาจาก จ.สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี เพื่อลงสู่คลองระพีพัฒน์ เพื่อเตรียมป้องกันและรับมือ 

          ทั้งนี้ ทางจังหวัดได้สร้างคันกั้นน้ำบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นอีก เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมเข้ามาในเขตคันกั้นน้ำ บริเวณบ้านกระเเชงและบ้านกลาง ซึ่งขณะนี้ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และคาดว่าประมาณ 4-5 วัน น้ำจะลดลงในที่สุด สำหรับ พื้นที่กรุงเทพฯ ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมมากที่สุด คือ รัชดาภิเษก ลาดพร้าว บางนา ศรีนครินทร์  ส่วนพื้นที่เสี่ยงหลังแม่น้ำเหนือไหลทะลักลงมากรุงเทพฯ คือ ชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหหาสวัสดิ์ ทั้งหมด 13 เขต ดังนี้

         1. เขตบางซื่อ ได้แก่ ชุมชนพระราม 6 (ฝั่งติดแม่น้ำ) และชุมชนปากคลองบางเขนใหญ่

         2. เขตดุสิต ได้แก่ ชุมชนเขียวไข่กา ชุมชนราชผาทับทับทิมร่วมใจ (เชิงสะพานกรุงธน) ชุมชนซอยสีคาม (ซอยสามเสน 13) และชุมชนวัดเทวราชกุญชร (ถนนศรีอยุธยา)

         3. เขตพระนคร ได้แก่ ชุมชนท่าวัง ชุมชนท่าช้าง และชุมชนท่าเตียน

         4. เขตสัมพันธวงศ์ ได้แก่ ชุมชนวัดปทุมคงคา (ท่าน้ำสวัสดิ์) และชุมชนตลาดน้อย

         5. เขตบางคอแหลม ได้แก่ ชุมชนวัดบางโคล่นอกชุมชนหน้าวัดอินทร์บรรจง ชุมชนซอยมาตานุสรณ์และชุมชนหลังโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์

         6. เขตยานนาวา ได้แก่ ชุมชนโรงสี (ถนนพระราม 3)

         7. เขตคลองเตย ได้แก่ ชุมชนสวนไทรริมคลอง พระโขนง

         8. เขตบางพลัด ได้แก่ ชุมชนวัดฉัตรแก้ว

         9. เขตบางกอกน้อย ได้แก่ ชุมชนสันติชนสงเคราะห์ ชุมชนปากคลองน้ำตาล-คลองพิณพาทย์ ชุมชนครอกวังหลัง และชุมชนดุสิต-นิมิตรใหม่

         10. เขตธนบุรี ได้แก่ ชุมชนปากคลองบางกอกใหญ่

         11. เขตคลองสาน ได้แก่ ชุมชนเจริญนครซอย 29/2

         12. เขตราษฎร์บูรณะ ได้แก่ ชุมชนดาวคะนอง

         13. เขตทวีวัฒนา ได้แก่ ชุมชนวัดปรุณาวาส


          ขณะที่นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ พร้อมคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ตรวจการเรียงกระสอบทราย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณถนนทรงวาด และตรวจงานก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วม ริมคลองบางกอกน้อย บริเวณชุมชนสันติชนสงเคราะห์ พร้อมระบุว่า กรุงเทพฯ มีความพร้อมเต็มที่ในการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ต่าง ๆ

          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรมชลประทาน ได้ปล่อยน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนพระราม 6 รวม 3,655 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งยังไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากแนวป้องกันน้ำท่วมที่มีอยู่ สามารถรับน้ำได้ที่ระดับความสูงประมาณ 2.5 เมตร จากระดับน้ำทะเล และจากการตรวจวัดปริมาณน้ำ ในช่วงเช้ามีความสูงประมาณ 1.5 เมตร ยังสามารถรับน้ำเพิ่มได้อีก 1 เมตร โดยโครงการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีความยาวรวม 77 กิโลเมตร ก่อสร้างเสร็จแล้วกว่า 75 กิโลเมตร

          ส่วนที่เหลือคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2554 โดยจุดที่ยังไม่เสร็จทางกรุงเทพฯ ได้นำกระสอบทรายกว่า 2 แสนใบ มาวางเป็นแนวป้องกันน้ำท่วมชั่วคราวที่ความสูง 2.5 เมตร เช่นเดียวกัน พร้อมทั้งเตรียมเครื่องสูบน้ำ และเจ้าหน้าที่ประจำจุดเสี่ยงต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ ได้เตรียมเวชภัณฑ์ ยา และสถานที่พักชั่วคราว บรรเทาความเดือดร้อน ให้ประชาชนหากเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ

          อย่างไรก็ตาม จากการพยากรณ์อากาศและคาดการสถานการณ์น้ำ ในระหว่างวันที่ 26 - 27 ต.ค. คาดว่า จะมีน้ำเหนือไหลบ่าและน้ำทะเลหนุนสูง จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ แต่เชื่อว่ายังสามารถรับมือได้

          ด้าน ผอ.สำนักระบาดวิทยา ได้ออกมาเตือนประชาชนลงเล่นน้ำท่วม หวั่นติดเชื้อที่มากับน้ำ หรืออุบัติเหตุ อาทิ ตาแดง จมน้ำ ไฟฟ้าดูด

         
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อสอบถาม ประสานงานเหตุอุทกภัย


          - ศูนย์กลางช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ติดต่อ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โทร 1784

          - ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ต้องการความช่วยเหลือเรื่องน้ำท่วม โทร.1555 และ 0 2248 5115 ตลอด 24 ชั่วโมง

          - ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกัน และแก้ไขปัญหาอุทกภัย จ.นครราชสีมา โทร 044-342-652 ถึง 4 และ 044-342-570 ถึง 7

          - ประสานงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน หรืออุบัติเหตุ โทรฟรี 1669 หรือ 02-591-9769 ตลอด 24 ชั่วโมง

          - สอบถามเส้นทางรถไฟ และเวลาเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร 1690

          - สอบถามสภาพอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา โทร 02-398-9830

          - กฟภ.ตั้งศูนย์ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 3 นครราชสีมา โทร.044214334-5 หรือ CallCenter1129

          - สอบถามน้ำท่วม ถ.มิตรภาพ ที่แขวงการทางต่าง ๆ ได้ที่โทร 044-242047 ต่อ 21, 044-212200, 037-211098, 036-461422, 036-211105 ต่อ 24
 
การเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติน้ำท่วม

          1. หมั่นติดตามข่าวสาร และประกาศเตือนทุกช่องทาง เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เสาสัญญาณ เป็นต้น

          2. เตรียมข้าวสาร อาหารแห้ง แก๊ชสำหรับหุงต้ม ยารักษาโรค ไฟฉาย  เทียน ไม้ขีดไฟ และอุปกรณ์ที่จำเป็นอื่น ๆ เพื่อเอาตัวรอดในยามน้ำท่วม

          3. เตรียมกระสอบทรายไว้เพื่อทำผนังกั้นน้ำ (แต่ห้ามวางไว้พิงกำแพง เพราะจะเพิ่มแรงดันให้น้ำทะลักเข้ามาได้ง่าย)

          4. หมั่นทำความสะอาดพื้น ไม่ให้มีของอันตรายหากเกิดน้ำท่วมสูง

          5. เก็บของมีค่า และสัตว์เลี้ยง รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้า ไปไว้ชั้นบนของบ้าน
 
          6. เตรียมเบอร์ติดต่อ หน่วยงานของรัฐ เผื่อต้องการความช่วยเหลือ

          7. ชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์สื่อสารให้พร้อม

          8. หากเกิดน้ำท่วมให้หนีขึ้นที่สูง และปิดวงจรไฟฟ้า เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร

          9. พยายามหาส่วนแห้งเพื่อหลบภัย และป้องกันไฟดูด

          10. ห้ามรับประทานน้ำที่ท่วมสูง หากขาดแคลนน้ำดื่ม ให้ต้มก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันโรคระบาด

          11. หากน้ำท่วมไม่สูงมาก ให้ระวังการใช้รถใช้ถนน และดูแลเด็กเล็กไม่ให้ออกจากบ้าน

          12. ระวังสัตว์มีพิษที่มากับน้ำ หากถูกกัดให้ล้างแผลด้วยน้ำต้มสุกและเช็ดแอลกอฮอล์รอบแผล จากนั้นหาทางไปโรงพยาบาลทันที

          13. เตรียมน้ำสะอาดไว้ดื่ม และชำระร่างกาย

          14. เตรียมถุงดำเล็ก - ใหญ่ ไว้ทิ้งขยะและปลดทุกข์

          15. เตรียมอุปกรณ์สำหรับขอความช่วยเหลือ เช่น นกหวีด ชูชีพ

          16. หากน้ำท่วมเป็นเวลานาน อาจเกิดแผ่นดินทรุดตัวได้ แนะนำให้อยู่ห่างตึกหรืออาคารสูง ๆ

 

ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/52961
26  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 13เขต27ชุมชนกทม.เสี่ยงน้ำท่วม เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 10:38:02 am
13เขต27ชุมชนกทม.เสี่ยงน้ำท่วม


ประเด็น: สถานการณ์น้ำท่วม ,

กทม.เผยพื้นที่ 13 เขต 27 ชุมชนในกรุงเทพฯเสี่ยงน้ำท่วม หลังเขื่อนต่างๆจำเป็นต้องระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา สุขุมพันธุ์สั่ง 50 เขตเตรียมถุงยังชีพ-ที่พักพิง พร้อมเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย

นายสัญญา ชีนิมิตร ผอ.สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่ จ.นครราชสีมา จะไม่ส่งผลกระทบต่อ กทม. เนื่องจากปริมาณน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะไหลลงสู่แม่น้ำลำตะคอง ส่วน กทม.จะรับน้ำจากภาคเหนือที่มาจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ที่ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ฉะนั้นจึงเป็นคนละเส้นทางกัน

อย่างไรก็ตามหลังจากที่มีการปล่อยน้ำลงมาจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และ เขื่อนอื่นๆ ทางตอนบนของประเทศลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา คาดว่าภายใน 1-2 วันนี้ปริมาณน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม 2,600 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 3,000 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชุมชนในพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำของ กทม. จำนวน 13 เขต 27 ชุมชน รวมทั้งสิ้น 1,273 ครัวเรือน

 

นายสัญญา กล่าวว่า สำหรับโครงการก่อสร้างแนวเขื่อนป้องกันน้ำท่วมของ กทม.มีระยะทาง 77 กม. มีความคืบหน้าแล้ว 75.8 กม. ความสูง 2.5 เมตร ซึ่งขณะนี้ระดับน้ำสูงสุดอยู่ที่ 1.38 เมตร นอกจากนี้มีสถานีสูบน้ำ 157 แห่ง ประตูระบายน้ำ 214 แห่ง บ่อสูบน้ำ 180 แห่ง เครื่องสูบน้ำทั้งแบบติดตั้งและเคลื่อนย้ายได้ 1,065 แห่ง สามารถระบายให้แห้งได้ภายใน 1-2 ชม.

อย่างไรก็ตาม กทม.ได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำท่วมตลอด 24 ชั่วโมง โดยความช่วยเหลือเบื้องต้น กทม.ได้สร้างสะพานไม้เชื่อมทางเดินภายในชุมชน และมีเจ้าหน้าที่เขตลงพื้นที่เตือนภัยล่วงหน้าแก่ชุมชนเสี่ยง นอกจากนี้หากเกิดเหตุน้ำท่วมจะมีเจ้าหน้าที่ช่วยขนย้ายสิ่งของอพยพ พร้อมให้คำแนะนำด้านสุขอนามัยแก่ประชาชน

ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า จากรายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ต.ค. พบว่า เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อาจไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำเพิ่มได้อีกและอาจต้องปล่อยน้ำลงสู่ตอนล่างภาย ใน 1-2 วัน จึงได้สั่งการให้สำนักการระบายน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าประจำพื้นที่ ทุกคูคลองทั้ง 50 เขต พร้อมจัดเตรียมเวชภัณฑ์ ถุงยังชีพ รวมถึงที่พักพิงชั่วคราว

นอกจากนี้ ได้สั่งการให้สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดรับเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคได้ที่ศาลาว่าการ กทม.1 (เสาชิงช้า) และศาลาว่าการ กทม.2 (ดินแดง) และที่สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต

ทั้งนี้พื้นที่ทั้ง 13 เขตประกอบไปด้วย

1.เขตบางซื่อ ได้แก่ ชุมชนพระราม 6 (ฝั่งติดแม่น้ำ) และชุมชนปากคลองบางเขนใหม่

2.เขตดุสิต ได้แก่ ชุมชนเขียวไข่กา ชุมชนราชผาทับทิมร่วมใจ (เชิงสะพานกรุงธน) ชุมชนซอยสีคาม (ซอยสามเสน 19) ชุมชนปลายซอยมิตรคาม (ซอยสามเสน 13) และชุมชนวัดเทวราชกุญชร (ถนนศรีอยุธยา)

3.เขตพระนคร ได้แก่ ชุมชนท่าวัง ชุมชนท่าช้าง และชุมชนท่าเตียน

4.เขตสัมพันธวงศ์ ได้แก่ ชุมชนวัดปทุมคงคา (ท่าน้ำสวัสดี) และชุมชนตลาดน้อย

5.เขตบางคอแหลม ได้แก่ ชุมชนวัดบางโคล่นอก ชุมชนหน้าวัดอินทร์บรรจง ชุมชนซอยมาตานุสรณ์ และชุมชนหลังโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์

6.เขตยานนาวา ได้แก่ ชุมชนโรงสี (ถนนพระราม 3)

7.เขตคลองเตย ได้แก่ ชุมชนสวนไทรริมคลองพระโขนง

8.เขตบางพลัด ได้แก่ ชุมชนวัดฉัตรแก้ว

9.เขตบางกอกน้อย ได้แก่ ชุมชนสันติชนสงเคราะห์ ชุมชนปากคลองน้ำตาล-คลองพิณพาทย์ ชุมชนตรอกวังหลัง และชุมชนดุสิต-นิมิตรใหม่

10.เขตธนบุรี ได้แก่ ชุมชนปากคลองบางกอกใหญ่

11.เขตคลองสาน ได้แก่ ชุมชนเจริญนครซอย 29/2

12.เขตราษฎร์บูรณะ ได้แก่ ชุมชนดาวคะนอง

13.เขตทวีวัฒนา ได้แก่ ชุมชนวัดปรุณาวาส

ที่มา
http://www.posttoday.com/

fwd mail
27  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดร.อาจอง เตือน น้ำท่วมกรุงเทพแน่! ถ้าไม่กั้นอ่าวไทย เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 10:33:44 am

 คำเตือนจาก "ดร.อาจอง" ไม่สร้างเขื่อนกั้นอ่าวไทยต้องย้ายกทม.ใน 6 ปี (ประชาชาติธุรกิจ)
          ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ออกโรงเตือนวิกฤตโลกร้อน กทม.จะได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลค่อยๆขึ้นสูง แนะถ้าไม่สร้างเขื่อนกั้นอ่าวไทย ต้องย้ายเมืองหลวงใน 6 ปี เหตุน้ำท่วมกรุงเทพฯ

          นอกจากบทบาทนักการศึกษาผู้ใจบุญ ทุกวันนี้ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ในวัย 69 ปี ยังเดินสายให้ความรู้เรื่องสภาวะโลกร้อนตามโรงเรียนและสถานศึกษาทั่วประเทศอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

          ดร.อาจองอธิบายว่า ขณะนี้สภาพภูมิอากาศกำลังแปรปรวนจากสภาวะโลกร้อน ซึ่งอาจทำให้คนไทยได้เห็นหิมะตกแบบเดียวกับในประเทศเวียดนาม รวมถึงรอยร้าวของเปลือกโลกที่อาจทำให้แผ่นดินไหวใต้เขื่อนใหญ่ จะทำให้เกิดน้ำท่วมไหลเข้าถึงกรุงเทพฯภายใน 35 ชั่วโมง

          "...ขณะนี้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกคือ ดิน ฟ้า อากาศที่เปลี่ยนแปลง เราจะเห็นว่าประเทศไทยเราปีนี้อากาศเย็นลง ซึ่งก็เกิดขึ้นเพราะขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ร้อนขึ้นมาก และดูดเอาความร้อน น้ำแข็งละลาย ดังนั้นโดยเฉลี่ยอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจริงๆ แต่ประเทศไทยโดยเฉลี่ยอุณหภูมิลดลง เพราะว่าไปร้อนที่อื่น แต่อย่างไรก็ตามโดยเฉลี่ยอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่ากลัว ประเทศไทยของเราเองก็หนีไม่พ้น ในที่สุดก็จะร้อนขึ้น"   

          ดร.อาจอง กล่าวว่า เรื่องโลกร้อนที่จะส่งผลกระทบกับประเทศไทยโดยตรง มี 2 อย่างใหญ่ คือ ผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่จะค่อยๆ สูงขึ้น และการที่เปลือกโลกเริ่มเคลื่อนไหวจนเกิดรอยร้าว ซึ่งจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยมากขึ้น นี่คือ 2 อย่างที่เราต้องเตรียมตัวให้ดี

          "เรื่องของน้ำทะเลที่สูงขึ้น ถ้าเราไม่สร้างเขื่อนกั้นตรงอ่าวไทย ก็ต้องคิดย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯไปที่อื่นภายใน 6 ปี เพราะอีก 15 ปีข้างหน้า น้ำจะเริ่มท่วมกรุงเทพฯ ฉะนั้นเราก็จะอยู่ไม่ได้ แต่การย้ายเราต้องวางแผนล่วงหน้าสัก 10 ปี ต้องวางแผนให้ดี เราจะสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาอย่างไร ต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อม และทำให้ดี" 

