ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 292 293 [294] 295 296 ... 708
11721  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศิษย์แห่ส่งร่างหลวงพ่อมานิตย์ เจ้าตำรับราหูอมจันทร์ ไปเป็น‘อาจารย์ใหญ่’ศิริราช เมื่อ: มกราคม 17, 2016, 09:24:03 am


ศิษย์แห่ส่งร่างหลวงพ่อมานิตย์ เจ้าตำรับราหูอมจันทร์ ไปเป็น‘อาจารย์ใหญ่’ที่ศิริราช

ลูกศิษย์หลั่งไหลมาที่วัดศีรษะทอง ต้นตำรับราหูอมจันทร์ หลั่งน้ำตาส่งร่าง "หลวงพ่อมานิตย์" ที่เขียนพินัยกรรมมอบร่างให้ รพ.ศิริราช เพื่อเป็น "อาจารยใหญ่" ให้นักศึกษาแพทย์ ไม่ต้องนำเถ้ากระดูกกลับมาที่วัด...

เมื่อตอนบ่ายวันที่ 16 ม.ค.59 ที่วัดศีรษะทอง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม วัดดังต้นตำรับราหูอมจันทร์แห่งแรก บรรดาศิษยานุศิษย์ทั่วสารทิศ ได้เดินทางมาส่งร่างไร้วิญญาณ พระครูศรีโรตม์สุวรรณรักษ์ หรือหลวงพ่อมานิตย์ รองเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง ที่เสียชีวิตจากอาการวูบล้มศีรษะฟาดพื้น ขณะเดินตรวจความเรียบร้อยในการก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ ภายในวัด ถูกนำส่ง รพ.คริสเตียน นครปฐม แพทย์ทำการตรวจพบว่ามีเลือดคั่งในสมองก้อนโต จึงย้ายส่งตัวไปทำการผ่าตัดต่อที่ รพ.ศูนย์นครปฐม เมื่อวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา แพทย์ได้ทำการผ่าตัดแต่ปรากฏว่า มีโรคแทรกซ้อนเนื่องจากเป็นโรคไตอยู่ก่อน ทำให้มรณภาพด้วยวัย 62 ปี เมื่อวันที่ 10 ม.ค.59 เวลา 08.22 น.สร้างความเศร้าสลดให้กับบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ทราบข่าว ต่างเดินทางมาร่วมอาลัยกันอย่างเนืองแน่น

ทั้งนี้ ก่อนมรณภาพ พระครูศรีโรตม์สุวรรณรักษ์ เจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง ได้ทำพินัยกรรมไว้ พร้อมกับทำหนังสือมอบศพให้เป็นอาจารย์ใหญ่ กับคณะวิชากายวิภาคศาสตร์ รพ.ศิริราชพยาบาล โดยจะไม่ให้เอาเถ้าหรือกระดูกกลับวัด เพราะไม่ต้องการให้เป็นภาระญาติพี่น้องและวัด ซึ่งหลังจากมรณภาพไป ทางวัดและศิษยานุศิษย์ได้ทำหนังสือถึง รพ.ศิริราช ขอนำศพมาตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดศีรษะทอง เป็นเวลา 7 วัน ก่อนที่จะมอบศพให้ศิริราชมารับศพไป ซึ่งทาง รพ.ศิริราชไม่ขัดข้อง จึงนำศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 16 ม.ค.59 นี้ จึงได้เดินทางมารับศพเพื่อนำไปให้คณะวิชากายวิภาคศาสตร์ใช้ในการศึกษาตามความประสงค์ที่พระครูศรีโรตม์สุวรรณรักษ์ ที่ได้ทำหนังสือ และทำพินัยกรรมไว้

เจ้าหน้าที่และแพทย์ พยาบาลจาก รพ.ศิริราช ได้เดินทางมารับศพพระครูศรีโรตม์สุวรรณรักษ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (16 ม.ค.58) ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนด 7 วันตามที่คณะกรรมการวัดได้ขอไว้ เจ้าหน้าที่และแพทย์ พยาบาลจาก รพ.ศิริราช ได้เดินทางมารับศพ โดยจัดเป็นขบวนรถมีรถทางหลวงนำ และรถตู้จาก รพ.ศิริราช เดินทางถึงในเวลา 11.00 น. เพื่อทำการย้ายศพจากสถานที่ตั้งศพของพระครูศรีโรตม์สุวรรณรักษ์ บริเวณศาลาการเปรียญ 198 ปี มีประชาชนแต่งชุดดำรอส่งศพกันแน่นศาลา ก่อนจะนำศพขึ้นรถ ได้มีพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศล พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารเพลโดยพระเทพศานาภิบาล รองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงพระอารามหลวง เป็นประธาน โดยมีเจ้าอาวาสวัดทุกวัดใน จ.นครปฐม ร่วมพิธี

เจ้าหน้าที่ รพ.ศิริราช ทำการย้ายศพของพระครูศรีโรตม์สุวรรณรักษ์ บริเวณศาลาการเปรียญ 198 ปี
ขึ้นรถตู้ไปยังมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา นครปฐม เพื่อรักษาสภาพศพ ก่อนนำไปเป็นอาจารย์ใหญ่

จากนั้นในเวลา 12.00 น.ก่อนที่จะนำศพออกไป ได้เปิดให้ประชาชนและบรรดาศิษยานุศิษย์ ได้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย โดยเปิดให้ถวายดอกไม้ ซึ่งทางวัดได้เตรียมดอกกุหลาบสีขาว นำขึ้นวางถวายหน้าหีบศพ มีประชาชนจำนวนมากเข้าแถวยาวเหยียด จนกระทั่งเวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้ช่วยกันนำหีบศพลงจากศาลาเพื่อไปขึ้นรถตู้ของ รพ.ศิริราช ประชาชนศิษยานุศิษย์ที่มาส่งร่างพระครู ต่างเข้าห้อมล้อมอาลัย บางคนถึงกับหลั่งน้ำตา บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

จากนั้นขบวนรถบรรทุกร่างพระครูได้เดินทางออกจากวัด โดยร่างของพระครูศรีโรตม์สุวรรณรักษ์ จะถูกนำไปไว้ยัง มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา นครปฐม เป็นการชั่วคราวเพื่อรักษาสภาพศพ ก่อนจะนำไปมอบให้ รพ.ศิริราช ต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/563762
11722  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักวิชาการมุสลิมแนะการสร้าง“พุทธมณฑลปัตตานี” อาจเป็นปมขัดแย้งความรู้สึกของมุสลิม เมื่อ: มกราคม 17, 2016, 09:19:32 am




