ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ  (อ่าน 12825 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

KIDSADA

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 439
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
17.ถ้าจะพิมพ์หนังสือแจกในงาน กฐิน ที่เราเป็นเจ้าภาพ ควรพิมพ์แจกเรื่องอะไรดีคะ พระคุณเจ้าช่วยแนะนำด้วยคะ
 18.เราจะรู้ได้อย่างไร ว่า คนที่เรารัก เช่นพ่อแม่ ของเราที่ตายไป ไปเกิดแล้ว เพราะวันนี้ยังฝันถึงอยู่เลย การฝันถึงแสดงว่า ท่านยังไม่ได้ไปเกิดใช่หรือไม่คะ
 19.นั่งสมาธิ แล้ว รู้สึกหัวหมุน เวียนศรีษะ เกิดจากอะไรคะ เป็นทุกครั้งที่นั่งสมาธิคะ กำหนด พุทโธ แบบกรรมฐาน มัชฌิมาแบบลำดับคะ ขึ้นกรรมฐานที่ คณะ 5 ยังไม่เคยถามหลวงพ่อพระครู คะ ( ไม่กล้าถาม )
 20.การที่เราไม่บริโภค เนื้อสัตว์ ได้บุญมากหรือไม่คะ
 21.ระหว่างเดินจงกรม กับ นั่งกรรมฐาน ถ้าหนูเลือกเดินจงกรมอย่างเดียว ได้หรือไม่คะ คือไม่นั่งกรรมฐานต่อ ควรปฏิบัติอย่างไร คะ
 22.พระถังซัมจั๋ง มีจริง ๆ ใช่หรือไม่ คะ ถ้ามีจริง แล้ว เห้งเจีย มีจริงหรือไม่ คะ
 23.คนป่วย ควรฝึก กรรรมฐาน อะไร คะ
 24.ถ้าเราทำจิตให้สงบ เพียงแค่ ช้างกระดิกหู ชั่วงูแลบลิ้น นี้หมายความว่าอย่างไร คะ
 25.ทำไมการเกิดเป็น มนุษย์ ดีกว่า เกิดเป็นเทวดา คะ
 26.โคตรภูญาณ พระโยคาวจร โยคี  มีความหมายอย่างไร เหมือนกันหรือไม่คะ ตอนนี้เข้าใจว่าเหมือนกันคะ
 27.สมาทานกรรมฐาน กับ อธิษฐานกรรมฐาน เหมือนกันหรือไม่ครับ
 28.เดินจงกรม ย่างซ้ายหนอ ย่างขวาหนอ เป็น สมาธิ หรือ สติ ครับ
 29.อานิสงค์ การบำรุง เลี้ยงดู บุตร ภรรยา มีอานิสงค์ อย่างไร ครับ
 30.ควรเชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ แบบ ภพหรือไม่ครับ หรือ เชื่อ แบบ สภาวะ ดีกว่า หรือว่าไม่เชื่อจะดีครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011
บันทึกการเข้า
เราชอบ ป่วนแก็งค์ อ๊บ อ๊บ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2013, 10:21:49 pm »
0
ใครตอบได้ ช่วยตอบกันบ้างนะ ลืมไปนานแล้ว กับ คำถามทั้งหมด

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2013, 05:13:12 pm »
0
22.พระถังซัมจั๋ง มีจริง ๆ ใช่หรือไม่ คะ ถ้ามีจริง แล้ว เห้งเจีย มีจริงหรือไม่ คะ

พระถังซัมจั๋ง (唐三藏)
เห้งเจีย(行者) ต่าวเจียนเชียงฮุด (鬥戰勝佛) "พุทธะผู้มีชัยในการยุทธ"

เรื่องราวของหลวงจีนเหี้ยนจัง(玄奘) พระถังซัมจั๋ง(唐三藏)นั้น เราท่านรู้จักและคุ้นเคยกันมาแต่เยาว์วัย ทั้งนี้ด้วยอิทธิพลของหนังและละครจากเรื่อง ไซอิ๋ว/西遊記 หากแม้นจะกล่าวถึงตัวละครคงมีแต่พระถังซัมจั๋ง(唐三藏)เท่านั้นที่มีบทบาทอยู่จริงในประวัติศาสตร์ หากแต่เราท่านทั้งหลายจะสงสัยก็คงมีเพียงตัวละครประกอบที่โดดเด่นอย่างลิงหิน เห้งเจีย(行者) (ซุนหงอคง/孫悟空) ว่ามีอยู่จริงหรือ ซึ่งข้อนี้ผมก็เคยถามคุณเตี่ยผมเมื่อครั้งยังเยาว์ก็ได้คำตอบว่ามีจริง ผมก็สงสัยว่าจริงอย่างไร? โดยคุณเตี่ยให้คำอธิบายง่ายๆว่า ถ้าไม่มีจะมีการทรงเจ้าพ่อเห้งเจียได้อย่างไร? ผมนั้นก็พิจารณาเอาว่า เอ่อ! มันมีการทรงเจ้าพ่อเห้งเจียจริงแต่ก็อีกหละ เหตุผลมันต้องมีที่มาที่ไปอ้างอิงให้ชัดเจนกว่านี้แล้วจะหาที่ไหนได้ คงมีเพียงวรรณกรรมเท่านั้นที่ถูกหยิบยกกล่าวไว้และนำมากล่าวอ้างเล่าขานเป็นนิทานก่อนนอน แต่ถ้ากล่าวถึงทัศนะโดยส่วนตัวผมแล้วผมว่าหลวงจีนเหี้ยนจัง(玄奘) พระถังซัมจั๋ง(唐三藏)ท่านคงเป็นพระภาวนาด้วยมิใช่เป็นเพียงปราชญ์แต่คงมีณานอภิญญาอยู่บ้าง มิเช่นนั้นจะสามารถออกจาริกธุดงค์รอนแรมข้ามปีผ่านภยันตรายต่างๆนานาได้อย่างไร? เห้งเจีย(行者) คงเป็นดุจคล้ายกุมารทอง/ควายธนูหรือยิ่งกว่านั้นในการเรียกใช้ต่อกรกับสัมภเวสีที่ดุร้ายก็เป็นได้ หรือจะกล่าวว่าเป็นเทพ (เจเทียนไต้เส้ง(齊天大聖, ฉีเทียนต้าเซิ่ง) แปลว่า "ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน") ผมกำลังจะกล่าวว่าวิสัยของพระสงฆ์ผู้ภาวนานั้นต่างจากปุถุชนที่สามารถก้าวล่วงล้ำมิติแห่งผัสสะทั้งปวงได้ แต่ถึงอย่างไร? ผมก็ยังกังขาอยู่กับเรื่องนี้และหาคำตอบมาตลอด เห้งเจีย(行者) เป็นลิงหิน "เฉียกเกา"(石猴) / หนุมาน(हनुमान्) เป็นลิงลม ในเมื่อเราสงสัยเจ้าลิงหิน"เฉียกเกา"(石猴)ว่ามีหรือไม่ แต่มีกลุ่มคนสักหนุมานลิงลมลงอักขระยันต์คราถึงวาระไหว้ครูสวดภาณไฉนถึงออกอาการเป็นลิงลมล้มเป็นลุกแล้วอย่างนี้จะว่าไม่มีอยู่จริงก็กระไรอยู่นะครับ สรุปอย่างนี้นะครับว่าชาวจีนในหลายหลายชุมชนนิยมไปกราบไหว้ขอพรยังศาลเจ้าต่างๆหนึ่งนั้นมีเจ้าพ่อเห้งเจีย(行者)อยู่ในความศรัทธาว่ามีอยู่จริงและปลูกฝังให้ลูกหลานเชื่อถือกราบไหว้ขอพรกระทั่งทุกวันนี้ ด้วยความศรัทธาเชื่อถือกันว่าท่านเป็น ไต่เส้งฮุกโจ้ว (大聖佛祖) เทพผู้บรรลุผลเป็นพระโพธิสัตว์แล้วนั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 25, 2013, 11:26:47 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2013, 07:12:14 pm »
0
30.ควรเชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ แบบ ภพหรือไม่ครับ หรือ เชื่อ แบบ สภาวะ ดีกว่า หรือว่าไม่เชื่อจะดีครับ

ปัจจุบันความคิดความเชื่อในเรื่องนรกสวรรค์กลับกลายเป็นนิทานกล่อมเด็กก่อนนอนไปแล้ว จะเชื่ออย่างไรก็สุดวิสัยจะรู้กันและกันอยู่ดี หากแต่คนเรายังมีความกลัวโดยสัญชาตญาณแล้ว ก็ยากจะปฏิเสธในเรื่องเหล่านี้ เราจะเชื่อ นรก สวรรค์ แบบภพว่่ามีอยู่หรือ? จริงไหม? ปฏิเสธก็ใช่ว่ากล้า ยอมรับเดี๋ยวหาว่าบ้า หากเชื่อแบบสภาวะ สภาวะเปลี่ยนภพคือแดนเกิดก็เปลี่ยน ถ้าไม่เชื่อเสียเลยก็ประมาทไปครับ! อย่าลืมว่าเราเกิดมาแล้วไม่อาจลืมตาย ดังนั้นประมาทเท่ากับเขลาขลาดอนาถเมื่ิอตายมันสายไป บอกไว้ก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 25, 2013, 07:33:19 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
17.ถ้าจะพิมพ์หนังสือแจกในงาน กฐิน ที่เราเป็นเจ้าภาพ ควรพิมพ์แจกเรื่องอะไรดีคะ พระคุณเจ้าช่วยแนะนำด้วยคะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011


    ans1 ans1 ans1

    ตอบตรงๆเลยครับ พิมพ์เรื่องการทอดกฐิน ประเพณีการทอดกฐิน และอานิสงส์การทำบุญทอดกฐิน หรือเรื่องที่เกี่ยวกับผ้า เช่น ผ้าไตรจีวร ผ้าป่า ผ้าอาบน้ำฝน
    แนะนำให้อีกเรื่อง คือ เรื่องนางวิสาขาและเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์ การได้มาซึ่งมหาลดาประสาธน์ของนางวิสาขา เป็นอานิสงส์การถวายผ้าไตรจีวรและบริขารอื่นๆให้สงฆ์