          ส่วนเรื่องเปลือกโลกเคลื่อนตัวจะทำให้มีรอยเลื่อนเกิดขึ้นหลายจุด ตั้งแต่ภาคเหนือ ตั้งแต่ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลงมาถึงลำปาง อุตรดิตถ์ ส่วนทางด้านภาคตะวันตก ก็จะมี จ.ตราด และกาญจนบุรี ลงไปทางใต้ ก็ตั้งแต่ จ.ประจวบฯ ลงไปเรื่อยจนถึง จ.ภูเก็ต กระบี่ ก็จะเริ่มเกิดรอยร้าว

          กรมทรัพยากรธรณีได้ทำแผนที่ว่ารอยร้าวอยู่ตรงไหน ตรงไหนจะเกิดมากเกิดน้อย แต่รอยร้าวจะไม่สามารถทำอะไรเราได้มากมาย ถ้าหากเรารู้ว่าแผ่นดินไหวอาจจะเกิดขึ้น และมีการเตรียมตัวที่ดี เช่น ภาคเหนือ เราสามารถอยู่ได้ แต่ต้องสร้างบ้านให้แข็งแรงเท่านั้นเอง   

          "ส่วนภาคกลางที่น้ำจะท่วม ผมคิดว่าน่าจะปกป้องเอาไว้แทนที่จะปล่อยให้ท่วม เพราะนี่คืออู่ข้าวของเราที่เราปลูกข้าวมากที่สุดในโลก ฉะนั้นยังไงก็ต้องสร้างเขื่อนกั้น ดร.สมิทธ ธรรมสโรช บอกว่า ต้องสร้างเขื่อนกลางทะเล ผมคิดว่าอาจจะลำบากและค่าใช้จ่ายสูง แต่ผมคิดว่าเราน่าจะสร้างรอบทะเลดีกว่า อาจจะโค้งหน่อยตามสภาพภูมิประเทศ แต่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ และสามารถป้องกันไม่ให้ภาคกลางไม่ให้น้ำท่วม ไม่ให้น้ำทะเลหนุนเข้ามาได้"

          "และประการสำคัญ หากเราไม่ป้องกันคือ สถานที่สำคัญในบ้านเมืองเราอาจจะหายไป เช่น วัดพระแก้ว หรือ จ.พระนครศรีอยุธยาซึ่งมีวัดจำนวนมาก ดังนั้นการสร้างเขื่อนจะสามารถป้องกันไม่ให้เราสูญเสียสิ่งสำคัญเหล่านี้ได้ แต่เราก็ต้องลงทุน ไม่ใช่รอจนกระทั่งสายเกินไป ซึ่งถ้าจะสร้างเขื่อนก็ต้องสร้างให้เสร็จภายใน 6 ปีนับจากนี้ ถ้าปล่อยให้น้ำเค็มเข้ามาถึงคลองประปาก็จะไม่มีน้ำจืดเหลือแล้ว"

          "อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซ่าเตือนว่า สิ่งที่ดีที่สุดขณะนี้ก็คือต้องสร้างเขื่อนกั้นไว้ก่อน รัฐบาลต้องคิดและวางแผนตั้งแต่วันนี้ ต้องทำเป็นวาระแห่งชาติ และจะกลายเป็นสิ่งที่ดีถ้าเราพูดถึงภัยอันตรายส่วนรวมแล้ว มนุษย์ก็จะได้เลิกทะเลาะกันเสียที เพราะเรามีภัยธรรมชาติที่เป็นศัตรูร่วมกัน ถ้าไม่ป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่ง กรุงเทพฯและภาคกลางหลายจังหวัดจมน้ำแน่นอน ฉะนั้นรัฐบาลต้องเร่งตัดสินใจ คนไทยไม่ว่าจะพวกเสื้อเหลืองและเสื้อแดงต้องเลิกทะเลาะกัน คนไทยต้องสามัคคีและปฏิบัติธรรมให้มากๆ"

          "ถ้าเราช่วยกัน เราก็จะอยู่ด้วยร่วมกันได้ และใช้เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย เราก็จะอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง ท่ามกลางวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในโลกอนาคตอันใกล้"  ดร.อาจองกล่าวในตอนท้าย

 

 

ที่มาจาก ประชาชาติธุรกิจ
28  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาติที่แล้ว ทำอะไรมา ก็ดูปัจจุบันได้จ้า เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 07:56:26 pm

















ขอบคุณที่มา fwd mail
และภาพ www.yenta4.com
29  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / อาจารย์ ครับ สำนักของเราไม่มีแก่นสาร หรอกครับ เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 07:42:41 pm

เมื่อ อุปติสสะปริพาชก ได้ฟัง ธรรมภาษิตจาก พระอัสสชิ ได้ดวงตาเห็นธรรม

ได้นำข้อความนั้น ไปกล่าวกับ โกลิตะปริพาชก ๆ  ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม

ทั้งสองจึงนำข้อความไปบอกกับ ปริพาชก ที่เป็นบริวารทั้งหมด ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม

ทั้งหมดจึงตกลงกันว่า จักไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า เพื่อศึกษาธรรม

   อุปปติสสะปริพาชก จึงเข้าไปแจ้งแก่ สัญชัยปริพพาชก ผู้เป็นอาจารย์ว่า

    อาจารย์ ครับ สำนักของเราไม่มีแก่นสาร หรอกครับ
 
    ตอนนี้ผมได้ฟังธรรม อันพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงรู้ว่ามีอมตะธรรมอันลึกซึ้ง

    ผมจึงมาชวนอาจารย์ ร่วมไปฟังธรรมด้วยกัน


    สัญชัยปริพาชก ฟังดังนั้น ( ขอให้ทุกท่านลองกำหนดอารมณ์ )

    ว่าสัญชัยปริพาชานั้น จะัมีความรู้สึกอย่างไร ที่ลูกศิษย์ตัวเองที่ชื่นชอบ

    มาพูดว่า ธรรมะของตนเอง ไร้แก่นสาร มีคนธรรมะเป็นแก่นสารแล้ว เราไปฟังกันเถิด

   
      ตอนนั้น ผมว่า สัญชัยปริพาชก น่าจะโกรธแต่ไม่แสดงออกให้ปรากฏอย่างชัดเจน
 
     เนื่องด้วย อุปติสสะปริพาชกนั้น เป็นผู้ฉลาด มีอิทธิพล เป็นเศรษฐี

   
     จึงกล่าวเป็นเตือนสติว่า

      ดูก่อนท่านผู้้เป็นศิษย์ ( เตือนว่าเป็นศิษย์ ) เราขอถามท่านว่า ชนในโลกนี้ คนฉลาดมีมากกว่า หรือ

   คนโง่มีมากกว่า

     อุปติสสะตอบว่า คนฉลาดมีน้อยกว่า คนโง่มีมากกว่า

      ดูก่อนพ่อ ( ใช้วาจาที่กระหยิ่มเข้าทาง ) ถ้าอย่างนั้น ท่านจงไปสู่สมณะโคดมเถิด ส่วนเราจักอยู่กับชนที่โง่

 ในความหมายตรงนี้ ( คิดเอาเองว่า )

      สัญชัยปริพาชก ต้องการเตือนว่า คนโง่ทั้งหลายต้องการพวกเราอยู่ ท่านจะทิ้งคนโง่ทั้งหลายอย่างนั้นหรือ

  ขนาดเรายังเสียสละอยู่กับคนโง่เหล่านี้ ท่านที่เป็นคนฉลาดทำไมจึงไม่เสียสละ


   มาเล่าพอให้เป็นธรรมหรรษา แต่น่าจะเล่าไม่ได้ดีเท่าไหร่ ครับ

   ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ

   และขอบคุณท่านที่อ่านไม่จบ

    :25: :25:
30  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จริงหรือคะ ถ้าเราไม่มีพระพุทธรูป แล้วพระพุทธศาสนาจักมีอายุถึง 5000 ปี เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 03:05:08 pm
ตอนนี้ผม กับกลุ่ม กำลังทำรายงานวิจัยเรื่อง

  "จริง หรือ พระพุทธรูปไม่ใช่สัญลักษณ์ของพระศาสนาพุทธ"

  สืบเนื่องพวกเรา ได้รับหนังสือ ว่าการสร้างพระพุทธรูปเป็นบาป ควรจะทำลายและเรียนหลักธรรมของพระศาสนา

แทนการสร้างพระพุทธรูป มีกลุ่มร่วมกัน เพื่อรายงานวิจัยส่วนนี้ 10 คนครับ

  แต่ทางพวกผม ก็ยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ขอคำชี้นำด้วยครับ

 :08:
31  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 3 สิ่งที่ ดี ดี เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 12:35:59 pm








32  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมที่สร้างไว้กับ หมา เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 12:22:27 pm
----- Forwarded Message ----
From: สิงห์ รณยุทธ์

กฏแห่งกรรม สร้างกรรมไว้กับหมา

:)  วันนี้วันพระ

 noo-pom <> เขียนว่า:

    ป๋าดีค่ะ วันนีน้เข้าวัดเข้าวานะป๋า  ป๋าเปลี๊ยนไป

    เมื่อ 11/17/09, สิงห์ รณยุทธ์ <> เขียนว่า:


         

        :: ลานธรรมจักร :: » กฎแห่งกรรม
        ผู้ตั้ง ข้อความ
        น้อม
        บัวพ้นดิน

        เข้าร่วม: 02 ก.พ. 2008
        ตอบ: 58
        ที่อยู่ (จังหวัด): England
        ตอบเมื่อ: 16 ก.พ.2008, 12:00 am
        เมื่อครั้งยังเด็ก ดำฉันกำลังลวกก๋วยเตี๋ยว (ร้านของแม่) มีหมาตัวหนึ่งคงกำลังหิว เดินมากวน ดิฉันรำคาญจึงเอาน้ำร้อนจากหม้อก๋วยเตี๋ยวราดไปที่หลังหมา เจ้าหมาวิ่งหนีเข้าพงหญ้าร้องโหยหวนดังมาก ดิฉันตกใจมาก และนึกถึงหมาตัวนี้มาตลอด

        จนวันหนึ่ง ดิฉันโตขึ้นมากแล้ว กำลังหิ้วน้ำร้อนในกระติก แล้วน้ำร้อนก็หกลวกขาดิฉัน แม่ตกใจมาก รีบเอาว่านหางจรเข้มาทาให้ ดิฉันแสบแผล แต่ก็ทาว่านหางจรเข้อยู่หลายวัน ในใจก็นึกถึงหมาตัวนั้นตลอด

        ทุกวันนี้ถ้าดิฉันพบหมาหิว จะหาอะไรให้มันกินถ้ามันไม่วิ่งหนีไปซะก่อน ส่วนที่ขาของดิฉันมีแผลเป็นนิดเดียว ทุกวันนี้หายไปหมดแล้ว

33  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดอกบัวบริสุทธิ์ มีคุณค่า มาจากอะไร... เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 10:40:38 am



ผมชอบมาก เพราะทำให้นึกถึงความเป็นจริงในธรรมได้ครับ

ทุกข์ และ สังสารวัฏฏ์ เหมือนโคลน ไม่ดิน เหมือนน้ำที่เน่า ฉันใด

ใจเราจักผุดผ่องได้ ก็ต้องอาศัยโคลน และ น้ำเน่า ฉันนั้น


34  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีการไล่สัตว์ต่างๆด้วยวิธีธรรมชาติ เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 10:32:06 am
วิธีการไล่สัตว์ต่างๆด้วยวิธีธรรมชาติ
tag:กำจัดแมลง

วิธีการไล่ยุง

แบบง่าย ๆ คือ หา การบูร มาห่อด้วยผ้าแล้วมัดไว้กับหลอดไฟฟ้าที่อยู่ภายใน บ้าน ความร้อนของไฟฟ้าจะทำให้การบูร ระเหย ออกไป และกลิ่นของการบูรจะช่วย ป้องกันยุง ไม่ให้มารบกวน

วิธีกำจัดมด
- หาเศษผ้าที่ไม่ใช้แล้วมาตัดเป็นชิ้น ๆ ความยาวพอประมาณ ชุบกับน้ำมันเครื่องพอหมาดหรือจาระบี แล้วนำมาพันรอบขาตู้หรือโต๊ะ หรือจะใช้ปูนขาวใส่ภาชนะรองที่ขาตู้ก็ได้ และหากพบมดไต่ขึ้นมาตามรอยแตกร้าวของคอนกรีต ให้ใช้น้ำมันก๊าดเทลงไปในร่อง มดก็จะไม่โผล่หน้าขึ้นมาให้เรารำคาญใจอีกนาน

- ใช้แป้งฝุ่นสำหรับทาป้องกันเห็บหมัดของสุนัขหรือแมวมาโรยตามพื้นหรือบริเวณ ที่มดขึ้น เมื่อมดเดินผ่านก็จะเกิดการระคายเคืองและตายในเวลาอันรวดเร็ว หรืออาจฝานมะนาวเป็นแผ่นบางๆ มาไปวางในบริเวณที่มดขึ้นก็ได้

- หากพบว่ามีมดขึ้นอยู่ในขวดน้ำตาลหรือขนมปังที่ใส่อยู่ในกระป๋อง ให้ เราปิดฝาขวดหรือกระป๋องนั้นให้สนิท จากนั้นให้ออกแรงเขย่าเพียงเล็กน้อย แล้วเปิดฝาทิ้งไว้หรือนำไปผึ่งแดดสักครู่ มดตัวน้อยตัวนิดก็จะพากันหนีออกมาเอง

- ในกรณีที่พบรังมด ให้ใช้น้ำที่แช่หน่อไม้สดหรือหน่อไม้ดองเปรี้ยวราดไป ที่รัง มดจะอพยพไปอยู่ที่อื่นทันที แต่ถ้าต้องการกำจัดให้สิ้นซาก ให้ใช้การบูรและยาสูบอย่างละ 1 ส่วน นำไปแช่น้ำตั้งไฟให้เดือด จากนั้นเอาไปราดที่รัง มดก็จะตายและไม่กล้ามาทำรังอีกแน่ๆ

วิธีกำจัดแมลงสาบแบบที่ 1

- เอาขวดเหล้ากลม มาวาง ทาน้ำมันพืชบางๆบริเวณปากขวด แล้วเอาเศษอาหารที่มีกลิ่นหอมๆ ใส่ไว้ก้นขวด (จากการทดลองน้ำตาลปิ๊บดีสุด)

- วางขวดเอียงประมาณ 70 องศา ให้ปากขวดแตะผนัง ตามซอกมืดๆในบ้าน

- ตื่นเช้ามาคุณจะได้แมลงสาปอยู่ในขวด วันแรกๆจะได้เยอะมาก ทำซ้ำเรื่อยๆ มันก็จะหมดไปเอง

วิธีกำจัดแมลงสาบแบบที่ 2

- เทน้ำมันหมูลงในขวด เฮลบลูบอย แล้วก็เคล้ากะให้น้ำมันหมูเกาะทั่วขวด เอาน้ำมันหมูป้ายขอบในคอขวด กะให้กำลังลื่นพองาม

- เอาไปตั้งไว้กลางห้องครัว หรือ แหล่งชุมนุม แมงสาบ เฉพาะจุดที่พบบ่อยๆ

- ทิ้งเอาไว้ ประมาณ 8 ชม. แนะนำ >>ตั้ง< < ไว้ก่อนนอน

- ตื่นมาตอนเช้าอย่าตกใจ แมงสาบจะยัวะเยียะ ไปทั้งขวด แต่ออกมาไม่ได้ เด็กและสตรีที่กลัวแมงสาบ ไม่ควรทำ เพราะอาจจะตกใจตายได้ เอาฝาเฮลบลูบอยปิดไว้ แล้วฝากให้รถขยะพาแมงสาบไปเที่ยว

วิธีกำจัดแมลงสาบแบบที่ 3

- เอาน้ำตาลเคี่ยวกับน้ำให้มีกลิ่นหอมแล้วนำไปใส่ในกะละมังหรือภาชนะที่มีความ ลื่น เพราะเมื่อแมลงสาบได้กลิ่น มันจะลงไปกินแต่ไม่สามารถไต่ขึ้นมาได้ วิธีนี้ก็จะช่วยลดพลเมืองแมลงสาบได้มาก

- ถ้ากันมดและแมลงสาบเข้าไปในตู้เสื้อผ้า หรือ ตู้หนังสือ โดยใช้ก้านพลูและพริกไทยเม็ดบรรจุใส่ถุงผ้าเล็ก ๆ แล้วนำไปไว้ตามซอกของตู้เสื้อผ้า หรือ ตู้หนังสือ

- นำขวดแก้วที่มีปากค่อนข้างกว้างใส่น้ำแกงจืดหรือน้ำต้มยำที่เหลือจากการรับ ประทานอาหาร (ใส่ประมาณครึ่งขวด) แล้วนำไปวางไว้บริเวณซอกหรือมุมห้องภายในบ้าน โดยวางให้ชิดติดกับผนังเพื่อล่อให้แมลงสาบที่ไต่ตามฝาผนังลงมากินน้ำแกงใน ขวด ทำให้ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้

- ใช้เหยื่อล่อแมลงสาบสำเร็จรูป ซึ่งบรรจุอยู่ในตลับที่มีช่องว่างเพื่อให้แมลงสาบมุดหัวเข้าไปกินเหยื่อ แล้วออกมาตายภายนอก (ไม่ตายค้างอยู่ด้านในตลับ) โดยนำไปวางไว้ในบริเวณที่มีแมลงสาบชอบเดินผ่าน อาทิ ตามซอกมุมอับต่างๆ หรือวางไว้ใกล้ท่อระบายน้ำทิ้ง เพื่อดักแมลงสาบที่ออกมาหากินยามค่ำคืน