ปัตตานี - นักวิชาการมุสลิม ผู้นำศาสนาแนะให้ผู้เกี่ยวข้องต่อการสร้างพุทธมณฑลปัตตานี ตระหนักถึงความเหมาะสม อาจกลายเป็นปมขัดแย้งทางความรู้สึกของมุสลิมในพื้นที่ได้ ขณะเดียวกัน ทางคณะกรรมการเตรียมทำไปรษณียบัตรระดมทุนสร้าง 200 ล้านบาท
       
       วันนี้ (16 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศความรู้สึกของประชาชนมุสลิมในพื้นที่จะหวัดปัตตานี ต่อกรณีที่มีการผลักดันให้มีการสร้างพุทธมณฑลในพื้นที่จังหวัดปัตตานี บนที่ดินงอกบริเวณปากอ่าวปัตตานี ม.6 ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี ในเนื้อที่ 100 ไร่ ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม ในการที่จะสร้างพุทธมณฑลในพื้นที่จังหวัดปัตตานีที่มีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่มีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ อาจสร้างปมขัดแย้งทางความรู้สึกไม่ดีระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ กับประชาชนในพื้นที่ถึงความไม่จริงใจ ไม่ให้ความเคารพต่อความเชื่อที่ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มีอยู่
       
       หลายฝ่ายเป็นห่วงในเวลาที่ทุกฝ่ายกำลังหาเส้นทางสันติภาพที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ดังนั้น เส้นทางการสู่สันติภาพนั้น ทุกฝ่ายต้องไม่ไปสร้างอะไรที่อาจกลายเป็นปม หรือเงื่อนไขของความขัดแย้ง หรือทุกฝ่ายต้องร่วมสร้างบรรยากาศในพื้นที่ให้เอื้อต่อการสร้างสันติภาพได้ด้วย ไม่เพียงแค่การพูดคุยในเวทีระหว่างประเทศ ระหว่างตัวแทนของรัฐกับตัวแทนผู้คิดต่าง จึงทำให้นักวิชาการ ผู้นำศาสนาในพื้นที่เรียกร้องให้ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องต่อการสร้างพุทธมณฑลปัตตานีในครั้งนี้ ทบทวน และคิดให้รอบคอบ อย่างน้อยให้มีการสอบถามความเห็นของประชาชนในพื้นที่ก่อนดีไหม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลัง
       

         
       ด้าน นายวรวิทย์ บารู อดีต ส.ว.ปัตตานี ได้กล่าวถึงกรณีการพยายามผลักดันให้มีการสร้างพุทธมณฑลในปัตตานี ว่า เป็นเรื่องที่สร้างได้เพราะถ้าคิดแค่ว่ามีอำนาจอยู่ในมือ แต่ถ้าดูความเหมาะสมแล้วมันไม่น่าจะเหมาะสมถ้าเราใช้สติปัญญาคิด เนื่องจากจังหวัดปัตตานีทุกคนก็รู้แม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านเรายังรู้เลยว่า ที่นี่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ที่นี่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมุสลิมมากที่สุด และเข้มแข็งที่สุดของประเทศไทย จนกลายเป็นที่เชื่อมั่นของมุสลิมทั่วโลก รัฐบาลในอดีต และปัจจุบันจึงได้ถือโอกาสนี้จะมาสร้างเป็นแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์ฮาลาล โดยเฉพาะการแปรอาหารฮาลาลเพื่อการส่งออก ดังนั้น การที่จะมาสร้างอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นสัญลักษณ์ให้เปลี่ยนจากเดิม อาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการพัฒนาพื้นที่ในอนาคตได้ ไม่ว่าการผลิตอาหารฮาลาลเพื่อการส่งออก เวทีการพูดคุยสันติสุขที่เพิ่งจะเริ่มต้น ความพยายามสร้างพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เพื่อสอดรับต่อบรรยากาศของการพูดคุย
       
       จึงอยากให้มีการทบทวน หรือกลับไปถามประชาชนในพื้นที่ก่อนดีไหมว่า ประชาชนในพื้นที่เขาคิดอย่างไรต่อกรณีการสร้างพุทธมณฑล แต่ที่อยากถามผู้ที่เกี่ยวข้องว่าสร้างเพื่ออะไร มันมีความสำคัญต่อพี่น้องที่นับถือศาสนาพุทธอย่างไร เพราะยังมีกิจกรรมที่สามารถส่งเสริมทางพุทธศาสนาอีกหลายทาง มากกว่าที่จะมุ่งเน้นเพียงแค่สัญลักษณ์ของความเป็นพุทธศาสนา ซึ่งอาจกลายเป็นปมของความขัดแย้ง อย่าคิดว่าประชาชนไม่ออกมาเดินขบวน แล้วคิดว่าประชาชนจะเห็นด้วย เราไม่ควรที่จะผลักให้ประชาชนกลับไปอยู่กับอีกฝ่ายโดยที่ไม่จำเป็น เพราะวันนี้เรากำลังสร้างบรรยากาศปรองดองเพื่อสันติภาพ จึงอยากให้ทุกคนทุกฝ่ายควรที่จะตระหนักในเรื่องนี้ให้มาก

       
         
       ขณะเดียวกัน ที่ห้องประชุมวัดตานีนรสโมสร พระอารามหลวง อ.เมือง จ.ปัตตานี นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต. เป็นประธานประชุมหารือการจัดสร้างพุทธมณฑลประจำจังหวัดปัตตานี โดยมี นายวีรพงค์ แก้วสุวรรณ ผู้ว่าฯ ปัตตานี พระสิริจริยาลังการ เจ้าคณะจังหวัดปัตตานี พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงาน และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
       
       ตามที่จังหวัดปัตตานี ได้มีโครงการจัดตั้งพุทธมณฑลประจำจังหวัดขึ้นมาเป็นระยะเวลาหลายปี แต่ยังมีปัญหาหลายอย่าง ทำให้การดำเนินการไม่เป็นไปตามโครงการ ทั้งการจัดหาสถานที่ การคมนาคม และงบประมาณ ซึ่งล่าสุด ผู้ว่าฯ ปัตตานี ได้เสนอใช้พื้นที่บริเวณ ต.รูสะมิแล ถัดจากสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ปัตตานี เป็นที่ตั้ง ได้มีการหารือเป็นการภายใน และมีความก้าวหน้ามาเป็นลำดับ จึงได้มีการประชุมหารืออย่างเป็นทางการครั้งนี้เป็นครั้งแรก
       