    แนะนำให้ไปดูตามลิงค์นี้ครับ
    - การทอดกฐิน ประเพณีการทอดกฐิน อานิสงส์การทำบุญทอดกฐิน
    www.dmc.tv/pages/buddha_biography/การทอดกฐิน-ประเพณีการทอดกฐินและอานิสงส์บุญกฐิน.html     
    - อานิสงส์กฐินบาตรและจีวรอันเป็นทิพย์ และเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์
    www.dmc.tv/pages/latest_update/20101105-อานิสงส์กฐิน-เอหิภิกขุอุปสัมปทา-มหาลดาประสาธน์.html

    ที่สำคัญอย่างยิ่ง ขาดไม่ได้ คือ อานิสงส์แห่งธรรมทาน ต้องมีในหนังสือที่พิมพ์แจก
    แนะนำให้ดูลิงค์นี้ครับ

    www.lc2u.org/th/know_rnisong.php

    ขอปิดท้ายด้วยพุทธพจน์ที่ว่า
    การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง
    รสแห่งพระธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง
    ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
    ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง


    อ้างอิง
    อรรถกถาทานสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=278
    อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=6453&Z=6470

     :25: :25: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 07, 2014, 01:02:49 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

29.อานิสงค์ การบำรุง เลี้ยงดู บุตร ภรรยา มีอานิสงค์ อย่างไร ครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011



   ans1 ans1 ans1

   มงคลสูตรในขุททกปาฐะ
   ....การสงเคราะห์บุตรภรรยา เป็นอุดมมงคล
   ....เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไม่ปราชัยในข้าศึกทุกหมู่เหล่า ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน นี้เป็นอุดมมงคลของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ฯ

_______________________________________________________
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=41&Z=72




    ans1 ans1 ans1


     ๑๓. การสงเคราะห์บุตรและภรรยา
    ขยายความมงคลข้อที่ ๑๓  การสงเคราะห์บุตรและภรรยา  ก็จัดเป็นอุดมมงคลอีกประการหนึ่ง  โดยปกติแล้ว  มารดาบิดาย่อมเลี้ยงดูบุตรชายหญิงด้วยจิตเมตตา ยามเล็กก็ให้นม อาบน้ำ ป้อนข้าวป้อนน้ำ ดูแลมิให้ยุงมดไรไต่ตอม หาของเล่นมาให้ เมื่อโตการให้การศึกษา หาสามีภรรยาให้ ยกมรดกให้ ที่สำคัญคือพร่ำสอนให้บุตรเป็นคนดี มีศีลมีธรรม ชักชวนให้ทำแต่บุญกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่ามารดาบิดาพึงอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ (๑) คือ
   ๑.  ห้ามไม่ให้บุตรทำชั่ว
   ๒.  สอนให้ตั้งอยู่ในความดี
   ๓.  ให้ศึกษาศิลปวิทยา
   ๔.  หาสามีภรรยาให้เมื่อถึงวัยอันสมควร
   ๕.  มอบทรัพย์สมบัติให้ในเวลาอันสมควร  การสงเคราะห์บุตรอย่างนี้จัดเป็นอุดมมงคล

________________________
(๑)สิงคาลกสูตร ที. ปาฏิกวรรค ข้อ ๑๙๙

    ส่วนการสงเคราะห์ภรรยานั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงหน้าที่ของสามีที่มีต่อภรรยาไว้  ๕ (๑)  สถานคือ
   ๑.  ยกย่องว่าเป็นภรรยา
   ๒.  ไม่ดูหมิ่น
   ๓.  ไม่ประพฤตินอกใจ
   ๔.  มอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้
   ๕.  ให้เครื่องแต่งตัว (ตามฐานะ)

_______________________
(๑)สิงคาลกสูตร ที. ปาฏิกวรรค ข้อ ๒๐๑

         :88: :88: :88:

   การสงเคราะห์บุตรและภรรยาด้วยสถาน ๕ เหล่านี้จัดเป็นการสงเคราะห์บุตรและภรรยาในปัจจุบันชาตินี้เท่านั้น จึงควรที่สามีจะได้สงเคราะห์บุตรและภรรยาในชาติหน้า
        ด้วยการให้บุตรและภรรยา มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ๑ 
        ให้มีศีล ๕ ศีล ๘ กุศลกรรมบถสิบ ๑ 
        ให้ได้ฟังพระธรรมเทศนา ๑ 
        ให้บริจาคทาน มีข้าวน้ำเป็นต้น ๑ 
        สอนให้พิจารณาถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร ๑
     ส่วนภรรยาเมื่อได้รับการสงเคราะห์จากสามีแล้ว ก็ควรปรนนิบัติสามีให้ดี ให้ความเคารพนับถือมารดาบิดาและญาติของสามี มีใจซื่อตรงไม่นอกใจสามี รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ ไม่ให้เสียหาย เป็นต้น

     ในเรื่องการสงเคราะห์บุตรให้เข้าถึงพระรัตนตรัย อันเป็นการให้อริยทรัพย์แก่บุตรนั้น ดูตัวอย่างได้จากท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี ที่จ้างบุตรชายของท่านผู้ไม่มีศรัทธาในพระรัตนตรัยให้ไปฟังธรรม และรักษาอุโบสถด้วยทรัพย์ ๑,๐๐๐  บุตรดีใจอยากได้ทรัพย์ก็ไปวัดรักษาอุโบสถ  แล้วไม่ฟังธรรม  นอนหลับเสียตลอดวัน  รุ่งเช้าก็ไปรับทรัพย์จากบิดา

 
      :96: :96: :96:

     ต่อมาท่านเศรษฐีก็จ้างให้บุตรฟังธรรมแล้วจดจำมาบอกด้วย จะให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐  บุตรดีใจไปวัดฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงบันดาลให้เขาจำไม่ได้ เขาจึงต้องตั้งใจฟังหลายครั้งจนจำได้ และเข้าใจซาบซึ้งในรสพระธรรม  เขาฟังไปกำหนดไปก็ได้สำเร็จโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา รุ่งเช้าก็ติดตามพระพุทธองค์ไปบ้าน บิดาก็ยื่นทรัพย์ให้ เขาละอายใจไม่รับทรัพย์จากบิดา พร้อมทั้งเล่าว่า
     ตนไม่ยินดีในทรัพย์ทั้งหลายแล้ว เพราะได้ดวงแก้วอันประเสริฐคืออริยมรรค ท่านเศรษฐีดีใจเป็นอันมาก เพราะฉะนั้นการสงเคราะห์บุตรหรือภรรยาก็ตาม หากสงเคราะห์ให้ได้อริยทรัพย์ ดังเช่นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสงเคราะห์บุตรชายของท่าน  จึงจักชื่อว่าเป็นการสงเคราะห์ที่ประเสริฐ  เลิศกว่าการสงเคราะห์อย่างอื่น

     การสงเคราะห์บุตรภรรยา  จึงจัดเป็นอุดมมงคลประการหนึ่ง


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html




      ans1 ans1 ans1

     อานิสงส์ของการเลี้ยงดูบุตร โดย vanessa
     ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=164554
     ๑. พ่อแม่จะได้ความปีติ ภาคภูมิใจเป็นเครื่องตอบแทน
     ๒. ครอบครัวจะสงบร่มเย็นเป็นสุข
     ๓. ประเทศชาติจะมีคนดีไว้ใช้
     ๔. เป็นต้นแบบที่ดีงามของสังคม สืบไปตลอดกาลนาน


      อานิสงส์ของการทำบุญกับเด็กๆ เด็กกำพร้าหรือเด็กผู้ด้อยโอกาส เขียนโดย อภิชาติ ศรีภาค์
      ที่มา http://sripaapi.blogspot.com/2012/08/blog-post_29.html
      การทำบุญกับเด็กๆ เด็กกำพร้าหรือเด็กผู้ด้อยโอกาส เป็นกลุ่มเด็กที่น่าสงสารเห็นใจ การที่เราเลือกทำบุญในวันสำคัญของชีวิต เช่น การไปทำบุญวันเกิด กับเด็ก ๆ ผู้ยากไร้ นอกจากจะช่วยให้เขาเหล่านั้นได้รับความอนุเคราะห์ช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนไปชั่วขณะ ก็ยังทำให้ท่านได้ผลบุญเช่น
       ๑.ทำให้เป็นผู้ที่ไปไหนก็มีคนให้การต้อนรับ 
       ๒.ทำให้ไม่ว้าเหว่ เดียวดาย
       ๓.ทำให้มีหน้าที่อ่อนกว่าวัย         
       ๔.ทำให้ใครๆ ก็ไม่ปฏิเสธในการให้ความช่วยเหลือ
       ๕.ทำให้มีมิตรมากกว่าศัตรู
       ๖.ทำให้มีเสน่ห์ ยิ้มง่าย และอารมณ์ดี


     :25: :25: :25: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 07, 2014, 01:55:06 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มกราคม 07, 2014, 04:24:13 pm »
0
 st11 st12
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ทำไมการเกิดเป็น มนุษย์ ดีกว่า เกิดเป็นเทวดา คะ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มกราคม 08, 2014, 12:48:16 pm »
0

25.ทำไมการเกิดเป็น มนุษย์ ดีกว่า เกิดเป็นเทวดา คะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011




เปรียบเทียบ มนุษย์ สวรรค์ และ อบาย

แม้ว่าตามปกติพวกมนุษย์จะถือว่าเทวดาสูงกว่าพวกตน และพากันอยากไปเกิดในสวรรค์ แต่สำหรับพวกเทวดา เขาถือกันว่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็น สุคติ ของพวกเขา ดังพุทธพจน์ ยืนยันว่า
     “ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์นี่แล นับว่าเป็นการไปสู่ สุคติ ของเทพทั้งหลาย”

เมื่อเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งจะจุตุ(ตาย) เพื่อเทพชาวสวรรค์จะพากันอวยพรว่าให้ไปสู่สุคติ คือไปเกิดเป็นมนุษย์ทั้งหลาย เพราะโลกมนุษย์เป็นถิ่นที่มีโอกาสเลือกประกอบ กุศลกรรม ทำความดีงามต่าง ๆ และประพฤติปฏิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่ (ความชั่วหรือ อกุศลกรรมต่าง ๆ ก็เลือกทำได้เต็มที่เช่นเดียวกัน)


 :96: :96: :96:

    การเกิดเป็นเทวดาที่มีอายุยืนยาว ท่านถือว่าเป็นการเสียหรือพลาดโอกาสอย่างหนึ่งในการที่จะได้ ประพฤติพรหมจรรย์ (ปฏิบัติตาม อริยมรรค) เรียกอย่างสามัญว่า เป็นโชคไม่ดี พวกชาวสวรรค์มีแต่ความสุข ชวนให้เกิดความประมาทมัวเมา สติไม่มั่น

ส่วนโลกมนุษย์มีสุขบ้างทุกข์บ้างเคล้าระคน มีประสบการณ์หลากหลายเป็นบทเรียนได้มาก เมื่อรู้จักกำหนดก็ทำให้ได้เรียนรู้ ช่วยให้สติเจริญว่องไวทำงานได้ดี เกื้อกูลแก่การฝึกตนและการที่จะก้าวหน้าในอริยธรรม เมื่อพิจารณาในแง่ระดับแห่งคุณธรรมให้ละเอียดลงไปอีกจะเห็นว่า มนุษย์ภูมิ นั้นอยู่กลางระหว่าง เทวภูมิ หรือสวรรค์ กับ อบายภูมิ มีนรก เป็นต้น

 ans1 ans1 ans1

พวก อบาย เช่นนรกนั้น เป็นคนของคนบาปด้อย คุณธรรม (ธรรมเป็นคุณ ความดีงาม สภาพที่เกื้อกูล) แม้ชาว อบาย บางส่วนจะจัดได้ว่าเป็นคนดี แต่ก็ตกไปอยู่ในนั้น เพราะความชั่วบางอย่างให้ผลถ่วงดึงลงไป

ส่วนสวรรค์ก็เป็นแดนของคนดีค่อนข้างมีคุณธรรม แม้ว่าชาวสวรรค์บางส่วนจะเป็นคนชั่วแต่ก็ได้ขึ้นไปอยู่ในแดนนั้น เพราะมีความดีบางอย่างที่ประทุแรงช่วยผลักดันหรือฉุดขึ้นไป

ส่วนโลกมนุษย์ที่อยู่ระหว่างกลาง ก็เป็นประดุจชุมทางที่ผ่านหมุนเวียนกันไปมาทั้งของชาวสวรรค์และชาว อบาย เป็นแหล่งที่สัตว์โลกทุกพวกทุกชนิดมาทำ มาหากรรม เป็นที่คนชั่วมาสร้างตัวให้เป็นคนดีเตรียมไปสวรรค์ หรือ คนดีมาสุมตัวให้เป็นคนชั่วเตรียมไปนรก ตลอดจนเป็นที่ผู้รู้จะมาสะสางตัวให้เป็นคนอิสระ เลิกทำมาหากรรม เปลี่ยนเป็นผู้หว่านธรรม ลอยพ้นเหนือการเดินทางหมุนเวียนต่อไป

พระธรรมปิฎก  (ป.อ.ปยุตฺโต)


ที่มา http://www.kanlayanatam.com/sara/sara14.htm
ขอบคุณภาพจาก http://www.84000.org/




๓. เหตุใดเทวดาตายแล้วจึงอยากเกิดเป็นมนุษย์
 
   ถาม  เคยได้ยินว่า เทวดาเมื่อตายแล้วก็ปรารถนาเกิดเป็นมนุษย์จริงหรือไม่
   เพราะมนุษย์เราตายแล้วก็ปรารถนาจะเป็นเทวดากันทั้งนั้น
   เหตุใดเทวดาจึงปรารถนาเกิดเป็นมนุษย์


   ตอบ  ปัญหาที่คุณถามมานี้เป็นความจริง
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องนี้ไว้ใน จวมานสูตร ขุ.อิติวุตตกะ ข้อ ๒๖๑-๒๖๒ ว่า
   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดเทวดาผู้จะจุติจากเทพนิกาย เมื่อนั้นนิมิต ๕ ประการย่อมปรากฏแก่เทวดานั้น คือ
                    ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง ๑
                    ผ้าทรงย่อมเศร้าหมอง ๑
                    เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ ๑
                    ผิวพรรณเศร้าหมองย่อมปรากฏที่กาย ๑
                    ย่อมไม่ยินดีในทิพยะอาสน์ของตน ๑


   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายทราบว่า เทพบุตรนี้จะต้องเคลื่อนจากเทพนิกาย ย่อมพลอยยินดีกะเทพบุตรนั้นด้วยถ้อยคำ ๓ อย่างว่า
                    แน่ะท่านผู้เจริญ ขอท่านจากเทวโลกนี้ไปสู่สุคติ ๑
                    ครั้นได้ไปสู่สุคติแล้ว ขอท่านจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ๑
                    ครั้นได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้วขอจงเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดี ๑”


    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นส่วนแห่งการไปสู่สุคติของเทวดาทั้งหลาย อะไรเป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว และอะไรเป็นส่วนการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย พระเจ้าข้า”

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์แล เป็นส่วนแห่งการไปสุคติของเทวดาทั้งหลาย
     เทวดาครั้นเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมได้ศรัทธาในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วนี้แล
     เป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว ก็ศรัทธาของเทวดาทั้งหลายเป็นคุณชาติตั้งลง
     มีมูลรากเกิดแล้ว ประดิษฐานมั่นคง อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆ ในโลกพึงนำไปไม่ได้
     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย”




     
     ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ตรัสสรุปเป็นคาถาว่า
     “เมื่อใดเทวดาจะต้องจุติจากเทพนิกายเพราะความสิ้นอายุ เสียง ๓ อย่างของเทวดาทั้งหลายผู้พลอยยินดี ย่อมเปล่งออกไปว่า แน่ะท่านผู้เจริญ ท่านจากโลกนี้ไปแล้วจงถึงสุคติ จงถึงความเป็นสหายแห่งมนุษย์ทั้งหลายเถิด ท่านเป็นมนุษย์แล้วจงได้ศรัทธาอย่างยิ่งในพระสัทธรรม ศรัทธาของท่านนั้นพึงเป็นคุณชาติตั้งลงมั่น มีมูลเกิดแล้ว มั่นคงในพระสัทธรรมที่พระตถาคตประกาศดีแล้ว อันใครๆ พึงนำไปไม่ได้ตลอดชีวิต

      ท่านจงละกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และอย่ากระทำอกุศลกรรมอย่างอื่นที่ประกอบด้วยโทษ
      กระทำกุศลด้วยกายด้วยวาจาให้มาก กระทำกุศลด้วยใจหาประมาณมิได้ หาอุปธิมิได้
      แต่นั้นท่านจงกระทำบุญอันให้เกิดอุปธิสมบัตินั้นให้มากด้วยทาย แล้วยังสัตว์แม้เหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในพระสัทธรรมในพรหมจรรย์
      เมื่อใดเทวดาพึงรู้แจ้งซึ่งเทวดาผู้จะจุติ เมื่อนั้นย่อมพลอยยินดีความอนุเคราะห์ว่า แน่ะเทวดา ท่านจงมาบ่อยๆ”


     ทั้งหมดนี้คือข้อความในพระสูตรนี้ และจากข้อความในจวมานสูตรนี้ ท่านผู้ถามก็จะเห็นว่า
     เมื่อเทวดาทั้งหลายเกิดนิมิต ๕ ประการอันแสดงว่าจะต้องจุติจากเทวโลกดังนี้แล้ว
     เทวดาทั้งหลายอื่นๆ ย่อมอวยพรให้เขาได้เกิดในมนุษย์ ซึ่งเขาถือว่ามนุษย์ภูมิเป็นสุคติภูมิของเทวดา
     เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วขอให้ได้ศรัทธาในพระสัทธรรม คือ ขอให้ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า