- ใช้บ้านแมลงสาบ ซึ่งเป็นกาวดักแมลงสาบที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง มีประสิทธิภาพในการดักจับแมลงสาบได้ดี ใช้ง่ายเพียงแค่แกะกล่องกระดาษแล้วนำแผ่นเหยื่อไปวางไว้ตรงกลางแผ่นกาวและ พับเป็นรูปบ้าน นำไปวางไว้ตามห้องหรือซอกมุมที่มีแมลงสาบรบกวน เมื่อมีแมลงสาบมาติดจนเต็ม ให้พับบ้านแมลงสาบเข้าทุกด้าน แล้วนำไปทิ้งลงถังขยะ บ้านแมลงสาบมีอายุการใช้งานนานประมาณ 3-4 สัปดาห์

- เอาปูนซีเมนต์ มาผสมกับอะไรหอมๆ น่ากิน เช่น นมผง โอวัลติน หรือถั่วบด ใส่ถาดวางใว้ในที่ที่แมลงสาบชอบเดินผ่าน แล้วก็เอาขันใส่น้ำวางไว้ข้างๆ เมื่อแมลงสาบได้ลิ้มรส อาหารผสมปูนซีเมนต์ และจิบน้ำเข้าไป ปูนซีเมนต์เมื่อผสมกับน้ำก็จะแข็งตัวในท้องของมัน

วิธีไล่งู

- งู ที่กลัวเชือกกล้วยจะมีก็เฉพาะงูเหลือมเท่านั้น ซึ่งได้มีการพิสูจน์มาแล้ว ส่วนงูพิษยังไม่มีรายงาน การเลี้ยงสุนัข หรือห่านเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุด

- ใช้ สารเคมีที่มีกลิ่นฉุน เช่น น้ำมันก๊าด(หาง่าย และไม่อันตรายกับคน และสัตว์เลี้ยง) ให้ฉีดพ่นหรือราดรอบๆ บริเวณที่ไม่ต้องการให้มีงูอยู่ ( ถ้าฉีดพ่นหรือราดน้ำมันก๊าดที่รังงูก็จะหนีไปเหมือนกันครับ) และ ควรฉีดพ่นหรือราดน้ำมันก๊าดในช่วงที่ไม่มีเด็กๆ อยู่ เพราะงูจะออกมาจากที่หล่บซ่อน วิธีนี้เคยใช้จัดการกับงูเห่ามาแล้วใช้ได้ผลครับ ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะครับไม่ต้องฆ่าเขาด้วยแค่ไล่ไปเท่านั้น

- ใช้ผงกำมะถัน(สีเหลืองๆ) มาผสมน้ำแล้วราดบริเวณรอบบ้าน แต่วิธีนี้ต้องทำบ่อยหน่อย อย่างน้อย เดือนละครั้ง เพราะกำมะถันเจือจางแล้วงูก็เข้าอีก

วิธีไล่ตะขาบ

- เลี้ยงไก่ในบริเวณบ้าน

- ปลูกต้นเสลดพังพอนตัวเมีย รอบๆ บริเวณบ้าน

- ใช้ “น้ำส้มควันไม้” เนื่องจากน้ำส้มควันไม้เข้มข้น มีส่วนผสมของน้ำมันทาร์ และยางเรซินอยู่มาก จะส่งกลิ่นเหม็นคล้ายควันไฟรบกวนสัตว์ และแมลงที่มีพิษต่างๆ รู้สึกจะมีขายตามร้านขายเคมีเกษตรครับ

วิธีไล่หนู

แบบง่ายๆ และประหยัดเงินคือ นำ ไม้ยี่โถ ไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปบดเป็นผง เสร็จแล้วนำไปโรยตามซอกที่หนูชอบอยู่ เพียงเท่านี้หนูก็พากันขนย้ายครอบครัวหนีออกไปจากบ้านของคุณไปเลย
35  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เหตุ ที่ผู้หญิง ไม่ชอบผู้ชาย ดีๆ ( หนุ่มธรรมะอ่านกันบ้างนะ ) เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 03:09:30 pm
ทำไม ? ทำไม ? และ ก็ ทำไม

เธอ ทำไมจึงไม่สนใจคนดีอย่างเราบ้างนะ เพราะอะไร ?

อ่านตรงนี้สักนิด นะ พวกหนุ่ม ๆ ธรรมะ ทั้งหลายผู้ยังใฝ่ในพุทธภูมิ





ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดีๆ...
---------- Forwarded message ----------
From: Mine***** <>

Subject: ทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายดีๆ...


         
         
         
        คิดว่าจริงรึเปล่า

        คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่แปลกเมื่อได้ยินได้ฟังหรอก..

        เป็นคำถามปกติธรรมดาที่แทบจะได้ยินทุกเมื่อเชื่อวัน..

        ผู้ชายหลายคนมักจะตั้งคำถามแบบนี้เสมอๆ

        ยิ่งเมื่อเห็นผู้หญิงที่ตัวเองชอบไปเลือกคบกับไอ้หนุ่มที่ท่าทางเจ้าชู้

        และไม่น่าไว้วางใจสักนิดเดียว

        แทนที่จะเลือกคบกับตัวเขา..

        ถึงแม้ว่าผู้ชายทั้งหลายละทิ้งอคติ..

        ที่มองว่าตัวเองดีกว่าชาวบ้านเสมอไปแล้วก็ตาม

        แต่คำถามนี้ก็ยังคงไม่หายไปจากโลกง่ายๆ..

        เพราะว่าความเข้าใจในความ "ดี"

        ที่ผู้หญิงและผู้ชายมองนั้นแตกต่างกันไป...

        ผู้ชายมักจะมองว่าผู้ชายที่ดี ที่ผู้หญิงควรจะเลือกคือ

        ผู้ชายที่เรียบร้อย ไม่เจ้าชู้ ไม่ยุ่งกับอบายมุข

        เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้หญิงพอใจที่จะเลือกเป็นคู่ครอง

        ทว่า.. ผู้ชายมองอะไรที่ตื้นเขินเกินไป

        ในความเป็นจริงแล้ว
        ผู้หญิงทุกคนจะให้คำจำกัดความของคำว่า "ดี" คือ
        ผู้ชายที่รักเธอจริงและแสดงออกว่าเธอเป็นคนสำคัญ
        มีความเป็นผู้นำ รวมทั้งฉลาดพอที่จะต่อกรกับเธอได้

        จะเห็นได้ว่าคำว่า "ดี" ที่ผู้หญิงกับผู้ชายคิดนั้น

        แทบจะหาความเกี่ยวข้องกันไม่ได้เลย..

        ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมผู้ชายหลายคน

        ถึงไม่อาจยอมรับการตัดสินใจเลือกคบกับใครสักคนของผู้หญิงได้

        เพราะว่าเธอเลือกผู้ชายที่ไม่ดีในสายตาเขา

        แต่เป็นผู้ชายที่ดีในสายตาของเธอ..

        ในอีกกรณีหนึ่ง..

        ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสมบูรณ์แบบเพียบพร้อมทุกประการก็เจอกับปัญหานี้เช่นกัน

        แต่ไม่ใช่เพราะว่าคำว่า "ดี"

        หากแต่เป็นเพราะความสมบูรณ์แบบของเขาต่างหาก

        ที่ทำให้ผู้หญิงไม่กล้าเลือกผู้ชายคนนี้มาเป็นคู่ครอง...

        ผู้ชายที่เป็นคนดีเกินไปนั้น

        ทำให้ผู้หญิงอึดอัดทั้งกายและใจในการที่จะอยู่ด้วย

        มากกว่าผู้ชายที่มีข้อบกพร่องบ้าง

        เพราะว่าผู้หญิงก็รู้ตัวดีอยู่ว่าตัวเองนั้นไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบเท่าไหร่นัก

        ถ้าผู้ชายที่เธอคบด้วยเป็นคนสมบูรณ์แบบเกินไป

        ก็จะทำให้เธอขาดความมั่นใจ

        และไม่สามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงที่มีข้อบกพร่องต่อหน้าเขาได้

        เพราะว่าเขาสมบูรณ์แบบเสียจนเธอไม่คิดว่าเขาจะเข้าใจเรื่องบกพร่อง

        ในบางครั้งเขายังทำลายความมั่นใจในตัวผู้หญิงได้อย่างไม่รู้ตัว

        และสุดท้ายคือ

        ผู้หญิงกลัวที่จะสูญเสียเขาไปเมื่อเขารู้จักเธอมากพอ...

        เมื่อรู้ว่าเธอไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่เขาอยากได้..

        ดังนั้นผู้หญิงเลยเลือกที่จะไม่สนใจผู้ชายคนนี้ตั้งแต่ต้นเสียดีกว่า

        โดยเนื้อแท้แล้ว

        ไม่มีใครอยากได้คู่ครองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเลวหรอก..

        ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย

        เราทุกคนต่างก็เสาะหาคนดีๆกันทั้งนั้น

        ดังนั้นสิ่งที่จะสามารถผูกมัดอีกฝ่ายหนึ่งไว้ได้คือ..

        จงทำตัวเหมือนหนังสือที่มองภายนอกแล้วน่าสนใจ..

        เปิดมาอ่านภายในแล้ววางไม่ลง..

        แต่อ่านเท่าไรก็ไม่สามารถหาตอนจบได้พบ...
36  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เพื่อนรัก สาม คน เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 03:01:52 pm
เพื่อนรัก 3 คน
มีเพื่อนรัก อยู่ 3 คน คือ ไฟ  น้ำ และ ความไว้ใจ ทั้ง 3 ได้มาพบและพูดคุยกัน

ไฟได้บอกกล่าวกับเพื่อนทั้ง 2  ว่า  'ถ้าหากฉันหายไป ให้สังเกตในที่ๆ  มีควันฉันจะอยู่ที่นั่น '

ส่วนน้ำ นั้น บอกกับเพื่อนทั้ง 2 ว่า 'ถ้าหาก ฉันหายไป ให้สังเกตที่ๆต้นไม้เขียวชอุ่มและเจริญงอกงาม เพราะฉันจะอยู่ที่ นั่น'                                                     
ส่วนความไว้ใจ บอกกับเพื่อน ทั้ง 2 ว่า 'หากฉันหายไป.......พวกเธอจะไม่ มี วันได้พบฉันอีกเลย.........'

ไฟ... ก็เปรียบเสมือนความหวัง ความมุ่งมั่น มานะและพลังในการดำเนินชีวิต
แม้มันหมดหรือดับไป........คุณยังอาจจุดประกายแห่งความมุ่งมั่นนั้นได้ ขอเพียงคุณมีแรงดลใจ (ควัน)

น้ำ ... เปรียบเหมือนความรัก ความอบอุ่น เป็นสิ่งชโลมจิตใจให้ชีวิตคงอยู่ อย่างสดชื่น และมีชีวิตชีวา แม้คุณอกหักหรือผิดหวังแต่ความรักก็ยังพร้อมจะเกิดขึ้นใหม่และเจริญงอกงาม ต่อไปได้เสมอ

แต่ ความไว้วางใจ นั้น เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างคุณ กับบุคคลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ลูก คนรัก เพื่อน หัวหน้า หรือ ลูกน้อง ถ้าหาก...คุณสูญเสียความไว้ใจที่มีต่อบุคคลนั้นไป......คุณจะไม่พบมันอีกเลย ในความสัมพันธ์ระหว่างคุณและเขา
37  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สูตรว่าด้วย การออกจาก กาม เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 02:53:13 pm
"สูตรว่าด้วยการออกจากกาม"
สารัตถะในพระไตรปิฎก

ท่านวังคีสะอยู่กับท่านนิโครธกัปปะ ผู้เป็นอุปัชฌย์ ที่อัคคาฬวเจดีย์ เมืองอาฬวี เนื่องจากที่ตนบวชใหม่ อุปัชฌายะจึงให้เฝ้าวิหาร
          ท่านอยู่ที่วิหารรูปเดียว เห็นสตรีสาว ๆ แต่งตัวสวยงามมาชมที่อยู่ของพระ เกิดความกระสัน เพราะจิตกำหนัดในสตรีเหล่านั้น แต่กลับได้ความคิดด้วยการพิจารณาว่า

          "การที่เราเกิดความกระสัน เพราะถูกความกำหนัดรบกวนนี้ ไม่เป็นลาภ ไม่ดีเลย แต่เป็นการได้ชั่ว ในขณะนี้ไม่อาจหาใครช่วย บรรเทาความกระสันให้แก่เราได้ เอาเถอะ เราควรบรรเทาความกระสันที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง แล้วยังความยินดีในธรรมให้เกิดขึ้นแก่ตนด้วยตนเองเถิด"


          เมื่อท่านทำได้สำเร็จตามที่คิด จึงมีจิตยินดีกล่าวคาถาความว่า

          วิตกทั้งหลาย เป็นเหตุให้คะนอง เกิดแต่ธรรมดาย่อมวิ่งเข้าสู่เราผู้ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว

          บุตรของคนชั้นสูง มีฝีมือเชี่ยวชาญศึกษาดีแล้ว ถือธนูไว้มั่นคง สามารถขับคนที่ไม่ต้องการจะหนี ให้วิ่งหนีกระจัดกระจายไปได้ฉันใด

          แม้สตรีมากยิ่งกว่านี้จักมา สตรีเหล่านั้นจักเบียดเบียนเรา ผู้ตั้งมั่นแล้วในธรรมของตนไม่ได้เลยฉันนั้น

          เพราะว่า เราได้ฟังธรรมเพื่อไปสู่พระนิพพาน ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์แล้ว ใจของเรายินดีในทางไปสู่พระนิพพานนั้น

          ดูกรมารผู้ชั่วร้าย ถ้าท่านจะเข้ามาหาเราผู้อยู่อย่างนี้ มฤตยูราชเอ๋ย เราจะทำโดยวิธีที่ท่านจักไม่เห็นแม้ซึ่งทางของเราเลย

ข้อควรกำหนดในพระสูตรนี้

          ๑. อัคคาฬวเจดีย์ เป็นชื่อของเจดีย์แห่งหนึ่ง บรรดาเจดีย์จำนวนมากในเมืองอาฬวี ชาวเมืองนี้มีความเชื่อถือหนักไปทางธรรมชาติ คือ ยอมรับว่าสรรพสิ่งมีปราณ

           ข้อห้ามมิให้พระพรากภูตคามขุดดิน เกิดขึ้นที่เมืองนี้ เพราะชาวบ้านมีปฏิกิริยา เมื่อเห็นพระไปทำเช่นนั้น ในเมืองนี้มียักษ์นามว่า อาฬวกยักษ์ เป็นผู้ดุร้ายมาก แต่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด ให้กลายเป็นผู้ดีมีศีลธรรมได้

          ๒. การที่พระนิโครธกัปปะ ปล่อยให้พระวังคีสะเฝ้าวัด เพราะท่านเพิ่งบวชใหม่ห่มจีวรยังไม่ถนัด จึงให้เฝ้าวัดไปก่อน แต่เพราะท่านเป็นคนหนุ่ม เมื่อเจอสาว ๆ เป็นจำนวนมากเข้า จิตก็แปรปรวนไปตามความเคยชิน ในสมัยเป็นฆราวาส ทางพระพุทธศาสนาจึงถือว่า

           อิตฺถี มลํ พฺรหฺมจริยสฺส หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์


          ๓. เพื่อป้องกันไม่ให้จิตของผู้บวชแปรปรวนไป เพราะรักสตรี ท่านจึงได้สอนให้พิจารณาความไม่สวยงามแห่งรูปร่างกาย คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตั้งแต่วันบวชแล้ว

            โดยให้กำหนดพิจารณาโดยสีสัณฐาน กลิ่น ที่เกิดที่อยู่ของสิ่งเหล่านั้น เพราะในแง่ของความจริงระดับหนึ่งนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า พระองค์ไม่เห็น

           "รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันใดที่จะครอบงำใจบุรุษได้รุนแรงกว่าของสตรี และในทำนองเดียวกัน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะของบุรุษ ก็มีอิทธิพลครอบงำใจสตรีได้มากกว่ารูปเป็นต้นอย่างอื่นด้วย

           ๔. เพื่อให้เกิดการสำรวมระวัง เตรียมกาย ใจ เผชิญปัญหาชีวิตของนักบวช จึงทรงแสดงอันตรายของภิกษุไว้ ๔ ประการ คือ

            ๔.๑ อดทนต่อคำสั่งสอนไม่ได้ เบื่อต่อคำสั่งสอน ขี้เกียจปฏิบัติตาม

            ๔.๒ เป็นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนความอดยากไม่ได้

            ๔.๓ เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป

            ๔.๔ รักผู้หญิง


          ภิกษุสามเณรผู้หวังความเจริญแก่ตน ควรระวังอันตรายทั้ง ๔ นี้ไว้ ไม่ให้มีอิทธิพลเหนือจิตใจตน เพราะหากทนไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะบวชใหม่บวชเก่า โอกาสที่จะสึกเป็นฆราวาสมีได้ง่ายมาก

          ๕. อันที่จริงกามตัณหา กามราคะ ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดขึ้นคือ ความดำริ ด้วยเงื่อนไข ที่ตายตัวว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ

          เมื่อดำริถึงในลักษณะนี้บ่อย ๆ เข้า ความเข้มข้นแห่งตัณหาราคะ ก็มีปริมาณสูงขึ้นภายในจิต จนทำจิตให้เร่าร้อนกระสับกระส่ายไป กลายเป็นความรัก ความปรารถนาอย่างรุนแรง เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงรับสั่งว่า

          "ดูกรกาม บัดนี้เราเห็นเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำรินี้เอง เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว" เพราะพระองค์ทรงทำลายกิเลสกามได้เด็ดขาดนั่นเอง


