ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไพร่ ไม่มีสิทธิ์อยู่เรือนไทย เพราะเป็นเรือนของเจ้าขุนมูลนาย  (อ่าน 2737 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
เรือนไทย เป็นที่อยู่ของเจ้าขุนมูลนาย ไม่ใช่ของไพร่บ้านพลเมือง (ภาพเรือนไทยตัวอย่างที่คุ้มขุนแผน อยุธยา จาก www.wikalenda.com)


ไพร่บ้านคนจนเมือง ไม่มีสิทธิ์อยู่เรือนไทย เพราะเป็นเรือนของเจ้าขุนมูลนาย ขี้ข้าอยู่เรือนไทยมีความผิด

กระท่อม, กระต๊อบ, เรือนไม้ไผ่ใกล้สับปะรังเค เป็นที่อยู่อาศัยของคนยุคดั้งเดิมดึกบรรพ์ ราว 3,000 ปีมาแล้ว และของไพร่บ้านพลเมือง หรือชุมชนคนจนเมือง มีหลักฐานตรงๆ ในยุคอยุธยา ล่าสุดคือชุมชนป้อมมหากาฬ กรุงเทพฯ

เรือนไทยเป็นของเจ้าขุนมูลนาย ไม่ใช่ของสามัญชน

เรือนไทย เป็นที่รู้และเข้าใจคลาดเคลื่อนทั่วกันมานานมาก ว่าเป็นเรือนของคนไทยชาวบ้านทั่วไปอยู่อาศัยมาแต่ดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ เรือนไทยในที่นี้หมายถึงเรือนมีใต้ถุน มีฝากระดานและมีหลังคาหน้าจั่วแหลมและโค้งเหมือนหลังคาโบสถ์วิหาร

บางกลุ่มอาจบ้าคลั่งหนักข้อว่าเรือนไทยเป็นของคนไทยมาตั้งแต่อยู่เทือกเขาอัลไต จนถึงอาณาจักรน่านเจ้า แล้วเข้าสู่ยุคสุโขทัย ราชธานีแห่งแรกของไทย แต่แท้จริงแล้วไม่เป็นอย่างนั้น

เรือนไทย เป็นเรือนของเจ้าขุนมูลนายผู้มีศักดิ์ ไม่ใช่เรือนของสามัญชนทั่วไปที่ล้วนเป็นไพร่บ้านพลเมือง สามัญชนไพร่บ้านพลเมือง ถ้าปลูกเรือนไทยอยู่อาศัยต้องรับโทษ ถูกข้อหาทำเทียมเจ้านาย อาจถูกตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร

ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยไม่มีสังคมและชุมชน จึงไม่มีเรื่องราวความเป็นมาของบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของไพร่บ้านพลเมือง หรือชุมชนคนจนเมือง คนชั้นนำกับคนชั้นกลางทุกวันนี้จึงบิดเบือนใส่ร้ายไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ ทั้งๆ เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์สังคมชุมชนคนจนเมืองเหลือแห่งเดียวในกรุงเทพฯ และในไทย


 :sign0144: :sign0144: :sign0144:

เครื่องผูก, เครื่องสับ

เรือนของคนไทยชาวสยามเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้ด้านแปหรือด้านข้างเป็นหน้า-หลังเรือน (แตกต่างจากเรือนมอญ) สมัยก่อนแบ่งเรือนเป็น 2 อย่าง คือ เรือนเครื่องผูกกับเรือนเครื่องสับ เรือนเครื่องผูก คือเรือนที่สร้างด้วยไม้ไผ่ล้วนๆ และโครงร่างใช้หวายหรือตอกผูกมัดกันทั้งสิ้น

หลังคามุงด้วยใบ้ไม้ประเภทกรอง (หญ้า) คา หรือมุงใบจาก ใบกระท่อม และใบไม้อื่นๆ เรียกง่ายๆ เข้าใจกันง่ายๆ ว่า กระท่อม หรือกระต๊อบ

เรือนเครื่องผูกคงมีมาก่อนเรือนเครื่องสับ เรื่องนี้ “เสฐียรโกเศศ” อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง “ปลูกเรือน” ว่า เพราะในภาษาไทยมีคำพูดติดปากอยู่คำหนึ่ง คือคำว่า “ตกฟาก” หมายถึงเวลาเด็กคลอดออกจากครรภ์มารดาลงมาสู่พ้นเรือนซึ่งเป็นฟากไม้ไผ่

