ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - nippan55
หน้า: [1] 2
1  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เป็นเพียง ข้อความแสดง ความคิดเห็น การสนทนา เป็นเรื่องปกติ จะเห็นด้วยหรือไม่.... เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 05:43:54 pm
ส้มตำจานเด็ด อร่อย นะ แต่ เผ็ด กินก็เหงื่อแตก ถ่ายก็แสบตูด แต่มันอร่อย ใช่ไหม่ ละ 

เป็นเพียง ข้อความแสดง ความคิดเห็น การสนทนา เป็นเรื่องปกติ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เป็น สิทธิ์ แต่ละท่านแต่ชาวธรรม ต้องช่วยกันเตือนในสิ่งที่ถูกต้อง นะครับ

   สำหรับกระทู้นี้ เริ่มต้น ดี คือนำธรรม ของครูอาจารย์ครูบาเพชร มานำเสนอ

   แต่ต่อมาก็เกิดธรรมวิจารณ์ โดยคุณ aaaa ในแนวทางกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ
 
   และต่อมา คุณ nirvanar55 ก็มากล่าวคำปรามาส ครูอาจารย์ คือ ( พระสนธยา ) ซึ่งมีการใช้วาจา เหน็บแนมเสียดตรง แบบเสียมารยาท ซึ่งถึงแม้คนธรรมดาเองก็ยังไม่สนทนาแบบ นี้ แต่เป็นไปตามวิสัย ของผู้ถามเนื่องด้วย ต้องการหยั่งเชิง ศิษย์กรรมฐาน พระสนธยา และ พระสนธยษ โดยตรงว่าจะตอบโต้อย่างไร มีกระทู้ที่นำเหตุนี้ 2 - 3 กระทู้ เหมือนท้าทาย ประมาณนั้น

   มีผู้มากล่าวเตือนคือคุณ นักเดินทาง และหลาย ๆ ท่าน และคนเข้าอ่าน ที่ไม่อยากยุ่ง เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของเรา เหมือนผมก็เช่นกัน คิดวา เขาไม่ได้ด่าเราสักหน่อย เขาด่าแค่ครูอาจารย์ ก็ปล่อยไป

   และมาถึงท่าน Admax ก็ออกมามองในแง่มุม รวม ๆ ท้ายที่สุดก็ขอให้จบแบบ อุเบกขา ผมอ่านมาแล้ว หลายวันกระทู้นี้

     เรื่องแรก ก็คือ ทุกท่านมองข้ามเรื่อง มารยาทในการโพสต์ โดยเฉพาะเมื่อเราไปบ้านใคร ไปยืนด่าเขาหน้าบ้าน นอกบ้าน พูดจาเป็นขวานผ่าซาก อะไรประมาณนี้ ในบ้านเขา ผมว่า มารยาทคนไทย ( ไม่ต้องพูดถึงเรื่องธรรม ) คุณ Nirvanar55 ก็ผิดเต็มประตูอยู่แล้ว

     เรื่องที่สอง คือ หลักธรรม เป็นสากล ก็จริงอยู่การปฏิบัติกรรมฐาน โดยเฉพาะ พรหมวิหาร 4 ให้เริ่มเป็นลำดับ คือเริ่มตังแต่ เมตตา  ไป กรุณา ไป มุทิตา ถึงจะเป็น อุเบกขา แต่ในที่นี้ ท่านต้องการให้เป็นอุเบกขา เลยนั้นไม่ถูก คำพูด ครูอาจารย์ท่านก็สอนเสมอ   ปล่อยวาง  วางเฉย ละทิ้ง นั้นควรจะทำเมือเราทำไม่ได้แล้ว สิ้นสุดความพยายามทุกอย่ราง จึงค่อยไป สู่ อุเบกขา

      ดังนั้นการพูดคุยกันทางธรรม ย่อมดีกว่า นิ่ง  เพราะ นิ่ง มีสองอย่าง คือ รับ กับ ปฏิเสธิ

      แต่เรื่องนี้ แน่ละ ครูอาจารย์ออกมาตอบเองไม่ได้ แน่นอน เพราะจะถูกมองว่าเป็นการแก้ตัว แก้ต่าง ซึ่งเข้าทางผู้ถามแบบนั้น จึงมีแต่เราซึงเป็นผู้เรียนธรรม ที่นี่ช่วยกันแสดงความคิดเห็น ที่ถูกต้องลงไป

      เพื่อให้เกิดความเข้าใจ .....

       :s_hi:
2  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: อนุโมทนา กับ คุณตันติกร ตรีบงกช และ ครอบครัวที่สนับสนุน Harddisk สถานีวิทยุRDN เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 05:28:25 pm
 st11 st12 thk56
3  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เมื่อเราปฏิบัติ กรรมฐาน ภาวนาไป แล้ว รู้สึกว่า ใจหยุด กายหยุด และอยู่นิ่ง ๆ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2013, 11:04:32 am
อุปกิเลส (ธรรมเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัว) มีด้วยกัน ๑๖ ประการ คือ

๑.อภิชฌาวิสมโลภะ (คิดเพ่งเล็งอยากได้ โลภไม่สมควร, โลภกล้า จ้องจะเอา ไม่เลือกควรไม่ควร)

๒.พยาบาท (คิดร้ายเขา)                             

๓.โกธะ (ความโกรธ

๔.อุปนาหะ (ความผูกโกรธ)

๕.มักขะ (ความลบหลู่คุณท่าน, ความหลู่ความดีของผู้อื่น, การลบล้างปิดซ่อนคุณค่าความดีของผู้อื่น)

๖.ปลาสะ (ความตีเสมอ, ยกตัวเทียมท่าน, เอาตัวขึ้นตั้งขวางไว้ ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน)

๗.อิสสา (ความริษยา)

๘.มัจฉริยะ (ความตระหนี่)

๙.มายา (มารยา)

๑๐.สาเถยยะ (ความโอ้อวดหลอกเขา, หลอกด้วยคำโอ้อวด)

๑๑.ถัมภะ (ความหัวดื้อ, กระด้าง)

๑๒.สารัมภะ (ความแข่งดี, ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะกัน)

๑๓.มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน)

๑๔.อติมานะ (ความถือตัวว่ายิ่งกว่าเขา, ดูหมิ่นเขา)

๑๕.มทะ (ความมัวเมา)

๑๖.ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเล่อ)


 
4  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระธรรมะย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2013, 12:16:26 am
ธมฺ โมหเว รักขติ ธรรมจารึ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ

แปลว่าพระธรรมะย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ธรรมที่ที่ผู้ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ ดังนี้



       พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ว่า ไม่ควรเชื่อมงคลตื่นข่าว มงคลตื่นข่าวนี้คือ เล่าลือกันมา นับถือกันมาโดยลำดับ แต่แล้วเมื่อ พิสูจน์หาความจริงน่ะไม่พบ เป็นแต่ข่าวลือ ข่าวลือว่าเจ้าองค์บุญเกิดขึ้นที่นั้นที่นี้ ผู้วิเศษเกิด ขึ้นที่นั้นที่นี้ แม้เป็นเด็กน้อยก็ยังถือว่าเป็นผู้วิเศษ พากันไปกราบไปไหว้ ไปขอพร ขอให้เด็กน้อยนั้นอวยชัยให้พร แต่ก่อนนี้น่ะมี แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่า จะห่างๆ ไป ก็เด็กน้อยนั้นมันจะรู้อะไร แต่เมื่อมีหมอโหรหรือหมออะไร ทำนายว่าเด็กคนนี้มีบุญนะ สามารถที่จะ อวยชัยให้พรแก่คนร่ำรวยมั่งมีได้ พอได้ยินหมอดูหมอเดาเขาพยากรณ์อย่างนี้นะ ก็หลั่งไหลกันไป ขอลาภขอยศอะไรต่ออะไร กันมากมาย อันนี้แหละเรียกว่ามงคลตื่นข่าว


เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าไปตื่นเต้นกัน ไอ้กาย วาจา ใจ ของเรานี่นะ อันนี้เป็นบ่อเกิดแห่งบุญแห่งบาป ขอให้เข้าใจอย่างนั้น ความจริงน่ะเราได้ อัตตภาพร่างกายนี้มาโดยสมบูรณ์ ไม่บ้า ไม่หนวก ไม่บอด อวัยวะทุกส่วนสมบูรณ์ บริบูรณ์ดี อันนี้ได้มาด้วยบุญ เราทำบุญให้ทาน รักษาศีล ไม่เบียดเบียนคนอื่น สัตว์อื่นมาแต่ชาติก่อน บุญเหล่านั้นนำมาปฏิสนธิในท้องของมารดา อาศัยธาตุของ มารดา บิดา อยู่ แล้วบุญกุศลที่ทำมาแต่ก่อนนั้นแหนะ ก็มาตกแต่งตาหู จมูกลิ้นกาย อวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆ ให้ ไม่พิกลพิการอะไรเลย อย่างนี้นะ นี้ละบุญนะ บุญตกแต่ง ให้ ให้พากันภาคภูมิใจว่าเราได้ อัตภาพร่างกาย คือว่าธาตุสี่ขันธ์ห้านี้มาด้วยบุญ แล้วเราก็อาศัยธาตุสี่ขันธ์ห้านี้แหละ สร้างบุญสร้างกุศล ไม่ทำบาปบาปไม่เอา


เมื่อเรามีทุน เหมือนอย่างพ่อค้า พาณิชย์ต่างๆ หาเงินหาทองเป็นก้อนโตขึ้นมาแล้ว ก็เปิดร้านขายของ ซื้อสินค้ามาขาย ก็ร่ำรวยขึ้นมา อันนี้ฉันใดก็อย่างนั้นน่ะ เรามีกาย วาจาใจอันนี้ โดยอำนาจบุญกุศลตกแต่งให้แล้วเช่นนี้ เราก็อาศัยกายวาจาใจนี้แหละสร้างบุญกุศล ใหม่สืบต่อ ถ้าหากว่าเราไม่มีกายวาจานี้ จิตก็ไม่มีที่อาศัย ก็ไม่ได้สร้างบุญกุศล ขอให้เข้าใจ


แต่คนส่วนมาก ไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ระหว่างบุญกับบาป เจอบุญก็ทำบุญเข้าไป บาปก็ทำบาปเข้าไป อย่างนี้นะไม่ถูกต้อง พระศาสดาทรงสอนให้ เลือก ไอ้อันใดเป็นบุญกุศลทรงสอนให้ทำ สิ่งใดเป็นบาปเป็นโทษทรงสอนให้ ละ เป็นอย่างงั้นเพราะฉะนั้น พวกเราเป็นชาวพุทธนะขอให้พากัน คัดเลือก เพราะเรื่องบาปกับบุญหรือว่าดีกับชั่ว เป็นคู่ขนานกันเลย ถ้าบุคคลไม่เลือกแล้วก็อย่างว่านั้นแหนะ ได้ทั้งสองอย่าง ได้ทั้งบุญได้ทั้งบาป เป็นอย่างงั้น


พวกเราชาวพุทธควรใช้ปัญญา เหมือนอย่างที่เราไปซื้อของในร้าน ขายของเค้าอย่างเงี้ยะ จู่ๆ เราเห็นอันใดจะซื้อเอาอันนั้นเลยไม่มีน่ะ คนมีปัญญาเข้าไปในร้านขายของแล้วต้องเลือก ต้องเลือกว่าของอันใดที่ควรซื้อ เอาที่มันไม่เสียไม่หาย ก็ต้องเลือกแล้วเลือกเล่า เห็นว่าสินค้าอันนี้บริสุทธิ์ไม่มีด่างไม่มีพร้อย ไม่มีเสียหายก็จึงซื้อเอา