     ฟังแล้วมีศรัทธาปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนั้น เมื่อปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนั้นแล้ว ขอให้ดำรงมั่นคงในพระธรรมนั้น นั่นคือ ขอให้ได้บรรลุมรรคผล คือโสดาปัตติผล เทวดาทั้งหลายหวังจะให้เทวดาผู้จะจุตินั้นสำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้วกลับไปเสวยสุขอยู่ในเทวโลกอีก
     จึงกล่าวว่า ดูก่อนเทวดา ขอท่านจงกลับมาสู่เทพนิกายนี้บ่อยๆ คือ ขอให้สำเร็จเป็นโสดาบันแล้วกลับมาในหมู่เทพอีกนั่นเอง


     ความจริงการเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีโอกาสทำบุญทำกุศลได้ทุกอย่าง
     แม้การที่จะบรรลุเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าก็ต้องเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้


ที่มา
นานาปัญหา โดย คณะสหายธรรม
http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=3
อ้างอิง และแนะนำ :- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ จวมานสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=6074&Z=6109
ขอบคุณภาพจาก http://upic.me/




๔. จวมานสูตร

      [๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด เทวดาเป็นผู้จะต้องจุติจากเทพนิกายเมื่อนั้น นิมิตร ๕ ประการ ย่อมปรากฏแก่เทวดานั้น คือ
         ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง ๑
         ผ้าย่อมเศร้าหมอง ๑
         เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ ๑
         ผิวพรรณเศร้าหมองย่อมปรากฏที่กาย ๑
         เทวดาย่อมไม่ยินดีในทิพอาสน์ของตน ๑

      ดูกรภิกษุทั้งหลายเทวดาทั้งหลายทราบว่า เทพบุตรนี้จะต้องเคลื่อนจากเทพนิกาย ย่อมพลอยยินดีกะเทพบุตรนั้นด้วยถ้อยคำ ๓ อย่างว่า
         แน่ะท่านผู้เจริญ ขอท่านจากเทวโลกนี้ไปสู่สุคติ ๑
         ครั้นไปสู่สุคติแล้ว ขอจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ๑
         ครั้นได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ขอจงเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดี ๑ ฯ


      :25: :25: :25: :25:

     [๒๖๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามว่า
     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นส่วนแห่งการไปสู่สุคติของเทวดาทั้งหลาย
     อะไรเป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว
     อนึ่ง อะไรเป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย พระเจ้าข้า ฯ

     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์แล เป็นส่วนแห่งการไปสู่สุคติของเทวดาทั้งหลาย
     เทวดาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ย่อมได้ศรัทธาในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
     นี้แลเป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว

     ก็ศรัทธาของเทวดานั้นแล เป็นคุณชาติตั้งลง มีมูลเกิดแล้วประดิษฐานมั่นคง อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก พึงนำไปไม่ได้
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย ฯ

      ans1 ans1 ans1

     เมื่อใดเทวดาจะต้องจุติจากเทพนิกายเพราะความสิ้นอายุ เมื่อนั้นเสียง ๓ อย่างของเทวดาทั้งหลายผู้พลอยยินดีย่อมเปล่งออกไปว่า
     แน่ะท่านผู้เจริญ ท่านจากเทวโลกนี้ไปแล้วจงถึงสุคติ จงถึงความเป็นสหายแห่งมนุษย์ทั้งหลายเถิด
     ท่านเป็นมนุษย์แล้ว จงได้ศรัทธาอย่างยิ่งในพระสัทธรรม ศรัทธาของท่านนั้นพึงเป็นคุณชาติตั้งลงมั่น มีมูลเกิดแล้ว มั่นคงในพระสัทธรรมที่พระตถาคตประกาศดีแล้ว อันใครๆพึงนำไปมิได้ตลอดชีพ

     ท่านจงละกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และอย่ากระทำอกุศลกรรมอย่างอื่นที่ประกอบด้วยโทษ กระทำกุศลด้วยกาย ด้วยวาจาให้มาก กระทำกุศลด้วยใจหาประมาณมิได้ หาอุปธิมิได้ แต่นั้นท่านจงกระทำบุญอันให้เกิดสมบัตินั้นให้มาก ด้วยทาน แล้วยังสัตว์แม้เหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในพระสัทธรรม ในพรหมจรรย์
     เมื่อใด เทวดาพึงรู้แจ้งซึ่งเทวดาผู้จะจุติ เมื่อนั้น ย่อมพลอยยินดีด้วยความอนุเคราะห์นี้ว่า
     แน่ะเทวดา ท่านจงมาบ่อยๆ ฯ


        จบสูตรที่ ๔


อ้างอิง
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๖๐๗๔ - ๖๑๐๙. หน้าที่ ๒๖๗ - ๒๖๙.
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=6074&Z=6109&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=261



     ans1 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

     
     พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในจวมานสูตร ว่า
     "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์แล เป็นส่วนแห่งการไปสู่สุคติของเทวดาทั้งหลาย
     เทวดาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ย่อมได้ศรัทธาในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
     นี้แลเป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว"


    เทวดายังอยากเกิดเป็นมนุษย์เลย ดังนั้นเกิดเป็นมนุษย์จึงดีกว่าเกิดเป็นเทวดา
     ในแง่ของการปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ มนุษย์พบเห็นทุกข์ได้มากกว่าเทวดา จึงบรรลุธรรมได้ง่ายกว่าเทวดา
     เทวดาส่วนใหญ่จะหลงเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ จึงยากที่จะเห็นทุกข์โดยความเป็นจริง
     ความหลงในความเป็นทิพย์นั้นเรียกว่า นันทิราคะ


     กล่าวอีกนัยหนึ่ง เทวดามีนันทิราคะมากกว่ามนุษย์ จึงบรรลุธรรมได้ยากกว่ามนุษย์
     นั่นคือ เหตุที่กล่าวว่า เกิดเป็นมนุษย์ดีกว่าเกิดเป็นเทวดา


      :25: :25: :25: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 08, 2014, 12:52:37 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

24.ถ้าเราทำจิตให้สงบ เพียงแค่ ช้างกระดิกหู ชั่วงูแลบลิ้น นี้หมายความว่าอย่างไร คะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011


 ans1 ans1 ans1




สมาธิชั่ว "ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น"

อ.สุจินต์.  ประโยชน์ของข้อความที่ว่า สติปัฏฐานเกิดแม้เพียงชั่วช้างกระดิกหู หรือไก่ปรบปีก หรืองูแลบลิ้น ที่กล่าวอุปมาไว้เปรียบเทียบแสดงไว้ว่า เร็วแค่ไหน ก็มีประโยชน์มาก เพราะเหตุว่าถ้าไม่เคยเกิดเลย ก็ยังเกิดได้ แม้สั้นมาก เร็วมาก ๑ ขณะ หรือน้ำหยดหนึ่งที่จะลงตุ่มจนกว่าจะเต็ม ทีละ ๑ หยด นานๆ ครั้งหนึ่ง ก็ยังเต็มได้ เพราะฉะนั้นแม้เพียงขณะสั้นๆ ต่อไปเราก็จะคุ้นเคย จะค่อยๆรู้ว่า นี่คือ ขณะที่กำลังเริ่มรู้ลักษณะแท้จริงของสภาพธรรมที่เราเรียนมา ฟังมา นานแสนนาน แต่ประโยชน์ก็อยู่ตรงที่ระลึกลักษณะนั้น เพื่อที่จะรู้จริงๆว่า ความจริงเป็นไปตามที่ได้เรียนมา ประโยชน์สูงสุดอยู่ตรงนี้

พระศุภกร   ข้ออุปมาอันนี้จะเอาไปใช้กับการเจริญสมถภาวนาได้ไหม อย่างที่พระพุทธเจ้าอุปมาว่า แม้จะเร็วเหมือนกับงูแลบลิ้น ไก่ปรบปีก ที่เรากล่าวนี้เป็นกุศลเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน แต่อุปมาอันนี้ที่มีคนเอาไปเปรียบกับการเจริญสมาธิ จะสมควรไหม

อ.สุจินต์.  จริงๆแล้วเรื่องของสมาธิหรือเรื่องของสมถภาวนา เป็นเรื่องที่ละเอียดมากเพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจจริงๆ แล้วเป็นอกุศล หรือมิจฉาสมาธิ เพราะฉะนั้นอุปมาทั้งหลายก็ต้องทราบว่า มุ่งหมายเพื่ออย่างไร ถ้าการที่เราจะมีความเพียรนานแสนนานจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง แต่ปัญญาก็ยังเห็นคุณค่าว่า เพียงครั้งหนึ่งก็มีประโยชน์มาก

เพราะเหตุว่าถ้าพูดถึงสมถะ ก็หมายความถึงสงบจากโลภะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้นกุศลทุกประเภทต้องเป็นสมถะ เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ แม้แต่มรรคมีองค์ ๘ ก็มีทั้งสมถะและวิปัสสนา ส่วนสมถะที่ไม่ใช่สติปัฏฐาน ไม่มีวิปัสสนาด้วย เป็นแต่เพียงความสงบของจิต ซึ่งกุศลทุกชนิดสงบ แต่สงบสั้น

เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่ากุศลน้อยมาก แค่นิดเดียวแล้วอกุศลก็เยอะแยะ ผู้ที่มีปัญญาก็อบรมโดยการ ที่แม้ขณะนั้นไม่มีวัตถุที่จะให้ทาน หรือที่จะวิรัติทุจริต แต่ก็ยังมีการให้กุศลจิตเกิดบ่อยๆ เนืองๆจนกระทั่งสงบขึ้น อันนั้นก็ยังไม่เป็นผู้รู้หนทาง แต่ถ้าเป็นผู้รู้หนทางแล้ว ก็จะเห็นว่าต่างกัน เพราะว่าแม้สติปัฏฐานจะเกิดน้อย แต่ก็ยังเป็นหนทางที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้


พระศุภกร   ความสำคัญก็คือ ขอให้เป็นสัมมามรรค จะน้อยจะมากอย่างไรไม่สำคัญเท่ากับเป็นสัมมามรรคหรือเปล่า

อ.สุจินต์.  ถ้ารู้อย่างนี้จะไปทำอย่างอื่นไหมคะ ต้องไปไหนหรือเปล่า ต้องไปทำอะไรหรือเปล่า แต่ไม่ใช่ไปทำอะไรเพื่อจะรู้สภาพธรรม ใช่ไหมคะ

วรศักดิ์   ครับผม ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เพราะทำอะไรก็ไม่ได้เลย

อ.สุจินต์.  ต้องเข้าใจจริงๆ ถึงจะเป็นความเห็นถูก


อ้างอิง
คำบรรยายของ อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์  มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
http://www.dhammahome.com/front/audio/show.php?id=8260
ขอบคุณภาพจาก http://statics.atcloud.com



   ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

   สำนวนคำนี้ผมค้นดูในพระไตรปิฎก ยังหาไม่เจอครับ อาจเป็นคำของอรรถกถาจารย์ท่านใดท่านหนึ่ง
   ขอยกพระสูตรที่พอเทียบเคียงได้มาแสดงดังนี้

     เวลามสูตร
    การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจากจาตุรทิศ
    การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นฐานะแห่งความประมาท มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
    การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ
    ดูกรคฤหบดีทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่ามหาทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว ...

    การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ...
    และการที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม ฯ
   


    อรรถกถาเวลามสูตร
    บทว่า คนฺธูหนมตฺตํ ได้แก่ เป็นเพียงดำริในของหอม คือเป็นเพียงเอานิ้วทั้งสองจับก้อนข้าวหอมเข้ามาสูดดม.
    ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวพระบาลีว่า โคโทหนมตฺตํ แล้วจึงได้กล่าวความหมายว่า เพียงน้ำนมหยาดเดียวของแม่โคนม.
    บทว่า เมตฺตจิตฺตํ ได้แก่ จิตที่แผ่ตามไปเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง.
    แต่จิตนั้น ท่านถือเอาแล้วด้วยอำนาจอัปปนาเท่านั้น.


    บทว่า อนิจฺจสญฺญํ ได้แก่ วิปัสสนาที่มีกำลังถึงที่สุดโดยความเป็นอนันตรปัจจัยแก่มรรค.
    ส่วนบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้นเหล่านี้ พึงทราบโดยอุปมาอย่างนี้.
    ก็แม้ถ้าว่า เขาทำชมพูทวีปให้เป็นพื้นเสมอกัน เช่นกับหน้ากลองปูลาดบัลลังก์ตั้งแต่ต้นแล้ว พึงให้พระอริยบุคคลนั่ง ณ ที่นั้นมีโสดาบันบุคคล ๑๐ แถว, สกทาคามีบุคคล ๕ แถว, อนาคามีบุคคลสองแถวครึ่ง, พระขีณาสพหนึ่งแถวครึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าพึงมีหนึ่งแถว.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ทานที่บุคคลถวายจำเพาะแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีผลมากกว่าทานที่ถวายแล้วแก่ชนประมาณเท่านี้.


     ส่วนทานนอกนี้ คือ วิหารทาน บิณฑบาต สิกขา การเจริญเมตตา ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ ของท่านผู้พิจารณาโดยความสิ้นไป.
     ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ในสมัยจะปรินิพพานว่า การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นการบูชาสูงสุด.


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  บรรทัดที่ ๘๓๓๖ - ๘๔๑๖.  หน้าที่  ๓๖๐ - ๓๖๓.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=8336&Z=8416&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=224



     ans1 ans1 ans1 ans1
     
     อ่านเอาเองนะครับ บางคนอาจเข้าใจว่า เป็นขณิกสมาธิ
     แต่ผมไม่ขอบรรยาย เพราะอึดอัดมาก ปัญญาไปไม่ถึง

      :49:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 08, 2014, 07:47:57 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 18.เราจะรู้ได้อย่างไร ว่า คนที่เรารัก เช่นพ่อแม่ ของเราที่ตายไป ไปเกิดแล้ว เพราะวันนี้ยังฝันถึงอยู่เลย การฝันถึงแสดงว่า ท่านยังไม่ได้ไปเกิดใช่หรือไม่คะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011

    ans1 ans1 ans1

    ปัญหานี้เคยตอบไปแล้ว อยู่ในกระทู้ของคุณสุนีย์
    "ทำไม คนที่ตายไปแล้วมาเข้าฝันได้ หรือเขายังไม่ได้ไปเกิด"
    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6880.0
    คำตอบของกระทู้นี้ยาวมาก ขอให้คลิกเข้าไปอ่านเอาเอง..นะครับ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อถามแล้วก็จะคุยเป็นเพื่อนสักเล็กน้อย เพื่อรักษาน้ำใจกัน
    ตามคติของพุทธ คนตายไปแล้วจะเกิดทันที ขึ้นอยู่กับว่าจะไปอยู่ในภพไหน
    ยกตัวอย่างเช่น ภพของสัมภเวสี ภพนี้เป็นการตายก่อนอายุขัย เกิดจากกรรมตัดรอน
    จำเป็นต้องรอให้ครบอายุขัยของมนุษย์ก่อน จึงจะไปเกิดในภพต่อไปได้
   
    กรณีฝันถึงคนตายนั้น มีความเป็นไปได้ที่วิญญาณนั้นเป็นสัมภเวสี
    แต่ความฝันนั้น อรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า เชื่อได้ยาก โอกาสไม่จริงมีสูง
    ขอให้อ่านอรรถกถานี้ดู






อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวัคคิกะ
๑๔. ตุวฏกสุตตนิทเทส

   ผู้ฝันย่อมฝันด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ
   ธาตุโขภะ ธาตุกำเริบ ๑
   อนุภูตปุพพะ เคยเสพมาก่อน ๑
   เทวโตปสังหาระ เทวดาดลใจ ๑
   ปุพพนิมิต ลางบอกเหตุ ๑.


   ในความฝัน ๔ ประการนั้น
   - ผู้มีธาตุกำเริบ เพราะดีเป็นต้นกำเริบ ชื่อว่าฝันโดยธาตุกำเริบ.
   - ผู้ฝันโดยเคยเสพมาก่อนแล้ว ย่อมเห็นอารมณ์ที่เคยเสพมาแล้วในกาลก่อน.
   - ฝันโดยเทวดาดลใจ ย่อมเห็นอารมณ์ทั้งหลายด้วยอานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.
   - ฝันโดยบอกเหตุล่วงหน้า ย่อมฝันเห็นลางบอกเหตุล่วงหน้าแห่งสิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
อันประสงค์จะให้เกิดด้วยอำนาจบุญและบาป.


  ในความฝันเหล่านั้น ฝันโดยธาตุกำเริบและโดยที่เคยเสพมาก่อนแล้ว ไม่เป็นจริง.
  ฝันโดยเทวดาดลใจ จริงบ้างไม่จริงบ้าง. เพราะเทวดาโกรธ ประสงค์จะให้ถึงความพินาศโดยอุบาย ก็แสดงทำให้วิปริต.
  ฝันโดยบอกเหตุล่วงหน้า จริงโดยส่วนเดียว.


ที่มา "ลิงหลับแล้วฝันอย่างไร" ในบาลีมีคำตอบ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=4334.msg16017#msg16017



      ans1 ans1 ans1
     
      เรื่องของการระลึกถึงคนตายนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
      "ไม่ควรร้องไห้เศร้าโศก เพราะไม่เป็นประโยชน์กับคนตาย ควรขวนขวายทำบุญให้กับผู้ตายจะดีกว่า"
      ไม่ว่าคนที่เรารักจะเกิดในภพภูมิใดก็ตาม อย่าได้เสียเวลาไปกังวลเลย
      ขอให้เร่งทำบุญให้กับวิญญาณนั้น แม้บุญนั้นจะไม่ถึงคนที่เรารัก บุญนั้นจะตกอยู่กับผู้ทำอยู่ดี

        :49: :25: st12
   
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 19.นั่งสมาธิ แล้ว รู้สึกหัวหมุน เวียนศรีษะ เกิดจากอะไรคะ เป็นทุกครั้งที่นั่งสมาธิคะ กำหนด พุทโธ แบบกรรมฐาน มัชฌิมาแบบลำดับคะ ขึ้นกรรมฐานที่ คณะ 5 ยังไม่เคยถามหลวงพ่อพระครู คะ ( ไม่กล้าถาม )

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011


    ans1 ans1 ans1
   
    เรื่องนี้เป็นอารมณ์ของกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ โดยตรง
    ทำเนียมของกรรมฐานมัชฌิมาฯ ไม่ให้มาแจ้งอารมณ์กับผู้อื่น ต้องแจ้งกับพระอาจารย์
   
    อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการรักษาน้ำใจ ขอให้ไปอ่านกระทู้นี้ครับ
    "ปีติ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและวิมุตติมรรค"
    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13005.msg44575#msg44575

    จากประสบการณ์ส่วนตัว ในฐานจิตแรก "ขุททกาปิติธรรมเจ้า"
    หากตั้งจิตได้ถูกต้อง ปิติที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่งก็คือ "รู้สึกมึนตึงที่ศีรษะ"
    นี่เป็นการคุยเป็นเพื่อนนะครับ ไม่ใช่การตอบคำถาม