ฟาก เป็นชื่อเรียกไม้ไผ่ผ่าสอง แล้วทุบให้แตกผ่าราบ ใช้ปูเป็นพื้นเรือนเครื่องผูกมาแต่ยุคแรกเริ่มดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ ฉะนั้นจึงมีคำว่า “ตกฟาก” เหลืออยู่ในภาษาปาก

นอกจากนั้นทรงหลังคาเรือนฝากระดานสมัยก่อนจะงอนอ่อนช้อย สะบัดขึ้นน้อยๆ แสดงว่าสร้างเลียนแบบเรือนเครื่องผูกที่ใช้ลำไม้ไผ่ ทั้งลำเป็นโครงหลังคา สันหลังคาจึงแอ่นและงอนอ่อนช้อย จึงเป็นร่องรอยว่าเรือนเครื่องผูกมีมาก่อนเรือนเครื่องสับ

ชาวบ้านทั่วไปอยู่ “กระท่อม” เรือนเครื่องผูกพื้นฟากไม้ไผ่ ดัง ลา ลูแบร์ บันทึกว่า “ที่อยู่อาศัยของชาวสยามนั้นเป็นเรือนหลังย่อมๆ…พื้นเรือนนั้นก็ใช้ไม้ไผ่มาสับเป็นฟากและเรียงไว้ไม่ค่อยถี่นัก แล้วยังจักตอกขัดแตะเป็นฝาและใช้เป็นเครื่องบนหลังคาเสร็จไปในตัว”


[ลายเส้นจากหนังสือ สารานุกรมไทย เล่ม 20 โดย อุทัย สินธุสาร พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ. 2521 หน้า 3837]


แต่เรือนทุกหลังไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เช่น พื้นไม่จำเป็นต้องเป็นฟากไม้ไผ่ จะใช้ต้นหมากก็ได้ บันทึกจีนชื่อหม่าฮวน จดว่าเรือนของชาวสยามยุคอยุธยาใช้ต้นหมากผ่าออกเป็นแผ่นยาวๆ อย่างซีกไม้ไผ่เอามาเรียงชิดกัน แล้วผูกอย่างแน่นหนาด้วยหวาย ปูทับด้วยเสื่อหวาย หรือเสื่อลำแพนทำจากตอกไม้ไผ่

เรือนเครื่องสับ คือเรือนที่สร้างด้วยไม้จริง แม้จะมีไม้ไผ่เป็นเครื่องประกอบบ้าง ก็ยังคงเรียกเรือนเครื่องสับ การประกอบเรือนแบบนี้ต้องใช้มีดขวานสับบากเข้าปาก เข้าเดือย เจาะตรึงหมุดตัวไม้ ไม่มีตะปู เรือนเครื่องสับยังมีชื่อเรียกอื่นๆ ตามวัตถุที่ใช้เป็นเครื่องกั้นฝา เช่น เรือนกั้นด้วยไม้ไผ่ผ่าเป็นซี่แล้วสานขัดกันเรียกเรือนฝาขัดแตะ หรือเรือนมีฝา ถ้ากรุด้วยกระแชงอ่อนเรียกเรือนฝากระแชงอ่อน เรือนที่ปลูกสร้างด้วยไม้จริงล้วนๆ ใช้ไม้กระดานเป็นฝาเรียกเรือนฝากระดาน ซึ่งนับเป็นเรือนชั้นดีที่สุด

     สรุปว่าเรือนเครื่องสับก็คือสิ่งที่เรียกกันทุกวันนี้ว่า เรือนไทย เป็นที่อยู่ของเจ้าขุนมูลนาย ดังที่ลา ลูแบร์ มีบันทึกว่า
     “ขุนนางผู้ใหญ่แห่งราชสำนักอยู่เรือนไม้ทั้งหลัง กล่าวได้ว่ารูปร่างดังตู้ใบใหญ่ๆ แต่ในเรือนหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะเจ้าบ้าน ภรรยาหลวงกับบุตรธิดาของตนเท่านั้น ส่วนภรรยาน้อยคนอื่นๆ กับบุตรธิดาของตน ทาสแต่ละคนในครอบครัว มีเรือนหลังเล็กๆ แยกกันอยู่ต่างหากจากกัน แต่หากอยู่ภายในวงล้อมรั้วไม้ไผ่ร่วมกับเรือนเจ้าของบ้าน มาตรว่าจะแยกกันออกไปเป็นหลายครัวก็ตาม”