อันนี้ฉันใดก็อย่างนั้นน่ะ ไอ้การกระทำความดีความชั่วทั้งหลายนี่ ผู้มีปัญญาก็ต้องเลือก เลือกตามที่พระพุทธเจ้าทรง แสดงไว้ว่าอย่างนี้ไม่ควรทำนะ ควรละอย่างนี้นะ พระองค์แสดงไว้แล้ว เราศึกษารู้แล้วเราก็ไม่ทำ ไม่ทำตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ ทรงห้ามไว้ ทรงสอนให้พุทธบริษัทให้เลือก เลือกการกระทำความดี ทิ้งความชั่ว อันนี้เป็นจุดสำคัญ


ฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธขอให้เลือก การงานที่ทำ คำพูดที่พูด เหล่านี้เราต้องเลือก เลือกทำให้ตรงกับที่พระพุทธองค์ ทรงอนุญาต เว้นในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม ก็สิ่งที่พระองค์ทรงห้ามก็มีอยู่ห้าอย่าง ไอ้ส่วนสำคัญนะ ส่วนปลีกย่อยก็มีมากกว่านั้น เราก็คงรู้กันดีอยู่แล้ว การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม กล่าวมุสาวาท ดื่มสุราเมรัย กัญชา ยาฝิ่นเฮโรอีน ห้าประการนี้ เป็นข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ ทรงรู้แจ้งว่า การล่วงละเมิดในข้อห้ามห้าประการนี้มันเป็น บาปเป็นโทษ มันนำทุกข์มาให้ทั้งในปัจจุบันและเบื้องหน้า และชาติหน้าต่อไป



นี่แหละกล่าวโดยสรุปใจความแล้วว่า การละความชั่ว การทำความดี ให้เกิดมีขึ้นในตน การชำระจิตใจที่เศร้าหมองด้วยบาปอกุศลให้ระงับดับไป และให้ใจเบิกบานผ่องใส อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่บังเกิดมาในโลกนี้ ที่ล่วงแล้วมา พุทธเจ้ามาบังเกิดในโลกนี้นับไม่ถ้วนนะ เท่าเม็ดหินเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรเลย พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ พุทธเจ้าทุกพระองค์ มาตรัสรู้ในโลกแล้วก็ทรงสั่งสอน ให้โอวาทย่อๆ แก่ พุทธศาสนิกชนสามข้อนี้เองนะ


หนึ่งให้เว้นจากความชั่วห้าอย่างดังกล่าวมาแล้วนั้นนะ หรือเบ็ดเตล็ดอีก สองให้บำเพ็ญกุศลคุณงามความดีให้เกิดมีขึ้นในตน ได้แก่การสำรวมกายวาจาใจ ให้บริสุทธิ์จากบาป จากโทษ การบำเพ็ญทางจิตใจ ชำระใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส อันนี้ก็เพราะเหตุว่า ใจนั้นเป็นใหญ่เป็นประธาน ของบุญและบาป บุคคลจะทำบุญกุศลได้ก็เพราะใจชอบบุญ บุคคลจะทำบาปได้ก็เพราะชอบบาป อย่างเช่นจะดื่มเหล้าเมาสุรา อันนี้ ก็เพราะใจมันชอบ ถ้าใจไม่ชอบแล้วมันก็ไม่ดื่มเหล้าเมาสุรา กัญชายาฝิ่น เฮโรอีน ดังนั้นน่ะ พระองค์เจ้าจึงได้ทรงสั่งสอนให้คนเรามีความพากเพียรพยายาม ชำระจิตใจที่มัวหมองให้ผ่องใส เมื่อละบาปเมื่อบาประงับไปจากจิตใจแล้ว จิตใจก็ย่อมจะผ่องใสเป็นธรรมดานี้ แล้วบุญกุศลก็ย่อมเกิดขึ้น


เช่นอย่างว่า เมื่อละความโลภ ไม่โลภไม่แย่งไม่ชิง ไม่หลอกลวง เอาของผู้อื่นมาเป็นของตน ถือ สนฺตุฏฺฐี ตามมีตามได้ ตนหาได้ทางชอบศีลชอบธรรมอย่างไร ก็บริโภคใช้สอยอย่างนั้น เมื่อความโลภเหล่านี้ดับไปแล้ว ไอ้ความไม่โลภมันก็เกิดขึ้นในใจ คือยินดีตามมีตามได้อย่างว่านั้นนะนี้ ไอ้ความไม่โลภ อันนี้และท่านเรียกว่า เป็นกุศลธรรมส่วนหนึ่ง


แล้วความไม่โกรธได้แก่ ทรงสอนให้เจริญเมตตา ตั้งจิตอธิษฐานขอให้สัตว์ทั้งหลายเป็นสุข ทุกถ้วนหน้าอย่ามีเวรต่อกันและกันเลย อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ถ้าผู้ใดพยายามเจริญเมตตานี้บ่อยบ่อยเข้า ใจมันก็อ่อนโยนลง เอ็นดูสงสารมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ไม่คิดเบียดเบียน เมื่อเป็นเช่นนี้เมตตาธรรม กรุณาธรรม ก็ย่อมเกิดขึ้นในจิตใจ เมตตาธรรม กรุณาธรรมนั้นแหละเป็นตัวกุศล ความโกรธนั้นแหละเป็นตัวอกุศล ขอให้เข้าใจ


บัดนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พยายามละความหลงด้วยการภาวนา คนเราจะหลงก็เพราะความไม่รู้นั้นเองแหละ ไม่รู้ว่าการทำการพูดอย่างนี้มันเป็นบาปเป็นโทษ ไม่รู้แล้วก็ทำไปพูดไป เช่นนั้น บัดนี้เมื่อภาวนามีสติ ประคับประคองจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ภายใน รักษาจิตดวงนี้ให้ตั้งมั่นอยู่ในบุญในคุณ ตั้งมั่นอยู่ในคุณพระรัตนตรัยแก้วสามประการ ไม่หลงใหลไปเชื่อมงคลตื่นข่าว ดังที่ แสดงมาแล้วนั้น จิตใจมันก็หายหลงว่านี้ เพราะตื่นตัวรู้ตัวว่า เราทำดีย่อมได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เช่นนี้ก็เลยทำแต่ความดีความชั่วไม่เอา นี่เรียกว่าเป็นผู้ไม่ถือมงคลตื่นข่าว กลั่นเอาแต่ทำความดีด้วยกายวาจาใจ เอาแต่บุญกุศล เอาแต่ความดีเข้าไป ใส่ไว้ในกายวาจาใจของตนเสมอไป ความโลภก็ไม่มีที่จะไปโลภไปหลอกไปลวง ไปฉ้อไปโกงเอาสมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่เอา ตนหาได้เท่าใดโดยทางสุจริต ก็จะต้องใช้สอยเท่านั้น แหละ ความโกรธเมื่อเราเห็นโทษแห่งความโกรธแล้ว เราก็เจริญเมตตามากๆ เข้าไป เห็นจนมองเห็นศัตรูเป็นมิตร แต่ก่อนคนนี้เป็นศัตรูเรา ทะเลาะกันเบียดเบียนกัน แต่เมื่อเราเจริญเมตตามากเข้าแล้ว ไม่แล้วเราไม่ถือว่าคนนั้นเป็นศัตรู ถือว่าคนนั้นเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกัน


คำว่าเจริญเมตตาน่ะ ให้เกิดความรู้สึกในมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย อย่างนั้นจึงได้ผล จึงบรรเทาความโกรธ ความพยาบาท ออกจากจิตใจได้ การที่เราสดับตรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าบ่อยๆ อันนี้ก็เป็นเครื่องบรรเทาความหลง อย่างที่อาตมาได้แสดงให้ฟังมานี้นะ


ทางแห่งความหลงของมนุษย์เรานี่ ก็ได้แก่การถือมงคลตื่นข่าวดังกล่าวมาแล้วนั้น บัดนี้เราได้ยินได้ฟังแล้วเราก็ไม่ถือ เราไม่ไปหาหมอดูหมอเดา จะมีผู้โฆษณาว่า โอ๊ะหมอดูคนนี้เก่งนะ แม่นนะ พยากรณ์ถูกต้องดีนะ เราก็ไม่เอา เพราะว่า การพยากรณ์ตัวเองเนี่ย ก็พบว่าเป็นดีที่สุด เพราะตนเองทำดีตนเองก็รู้อยู่ ตนทำชั่วตนก็รู้จะไปให้ใครมาพยากรณ์ให้อยู่นั้น แม้ความเจ็บป่วยไข้ เหล่านี้มันก็เกิดด้วยเหตุสองประการ


ประการที่หนึ่งเกิดจากดินฟ้าอากาศ เกิดขึ้นมาแล้วเราก็มาเผชิญกับดินฟ้าอากาศแปรปรวน ร่างกายทานต่อดินฟ้าอากาศไม่ไหวก็เจ็บไข้ได้ป่วยลงไป ท้องร่วง ท้องเดิน หมู่นี้เราไปโรงพยาบาลซะ หมอให้ยา รักษาเข้าไปก็หาย นี่การเจ็บป่วยของคนเรานะ


ประการที่สองได้แก่กรรมเวรที่บุคคลผู้นั้นทำมาแต่ชาติก่อน ติดตามมา เมื่อมันได้จังหวะ ได้โอกาสมันก็ให้ผล ทำให้ร่างกายชำรุดทรุดโทรมไป มีโรคภัยอันร้ายแรงเบียดเบียน รักษาอย่างไรก็ไม่หาย อันนี้เราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นกรรมเวรในอดีตหนหลังที่เราทำมา มันตามมาให้ผล เพราะฉะนั้น เราไม่ควรที่จะไปเชื่อว่า ผีสางนางไม้อะไรต่ออะไรมาทำให้เจ็บให้ไข้ ให้ป่วยไม่มี เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วเราก็ปลงลงไป ไอ้เราทำกรรมชั่วมาแต่ก่อน กรรม ชั่วนั้นจึงตามมาสนองเรา จะไปให้ใครมารักษาให้ นอกจากว่าเราอธิษฐานใจ นับตั้งแต่ชาตินี้เป็นต้นไปเราจะไม่ทำกรรมชั่ว จะไม่เบียดเบียน ใครต่อใครเลย ด้วยความสัตย์ความจริงนี้ขอให้กรรมเวรทั้งหลายจงเบาบางไป จากร่างกายและจิตใจข้าพเจ้า นี่เราอธิษฐานอย่างนี้ทุกวันทุกคืนไป เมื่อหากว่าบาปกรรมเวรภัยเหล่านั้นมันไม่หนักหนา มันก็เบาไปเบาไป คนเราน่ะบาปกรรมบางอย่างมันให้ผลไปจนถึงวันตายโน่น เมื่อตายแล้วบาปกรรมนั้นจึงค่อยหมดไป ถ้ายังไม่ตายมันก็ให้ผลอยู่อย่างนั้นแหละ ทรมานอยู่อย่างนั้นแหละ


นี่เราต้องเรียนรู้ เราเป็นชาวพุทธนะอย่าไปเชื่อลมๆ แล้งๆ ไอ้ที่เขาโฆษณาชวนเชื่อกันดังกล่าวมาแล้วนั้น เนี่ยะเรามาฝึกจิตใจนี้ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เขาไปแล้วเชื่อกรรมเชื่อผลแห่งกรรม เชื่อว่าเราทำดีย่อมได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ผลแห่งกรรมดีคืออำนวยความสุขให้ เราทำกรรมดีในชาตินี้ กรรมดีนี้มันก็จะติดตามอำนวยผล ให้มีความสุขในชาติหน้า เราทำกรรมชั่วมาแต่ชาติก่อน กรรมชั่วจะตามมาให้ผลในชาติปัจจุบันนี้ เราจะถึงซึ่งความวิบัติ ความเสื่อมแห่งชีวิตหรือทรัพย์สินเงินทอง ไอ้ที่เราวิบัติ ถึงตัววิบัติอย่างว่านี้ หมอดูหมอเดาเขาจะต้องว่าเป็นเคราะห์ เป็นเข็ญ เกี่ยวกับชะตาราศีไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากกรรมเวรที่ตนทำมาแต่ก่อน ตนเบียดเบียนสัตว์ทรมานสัตว์ ให้เป็นทุกข์เดือดร้อนจนกว่าจะตายอย่างนี้นะ นั่นแหละ กรรมเวรนั้นน่ะตามมาสนอง


พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งแทงตลอดแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อพุทธบริษัทได้ สดับตรับฟังดังกล่าวมานี้แล้วขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ ปฏิบัติตามพุทธภาษิต ที่ยกขึ้นเบื้องต้นนั้นว่า ธมฺ โมหเว รักขติ ธรรมจารึ พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว นี่เรียกว่าเราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธ ดังแสดงมา แล้วนั้นน่ะ เมื่อปฏิบัติเลือกทำแต่กรรมดี กรรมชั่วไม่เอา ผลแห่งกรรมดีที่เราปฏิบัติเราบำเพ็ญมา มันก็อำนวยความสุขความเจริญ ให้


ในพุทธภาษิตตอนสุดท้าย ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ ธรรมที่ผู้ประพฤติดีแล้วย่อนำสุขมาให้ หมายถึงสุขจิตสุขใจ ส่วนร่างกายนี่มันไม่ เที่ยงเราจะบำรุงอย่างไร อย่างไรมันก็ต้องทรุดโทรม อยู่นั่นแหละ ส่วนจิตใจนี่เราบำรุงด้วยบุญ ด้วยกุศล ด้วยคุณธรรมอันดีอันงาม ย่อมมีความสุขความสงบ เบิกบานทั้งกลางวันและกลางคืน ดังแสดงมา เอวังก็มีด้วยประการะฉะนี้

--------------

ตัดมาบางส่วนจากคำเทศนา

โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

แห่ง วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

แสดงธรรมเทศนาที่บ้านลานทอง
10 สิงหาคม 2543

http://board.palungjit.com/f4/ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม-โดย-หลวงปู่เหรียญ-วรลาโภ-275750.html
5  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: พระอาจารย์ ตอนนี้อยู่ที่ไหน คะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2013, 12:10:02 am
 st11 st12

  ติดตามข่าวสารอยู่ครับ  thk56
6  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ท่านเคยพบ พระที่แสดงฤทธิ์ ได้ กี่องค์แล้วครับ มีจริงหรือไม่ครับ หรือเพีียงแต่เดา เมื่อ: มกราคม 25, 2013, 01:20:02 am

 ask1
ท่านเคยพบ พระที่แสดงฤทธิ์ ได้ กี่องค์แล้วครับ มีจริงหรือไม่ครับ หรือเพีียงแต่เดาเอาว่า น่าจะมีฤทธิ์ อย่างนี้เป็นอย่างนี้ และท่านก็หลงอยู่กับว่า ท่านมีฤทธิ์อย่างนี้

   ส่วนตัวผมไม่เชื่อว่า พระในปัจจุบันมีฤทธิ์ จริง ๆ นะครับ

  :smiley_confused1: :smiley_confused1: :smiley_confused1:
7  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เรียนถาม จุดยืน ในการภาวนา กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ จากท่านที่ภาวนาครับ เมื่อ: มกราคม 25, 2013, 01:17:51 am
 ask1

เรียนถาม จุดยืน ในการภาวนา กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ จากท่านที่ภาวนาครับ
ไมทราบ ว่าทุกท่านมีความมั่นใจ ในการภาวนา ตามแนวกรรมฐาน นี้ขนาดไหนครับ คิดว่าตัวท่านเองที่ภาวนากันอยู่นี้มั่นใจ หรือไม่ครับว่า จะสำเร็จ ธรรมเป็นพระอริยะได้ โดยที่ไม่ต้องไปเรียนฝึกกรรมฐาน อื่น ๆ กันอีกแล้ว

  ขอเสียงให้ความมั่นใจ กับคนที่ยังไม่มั่นใจ อย่างผมด้วยนะครับ

   thk56
8  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ท่านมั่นใจ ในครูอาจารย์ ที่สอนเรานั้น ไม่มีจิตแอบแฝงเรื่อง โลกียะได้อย่างไร เมื่อ: มกราคม 25, 2013, 01:14:17 am
 ask1
ท่านมั่นใจ ในครูอาจารย์ ที่สอนเรานั้น ไม่มีจิตแอบแฝงเรื่อง โลกียะได้อย่างไร  มีเหตุอะไรที่ทำให้มั่นใจว่า ครูอาจารย์ของท่าน นั้นไม่มีจิตแอบแฝง ทางโลก

   ยกตัวอย่าง พระสนธยา ธัมมะวังโส เลยครับ

   ท่านมั่นใจในส่วนของ พระรูปนี้ ได้ขนาดไหนที่จะเรียนกรรมฐาน ด้วย

 ต้องการถามความมั่นใจท่านที่เป็นศิษย์ ว่าครูอาจารย์ท่าน สอนท่านพ้นจากกิเลส หรือยังครับ ?

     thk56  ที่ตอบกันนะครับ และอยากให้ตอบ ด้วยครับเพราะผม ยังไม่มั่นใจในตัวท่านครับ เพราะเหตุยังไม่เคยพบท่าน หรือ สนทนาด้วยกัน

  thk56
9  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่ากรรมฐาน ที่เรากำลังเรียนอยู่นี้เป็นกรรมฐาน ที่ถูกต้อง.. เมื่อ: มกราคม 25, 2013, 01:10:43 am
เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่ากรรมฐาน ที่เรากำลังเรียนอยู่นี้เป็นกรรมฐาน ที่ถูกต้องตามอริยะมรรค ไม่ใช่เป็นการสอนกันเอง สอดแทรกความรู้ของครูผู้สอนในการแสดงความคิดของตนเองลงไป ในกรรมฐาน ที่สอน เพราะเดี๋ยวนี้ผมเห็นมีการสอนกรรมฐาน ในรูปแแบบที่แปลกจากแนว กรรมฐานทั้ง 40 กองมาก

   อย่างเช่น วิชชาธรรมกาย  มโนมยิทธิ  กรรมฐานหมุนจักร วิชาธรรมเปิดโลก ทั้งหมดนี้มันนอกออกจากตำราพระไตรปิฏก

   คือจะเรียนถามว่า เราจะตรวจสอบได้อย่างไร ว่าที่กำลังเรียน เป็นกรรมฐานที่ถูกต้อง ตามอริยะมรรค อริยะผล เพราะ ถ้าหากพลาดพลั้งกลายเป็นว่าไปเรียนกรรมฐาน ที่ตรงกันข้าม แล้วเราจะหลุดจากวัฏฏะสงสสารนี้ได้อย่างไร ครับ

   thk56
10  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เบื้องต้น ของกรรมฐาน คือการข่มจิต ใช่หรือไม่ครับ เมื่อ: มกราคม 25, 2013, 01:07:04 am
 ask1
เบื้องต้น ของกรรมฐาน คือการข่มจิต ใช่หรือไม่ครับ
  ถ้ากรรมฐาน เป็นการข่มจิต เรานึกถึงอะไร ก็ได้ ก็เป็นองค์กรรมฐาน ใช่หรือไม่ครับ

  เช่นนึกถึง งานที่กำลังทำอยู่ และตั้งใจทำงานตรงนั้น ประคองจิตข่มใจให้อยู่กับงานตรงนั้น อย่างนี้ก็เป็นกรรมฐานแล้วใช่หรือไม่ครับ

  ดังนั้น รูปแบบของกรรมฐาน จึงไม่ได้จำกัดที่อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง หรือ นอน แต่อยู่ที่เราใช้สภาวะข่มจิต ในขณะน้น ใช่หรือไม่ครับ

   thk56 รอคำตอบจากท่านผู้รู้ทุกท่าน นะครับ

 
11  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: แก้ไข เรื่อง Skin วิทยุ บังคับ โหลดไฟล์ บางอย่าง เมื่อ: มกราคม 20, 2013, 02:26:00 am
สาธุ ขอให้ Admin มีงานเข้า มีเงินใช้ ครับ

 thk56 st12
12  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน เมื่อ: มกราคม 11, 2013, 12:06:31 pm
 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
             อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
             กิมมิลสูตร
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

             [๓๑๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ -
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เวฬุวัน ใกล้พระนครกิมมิลา
             ครั้งนั้น ท่านพระกิมมิละได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
             ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า
             ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน
ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
             ดูกรกิมมิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรง
                    ในพระศาสดา
                    ในพระธรรม
                    ในพระสงฆ์
                    ในสิกขา
                    ในความไม่ประมาท
                    ในปฏิสันถาร
             ดูกรกิมมิละ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว

             กิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อะไร เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้นาน
ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ฯ
             พ. ดูกรกิมมิละ พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรง
                    ในพระศาสดา
                    ในพระธรรม
                    ในพระสงฆ์
                    ในสิกขา
                    ในความไม่ประมาท
                    ในการปฏิสันถาร
             ดูกรกิมมิละ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ฯ

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  บรรทัดที่ ๘๐๐๕ - ๘๐๒๒.  หน้าที่  ๓๕๐ - ๓๕๑.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=8005&Z=8022&pagebreak=0&bgc=whitesmoke
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=311&bgc=whitesmoke
13  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เหตุเกิดที่ BTS ถูกผิด ( ไม่ต้องวิจารณ์ ) เอาไว้เป็นอุทาหรณ์ เห็นตามเป็นจริงของ. เมื่อ: มกราคม 11, 2013, 11:34:48 am
เหตุเกิดที่ BTS ถูกผิด ( ไม่ต้องวิจารณ์ ) เอาไว้เป็นอุทาหรณ์ เห็นตามเป็นจริงของ สังคม วันนี้ครับ อย่างนี้ก็ยังมีอยู่ ใครถูก ใครผิด เราเพียงฟัง ถ้าคุณจะวิจารณ์ ก็อ่านที่เขาวิจารณ์ กัน youtube ก่อนนะครับ

 



  อ่านคำวิจารณ์ ที่ลิงก์ youtube เลยนะครับ เหตุเกิด 9 ม.ค. 56

 
14  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อะไร เรียกว่า การปฏิบัติ ธรรมแท้จริง ของพระพุทธศาสนา เมื่อ: มกราคม 11, 2013, 11:23:30 am
เวลาไปวัด ทุกคนก็บอกว่า ไปปฏิบัติธรรม แต่ ครั้นผมตามไปด้วย ที่ว่าปฏิบัติธรรม ก็แตกต่างกันไป คือ บางท่าน ก็ไปแค่ทำบุญใส่บาตร และก็นั่งคุยกัน บางท่านก็ไปสวดมนต์ แล้วก็นอน บางท่านก็ไปช่วยงานวัด ทำโน่น ทำนี่ แล้วก็กลับบ้าน สุดท้ายผมเองก็ยังไม่เข้าใจเลยครับว่า การปฏิบัติธรรม ของ คนพุทธ จริง ๆ คือ อะไร ?

    :smiley_confused1: :smiley_confused1: :smiley_confused1:
15  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สภาวะ นอนหลับ สนิท กับ เข้า ปฐมฌาน เหมือนกันหรือไม่ครับ เมื่อ: มกราคม 11, 2013, 11:20:54 am
สภาวะ นอนหลับ สนิท กับ เข้า ปฐมฌาน เหมือนกันหรือไม่ครับ
 
   คือได้ยินมาว่า การนอนหลับ ก็คือการเข้าปฐมฌาน ของ ปุถุชน อันนี้จริงแท้อย่างไร ไม่รู้่ ขอท่านผู้รู้ ทั้งปริยัติ และ ปฏิบัติ หรือ ปฏิเวธ ช่วยให้ความกระจ่าง กันด้วยครับ

  thk56
16  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: ลองอ่านดูนะครับ เรื่องจริงจากสาวโรงงานคนหนึ่ง ผันตัวเองมาเป็นผู้พิพากษา เมื่อ: มกราคม 10, 2013, 01:28:16 am
 thk56 เรื่องราวจาก คุณเจ้าของเรืองด้วยครับ
http://www.facebook.com/tanawat.hideyo
17  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ลองอ่านดูนะครับ เรื่องจริงจากสาวโรงงานคนหนึ่ง ผันตัวเองมาเป็นผู้พิพากษา เมื่อ: มกราคม 10, 2013, 01:26:47 am


ลองอ่านดูนะครับ เรื่องจริงจากสาวโรงงานคนหนึ่ง ไม่มีเงินเรียนต่อชั้นมัธยม แต่ด้วยความที่่เป็นคนรักการอ่านตั้งแต่เด็ก และความมานะพยายาม พลิกชีวิตจนกลายมาเป็นท่านผู้พิพากษาได้อย่างไร

กว่าจะมาเป็นผู้พิพากษา
.โดย ธรรมมะกับกฎหมาย เมื่อ 17 ธันวาคม 2012 เวลา 10:50 น. ·.ชีวิตคือการเดินทางที่แสนไกล บางครั้งเมื่อฉันมองย้อนกลับไปก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าฉันเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ชีวิตของฉันเริ่มต้นที่หมู่บ้านเล็กๆบนภูเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสานตอนบน ตั้งแต่เด็ก ทุกคนมองว่าฉันเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าสู้หน้าคนแปลกหน้า ติดยาย เวลาไปไหนมาไหน ยายจะตามไปด้วยตลอดเวลา ในช่วงวัยเรียนประถม ฉันชอบอ่านหนังสือมาก ในขณะที่เพื่อนๆ ไปวิ่งเล่นกัน ฉันก็จะอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเล็กๆ ในชนบทห่างไกล ไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่าน ดังนั้น ฉันจึงอ่านหนังสือในโรงเรียน ทุกเล่ม เล่มละหลายๆรอบ

............................................................. เมื่อฉันจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พ่อแม่บอกว่าไม่มีเงินส่งฉันเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ประกอบคนในหมู่บ้านของฉันก็ไม่มีใครเรียนต่อกัน ดังนั้น ฉันจึงต้องหยุดเรียนและออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา แต่ด้วยความที่ฉันถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม ยายไม่เคยปล่อยให้ฉันทำงานบ้านเอง ฉันจึงโตมาแบบทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ทำกับข้าวไม่เป็น ทำไร่ทำนาก็ไม่ไหว จนคนรอบข้าง มองฉันแล้วส่ายหน้า พร้อมกับพูดว่า ถ้าฉันไม่มีพ่อแม่ ยาย แล้ว ชีวิตฉันจะอยู่ได้อย่างไร ตอนนั้นฉันอายุสิบเอ็ดขวบ ฉันมีความคิดว่า ฉันไม่ชอบการทำไร่ทำนา เพราะมันเหนื่อย ฉันอยากเรียนหนังสือสูงๆ ทำงานดี ส่งเงินให้พ่อแม่ ฉันจึงขวนขวายที่จะเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ฉันจึงขอพ่อไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน พ่อก็อนุญาต แต่แม่มีข้อแม้ว่า ฉันจะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ประจำปี ไม่ได้สร้อยคอทองคำใส่ เหมือนกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ฉันก็ตกลง

ต่อมาฉันจึงได้ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ที่จังหวัดข้างเคียง อยู่ห่างจากหมู่บ้านของฉันประมาณ สามสิบกิโลเมตร ฉันต้องเดินจากหมู่บ้านประมาณสามกิโลเมตร เพื่อขึ้นรถเมล์ไปเรียนทุกวันอาทิตย์ ยาย เป็นห่วงฉันมาก จึงเดินตามมาส่งฉันทุกอาทิตย์ และรอฉันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านจนกระทั่งฉันกลับมาในตอนเย็น ภาพที่คนแถวนั้นเห็นจนชินตา คือ จะมียายหลานคู่หนึ่ง เดินขึ้นเขาลงเขา ทุกวันอาทิตย์ ตอนเช้า และตอนเย็น

ฉันใช้เวลา สองปี จึงเรียนได้วุฒิเทียบเท่า ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ สาม ขณะนั้น ฉันอายุ สิบห้าปีพอดี ฉันจึงขอพ่อแม่ เข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำและหาที่เรียนต่อ พ่ออนุญาต และแม่มีข้อแม้ว่า ฉันต้องส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เพราะถ้าฉันไปก็ไม่ใครช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา หลังจากนั้น ฉันและเพื่อนในหมู่บ้านอีกหลายคนก็ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานปลาทูน่ากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ฉันและเพื่อน ทำงานวันแรก ก็คลื่นไส้ เป็นลม เพราะเหม็นปลาทูน่า มีหลายคนที่ทำงานไม่ไหว และลาออกในวันรุ่งขึ้น ส่วนฉันคิดว่าฉันทนได้ เพราะเป้าหมายของฉันคือการได้เรียนต่อ ฉันคิดว่าที่นี่เหมาะกับฉันเพราะ ฉันทำงานเข้ากะกลางคืน ในเวลากลางวันฉันก็จะสามารถไปเรียนต่อได้ตามความฝัน และฉันเห็นพนักงานที่โรงงานนี้ ก็เรียนต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกันหลายคน ฉันประทับใจกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ที่บอกว่า “อย่าคิดว่างานที่ทำเป็นงานที่ต่ำต้อย งานทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเอง” ซึ่งฉันก็เห็นด้วยและคิดว่าฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการทำงานนี้ เป็นต้นว่า การฝึกความอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานหนัก ซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้จิตใจเข้มแข็ง สามารถฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้ ฉัน ทำงานอยู่ได้หนึ่งเดือน ทางโรงงานประสบปัญหาขาดทุนและเลิกจ้างพนักงานใหม่ ฉันจึงต้องออกจากงาน และย้ายไปทำงานโรงงานทอผ้า อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทำงานอยู่ได้หกเดือน ฉันก็ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะได้เรียนต่อ ฉันจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้าน อยู่บ้านได้สักพัก ฉันก็ชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไปหางานที่อำเภอ เราสัญญากันว่า จะไปหางานทำด้วยกันและหาที่เรียนด้วยกัน จากนั้น ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานผลไม้กระป๋อง ทำงานได้สักระยะ เพื่อนของฉันบอกว่า เค้าทนลำบากไม่ไหวแล้ว อยากจะกลับบ้าน ตัวฉันยังไม่อยากกลับบ้าน แต่ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย ฉันก็กลัว จึงต้องตามเพื่อนกลับบ้าน พอกลับไปอยู่บ้านสักพัก ฉันก็หาเพื่อคนใหม่ เพื่อไปหางานทำด้วยกันอีกครั้ง ฉันและเพื่อนอีกสี่คน ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ และถูกส่งกลับไปทำงานที่โรงงานปลากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ที่เดียวกับที่ฉันเคยไปครั้งแรก ขณะนั้นกิจการดีขึ้นแล้ว ฉันรู้สึกดีใจมากและคิดว่าคราวนี้คงได้เรียนต่อสมใจซะที หลังจากทำงานได้สักระยะ ฉันก็สมัครเรียนการศึกษานอกโรงเรียนใกล้ๆกับที่ทำงาน แต่แล้วฉันก็ประสบปัญหาเดิมๆ นั่นคือ เพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เค้าอยากจะกลับบ้านอีกแล้ว ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่ตามเพื่อนกลับบ้าน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า โดยไม่มีคนจากหมู่บ้านเดียวกันอยู่ด้วย และแล้วฉันก็ผ่านมันไปได้ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ สิ่งที่ฉันยังจำได้ติดใจ คือ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปขออนุญาตหัวหน้างาน ขอเลิกงาน ห้าโมง เย็นโดยไม่ทำโอทีต่อถึง สองทุ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นฉันต้องไปสอบ คำตอบที่ฉันได้รับคือ หน้าตาบึ้งตึงของหัวหน้างานพร้อมกับคำพูดเสียงแข็งว่า ไม่ได้ งานก็คืองาน วันนั้นฉันจึงต้องทำงานถึงสองทุ่ม และไปสอบในตอนเช้า โดยมีเวลาอ่านหนังสือเพียงน้อยนิด แต่ในที่สุด ฉันก็ได้วุฒิ ม. ๖ มาครอบครอง ซึ่งในเวลานั้น ฉันไม่รู้ว่าจะเอาวุฒิ ม. ๖ ไปทำงานอะไร หรือเรียนอะไร มีแต่คนรอบข้างที่บอกฉันว่า ขนาดคนที่เรียนในระบบโรงเรียน ยังตกงาน ยังไม่สามารถเรียนให้จบมหาวิทยาลัยได้เลย แล้วเด็กบ้านนอก จบกศน อย่างฉัน จะไปทำอะไรได้ ตอนนั้น ฉันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ จึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านอีกครั้ง

พอกลับไปบ้านสักพัก ความอยากเรียนต่อของฉันก็เร่งรัดให้ฉันเข้ามากรุงเทพอีกครั้งเพื่อหางานทำและหาที่เรียน คราวนี้ฉันมาทำงานก่อสร้าง พร้อมกับคนในหมู่บ้าน โดยมีแม่ตามมาทำงานด้วย ฉันทำงานก่อสร้างอยู่ได้เจ็ดวัน ก็เหน็ดเหนื่อยมากๆ จึงออกไปสมัครงานโรงงานอีกครั้ง และได้ทำงานโรงงานทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อได้งานแล้วฉันก็ส่งแม่กลับบ้านนอก ฉันชอบที่นี่มาก งานสบาย สวัสดิการดี กว่าโรงงานที่ฉันเคยทำเยอะ ฉัน ตั้งใจว่า จะสมัครเรียนรามคณะรัฐศาสตร์ เพราะมีคนบอกว่า จบ กศน. อย่างฉัน เรียนได้แค่รัฐศาสตร์รามเท่านั้น ฉันทำงานที่นี่ได้สี่เดือน และกำลังจะสมัครเรียนราม แต่อนิจจา โรงงานที่ฉันทำงานอยู่ มีนโยบายไม่รับพนักงานประจำ คือจะจ้างพนักงานแค่สี่เดือนแล้วเลิกจ้าง จากนั้นก็รับสมัครพนักงานใหม่ ฉันจึงถูกเลิกจ้างด้วยประการฉะนี้ เมื่อตกงาน ฉันจึงต้องพักเรื่องการสมัครเรียนต่อไว้ก่อน

ต่อมาฉันได้งานใหม่ ที่โรงงานทำเครื่องแฟกซ์ แถว อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นี่ เงินเดือนไม่ได้เท่าที่เดิม แต่ก็วันหยุดเยอะดี ต่อมาฉันก็วางแผนจะสมัครเรียนรามอีกครั้ง ตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันคงเรียนสาขารัฐศาสตร์ไม่ได้ เพราะ วิชาพื้นฐานเยอะมาก และฉันไม่ได้เรียนมัธยมในระบบโรงเรียน คงตามเพื่อนไม่ทัน ส่วนคณะนิติศาสตร์ วิชาพื้นฐานน้อยดี วิชาหลักก็ไม่มีสอนในชั้นมัธยม มาเริ่มต้นพร้อมกัน ฉันคงพอเรียนได้

ปีแรก ฉันก็ลงทะเบียนเรียน ตามวันเวลาว่าง เพื่อจะได้ลางานให้น้อยที่สุด บางครั้งฉันลงทะเบียนเรียนสองวิชาที่สอบวันเดียวกัน ผลคือ ตอนเช้าสอบรามหนึ่ง ตอนบ่ายสอบรามสอง ตอนดึก ก็ไปทำงาน ผลสอบในปีหนึ่งเป็นที่น่าพอใจ ฉันสอบผ่านเป็นส่วนใหญ่ พอเริ่มปีสอง วิชาเรียนเริ่มยากขึ้น ฉันคิดการการทำงานโรงงานหนักเกินไป และไม่เหมาะแก่การเรียน ฉันตัดสินใจ ลาออกจากงานโรงงาน มา ทำงานร้านเซเว่น ใกล้กับมหาวิทยาลัย ช่วงไหนที่เข้ากะดึกและกะบ่าย ฉันก็จะหาโอกาสไปนั่งฟังคำบรรยาย ขณะนั้นฉันยังไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ฉันจึงตัดสินใจ เข้าไปฝึกอบรมการพูดที่ศูนย์พัฒนาการพูดรามคำแหง ที่นี่ฉันมีเพื่อนมากมายและไม่อยากจะทำงานอีกต่อไป ประกอบกับช่วงนั้นมีโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ฉันจึงตัดสินใจ ลาออกจากงานและกู้เงินเรียน

ฉันใช้เวลาสามปีก็จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่เนติฯ อีกหนึ่งปี ก็จบเนติฯ ช่วงที่เรียนรามและเรียนเนติฯ ฉันไม่มีเงินซื้อหนังสือข้างนอกมาอ่าน ฉันจึงใช้วิธียืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่าน เมื่อยืมมาแล้วก็ต้องอ่านให้จบ ทำโน๊ตย่อไว้เพื่อทบทวนเพราะไม่ใช่หนังสือของเรา ตลอดเวลาสามปีที่รามและหนึ่งปีที่เนติ ฉันอ่านหนังสือในห้องสมุดแทบทุกเล่ม ตอนนั้นฉันสงสารตัวเองมากที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือมาอ่าน แต่พอมองย้อนกลับไป พบว่า นั่นคือข้อดีอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ฉันมีความตั้งใจ อ่านหนังสือให้ได้เยอะ ๆเร็วๆ ฉับพบว่า หลังจากที่ฉันมีเงินซื้อหนังสือแล้ว ความขยันอ่านหนังสือหายไปเพราะคิดว่า หนังสือเป็นของเรา จะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ สุดท้าย ฉันมีหนังสือเต็มห้องแต่ยังอ่านไม่ครบทุกเล่ม ในช่วงสองปีที่ราม และหนึ่งปีที่เนติฯ เป็นครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสได้ฟังคำบรรยายที่มีอาจารย์สอนแทนการอ่านหนังสือ ในขณะที่คนอื่นคิดว่าการนั่งเรียนเป็นเร่ืองน่าเบื่อ อ่านหนังสืออย่างเดียวดีกว่าเร็วดี แต่สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่าเป็นเร่ืองโชคดีมากที่มีโอกาสได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์โดยตรงจากผู้สอน บางครั้งอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดเฉพาะความรู้เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆที่ท่านเคยประสบการณ์ มาให้เราด้วย ดังนั้น ฉันจึงตั้งใจเรียน เกี่ยวทั้งความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่าของท่าอาจารย์ มาปรับใช้ในการเรียนและการดำเนินชีวิตประจำวัน

หลังจากจบปริญญาตรีฉันเคว้งคว้างอยู้สักพัก หางานทำไม่ได้ ฉันไม่ค่อยชินกับการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำงาน ฉันสัญญากับตัวเองว่าถ้าหางานทำได้แล้วฉันจะตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด ต่อมา ฉัน สอบเข้าบรรจุเป็นข้าราชการที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปีแรกที่ทำงานที่นี่ฉันมีความสุขมากๆ ฉันประทับใจกับการอบรมพนักงานใหม่ซึ่งให้ข้อคิดกับฉันว่า อะไรก็ตามถ้าเราทำถูกวิธีมันจะไม่เหนื่อย และประสบความสำเร็จได้ง่าย ถ้าเราทำอะไรแล้วเหนื่อยและไม่ได้ผล แสดงว่าเราทำผิดวิธีเราต้องหาวิธีการใหม่ ฉันก็ได้ใช้หลักการข้อนี้ มาปรับใช้กับการเตรียมตัวสอบผู้พิพากษา เพื่อนๆที่บรรจุพร้อมกันบอกว่างานที่นี่เหนื่อย หนัก เครียด แต่ในความรู้สึกของฉันคือ สบายกว่างานโรงงานที่ฉันทำตั้งเยอะ

ในการเตรียมตัวสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา บางครั้งเมื่อฉันเห็นคนที่อ่านหนังสือสอบอย่างเดียวฉันก็นึกอิจฉาอยากเป็นแบบนั้นบ้างแต่ทำไม่ได้เพราะมีภาระครอบครัวมากมาย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันลาพักผ่อนและไปนั่งอ่านหนังสือสามวันเต็ม ทั้งวันโดยไม่พัก ฉันอ่านจูริส จบไปสองสามเล่ม และฉันรู้สึกว่าความรู้เต็มหัวจนหนักอึ้งดพราะสมองซึมซับไม่ทัน ฉันเห็นหนังสือแล้วรู้สึกเวียนหัว อ่านหนังสือไม่ได้ไปอีกสองอาทิตย์ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า การศึกษาหาความรู้ ไม่ใช่การนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมายัดใส่สมองภายในครั้งเดียว ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่เป็นการค่อยซึมซับความรู้ทีละน้อยและฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ จุดสำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่อง ถ้าเราอ่านหนังสือแค่วันละสองชั่วโมงแต่สามารถจนจำและนำไปปรับใช้ได้ มันจะเป็นความเข้าใจที่นานเท่าไหร่ก็จะไม่ลืม ถ้าเราทำได้ต่อเน่ืองทุกวัน ความรู้ที่มีจะค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องเหนี่อยฟรี นับแต่นั้นฉันจึงคิด เป็นความโชคดีของฉันที่ได้ ทำงานและเรียนด้วยมาโดยตลอด มันทำให้ฉันมีทั้งความรู้และประสบการณ์ที่นำมาใช้ด้วยกันได้อย่างลงตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันพลาดไปก็คือ ฉันประมาทไปหน่อย ตอนที่ยังอายุไม่ครบที่จะสอบผู้พิพากษา ฉันก็ไม่ค่อยได้เตรียมตัว มัวแต่สนุกกับงาน สนุกเพื่อนใหม่ สถานที่แปลกใหม่ และคิดว่าอายุไม่ครบก็ยังไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย พอฉันมีคุณสมบัติครบที่จะสอบผู้พิพากษาได้ และเริ่มเตรียมตัวอย่างจริงจังก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา คิดว่าเราน่าจะเตรียมตัวก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว และนั่นทำให้ฉันสอบผู้พิพากษาครั้งแรกไม่ผ่าน แต่ก็ยังดีที่ฉันยังสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองได้เร็ว และสามารถแก้ไขได้ จนทำให้สอบผ่านได้อย่างเฉียดฉิวในการสอบครั้งที่สอง

นับจากวันที่ฉันสอบผ่านได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา จนถึงวันนี้ เป็นเวลาแปดปีเศษ หลายครั้งที่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า แทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กบนดอยคนหนึ่งจะมายืนจุดนี้ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้ได้ คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ยาย น้องสาว แม้พวกเค้าจะไม่เข้าใจว่าฉันจะเรียนไปทำไมเยอะแยะมากมาย รู้แต่ว่าฉันอยากเรียนก็สนับสนุนทุกทางเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่คนในหมู่บ้านมีแนวคิดว่าการเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์เสียเวลาทำมาหากินและมีตัวอย่างของคนในหมู่บ้านที่ไปเรียนจบมาแล้วก็แต่งงานเลี้ยงลูกโดยไม่ได้ประกอบอาชีพตามที่เรียนมาเลย ดังนั้น พวกเค้าจึงไม่คิดที่จะส่งลูกหลานเรียนต่อ ตอนนั้นฉันชวนเพื่อนไปเรียนต่อด้วยกัน แต่พ่อแม่ของเพื่อนไม่อนุญาต และซื้อเครื่องเสียงให้เป็นการปลอบใจโดยให้เหตุผลว่า เครื่องเสียงฟังได้ทั้งครอบครัว แต่การเรียนต่อ คนในครอบครัวไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วย ส่วนพ่อของฉันอยากให้ฉันเรียนอยู่แล้วแต่ไม่มีเงินส่งเรียน เมื่อฉันขอไปเรียน กศน. พ่อก็อนุญาต ส่วนแม่และยายแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่เคยห้าม มีแต่ช่วยสนับสนุนทุกทาง ยายมารับส่งทุกครั้งที่ไปเรียน ตอนที่ฉันเข้ามาทำงานกรุงเทพ แม่และยายก็ยอมแม้ว่าจะคิดถึงและเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน คนข้างบ้านบอกว่าแม่ฉันจิตใจเข้มแข็งมากๆ ที่ยอมให้ลูก อายุไม่ถึงยี่สิบปีมาอยู่กรุงเทพเพียงลำพัง ฉันคิดว่าที่แม่ยอมเพราะแม่เชื่อว่าฉันดูแลตัวเองได้ดี และฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง ส่วนน้องสาวคนเดียวของฉัน ฉันรักเค้ามาก และเค้าก็รักฉันมากเช่นเดียวกัน ในขณะทำงานฉันส่งเงินกลับบ้านเพื่อให้น้องสาวได้เรียนต่อ ซึ่งเค้าก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง เค้าเรียนดี ตั้งใจเรียน มาโดยตลอด โดยที่ฉันไม่ต้องแนะนำสั่งสอน น้องเดินมาในทางเดียวกันกับที่ฉันเดิน ฉันดีใจที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องได้ บางทีฉันก็รู้สึกว่าน้องสาวของฉันอาจจะรู้สึกกดดัน ที่ใครก็ชื่นชมฉันและคาดหวังว่าน้องจะทำได้เหมือนฉัน ฉันอยากจะบอกน้องสาวว่าถึงแม้วันนี้น้องจะทำไม่ได้เท่าพี่ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ต่างกัน ฉัน ก็รักและภูมิใจในตัวเค้ามากและดีใจที่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกัน อะไรที่พี่จะช่วยให้น้องประสบความสำเร็จได้พี่ก็พร้อมจะทำ อย่างเช่น การเปิดเพจธรรมมะกับกฎหมาย เพื่อแนะนำการเรียนกฎหมาย พี่เขียนเพจนี้ขึ้นมาก็เพราะคิดว่าเพจนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องของพี่และคนอื่นๆ

.....................................เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าฉันมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่วันนี้ฉันรู้แล้วว่าครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเลย เงินทุกบาทที่หามาได้ พ่อจะให้แม่เก็บทั้งหมด หากพ่อเอาเงินไปใช้ พ่อจะกลับมาบอกแม่ว่าใช้อะไรไปบ้าง ที่เหลือจะคืนแม่ทั้งหมด พ่อไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใส่เอง แม่ซื้อเสื้อผ้าแบบไหนให้ก็ใส่แบบนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว ยายเลี้ยงดูฉันอย่างดี ตอนเด็กฉันไม่เคยถูกตีเพราะมียายคอยปกป้องอยู่เสมอ ญาติพี่น้องทุกคนรักกันและคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความรักในหัวใจ ที่พร้อมจะเดินตามความฝันของตัวเอง และแบ่งปันความรักให้แก่คนรอบข้าง ทำให้ฉันเรียนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะให้แก่คนที่เรารักได้คือ การให้เค้าได้เป็นตัวเอง ได้ทำในส่ิงที่รักและอยากมีความสุขที่จะทำ และนี่คือสิ่งที่ฉันได้จากครอบครัวของฉัน

...............................สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ฉันเดินมาถึงตรงนี้ได้ นั้น คือ ฉันมีเป้าหมายชัดเจน และหาวิธีการเดินไปสู่จุดหมายนั้น ฉันไม่เคยยอมแพ้ ทุกครั้งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดังหวัง ฉันก็จะบอกกับตัวเองว่า มันต้องมีวิธีการอื่นที่ให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จได้ ทุกเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าดีหรือร้ายก็สามารถเป็นครูสอนเราได้ สิ่งที่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม สิ่งที่ไม่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเติบโตขึ้น คนเราไม่รู้หรอกว่า ทำกรรมอะไรไว้จึงได้ตัวตนแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ถึงวันนี้ วันที่เรายังมีลมหายใจอยู่กับปัจจุบันขณะ เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินไปตามเส้นทางที่กรรมเก่าขีดเส้นไว้ หรือเลือกที่จะสำรวจข้อบกพร่องตัวเอง เลือกแก้ไขนิสัยเสียๆ ของตัวเอง และเลือกแก้ไขในส่ิงที่ผิด เลือกหาวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง หาตัวเองให้เจอ แทนการเลือกโทษโชคชะตาฟ้าดิน พ่อแม่ คนรอบข้าง
รูปภาพ : ลองอ่านดูนะครับ เรื่องจริงจากสาวโรงงานคนหนึ่ง ไม่มีเงินเรียนต่อชั้นมัธยม แต่ด้วยความที่่เป็นคนรักการอ่านตั้งแต่เด็ก และความมานะพยายาม พลิกชีวิตจนกลายมาเป็นท่านผู้พิพากษาได้อย่างไร กว่าจะมาเป็นผู้พิพากษา .โดย ธรรมมะกับกฎหมาย เมื่อ 17 ธันวาคม 2012 เวลา 10:50 น. ·.ชีวิตคือการเดินทางที่แสนไกล บางครั้งเมื่อฉันมองย้อนกลับไปก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าฉันเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ชีวิตของฉันเริ่มต้นที่หมู่บ้านเล็กๆบนภูเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสานตอนบน ตั้งแต่เด็ก ทุกคนมองว่าฉันเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าสู้หน้าคนแปลกหน้า ติดยาย เวลาไปไหนมาไหน ยายจะตามไปด้วยตลอดเวลา ในช่วงวัยเรียนประถม ฉันชอบอ่านหนังสือมาก ในขณะที่เพื่อนๆ ไปวิ่งเล่นกัน ฉันก็จะอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเล็กๆ ในชนบทห่างไกล ไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่าน ดังนั้น ฉันจึงอ่านหนังสือในโรงเรียน ทุกเล่ม เล่มละหลายๆรอบ ............................................................. เมื่อฉันจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พ่อแม่บอกว่าไม่มีเงินส่งฉันเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ประกอบคนในหมู่บ้านของฉันก็ไม่มีใครเรียนต่อกัน ดังนั้น ฉันจึงต้องหยุดเรียนและออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา แต่ด้วยความที่ฉันถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม ยายไม่เคยปล่อยให้ฉันทำงานบ้านเอง ฉันจึงโตมาแบบทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ทำกับข้าวไม่เป็น ทำไร่ทำนาก็ไม่ไหว จนคนรอบข้าง มองฉันแล้วส่ายหน้า พร้อมกับพูดว่า ถ้าฉันไม่มีพ่อแม่ ยาย แล้ว ชีวิตฉันจะอยู่ได้อย่างไร ตอนนั้นฉันอายุสิบเอ็ดขวบ ฉันมีความคิดว่า ฉันไม่ชอบการทำไร่ทำนา เพราะมันเหนื่อย ฉันอยากเรียนหนังสือสูงๆ ทำงานดี ส่งเงินให้พ่อแม่ ฉันจึงขวนขวายที่จะเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ฉันจึงขอพ่อไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน พ่อก็อนุญาต แต่แม่มีข้อแม้ว่า ฉันจะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ประจำปี ไม่ได้สร้อยคอทองคำใส่ เหมือนกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ฉันก็ตกลง ต่อมาฉันจึงได้ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ที่จังหวัดข้างเคียง อยู่ห่างจากหมู่บ้านของฉันประมาณ สามสิบกิโลเมตร ฉันต้องเดินจากหมู่บ้านประมาณสามกิโลเมตร เพื่อขึ้นรถเมล์ไปเรียนทุกวันอาทิตย์ ยาย เป็นห่วงฉันมาก จึงเดินตามมาส่งฉันทุกอาทิตย์ และรอฉันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านจนกระทั่งฉันกลับมาในตอนเย็น ภาพที่คนแถวนั้นเห็นจนชินตา คือ จะมียายหลานคู่หนึ่ง เดินขึ้นเขาลงเขา ทุกวันอาทิตย์ ตอนเช้า และตอนเย็น ฉันใช้เวลา สองปี จึงเรียนได้วุฒิเทียบเท่า ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ สาม ขณะนั้น ฉันอายุ สิบห้าปีพอดี ฉันจึงขอพ่อแม่ เข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำและหาที่เรียนต่อ พ่ออนุญาต และแม่มีข้อแม้ว่า ฉันต้องส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เพราะถ้าฉันไปก็ไม่ใครช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา หลังจากนั้น ฉันและเพื่อนในหมู่บ้านอีกหลายคนก็ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานปลาทูน่ากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ฉันและเพื่อน ทำงานวันแรก ก็คลื่นไส้ เป็นลม เพราะเหม็นปลาทูน่า มีหลายคนที่ทำงานไม่ไหว และลาออกในวันรุ่งขึ้น ส่วนฉันคิดว่าฉันทนได้ เพราะเป้าหมายของฉันคือการได้เรียนต่อ ฉันคิดว่าที่นี่เหมาะกับฉันเพราะ ฉันทำงานเข้ากะกลางคืน ในเวลากลางวันฉันก็จะสามารถไปเรียนต่อได้ตามความฝัน และฉันเห็นพนักงานที่โรงงานนี้ ก็เรียนต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกันหลายคน ฉันประทับใจกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ที่บอกว่า “อย่าคิดว่างานที่ทำเป็นงานที่ต่ำต้อย งานทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเอง” ซึ่งฉันก็เห็นด้วยและคิดว่าฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการทำงานนี้ เป็นต้นว่า การฝึกความอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานหนัก ซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้จิตใจเข้มแข็ง สามารถฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆไปได้ ฉัน ทำงานอยู่ได้หนึ่งเดือน ทางโรงงานประสบปัญหาขาดทุนและเลิกจ้างพนักงานใหม่ ฉันจึงต้องออกจากงาน และย้ายไปทำงานโรงงานทอผ้า อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทำงานอยู่ได้หกเดือน ฉันก็ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะได้เรียนต่อ ฉันจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้าน อยู่บ้านได้สักพัก ฉันก็ชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไปหางานที่อำเภอ เราสัญญากันว่า จะไปหางานทำด้วยกันและหาที่เรียนด้วยกัน จากนั้น ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานผลไม้กระป๋อง ทำงานได้สักระยะ เพื่อนของฉันบอกว่า เค้าทนลำบากไม่ไหวแล้ว อยากจะกลับบ้าน ตัวฉันยังไม่อยากกลับบ้าน แต่ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย ฉันก็กลัว จึงต้องตามเพื่อนกลับบ้าน พอกลับไปอยู่บ้านสักพัก ฉันก็หาเพื่อคนใหม่ เพื่อไปหางานทำด้วยกันอีกครั้ง ฉันและเพื่อนอีกสี่คน ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ และถูกส่งกลับไปทำงานที่โรงงานปลากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ที่เดียวกับที่ฉันเคยไปครั้งแรก ขณะนั้นกิจการดีขึ้นแล้ว ฉันรู้สึกดีใจมากและคิดว่าคราวนี้คงได้เรียนต่อสมใจซะที หลังจากทำงานได้สักระยะ ฉันก็สมัครเรียนการศึกษานอกโรงเรียนใกล้ๆกับที่ทำงาน แต่แล้วฉันก็ประสบปัญหาเดิมๆ นั่นคือ เพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เค้าอยากจะกลับบ้านอีกแล้ว ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่ตามเพื่อนกลับบ้าน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า โดยไม่มีคนจากหมู่บ้านเดียวกันอยู่ด้วย และแล้วฉันก็ผ่านมันไปได้ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ สิ่งที่ฉันยังจำได้ติดใจ คือ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปขออนุญาตหัวหน้างาน ขอเลิกงาน ห้าโมง เย็นโดยไม่ทำโอทีต่อถึง สองทุ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นฉันต้องไปสอบ คำตอบที่ฉันได้รับคือ หน้าตาบึ้งตึงของหัวหน้างานพร้อมกับคำพูดเสียงแข็งว่า ไม่ได้ งานก็คืองาน วันนั้นฉันจึงต้องทำงานถึงสองทุ่ม และไปสอบในตอนเช้า โดยมีเวลาอ่านหนังสือเพียงน้อยนิด แต่ในที่สุด ฉันก็ได้วุฒิ ม. ๖ มาครอบครอง ซึ่งในเวลานั้น ฉันไม่รู้ว่าจะเอาวุฒิ ม. ๖ ไปทำงานอะไร หรือเรียนอะไร มีแต่คนรอบข้างที่บอกฉันว่า ขนาดคนที่เรียนในระบบโรงเรียน ยังตกงาน ยังไม่สามารถเรียนให้จบมหาวิทยาลัยได้เลย แล้วเด็กบ้านนอก จบกศน อย่างฉัน จะไปทำอะไรได้ ตอนนั้น ฉันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ จึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านอีกครั้ง พอกลับไปบ้านสักพัก ความอยากเรียนต่อของฉันก็เร่งรัดให้ฉันเข้ามากรุงเทพอีกครั้งเพื่อหางานทำและหาที่เรียน คราวนี้ฉันมาทำงานก่อสร้าง พร้อมกับคนในหมู่บ้าน โดยมีแม่ตามมาทำงานด้วย ฉันทำงานก่อสร้างอยู่ได้เจ็ดวัน ก็เหน็ดเหนื่อยมากๆ จึงออกไปสมัครงานโรงงานอีกครั้ง และได้ทำงานโรงงานทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อได้งานแล้วฉันก็ส่งแม่กลับบ้านนอก ฉันชอบที่นี่มาก งานสบาย สวัสดิการดี กว่าโรงงานที่ฉันเคยทำเยอะ ฉัน ตั้งใจว่า จะสมัครเรียนรามคณะรัฐศาสตร์ เพราะมีคนบอกว่า จบ กศน. อย่างฉัน เรียนได้แค่รัฐศาสตร์รามเท่านั้น ฉันทำงานที่นี่ได้สี่เดือน และกำลังจะสมัครเรียนราม แต่อนิจจา โรงงานที่ฉันทำงานอยู่ มีนโยบายไม่รับพนักงานประจำ คือจะจ้างพนักงานแค่สี่เดือนแล้วเลิกจ้าง จากนั้นก็รับสมัครพนักงานใหม่ ฉันจึงถูกเลิกจ้างด้วยประการฉะนี้ เมื่อตกงาน ฉันจึงต้องพักเรื่องการสมัครเรียนต่อไว้ก่อน ต่อมาฉันได้งานใหม่ ที่โรงงานทำเครื่องแฟกซ์ แถว อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นี่ เงินเดือนไม่ได้เท่าที่เดิม แต่ก็วันหยุดเยอะดี ต่อมาฉันก็วางแผนจะสมัครเรียนรามอีกครั้ง ตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันคงเรียนสาขารัฐศาสตร์ไม่ได้ เพราะ วิชาพื้นฐานเยอะมาก และฉันไม่ได้เรียนมัธยมในระบบโรงเรียน คงตามเพื่อนไม่ทัน ส่วนคณะนิติศาสตร์ วิชาพื้นฐานน้อยดี วิชาหลักก็ไม่มีสอนในชั้นมัธยม มาเริ่มต้นพร้อมกัน ฉันคงพอเรียนได้ ปีแรก ฉันก็ลงทะเบียนเรียน ตามวันเวลาว่าง เพื่อจะได้ลางานให้น้อยที่สุด บางครั้งฉันลงทะเบียนเรียนสองวิชาที่สอบวันเดียวกัน ผลคือ ตอนเช้าสอบรามหนึ่ง ตอนบ่ายสอบรามสอง ตอนดึก ก็ไปทำงาน ผลสอบในปีหนึ่งเป็นที่น่าพอใจ ฉันสอบผ่านเป็นส่วนใหญ่ พอเริ่มปีสอง วิชาเรียนเริ่มยากขึ้น ฉันคิดการการทำงานโรงงานหนักเกินไป และไม่เหมาะแก่การเรียน ฉันตัดสินใจ ลาออกจากงานโรงงาน มา ทำงานร้านเซเว่น ใกล้กับมหาวิทยาลัย ช่วงไหนที่เข้ากะดึกและกะบ่าย ฉันก็จะหาโอกาสไปนั่งฟังคำบรรยาย ขณะนั้นฉันยังไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ฉันจึงตัดสินใจ เข้าไปฝึกอบรมการพูดที่ศูนย์พัฒนาการพูดรามคำแหง ที่นี่ฉันมีเพื่อนมากมายและไม่อยากจะทำงานอีกต่อไป ประกอบกับช่วงนั้นมีโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ฉันจึงตัดสินใจ ลาออกจากงานและกู้เงินเรียน ฉันใช้เวลาสามปีก็จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่เนติฯ อีกหนึ่งปี ก็จบเนติฯ ช่วงที่เรียนรามและเรียนเนติฯ ฉันไม่มีเงินซื้อหนังสือข้างนอกมาอ่าน ฉันจึงใช้วิธียืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่าน เมื่อยืมมาแล้วก็ต้องอ่านให้จบ ทำโน๊ตย่อไว้เพื่อทบทวนเพราะไม่ใช่หนังสือของเรา ตลอดเวลาสามปีที่รามและหนึ่งปีที่เนติ ฉันอ่านหนังสือในห้องสมุดแทบทุกเล่ม ตอนนั้นฉันสงสารตัวเองมากที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือมาอ่าน แต่พอมองย้อนกลับไป พบว่า นั่นคือข้อดีอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ฉันมีความตั้งใจ อ่านหนังสือให้ได้เยอะ ๆเร็วๆ ฉับพบว่า หลังจากที่ฉันมีเงินซื้อหนังสือแล้ว ความขยันอ่านหนังสือหายไปเพราะคิดว่า หนังสือเป็นของเรา จะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ สุดท้าย ฉันมีหนังสือเต็มห้องแต่ยังอ่านไม่ครบทุกเล่ม ในช่วงสองปีที่ราม และหนึ่งปีที่เนติฯ เป็นครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสได้ฟังคำบรรยายที่มีอาจารย์สอนแทนการอ่านหนังสือ ในขณะที่คนอื่นคิดว่าการนั่งเรียนเป็นเร่ืองน่าเบื่อ อ่านหนังสืออย่างเดียวดีกว่าเร็วดี แต่สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่าเป็นเร่ืองโชคดีมากที่มีโอกาสได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์โดยตรงจากผู้สอน บางครั้งอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดเฉพาะความรู้เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆที่ท่านเคยประสบการณ์ มาให้เราด้วย ดังนั้น ฉันจึงตั้งใจเรียน เกี่ยวทั้งความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่าของท่าอาจารย์ มาปรับใช้ในการเรียนและการดำเนินชีวิตประจำวัน หลังจากจบปริญญาตรีฉันเคว้งคว้างอยู้สักพัก หางานทำไม่ได้ ฉันไม่ค่อยชินกับการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำงาน ฉันสัญญากับตัวเองว่าถ้าหางานทำได้แล้วฉันจะตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด ต่อมา ฉัน สอบเข้าบรรจุเป็นข้าราชการที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปีแรกที่ทำงานที่นี่ฉันมีความสุขมากๆ ฉันประทับใจกับการอบรมพนักงานใหม่ซึ่งให้ข้อคิดกับฉันว่า อะไรก็ตามถ้าเราทำถูกวิธีมันจะไม่เหนื่อย และประสบความสำเร็จได้ง่าย ถ้าเราทำอะไรแล้วเหนื่อยและไม่ได้ผล แสดงว่าเราทำผิดวิธีเราต้องหาวิธีการใหม่ ฉันก็ได้ใช้หลักการข้อนี้ มาปรับใช้
18  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ปฏิบัติ กรรมฐาน กันเองโดยการอ่าน อย่างนี้ โดยไม่ขึ้นกรรมฐาน กับครูอาจารย์เป็นการ เมื่อ: มกราคม 10, 2013, 01:22:16 am
 st11 st12 thk56
19  เรื่องทั่วไป / ประกาศ โฆษณา ธุรกิจชาวธรรม / Re: พญาไก่ฟ้ามหาลาภ หลวงปู่เช้า วัดห้วยลำใย เนื้อทองทิพย์ ฝังข้าวเปลือก ตะกรุดเงินค เมื่อ: มกราคม 08, 2013, 02:56:27 am
 thk56 st12 st12 st12
20  เรื่องทั่วไป / ประกาศ โฆษณา ธุรกิจชาวธรรม / Re: เหรียญไก่ฟ้าพญาเลี้ยง หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ จ.ลพบุรี รุ่นพิเศษ เมื่อ: มกราคม 08, 2013, 02:55:58 am
 thk56 thk56 thk56 st12
21  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ตอนนี้คงบอกท่านได้เท่านี้ ว่า "ภาวนาเถอะ ที่ท่านมีโอกาส" เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 12:55:58 am
 st11 st12
22  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: พระอรหันต์ ฝันหรือไม่ ? เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 12:44:10 am
 st11
23  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: คำแนะนำในการภาวนา โดยรวม ตอบ กระทู้เดียว ในพรรษา 23/8/2555 เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 12:38:25 am
 st11 gd1 st12
24  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ขอเรียนเชิญร่วมงานทำบุญประจำปีของคุณแม่พระอาจารย์สมชิด วัดป่าสันติธรรม 12ม.ค.56 เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 12:25:18 am
 st11 st12
25  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เรียนถาม เรื่อง อานิสงค์ การบำรุงดูแล พระอาพาธ กับ มารดาบิดา บุญต่างกันอย่างไรคะ เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 12:13:26 am
ทำบุญกับ พระอรหันต์ที่อาพาธ ต้องได้บุญมากกว่า พ่อแม่ อยู่แล้วนะครับ

  แต่ถ้าเรียงตามลำัดับ แล้ว บิดา มารดา พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ สงฆ์ น่าจะเป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ครับ

  :smiley_confused1:
26  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ชมภาพและคลิป "พระพุทธชยันตีองค์ดำนาลันทา" ประดิษฐาน ณ โรงพยาบาลสระบุรี เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 12:11:42 am
 st12 st12 st12 st11

  กล้องถ่ายได้ชัดเจน มากครับ มืออาชีพ แน่ ๆ

  ขอบคุณมากครับ ทำให้เห็น องค์ดำนาลันทา อย่างชัดเจน มากครับ

  gd1
27  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ปี พ.ศ. 2556 ใครคิดถึงกัน ก็สวดคาถา พญาไก่เถื่อน ให้มากขึ้น เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 12:09:44 am
 ask1

วัตถุประสงค์ของการสวด นี้ คือ อะไร พระอาจารย์ โปรดอธิบายให้ทราบเป็นแนวทางได้หรือไม่ครับ เพราะผมเห็นเหมือนชวนเชิญ ร่วมสวดกันมาตั้งแต่  มี.ค.55 แล้วนะครับ

 อยากให้อธิบาย เหตุผล ในการสวดพอให้ได้เจริญ จิต ว่ามีความสำคัญ สักนิดได้หรือไม่ครับ

  :c017: st12
28  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ปฏิบัติ กรรมฐาน กันเองโดยการอ่าน อย่างนี้ โดยไม่ขึ้นกรรมฐาน กับครูอาจารย์เป็นการ เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 12:00:57 am
 ask1

ปฏิบัติ กรรมฐาน กันเองโดยการอ่าน อย่างนี้ โดยไม่ขึ้นกรรมฐาน กับครูอาจารย์เป็นการปรามาสครูอาจารย์ หรือไม่ครับ หรือว่า ครูอาจารย์อนุญาตไว้แล้ว จึงไม่เป็นการปรามาส

  :c017:
29  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ปุจฉา ขอปรึกษากรรมฐาน ด้วยอีกคนครับ ^^ Z เลียนแบบ แต่ถามจริงครับ เมื่อ: มกราคม 05, 2013, 11:58:48 pm
ask1

  ถ่าเราปฏิบัีติกรรมฐาน มุ่งตรง ต่อพระนิพพาน ไม่ประสงค์ ต้องการได้ ฌาน เพียงแต่ได้ บรรลุ แบบ วิปัสสก ก็พอครับ อย่างนี้ ต้องเรียนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ อย่างไรบ้างครับ

  เรียนถามด้วยความสงสัย ครับ

  :c017:
30  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เมตตาธรรม ในความหมาย ที่ผมพอจะเข้าครับ เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 03:31:26 am
น่าจะมีคำอธิบาย + มาด้วยนะครับ

  st11
31  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชี้ พระ ว.วชิระเมธี เขียนโปรโมทร้านอาหาร “อร่อยจนลืมกลับวัด” ผิด 2 เด้ง เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 03:31:02 am
คนเข้าไป ยุ่ง เอง หรือ ว่า เรื่องไปหา คน กันนะ
พระท่าน ก็อยากให้กำลังใจ คนที่ค้าขาย ก็เท่านั้น