       ที่ประชุมได้มีการพิจารณาร่างประกาศ หรือคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษา และคณะกรรมการจัดตั้งพุทธมณฑลปัตตานีฝ่ายต่างๆ การพิจารณารูปแบบของสังเวชนียสถาน 4 ตำบล การพิจารณารูปแบบพระประธาน รูปแบบฐานองค์พระประธาน รวมทั้งรูปแบบการระดมทุน เช่น การหารือกับบริษัทไปรษณีย์ไทยเพื่อออกไปรษณียบัตรเพื่อจำหน่ายให้ผู้ร่วมทำบุญได้จัดซื้อ หรือร่วมบริจาคเงิน และตอบกลับไปรษณียบัตรดังกล่าวมาเพื่อจะใช้เป็นส่วนผสมหนึ่งในการจัดสร้างพุทธมณฑลปัตตานี เป็นต้น


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9590000005449
11723  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จี้นายกฯ แสดงจุดยืนตั้งสังฆราช เมื่อ: มกราคม 17, 2016, 09:14:55 am



จี้นายกฯ แสดงจุดยืนตั้งสังฆราช

เครือข่ายองค์กรพระสงฆ์ รุ่นใหม่เรียกร้องนายกรัฐมนตรี แสดงจุดยืนตั้งสังฆราชวอน ปรามกลุ่มคัดค้านหวั่นแตกแยก ขณะที่ศูนย์พิทักษ์ฯ เตือนดีเอสไอ ยุติเล่นเกมการเมืองทำลายคณะสงฆ์ ชาวโซเชียลแชร์ภาพชมรถโบราณ พิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำ พร้อมกดชื่นชมจริยาวัตรหลวงพ่อวัดปากน้ำมากกว่า 5 แสนคน

ตามที่สำนักงานพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ได้ส่งมติมหาเถรสมาคมในการเสนอรายชื่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ไปยังรัฐบาล เพื่อให้นายกรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้วนั้น แต่ยังมีกลุ่มที่ต่อต้านเรื่องนี้ออกมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังให้รัฐบาลชะลอเรื่องดังกล่าวไปก่อน ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จะเข้าไปตรวจสอบรถโบราณ ภายในพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ฐานครอบครองรถหรู ผิดกฎหมายนั้น


 :96: :96: :96: :96:

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 16 ม.ค. นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.พศ. ฐานะประธานคณะกรรมการติดตามกรณีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 ว่า ในส่วนของ พศ.คงต้องรอดูท่าทีจากฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะในวันที่ 18 ม.ค.ว่า จะสอบถามเรื่องใดมายัง พศ.บ้าง ส่วนกรณีที่ ดีเอสไอจะเข้าไปตรวจสอบ รถโบราณภายในพิพิธภัณฑ์ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญนั้น เชื่อว่า ทางวัดปากน้ำ มีข้อมูลในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว

พระครูกาญจนกิจจารักษ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกาญจนสิงหาสน์ ในนามเครือข่ายองค์กรพระสงฆ์รุ่นใหม่ กล่าวว่า ขณะนี้เครือข่ายพระสงฆ์รุ่นใหม่ทุกภูมิภาค ที่ทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา รู้สึกไม่สบายใจและอึดอัด กรณีที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองปล่อยให้เกิดปัญหาพระสงฆ์รูปหนึ่งออกมาแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อพระมหาเถระ กรณีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งที่จะนำมาซึ่งความรุนแรงในสังคม ดังนั้นเครือข่ายองค์กรพระสงฆ์รุ่นใหม่ จะมีการเคลื่อนไหวแสดงสัญลักษณ์โดยสันติวิธีทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเบื้องต้นมีความเห็นร่วมกันว่า จะออกแถลงการณ์เรียกร้องนายกรัฐมนตรี ให้แสดงจุดยืนในกรณีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช

 ans1 ans1 ans1 ans1

ด้านพระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้คณะสงฆ์ทุกจังหวัดที่เป็นแนวร่วม ได้จับตาดูท่าทีของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ขณะที่กลุ่มฝ่ายที่ค้าน อยากให้คำนึงถึงความถูกต้อง ความสงบของคณะสงฆ์ อย่าสร้างเงื่อนไข อย่ายั่วยุ ขอให้รัฐบาลทำงานอย่างตรงไปตรงมา เดินหน้าตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามองค์กรพุทธได้หารือร่วมกัน โดยกำหนดท่าทีใน 3 ประเด็น คือ
    1.ให้รัฐบาลมีความชัดเจนในเรื่องการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
    2.ให้ดำเนินการตามกฎหมายและประเพณีปฏิบัติ และ
    3.หากไม่ดำเนินการตามนั้น ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะรวมกันแสดงสังฆามติ

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวต่อไปว่า องค์กรพุทธพร้อมให้เวลารัฐบาลทำงาน ขอให้กำลังใจ แต่ก็จะเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งนี่ไม่ใช่การข่มขู่ หรือพูดไม่เหมาะสม แต่อยากให้รัฐบาลยึดความถูกต้องเป็นหลัก ส่วนดีเอสไอ ขอให้ยุติการเล่นเกมทางการเมือง เพราะทำแบบนี้จะกลายเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่ม ขอให้เคารพต่อคณะสงฆ์โดยปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา อย่ากลายเป็นเครื่องมือทำลายล้างคณะสงฆ์จะเป็นบาปที่ติดตัวไป


 st12 st12 st12 st12

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชอย่างกว้างขวาง ทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและคัดค้าน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งกลุ่มที่สนับสนุนได้แสดงความคิดเห็นว่าจากการที่ได้สัมผัสกับตัวหลวงพ่อสมเด็จวัดปากน้ำ เช่น เฟสบุ๊ก พุทธสามัคคี ได้มีการแชร์โพสต์ อย่าเอาวิธีทำลายล้างทางการเมืองมาทำลายคณะสงฆ์ พร้อมภาพสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ นั่งคุกเข้ากราบพระเถระที่พรรษาสูงกว่าตามพระธรรมวินัย โดยไม่ยึดว่า มีสมณศักดิ์ที่สูงกว่า

ซึ่งภาพดังกล่าวมีคนมากดชื่นชอบมากกว่า 500,000 คน มีการแชร์มากกว่า 17,000 ครั้ง มีการเขียนคอมเม้นท์มากกว่า 10,000 ข้อความ โดยส่วนใหญ่จะชื่นชมความงดงามของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เนื่องจากได้สัมผัสและเจอกับตนเอง ส่วนฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วยก็ยังคงยึดประเด็นเดิมๆ คือ เรื่องสัมพันธ์กับวัดพระธรรมกาย และเรื่องรถหรู

 st11 st11 st11 st11

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นอกจากนี้ผู้ใช้เฟสบุ๊ก ขวัญทอง สอนศิริ ยังได้มีการเผยแพร่ ภาพรถโบราณภายในพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่ทางดีเอสไอจะเข้าไปตรวจสอบ โดยเขียนโพสต์ไว้ตอนหนึ่งว่า ไปมาแล้ว พระเจดีย์มหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เดินชมอย่างละเอียดทั้ง 5 ชั้น กับกรณีรถยนต์หรู(โบราณ) ที่มีการนำมาผูกโยงเป็นประเด็น โจมตี เจาะยาง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง) เพื่อให้มีมลทิน อย่างมีเจตนาแอบแฝง สร้างความแตกแยกทางความคิด

รถยนต์โบราณสามคันหรู นี้ เจ้าประคุณสมเด็จฯได้รับการถวายมา แต่สมเด็จท่านมิได้เก็บไว้ใช้ หรือสะสมในเอกลาภเหล่านี้ ถือไว้เป็นสมบัติส่วนตัวแต่ประการใด เจ้าคุณสมเด็จ นำเอกลาภเหล่านี้ที่มีผู้นำมาถวายไปจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นชั้นที่ 1 พร้อมกับพาหนะโบราณอื่นๆในอดีตของคนไทย เช่น เรือโบราณ เกวียน รถม้า เป็นต้น ในพิพิธภัณฑ์นี้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทรงคุณค่าทางศาสนา


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/373557
11724  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลูกศิษย์ 'หลวงตามหาบัว' ถวายฎีกา ค้านตั้งสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ: มกราคม 17, 2016, 09:07:43 am


ลูกศิษย์'หลวงตามหาบัว'ถวายฎีกา ค้านตั้งสมเด็จพระสังฆราช

กลุ่มลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา คัดค้านการแต่งตั้งสังฆราช ถึงสำนักราชเลขาธิการเเล้ว ขณะที่นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา ออกมาแสดงความเห็นถึงการเสนอชื่อแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ว่ารัฐบาลควรยึดหลักข้อกฎหมาย ซึ่งทุกฝ่ายไม่ควรออกมาเคลื่อนไหวหรือกดดัน

เมื่อวันที่ 16 ม.ค.59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระแสข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มสนับสนุนและต่อต้านการเเต่งตั้ง "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" แห่งวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 ยังมีออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยนายเสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา เปิดเผยกับทีมข่าวไทยรัฐว่า การท่ีสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส่งเรื่องเสนอชื่อแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ให้กับทางรัฐบาลถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามขั้นตอน หลังจากนี้ต้องเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในการพิจารณาส่งเรื่องทูลเกล้าฯ ถวายอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ตรงนี้เองคงต้องให้เวลากับทางรัฐบาลและไม่ควรไปกดดัน เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ส่วนตัวคิดว่าทางนายกฯน่าจะตัดสินเรื่องนี้เองได้ตามหลักกฎหมายที่มีอยู่ โดยคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงวันสำคัญของประเทศ


 :25: :25: :25: :25:

ส่วนการที่พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าหากรัฐบาลยังไม่เร่งดำเนินการเรื่องการเเต่งตั้งสังฆราช จะมีพระสงฆ์ออกมาเคลื่อนไหว นายเสถียร ให้ความเห็นว่าน่าจะเกิดจากความเป็นห่วงรัฐบาลมากกว่าการกดดัน

ขณะที่ ในส่วนของกลุ่มต่อต้าน ล่าสุดทางกลุ่มคณะศิษยานุศิษย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ได้ส่งหนังสือถวายฎีกาถึงสำนักราชเลขาธิการ กรณีขอความอนุเคราะห์โปรดอย่านำสิ่งที่เป็นโมฆะอันเกิดจากการลบล้างหลักพระะธรรมวินัยและทำลายราชประเพณีไปเเล้ว เข้าทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เกิดการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและเสื่อมเสียพระเกียรติ ทั้งนี้เนื้อหาของหนังสือระบุถึงการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีถึงประเด็นที่ว่า หากยังมีการทะเลาะขัดแย้งกันอยู่ รัฐบาลจะไม่นำเรื่องนี้ขึ้นกราบบังคมทูล ซึ่งกลุ่มที่ออกมาคัดค้านเรื่องนี้ต่างเห็นด้วยกับรัฐบาล.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/563751
11725  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปัดค้นวัดปากน้ำ ดีเอสไอฉะเฟซปลอม ลุ้น'สังฆราช'องค์ใหม่ เมื่อ: มกราคม 17, 2016, 09:04:05 am


ปัดค้นวัดปากน้ำ ดีเอสไอฉะเฟซปลอม ลุ้น 'สังฆราช' องค์ใหม่

ดีเอสไอออกแถลงการณ์ ไม่มีการบุกจู่โจมตรวจค้นวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ กทม. เพื่อยึดรถโบราณในพิพิธภัณฑ์ รองโฆษกดีเอสไอเตือนคนแชร์ข้อความระวังผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ด้านเครือข่ายสงฆ์รุ่นใหม่จี้นายกฯ ป้องปรามพระบางรูปที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อพระมหาเถระ เตรียมเคลื่อนไหวเรียกร้องนายกฯทำตามกฎหมายในการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะ ทูลเกล้าฯเป็นสมเด็จพระสังฆราช ศูนย์พิทักษ์ฯวอนดีเอสไอหยุดเล่นเกมการเมือง เพราะจะกลายเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่ม

หลังจากมีการแชร์ข้อความในโซเชียลมีเดียตลอดวันที่ 16 ม.ค.ว่ากรมสอบสวนพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมนำกำลังเข้าตรวจรถหรูในวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กทม.ที่มีเจ้าอาวาสคือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช นั้น ต่อมาในช่วงบ่าย ดีเอสไอส่งเอกสารถึงสื่อมวลชนและสาธารณชน ระบุว่า

ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวบนระบบอินเตอร์เน็ต อ้างแหล่งข่าวว่ามาจากกลุ่มไลน์สถาบันปัญญานันทะ ว่านายกรัฐมนตรี ได้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ม.44 สั่งการกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ประสานกำลังทหาร ตำรวจกว่า 100 นาย เตรียมบุกจู่โจมวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เพื่อสอบสวนปากคำสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และประธานกรรมการมหาเถรสมาคม และยึดรถโบราณในพิพิธภัณฑ์ โดยมีการประชุมลับและคาดว่าจะเข้าจู่โจมในอีกไม่เกินสองวันข้างหน้านั้น


 :49: :49: :49: :49:

ดีเอสไอขอชี้แจงทำความเข้าใจกับสาธารณชนให้ทราบโดยทั่วกันว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้มีคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ให้ดีเอสไอปฏิบัติการในเรื่องดังกล่าว และดีเอสไอมิได้มีการประชุมลับ หรือเตรียมการจะปฏิบัติการในเรื่องดังกล่าวตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด โดยกรณีที่มีการสร้างข่าวเท็จขึ้นนี้ อาจเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พระพุทธอิสระ ยื่นเรื่องขอให้ดีเอสไอตรวจสอบการครอบครองรถยนต์ที่นำเข้ามาจากนอกราชอาณาจักรของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่แล้ว เนื่องจากดีเอสไออยู่ระหว่างการตรวจสอบรถยนต์จดประกอบที่อาจนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากรกว่า 5,000 คัน ซึ่งรับเรื่องไว้ดำเนินการสืบสวนว่ามีความเป็นมาอย่างไร อยู่ระหว่างการตรวจสอบทางเอกสารกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องอันเป็นขั้นตอนปกติในการปฏิบัติงานและเหมือนกับกรณีอื่นๆ ขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบ

และขอแจ้งเตือนไปยังกลุ่มบุคคลที่นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จบนระบบคอมพิวเตอร์ในเรื่องนี้ การกระทำของท่านอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม.14(1) (2) ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน

 :96: :96: :96: :96:

ดีเอสไอจึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนทุกท่านเพื่อทราบข้อเท็จจริง และขอให้ใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสาร โดยเฉพาะที่ไม่ได้มาจากหน่วยงานราชการ และข้อมูลข่าวสารบนระบบอินเตอร์เน็ต มิฉะนั้นจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพหรือผู้ไม่ประสงค์ดีต่อบ้านเมือง และการที่ท่านเผยแพร่ต่อซึ่งข้อความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ ก็อาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม.14 (5) ฐานเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่อันเป็นเท็จด้วย โดยกรณีนี้ขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากการประชาสัมพันธ์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษผ่านช่องทางต่างๆโดยตรง จะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นความจริง ขอบพระคุณกรมสอบสวนคดีพิเศษ 16 ม.ค.59

ด้าน พ.ต.ต.วรนันท์ ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ รองโฆษกดีเอสไอ เผยว่า มีข้อมูลข่าวสารเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กและโซเชียลเน็ตเวิร์กว่า ดีเอสไอจะบุกตรวจค้นวัดโดยใช้ ม.44 นั้น ยืนยันไม่เป็นความจริง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมืองอธิบดีดีเอสไอ ให้ดีเอสไอออกแถลงเพื่อ
    1.ชี้แจงต่อสาธารณชนและสื่อมวลชน ถึงกรณีดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง
    2.เตือนบุคคลหรือกลุ่มที่เขียนข้อเผยแพร่ลงเฟซบุ๊ก หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กว่า กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยการเผยแพร่
    3.บุคคลที่รับข่าวสารกรุณาอย่าแชร์ อาจผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ด้วย ให้รับฟังข้อเท็จจริงจากหน่วยงานดีเอสไอและหน่วยงานราชการโดยตรง เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่แท้จริง


 :91: :91: :91: :91:

ขณะที่ นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามกรณีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ คงต้องรอดูท่าทีจากฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะในวันที่ 18 ม.ค.ว่าจะสอบถามเรื่องใดมาบ้าง ส่วนกรณีที่ทางดีเอสไอจะเข้าไปตรวจสอบรถโบราณภายในพิพิธภัณฑ์ของวัดปากน้ำฯนั้น เชื่อว่า ทางวัดปากน้ำฯ มีข้อมูลในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว

ด้านพระครูกาญจนกิจจารักษ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกาญจนสิงหาสน์ ในนามเครือข่ายองค์กรพระสงฆ์รุ่นใหม่ กล่าวว่า เครือข่ายพระสงฆ์รุ่นใหม่ทุกภูมิภาค รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กรณีที่นายกรัฐมนตรีปล่อยให้เกิดปัญหาจากพระสงฆ์รูปหนึ่งออกมาแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อพระมหาเถระ โดยที่ไม่มีการป้องปราม ทั้งที่มีอำนาจอยู่มาก ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งที่จะนำมาซึ่งความรุนแรงในสังคม ดังนั้นเครือข่ายองค์กรพระสงฆ์รุ่นใหม่จะเคลื่อนไหวแสดงสัญลักษณ์โดยสันติวิธีทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเบื้องต้นจะออกแถลงการณ์เรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี ในกรณีการทูลเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ที่ปล่อยให้เกิดปัญหา ทั้งที่คณะสงฆ์ก็ปฏิบัติตามกฎหมายทุกขั้นตอน อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มฯเชื่อว่านายกรัฐมนตรีไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ แต่ก็อยากให้ท่านแสดงความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมให้คณะสงฆ์มั่นใจในตัวของท่านมากกว่านี้ รวมทั้งให้ยึดจารีต ธรรมเนียมปฏิบัติ รวมถึง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 สู่การปฏิบัติ ไม่ใช่ปล่อยให้มีการกล่าวร้ายต่อพระผู้ใหญ่ ทั้งที่ไม่มีข้อเท็จจริงเช่นนี้

 :25: :25: :25: :25:

ส่วนพระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้เครือข่ายองค์กรพุทธได้หารือร่วมกัน โดยกำหนดท่าทีใน 3 ประเด็น คือ
     1.ให้รัฐบาลมีความชัดเจนในเรื่องการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะเพื่อทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
     2.ให้ดำเนินการตามกฎหมายและประเพณีปฏิบัติ และ
     3.หากไม่ดำเนินการตามนั้น ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่คณะสงฆ์จะร่วมกันแสดงสังฆามติ
ทั้งนี้เครือข่ายองค์กรพุทธทั้งหมดพร้อมให้เวลารัฐบาลทำงาน ขอให้กำลังใจ แต่ก็จะเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด ส่วนดีเอสไอ ขอให้ยุติการเล่นเกมทางการเมือง ทำแบบนี้จะกลายเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่ม ขอให้เคารพต่อคณะสงฆ์โดยปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา อย่ากลายเป็นเครื่องมือทำลายล้างคณะสงฆ์ จะเป็นบาปที่ติดตัวไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/563804
11726  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: วันครู ปี 2559 แด่ ครูผู้สอนสั่ง เมื่อ: มกราคม 16, 2016, 09:33:29 am


 st12 st12 st12
11727  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคราะห์ร้ายจงหายไป รวม5วัดดัง 'ไหว้ราหู' แก้เคล็ด ผ่อนร้ายกลายเป็นเฮง เมื่อ: มกราคม 16, 2016, 09:31:24 am


เคราะห์ร้ายจงหายไป รวม5วัดดัง 'ไหว้ราหู' แก้เคล็ด ผ่อนร้ายกลายเป็นเฮง

ช่วงนี้กระแสเรื่องดวงมาแรงมากๆ โดยเฉพาะมีข้อมูลจากหมอช้าง ทศพร ศรีตุลา หมอดูชื่อดังเมืองไทย ระบุว่า 'ดาวราหู' หรือ 'พระราหู' จะมีการโยกย้าย ในวันที่ 16 มกราคม 2559 นี้ และหลังจากนั้น 4 ราศี ได้แก่ ราศีมีน ราศีกันย์ ราศีสิงห์ และราศีกุมภ์ จะได้รับผลกระทบหลังจากนี้ทันที

สำหรับใครที่มีความกังวลเรื่องนี้ หมอช้างก็แนะนำให้ไปไหว้รับ-ส่ง 'พระราหู' โดยไปสักการะ 'พระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหู' (พระพุทธรูปปางปราบราหู) เพื่อให้ชีวิตผ่านเคราะห์ร้าย (อ่านเพิ่มได้ที่ ฮือฮา 4 ราศีมีหนาว! 16 ม.ค. ราหูย้ายใหญ่) และเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสให้ดวงดีตลอดระยะ 1 ปีครึ่ง ที่ดาวราหูจะโคจรมาอยู่ตำแหน่งนี้ด้วย วันนี้ ไทยรัฐออนไลน์ จึงมีวัดแนะนำสำหรับการไหว้พระราหูมาฝากกัน

ส่วนจะมีที่ไหนบ้าง ตามมาเช็กกันเลย

1. วัดท่าไม้

วัดท่าไม้ ตั้งอยู่ที่ถนนเศรษฐกิจ 1 ซอย 8 ต.ท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ในวัดมีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2532 ภายในวัดมีพระอุโบสถสวยงาม ซึ่งด้านในมีพระพุทธรูปปางชินราช ขนาดหน้าตัก 69 นิ้ว ประดิษฐานอยู่รอบๆ วัด บรรยากาศร่มรื่น มีต้นไม้ปลูกล้อมรอบ มีสระน้ำยาวประมาณ 40 เมตร

ส่วนใหญ่ผู้คนจะนิยมไปวัดแห่งนี้เพื่อทำบุญไหว้พระ และไฮไลต์สำคัญที่โด่งดังสุดๆ ก็คือ การไหว้สักการะพระราหู เพื่อขอพรให้โชคดี พ้นภัย และเป็นการสะเดาะเคราะห์ ช่วยให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี

การเดินทาง : จากกรุงเทพฯ ขับรถมาทางถนนเพชรเกษม ผ่านพุทธมณฑลสายต่างๆ จากนั้นจะมีทางแยก มีป้ายบอกทางไปวัดท่าไม้ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าไปทางหลวง 3091 ขับตรงไปเรื่อยๆ จะเห็นซอยเข้าวัดท่าไม้จะอยู่ขวามือ


พระราหูอมจันทร์

2. วัดสามพระยา

วัดสามพระยา เดิมมีชื่อว่า วัดบางขุนพรหม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ มีอายุเก่าแก่ สร้างตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในแขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ และสร้างกุศลผลบุญอุทิศให้แก่ ขุนพรหม จุดสำคัญภายในวัดที่ผู้คนให้ความสนใจ คือ การมากราบไหว้สักการะ พระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหูยักษ์ เป็นพระประจำวันของคนที่เกิดวันอังคาร เป็นตัวแทนของการขจัดความมัวเมาลุ่มหลง เห็นผิดเป็นชอบที่เป็นลักษณะของราหู

การเดินทาง : วัดสามพระยา ตั้งอยู่ที่ถนนพระราม 8 แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ สามารถขึ้นรถเมล์สาย 23 ปรับอากาศ ไปลงป้ายเทเวศร์ จากนั้นเดินไปยังถนนสามเสน ข้ามคลองกรุงเกษม ตรงไปจนถึงแยกบางขุนพรหม (แบงก์ชาติ) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนวิสุทธิกษัตริย์ หรือจะนั่งแท็กซี่ก็ได้


มีหลายวัด ให้เดินทางไปกราบไหว้

3. วัดศรีษะทอง

วัดศีรษะทอง เดิมชื่อ วัดหัวทอง สร้างขึ้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในสมัยรัชกาลที่ 1 พระองค์ได้ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์ มาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ และได้อพยพชาวเวียงจันทน์มาตั้งหลักแหล่งอยู่หลายที่ด้วยกัน เช่น ริมแม่น้ำท่าจีน (แม่น้ำนครชัยศรี) ฝั่งตะวันตก มีเจ้าอาวาสคือ หลวงพ่อน้อย

หลวงพ่อน้อย ได้สร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังไว้หลายชนิด แต่ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก คือ พระราหูอมจันทร์ และ พระโคสุลาภหรือวัวธนู โดยเฉพาะ สำหรับพระราหูอมจันทร์ ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในชุดเบญจเครื่องรางที่ได้รับการยอมรับมาช้านาน ผู้คนจึงศรัทธา และนิยมเดินทางมากราบไหว้กันมาก

การเดินทาง : วัดนี้ตั้งอยู่ที่ถนนเพชรเกษม ต.ห้วยตะโก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม จากกรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี ให้ขับรถไปถนนบรมราชชนนี (หมายเลข 338) ตรงไปจนผ่านแยกถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนตะวันตก) จากนั้นตรงไปอีกสักพัก ผ่านพุทธมณฑลแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรเกษม จากนั้นตรงไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกทาง และเลี้ยวขวาอีกครั้งเข้าวัดศรีษะทอง สามารถมาไหว้พระราหูได้ทุกวัน (ยกเว้นวันพระ)


4 ราศี ควรไหว้พระราหูเสาร์นี้

4. วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร

วัดไตรมิตรวิทยาราม หรือ วัดสามจีน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของสถานีรถไฟหัวลำโพง บนถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ สำหรับที่นี่ก็เป็นวัดอีกแห่งที่ผู้คนให้ความสนใจ นิยมไปไหว้พระนารายณ์ทรงครุฑประทับยืนบนพระราหู ซึ่งตั้งอยู่ในบนวิหารหลังเก่าของวัดไตรมิตรวิทยาราม เพื่อเสริมสิริมงคลชีวิต โดย วัดไตรมิตรฯ เปิดให้ไหว้บูชาพระราหูที่พระวิหารหลังเก่า ตั้งแต่เวลา 17.00-21.00 น. เปิดทำการทุกวัน

การเดินทาง : โดยรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ไปยังสถานีหัวลำโพง จากนั้นสามารถเดิน หรือต่อรถแท็กซี่ไปยังวัดได้ง่ายๆ ใกล้นิดเดียว


ภาพสลักนูนพระราหู

5. วัดขุนจันทร์

วัดวรามาตยภัณฑสาราราม หรือ วัดขุนจันทร์ เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2370 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อคราวที่เกิดขบถเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ในปี พ.ศ.2369 พระองค์ได้ส่งแม่ทัพยกทัพไปปราบ แล้วนำตัวเชลยเวียงจันทน์มามากมาย แล้วได้สร้างวัดขึ้นเป็นการสร้างกุศล ชื่อว่า วัดขุนจันทร์

จุดเด่นของวัด ก็คือ พิธีการสวดมนต์นพเคราะห์-ราหู มีประชาชนเดินทางมาร่วมงานกันอย่างหนาแน่น โดยสามารถเข้าร่วมพิธีสวดนพเคราะห์-พระราหู ณ บริเวณลานหลวงพ่อใหญ่วัดขุนจันทร์ ทางวัดมีเครื่องบูชาราหูให้ซื้อได้สะดวกสบาย หรือจะนำไปเองก็ได้เช่นกัน

การเดินทาง : วัดนี้ตั้งอยู่ที่ถนนเทอดไท แขวงตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร สามารถขับรถเข้ามาทางเทอดไท 26 จะเจอแยกซ้ายมือ เลี้ยวเข้าวัดขุนจันทร์ได้เลย

ขอบคุณภาพแะลบทความจาก
https://www.thairath.co.th/content/563290
11728  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรียกท่านว่า...พระฝั้น เมื่อ: มกราคม 16, 2016, 09:24:22 am



เรียกท่านว่า...พระฝั้น

อ๊อด เทอร์โบ นั่งตอบสารพันปัญหา กลายเป็นคนเจ้าปัญหา ถามถึงคำ...ยศช้าง ขุนนางพระ เรื่องของบรรดาศักดิ์ นับแต่ ขุน หลวง พระ พระยา ไปถึงสมเด็จ เจ้าพระยา รวมๆเรียกว่า ขุนนางนั้น...มักเปลี่ยนคนธรรมดา ให้เป็นคนที่ไม่ธรรมดา พอเป็นขุนนาง...สองขาที่เคยใช้เดินได้ ก็ไม่ได้ ต้องนั่งคานหามของกินของใช้ บางชั้นยศต้อง “ใส่พานทอง”

เมียที่เคยมีคนเดียว...เพื่อให้ทัดหน้าเทียมตาขุนนางด้วยกัน ก็ต้องมีหลายคน ทีนี้ เมื่อเอาค่านิยม “ขุนนาง” ไปให้พระ พระที่เคยถือพัดธรรมดา ก็ได้พัดใบสาเก ชั้นสูงด้ามงา ช้างเผือก ที่มียศพระยา...มีคนเป็นบริวารคอยดูแลเป็นโขยง ดื่มน้ำจากถาดทอง

สภาพนี้ คนแก่วัดรำคาญ...พระมียศศักดิ์อัครฐานแค่ไหน...ก็ยังต้องฉันมื้อเดียว มีเมียก็ไม่ได้ ช้างถึงเวลาก็ถูกไสให้พังประตู หรือไล่ชนอะไร...ตามใจคน

สรุปคำยศช้าง ขุนนางพระ เป็นคำเปรียบเปรยเสียดสี เป็นขุนนางแล้ว...ชีวิตก็ยังอยู่ในกรอบจำกัดแบบเดิมๆ


 :96: :96: :96: :96:

ยศศักดิ์ เป็นเรื่องวัดฐานะแบ่งแยกมนุษย์...มาทุกยุคทุกสมัย พระพุทธเจ้าสอนว่า มนุษย์นี้ หนีไม่พ้น มียศ เสื่อมยศ มีลาภ เสื่อมลาภ สุขทุกข์ นินทาสรรเสริญ เรียกว่าโลกธรรม 8 ข้อ

     เรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง...ของสมเด็จโต วัดระฆัง เช้าวันนั้นท่านถูกนิมนต์ไปพายเรือรับบิณฑบาต จากรัชกาลที่ 4 ในสระน้ำวังสระปทุมฯ ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ
    “งาม...ไหม ขรัวโต” รัชกาลที่ 4 คุ้นเคยสมเด็จโตมาตั้งแต่สมัยบวชเป็นพระ...ตรัสถาม
    “งามเหมือนราชรถ ขอถวายพระพร”