      ขี้ข้าถ้าริอยู่เรือนไทยอาจหัวขาด



บทความของ สุจิตต์ วงษ์เทศ
ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.matichon.co.th/news/307775
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 11, 2016, 07:24:37 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Hero

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 557
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เรื่อง ไพร่ ได้ยินแต่ชาวเสื้อแดง พูดกัน

ปัจจุบัน ระบบ ไพร่ ไม่มีตั้งแต่ ยุค ร5 ฝังใจกันไปก็ไม่มีประโยชน์

   พวกคอมมิวนิสต์ จะมีหลักการ คือความเท่ากัน ในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นใคร  จะเป็น พ่อ หรือ แม่ พี่ น้อง เพือ่น ถ้าอยู่ด้วยกัน ก็เสมอกัน ได้เท่ากัน ( ไม่จริง )  เพราะอย่างไร คนเราไม่กินก็ไมเท่ากัน ตัวก็ไม่เท่ากัน สุดท้ายคนออกคำสั่ง ก็เป็นแต่ผู้ออกคำสั่ง เท่านั้น ไม่ได้ไปช่วย ไม่ว่า ระบบไหน มันก็ต้องมี คนถูกใช้ กับ คนที่ใช้   

     คนถูกใช้ ก็เรียกว่า ไพร่ ( ถ้าเป็นกองกำลังเยอะมากตั้งแต่ 5 คน ก็เติมคำว่า พล ) เป็น ไพร่พล
    ส่วนคนที่ใช้ ก็เรียกว่า นาย ถ้ามีกองกำลังเกิน 5 คน ก็เรียกว่า เจ้านาย ( ไม่ได้หมายถึงความเป็นกษัตริย์ )

    ระบบพวกนี้ จะเรียกให้สวยหรู ในปัจจุบัน

    ก็คือ ลูกพี่ ( เจ้านาย ) ลูกน้อง ( คนรับจ้าง )
    อันนี้พูดกันในสังคม ระบบนอกครัวเรือน

    แต่ถ้าเป็น ครัวเรือน แล้ว ก็เรียกกันให้ หรูหน่อย
      ผัว  เมีย  ลูก หลาน
    ระบบปกครอง ก็ต้องไปตามลำดับชั้น ตั้งแต่ ทวด ลงมา มันก็เป็นระบบเดียวกัน

    แต่เพราะว่า คนเรามีสติปัญญา แตกต่างกันไป มันจึงมีการ ปีนเกลียว ที่เรียกว่า โลกาภิวัฒน์ เพื่อให้เข้ากับตน ไม่ได้เข้ากับสังคมอะไรทั้งนั้น แต่มีเพื่อ เอื้อประโยชน์ แก่ตนเอง ที่ไหน ๆ ก็เป็นอย่างนี้ ทั้งนั้นจะอ้างอะไร เพือ่ผลประโยชน์ ทุกวันนี้ผมไม่เชื่อเรื่องการเมือง ใครบอกมาช่วยประเทศชาติ ไม่มีจริงหรอก มันก็ต้องหาผลประโยชน์ แต่จะน่าเกลียดเกินไปไหม นั่นแหละ

 :49:


   

บันทึกการเข้า
ทำไมต้องมีอินทรีแดง เพราะสังคมเราบางครั้งก็ตาบอด
ปล่อยให้คนดี เดือดร้อน ดังนั้นจึงต้องมีผู้ปกป้องคนดี
hero ไม่ได้มีแต่ในหนังเท่านั้น นะครับ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
   มีไพร่มีนาย     มีควายเฆี่ยนตี
แม้นนายอัปรีย์     ไพร่ดีก็จม.   
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ได้ความรู้ครับ และก็ได้ทราบประวัติศาสตร์
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา