ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - NP2706
หน้า: 1 [2] 3
41  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ความเชื่อที่ว่า ยุคนี้ไม่มีบุคคลผู้เป็น พระสาวกภูมิ แล้ว เมื่อ: สิงหาคม 11, 2011, 03:34:09 pm
การปรารถนาพุทธภูมิกับสาวกภูมิ มีหลักปฏิบัติต่างกันอย่างไร 
 
 
 
ปุจฉา
การปรารถนาพุทธภูมิ และ สาวกภูมิ มีหลักปฏิบัติอย่างไร

วิสัชนา
ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องมีการสะสมบารมีทั้ง 10 เต็มครบสมบูรณ์ต้องมีจิตเปี่ยมล้นด้วยเมตตา ต้องมีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มีเนกขัมมะ การออกบวช มีวิริยะ ความพยายามตั้งใจจริง มีสัจจะ ตั้งจิตอธิษฐาน ประกอบด้วยขันติ มีความอดทน พร้อมด้วยปัญญา และ อุเบกขา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้สามารถปฏิบัติให้เข้าถึงพุทธภูมิได้

ในการปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติทีละอย่าง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หรือไม่ก็ปฏิบัติทีละหลายๆ อย่าง ในการปฏิบัติแต่ละครั้ง ก็ตั้งความปรารถนาไว้ ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่เรา ขอเราจงเข้าสู่พุทธภูมิ ขอพระโพธิญาณจงมีแก่เรา ขอเราจงสำเร็จซึ่งพระโพธิญาณในอนาคตกาลต่อไป

ข้อสำคัญของ พระโพธิสัตว์ ต้องมีจิตเมตตา มีความมุ่งมั่นอยู่เสมอ และ มีความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งหลายในโลก นี่เป็นหลักสำคัญของพระโพธิสัตว์

ในการบำเพ็ญเพียรต้องใช้เวลาหลายอสงไขยกัป เช่น พระมหากัจจายนะ เดิมทีท่านปรารถนาพุทธภูมิทุกชาติ แต่ละชาติมีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกัน บางชาติก็เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน บางชาติก็เป็นมนุษย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ท่านก็ทำความเพียรเวียนไปเพื่อจะเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ถึงชาติสุดท้าย พอได้ยินได้ฟังจากปากคำพระศาสดาว่า การจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องสะสมบารมีถึง สึ่หมื่นอสงไขย กับแสนมหากัป พระมหากัจจายนะร้องโอ้โฮ นี่ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญมาถึงขนาดนี้ยังไม่พออีกหรือ ซึ่งความจริงบารมีของพระมหากัจจยนะเต็มเปี่ยมแล้ว ฝ่าเท้าท่านมีกงจักรเต็มไปหมด มีรูปกายสวยงามเหมือนกับพระพุทธเจ้า และ มีลักษณะอาการคล้ายพระพุทธเจ้า จนทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด ยามท่านเดินไปไหน คนจะคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะมีรัศมีเหมือนกัน

สุดท้ายท่านเห็นว่า การจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ ต้องรออีกไกล ถ้าสมัยนี้ ปัจจุบันนี้ เราเป็นสาวกภูมิก็ทำได้ไม่ยาก แล้วก็สามารถสำเร็จได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วย ก็เลยทำการกราบลาพระโพธิญาณ ลาพุทธภูมิ แล้วอธิษฐานตัวเองให้มีร่างกายอ้วนเตี้ย เพื่อป้องกันมิให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็สำเร็จเป็นองค์อรหันตเจ้า เปลี่ยนเป็นสาวกภูมิในชาตินั้น

ในการบำเพ็ญเพียรเพื่อ พุทธภูมิ นั้น จะต้องมีการตั้งจิตปรารถนาเปล่งวาจาให้สัจจะอธิษฐานเฉพาะองค์สมเด็จพระศาสดา ตั้งจิตปรารถนาเปล่งวาจาทุกครั้งที่มีการทำบุญ ทำความดี

การจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพระพุทธเจ้าเป็นแล้วยิ่งใหญ่ เป็นแล้วมีอำนาจบริสุทธิ์ สามารถนำสัตว์ทั้งหลายในโลกให้พ้นทุกข๋ได้

เพราะการเป็นพระพุทธเจ้า ก็เหมือนกับ การสร้างเรือขนาดใหญ่สำหรับขนสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากโอฆะสงสาร ข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง เรือลำนี้จึงต้องใช้เวลาสร้างอย่างพิถีพิถันประณีต เพื่อไม่ให้ล่มไม่ให้รั่วกลางทาง จะได้ไม่เป็นเหยื่ออาหารของสัตว์ทะเลในขณะที่ขับเรือ หรือ นำเรือล่อง เพื่อขนสัตว์ไปถีงฝั่งอมฤตนิพพาน การสร้างเรือจึงต้องใช้เวลานาน ต้องใช้ปัญญา ใช้อุปกรณ์ ใช้สิ่งของต่างๆ มากมายมหาศาล การปฏิบัติจึงต้องใช้ความเพียรอย่างสูง

ส่วนการเป็นสาวกภูมิ อย่างน้อยๆ ต้องมีศีลบริสุทธิ์ ในการปฏิบัติครั้งใด ทำความดีครั้งใด ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ ให้ทาน บริจาคสิ่งของ วัสดุ อุปกรณ์ ทรัพย์สมบัติ หรือ การทำศีลให้มีในตัว จงทำความรู้สึกแห่งอารมณ์ใจว่า เราปรารถนาเพื่อเป็นสาวกของพระศาสดา จะปฏิบัติตามคุณธรรมที่องค์สมเด็จพระศาสดาท่านสอนไว้ทุกอย่างทุกประการ ครบถ้วน ความสำเร็จจะเริ่มเกิดขี้นตั้งแต่ปรารถนาสาวกภูมิไป จนกระทั่งความดีเต็มเปี่ยมแล้ว เพราะการตั้งจิตเพื่อจะ หวังดี เป็นความสมบูรณ์และถูกต้อง เปรียบเหมือนน้ำหยดลงตุ่ม การตั้งจิตบ่อยๆ นั้น ก็คือ การหยดน้ำลงตุ่มบ่อยๆ หยดเรื่อยๆ หยดนานๆ และหยดทุกครั้ง สุดท้ายก็เต็มตุ่ม เราก็สามารถใช้น้ำในตุ่ม ทำประโยชน์ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การทำบุญ ก็เช่นกัน

การตั้งความปรารถนา เป็นแรงดลบันดาล เป็นผลส่งให้กระแสของจิตมีกำลังมีอำนาจ และมีความสามารถที่จะทำให้สำเร็จสัมฤทธิ์ผลได้ เป็นเสมือนตราที่สักหรือตีไว้ให้รู้ว่า คนๆ นี้แหละ คือ ผู้ปรารถนาสิ่งใด ปรารถนาพุทธภูมิ หรือ สาวกภูมิ

หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะมีอาการโดดเด่นเป็นสง่า มีความเป็นอยู่อย่างอิสระ ต่างจากคนเหล่าอื่นๆ และในบรรดาภูมิต่างๆ ภูมิที่มีอาการมีเกียรติยศ ภูมิที่เป็นใหญ่มีความประเสริฐสุด มีความโดดเด่นเป็นสง่าราศีมากที่สุด ก็คือ ภูมิแห่งพระโพธิสัตว์



ขอบคุณเว็บพลังจิต
 
 
http://variety.teenee.com/saladharm/25165.html
42  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ถ้าจะเริ่มฝึกสมาธิ ควรเริ่ม จาก สมาธิ แบบไหนดีคะ เมื่อ: สิงหาคม 05, 2011, 11:07:03 am
ถ้าจะเริ่มฝึกสมาธิ ควรเริ่ม จาก สมาธิ แบบไหนดีคะ และที่สำคัญที่สุด วัดผลอย่างไร ในการฝึกสมาธิ 

 ขอบคุณคะ

 :c017:

      ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ไกลจากสระบุรีมากไหม? จะเชิญชวนมาพบปะครูอาจารย์ ในการจะเริ่มศึกษาการปฏิบัติในวันที่ 14 สิงหาคม 2554 ที่ริมชล 5 บ้านพี่จิตตรี สำหรับการวัดผลสามารถวัดได้ด้วยตนเองเลย เพราะผู้ปฏิบัติย่อมรู้ได้โดยตนเอง
        หวังว่าคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใฝ่จะปฏิบัติ และถ้าถามว่าดีที่สุดหรือไม่ เมื่อได้ปฏิบัติแล้วก็จะตอบตนเอง ได้ว่าวิธีที่มาปฏิบัติดีที่สุดหรือไม่ อย่างไร?
 
       เบอร์โทรติดต่อได้ กรณีสนใจจะเข้าร่วมในการปฏิบัติ หรือสอบถามเส้นทางการเดินทาง แผนที่ดูได้ในกลุ่มภาวนาฯ
คุณณัฐพลสสัน (พี่ปุ้ม) 089-8236122
คุณจิตตรี เจ้าของบ้าน  089-7450417
คุณธวัชชัย  สุพันธ์สาย 085-3842945
คุณกมลพรรณ (พี่แขก)082-1997474
คุณนาฏนพิทย์          081-6890220
 
       หวังว่าเราคงจะได้พบกัน ในการปฏิบัติกรรมฐานในวันที่ 14 สิงหาคม 2554 เริ่ม 9.00 เป็นต้นไปถึง
เวลา 15.00 น.สำหรับคำถามในการปฏิบัติสอบถามครูอาจารย์ในวันนั้นเลย
43  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถ้าเราโดนวิจารณ์ ด่า ต่อว่า ในทางเสียหาย ควรทำอย่างไรในการภาวนาคะ เมื่อ: สิงหาคม 05, 2011, 10:18:38 am
ถ้าเราโดน กลุ่มคน ที่รวมตัวกัน วิจารณ์ ด่า ต่อว่า ในทางเสียหาย ซึ่งไม่ได้เป็นความจริง แต่พยายามสร้างความเห็นให้คนอื่น มองเห็นว่าเป็นความจริง อยากทราบว่า เพื่อนสมาชิกห้องกรรมฐาน มีิวิธีการ วางตัว วางอารมณ์ อย่างไร ในการควบคุณอารมณ์ จิต และ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นได้

 :c017:

การวางตัว วางอารมณ์ ของผู้ปฏิบัติ ก็ต้องถือว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวเรา ไม่เห็นต้องแสดงให้เห็นว่าความจริงเพื่อที่จะให้คนอื่นเข้าใจเลย การกระทำใดๆ ที่ทำไปก็ไม่ต้องให้ใครมาเข้าใจหรือเห็นใจเรา ถ้าการกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง เมื่อเราวางตัวและวางอารมณ์ได้ดังนั้น ก็จะเกิดสติยับยั้งภาวะในอารมณ์จิตขึ้นมาเอง
44  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: หลังจากนั่งกรรมฐาน แล้ว เกิดโรคอย่างหนึ่งแก่ดิฉันคะ.... เมื่อ: สิงหาคม 05, 2011, 10:06:59 am
หลังจากที่ดิฉันได้นั่งกรรมฐาน มาเป็นเวลา 1 ปี เมื่อวานคืนก่อนก็นั่งตามปกติ อีกประมาณ 2 ชั่วโมง
ก็เป็นเวลา 22.40 น. โดยประมาณ ปรากฏว่า มีโรคเกิดขึ้นคะ คือ โรคนอนไม่หลับ ถึงตี 5 เลยหลับได้
แต่ก็ต้องตื่น 6 โมง คะเพราะเตรียมตัวไปทำงานคะ

  คือว่า ทีแปลกใจคือ ไปทำงานก็คิดว่าต้องง่วง แน่ ๆ คะแต่ก็ไม่ง่วง นะคะ พอกลับจากทำงานมาก็
คิดว่า วันนี้จะนอนให้อิ่มเลย ก็ปรากฏว่ามีอาการเิดิมอีกคะ คือ นอนไม่หลับ มาหลับเอาตอนที่ 4 อีก
เป็นอย่างนี้มา 2 วันแล้วคะ

 เกรงว่าจะมีผลต่อการทำงาน คะ ใครมีวิธีแก้ไขบ้างคะ

  :c017: :41:

      การปฏิบัติกรรมฐาน จริงๆ แล้วก็เป็นการพักผ่อนอยู่แล้ว ไม่ต้องวิตกเรื่องร่างกายที่จะไม่ได้นอนนอนหลับหรอก ประสบการณ์ดังกล่าวดิฉันได้ประสบกับตนเอง  ซึ่งน่าแปลกใจมากเพราะเป็นเวลาเดียวกันที่จะมานอนหลับในตอนตี 4
และตื่นอีกทีประมาณตี 5-6 โมงเช้า โดยตอนแรกคิดเหมือนกันว่าร่างกายต้องพักผ่อน จึงเลยนอนเพื่อให้ร่างกายได้
นอนหลับกลัวว่าจะไม่มีแรงในการทำงานในตอนเช้าถึงเย็น  ซึ่งเป็นการหลงผิดชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นและก็ปล่อย
ไปตามสภาวร่างกายที่ควรจะเป็น
      ประสบการณ์การปฏิบัติกรรมฐานของดิฉันที่เคยปฏิบัติ คือ เริ่มปฏิบัติช่วงแรก คือ ตั้งแต่เวลา 2 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม แล้วนอนพักผ่อนตื่นขึ้นปฏิบัติอีกช่วง ตี 2 ถึง ตี 5 แล้วนอนพักตื่น 6 โมงเช้าแล้วทำกิจวัตรปกติ และไปทำงานจนถึงเวลา
5 - 6 โมงเย็นกลับไปบ้านทำกิจวัตรส่วนตัวและเข้าปฏิบัติกรรมฐานตามเวลาข้างต้น ไม่มีอาการง่วงนอนหรืออาการ
อ่อนเพลียใดๆ แต่กลับสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากกว่าเดิม ซึ่งก็แปลกใจมาก ที่แรกก็ห่วงเรื่องเวลาการนอนเหมือนกัน
พยายามให้ร่างกายได้นอนพักทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ง่วงนอน แต่ก็จับอารมณ์ภาวนาในท่านอน โดยกำหนดการตื่นให้ได้ตาม
เวลาที่ตั้งใจไว้  ก็ได้ตามที่กำหนดโดยที่ไม่อาการอ่อนเพลียใด ๆ
     ก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ฟัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
และไม่ต้องห่วงหรือพะวงต่อสังขารที่จะไม่ได้พักผ่อน แท้จริงการปฏิบัติภาวนาเป็นการพักผ่อนที่ดีวิธีหนึ่งที่เดียว
45  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ปฏิบัติ กรรมฐาน ควรตั้งความสำเร็จ ในเบื้องต้นอย่างไร คะ เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2011, 06:02:43 pm
ปฏิบัติ กรรมฐาน ควรตั้งความสำเร็จ ในเบื้องต้นอย่างไร คะ
บางครั้งก็รู้สึก ท้อแท้ เหมือนกัน ว่าทำไม ปฏิบัติภาวนาไม่ได้ สักที คะ

จึงคิดว่า ทำไมกรรมฐาน ถึงปฏิบัติไม่ได้ผลเสียที
หรือเพื่อนสมาชิก มีความเห็นว่า อย่างไร คะ ช่วยแนะนำหน่อยคะ


อันดับแรก......ต้องเปลี่ยนวิธีการคิด สำหรับการตั้งความสำเร็จในเบื้องต้น ให้เป็นการปฏิบัติที่เป็นกิจวัตร
แล้วสร้างความเพียรในแต่ละครั้ง  เช่น การปลูกต้นไม้ที่ต้องคอยดูแลรดน้ำ ใส่ปุ๋ย เมื่อถึงคราวที่ต้องออกดอกใบ และให้ผล  เราก็จะเห็นมันเองไม่ต้องไปกำหนดเงื่อนไขใด ๆ
อันดับที่สอง....ตัวชี้วัดว่าทำไม ปฏิบัติภาวนาไม่ได้ สักที  เพราะเท่ากับเรายังเอากิเลสความต้องการฝังในการปฏิบัติภาวนา
อันดับที่สาม....ที่สำคัญต้องเข้าครูบาอาจารย์ที่ท่านพอจะเมตตาสั่งสอนให้เราได้ และเพื่อนที่จะไปปฏิบัติด้วยกันหรือเป็นเพื่อนกัน ซึ่งจะทำให้เรามีกำลังใจที่เดียวแหละ...... 
 