     :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มกราคม 09, 2014, 01:39:50 pm »
0
 st11 st12 thk56
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มกราคม 09, 2014, 01:40:22 pm »
0
 st11 st12 thk56
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

Mario

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 208
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มกราคม 09, 2014, 03:04:59 pm »
0
 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
hero ผู้ปราบอธรรม มาแว้ว
มาเพราะยายกบ เป็นคนชวน
ฝากตัวด้วยไม่ถนัดเว็บ ธรรม
แต่เป็น hero ต้องไม่กลัว ธรรม

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

26.โคตรภูญาณ พระโยคาวจร โยคี  มีความหมายอย่างไร เหมือนกันหรือไม่คะ ตอนนี้เข้าใจว่าเหมือนกันคะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011


 ans1 ans1 ans1

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

โคตรภู ผู้ตั้งอยู่ในญาณซึ่งเป็นลำดับที่จะถึงอริยมรรค, ผู้อยู่ในหัวต่อระหว่างความเป็นปุถุชนกับความเป็นอริยบุคคล
โคตรภูญาณ ญาณครอบโคตร คือ ปัญญาที่อยู่ในลำดับจะถึงอริยมรรค หรืออยู่ในหัวต่อที่จะข้ามพ้นภาวะปุถุชนขึ้นสู่ภาวะเป็นอริยะ


โยคาวจร ผู้หยั่งลงสู่ความเพียร, ผู้ประกอบความเพียร, ผู้เจริญภาวนา คือ กำลังปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เขียน โยคาพจร ก็มี
โยคี ฤษี, ผู้ปฏิบัติตามลัทธิโยคะ, ผู้ประกอบความเพียร


 :25: :25: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 09, 2014, 10:34:41 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

27.สมาทานกรรมฐาน กับ อธิษฐานกรรมฐาน เหมือนกันหรือไม่ครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011

 ans1 ans1 ans1

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

สมาทาน การถือเอารับเอาเป็นข้อปฏิบัติ, การถือปฏิบัติ เช่น สมาทานศีล คือรับเอาศีลมาปฏิบัติ
สมาทานวัตร ดู ขึ้นวัตร
สมาทานวิรัติ การเว้นด้วยการสมาทาน คือ ได้สมาทานศีลไว้ก่อนแล้ว เมื่อประสบเหตุที่จะให้ทำความชั่ว ก็งดเว้นได้ตามที่สมาทานนั้น(ข้อ ๒ ในวิรัติ ๓)       
ธรรมสมาทาน การสมาทานหรือปฏิบัติธรรม, การทำกรรม จัดได้เป็น ๔ ประเภท คือ
           การทำกรรมบางอย่างให้ทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไป,
           บางอย่างให้ทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป,
           บางอย่างให้สุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป,
           บางอย่างให้สุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป


อธิษฐาน
       1. ในทางพระวินัย แปลว่า การตั้งเอาไว้หรือตั้งใจกำหนดเอาไว้ คือ ตั้งเอาไว้เป็นของนั้นๆ หรือตั้งใจกำหนดเอาไว้ว่าจะใช้เป็นของประจำตัวชนิดนั้นๆ
       เช่น ได้ผ้ามาผืนหนึ่ง ตั้งใจว่าจะใช้เป็นอะไร คือจะเป็นสังฆาฏิ อุตตราสงค์ อันตรวาสก ก็อธิษฐานเป็นอย่างนั้นๆ เมื่ออธิษฐานแล้ว ของนั้นเรียกว่าเป็นของอธิษฐาน เช่น เป็นสังฆาฏิอธิษฐาน จีวรอธิษฐาน (นิยมเรียกกันว่า จีวรครอง) ตลอดจนบาตรอธิษฐาน
      ส่วนของชนิดนั้น ที่ได้เพิ่มมาอีกหรือเกินจากนั้นไปก็เป็นอติเรก เช่น เป็นอติเรกจีวร อติเรกบาตร,
      คำอธิษฐาน เช่น “อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฺฐามิ”
      (ถ้าอธิษฐานของอื่น ก็เปลี่ยนไปตามชื่อของนั้น เช่น เป็น อุตฺตราสงฺคํ, อนฺตรวาสกํ เป็นต้น)
      2. ความตั้งใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว, ความมั่นคง เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ในทางดำเนินและจุดมุ่งหมายของตน (ข้อ ๘ ในบารมี ๑๐),
      ในภาษาไทยมักใช้ในความหมายว่า ความตั้งใจมุ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง, ความตั้งจิตปรารถนา
อธิษฐานธรรม ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ, ธรรมเป็นที่มั่น มี ๔ อย่าง คือ
           ๑. ปัญญา
           ๒. สัจจะ
           ๓. จาคะ
           ๔. อุปสมะ (รู้จักหาความสงบใจ)
อธิษฐานพรรษา ความตั้งใจกำหนดลงไปว่าจะอยู่จำพรรษา ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดไตรมาส (๓ เดือน); ดู จำพรรษา




     ans1 ans1 ans1
     
     คำว่า สมาทานกรรมฐาน และอธิษฐานกรรมฐาน ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก
     เข้าใจว่า อรรถกถาจารย์ยุคหลังๆ ประดิษฐ์คำเหล่านี้ขึ้นมาเอง
     จุดประสงค์ของการสมาทานกรรมฐาน และอธิษฐานกรรมฐาน น่าจะเหมือนกัน
     คือ เตรียมใจให้พร้อม ระลึกถึงพระรัตนตรัย กำหนดเป้าหมายของการปฏิบัติ

     ในพระไตรปิฎกเท่าที่ค้นดู คำว่า"สมาทาน"นั้น ใช้กับศีลหรือสิกขา ซึ่งอยู่ในพระวินัยเป็นส่วนใหญ่
     ส่วนคำว่า "อธิษฐาน" ก็ปรากฏในพระวินัยเป็นส่วนใหญ่
     ทั้งสองคำไม่ปรากฏว่า ใช้คู่กับคำว่า"กรรมฐาน" ในพระไตรปิฎกมีแต่คำว่า "เจริญกรรมฐาน"


     ที่น่าสนใจก็คือ ในปาปณิกสูตรที่ ๑ มีคำว่า "อธิษฐานสมาธินิมิต"
     คำนี้อาจเทียบเคียงกับคำว่า "อธิษฐานกรรมฐาน" ได้
     หากสนใจเรื่องนี้ขอให้ไปอ่านกระทู้นี้ครับ

     "ทำไมต้องมีการอธิษฐาน กรรมฐาน ครับ"
     http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=1935.0
     
     หรือ อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก ได้ที่
     http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=3038&Z=3064
     ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=458

     ผมคงคุยเป็นเพื่อนได้เท่านี้
  :49::25: st12
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 09, 2014, 11:36:15 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: มกราคม 10, 2014, 10:26:23 am »
0
 st11 st12
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 30.ควรเชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ แบบ ภพหรือไม่ครับ หรือ เชื่อ แบบ สภาวะ ดีกว่า หรือว่าไม่เชื่อจะดีครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011

 ans1 ans1 ans1

ผมเคยตอบปัญหาทำนองนี้ไปแล้วหลายครั้งรบกวนไปอ่านด้วยครับ

ถ้าเราไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า มีจริง แต่เชื่อผลกรรม ในปัจจุบัน อันนี้เป็นความคิด..
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3472.0

เราควรเชื่อ เรื่อง ชาติ หน้า อย่างไร จึงจะถูกต้องคะ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6289.msg23315#msg23315

      - โลกหน้ามีจริงหรือไม่
      - อปัณณกสูตร สูตรว่าด้วยธรรมะที่ไม่ผิด
      - ปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ
      - ไม่เชื่อนรกสวรรค์มีโทษร้ายแรงแค่ไหน?
      - ทำอย่างไรจะเชื่อคนที่บอกว่าเห็นมาจริง?
      - ปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์และไม่ทรงพยากรณ์
      - ฉลาดสุดสุด !!! ถึงพริกถึงขิง+++ สำหรับท่านที่ไม่เชื่อ นรก สวรรค์
      - เชื่อแบบปฏิจจสมุปบาท

    ทั้งแปดหัวข้อ อยู่ลิงค์นี้ครับ
    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6289.0


     ans1 ans1 ans1

    เชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร ห้ามกันไม่ได้ ประเด็นอยู่ที่ปฏิบัติแล้วเห็นผลอย่างไรมากกว่า
     "ลัทธิใดปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ลัทธินั้นไม่ว่างจากอรหันต์"

      :25:
     
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
คำถามสองข้อนี้ ขอให้ไปตั้งกระทู้อีกห้องหนึ่ง
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: มกราคม 11, 2014, 11:31:21 am »
0

 21.ระหว่างเดินจงกรม กับ นั่งกรรมฐาน ถ้าหนูเลือกเดินจงกรมอย่างเดียว ได้หรือไม่คะ คือไม่นั่งกรรมฐานต่อ ควรปฏิบัติอย่างไร คะ
 28.เดินจงกรม ย่างซ้ายหนอ ย่างขวาหนอ เป็น สมาธิ หรือ สติ ครับ



http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011


     ans1 ans1 ans1
     
     ขออภัยครับ คำถามสองข้อนี้ ขอให้ไปตั้งกระทู้ในห้อง
     "ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน"
     http://www.madchima.org/forum/index.php?board=3.0
     ปัญญายังไปไม่ถึง..ขอรับ

      :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

20.การที่เราไม่บริโภค เนื้อสัตว์ ได้บุญมากหรือไม่คะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011


 ans1 ans1 ans1

สมัยก่อนโรงฆ่าสัตว์ยังมีน้อย บางที่อาจไม่มีเลย ชาวบ้านทั่วไปต่างเลื้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหาร ไม่จะเป็น หมู วัว ปลา หรือสัตว์อื่นๆ เวลานำมาปรุงอาหาร จึงจำเป็นต้องฆ่า ผมเป็นคนบ้านนอก เป็นคนหนึ่งที่ฆ่าสัตว์เพื่อนำมาปรุงอาหาร ปัจจุบันผมทานมังสวิรัติ การทานมังสวิรัติของผม ไม่ได้เกิดจากการสมาทานหรือบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้
แต่เกิดจากการปฏิบัติธรรม จนวันหนึ่งนึกรังเกลียดเนื้อสัตว์ อยู่ใกล้ๆจะรู้สึกเหม็นคาว

   การนึกรังเกลียดเนื้อสัตว์นี้ เป็นข้อห้ามของพระพุทธเจ้าที่บัญญัติเอาไว้ ๓ ข้อ
      - ได้เห็น
      - ได้ยิน
      - นึกรังเกียจ
   แต่ถ้าเป็นวินัยของบรรพชิต(พระ)แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า
   เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ
   หากจะขยายความกันแล้วต้องพูดว่า หากรู้ว่าเขาฆ่าสัตว์เพื่อเราแล้ว ห้ามฉัน


    ask1 ans1 :96:
   ถามว่า ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ได้บุญหรือไม่.?
   ตอบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องอจินไตย พระพุทธเจ้าห้ามคิด แต่ก็จะคุยเป็นเพื่อน ให้ได้ความบันเทิงในธรรม

  ตัวอย่าง
   หากมีใครมาบอกคุณว่า เขาจะฆ่าไก่ตัวนี้มาแกงให้คุณกิน แล้วคุณปฏิเสธ กรณีนี้คุณจะได้บุญแน่นอน
   มีคำกล่าวยอดฮิตอยู่ประโยคหนึ่ง คือ ถ้าไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า 
   การฆ่านี้ เราไม่ได้ไปใช้หรือบังคับให้เขาฆ่าสักหน่อย เขากระทำเองทั้งสิ้น
   เราจะห้ามคนทั่วโลกไม่ให้ฆ่าสัตว์ได้รึ.? และจะเอาสิทธิ์หรืออำนาจใดไปห้าม

    :49: :49: :49:
  กรณีที่พระพุทธเจ้าห้ามสาวกฉันเนื้อสัตว์ ๑๐ ชนิด ก็ด้วยเหตุที่ว่า ฉันแล้ว สัตว์นั้นจะได้กลิ่นจึงทำร้ายเอา เช่นเนื้อเสือ เมื่อภิกษุอยู่ป่า เสือจะได้กลิ่นเสือจากภิกษุนั้น จึงเข้ามาทำร้าย
   อีกเหตุหนึ่งก็คือ สัตว์นั้นมีคุณเป็นพาหนะของมนุษย์ และอีกอย่างคือ เพราะเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป
   พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเหตุเพราะ "ไม่กินเนื้อสัตว์แล้วจะได้บุญ" ไว้เลย


   ขอแนะนำกระทู้ที่เกี่ยวข้อง
   "พระพุทธศาสนากับมังสวิรัติ''
   http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13291.0
   พระพุทธเจ้าห้ามกินเนื้อสัตว์ ๑๐ ประเภท ด้วยเหตุผลอะไร.?
   http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13327.0
   "กินเจแล้วได้บุญ" คำพูดนี้มาจากไหน.?
   http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13328.0

    :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 18, 2014, 01:45:38 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
คนป่วย ควรฝึก กรรรมฐาน อะไร คะ
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: มกราคม 19, 2014, 07:57:46 pm »
0


23.คนป่วย ควรฝึก กรรรมฐาน อะไร คะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011


    ans1 ans1 ans1
   
    ควรรักษาตัวให้หายก่อนจะดีกว่า ไม่ควรฝึกกรรมฐานใดๆ
    อยากให้ทราบว่า บทสวดโพชฌงค์ปริตร มีไว้สำหรับอริยสงฆ์เท่านั้น
    อีกอย่างการกล่าวสัญญา ๑๐ ประการของพระอานนท์ ให้พระคิริมานันท์ฟังจนหายอาพาธนั้น
    ก็น่าจะเรื่องของอริยสงฆ์เช่นกัน ปุถุชนน่าจะไม่ได้ผลอะไร

    ในพระไตรปิฎกก็ไม่ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำอะไร
    แม้ในคราวที่พระพุทธเจ้าอาพาธ ยังต้องใช้ให้พระจุนทะสวดโพชฌงค์ให้ฟัง เพื่อบรรเทาอาการเจ็บ
    จึงเห็นชัดว่า แม้พระองค์จะมีสมาธิอันยิ่ง ก็ไม่อาจสู้อาการอาพาธได้
    พระองค์อาพาธหนักจนช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องให้พระจุนทะช่วย
    ขอคุยเท่านี้ครับ

     :25: :25: :25:

   
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

22.พระถังซัมจั๋ง มีจริง ๆ ใช่หรือไม่ คะ ถ้ามีจริง แล้ว เห้งเจีย มีจริงหรือไม่ คะ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9011

 ans1 ans1 ans1


ไซอิ๋ว วรรณคดีที่โด่งดังของจีน

ชีวิตอมตะใน “ไซอิ๋ว”

ไซอิ๋ว วรรณคดีที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งของจีน อันเป็นเรื่องการผจญภัยของพระถังซัมจั๋ง เพื่อไปนำเอาพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีปกลับไปประเทศจีน เส้นทางที่ยาวไกลนั้นเต็มไปด้วยปีศาจร้ายนานาชนิด ที่สำคัญปีศาจเหล่านั้นรู้ว่าหากใครได้กินเนื้อพระถังซัมจั๋งละก็ จะอายุยืนหมื่นปี จึงพยายามจะจับท่านไปกินอยู่มิได้ขาด

แต่ท่านก็ไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง เพราะมีศิษย์ซึ่งเป็นปีศาจกลับใจ 2 ตัว ได้แก่ เห้งเจีย หรือ ซึงหงอคง ซึ่งเป็นลิง โป๊ยก่าย (หมู) และเทวดาตกสวรรค์ คือ ซัวเจ๋ง อีกหนึ่ง ศิษย์ทั้งสามเป็นผู้คอยอารักขาพระถังซัมจั๋งตลอดเส้นทางจนสำเร็จ


 :96: :96: :96:

พระถังซัมจั๋งนั้นมีตัวตนจริงๆ ชื่อจริงคือ เหี้ยนจัง หรือ เสวียนจั้ง (ออกเสียงแบบจีนกลาง) ปี พ.ศ.1172 ท่านออกเดินทางไปยังประเทศอินเดีย เพื่อคัดลอกพระไตรปิฎกกลับไปประเทศจีน ตลอดการเดินทางจากเมืองหลวงของจีน คือ ฉางอาน อาศัยเส้นทางสายไหมผ่านไปทางตะวันตก ของจีน เข้าสู่เอเชียกลาง และเอเชียใต้ หรือชมพูทวีป ตามลำดับ

ซึ่งในที่สุดท่านก็เข้าไปศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นที่สอนศาสนาพุทธใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานั้น รวมเวลาเดินทางไปกลับและอยู่ที่อินเดีย รวมทั้งสิ้น 19 ปี ท่านกลับถึงจีนเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.1188 พร้อมกับอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระไตรปิฎก และพระพุทธรูปกลับไปด้วย

  :41: :41: :41:

สำหรับวรรณคดีไซอิ๋ว นั้น มีชื่อเป็นภาษาจีนว่า ซีโหยวจี้ ที่ใช้เรื่องราวของพระถังซัมจั๋ง แต่แต่งใหม่ให้เป็นเรื่องสนุกสนานแนวผจญภัย โดยอู๋เฉิงเอิน เมื่อประมาณปี ค.ศ.1590 ในสมัยราชวงศ์หมิง เห้งเจีย ศิษย์เอกของพระถังซัมจั๋งซึ่งเป็นลิงที่มีฤทธิ์มากนั้น

สมัยก่อนที่ยังเป็นลิงอันธพาล เคยไปอยู่บนสวรรค์ทำหน้าที่เฝ้าสวนท้อทิพย์ แต่เห้งเจียก็ไปแอบกินอย่างสบายใจ เมื่อถึงเวลาที่เทพเจ้าของสวนจะเอาไปจัดเลี้ยงก็ไม่มี แถมยังตามไปป่วนงานเลี้ยงของเทพทั้งหลาย และไปขโมยกินยาอายุวัฒนะของเทพองค์หนึ่งด้วย เห้งเจียจึงเป็นผู้ที่มีชีวิตเป็นอมตะผู้หนึ่ง


ที่มา http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=13448.msg45973;topicseen#new


 ans1 ans1 ans1

   - พระถังซัมจั๋งนั้น มีตัวตนจริงๆ ชื่อจริง คือ "เหี้ยนจัง หรือ เสวียนจั้ง"
   - ส่วนเห้งเจีย ไม่มีตัวตนเป็นเพียงตัวละคร

   - มีผู้รู้วิเคราะห์ว่า โป๊ยก่าย คือ ศีล 
                         ซัวเจ๋ง คือ สมาธิ
                         เห้งเจีย คือ ปัญญา
     เพื่อนๆเห็นด้วยรึเปล่า อยากให้ช่วยวิเคราะห์หน่อย

      :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
   - มีผู้รู้วิเคราะห์ว่า โป๊ยก่าย คือ ศีล 
                         ซัวเจ๋ง คือ สมาธิ
                         เห้งเจีย คือ ปัญญา
     เพื่อนๆเห็นด้วยรึเปล่า อยากให้ช่วยวิเคราะห์หน่อย



       โป๊ยก่าย "ตือหงอเหนง" (豬悟能/จูอู้เหนิง) เดิมชื่อ "เทียนฝง" เคยเป็นเทวดาขุนศึกอยู่บนสวรรค์ หลังจากปราบปีศาจลิงหิน ได้ความดีความชอบ เง็กเซียนฮ่องเต้ จึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพสวรรค์ แต่ได้กระทำผิดมีรักกับเทพธิดาฉางเอ๋อ ซึ่งขัดต่อกฎสวรรค์ จึงถูกลงโทษให้ลงไปรับวิบากกรรมรัก 1,000 ชาติ ภายหลังพระโพธิสัตว์กวนอิมเมตตาไถ่บาป โดยให้สมาทานศีลติดตามพระถังซัมจั๋งไปอัญเชิญพระไตรปิฏกยังชมพูทวีป
       ด้วยสัญญากรรมจึงน้อมจริตมักจะผิดในเรื่องกาม กามในข้อกาเมฯนั้นสำคัญ มนุษย์ปุถุชนมักดำเนินอยู่ด้วยกามหยามกันอยู่เนืองเนืองไม่ว่าหญิงหรือชายวุ่นวายพอกัน ดังนั้นศีลจึงเด่นข้อห้ามสำหรับ ตือโป๊ยก่าย

       ซัวเจ๋ง "ซัวหงอเจ๋ง" (沙悟凈/ชาอู้จิ้ง) เดิมชื่อ "ฮัวเลี้ยม" เป็นเทวดาบนสวรรค์ แต่ด้วยความเบาปัญญาจึงพลาดพลั้งทำตะเกียงแห่งปัญญาของเจ้าแม่หวังมู่ตกแตกทำความผิดจึงถูกสาปให้ทรมานด้วยมีด 7 ด้ามตามทิ้มแทงหัวใจทุกวัน ครั้นอยู่มาวันหนึ่งคิดการใหญ่หนีดำสู่ใต้บาดาล เป็นพรายน้ำจับผู้คนกิน ด้วยพระโพธิสัตว์กวนอิมเมตตาชี้นำให้สมาทานศีลให้ได้พบพระถังซัมจั๋งรับฟังพระธรรมเทศนาจึงกลับตัวศรัทธาออกติดตามไปอัญเชิญพระไตรปิฎกยังชมพูทวีปด้วย
       ด้วยความศรัทธาน้อมนำตนอย่างนอบน้อม ท่านจึงมีอุปนิสัยเชื่อฟังน้อมนำใจลงสู่สมาธิระงับเวทนาเสียจากความเจ็บปวดจากบาปเคราะห์ตลอดการเดินทางสู่จุดหมายท่านจะไม่ละทิ้งสมาธิเลย


       เห้งเจีย "ซึงหงอคง" (孫悟空/ซุนอู้คง) เห้งเจียเดิมเป็นหินที่ถูกแสงสุริยันจันทราอาบมากว่า 1,000 ปี วันหนึ่งจึงแตก และมีลิงตัวหนึ่งกระโดดออกมา ลิงตัวนั้นจึงได้ไปอยู่กับฝูงลิงที่เขาฮวยก๊วย และตั้งตัวเป็นหัวหน้าฝูง บรรดาลิงในฝูงนับถือเป็นท่านอ๋อง ฉายา "มุ้ยเกาอ๋อง" (พญาวานรโสภา) วันหนึ่งลิงหินตัวนี้เห็นลิงในฝูงตัวหนึ่งตายลงด้วยความแก่ จึงเกิดความคิดที่จะแสวงหาวิชาที่จะไม่ทำให้เจ็บให้ตาย ที่สุดก็พบกับเซียน "โผเถโจ๊วซือ" รับเป็นศิษย์อยู่ฝึกวิชาสำเร็จแล้วเกิดลำพองใจ ไปอาละวาด อวดวิชาตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งสวรรค์หรือบาดาล ทำให้ 3 โลก ปั่นป่วน เง็กเซียนฮ่องเต้ส่งทหารสวรรค์นับ 10 หมื่นไปจับ แต่กลับถูกเห้งเจียปราบราบคาบ เง็กเซียนฮ่องเต้ ต้องยอมให้เห้งเจียขึ้นเป็นใหญ่ตั้งให้เป็น "มหาเทพ" แต่หงอคงก็ยังเหิมเกริมไม่เลิก องค์ยูไล (พระพุทธเจ้าในความเชื่อของชาวจีน) ต้องเสด็จมาปราบเอง โดยให้หงอคงถูกทับด้วยภูเขาหินนาน 500 ปี กระทั่งพระถังซัมจั๋งจาริกผ่านมาช่วยไว้ (โดยพระโพธิสัตว์กวนอิมได้เมตตาประทานห่วงรัดเกล้าให้แก่พระถังซัมจั๋งไว้ปราบพยศเห้งเจีย) เห้งเจียจึงต้องบวชเป็นศิษย์จาริกรับใช้พระถังซัมจั๋งไปชมพูทวีปทำหน้าที่คุ้มครองไปตลอดการเดินทาง เสร็จกิจแลัวจึงได้เป็น "ไต่เส้งฮุกโจ้ว/大聖佛祖"
       ด้วยอุปนิสัยท่านฉลาด,ว่องไวมีไหวพริบ,ช่างสังเกต และรอบคอบ จึงได้ชื่ิอว่ามีปัญญาก้าวล่วงนำกว่าใครอื่น ดังนั้นท่านจึงต้องถูกกล่าวหยั่งไว้ในความเป็นผู้เลิศข้างฝ่ายปัญญา




http://www.vcharkarn.com/vcafe/188009
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 04:58:54 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 04:51:10 pm »
0


ไซอิ๋วกี่

       เหี้ยนจังศรัทธา      ก้าวย่างห่ามหา      ไตรปิฎกอัญเชิญ
ม้าขี่ควบคล่อง      เพียรย่องย่างเดิน      วิริยะมารเผชิญ      บ่ล้าบ่หน่าย

       หงอเหนงมักมาก      ตัณหาใคร่อยาก      มิอิ่มมิละอาย      
หงอเจ่งอยู่เย็น      ลำเค็ญกลับกลาย      วุ่นวายหน่ายคลาย      ไม่เคืองไม่ข้อง

       ปัญญาคือลิง      หงอคงกลอกกลิ้ง      มากขุ่นหลากห้อง
ไซอิ๋วปรัมปรา      มากค่าเถกิงก้อง      กล่าวฝากเพื่อนพ้อง      ชี้หม่นในตน      

                                                                                               ธรรมธวัช.!



http://www.vcharkarn.com/vcafe/188009
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 04:57:47 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 07:48:47 pm »
0
 gd1 gd1
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2014, 09:57:09 am »
0
28.เดินจงกรม ย่างซ้ายหนอ ย่างขวาหนอ เป็น สมาธิ หรือ สติ ครับ

การเดินจงกลมหากจะกล่าวในส่วนของพระกรรมฐานมัชฌิมาแล้วเป็นได้ทั้งในส่วนของสมถะและวิปัสสนา ในส่วนของสมถะการเดินจงกลมก็เพียงยืนมือขวากุมทับมือซ้ายวางทาบไว้ที่ศูนย์นาภีกำหนดปัคคหะจิต "พุท-โธ" อิริยาบถเดินกำหนดก้าวยี่สิบห้าก้าวไปและกลับ คาดคะเนเอาเวลาให้ได้กึ่งหนึ่งของการนั่งภาวนาทำสลับไปมาให้ชินให้คล่องจักสบายกายใจเบา ในส่วนของวิปัสสนานั้นกำหนดสติกับอิริยาบถที่ค่อนข้างยากกับการก้าว คนที่ไม่คุ้นเคยจะอึดอัดขืนและฝืนพอสมควรทีเดียว การเริ่มหัดฝึกควรเริ่มที่สมถะก่อนอย่าหาญเยื่องอย่างครูบาอาจารย์ท่าน บารมียังอ่อนกำหนดสติก้าวย่างตามอิริยาบถไม่ทัน ซึ่งการเดินก้าวย่าง "ซ้ายหนอ-ขวาหนอ" มีอยู่เป็นมาตรฐานในทุกสำนัก แต่ในพระกรรมฐานมัชฌิมามีการฝึกจงกลมธาตุกำหนดสติในทุกอิริยาบถส้นยกย่างเหยียบยืนเป็นจังหวะสี่ คือธาตุทั้งสี่จากหนึ่งเท้าข้างเป็นสองเท้าข้างจิตนี้ต้องละเอียดมากมากยากสำหรับผู้ฝึกใหม่ขืนและฝืนอย่างยิ่งยวด ทั้งหมดเพียงกล่าวพร่ำนำพอเข้าใจมีได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา แล้วค่อยเจาะละเอียดในส่วนสติสำคัญอย่างไร ? ว่ากันคราวหน้า ครับ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2014, 09:49:40 am โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

rainmain

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 323
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ครับ ช่วยตอบหน่อยครับ
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2014, 06:55:51 pm »
0
ติดตามอ่าน อยู่ครับ

 thk56
บันทึกการเข้า
คิดดี พูดดี ทำดี เป็นกุศล และ กรรมฐาน เป็นมหากุศล นะครับ