   :smiley_confused1: :s_good:
32  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / คนที่ปฏิบัติ สมาธิ ทำไม จึงโกรธง่าย ครับ เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 01:40:02 am
คนที่ปฏิบัติ สมาธิ ทำไม จึงโกรธง่าย ครับ
  คือ เห็น เพื่อน ที่ไปปฏิบัติธรรมด้วย กัน เพียงพูดถามนิดหน่อย ก็โกรธเป็นฟืน เป็นไฟ เลยครับ เวลานั่งกรรมฐาน นั่นเห็นนั่งกันได้นาน ๆ กันมาก แต่เวลาโกรธ ทำไมไวมากครับ

  หรือ ผมจะคิดไปเอง เกี่ยวกัน หรือไม่ครับ

   :49: :c017:
33  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / โครงการสร้างพระพุทธโคดมบรมนาถศาสดา เมื่อ: ธันวาคม 28, 2012, 02:02:29 am



34  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "เสียงสวดคาถาพญาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ" มอบเป็นของขวัญปีใหม่..ขอรับ เมื่อ: ธันวาคม 28, 2012, 01:17:13 am
 อนุโมทนา ครับ จะขอนำไปทดสอบครับ
 แต่น่าจะย้ายห้องไปห้องดาวน์โหลด นะครับ

 ผมหาอยู่ั้ตั้งนาน ครับ หัวข้อนี้

  :c017: :25: :25: :25:
35  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เมตตา กรรมฐานถ้าจะฝึกกรรมฐาน นี้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร บ้างคะ เมื่อ: ธันวาคม 03, 2012, 11:21:14 am
อะไร คือ ออกบัวบานพรหมวิหารครับ ไม่เคยได้ยิน ช่วยอธิบาย ที่ไป ที่มา หน่อยครับ
เพื่อเป็นการส่งเสริมความรู้ ผมด้วยครับ

   :smiley_confused1: :c017:
36  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: การเป็นพระอรหันต์ ได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ครับ เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 10:47:16 am
 
    พระอรหันต์ ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่เสพสิ่งเสพติด ไม่รับเงิน และทอง ไม่ยุ่งกับโลก ที่สำคัญเวลาแสดงธรม จะพูดแต่เรื่อง โลกุตตรธรรม เท่านั้นครับ

     :49:
37  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เมตตา กรรมฐานถ้าจะฝึกกรรมฐาน นี้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร บ้างคะ เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 10:45:59 am
เข้าใจว่า ออกบัวบานพรหมวิหาร 4 เป็นกรรมฐานขั้นสุดยอด ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับใช่หรือไม่ครับ เพราะเท่าที่ตามอ่านกันมานี้ ผู้ที่จะฝึกได้ก็ต้องผ่านกรรมฐาน ตั้งแต่ขั้นที่ ทั่วไป คือ พระพุทธานุสสติ จนถึง ออกบัวบานพรหมวิหาร 4

   ดังนั้นเข้าใจว่า พรหมวิหาร 4 นี้ต้องเป็นกรรมฐานที่ควรมีจิตเป็น อุปจาระสมาธิขึ้นไป จริง ๆ นะครับ ถึงจะทำได้

   เขื่อว่าเป็นเช่นนั้น นะครับ

   :49:
38  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: อยากเรียนถามว่า ฌาน 4 เดินจงกรมได้หรือไม่ครับ เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 10:38:39 am
มีการสนทนา ที่มีประโยชน์ แต่คำตอบไหน จะถูก ก็คงต้องไปเดิน จงกรม นั่นแหละ ครับถึงจะรู้แล้วก็ต้องเข้าฌานดู ระหว่าง เดินนั่นแหละคำตอบถึงจะเป็นที่สุด ใช่หรือไม่ครับ

  ถ้าอย่างนี้ไม่มีทางได้คำตอบกันเลยนะครับ ......

    :49:
39  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เมื่อเพื่อน ผมคนหนึ่ง ได้สรุปว่า การปฏิบัติแท้จริง ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทุก.. เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 10:34:55 am


       1.  การปฏิบัติแท้จริง ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
          อันนี้ไม่น่าจะใช่ การปฏิบัติ ก็คือ การทำตามอริยะมรรค มีองค์ 8 ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ ครับ ดังนั้นกล่าวว่าการปฏิบัติแท้จริง ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนั้นเป็นคำพูดที่ยังไม่ถูก เพราะการปฏิบัติที่แท้จริงต้องประกอบ ด้วย สัมมาทิฏฐิ เป็นต้น สัมมาสมาธิ เป็นที่สุด

        2.ทุกอย่างเป็น สุญญตา คือความว่างเปล่า เท่านั้น
           อันนี้ผมว่า เป็นหลุดโลก แบบโลกียะวิสัย เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่ เข้า ใจ อรูปกรรมฐาน เป็น นิพพานกัน เช่น เวิ้งว้างว่างเปล่า หาประมาณมิได้ ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ไม่มีอะไรใด ๆ เลย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ อากาสนัญจายนะฌาน อากิญจัญญาตนะฌาน วิญญานัญจายตะฌาน และ เนวนาสัญญายตะฌาน ซึ่ง อรูปฌานทั้ง 4 ให้ความรู้สึกต่อจิตว่า ไม่มีอะไร เป็นเพียงแต่ความเปล่า ซึ่ง ไม่ใช่ความหมายของคำว่า สุญญตา

          สุญญาตา เป็นผล จากการที่จิตเห็นธรรม ทั้งหลายทั้งปวง ว่าเป็น อนัตตา
          การเห็นว่าเป็น อนัตตา คือ ตา เห็ฯ รูป สักว่า นั่นคือรูป ว่างจากเรา ว่างจากของเรา ว่างตัวตนของเรา เป็นต้น การเห็นว่าเป็นสักว่า ไม่ใช่เรา คือ คลายยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเรา ของเรา ทางจิตอย่างนี้

        3.พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า เราเป็นพุทธะ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่า เราไม่ได้เป็นอะไร ตลอด 45 ปี พระองค์ตรัสเรียกพระองค์ว่า ตถาคต สัมมาสัมพุทธะ พุทธะ ศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย ครูผู้สอนเทวดาและมนุษย์ ดังนั้นจะป่วยการไปกล่าวกับบุคคลที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ว่าเราไมได้เป็นอะไร นั้นทำไม เพราะทุกคนเป็นตามที่ควรจะเป็น เพราะความเป็น นั้นเป็นสัจจะ แต่ภายในความไม่เป็นไม่ต้องกล่าวเพราะมองไม่เห็น ต้องภาวนาเท่านั้นถึงจะเห็น นะครับ

      ก็คงช่วยในคำตอบได้ไม่มาก ก็ขอให้ท่านผู้รู้ท่านอื่นมาแสดงเหตุผลกันต่อไปนะครับ

    :s_hi: :49:

    ขอบคุณมากครับ ที่มาสนทนา ด้วย
         1.การปฏิบัติแท้จริง คือ อริยะมรรค มีองค์ 8  อันนี้พอเข้าใจครับ
         2.แต่ว่า ผู้ที่กล่าวว่า ว่างเปล่า นั้นเป็น อารมณ์ ฌาน 5 - 8 นี้ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะผมเชื่อว่า ผู้ที่พูดกับผมนั้น ไม่ได้ ฌาน อะไรเลยครับ
         3.ข้อที่ สาม อ่านแล้ว เคลียร์ ครับ

       :c017: :25:
40  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เมื่อเพื่อน ผมคนหนึ่ง ได้สรุปว่า การปฏิบัติแท้จริง ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทุก.. เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 10:17:19 am

การปฏิบัติแท้จริง ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นเพียง สุญญตา คือ ความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีศาสนา ไม่มีพุทธ ไม่มี .... และ ก็ไม่มี ...

 :s_hi:

    ขอตัดประเด็นเรื่อง คน ออกก่อน นะครับ เพราะผมคิดว่า ถ้าไปตอบเรื่องคน ไม่จบปัญหา เพราะอคติ ปุถุชนอาจจะทำให้เขวในคำถาม กัน

    ดังนั้นผม เอาประเด็น ที่คุณถามว่า

  การปฏิบัติแท้จริง ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นเพียง สุญญตา คือ ความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีศาสนา ไม่มีพุทธ ไม่มี .... และ ก็ไม่มี ...

    ตรงนี้ใช่หรือไม่ครับว่า ต้องการคำตอบเบื้องต้นว่า

    1.ถูก หรือ ไม่ถูก

    2.ถ้าถูก ก็ ไม่ต้องอธิบาย

    3.ถ้าไม่ถูก ก็ต้องตอบแก้ให้ถูกต้องก่อนใช่หรือไม่ครับ

    ดังนั้นขอถามย้อนกลับไปว่า

      1. คุณคิดว่า ถูก หรือ ไม่ถูก  ก่อนครับ
      2. ถ้าถูก ก็ ต้องยอมรับ สิ่งที่เขาพูด ว่าถูก
          แต่การยอมรับ นี้เป็นการยอมรับ ธรรมะว่าถูก แต่ไม่ใช่ว่า ยอมรับพฤติกรรมของผู้พูดว่าจะถูก เพราะทุกวันนี้ มีการใช้พระธรรม เป็นเครื่องมือหากินอยู่รอดกันมากมาย ต่างวิธีการไป เช่นพระบางรูปแสดงธรรมได้ไพเราะหมดจด ฟังแล้วเคลิบเคลิ้ม แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามที่ตนเองพูดสอนก็มีครับ เป็นต้น
         ดังนั้น ถูก คือการยอมรับ ว่าพระธรรม ถูก ไม่ใช่ยอมรับ ผู้พูดว่า มี พฤติกรรมที่ถูก นะครับ
      3.ถ้าไม่ถูก ให้อธิบายให้ฟังหน่อย ครับว่า ไม่ถูกอย่างไร ครับ

     มาร่วมสนทนาด้วยนะครับ

     :s_hi: :49:
     
   


    เห็นด้วยครับ เพราะผมเองก็อยากถกประเด็น เรื่อง ที่พูดถูกหรือผิด ก่อนนะครับ

    การปฏิบัติแท้จริง ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นเพียง สุญญตา คือ ความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีศาสนา ไม่มีพุทธ ไม่มี .... และ ก็ไม่มี ...

      1. คำตอบ ก็ คือ ไม่ถูก  ทั้งหมด อาจจะถูกเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ นะครับ ไม่ใช่ปฏิเสธว่า ไม่ถูกเสียทั้งหมด
      2. คำตอบ คือ ไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับ เพราะขัดกับหลักการของธรรม คือ ผู้ที่ถึงธรรม ควรเข้าถึงการละกิเลส การละสิ่งเสพติด ก็ควรเป็นส่วนหนึ่งของการละกิเลส ครับ
      3. การปฏิบัติที่แท้จริง นั้น ต้องผ่านไปเป็นลำดับ มีการเข้าถึงไปตามลำดับ เริ่มตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ภูมิธรรมไปตามลำดับ การบรรลุธรรม ก็ต้องเข้าผ่านไปตามลำดับ การผ่านตามลำดับ ก็คือ ภาวนาและปฏิบัติธรรม กรรมฐาน ดังนั้น จะกล่าวว่าไม่มี เลยไม่ได้ เพราะรูปนามที่เป็นกายขันธ์ ก็ยังมีอยู ที่ไม่มีเป็นเพียงแต่การบรรลุธรรม ที่เรียกว่า คลายอุปาทาน ความยึดมั่น ถือมั่น ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา ซึ่งจากการศึกที่เว็บนี้มาระดับนี้เรียกว่า พระโสดาบัน เท่านั้น

       ก็เบื้องต้นเท่านี้นะครับ ดังนั้น ขอท่านผู้รู้ทุกท่าน ชี้นำกันต่อนะครับ

   :c017:     
หน้า: [1] 2