               
46  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถ้าจะไปบวช เป็นแม่ชี หามุมสงบในชีวิต เพื่อตัดขาดโลกภายนอก เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2011, 03:34:09 pm
ขอแนะนำในแนวพุทธศาสนา
         การบวชเป็นชีไม่ได้แสดงให้เห็นว่าคุณจะสามารถหลุดพ้นความวุ่นวายแห่งจิตได้ แท้จริงแล้วเรือนกายเป็น
สิ่งที่คุณควรทำให้เป็นที่ว่างแห่งจิต เพื่อการปฏิบัติภาวนาหาความสงบ จากสิ่งวุ่นวายต่างๆ
47  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อยากทราบว่า สมาชิกแต่ละท่าน ชอบ ในสิ่งที่เสนอนี้ อันไหน มีน้ำหนักมากกว่า เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2011, 03:27:01 pm

ใช้เวลา กับส่วนไหนมากที่สุดคะ และ มีความเห็นแบบไหน เพราะอย่างไรคะ
3. ภาวนา วิปัสสนา กรรมฐาน
เป็นการปฏิบ้ติที่อยู่กับตน โดยพิจารณาอยู่แต่ภายในไม่ไปรับรู้สิ่งภายนอก ไม่ต้องเหนื่อยเพื่อไปการทำบุญ รักษาศีล
ฟังธรรม / อ่านธรรม / เรียนธรรม  ซึงการปฏิบัตินี้ก็รู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องใช้สิ่งอื่นใดมากำหนดในบุญที่เราปฏิบัติได้เอง
48  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: เชิญร่วมโพสต์ ภาพไทยๆ อวยพรในวันปีใหม่ไทยกันบ้าง เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 07:14:08 pm
49  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ผู้ที่อยากเริ่มฝึกตั้งสมาธิ(ตอนยังไม่มีครู)ฟังทางนี้ เมื่อ: มีนาคม 21, 2011, 03:21:47 pm



อ้างถึง
ปล่อยใจปล่อยกาย ก็คือปล่อยอารม :smiley_confused1: ตอนที่เราท่านยังไม่รู้อะไรเลยก็เป็นเรื่องยาก....แต่อยากทําเลย อะไรทํานองนี้ บางทีก็ไปคว้าสื่อเล่มใดมา ก็อยากเอามาทําตาม หรือยังลังเลอยู่รออยู่ ผลัดอยู่ เลยไม่ได้ฝึกตั้งสมาธิกันซักที.....จะขอบอกคร่าวๆเป็นตอนเรียงไป....
          ถ้ามีโอกาสก็ควรมาขึ้นพระกรรมฐาน ตอนที่ครูบาอาจารย์ท่านเปิดรับขึ้น ดูข่าวในนี้ไว้ดีๆ(เพราะความสําเร็จจะมีได้ ต้องมีครูบาอาจารย์)............ที่มาจาก คําสอนตําราครูบาอาจารย์

:040:  จริง ๆ แล้ว คุณ suchin_tum เพียงต้องการให้กำลังใจผู้ปฏิบัติใหม่ หรือปฏิบัติทั่ว ๆ ไปโดยการศึกษาด้วยตนเอง จึงได้แนะนำขึ้นมา......ซึ่งประโยคอาจจะกระชับไปในการที่จะสื่อความหมายให้นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายทราบในวัตถุประสงค์
               ขั้นตอนปฏิบัติก็อ่านแล้วดูจะปฏิบัติแล้วเข้าใจในวิธี.......ที่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะเริ่มเข้าไปปฏิบัติ โดยวิธีก็เป็นขั้นตอนที่ครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวสอนไว้ อ้างถึงได้มีหลักเกณฑ์  :13:
         
               ความหมาย "การปล่อยกาย ปล่อยใจ" ซึ่งได้อธิบายให้ทราบว่าเป็นการวางอารมณ์นั้น ถ้าจะให้เข้าใจ ความหมายดังนี้ :86:
               โดยสภาพของกายภาพ...... ก็ต้องประมาณว่า เป็นการทำกายขณะที่จะปฏิบัติให้สบายในท่าทางที่จะปฏิบัติ เช่น การนั่งก็เลือกท่านั่งที่เหมาะกับสุขภาพ ร่างกาย บางคนอาจจะนั่งท่าขัดสมาธิ ...ซึ่งก็มีทั้งขัดสมาธิชั้นเดียว สองชั้น และขัดสมาธิเพชร อันนี้ถ้าผู้ปฏิบัติรู้จักเคยศึกษาท่านั่งมาก็พอจะเข้าใจ แต่ถ้าสุขภาพร่างกายไม่ดีก็อาจจะนั่งบนเก้าอี้ที่สะดวกต่อการปฏิบัติ ก็อาจจะไม่สามารถนั่งขัดสมาธิได้ ก็เลือกเอาท่าที่คิดว่าเหมาะแก่การปฏิบัติก็แล้วกัน.....  เพราะการภาวนาเป็นเรื่องของสภาวะจิตใจ
               และสำหรับการปล่อยใจ......ในความหมายก็มิได้ถึงขนาดการปล่อยตัวปล่อยใจ  เพียงแต่การทำสภาวะจิตใจในขณะนั้น ในว่างจากความยุ่งยากทั้งหลาย การฟุ้งไปกับสภาวะแวดล้อม หรือติดขัดกับปัญหาการทำงาน เพื่อนร่วมงาน หรืออื่น ๆ ที่ทำให้จิตใจนั้นไม่สบายใจ....เหล่านี้เอง  โดยทำการวางสิ่งต่างๆ ทางสภาวะอารมณ์ สักชั่วคราวเมื่อจะเริ่มปฏิบัติภาวนาตามขั้นตอน
               สิ่งสุดท้ายที่กล่าวถึง" ครูบาอาจารย์ที่ให้คำแนะนำโดยตรง......" ก็หมายความว่า  การเรียนรู้สิ่งใด ๆ แม้จะศึกษาด้วยตนเองได้ แต่สิ่งสำคัญก็ควรจะต้องมีครูบาอาจารย์ที่เราต้องกราบไหว้เพื่อขอเป็นศิษย์ในการแนะนำการปฏิบัติให้ถูกต้องในวิธี.... ซึ่งจะพบเห็นการปฏิบัติตั้งแต่เด็กจนโตเป็นประจำ ที่เรารู้จัก เช่น การไหว้ครู .....ในวัฒนธรรมไทยให้ความสำคัญมากในเรื่องนี้ เราจึงไม่ควรหมิ่น หรือมองข้ามสิ่งที่ดี  อีกประการหนึ่งที่สำคัญ  การที่การกราบไหว้ยกย่องเป็นครูบาอาจารย์กันนั้น ก็เพื่อผู้ที่เป็นครูจะได้อบรมสั่งสอนศิษย์ได้ ไม่อย่างนั้นจะว่ากล่าวตักเตือนกันก็ดูจะลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะใช้ฐานะอะไรไปตักเตือนกัน.....

               ถ้าอธิบายการสื่อความหมายไม่สมบูรณ์......ตามเจตนารมณ์ ก็รบกวนให้ คุณ suchin_tum อธิบายเพิ่มเติมด้วย
               :c017:
50  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ทำไมอาการเป็นเช่นนี้ ต้องแก้อย่างไร คะ เมื่อ: มีนาคม 11, 2011, 07:03:37 pm
ขึ้นชื่อว่า สติ เป็นธรรมอันสําคัญ อันผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงตรัสแสดงไว้เป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่งยวด ในหัวข้อศึกษาธรรม ในนวโกวาทหลักสูตรนักธรรมชั้นตรีก็ได้จัดไว้เป็นธรรม 2 หัวข้อ(เป็นธรรมที่มีอุปการะ มาก 2 อย่าง) คือ 1.สติ แปลว่า ความระลึกได้ 2.สัมปชัญญะ แปลว่า ความรู้ตัว แบ่งเป็นสติขั้นต้นคือความไม่หลงไม่ลืม. สติขั้นกลางคือความตามระลึกได้ในบุญกุศล. สติขั้นสูงสุดคือสติที่เป็นไปในสติปัฏฐานทั้ง4 คือ มีสติในกาย ในเวทนา ในจิต และ ในธรรม."สติทั้ง3"หาแยกจากกันไม่ เพราะผู้มีสติก็ต้องมีสติ ตั้งแต่พื้นฐาน จนถึงขั้นสูงสุด และสติย่อมเกิดขึ้นและทําให้ผู้มีสติ(ย่อมถึงสิ่งที่ปรารถนาไว้นั่น ก็คือ ความรู้ตัวทั่วพร้อม ตามลําดับ กําลังของผู้มีสติ).....วันนี้พอก่อน...จากคําสอนตําราครูบาอาจารย์...

