ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - samathi
หน้า: [1]
1  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ความไม่เชื่อ เรื่อง สวรรค์ นรก แบบ ภพภูมิ เป็นอุปสรรค กับการภาวนาหรือไม่ครับ เมื่อ: มิถุนายน 16, 2012, 01:23:59 pm
ความไม่เชื่อ เรื่อง สวรรค์ นรก แบบ ภพภูมิ เป็นอุปสรรค กับการภาวนาหรือไม่ครับ

  คือ ส่วนตัวไม่เชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ ทีเป้นภพภูมิ แต่เชื่อ เรื่อง นรก สวรรค์ ที่เกิดสัมผัสจากอายตนะ ที่เป็นปัจจุบันในใจนี้มากกว่า ครับ

  ไม่ทราบว่าความคิด อย่างนี้จะทำให้เกิดอุปสรรคต่อการปฏิบัติอย่างไรบ้างครับ

   :smiley_confused1: :c017:
2  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระพุทธเจ้า ไปโปรด พระพุทธมารดา นั้นเป็นเรื่องจริง หรือ เรื่องแต่ง เมื่อ: กันยายน 24, 2011, 08:16:18 am
เป็นที่ถกเถียงกันในกลุ่มผู้ภาวนาด้วยกัน คือ บางคนก็เชื่อ นรก สวรรค์ ที่มีแต่กายแตก

แต่บางคนก็เชื่อว่า มีแต่เพียงในใจ แท้ที่จริง พระพุทธศาสนา สอนให้ดูในปัจจุบันเท่านั้นหรือ

ถ้าดูในปัจจุบัน แล้วสอนให้คนทำเสบียงบุญไว้เพื่ออะไร หรือเพื่อ ดัดนิสัย ให้รู้จักให้ บ้างเท่านั้น

ดูเหมือนถ้ามีปัญญา เข้าไปพิจารณาแล้ว เหตุ ผล ไม่ค่อยจะสมดุลย์กัน จนในหมู่เพื่อนที่ภาวนาด้วยกัน

ก้ยังพูดขึ้นว่า พระพุทธเจ้าโปรดพุทธมารดา นั้นก็เป็นเพียงพระพุทธเจ้า เสด็จขึ้นไปบนยอดเขาที่สูงลูกหนึ่ง

บนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่พระพุทธเจ้า เคารพดุจมารดา ( อธิบายกันไปได้ขนาดนี้ )

 ถ้าเป็นอย่างนี้ พระพุทธศาสนา ก็เป็นศาสนาที่หลอกลวงคนให้เชื่อ ทั้ง ๆ ที่มีหลัก กาลามสูตร อยู่นี่นะ

จึงอยากทราบความเห็นของเพื่อนสมาชิกว่า

  พระพุทธเจ้า โปรดพระพุทธมารดานั้นเป็นเรื่องจริง หรือ เรืี่องแต่ง มีอะไรเป็นข้อพิสูจน์

  :25:
3  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เกี่ยวกับ ฌาน เมื่อ: มิถุนายน 16, 2011, 04:38:49 am
คำว่า "ฌาน" แปลว่า "การเพ่ง" ตามปกติแล้วก็มีความหมายใน 2 ระดับ
ระดับ แรก เป็นส่วนเหตุ เรียกว่า "อารัมมณูปนิชฌาน" คือ  การเพ่งดูอารมณ์ที่เป็นเครื่องตั้งสติกำหนดระลึก เช่น ดูลมหายใจเข้าออก ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ฯลฯ  จนจิตของบุคคลผู้นั้น ตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่หวั่นไหว ที่เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ"  ในชั้นนี้กว่าจะเข้าถึงฌานอันเป็นส่วนผลที่เรียกว่า "รูปฌาน"   ซึ่งเป็นการแสดงถึงความประณีตของจิตที่เกิดขึ้นจากการเจริญสมถกรรมฐานโดย ลำดับนั้นเอง

1.ปฐมฌาน มีองค์ 5 คือ
  วิตก ความตรึกที่เป็นกุศล
  วิจาร ได้แก่ความตรอง กุศลธรรมที่ตนตรึกนั้น  มีความสงบประณีตสูงขึ้นกว่าความตรึกตรองของสามัญชน เพราะว่าความตรึกตรองของท่านเหล่านั้นไม่ประกอบด้วยกิเลสและอกุศลธรรม
  ปิติ ความเอิบอิ่มใจที่เกิดขึ้น แสดงออกมาในลักษณะต่างๆ
 สุข ความสบายกายสบายใจ  อันเกิดจากจิตที่มีความสงบมีลักษณะโปร่งเบาบังเกิดขึ้นทั้งกายและจิต
 เอกัคคตา  จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ  ไม่ถูกโยกคลอนให้หวั่นไหว  ด้วยการเหนี่ยวนึกของตนเอง และแรงกระทบมาจากภายนอก ในกรณีที่สิ่งกระทบนั้นไม่แรงเกินไป

2.ทุติยฌาน มีองค์ 3 ซึ่งเป็นพัฒนาการทางจิตที่ก้าวไกลขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ดังนั้นในทุติฌาน จึงไม่มีวิตก คือความตรึก ไม่มีวิจาร คือความตรอง แต่มีปิติ คือความเอิบอิ่มใจ
                สุข  คือความสบายกายสบายใจที่ประณีตยิ่งนัก ความสุขในชั้นทุติฌานนั้น  ท่านเรียกว่าเป็นความสุขที่หวานใจยิ่งนัก  เป็นความเอิบอิ่มเป็นความซาบซึ้งตรึงตรา   ซึ่งจิตธรรมดาของบุคคลไม่สามารถสัมผัส ความสุขในชั้นนี้ได้และเอกัคคตา คือจิตตั้งมั่นเป็นอันเดียว  มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้นกว่าในปฐมฌาน

3.ตติย ฌาน มีองค์ 2 คือ ความสุขและเอกัคคตา เพราะปิติสงบระงับไปจากจิตของบุคคลนั้น  ความสุขจึงมีความเกี่ยวข้องกับความสงบ  จิตของผู้ปฏิบัติก็จะเยือกเย็นและสงบมากยิ่งขึ้น

4.จตุตถฌาน มีองค์ 2 คือแม้ความสุขก็จะหายไป  ใจจะปรากฏเป็นอุเบกขาที่เรียกว่า เป็นอุเบกขาฌาน อันเป็นอาการของปัญญาปรากฏขึ้นภายในจิตพร้อมกับเอกัคคตา คือจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่หวั่นไหว

ฌานทั้ง  4 ประการนี้ ท่านเรียกว่า "รูปฌาน" บางทีก็เรียกว่า  รูปสมาบัติ  ทั้งนี้เพราะว่ามีรูปธรรมเป็นอารมณ์ให้บังเกิดขึ้น   เมื่อกล่าวในชั้นของจิตแสดงว่าระดับจิตขึ้นสู่รูปาวาจรภูมิ คือชั้นที่มีรูปเป็นอารมณ์ ท่านเหล่านี้เมื่อทำลายกาลกิริยาตายไป  ถ้าฌานท่านไม่เสื่อม   ก็จะบังเกิดเป็นพรหมในพรหมโลกตามกำลังของฌานที่ท่านเหล่านั้นได้บรรลุเป็นผล ต่อเนื่อง  จากการเจริญสมถกรรมฐานนั้น มุ่งสงบนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ  ซึ่งเป็นสนิมใจ เป็นเครื่องกั้นใจคนไว้ไม่ให้บรรลุความดี

"ผู้ใดที่ปฏิบัติได้ฌาณ ขอความกรุณาบอกอาการของฌาณที่เกิดขึ้นแต่ละขั้นด้วยครับ "....

การที่จิตมีฌาณเกิดขึ้น..หมายถึงจิตเรา..ไม่มีสภาวะของนิวรณ์ ๕ อยู่ในจิต...
สภาวะดังกล่าวเกิดขึ้น ๑ ขณะก็คือการได้ ฌาณ ๑ ขณะ...ส่วนลำดับของฌานนั้น ก็ จะมี
๑. จิตเรา..ไม่มีสภาวะของนิวรณ์ ๕ อยู่ในจิต...โดยที่เรายังมีวิตก มีวิจาร มีปิติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
๒.จิต เรา..ไม่มีสภาวะของนิวรณ์ ๕ อยู่ในจิต...โดยที่เรา...มีความผ่องใสแห่งจิตในภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปิติและสุขเกิด
๓.จิตเรา..ไม่มีสภาวะของนิวรณ์ ๕ อยู่ในจิต...โดยที่เรา...มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปิติสิ้นไป
๔.จิต เรา..ไม่มีสภาวะของนิวรณ์ ๕ อยู่ในจิต...โดยที่เรา....ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

ซึ่งจะไม่เกี่ยวอะไร กับ...นิมิต.....ตัวโครง...ตัวลอย....ไม่เจ็บ...ไม่ปวด...ไม่รู้สึก อะไร..เห็นหรือไม่เห็นลมหายใจ..เห็นเทวดา..เห็นนรก..เห็นแสง..อะไรอะไรอีก มากมาย
สภาวะธรรมที่เกี่ยวข้องมีแค่ตามที่ได้กล่าวข้างต้นครับ....

หมายเหตุ...นิวรณ์ ๕ มีดังนี้
๑.กามฉันทะ คือความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สิ่งสัมผัสทางกาย) 
๒.พยาปาทะ คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ
๓.ถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะคือความหดหู่ท้อถอย และมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอน
๔.อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และกุกกุจจะคือความรำคาญใจ
อุทธัจจะนั้นคือการที่จิตไม่สามารถยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน จึงเกิดอาการฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไปเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที
ส่วนกุกกุจจะนั้นเกิดจากความกังวลใจ หรือไม่สบายใจถึงอกุศลที่ได้ทำไปแล้วในอดีต ว่าไม่น่าทำไปอย่างนั้นเลย หรือบุญกุศลต่างๆ ที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ ว่าน่าจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
๕.วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ หรือไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด หรือควรทำแบบไหนดี

4  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / 6.ติปัลลัตถมิคชาดก แม่เนื้อเจ้าปัญญา เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2011, 07:07:50 pm
ติปัลลัตถมิคชาดก 1/2 เล่ห์กลลวงพราน


ติปัลลัตถมิคชาดก 2/2 แผนแกล้งตาย


ติปัลลัตถมิคชาดก
เล่ห์กลลวงนายพราน

 **************
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดพทิรการาม เมืองโกสัมพี ทรงปรารภพระราหุลเถระ ผู้ใคร่ต่อการศึกษา เรื่องมีอยู่ว่า สมัยนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จไปประทับอยู่ในอัคคาฬวเจดีย์ เมืองอาฬวี มีอุบาสกอุบาสิกา ภิกษุและภิกษุณีจำนวนมาก ไปฟังธรรมทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อฟังธรรมเสร็จสิ้นแล้ว ภิกษุที่เป็นพระเถระก็พากันไปยังที่พักของตน ส่วนภิกษุหนุ่มและอุบาสกพากันนอนที่โรงฉัน พอเข้าสู่ความหลับมีภิกษุบางรูปนอนกรน บางรูปนอนกัดฟัน ก่อความรำคาญให้แก่พวกอุบาสก พวกเขาพากันนอนครู่เดียวจึงลุกขึ้นหนีไป

วันต่อมา พวกอุบาสกกราบทูลเรื่องนี้แด่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ทรงบัญญัติสิกขาบทว่า " ก็ภิกษุใด นอนร่วมกับอนุปสัมบัน ภิกษุนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ " แล้วเสด็จไปยังเมืองโกสัมพี ก่อนมีสิกขาบทนี้ สามเณรราหุล มักจะได้รับการสงเคราะห์จากภิกษุให้พักร่วมกุฏิเสมอ เมื่อพระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทนี้แล้ว จึงไม่มีภิกษุรูปใดอนุเคราะห์แก่เธอ สร้างความเดือดร้อนแก่สามเณรราหุล ท่านจึงเลือกไปอาศัยที่เวจกุฎี (ส้วม) ของพระพุทธองค์เป็นที่อยู่อาศัยแทน

 ครั้นรุ่งเช้า พระพุทธองค์ เสด็จมาถึงเวจกุฎีแล้วไอขึ้น สามเณรราหุลก็ไอขึ้นเช่นกัน พระพุทธองค์จึงทรงทราบความเดือดร้อนเพราะการบัญญัติสิกขาบทนี้ ทรงดำริถึงคราวต่อไปเมื่อสามเณรมีมากขึ้น จะให้ภิกษุปฏิบัติเช่นใด จึงตรัสเรียกประชุมสงฆ์แต่เช้าตรู่ แล้วทรงทำอนุบัญญัติสิกขาบทนี้ว่า " ตั้งแต่นี้ไป ท่านทั้งหลาย จงให้อนุปสัมบันอยู่ในที่พักของตนได้สองวัน ในวันที่สามให้อยู่ภายนอกเถิด "

 ต่อมาเย็นวันหนึ่ง พวกภิกษุสนทนากันถึงเรื่องสามเณรราหุลเป็นผู้ตั้งอยู่ในโอวาท เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า
 
             กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเนื้อสองพี่น้องคู่หนึ่ง มีบริวารแวดล้อมมาก อยู่ในป่า ใกล้เมืองราชคฤห์ วันหนึ่ง เนื้อผู้น้องสาวนำเนื้อลูกชายมาฝากให้ศึกษามารยาทของเนื้อกับพี่ชาย เนื้อผู้หลานชาย ได้ศึกษามารยาทของเนื้อกับลุงจนหมดสิ้น วันหนึ่ง ออกหากินในป่าติดบ่วงนายพราน จึงร้องบอกหมู่เนื้อให้หนีไปบอกมารดา ส่วนมารดารีบไปบอกพี่ชายด้วยความห่วงใย พี่ชายจึงพูดปลอบใจว่า
     " น้องหญิง พี่ให้เนื้อหลานชาย ผู้มีกีบเท้า ๘ กีบ เรียนท่านอน ๓ ท่า
       เรียนมีเล่ห์กลมารยาหลายอย่าง และการดื่มกินน้ำในเวลาเที่ยงคืน
       เนื้อนั้น เมื่อหายใจทางจมูกข้างที่แนบติดอยู่กับพื้นดิน ก็จะลวง
       นายพรานได้ด้วยอุบาย ๖ ประการ "

     เล่ห์กลลวงนายพรานด้วยอุบาย ๖ ประการ คือ
          ๑. นอนตะแคงเหยียดเท้าทั้ง ๔
          ๒. ใช้กีบเท้าตะกุยหญ้าและดินร่วน
          ๓. ทำลิ้นห้อยออกมา
          ๔. ทำให้ท้องพองขึ้น
          ๕. ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะออกมา
          ๖. กลั้นลมหายใจไว้

ฝ่ายเนื้อผู้หลานชาย ได้แสดงอาการทำทีเป็นตายแล้ว มีแมลงวันหัวเขียวบินตอมตัวว่อน นายพรานพอเห็นอาการเช่นนั้นเข้าใจว่าเนื้อตายแล้ว เลยแก้เชือกผูกเนื้อออก หวังจะแล่เนื้อในที่นั้น เดินหักใบไม้ไปมา ฝ่ายเนื้อได้โอกาสจึงลุกขึ้นวิ่งหนีกลับมาได้ ด้วยความปลอดภัย

ขอขอบคุณ   http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt105.php

5  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ทำไมต้องมีเปิดผนึกจดหมาย ด้วยครับ ทำไมสมาชิก จึงไม่ถามที่กระทู้โดยตรงครับ เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2011, 06:55:01 pm
ทำไมต้องมีเปิดผนึกจดหมาย ด้วยครับ ทำไมสมาชิก จึงไม่ถามที่กระทู้โดยตรงครับ

 :smiley_confused1:
6  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.thaniyo.com/ วัดวะภูแก้ว เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2011, 06:05:27 pm


http://www.thaniyo.com/

วัดวะภูแก้ว  คะ
7  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ในขณะที่มีอารมณ์ โศรกเศร้าอยู่ ควรเจริญกรรมฐานอย่างไร คะ เมื่อ: มีนาคม 12, 2011, 02:00:58 pm
ในสภาวะ บางครั้งเราก็พบความเศร้าโศรก และ เจอเพื่อนที่มีปัญหา ความเศร้าโศรก หลากเรื่อง

ในขณะที่จิตมีความเศร้าโศรก ควรเจริญกรรมฐาน อย่างไร คะ

 :25:
8  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เห็นความจริงคือ เห็นอะไร เมื่อ: มีนาคม 12, 2011, 01:59:30 pm
เวลาไปวัดฟังธรรม มักจะได้ยินพระท่านเทศน์สอนให้เห็นความจริง

การเห็นความจริง นั้นคือเห็นอย่างไร จึงจะเรียกว่า เห็นความจริง


 :c017:
9  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / กำหนดการพิธีสมโภชเบิกเนตรพระพุทธศิลามหาบารมี 17 มีนาคม 2554 เมื่อ: มีนาคม 10, 2011, 07:47:02 pm
กำหนดการพิธีสมโภชเบิกเนตรพระพุทธศิลามหาบารมี
ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมชำระจิต บารมีธรรม
ต.เขาคันทรง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
วันที่ 17 มีนาคม 2554


 
พิธีการเริ่ม 09.00 น.
09.00 น.           พิธีสมโภชพระพุทธศิลามหาบารมี                                                                           
                       บรรเลงดนตรีไทยโดยชมรมข้าราชการบำนาญ
10.00 น.           พระสงฆ์ 9 รูป (พระวัดเก่าโบราณ) เดินทางมาถึง บารมีธรรม
10.09 น.           เจริญพระพุทธมนต์
                       พิธีเบิกเนตรพระพุทธศิลามหาบารมี
11.00 น.           ถวายภัตตาหารเพล
                       บรรเลงดนตรีไทยโดยชมรมข้าราชการบำนาญ
                       ถวายสังฆทานพระสงฆ์ 9 รูป พระสงฆ์อนุโมทนา (เสร็จพิธี)
                       ขอเชิญรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน
13.00 น.           พิธีปิดการสมโภชน์พระพุทธศิลามหาบารมีเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ


http://www.paramidhamma.com/index.php?name=news&file=readnews&id=6
10  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ร่วมปฏิบัติธรรม ในวันที่ 13-14-15 เมษายน 2554 ณ lotuscamp อำเภอบ่อพลอย เมื่อ: มีนาคม 10, 2011, 07:43:38 pm

ขอเชิญท่านที่สนใจเข้าร่วมปฏิบัติธรรม ในวันที่ 13-14-15 เมษายน 2554

ณ lotuscamp อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี..ครับ

ฟรี!!!ตลอดงานครับ
ปิดรับลงทะเบียน วันที่ 10 เมษายน 2554 เวลา 12.00 น.




สอบถามรายละเอียด ติดต่อได้ที่

คุณธานินทร์  แก้วสำราญ เบอร์โทรศัพท์ 081-0118256
ลงทะเบียนกดที่นี่ครับ



อาจารย์ ศุภกิจ  อัครเบญจพล ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมบ้านป่าสมาธิ ณ.ค่ายอัครเบญจพล อำเภอบ่อพลอยจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเปิดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการนั่ง สมาธิแก่ผู้สนใจทั่วไป เป็นการอบรม 3วัน 2คืน ซึ่งได้เปิดอบรมมา27 รุ่นแล้ว
(ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย  แต่ต้องเดินทางไปเอง)


โดยปัจจุบันมีการอบรม   ดังนี้

แบบที่ 1 สำหรับผู้ไม่มีพื้นฐานมาก่อน
หรือผู้สนใจการนั่งสมาธิแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
รับสมัครรุ่นละ 150คน


 

ลงทะเบียนกดที่นี่ครับ


 

 กำหนดการปฏิบัติธรรม

วันที 13-14-15 เมษายน 2554

ณ ค่ายอัครเบญจพล (Lotus camp)

อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี

..............................................................................

 


วันที่ 13 เมษายน 2554

7.00-12.00 น. ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมลงทะเบียน ,เบิกเครื่องนอน ,เข้าที่พัก


 

12.00-12.50 น. เชิญรับประทานอาหารกลางวัน ที่โรงอาหาร

13.00-16.30 น. พิธีเปิดการปฏิบัติธรรม และ ร่วมปฏิบัติธรรม รับชมสื่อธรรมะพร้อมกันบนศาลา

17.30-19.00 น. รับประทานอาหาร และ พักผ่อนตามอัธยาศัย

19.00-22.00 น. ร่วมปฏิบัติธรรม และ รับชมสื่อธรรมะพร้อมกันบนศาลา

22.00 น. เป็นต้นไป พักผ่อน
             
              วันที่ 14 เมษายน 2554

7.00-7.50 น. ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย

8.00-8.50 น. ร่วมรับประทานอาหารเช้าพร้อมกัน

9.00-11.50 น. ร่วมปฏิบัติธรรม และ รับชมสื่อธรรมะพร้อมกันบนศาลา

11.50-12.50 น. รับประทานอาหารกลางวันพร้อมกัน

13.00-16.15 น. ร่วมปฏิบัติธรรม และ รับชมสื่อธรรมะพร้อมกันบนศาลา

17.30-18.50 น. รับประทานอาหารเย็น และ พักผ่อนตามอัธยาศัย

19.00-22.00 น. ร่วมปฏิบัติธรรม และ รับชมสื่อธรรมะพร้อมกันบนศาลา

 22.00 น. เป็นต้นไป พักผ่อน





     
               วันที่ 15 เมษายน 2554 

7.00-7.50 น. ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย

8.00-8.50 น. ร่วมรับประทานอาหารพร้อมกัน

9.00-10.15 น. ร่วมปฏิบัติธรรมพร้อมกันบนศาลา

10.30-11.30 น. พิธีทำบุญเลี้ยงพระ และ ถวายสังฆทาน

11.50-12.50 น. รับประทานอาหารกลางวันพร้อมกัน

13.00-13.30 น. พิธีปิดการปฏิบัติธรรม และ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกพร้อมกันบนศาลา

13.30 น. เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ






สิ่งที่ต้องเตรียมนำไปสถานที่ปฏิบัติธรรม


1.  ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ร่ม(เวลาฝนตก)

2.  ชุดขาวสำหรับปฏิบัติธรรม

3.  เครื่องใช้ส่วนตัว

4.  ยาแก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้หวัด และอื่นๆตามความจำเป็น (กรณีมีโรคประจำตัวให้นำยาไปด้วย)

5.  ยาฉีดกันยุง หรือยาทากันยุง

6.  รองเท้าฟองน้ำ

7.  น้ำยาล้างห้องน้ำ (ใช้ทำความสะอาดก่อนกลับ)

8.  ไฟฉาย

*ยินดีต้อนรับทุกท่านด้วยความเสมอภาคกัน*


http://www.lotuscamp.com/index.php?mo=5&qid=648914
11  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญบวชถือศีัลจาริณี7-16มีนาคม 2554 ณ.วัดแสงสุริยาราม กำแพงเพชร เมื่อ: มีนาคม 10, 2011, 07:38:06 pm
เชิญบวชถือศีัลจาริณี

7-16 มีนาคม 2554

ณ.วัดแสงสุริยาราม ตำบลวังชะโอน อำเภอบึงสามัคคี จังหวัดกำแพงเพชร   
 
เนื่อง จากวัดแสงสุริยาราม ต.วังชะโอน อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชรได้จัดงานเข้าอยู่ปริวาสกรรมประพฤติวัตรปฏิบัตรธรรมจึงขอเชิญชวน ญาติโยมญาติธรรมทั้งหลายทั้งชาย-หญิงได้บวชถือศีลจาริณี ในวันที่ ๗มีนาคมถึง๑๖มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ดังนั้นจึงเชิญชวนญาติธรรมทุกท่านได้มาร่วมงานประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมใน ครั้งนี้   โทร.0899945500  การเดินทางนั่งรถตู้ตรงข้ามหมอชิตใหม่ คิวจ่าดำมาลงที่วัดแสงสุริยาราม ค่ารถ ๓๐๐ บาท ส่งถึงวัด หรือนั่งกรุงเทพฯ-สายเหนือผ่านกำแพงเพชร ลงบ้านสลกบาตร อำเภอขาณุฯโทรให้รถออกไปรับ หรือผ่านพิษณุุโลก ลงบ้านทุ่งใหญ่ อำิเภอโพธิ์ประทับช้าง โทรให้รถออกไปรับ โทร.0899945500 ตลอด 24 ชั่วโมง 
12  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ครอบครัว ไม่กินหวาน เมื่อ: ธันวาคม 16, 2010, 10:27:09 pm
ผงเเห่งโรคและความตายที่เรากินทุกวัน!!!

ผงเเห่งความเจ็บป่วยที่ว่าคือ???

น้ำตาลนั่นเอง!!!สิ่งที่ผมจะกล่าวเป็นเรื่องจริงที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนเเละกระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้อ่านเล่น!!!
ความ หวานในที่นี่คือทุกอย่างที่มีรสหวานเพราะมันคือน้ำตาลเหมืนอกัน เราอาจเคยได้ยินคำว่าทำไมโชคร้ายยังงี้ที่ป่วยอย่างงี้เเต่ความจริงกว่าร้อย ละ90นี่มีสาเหตุที่สมควอย่างยิ่งที่จะป่วยซึ่งหลังจากที่อ่านเเล้วคงเข้าใจ สุขภาพมากขึ้นนะครับ
โรคและอาการที่เกิดจากกินน้ำตาล110อย่างด้วยกันดังนี้
1กดการทำงานภูมิต้านทาน
2ทำลายสมดุลเกลือเเร่ของร่างกาย
3ทำให้สมาธิสั้นอารมณ์แปรปรวน
4ทำให้ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง
5ลดความสามารถการต้านทานเชื้อโรค
6ลดความยืดหยุ่นของผิวหนัง
7ทำให้ระดับHDLลดลง
8ทำให้ร่างกายขาดธาตุโครเมียม
9นำไปสู่การเป็นมะเร็งได้
10ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารสูงขึ้น
11ทำให้ขาดธาตุทองเเดง
12รบกวนการดูดซึมเเคลเซียมและเเมกนีเซียม
13ทำให้สายตาเเย่ลง
14ทำให้สารในสมองบางตัวถูกกระตุ้นให้ทำงานผดปกติ
15ทำ ให้มึนหัวคิดอะไรไม่ออกเพราะอินซูลินถูกใช้มากไปจนสร้างไม่ทันเเละน้ำตาลจะ ถูกใช้เร็วมากไปทำให้น้ำตาลลดลงมากหรือคิดง่ายง่ายทุบเเรงก็เจ็บมากทุบเบาก็ เจ็บน้อย
16ทำให้ระบบทางเดินอาหารเป็นกรด
17ทำให้มีการหลั่งแอดดรีนาลินอย่างรวดเร็วมากไป
18ทำให้ดูดซึมอาหารผืดปกติ
19ทำให้เเก่เร็ว
20ฟันผุ
21ทำให้อ้วน
22ลำไส้อักเสบ
23ทำให้เป็นโรคสุราเรื้อรัง
24กระเพราะเป็นเเผล
25ข้ออักเสบ
26ทำให้เป็นดรคหอบหืด
13  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ทำไมเวลา ท่องคำภาวนา ไม่ต้องให้ใช้ความคิด ครับ เมื่อ: ธันวาคม 16, 2010, 10:24:53 pm
ทำไมเวลา ท่องคำภาวนา ไม่ต้องให้ใช้ความคิด ครับ

เพราะถ้าไม่ใช้ ความคิด ผมว่า พิจารณาอะไร ไม่ได้นะครับ

ถ้าไม่ใช้ความคิด จะวิปัสสนา ได้อย่างไร ?

 :25:
14  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การสัมปยุตธาตุ มีความจำเป็นอย่างไร เมื่อ: ธันวาคม 16, 2010, 10:23:27 pm
การสัมปยุตธาตุ มีความจำเป็นอย่างไร

 เกี่ยวกับธาตุ จำเป็นต้องทำอะไรกับ ธาตุ ครับ

 :25:
15  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / สมาธิ กับ สติ คือสภาวะเดียวกันหรือไม่ เมื่อ: ธันวาคม 16, 2010, 10:20:39 pm
สมาธิ กับ สติ คือ สภาวะเดียวกันหรือไม่

อะไรเป็นเหตุให้เกิด สมาธิ

อะไรเป็นเหตุให้เกิด สติ

วิปัสสนา ต้องการสมาธิ หรือ ต้องการ สติ

 :25:
16  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เราสามารถ ฝึกสมาธิ โดยไม่ใช้คำภาวนา ได้หรือ ไม่ เมื่อ: ธันวาคม 16, 2010, 10:18:29 pm
เราสามารถ ฝึกสมาธิ โดยไม่ใช้คำภาวนา ได้หรือ ไม่

คือ นั่งสมาธิ แล้วไม่ต้องภาวนาอะไร แต่ให้เป็นสมาธิ ทำได้หรือป่าวครับ

17  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / รวมเรื่อง อานาปานสติ เท่าทีจะหาได้ จ้า..... เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 08:51:09 am
พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๑๔
   

                    อานาปานสติสูตร นี้แบ่งสาระที่แสดงเป็นสำคัญๆ ได้ดังนี้

                    หลักการเจริญอานาปานสติ

                    แสดงการเจริญอานาปานสติ แล้วย่อมทำให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์

                    แสดงการเจริญในสติปัฏฐาน ๔ ย่อมทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์

                    และแสดงการเจริญใน โพชฌงค์ ๗ ย่อมยังให้ วิชชาและวิมุตติ บริบูรณ์

            การปฏิบัติในอานาปานสติสูตรนี้  มีข้อสังเกตุประการหนึ่งว่า ล้วนเป็นการปฏิบัติที่ต้องมีสติที่หมายถึงการระลึกรู้กำกับทั้งสิ้น  จึงเป็นการเจริญสมถวิปัสสนา  จึงมิได้หมายถึงการปฏิบัติในแง่สมถสมาธิที่มีเจตนากำหนดเอาลมหายใจเป็นอารมณ์หรือเครื่องกำหนดของจิตเพื่อให้เกิดสมาธิหรือฌานขึ้น เพื่อให้จิตรวมลงสงบหรือสุขแต่อย่างเดียว  ดังที่เห็นได้จากการปฏิบัติธรรมกันเป็นส่วนใหญ่ทั่วไป,  ดังนั้นพึงแยกแยะให้ถูกต้องด้วยว่า ขณะนั้นปฏิบัติอะไร?  ต้องการฝึกสติเพื่อให้เกิดสัมมาสมาธิอันเป็นไปเพื่อการวิปัสสนา  หรือฝึกฌานสมาธิล้วนๆอันเป็นเรื่องทั่วไปที่มีมานานแสนนานแม้ในเหล่าอัญญเดียรถีร์ก็ปฏิบัติกันมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลเสียอีก อันจัดเป็นมิจฉาสมาธิ  ฌานสมาธิจึงไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนาแต่ฝ่ายเดียว,  เพราะมีผู้เข้าใจสับสนกันเป็นอันมากโดยเข้าใจความนัยๆอย่างผิดๆโดยไม่รู้ตัวไปเสียว่า อานาปานสติ คือการฝึกหรือปฏิบัติฌานสมาธิที่ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องกำหนดหรืออารมณ์ เพื่อเข้าถึงความสุขสงบเท่านั้น  จึงขาดการวิปัสสนาอันเป็นหัวใจของการปฏิบัติในพระศาสนาไปเสีย การปฏิบัติธรรมจึงยังไม่บริบูรณ์แต่ก็พาให้เข้าใจผิดไปว่าได้ปฏิบัติถูกต้องหรือดีงามบริบูรณ์แล้ว จึงขาดความก้าวหน้า,  ทั้งๆที่ตามความจริงแล้วอานาปานสติมิได้มีจุดประสงค์โดยตรงที่ฌานหรือสมาธิ(แต่ก็ทำให้เกิดฌานสมาธิขึ้นได้เช่นกัน!) แต่เป็นการฝึกให้มีสติตามชื่อพระสูตรอยู่แล้วพร้อมการวิปัสสนาคือสำเหนียก ที่แปลว่าศึกษานั่นเอง   และสังเกตุได้ว่าสิ่งที่เกิดและกล่าวถึงในอานาปานสติสูตรนี้มีเพียงองค์ฌานปีติ สุขเพียงเท่านั้นที่เด่นชัดขึ้น อันย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเมื่อมีจิตแน่วแน่เท่านั้นเพราะการอยู่กับการ ปฏิบัติหรือการพิจารณาธรรมต่างๆรวมทั้งสังขารกายอันเกิดแต่ลมหายใจ และจัดเป็นเวทนาคือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากอานาปานสตินี้ คือสุขเวทนาของปีติและสุขนั่นเอง แต่ไม่ถึงขั้นเลื่อนไหลไปสู่ฌานสมาธิระดับประณีตลึกซึ้งแต่อย่างใด จึงยังคง มีสติบริบูรณ์,  แต่ถึงอย่างไรก็ตามทั้งสติและสมาธิก็มีความเนื่องสัมพันธ์ หรือเป็นเหตุปัจจัยกัน ดังนั้นในบางครั้งก็่เลื่อนไหลไปสู่ฌานสมาธิระดับลึกประณีตขึ้นก็เป็นไปโดยสภาวธรรม(ธรรมชาติ)เนื่องจากการพักผ่อนในการพิจารณา เป็นไปโดยอาการธรรมชาติ  แต่ล้วนต้องมิได้เกิดแต่เจตนาจากการติดเพลิน(นันทิ)ในความสงบ สุข ปีติ ฯ. จากผลของฌานสมาธิ อันเป็นตัณหาชนิดรูปราคะหรืออรูปราคะอันละเอียดอ่อนแต่ประการใด(ซึ่งมักเกิดขึ้นกับนักปฏิบัติแต่เป็นไปโดยไม่รู้ตัว ในผู้ที่ขาดการวิปัสสนา)  กล่าวคือ โดยมิได้ด้วยเจตนาทำฌานสมาธิ    มีแต่เจตนาแรงกล้าในการฝึกสติให้เห็นธรรมในกายสังขารหรือธรรมอื่นๆประกอบไปด้วยเป็นสำคัญ

            กล่าวโดยย่อก็คือ ถ้ามีสติพิจารณาอยู่ก็เป็นการเป็นสมถวิปัสสนาที่ประกอบด้วยการเจริญวิปัสสนา กล่าวคือ เจริญทั้งสติ, สมาธิ และปัญญา,  เพราะสตินั้นเนื่องสัมพันธ์ให้เกิดสมาธิด้วย  และการพิจารณาตามดังธรรมบรรยายก็ยังให้เกิดปัญญา จึงเป็นการเจริญสมถวิปัสสนาอย่างครบถ้วนกระบวนความ,   แต่ถ้าเพราะต้องการอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องกำหนดเพื่อให้จิตสงบแน่วแน่แต่ฝ่ายเดียวก็เป็นการเจริญแต่สมาธิ  แต่ถ้ายึดในอารมณ์ที่เกิดขึ้นหรือลงภวังค์ก็เป็นเจริญฌาน ที่ปฏิบัติกันโดยทั่วๆไปในอัญญเดียรถีร์ด้วย  จึงควรทำให้ถูกต้องตามเจตนาด้วย  จึงจักถือว่าถูกต้องดีงาม  เพราะลมหายใจนั้นสามารถใช้เป็นอารมณ์หรือเครื่องกำหนดในการปฏิบัติ วิปัสสนา สติ สมาธิหรือฌาน ก็ได้ ขึ้นอยู่กับนักปฏิบัติเองเป็นสำคัญ   อันจะเกิดขึ้นและเป็นไปดังนี้

             กล่าวโดยสรุป ในการปฏิบัติโดยย่อก็คือ  จิตที่สงบสบายแต่อานาปานสติแล้ว ดำเนินต่อไปในการเจริญวิปัสสนาต่างๆเสียนั่นเอง

มิจฉาสมาธิ  ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีมิจฉาสติ

สัมมาสมาธิ  ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีสัมมาสติ

มิจฺฉาสติสฺส  มิจฺฉาสมาธิ ปโหติ

สมฺมาสติสฺส  สมฺมาสมาธิ  ปโหติ

(อวิชชาสูตร ๑๙/๑
18  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมาธิ กับ การลดน้ำหนัก เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 10:24:11 am

ขณะ นี้ฝรั่งหันมาสนใจกรรรมฐานกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้กรรมฐานเพื่อการลดน้ำหนัก หลายสิบปีมาแล้วในยุคซิกตีส์ตอนที่วงดนตรี เดอะบีทเทิลส์ กำลังดังทะลุฟ้า วิชากรรมฐานดังขึ้นมา ทำให้เป็นที่รู้จักของฝรั่ง เนื่องจากนักดนตรีสี่เต่าทอง หันไปสนใจวิชากรรมฐาน ไปเรียนวิชากับอาจารย์มหาฤาษีที่อินเดีย กรรมฐาน หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า meditation จึงดังระเบิด พระอาจารย์มหาฤาษีองค์นั้น ก็พลอยดังขึ้นมาเหมือนกัน ได้รับเชิญไปทัวร์ ไปสอนวิชาไปออกทีวีในประเทศตะวันตกมากมาย ตอนท่านมหาฤาษีสอนทฤษฎีกรรมฐานที่เรียกว่า transcendental meditation หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า T.M.
ที่จริงกรรมฐานเป็นวิชาที่มานานหลายพันปีก่อนพุทธกาลเสีย อีก ในพระไตรปิฎกมีกล่าวถึงเรื่องนี้ใน มหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าเคยไปเรียนวิชานี้กับพระอาจารย์ที่เก่งที่สุดในสมัยนั้นหลาย สำนัก จนรู้แจ้งทำได้หมดสิ้นแล้วยังพัฒนาไปไกลกว่าที่มีอยู่ กรรมฐานแบ่งใหญ่ๆ เป็นสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานเป็นการเข้าสมาธิที่พระพุทธเจ้าคิดขึ้นเอง เป็นการเพ่งพิจารณาทางด้านธรรมะ เช่น พิจารณาขันธ์ห้า ฯลฯ

กรรมฐานที่ฝรั่งนำเอาไปปฏิบัติกันเป็นแค่สมถกรรมฐาน อย่างเช่น T.M. ของมหาฤาษีก็เป็นสมถกรรมฐานเหมือนกัน แต่ใช้ในการท่องบ่นมนรากำกับจิตใจ ทุกวันนี้วิชากรรมฐานเข้าถึงพวกฝรั่งกันมากขึ้น มีการนำเอาวิชานี้ไปใช้ผ่อนคลายรักษาความเครียดในชีวิตประจำวัน หมอและโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐฯ แนะนำให้คนไข้เอาไปทำกัน มี หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการนั่งสมาธิสามารถลดความดันโลหิต ทำให้หลอดเลือดมีสุขภาพดีขึ้น จิตใจดีขึ้นเพราะความสงบระงับคลื่อนสมองของคนนั่งสมาธิที่เข้าฌานลึก มีลักษณะนิ่งกว่าคลื่นสมองของคนนอนหลับเสียอีก ขณะนี้นักควบคุมน้ำหนักตัวอ้างว่ามันมีผลดีต่อการลดน้ำหนักด้วย

เขาสอนเทคนิคการควบคุมอาหารโดยให้เริ่มต้นแบบในบ้านเรา คือ กำหนดลมหายใจเข้าออกยุบหนอพองหนอ ก่อนจะกินอาหารควรหายใจเข้าออกอย่างมีสติยุบหนอพองหนอสัก 5 ครั้ง เขาว่ามันจะทำให้เหมือนมีการติดเบรค มีสติและทำให้รู้รสแซ่บซาบซึ้งมากกว่าการรีบกินรีบกลืน

ที่แมสซาซูเล็ตเมติคัลเซ็นเตอร์ มีการสอนให้คนไข้ลดความเครียดและความอ้วนโดยเทคนิคที่เรียกว่า Raisin Meditation หรือ ลูกเกดกรรมฐาน โดยเขาแจกลูกเกดให้นักเรียนคนละ 2 เม็ด ในดการกินแต่ละเม็ดให้ใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที ก่อนจะกินแต่ละเม็ดให้นักเรียนครุ่นคิดพิจารณาถึงกลิ่น สีสัน สัมผัส แล้วนึกถึงพื้นเพที่มาของลูกเกดตั้งแต่ที่มันยังอยู่บนต้นองุ่น ชาวไร่ให้การดูแลฟูมฟักรักษา แล้วชาวไร่ก็เก็บมันมาคัดเลือก ตากให้แห้ง แล้วเอามาขายหรือส่งออก หลังจากการพิจารณาอย่างนั้นแล้วก็เอามันเข้าปาก ตอนเข้าปากก็พยายามใช้ลิ้นสัมผัสรับรสแล้วเคี้ยวช้าๆ ขณะที่เคี้ยวก็พยายามจดจ่อสมาธิให้ร้สึกตัวถุกอิริยาบถ ให้รู้ว่ากำลังเคี้ยวลิ้นกำลังเคลื่อนไหวอย่างไร และพยายามทำให้น้ำและเนื้อลูกเกดให้สัมผัสกับต่อมรับรสบนลิ้นให้ทั่วถึง ทำให้นกินได้รับทั้งรูป รส กลิ่น สัมผัส และ.เสียง (เคี้ยว) เมื่อเสร็จกระบวนการดังกล่าวแล้วก็ทำการกลืน ตอนที่กลืนก็อาจจะพูดกับตัวเองอย่างสุภาพอ่อนหวานว่า "ตอนนี้เรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่ากับหนึ่งลูกเกดแล้ว" เมื่อกินลูกเกดเม็ดแรกจบตามกระบวนการกรรมฐานแล้วก็เริ่มกินเม็ดที่สองแบบ เดียวกัน การทำอย่างนี้จะทำให้กินอาหารช้าลงมาก ทำให้ความหิวลดน้อยลงหรือหายไปก่อนที่จะกินอาหารเข้าไปมากเกินไป ท่านอาจจะเอาวิธีนี้ไปลองทำขณะกินข้าวยำดู ข้าวยำมีส่วนผสมหลายอย่าง ทำให้มีเรื่องคิดพิจารณามากมาย ตั้งแต่มะพร้าว ถั่วงอก ถั่วฝักยาว ข้าวสวย จนถึงรุกขเทวดา

ที่ จริงท่านสอนไว้ว่ากรรมฐานเป็นสิ่งที่ทำได้ทุกขณะจิต ความคิดจิตของเราคิดถึงแต่สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ก็เท่ากับเข้าสมาธิกรรมฐาน อยู่แล้ว การทำกรรมฐานไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัดหรือสำนักฤาษีใดๆ คุณอาจจะลองทำที่ทำงานในเวลาที่ว่างก็ได้ โดยการนั่งตัวตรง หลับตา ปล่อยวางกล้ามเนื้อให้คลายตัว เพ่งสมาธิไปที่การหายใจเข้าออก พลางบอกตัวเองว่ายุบหนอพองหนอทุกครั้งมที่หายใจออกและหายใจเข้า ส่วนมากเวลาที่ทำในตอนแรกๆ จิตใจมักจะวอกแวกหลุดจากสมาธิ เนื่องจากมีวิวรณ์ห้าอย่างคือ ความใคร่ในกาม ควาามอาฆาตพยาบาท ความหงุดหงิดรำคาญใจ ความสงสัยคลางแคลงใจ ความง่วงเหงาหาวนอน แต่ไม่เป็นไร เมื่อเรารู้ตัวเมื่อเรารู้ตัวก็เพ่งสมาธิกลับเข้ามาใหม่ ฝึกไปฝึกมาตื้อบ่อยๆ เข้าไปทนไม่ไหวมันก็จะมีสมาธิขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย เขาแนะนำให้ทำอย่างนี้วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 10-20 นาที เมื่อเราฝึกมากๆ เข้าจิตใจเราจะมีพลัง สามารถต่อสู้กับกิเลสพื้นๆ ได้ เช่น สู้กับความหิว เป็นต้น

การทำกรรมฐานร่วมกับการกินแบบ นี้ทำให้คนกินอาหารน้อยลง แต่ได้รับรู้รสชาติอาหารมากขึ้น มีความสุขสงบมากขึ้น และถ้ามีพลังใจทำไปได้จนเป็นนิสัยก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้แน่

ขอขอบคุณ
http://www.ladytip.com/main/content/view/2977/

ที่มาจาก fwd mail
19  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / โครงการธรรมสัญจร ชมรมพุทธธรรมกรรมฐาน 3 - 6 ธ.ค. 2553 เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 10:01:47 am
กำหนดการ
โครงการธรรมะสัญจร  ครั้งที่ 11


วัดป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต
ณ  จังหวัดพะเยา  เชียงใหม่  ลำปาง

วันที่ 3 – 6  ธันวาคม 2553

วัน ศุกร์ ที่ 3 ธันวาคม 2553

เวลา 16.00 น.     รถบัสคันที่ 1  ออกเดินทางจากลานพ่อขุนรามคำแหงมหาราช  มหาวิทยาลัยรามคำแหง(หัวหมาก)

ไปยังชมรมพุทธธรรมกรรมฐาน (หอพระ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

เวลา 17.00 น.     เริ่มลงทะเบียนที่ชมรมพุทธธรรมกรรมฐาน (หอพระ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

เวลา 17.45 น.     รถบัสคันที่ 1 ถึงหอพระ  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

เวลา 19.00 น.     สวดมนต์ก่อนออกเดินทาง

เวลา 19.30 น.     จัดที่นั่งบนรถบัสคันที่ 1  และคันที่ 2

เวลา 20.00 น.     รถบัสทั้ง 2 คัน ออกเดินทางพร้อมกันจากหอพระ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต  สู่ภาคเหนือ

วัน เสาร์ ที่ 4 ธันวาคม 2553

เวลา 07.00 น.     ตักบาตร ณ วัดอนาลโยทิพยาราม อ.เมือง จ.พะเยา , นมัสการพระอาจารย์ไพบูลย์  สุมังคโล

เวลา 09.30 น.     ออกเดินทางไปวัดดอยแม่ปั๋ง  อ.พร้าว  จ.เชียงใหม่

เวลา 11.30 น.     ถึงวัดดอยแม่ปั๋ง  อ.พร้าว  จ.เชียงใหม่  นมัสการเจดีย์หลวงปู่แหวน  สุจิณโณ

เวลา 13.00 น.    ออกเดินทางไปวัดถ้ำผาปล่อง  อ.เชียงดาว  จ.เชียงใหม่

เวลา 14.30 น.    ถึงวัดถ้ำผาปล่อง  อ.เชียงดาว  จ.เชียงใหม่  นมัสการเจดีย์หลวงปู่สิม  พุทธาจาโร

เวลา 16.00 น.     ออกเดินทางไปวัดอรัญวิเวก  อ.แม่แตง  จ.เชียงใหม่

เวลา 18.00 น.     ถึงวัดอรัญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ , นมัสการพระอาจารย์เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป , เก็บสัมภาระเข้า

ที่พัก , ทำภารกิจส่วนตัว

เวลา 19.00 น.     สวดมนต์ทำวัตรเย็น , อบรมธรรมะ , นั่งสมาธิภาวนา ,ตอบปัญหาธรรมะ

เวลา 21.00 น.     แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย

วัน อาทิตย์ ที่ 5 ธันวาคม 2553

เวลา 04.00 น.     ตื่นนอน  ทำภารกิจส่วนตัว

เวลา 05.00 น.     ออกเดินทางไปวัดป่าหมู่ใหม่  อ.แม่แตง  จ.เชียงใหม่

เวลา 07.00 น.     ตักบาตร  ณ  วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง  จ.เชียงใหม่ , นมัสการพระอาจารย์ประสิทธิ์  ปุญญมากโร

เวลา 09.30 น.     ออกเดินทางไปวัดป่าดาราภิรมย์  อ.แม่ริม  จ.เชียงใหม่

เวลา 10.30 น.     ถึงวัดป่าดาราภิรมย์  อ.แม่ริม  จ.เชียงใหม่

เวลา 12.00 น.     ออกเดินทางไปวัดพระธาตุดอยสุเทพ  อ.เมือง  จ.เชียงใหม่

เวลา 13.30 น.     ถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ  อ.เมือง  จ.เชียงใหม่

เวลา 15.30 น.     ออกเดินทางไปวัดเจดีย์หลวง  อ.เมือง  จ.เชียงใหม่

เวลา 16.30 น.     ถึงวัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ , เก็บสัมภาระเข้าที่พัก , ทำภารกิจส่วนตัว

เวลา 19.00 น.     สวดมนต์ทำวัตรเย็น , อบรมธรรมะ , นั่งสมาธิภาวนา ,ตอบปัญหาธรรมะ

เวลา 21.00 น.     แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย

วัน จันทร์ ที่ 6 ธันวาคม 2553

เวลา 03.30 น.     ตื่นนอน  ทำภารกิจส่วนตัว

เวลา 04.30 น.     ออกเดินทางไปวัดคีรีสุบรรพต  อ.เมือง  จ.ลำปาง

เวลา 07.00 น.     ตักบาตร  ณ  วัดคีรีสุบรรพต  อ.เมือง  จ.ลำปาง , นมัสการพระอาจารย์ชายแดน  สีลสุทโธ

เวลา 10.00 น.     ออกเดินทางไปวัดป่าสำราญนิวาส  อ.เกาะคา  จ.ลำปาง

เวลา 11.00 น.     ถึงวัดป่าสำราญนิวาส  อ.เกาะคา  จ.ลำปาง

เวลา 12.30 น.     ออกเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

เวลา 23.00 น.     ถึงกรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ

…………………………………………………………………………………….

หมายเหตุ : กำหนดการอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม


รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านที่นี่ นะครับ

http://kammatan.wordpress.com/2010/09/07/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-11/#more-549
20  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ขอคำปรึกษาเรื่อง ความรัก ให้เพื่อน จ้า เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 03:40:22 pm
มีเพื่อนชาย มาปรึกษา เมื่อวาน

   ตอนนี้ เขามีอายุ 38 ปี ตอนนี้เขากำลังคิดว่าจะแต่งงาน โดยที่ผู้หญิงมีอายุ 30 ปีนั้น มีการคบหากัน 2 ปีแล้ว

ก่อนคบหากันมา ผู้หญิงนี้ก็มีผู้ชายมาจีับ และ เธอก็ยอมรับว่าเป็นแฟนกัน คือกว่าจะมาถึงเพื่อนเรานั้น เพื่อนเรา

เป็นคนที่ 4 ผู้หญิงนี้มีแฟนมา 4 คน หน้าตาดี เท่าที่เห็น

   แต่เพื่อนได้ข้อมูลมาว่า บรรดาแฟน 3 คนแรกนั้น มีการทดลองอยู่กินกันฉัน สามี ภรรยา ( ข่าวล่าสุด )

ซึ่งทำให้เพื่อนชายคนนี้ เกิดความลังเลว่า ผู้หญิงจะรักเขารักจริงหรือป่าว จึงมาขอคำปรึกษา เหมือนมองว่า

เราเป็นที่ปรึกษาธรรมะ คือแบบว่าไม่เคยแนะนำเรื่องชีวิต ใคร ๆ เลย เคยแต่แนะนำให้ปฏิับัติกรรมฐาน และ

พาไปเรียนสมาธิ กับ อจ.ทองทิพย์

   วันนี้คิดว่า ลองโพสต์ถาม ปรึกษาในเว็บนี้ดีหรือป่าว ว่าควรจะแนะนำเพื่อนนี้อย่างไร

   เพราะดูเขากลุ้มใจมาก ดูเหมือน ทำท่าทาง อยากแต่ง และ ก็ไม่อยากแต่ง

   ส่งต่อช่วยให้คำปรึกษาหน่อย

    :08:
21  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญร่วมฝึกสมาธิ กับ อาจารย์ทองทิพย์ โอภาโส เมื่อ: กันยายน 18, 2010, 10:47:07 am






สถานที่ฝึกอบรมธรรมทุกวันอาทิตย์  ฝึกสอนโดยท่านอ.ทองทิพย์ โอภาโส

บาง ท่านที่ไม่เคยพบ อ.ทองทิพย์  หรือไม่เคยรู้จัก  แต่อยากจะมาพบเจอพูดคุย  หรือปฏิบัติธรรมต่าง ๆ  อาจจะสงสัยว่า  อ.ทองทิพย์  โอภาโส  ท่านเปิดสอนที่ไหนกันหนอ   แล้ววันไหนบ้าง  ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงหรือ    และการสอนเป็นเช่นใด   บางท่านก็ได้อ่านหนังสือ  หรือนิตยสารต่าง ๆ  ที่อ. ได้เขียนลงไว้   และบางท่านได้ฟังทางคลื่นวิทยุ  หรือทางโทรทัศน์ก็ดี  อาจจะสงสัยในการปฏิบัติ  และอยากจะเข้ามาศึกษาและปฏิบัติ     จึงได้ของเอาสถานที่  เวลาปฏิบัิติ  มาลงไว้ให้ท่านผู้สนใจได้นำข้อมูลส่วนนี้ไปใช้ ในการเดินทางไปร่วมปฏิบัิติธรรมตามแนวทางที่อ.ทองทิพย์ได้สอน  คือ  การเจริญเมตตาธรรม  หรือเจริญเมตตาเป็นอารมณ์ ฯลฯ

 

สถานที่ปฏิบัติธรรมทุกวันอาทิตย์  (ยกเว้นว่าทางอ.ทองทิพย์   ท่านติดภาระกิจต่าง แต่จะมีการแจ้งให้ทราบก่อนล่วงหน้า)

สถานที่      :      ที่ตึกกระทรวงวัฒนธรรม    (ตึกธนาลงกรณ์)       ชั้น  9           

วันและเวลา     :     ทุกวันอาทิตย์      ตั้งแต่เวลา    9.00 - 12.00   น.


ที่มา

http://www.a-thongtip.com/wboard_comment.php?catid=9&wbh=14#
หน้า: [1]