พยายามอ่าน วิเคราะห์ ตามนะคะ เพราะ อ่านแล้ว ก็ยัง งง ๆ กับสำนวน คะ
1. เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้เจริญแล้วย่อมไม่ควรแก่การใช้งานเหมือนจิตนี้
จิตที่ไม่ได้เจริญแล้วย่อมไม่ควรแก่การใช้งาน ( ข้อนี้คือไม่ได้เจริญภาวนา )
2.เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่ได้เจริญแล้วย่อมควรแก่การใช้งานเหมือนจิตนี้
จิตที่ได้เจริญแล้วย่อมควรแก่การใช้งาน ( ข้อนี้คือ จิตที่มีการภาวนา )
3.เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้เจริญแล้วย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์มากเหมือนจิตนี้
จิตที่ไม่ได้เจริญแล้วย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์มาก ( เมื่อไม่ภาวนา ก็ไม่มีประโยชน์ )
4.เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่ได้เจริญแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์มากเหมือนจิตนี้
จิตที่ได้เจริญแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์มาก ( เมื่อภาวนาก็มีประโยชน์ )
5.เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้เจริญไม่ปรากฏชัดแล้วย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์มากเหมือนจิตนี้ จิตที่ไม่ได้เจริญไม่ปรากฏชัดแล้วย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์มาก ( ไม่ภาวนาก็ไม่ปรากฏชัด )
6.เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งที่ได้เจริญปรากฏชัดแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์มากเหมือนจินี้
จิตที่ได้เจริญปรากฏชัดแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์มาก ( เมื่อภาวนาก็ปรากฏชัด )
7.เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้เจริญไม่ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์มากเหมือนจิตนี้ จิตที่ไม่ได้เจริญไม่ได้ทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์มาก ( การภาวนา ถ้าไม่ทำให้บ่อย )
8. เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่ได้เจริญทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์มากเหมือนจิตนี้
จิตที่ได้เจริญทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์มาก ( เมื่อเจริญบ่อยก็ย่อมสมควร )
9. เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้เจริญไม่ทำให้มากแล้วย่อมนำทุกข์มาให้เหมือนจิตนี้
จิตที่ไม่ได้เจริญไม่ได้ทำให้มากแล้วย่อมนำทุกข์มาให้ ( เมื่อไม่เจริญภาวนาก็ย่อมมีความทุกข์ )
10.เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่งที่ได้เจริญทำให้มากแล้วย่อมนำสุขมาให้เหมือนจิตนี้
จิตที่ได้เจริญทำให้มากแล้วย่อมนำสุขมาให้ ( เมื่อเจริญก็ย่อมได้ความสุข )
สรุป จากที่อ่านมานะคะ คือ ผู้ที่ภาวนา ต้องให้ภาวนาให้บ่อย ถึงจะได้ความสุข คะ
พยายาถอดใจความ ที่กล่าวว่าพระไตรปิฏก ที่อ่านยาก อยู่ คงเพราะเหตุีนี้ คะ