การวางอารมณ์ในกรรมฐาน ขั้นตอนมีไม่มากหรอกครับ
  คือ หนึ่งวางใจให้เป็นกลาง ครับอย่าอยากสำเร็จ หรือไม่อยากสำเร็จ
  อันนี้ข้อแรกเลยครับ ในการวางอารมณ์

สมาธิ คือ สภาวะที่จิตไม่ปรุงแต่งความคิด ด้วยอาศัยการบริกรรมภาวนาหน่วงจิตให้จิตทำงานจับจดเป็นอารมณ์

เดียว จิตหมดจด ไม่ซัดส่าย ไม่ฟุ้ง    จากนั้นยกองค์ธรรมขึ้นสู่การพิจารณาเป็นวิปัสสนา ด้วยความปราณีตแห่ง

จิตและความแยบยลแห่งภูมิปัญญา ย่อมถึงความสิ้นสงสัย หมดจด ปล่อยวางคลายได้ง่าย ถึงซึ่งภูมิแห่งความพ้น

เป็นอริยะ......ดังนี้ หรือในชั้นปุถุชนเพียงแก้ไข คลาย จาง กระจ่าง กับปัญหาที่ข้องอยู่เป็นผลสำฤทธิ์


สมาธิ มิใช่สภาวะนิ่งแช่ ว่าง วางเฉย ไม่คิด ไม่ฟุ้ง อย่างนี้เป็น อทุกขมสุข เป็นเพียงกระพี้ของการภาวนา การ

ภาวนาที่ถูกต้อง กล่าวคือ ให้จิตทำงานด้วยการบริกรรม สังเกตได้จากอาการของจิตกระทบกายเป็น ปิติ ความ

อิ่มใจ กายกระทบจิต เป็น นิมิต แต่หาทิ้งคำบริกรรมไม่จิตทำงานต่อไป กระทั่งจิตทิ้งคำบริกรรมจิตเสวยอารมณ์

สุขอย่างเดียว กายใจแช่มชื่น กายสุข จิตสุข กายเบา จิตเบา ซ่านสบาย เมื่อสอดแสกความคิดสติปัญญาตอบ

สนองรวดเร็ว ทั้งหมดจากประสพการณ์ที่มีกับตนเองครับ


 
51  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เพื่อนสมาชิก มีความคิดอย่างไร กับวัดติดทีวี ในห้องส้วม จ๊ะ เมื่อ: มีนาคม 11, 2011, 06:32:35 pm
            การสร้างภาพลักษณ์ของวัดในทางพุทธศาสนา น่าจะมีวิธีการอื่นที่ดีกว่านี้  เพื่อจะชักชวนให้ญาติโยมมาเที่ยวที่วัด หรือให้มาสนใจ  :smiley_confused1: :smiley_confused1:
52  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เกี่ยวกับการฝึก สติปัฏฐาน สันโดด เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 08:08:20 pm
คำที่กลั้นหายใจ 37 ลูกประคำ ที่พระอาจารย์ขึ้นแจ้งไว้ มีธาตุน้ำ 12 ธาตุดิน 21 รวมเป็น 33 ยังขาด 4 คำ ไม่ทราบว่าเป็นคำอะไรค่ะ โยมแอ๊วฝากกราบเรียนถามพระอาจารย์ช่วยตอบให้หน่อยนะเจ้าคะ  :'( :'(
53  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / การปฏิบัติธรรมที่ศาลากรรมฐาน วัดแก่งขนุน ในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 03:46:24 pm
อ้างถึง
มีความน่าสนใจ อยู่ แต่พระอาจารย์มาหรือ ไม่ครับ ?

11.00 น. - 15.00 น. จะทำอะไรบ้างครับ

ถ้าทุกๆ คนที่เป็นศิษย์รวมตัวนัดกันมาพบปะกัน ก็น่าจะแจ้งMail เพื่อให้ท่านมาร่วมด้วยก็น่าจะดีมากๆๆๆ ค้า
54  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / การปฏิบัติธรรมที่ศาลากรรมฐาน วัดแก่งขนุน ในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2553 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 02:36:50 pm
สนใจมาก ๆๆ ค้า......เราน่าจะนัดรวมกันผู้ปฏิบัติอาจจะขึ้นกรรมฐานหรือไม่ได้ขึ้นกรรมฐาน แต่มีความสนใจในการฝึก

ปฏิบัติ  เพื่อหาโอกาสพบปะกันบ้าง สำหรับสถานที่ศาลาปฺฏิบัติกรรมฐานนั้น ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะทางวัดก็ให้ผู้สนใจ

ไปนั่งปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว  อันที่จริงการรวมเพื่อปฏิบัติกรรมฐานก็เป็นเรื่องสิ่งที่ดีทำไมเจ้าอาวาสจะต้องห้าม และที่สำคัญ

การไปปฏิบัติธรรมนั้นก็เชิญชวนผู้สนใจและมีเวลาว่างในวันเวลาดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องมีผู้ดำเนินการเลย..... แล้วเวลาที่

การไปทำบุญที่วัดไม่เห็นต้องมีผู้ดำเนินการ ขอเพียงแต่ผู้มีศรัทธาและแสวงบุญเพื่อจะปฏิบัติเท่านั้นก็เพียงพอมิใช่

หรือ ???
55  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นามผู้สร้างหนังสือพระกรรมฐานห้อง ๔ เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 06:30:56 pm
สำหรับผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำทุนพิมพ์หนังสือ เพื่อแจกศิษย์หรือผู้สนใจในกรรมฐานจริงๆ ต้องรีบส่งธนาณัฐ
และแจ้งความประสงค์ไปยัง Mail ให้พระอาจารย์ทราบรายชื่อเพื่อจะได้นำชื่อไปพิมพ์ไว้ในหนังสือ

 :25: :25: :25:

ขออนุโมทนา ผู้มีจิตศรัทธาในการเผยแผ่ธรรมในครั้งนี้
56  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / เวลาไม่คอยใคร เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 05:43:47 pm
 :33: 
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ปี........ มีค่าเพียงใด.......ให้ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก  :signspamani:
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือน.....มีค่าเพียงใด.......ให้ถามมารดาที่ต้องคลอดบุตรก่อนกำหนด
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 สัปดาห์...มีค่าเพียงใด.......ให้ถามบรรณาธิการหนังสือรายสัปดาห์
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมง....มีค่าเพียงใด.......ให้ถามคู่รักที่ต้องรอเวลาจะพบกัน :bedtime2:
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา  1 นาที.... มีค่าเพียงใด.......ให้ถามคนที่พลาดรถไป รถประจำทางหรือเครื่องบิน
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาที.... มีค่าเพียงใด.......ให้ถามคนที่รอดจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด
ถ้าอยากรู้ว่าเวลาในเสี้ยววินาที.... มีค่าเพียงใด.......ให้ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ได้เหรีญเงิน

   :P เวลาไม่เคยรอใคร   :s_hi:

    เราควรใช้ทุกขณะอันมีค่ายิ่งให้ดีที่สุด
    เราสามารถแบ่งปันสิ่งที่ดี ๆ ให้กับใครบางคน
    โปรดอย่าเก็บมันไว้.......คนเดียว

        :91:  :s_laugh:
57  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: วันนี้เป็นวันพระ และ เป็นวันแรกของเทศการกินเจ เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 04:56:38 pm
เมื่อถึงเทศกาลกินเจ ชาวจีนจะนุ่งขาวห่มขาว เพื่อแสดงถึงการตัดกิเลสจากโลกภายนอก ถือศิล กินเจ โดยปฏิบัติดังนี้
          1. งดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ อันเป็นเหตุให้ไม่ต้องแสวงหาเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อชีวิตสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ในทุกกรณีรวมทั้งน้ำนมและน้ำมัน ที่มาจากสัตว์อีกด้วย
          2. รักษาศีลห้าและรักษาพรหมจรรย์
          3. ทำบุญทำทาน
          4. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์
          5. แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายสีขาว
          6. งดเว้นผักที่ให้กลิ่นแรงต่างๆ เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย เพราะถือว่าเป็นสิ่งกระตุ้นอารมณ์
           :s_good:มาถือศีลกินผักในช่วงเทศกาลกินเจกันเถอะ
ย่างเข้าเดือน ๙ ของทุกปี เราจะเห็นตามร้านอาหารทั่วไปปักธงสีเหลืองเต็มไปหมด นั่นหมายถึงการ เข้าสู่เทศกาลกินเจของคนจีนที่ปวารนาตนจะงดอาหารที่มีเนื้อสัตว์พร้อมทั้งถือศิลทำบุญทำทานเป็นเวลา ๙ - ๑๐ วัน เพื่อเป็นการชำระทั้งร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์
          ประเพณีการกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย  เชื่อว่าเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล ๗ พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์ รวมเป็น ๙ พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ ประชาชนถวายพระนามว่า "เก้าอ๊วง" ซึ่งเทพทั้งเก้าของชาวพุทธมหายาน อันได้แก่
พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ ปรากฏตนเป็นพระอาทิตย์ จีนเรียก "ไท้เอี้ยงแซ"
พระศรีรัตนะโลกประภาโฆษอิศวรพุทธะ ปรากฏตนเป็นพระจันทร์ จีนเรียก "ไท้อิมแซ"
พระเวปุลลรัตนโลกสุวรรณพุทธะ ปรากฏเป็นดาวอังคาร จีนเรียกว่า "ฮวยแซ"
พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ ปรากฏเป็นดาวพุธ จีนเรียกว่า "จุ้ยแซ"
พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธ ปรากฎเป็นดาวพฤหัสบดี "บักแซ"
พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ ปรากฎเป็นดาวศุกร์ "กินแซ"
พระเวปุลลจันทร์โลกไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ ปรากฎเป็นดาวเสาร์  "โท้วแซ"
พระศรีสุขโลกปัทมครรภอลังการโพธิสัตว์ ปรากฎเป็นดาวราหู "ล่อเกาแซ"
พระศรีเวปุลลสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ ปรากฎเป็นดาวเกตุ "โกยโต้วแซ"
      ในพิธีกรรมสักการบูชาพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์นี้ สาธุชนในพระพุทธศาสนาต่างสละเวลาและกิจทางโลกมาบำเพ็ญศีล ตั้งปณิธานกินเจ บริโภคแต่อาหารผลไม้ งดเว้นอาหารเนื้อสดของคาวด้วยการสมทานรักษาศีล และเพื่อซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย วาจา ใจ ต่างสวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากจุดด่างพร้อย พากันเดินทางสู่วัดอารามพร้อมด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ไปนมัมสการน้อมบูชา แด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ อีกทั้งพระมหาโพธิสัตว์ ๒ พระองค์ พร้อมจัดหาเครื่องกระดาษทำเป็นรูปทรงเสื้อผ้า,หมวด, รองเท้า, กระดาษเงินกระดาษทองต่างๆ ไปน้อมถวายเป็นเครื่องสักการะ เป็นกุศลสมาทาน
          ดั้งนั้นเชื่อกันว่า ในช่วงนี้ถ้าใครถือศิลกินเจพร้อมตั้งจิตอธิษฐานขอพรอันใดก็จะได้สมปรารถนา นอกจากนี้  คนที่กินเจยังนิยมไปไหว้เจ้าตามศาลเจ้าเพื่อขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง ซึ่งศาลเจ้าในกรุงเทพฯ ที่ตนนิยมไปไหว้ อาทิ วัดเล่งเน่ยยี่(วัดมังกรกมลาวาส), ศาลเจ้าไต้ฮงกง ตรงข้ามสน.พลับพลาไชย, โรงเจชิกเชี้ยม่า ตลาดน้อย, โรงเจเตี่ยชูหั้ง สำเพ็ง เป็นต้น
ประโยชน์ของการ กินเจ ในมุมมองที่แตกต่าง
          ประโยชน์ของการกินเจทุกคนไม่จำเป็นต้องมองแง่เดียวกัน การปฏิบัติในการกินเจก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทั้งหมด เพียงแต่ยึดหลักที่เป็นหลักสำคัญในการกินเจไว้ก็เพียงพอแล้ว คือ การงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ เลือกกินเฉพาะพืช ผัก ผลไม้ ซึ่งในส่วนนี้เกิดจาก แง่มุมมองการกินเจบนปลายทางของผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปจะมีการมองประโยชน์ของการกินเจในมุมมองต่อไปนี้
         ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของศาสนามุมมองของศาสนา จะมองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของชีวิตและจิตใจ ได้แก่ บังเกิดเมตตาจิต เกิดความสงบ สุขุม เยือกเย็น อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่โมโหง่าย ดวงธรรมญาณอันบริสุทธิ์จะปรากฏออกมา ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้บารมีธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีสติมั่งคง มีสมาธิแน่วแน่ ไม่ประมาทเลินเล่อ เป็นประโยชน์ ต่อการดำเนินชีวิต และการทำงาน สามารถรอดพ้นจากภัยต่างๆ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ ภัยจากเคราะห์กรรม เมื่อวิญญาณออกจากร่างก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี

          หยุดการทำบาป ตัวเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ไม่เกิดการอาฆาต พยาบาท ทำให้ปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งทำร้ายตามจองเวร

         หลังจากกินเจต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน สิ่งไม่ดีจะถูกขับออกไป ความรู้สึกขุ่นมัวมืดมนจะหมดไป ความสดใสจะปรากฏขึ้นในจิตใจ  ถ่ายทอดออกไปสู่ใบหน้าให้มีความสะอาดสดใส

          ผู้ที่กินเจ รวมทั้งครอบครัวและบุตรหลาน และคนในปกครองจะเกิดความรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้เกิดอยู่ในดินแดนอารยะ มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากการทำร้าย รบราฆ่าฟัน ไม่มุ่งร้ายทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน ทำให้จิตสะอาดไม่ฟุ้งซ่าน จิตที่สะอาดจะทำให้มองเห็นกายอันแท้จริง สามารถสู่นิพพานได้ในที่สุด เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครองอารักขา ไม่ให้สิ่งเลวร้ายหรือวิญญาณชั้นต่ำเข้ามาทำร้าย
         ผู้ที่มองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของศาสนา จะมีการปฎิบัติที่เคร่งครัดกว่า การมองประโยชน์ของการกินในแง่อื่นซึ่งมักจะให้ผลที่สามารถมองเห็นได้ อย่างเกินคาดเกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น การลุยไฟ การใช้เหล็กเสียบแทงตนเองหรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดตรังนั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสมอ

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ  :a102:

          ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด  ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้  อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด  อวัยวะเสริมทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
          ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่ ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม  กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้
          ในทางการแพทย์ การกินเจ มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า ประโยชน์ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมองเห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางด้านโภชนาการ    :19:

         การกินเจ มักจะมีคนสงสัยว่า ได้อาหารครบ ๕ หมู่หรือไม่ โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีกว่าโปรตีนในพืช ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้วมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกัน และโปรตีนในถั่วยังมีถึง ๑๐ ชนิด ด้วยกัน นอกจากนี้อาหารในหมู่อื่นก็ยังมีอยู่ในพืชครบทั้งสิ้น จึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกินอาหารมากกว่าว่า กินครบ ๕ หมู่หรือไม่
58  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชาวพุทธแท้ทั้งหลายอย่านิ่งเฉย เมื่อมีกระทู้ป่วนจากคนศาสนาอื่น หรือมั่วหลักการ เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 04:22:42 pm
 :s_good   :49:
พุทธัง สรนัง คัจฉามิ   
ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย ฯ
ธัมมัง สรนัง คัจฉามิ   
ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระธรรมเจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย ฯ
สังฆัง สรนัง คัจฉามิ   
ข้าพเจ้า ขอถึง ซึ่งพระสงฆ์เจ้า ว่าเป็นสรณะ ที่พึ่ง ที่อาศัย ฯ
สรณะอื่นไม่มีสำหรับข้าพเจ้
b]
 :welcome:
59  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อธิวาสนะขันติ คืออะไร ครับ เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 06:00:50 pm
อธิวาสนะ
           อธิวาสนะ แปลว่า อดทน การละกิเลสด้วย ความอดทน การพัฒนาจิตไปสู่ความบริสุทธิ์ด้วยความอดทน ความอดทนที่ท่านเรียกว่าขันตินี้ ท่านแบ่งเป็น 3 อย่าง คือ
             1.  ธีติขันติ  แปลว่า ทนต่อการตรากตรำลำบาก เหน็ดเหนื่อยด้วยการงาน การศึกษา การปฏิบัติธรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าต้องตรากตรำลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เป็นฆราวาส ที่เรียกว่า ฆราวาสธรรม มีข้อหนึ่งเรียกว่า ขันติ อดทน ในพระบาลีท่านใช้คำว่า ธีติ ยกตัวอย่างเช่น ยสฺเส เต จตุโร ธมฺมา สทฺธสฺส ฆรเมสิโน สจฺจํ ทโม ธีติ จาโค สัจจะ ทมะ และในที่นี้ท่านใช้คำว่า ธีติ แทน ขันติ ทโมก็คือ ทมะ ธีติ ก็คือ ขันติ จาโค คือ จาคะ สเว เปจฺจ น โสจติ ผู้นั้น ล่วงลับไปแล้ว จะไม่เศร้าโศก ยสฺเส เต จตุโร ธมฺมา ธรรม 4 ประการนี้ มีอยู่แก่ท่านผู้ใด แก่ฆราวาสผู้ใด ผู้มีศรัทธาอยู่ครองเรือน คือ สัจจะ ทมะ ธีติ จาคะ ผู้นั้นล่วงลับไปแล้วจะไม่เศร้าโศก แม้มีชีวิตอยู่ก็ไม่ เศร้าโศก ไม่ต้องพูดถึงล่วงลับ เพราะเหตุที่มีธรรม    เหล่านี้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทมะ การฝึกอินทรีย์ การฝึกตน ก็ได้พูดมาบ้างแล้วในปัจจัย 4
             2. อธิวาสนขันติ  ที่เรียกว่า อธิวาสนะ อดทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดมาแล้วไม่มีใครที่ไม่เจ็บไข้   ได้ป่วย เพราะว่าร่างกายนี้มันเป็นตัวโรคอยู่แล้ว ว่าความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ท่านหมายถึงไม่มีโรคทางใจ แต่เราเอามาใช้ในความหมายว่าไม่มีโรคทางกาย ความไม่มีโรคทางกายมันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าตัวร่างกายเองมันเป็นตัวโรคอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้นะครับ ในมาคัณฑิยสูตร มัชฌิมนิกาย ตรัสว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ก็หมายถึงไม่มีโรคทางใจ ก็ทำให้ไม่มีโรคได้สำหรับใจ ก็ทำให้บรรเทาเบาบางลงไป ฝึกฝนไป แก้ไขไป ขัดเกลาไป ฝึกฝนไป โรคใจมันก็ค่อยๆ น้อยลง ด้วยความอดทน ในที่สุดก็จะไม่มีโรคทางใจเลย มีน้อยลงไป จนไม่มีเลย แต่ว่าโรคทางกาย ยิ่งเรา มีอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีโรคมากขึ้น เหมือนกับรถยนต์ เครื่องยนต์ต่างๆ ที่ใช้ไป ยิ่งนานปีก็ยิ่งทรุดโทร ยิ่งต้องแก้ไขมากปรับปรุงมากขึ้นเท่านั้น
     3. ตีติกขาขันติ  อดทนต่อความลำบากทางใจ อดทนต่อความเจ็บใจ อดทนต่อคำด่าว่าเสียดสี อดทนต่อคำนินทาว่าร้าย อดทนต่อการบีบคั้นของกิเลสต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากภายในบ้าง มาจากภายนอกบ้าง ทำได้ก็เป็นตบะอย่างยิ่ง เรียกว่า ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
          ขันติ ประเภทตีติกขา อดกลั้นต่อกิเลส เป็นตบะอย่างยิ่ง บางทีพระพุทธเจ้าพระองค์ก็ถูกด่าว่าเสียดสี มีคนจ้างไปด่าหลายวัน พระอานนท์ทนไม่ไหว พระพุทธ- เจ้าตรัสบอกว่าอานนท์ เราเป็นเหมือนช้างศึกที่ลงสู่สงคราม จะต้องอดทนต่อลูกศรที่พุ่งมาจาก 4 ทิศ เพราะว่า คนส่วนมากเป็นคนชั่ว เพราะฉะนั้น เราจึงต้องอดทน ถ้ามีคนดีมากก็ไม่ต้องอดทนมาก

http://www.ruendham.com/book_detail.php?id=60&content=801&name_content=%B7%D3%A8%D4%B5%E3%CB%E9%BA%C3%D4%CA%D8%B7%B8%D4%EC%20%C7%D4%B8%D5%B7%D5%E8%204.%20%CD%B8%D4%C7%D2%CA%B9%D0

60  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อธิวาสนะขันติ คืออะไร ครับ เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 05:49:29 pm
อธิวาสนขันติ ความอดทนเกี่ยวกับเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย แม้พระพุทธเจ้าเองก็ต้องทรงอดทน อย่างในมหาปรินิพพานสูตร ที่พระ- คันถรจนาจารย์ได้เล่าเอาไว้ว่า ตตฺร สุทํ ภควา อาพาธํ อธิวาเสสิ ได้ยินว่าใน ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงอาพาธหนัก มรณนฺติกํ เหมือนกับว่าจะ คร่าชีวิตไป อาพาธหนักอย่างยิ่งเหมือนกับจะคร่าชีวิตไป อวิหญฺญมาโน ไม่ทรงเดือดร้อนกับอาพาธนั้น เป็นแบบอย่างให้เรารู้สึกว่าท่านมีบุญบารมี ได้บำเพ็ญมาแล้วบริบูรณ์ถึงอย่างนั้น ได้ทำประโยชน์แก่โลกถึงอย่างนั้น  เป็นมหาบุรุษถึงอย่างนั้น แต่ก็ทนถึงอาพาธหนัก ประหนึ่งว่าจะคร่าชีวิตไป แต่ก็ทรงอดทน ไม่เดือดร้อน
 
          "ร่างกายของเรากระวนกระวายอยู่ แต่จิตใจไม่กระวนกระวาย"

ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เราก็ต้องอดทน พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ เมื่อมันมาถึงเข้าตามวาระ ตามเวลา ตามโอกาส และก็มาเยี่ยมเราบ่อยๆ ก็คิดให้เป็นเพื่อนกัน เป็นกันเอง กับความพลัดพรากความผิดหวัง เจ็บไข้ได้ป่วย จนที่สุดถึงแก่ความตายพิจารณาบ่อยๆ นึกถึงบ่อยๆ จนถึงกับมีความรู้สึกเป็นกันเอง ความพลัดพราก ความผิดหวัง ความเจ็บป่วย ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า ก็ไม่ใช่ของแปลก บางคนมีชีวิตลำบากมาตั้งแต่เด็กต่อสู้ดิ้นรนมาด้วยความยากลำบาก มาจนเป็นผู้ใหญ่ก็ยังลำบากอยู่ มันก็เป็นกันเองกับสิ่งเหล่านั้น ก็ดูว่าเป็นคนมั่นคง สงบ แต่ที่จริงเขาก็ได้รับทุกข์จากสิ่งเหล่านั้นอยู่ แต่ด้วยความคุ้นเคยกับ สิ่งเหล่านั้นจนรู้สึกเป็นกันเอง เพราะว่ามันผิดหวังมาตั้งแต่เด็กๆ รับความ ผิดหวังพลั้งพลาด ไม่ค่อยได้อะไร ตามที่ใจหวัง ก็ถือว่าความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา แต่อะไรที่ได้สมหวังเป็นเรื่องพิเศษ
   ทีนี้เรามาพิจารณา บารมี ๓๐ ทัศ ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง ?ซึ่งก็จะทำให้ได้คำตอบที่ต้องการ
     บารมีทั้ง ๑๐ ประการอันเป็นองค์บารมีของพุทธการกธรรม สามารถแตกเป็น ๓ ระดับ คือ
     ๑. (สามัญ)บารมี หรือบารมีต้น
     ๒. อุปบารมี หรือบารมีกลาง
     ๓. ปรมัตถบารมี หรือบารมีปลาย
     การจำแนกระดับของบารมีนี้มีหลายประการ   เช่น
    1.จำแนกด้วยการกระทำ
     บารมีต้น เป็นการอนุโมทนาการกระทำของผู้อื่น
     อุปบารมี เป็นการให้ผู้อื่นทำ
     ปรมัตถบารมี เป็นการกระทำด้วยตนเอง
     2.จำแนกด้วยธรรม
     บารมีต้น เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
     อุปบารมี เป็นธรรมขาวไม่เจือด้วยธรรมดำ
     ปรมัตถบารมี เป็นธรรมไม่ดำไม่ขาว
     3.จำแนกด้วยกาล
     บารมีต้น บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางใจ
     อุปบารมี บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางวาจา
     ปรมัตถบารมี บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางกาย
     4. จำแนกด้วยความยาก
     บารมีต้น เนื่องด้วยวัตถุและทรัพย์นอกกาย
     อุปบารมี เนื่องด้วยอวัยวะและเลือดเนื้อ
     ปรมัตถบารมี เนื่องด้วยชีวิต
     (อรรถกถาพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗๔ อรรถกถา จาริยาปิฏก)
     บารมีทั้งสิบอย่างที่เป็นบารมีต้น รวมกันเรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศ
     บารมีทั้งสิบอย่างที่เป็นอุปบารมี รวมกันเรียกว่า อุปบารมี ๑๐ ทัศ
     บารมีทั้งสิบอย่างที่เป็นปรมัตถบารมี รวมกันเรียกว่า ปรมัตถบารมี ๑๐ ทัศ

     ผู้ปรารถนาสาวกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ
     ผู้ปรารถนาปัจเจกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมี ๒๐ ทัศ คือ บารมีและอุปบารมี
     ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ คือ บารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี

เมื่อแจกแจงบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ตามความยาก จะได้ดังนี้
     ๑. ทานบารมี
         บารมี           สละธนสารสมบัติ บุตร ภริยา ให้เป็นทาน
         อุปบารมี           สละอวัยวะและเลือดเนื้อ ให้เป็นทาน
         ปรมัตถบารมี           สละชีวิต ให้เป็นทาน

     ๒. ศีลบารมี
         บารมี           ยอมสละธนสารสมบัติ บุตร ภริยา เพื่อรักษาศีล
         อุปบารมี           ยอมสละอวัยวะและเลือดเนื้อ เพื่อรักษาศีล
         ปรมัตถบารมี           ยอมสละชีวิต เพื่อรักษาศีล

     ๓. เนกขัมมบารมี
         บารมี           ถือบวช โดยไม่อาลัยในธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
         อุปบารมี           ถือบวช โดยไม่อาลัยในอวัยวะและเลือดเนื้อ
         ปรมัตถบารมี           ถือบวช โดยไม่อาลัยในชีวิต

     ๔. ปัญญาบารมี
         บารมี           ใช้ปัญญารักษา ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา ของผู้อื่น
         อุปบารมี           ใช้ปัญญารักษา อวัยวะและเลือดเนื้อ ของผู้อื่น
         ปรมัตถบารมี           ใช้ปัญญารักษา ชีวิต ของผู้อื่น

     ๕. วิริยะบารมี
         บารมี           มีความเพียร ไม่อาลัยใน ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
         อุปบารมี           มีความเพียร ไม่อาลัยใน อวัยวะและเลือดเนื้อ
         ปรมัตถบารมี           มีความเพียร ไม่อาลัยใน ชีวิต

     ๖. ขันติบารมี
         บารมี           อดทนต่อผู้ที่จะทำร้ายต่อ ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
         อุปบารมี           อดทนต่อผู้ที่จะทำร้ายต่อ อวัยวะและเลือดเนื้อ
         ปรมัตถบารมี           อดทนต่อผู้ที่จะทำร้ายต่อ ชีวิต

     ๗. สัจจบารมี
         บารมี           ยอมสละธนสารสมบัติ บุตร ภริยา เพื่อรักษาสัจจะ
         อุปบารมี           ยอมสละอวัยวะและเลือดเนื้อ เพื่อรักษาสัจจะ
         ปรมัตถบารมี           ยอมสละชีวิต เพื่อรักษาสัจจะ

     ๘. อธิษฐานบารมี
         บารมี           ไม่หวั่นไหวแม้ต้องสูญเสีย ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
         อุปบารมี           ไม่หวั่นไหวแม้ต้องสูญเสีย อวัยวะและเลือดเนื้อ
         ปรมัตถบารมี           ไม่หวั่นไหวแม้ต้องสูญเสีย ชีวิต

     ๙. เมตตาบารมี
         บารมี           มีเมตตาแม้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
         อุปบารมี           มีเมตตาแม้ต่อผู้ที่จะทำร้าย อวัยวะและเลือดเนื้อ
         ปรมัตถบารมี           มีเมตตาแม้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ชีวิต

     ๑๐. อุเบกขาบารมี
         บารมี           วางเฉยได้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
         อุปบารมี           วางเฉยได้ต่อผู้ที่จะทำร้าย อวัยวะและเลือดเนื้อ
         ปรมัตถบารมี  วางเฉยได้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ชีวิต
61  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ข้อคิดดีๆ ที่ไม่ควรทำ เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 12:34:31 pm

คำสอนของท่าน ว.วชิรเมธี

62  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ข้อคิดดีๆ ที่ไม่ควรทำ เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 12:24:41 pm
คำสอนของท่าน ว.วชิรเมธี

http://img408.imageshack.us/gal.php?g=40609375.png
63  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ข้อคิดดีๆ ที่ไม่ควรทำ เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 01:19:42 pm
คำสอนของท่าน ว.วชิรเมธี
64  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถ้าเรามีญาต ป่วยโดยการนอนเฉย ๆ เป็นเดือน ๆ แล้วช่วยอย่างไรคะ เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 06:50:19 pm
 :67: ไม่ทราบว่า รับรู้ทางเสียงได้หรือไม่ ถ้าสามารถรับฟังได้ ก็หาธรรมะปฏิบัติที่เปิดเป็นเสียง หรือบทสวดมนต์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้ฟังเผื่อจะได้ให้ผู้ป่วยได้ใช้เสียงที่ได้รับฟ้ง เป็นข้อคิด หรือนอนปฏิบัติธรรมะ จิตใจผู้ป่วยจะได้มีกำลัง ไม่ฟุ้งไปในเรื่องอื่นๆ   :015: :015: :015:
65  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ความเมตตา ทำไมจึงเป็นเหตุให้พัฒนาเป็นความโกรธได้คะ เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 06:42:46 pm
 :88: เห็นใจจริง ๆ แต่การมีเมตตา กรุณา ที่ไม่หวังผลน่าจะเป็นวิธีที่ดี เพราะเมื่อเราให้อะไรไปแล้วไม่ว่าผู้รับจะทำอย่างไร หรือคิดอย่างไร แน่แท้ถ้าสิ่งที่เราให้เป็นสิ่งที่เราคิดว่าดีไม่ไปทำร้ายผู้อื่น ย่อมทำให้เราจิตใจเป็นสุข :58:
66  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เข้าพรรษา อุบาสกอย่างผมจะสมาทานอะไรเป็นพิเศษได้บ้างครับ ? เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 06:34:57 pm
:welcome:
ฆราวาสอย่างเรา เห็นที่จะต้องสมาทานปฏิบัติกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เสียแล้ว และคิดว่าอาจจะต้องปฏิบัติเพิ่มในเรื่องการแผ่เมตตาให้มาก ๆ ขึ้น ก็เชิญชวนนักปฏิบัติทั้งหลายในช่วงเข้าพรรษานี้ สมาทานการปฏิบัติ
67  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: คุณฝึกกรรมฐาน อะไร อยู่ขณะนี้ เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2010, 05:52:28 pm
ขอเชิญสมาชิกทุกท่านร่วมกันตอบ เพื่อทำโพลล์ หรือสำหรับสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามารู้จักกรรมฐานมัชฌิมาร่วมกันแสดง

ความคิดเห็น
68  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ผู้ป่วยมะัเร็งทุกระยะ โปรดอ่านตรงนี้.... เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2010, 05:30:51 pm
ใครมีประสบการณ์เกี่ยวกับวัดคำประมง ในการเข้าศึกษาวิธีในการรักษา หรือเข้าไปร่วมโครงการจิตอาสาบ้าง ? ช่วยเล่าให้

ฟังกันหน่อย เผื่อจะได้เป็นวิทยาทานสำหรับคนอื่นๆ ที่สนใจ
69  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เหนื่อยเมื่อยล้า แก้ด้วยกรรมฐานได้หรือป่าวคะ เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 06:18:36 pm
ขอแนะนำว่า  สิ่งที่คิดถูกต้องแล้ว   :021:เพราะแม้ปัจจุบันแพทย์สมัยใหม่ยังให้ความสำคัญกับการเจริญสมาธิ และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยา เพราะสิ่งสำคัญต้องเข้าใจโดยสภาวะร่างกายล้วนมาจากการควบคุมการสั่งการของสมอง ไม่ว่าจะเป็นสมองส่วนหน้า ส่วนหลัง ซีกซ้าย หรือซีกขวา แม้กระทั่งอวัยวะภายในร่างกายก็ถูกควบคุมด้วยสมองเช่นกัน เห็นมั้ย ถ้าเรานำจิตไปฝึกสมาธิเพื่อให้เกิดพลัง แล้วสั่งการให้สมองดำเนินการแก้ไข :bedtime2:สภาวะที่อ่อนแอ อ่อนล้า หรือผิดปกติ ก็จะทำให้ร่างกายเราดีขึ้น นะ........อันนี้ยืนยันจริงๆ   :08:แต่ถ้าจะให้เห็นผลควรปฏิบัติให้รู้ด้วยตนเอง เพราะการรักษาแบบนี้เรียกว่าการรักษาด้วยตนเอง ต่างกับให้แพทย์รักษา
70  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: คนที่อยู่กันมา 10 กว่าปีต้องเลิกร้างกัน จะช่วยอย่างไรดี เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 06:05:52 pm
คนที่อยู่ด้วยกันเป็นคู่นั้นอาจต้องมีธรรมะที่เสมอกัน ไม่แตกต่างกันเท่าใด ซึ่งเมื่อต้องแยกกันด้วยเหตุผลประการใด สิ่งที่ต้องเก็บไว้ก็คือสิ่งที่ดีๆ ที่เคยมีต่อกัน :58: อย่างน้อยก็เมื่อระลึกถึงกันหรือต้องพบปะเจอกัน  แต่ความรู้สึกเสียใจย่อมเป็นธรรมดา เพราะความมีสุข ย่อมคู่กับความมีทุกข์ เป็นหลักสัจจธรรม สี่งที่แนะนำได้ในหลักธรรม ก็คงจะเป็นการแผ่เมตตา   :25:ตราบเท่าที่เราให้อภัย มุ่งหวังให้เขามีความสุข พ้นจากความทุกข์ ความเศร้าโศก หม่นหมอง อาจจะคลายลงไปบ้าง แต่อย่าลืมว่าการแผ่เมตตาส่วนสำคัญก็ต้องไม่ลืม ตนเอง เพราะถ้าเราไม่หวังให้ตัวเราพ้นทุกข้ โศรกเศร้าเสียใจ หรือเรียกง่ายๆ ว่าถ้าเรายังไม่รักตนเองแล้ว ใครจะมารักเรา หรือเราจะไปรักใครได้ นะ :welcome:
71  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ขั้นตอนการฝึก เมตตาเจโตวิมุึตติื เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 05:44:18 pm
 :08:สนับสนุนความเห็นที่ควรจะมีการเผยแผ่การฝึกการแผ่เมตตา ซึ่งจะด้วยการทำการแผ่เมตตาเจโตวิมุตติ หรือใครมีวิธีการแผ่แบบใดฯ  ที่น่าสนใจนำมาแนะนำให้ปฏิบัติ ล้วนเป็นสิ่งที่ดี  :88:เพราะแท้จริงแล้วการเจริญเมตตาเป็นวิถีทางที่ทำให้ใจเราคิดแต่สิ่งที่ดี ๆ ผลที่ได้ก็จะทำให้จิตใจเราบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว หลุดพ้นจากความเศร้า ความหม่นหมอง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พึงสั่งสอนให้เราปฏิบัติ 
72  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: RDN ( Radio net online ) ทดสอบสถานีวิทยุ มัชฌิมา อาร์ดีเอ็น เมื่อ: มิถุนายน 01, 2010, 04:16:46 pm
พระอาจารย์ช่วยลงตารางออกอากาศด้วยนะเจ้าค่ะ จะได้กำหนดเวลาเข้าฟังได้ไม่เช่นนั้นต้องเปิดรอเพื่อฟังตลอดเวลาทำให้ไม่สามารถทำงานได้ และบางทีก็พลาดโอกาสการรับฟังรายการดีๆ ไปเลย
73  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: แก้ความดื้อรั้น เอาชนะ ทำอย่างไร ครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2010, 12:00:01 am
ความดื้อรั้น เป็นนิสัยส่วนบุคคลทั่วๆ ไปจะมีอยู่ในตัว ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อนหรือเสียหาย ก็ช่างมันเถอะเรียกว่า เป็นนิสัยที่แสดงถึง ความแก่กล้าทางประสบการณ์ในชีวิต เพราะถ้าใครมีมากก็ดื้อรั้นมากตามไปด้วย ส่วนการเอาชนะนี้นะ...ก็ต้องพิจารณาว่า ถ้าเป็นการเอาชนะในการทำสิ่งที่ดีๆ ก็สนับสนุน โดยเฉพาะไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อนหรือเสียหายนะ แต่ถ้าเป็นการเอาชนะในทางไม่ดี ต้องไปทำร้ายคนอื่น อันนี้ อันตรายมากนะ ถ้าไปเจอคนแบบเดียวกันที่ไม่ยอมให้กัน และยังเป็นอันธพาล
 
74  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ความรัก เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะแก้อย่างไร เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2010, 11:52:08 pm
สวัสดี...เลยวันวาเลนไทม์ มา2-3 วันแล้ว

            :88:แหมขอคุยเรื่องความรักเสียหน่อยนะ ถึงแม้จะอ่อนประสบการณ์แต่ก็ขอออกความคิดเห็นบ้างก็ยังดี ความรักเป็นความรู้สึกที่ดีที่ทำให้ใจรู้สึกตื่นเต้นระทึกเรียกว่า อยู่ในภาวะที่มองดูโลกเป็นสิ่งที่สวยงาม และคาดหวัง คิดแบบเข้าข้างตนเอง โอ้ย..เรียกว่าทุกลมหายใจเป็นเธอก็ว่าได้ อันนี้ถ้าห้ามความรู้สึกให้วางเฉยก็จะผิดปกตินะ แต่ถ้าปล่อยจิตให้ไปตามความคิดที่เรียกว่า เพ้อเจ้อไปเรื่อยๆ ก็ฟุ้งซ่านได้ทีเดียว ก็เอาแต่พอกลางๆ แค่เพียงว่ารู้สึกที่ดี ถ้าคิดในเชิงบวก (Positive  thinking) ขอฝรั่งจ๊าหน่อยนะ....ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาตั้ง 27 ปี ไม่เคยประสบ เมื่อพบกับสิ่งที่ดีก็ขอให้รักษาสิ่งนั้นให้อยู่กับเรานานๆ เรียกว่า  ได้พบประสบการณ์ที่ใหม่ๆ ก็ค่อยๆ ศีกษานั้นอย่างชาญฉลาด ให้ใช้การมองแบบที่เรียกว่า มองตาให้ทะลุถึงใจ มีเวลาให้เป็นประโยชน์ ใช้ให้มันถูกต้อง อย่าให้ผ่านไปเพียงเหมือนกับลมผ่านพัดเย็นเพียงชั่วคราว เพราะเวลานั้นเราเพียงแค่รู้สึกว่าพอใจ และเมื่อผ่านพ้นไปแล้วก็จะกลับมาอยู่ตัวเองเหมือนเดิม คงเหลือแต่ความรู้สึกที่ได้รับในช่วงเวลาที่ลมพัดผ่านมา :58: :58:
           จริงแล้ว...สิ่งที่กล่าวมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกทั้งสิ้น มีทั้งสุข ทุกข์ สมหวัง ไม่สมหวัง เปลี่ยนไปตามสภาวะ จะยึดติดไปทำไม เราไม่สามารถให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นคงอยู่ได้ตลอดไป เสียเวลาเปล่าประโยชน์ที่จะรอให้เกิดสภาวะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง สมหวังบ้าง และไม่สมหวังบ้าง  เอาเวลาที่เสียไปมาศึกษาธรรมชาติที่แท้จริงของสภาวะจิตใจจะดีกว่า  เพราะทุกๆ คนมีเวลาที่เท่ากัน 24 ชม./วัน แต่มีใครบ้างจะใช้เวลาดังกล่าวที่ได้ใช้ไปเพื่อประโยชน์ของเราอย่างแท้จริง นะ......

           

           
75  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: จะไปปฏิบัติ ที่ศูนย์ต้องอย่างไร คะ เมื่อ: มกราคม 11, 2010, 03:11:17 pm
ขอเชิญชวนผู้สนใจในการปฏิบัติธรรม รวมกลุ่มกันเข้ามาเพื่อที่จะได้มีเพื่อนในการเดินทางมาปฏิบัติ และน่าดีใจจัง..
เพราะที่ ศูนย์กรรมฐานวัดแก่งขนุน สถานที่ปฏิบัติสะดวกแก่ผู้ใฝ่ในธรรม ถ้ามีอะไรที่พอจะช่วยได้ ก็จะเข้าไปร่วมในการปฏิบัติด้วย ขออนุโมทนาสำหรับผู้ใฝ่ปฏิบัติธรรม
76  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: แฟนไม่ยอมคุยด้วย เมื่อ: มกราคม 11, 2010, 02:47:32 pm
    การง้อที่ไม่ให้เสียความเป็นกุลสตรี  ก็หาเรื่องชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องธรรมะ การปฏิบัติธรรมและ ก็ชวนกันปฏิบัติธรรมที่วัดแก่งขนุน เห็นมั้ย ไม่เห็นจะยากอะไรเลย จะได้ใช้เวลาในการเดินทางด้วยกัน มีอะไรก็จะได้คุยแก้ปัญหากันไป สิ่งสำคัญที่จะได้ก็คือ  การปฏิบัติธรรม  และจะได้รู้จักวัดแก่งขนุนด้วย
77  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ภาพระหว่างการขึ้นกรรมฐาน เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2009, 11:48:37 am
ภาพหลวงปู่ปรับปรุงได้แล้ว มีม่านใหม่แล้วออกจะสวยช่วยกรุณาปรับปรุงด่วน
78  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / Re: รุกขเทวดามากราบนมัสการ พระอาจารย์สุก เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2009, 11:43:54 am
ภาพสีสวยจังเลย แต่อยากได้เสียงอ่านจากข้อ

ความบ้างนะ เพราะเวลาทำงานจะได้ฟังไม่มีเวลาอ่าน ขอบคุณ ::) :o :angel:ล่วงหน้าเลย เพราะ

บางทีทำงานกับตัวเลขนานๆ ฟังเรื่องธรรมะแล้วสบายใจดี 
79  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: รบกวนลูกศิษย์พระอาจารย์นะครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2009, 11:34:54 am
ทำไมเลือก Font และ สี ต่าง ๆ ไม่แสดงให้เห็นเลย ต้องส่งข้อความก่อนจึงจะแสดง ทำให้แบบที่เลือก

ไม่รู้ว่ารูปแบบเป็นอย่างไร ? กรุณาช่วยดูให้หน่อยนะ จะได้รูปแบบก่อนที่ส่งว่าสวยหรือไม่


และบางทีเผลอลบรายการข้อความไป เรียกข้อความที่ถูกลบไปโดยการทำ undo ไม่ได้ จะทำอย่างไร
80  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / Re: เอกสารที่ใช้ในการฝึกมัชฌิมา กรรมฐาน เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2009, 11:28:24 am
เข้าคืบ เข้าสับ ปิติ ๕,คาถาจุดเทียนไชย...คู่มือสมถะวิปัสสนากรรมฐาน,หาอ่านได้ที่ไหน? มีลงในweb หรือเปล่า?

ถ้ามี Link web ที่ข้อมูลตัวหนังสือเพื่อเข้าไปอ่านได้ อ๊ะ ป่าว ??? จักขอบคุณ
หน้า: 1 [2] 3