          ๖. พระวังคีสะ เป็นพระหนุ่มที่ประกอบด้วยสมณสัญญาสูงมาก สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ฝ่าฟันวิกฤตกาณ์ไปได้ จะเห็นว่าท่านเริ่มจากความดำริในทางที่ถูกที่ควร คือ

            ๖.๑ ความคิดเช่นนี้ ไม่ใช่ลาภ ไม่เป็นการได้ดีของท่าน แต่กลับเป็นการได้ไม่ดี

             ๖.๒ เมื่อมองหาคนที่จะช่วยเหลือบรรเทาความรู้สึกกระสันให้ไม่ได้ จึงตัดสินใจช่วยตนเอง ด้วยการมองสิ่งที่ท่านเกิดความกระสัน ในทำนองตรงกันข้าม ตามที่ได้ศึกษามา

            ๖.๓ มีความสำนึกว่า กามวิตก อันเป็นเหตุให้คะนอง ได้วิ่งเข้ามาหาท่านแล้ว แต่กามวิตกเป็นธรรมฝ่ายดำ

          และท่านยังสามารถดึงเอาบุคคลที่ประสบความสำเร็จในศิลปธนู ที่ได้ศึกษาดีแล้ว สามารถขับคนให้แตกกระจายไปได้ ก็ทำไมเล่า ท่านเองซึ่งบวชในสำนักของพระพุทธเจ้า จะต้องมาสยบต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น

           ๖.๔ เมื่อท่านมีความมั่นใจมากพอแล้ว เกิดความเชื่อมั่นว่าสตรีทั้งหลายจะมากันมากอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้จิตท่านหวั่นไหวได้

          เพราะท่านมีความเชื่อมั่นในธรรม อันท่านได้สดับมาจากพระผู้มีพระภาค จนถึงท้าทายมารว่า ท่านจะเพียรพยายาม จนมารหาทางของท่านไม่พบให้ได้

          ๗. การกระทำทั้งหมดของพระวังคีสะ จึงเป็นการทำตามหลักที่ทรงแสดงไว้ว่า

          "จงเตือนตนด้วยตน จงพิจารณาตนด้วยตน ตนแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ บุคคลฝึกฝนตนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้โดยยาก บัณฑิตพึงทำตนให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้าหมองจิตเป็นต้น"


พระวังคีสะ มีเรื่องที่ต้องต่อสู้กับความรู้สึก ที่หนักไปในทางรักใคร่มากทีเดียว ในพระสูตรต่อไป ที่เรียกว่า อรติสูตร ขณะที่อุปัชฌายะของท่านอยู่ในห้อง


          ท่านคิดพล่านไป จนไปเกิดความกระสันขึ้นมา ได้คิดตามพระสูตรก่อน แล้วได้กล่าวสอนตนเองว่า

          "บุคคลใดละความไม่ยินดีในศาสนา และความยินดีในกามคุณทั้งหลาย พร้อมด้วยวิตกอันเกี่ยวข้องด้วยบ้านเรือน ไม่พึงทำป่าใหญ่คือกิเลสในอารมณ์ไหน ๆ ผู้ใดเป็นผู้ไม่มีป่าคือกิเลส ไม่น้อมใจไป ผู้นั้นแล ชื่อว่าผู้เห็นภัยในสังสารวัฏ

          รูปอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ จะต้องอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม จะต้องทรุดโทรม ไม่เที่ยงทั้งหมด บุคคลผู้สำนึกตน ย่อมถึงความตกลงอย่างนี้แล้วเที่ยวไป

          ชนทั้งหลายเป็นผู้ติดในอุปธิ คือกามคุณอันตนเกี่ยวข้องแล้ว ท่านจงบรรเทาความพอใจในกามคุณเหล่านั้น เป็นผู้ไม่หวั่นไหว บุคคลใดไม่ติดอยู่ในกามคุณ ๕ เหล่านั้น บัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นมุนี

           ความนึกคิดอันไม่ชอบธรรม ซึ่งอาศัยอารมณ์ ๖ เป็นอันมาก ไม่พึงมีไม่ว่าในที่ใดแก่ผู้รู้ในวัฏฏะ ภิกษุไม่ควรพูดวาจาหยาบ

           ควรเป็นผู้มีปัญญา มีใจมั่นคงตลอดกาล ไม่ลวงโลก ควรมีปัญญาแก่กล้า ไม่ควรมีตัณหา มุนีผู้ได้บรรลุธรรมอันสงบแล้ว ย่อมหวังแต่เวลาปรินิพพานเท่านั้น"

           ด้วยการนึกคิด ในทำนองสอนตน ติเตียนตน กระตุ้นให้เกิดความสำนึกที่เหมาะที่ควรเช่นนี้ ทำให้ท่านข่มความรู้สึกกระสัน ด้วยอำนาจกามราคะลงไปได้

          ความกระสันที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เกิดจากความดำริถึงกามคุณ ด้วยความใคร่ ปรารถนาพอใจเท่านั้นเอง เพราะไม่มีปัจจัยภายนอกมากระตุ้นอย่างสูตรก่อน ดังที่แสดงไว้ในอังคุตตรนิกายว่า

          "สงฺกปฺปราโค ปุริลสฺส กาโม ความกำหนัดอันเกิดจากความดำริ เป็นกามของคน"
          โบราณท่านจึงสอนไว้ว่า "อยู่คนเดียว ให้ระวังความคิด อยู่ท่ามกลางมิตรให้ระวังวาจา" เพราะว่า "ผู้ประพฤติตามอำนาจจิต ย่อมได้รับความลำบาก

          ดังนั้น เมื่อบาปจะเกิดขึ้นจากอารมณ์ใด ๆ พึงห้ามใจจากอารมณ์นั้น ๆ "

          "การฝึกจิตจึงเป็นความดี เพราะจิตที่ฝึกแล้วย่อมนำความสุขมาให้"

          บนเส้นทางแห่งการปฏิบัติธรรมนั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุ เป็นพระอนาคามีบุคคล การที่จะทำจิตของตนให้หลุดพ้นจากกามราคะเป็นไปได้ยากยิ่ง

          พระวังคีสะเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าท่านจะสามารถชนะใจตนเองได้ครั้งแล้วครั้งเล่า มีความคิดเห็นแหลมคมมาก ในปัญหาของชีวิต

          แต่เมื่อท่านยังเป็นปุถุชนอยู่ อาการไหลลงต่ำตามธรรมชาติของจิต ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

          คราวหนึ่ง ท่านติดตามพระอานนทเถระไปฉันในวัง ได้พบเห็นสาวงามเป็นจำนวนมาก จิตของท่านก็กำเริบขึ้นอีก เมื่อไม่อาจระงับด้วยตนเองได้ จึงเรียนพระอานนทเถระว่า

           "กระผมเร่าร้อนเพราะกามราคะ จิตของกระผมรุ่มร้อน ขอท่านโปรดบอกวิธีเป็นเครื่องดับราคะ เพื่ออนุเคราะห์แก่กระผมด้วยเถิดท่านผู้โคดม”

          “จิตของท่านรุ่มร้อน เพราะสัญญาอันวิปลาส ท่านจงละเว้นนิมิตอันสวยงาม อันเป็นที่ตั้งแห่งราคะเสีย จงเห็นสังขารทั้งหลาย เป็นของแปรปรวน เป็นทุกข์ อย่าเห็นว่าเป็นตัวตน

          ท่านจงดับราคะอันแรงกล้า อย่าให้จิตถูกราคะเผาผลาญบ่อยนัก จงเจริญอสุภกรรมฐาน ให้เป็นจิตมีอารมณ์เดียว ตั้งมั่นด้วยดีเถิด

          ท่านจงเจริญกายคตาสติ มากด้วยความหน่าย จงเจริญความไม่มีนิมิต ถอนมานานุสัยเสียเพราะรู้เท่าถึงมานะ ท่านจักเป็นผู้สงบเที่ยวไป” พระอานนทเถระกล่าว

          เมื่อท่านปฏิบัติตามพระเถระ ก็ระงับกามราคะที่เกิดขึ้นลงไปได้ระยะหนึ่ง

          - การที่พระวังคีสะ ท่านเรียนความรู้สึกของท่านให้พระอานนทเถระทราบ จัดว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง อาจนำไปใช้ได้แม้ในกรณีที่เกิดปัญหาด้านอื่น เพราะการเก็บอารมณ์บางอย่างไว้คนเดียว โดยขาดอุบายวิธีในการผ่อนคลาย อาจเป็นอันตรายได้ง่าย

          - พระวังคีสะเรียกพระอานนทเถระว่า ท่านผู้โคดม เป็นคำที่ไม่ปรากฏบ่อยนัก เพราะส่วนมากจะใช้เรียกพระพุทธเจ้า และเป็นคำที่คนนอกศาสนาเรียก

          เนื่องจากพระอานนทเถระ เป็นโอรสของสุกโกทนะ พระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ จึงเป็นโคตมโคตร หรือสุริยโคตร เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า นี่แปลกเพราะไม่เคยพบใครเรียกคนอื่น นอกจากพระพุทธเจ้า

          - วิปัลลาสสัญญา คือ การกำหนดหมายที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ท่านแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ

          ๑. วิปัลลาสด้วยอำนาจความสำคัญผิด เรียกว่า สัญญาวิปัลลาส
          ๒. วิปัลลาสด้วยอำนาจความคิดผิด เรียกว่า จิตตวิปัลลาส
          ๓. วิปัลลาสด้วยอำนาจความเห็นผิดเรียกว่า ทิฏฐิวิปลลาส

          สิ่งที่ก่อให้เกิดวิปัลลาสทั้ง ๓ นั้น แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ

            ๑. ความสำคัญ คิด เห็น ในของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
            ๒. ความสำคัญ คิด เห็น ในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
            ๓. ความสำคัญ คิด เห็น ในของที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นอัตตาตัวตน

            ๔. ความสำคัญ คิด เห็น ในของที่ไม่สวยงามว่าสวยงาม

          แต่ที่พระอานนทเถระ ท่านยกขึ้นแสดงท่านเน้นในจุดของวิปัลลาสข้อสุดท้ายก่อน เพราะเป็นตัวปัญหา โดยสอนให้เว้นนิมิตอันสวยงาม อันเป็นที่ตั้งแห่งราคะออกเสีย แล้วจึงแสดงข้ออื่นทีหลัง

          การยึดถือที่นำไปสู่กามราคะ ตัณหาอุปาทานเป็นต้นนั้น ท่านแสดงว่ามี ๒ ประเภท คือ

           ๑. ถือโดยนิมิต เช่นถือว่า คนนั่นสวย สิ่งนั้นงาม เสียงนั่นไพเราะ เป็นต้น

           ๒. ถือโดยอนุพยัญชนะ คือ แยกถือ เช่น ตาสวย ผมสวย ปากสวย คิ้วสวย เป็นต้น

          จากนั้น จิตจะกำหนดหมายด้วยความสำคัญผิดว่า รูปนั่นน่าใคร่น่าปรารถนา น่าพอใจ แต่พระวังคีสะท่านเห็นสาว ๆ เหล่านั้นสวยไปหมด พระอานนทเถระจึงสอนให้ถ่ายถอนการยึดถือโดยนิมิตเพียงอย่างเดียว

          วิปัลลาสทั้ง ๔ ประการนั้น ท่านแสดงธรรมสำหรับเป็นเครื่องถ่ายถอนไว้ คือ

          ๑. อนิจจสัญญา การกำหนดหมายให้เห็นความไม่เที่ยง ถอนนิจจสัญญา

          ๒. ทุกขสัญญา การกำหนดหมายว่าเป็นทุกข์ ถอนสุขสัญญา

          ๓. อนัตตสัญญา การกำหนดหมายว่า เป็นอนัตตา ถอนอัตตสัญญา

          ๔. อสุภสัญญา การกำหนดหมายให้เห็นไม่สวยงาม ถอนสุภสัญญา

           อสุภกรรมฐาน และ กายคตาสติ มีวัตถุ ที่ใช้เป็นเครื่องกำหนดพิจารณาเหมือนกัน คือ อาการ ๓๒ คือ การพิจารณาแยกกายออกเป็น ๓๒ คือ

           การพิจารณาแยกกายออกเป็น ๓๒ ส่วน ได้แก่ “ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า

          น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมูตร มันสมอง”

          โดยทั่วไปแล้ว กายคตาสติ คือการพิจารณาสิ่งเหล่านั้น โดยสีสัณฐาน กลิ่น ที่เกิด ที่อยู่ ในกายตน เมื่อเห็นตามจริงแล้ว น้อมไปเปรียบเทียบกับกายคนอื่น ก็จะเห็นเป็นอย่างเดียวกัน

          ส่วนอสุภกรรมฐาน พิจารณากายคนอื่น โดยนัยเดียวกัน แล้วน้อมเข้ามาหาตน แต่หลักนี้ไม่ใช่ตายตัวนัก เพราะในคิริมานนทสูตร เรียกว่า อสุภสัญญา แต่ให้พิจารณากายตน

           แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายนั้นเหมือนกัน คือต้องการถอนหลงรัก กำหนัดในกายตนและกายคนอื่น

38  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้อมูลจากนักโทษข้อหาข่มขืนจากคุกบางขวางและลาดยาว จำนวน 100 คน เมื่อ: กันยายน 13, 2010, 12:29:44 pm
นางสาวอลิสา แสงขำ นักศึกษาปริญญาโท นิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาลตร์ ภาควิชาอาชญวิทยา เก็บข้อมูลจากนักโทษข้อหาข่มขืนจากคุกบางขวางและลาดยาว จำนวน 100 คน


- 90%เลือกผู้หญิงผมยาว คือหางเปีย หางม้าปล่อยตามธรรมชาติ เพราะกระชากจากข้างหลังได้ง่าย

- 87%เลือกผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าถอดง่าย แต่หากพบผู้หญิงถูกใจแต่สวมเสื้อผ้าที่ต้องใช้เวลาถอดนาน เขาจะกลับมาดักรอเป็นครั้งที่สองพร้อมกรรไกรหรือคัตเตอร์

- 84%เลือกผู้หญิงที่เดินไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย มือถือสามารถนำไปขายต่อได้ หรืออ่านการ์ตูน หรือหนังสืออื่นขณะเดินเพราะไม่ได้ระวังตัว

- 96%เลือกผู้หญิงที่เดินทางไปไหนมาไหนเวลากลางคืน เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกตอนกลางคืนโดยไม่คำนึงว่า ต้องเป็นผู้หญิงสวยหรือหุ่นดี ขอให้มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งให้ข้อมูลว่าหากเวลานั้นเป็นเวลาที่เขาต้องการปลด ปล่อยแล้วเขาไม่เลือกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย วัว ควาย- 99% เลือกผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว มีนักโทษบางขวางคนหนึ่งทำทีเป็นวินมอเตอร์ไซค์รับผู้หญิงคนที่ถูกใจจากกลุ่ม เพื่อนของเธอที่เดินด้วยกันไปข่มขืน

- 80%สามารถข่มขืนได้ในการกระทำครั้งแรกโดยใช้อุปกรณ์ที่อยู่ในผู้หญิงนั่นเอง เป็นอุปกรณ์ช่วยประกอบการกระทำผิด เช่น เข็มขัด ลูกกุญแจ กระจกส่องหน้า

- 70%เลิกล้มความตั้งใจหากผู้หญิงคนนั้นจ้องหน้าเขาแล้วเริ่มต้นสนทนาสั้นๆกับเขาก่อน ขณะที่เขาเข้าประชิดตัว เช่น โทษค่ะ กี่โมงแล้ว
39  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิ่งเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ ..... เมื่อ: กันยายน 11, 2010, 10:46:04 am

กรวดเม็ดเล็ก ๆ รวมกันเป็นภูเขาสูงใหญ่

ก้าวเดินก้าวเล็ก ๆ เป็นระยะทางได้หลายกิโล

การกระทำเล็ก ๆ ด้วยความรักความกรุณา

สร้างโลกให้สดใส สดสวยด้วยรอยยิ้ม

คำพูดเล็ก ๆ สามารถบรรเทาปัญหาที่แสนจะยากเย็น

อ้อมกอดเล็ก ๆ เช็ดน้ำตาให้เหือดแห้ง

เทียนไขเล็ก ๆ ส่องแสงนำทางในความมืดมิด

ความจดจำสิ่งเล็ก ๆ คงอยู่นานหลายปี

ความฝันใฝ่เล็กๆ นำไปสู่ความยิ่งใหญ่

ชัยชนะเล็กๆ นำไปสู่ความสำเร็จที่ปรารถนา

สิ่งเล็กๆ ต่าง ๆ ในชีวิตนำมาซึ่งความสุขอันยิ่งใหญ่

ถ้าเราได้คิดสักนิดถึงสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้แล้วหละก็

ความอบอุ่นเมื่อคิดถึงเธอก็ผุดขึ้นในใจ

มันเป็นความสุขใจอันสุดแสนจะบรรยาย

.. เสมอและตลอดไป ..

40  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความรักของพี่น้อง ชาวเกาหลี เมื่อ: กันยายน 07, 2010, 03:52:36 pm
กับ fwd ที่ยาวสักนิด แต่ ก็ มีคติ ครับ

ความรักของพี่กับน้อง... ของชาวเกาหลี
มีนานแล้วแต่อยากให้ได้อ่านกัน

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ

ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

'ผมขโมยเองครับ'

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

และด่าว่าน้องชายของฉัน

' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

'ทำไมถึงคิดน่ารักๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

ฉันถามเขาว่า

'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า 'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม' ฉันถาม

'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ...' น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล 'พี่สาวของผมครับ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ'

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

'ซัมซุง'

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์
โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง
หน้า: [1] 2