     พระอารมณ์แจ่มใสของรัชกาลที่ 4 ก็เปลี่ยนไป...
     ในทางโลกนั้น วังสร้างใหม่สวยงาม แต่ในทางพระ...เหมือนราชรถ
     พุทธภาษิตบทหนึ่งว่า "โลกนี้งามเหมือนราชรถ ที่บรรดาคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่"

 :25: :25: :25: :25:

เมื่อเอาความงามทางโลกไปถวายให้พระ...พระท่านสนองสองแบบ...แบบแรก ท่านใช้หลักความสัมพันธ์ บ้านกับวัดต้องไปด้วยกัน ท่านก็รับ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านก็รับ ได้สมณศักดิ์ถึงชั้นธรรม...แต่วัตรปฏิบัติและคำสอนท่านก็ชัดเจน ท่านไม่ยึดติดยศศักดิ์อัครฐานนั้น...เลยสักนิดเดียว

อดีตเจ้าคุณ เอ้า...ขอเอ่ยชื่อ “หลวงตาจันทร์” ตอนที่ท่านกำลังดังๆ ด้วยสถิติสามปี จากหลวงตา เป็นเจ้าคุณชั้นสามัญ ชั้นราช แล้วก็ขึ้นชั้นเทพ...โยมติ๋มชวนผมไปสัมภาษณ์ ผมถามถึงพัดยศชั้นเทพ...ท่านชี้ไปที่ศาลาใหญ่บอกว่า พัดยศเจ้าคุณอยู่ที่นั่น แต่ที่อยู่นี่ หลวงตา ผมนับถือท่านได้พักใหญ่ ต่อมาท่านก็สึก เป็นข่าวให้พวกผมต้องตามข่าวต่อ เรื่องไปยิงปืนทวงสัญญาจากสีกา


 ans1 ans1 ans1 ans1

พระที่ไม่ยอมรับยศขุนนาง...มีหลายรูป รูปหนึ่งที่ผมไปทำข่าวเองราวปี 2521...หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดเขาถ้ำขาม ในเทือกภูพาน...ต้นมะขามสองคนโอบเหมือนสำค้ำ ในกุฏิต้นนั้น เปลือกถูกลอกไปจนเกลี้ยง...ถึงเนื้อใน ชาวบ้านถือว่า ทุกอย่างใกล้ตัวท่าน เป็นของขลังคุ้มตัวได้ ที่วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณนานิคม สกลนคร...ก้อนหินใกล้กุฏิทุกก้อน ถูกเก็บไป...ไม่มีเหลือ

หลวงปู่ท่านมีแต่เมตตา ไม่ขัดศิษย์ที่ขอทำพระเครื่อง รูปเหรียญ ใครเอาไปคุ้มตัวได้มาคุย ท่านมีท่าไม่ยินดี รอจนศิษย์บอกว่า วินาทีคับขัน อุทานคำ “พุทโธ” ท่านก็ถือโอกาสสอน “พุทโธนั่นต่างหาก คุ้มตัวเธอ”

 st11 st11 st11 st11

มีเรื่องเล่าว่า...มีข้อเสนอ “ขุนนางพระ” ให้ท่านบ่อย ท่านไม่รับ ท่านก็รอดจากบ่วงราชรถ...ไปได้ แต่พอท่านมรณภาพ...ท่านก็ได้รับพระราชทาน “หีบทองแท่งทึบ” ใส่ศพ หีบทองแท่งทึบ...ราชสำนักใช้กับ “หม่อมเจ้า” ในทางพระเทียบกับสมณศักดิ์เจ้าคุณชั้นเทพ...

เป็นพระราชประสงค์ ถวายเกียรติให้ พระที่มักบอกศิษย์ “เรียกฉันว่า พระฝั้น” ได้รับเกียรติทางโลก เป็นเจ้าคุณชั้นเทพ พระดีๆที่เข้าถึงธรรมะ ท่านมีวิถีทำนองนี้...ส่วนพระพวก ที่หลงราชรถ แบ่งพวกวิวาทบาดหมางกัน จนรำคาญหูชาวบ้านนั้น น่าจะเป็นพระอีกพวก.

คอลัมน์ ชักธงรบ โดย กิเลน ประลองเชิง
https://www.thairath.co.th/content/562567
11729  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "พุทธศาสนา" เป็นศาสนาประจำชาติ "อิตาลี"...แล้วครับ เมื่อ: มกราคม 16, 2016, 09:04:49 am

"พุทธศาสนา" เป็นศาสนาประจำชาติ "อิตาลี"...แล้วครับ

ราวสิบกว่าปีมาแล้ว สื่อมวลชนในยุโรปได้แถลงกันยกใหญ่ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่จะเติบโตเร็วที่สุดในสมัยศตวรรษที่ 21 เพราะเห็นว่ากระแสผู้นับถือเติบโตเร็วมากทั้งในทวีปยุโรป, ออสเตรเลีย และอเมริกาเหนือ ไม่ว่าฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, อังกฤษ, สเปน, ออสเตรเลีย ฯลฯ วัดวาอารามผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง คนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนำพระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศฝรั่งเหล่านี้แต่ไหนแต่ไรมาส่วนมากแล้วนับถือศาสนาคริสต์มาก่อน และกระแสชาวคริสต์หันมานับถือพระพุทธศาสนานี้ก็ก่อตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19
ประเทศยุโรปบางแห่ง เช่น อิตาลีได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ยกพระพุทธศาสนาให้เป็นหนึ่งในศาสนาสำคัญของชาติ ไม่ต่างอะไรกับศาสนาคริสต์

สมเด็จพระสันตปาปา จอห์น ปอล ที่สองซึ่งเป็นประมุขของคริสตจักร นิกายโรมันคาทอลิก ทรงมองเห็นกระแสดังกล่าว ครั้งได้ประทานสัมภาษณ์แก่วิตโดริโอ เมสซุรี่ นักเขียนและนักสื่อมวลชนที่มีชื่อของอิตาลี เมื่อ ค.ศ. 2536 อันเป็นช่วงที่มีการเฉลิมฉลองครบ 15 นับแต่ที่พระองค์ได้ ทรงรับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสันตปาปา จึงทรงตั้งพระทัยวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาพระพุทธศาสนาอย่างตรงๆ

ต่อมาบทประทานสัมภาษณ์ซึ่งมีหลายตอนนี้มาพิมพ์รวมเล่มในรูปหนังสือชื่อ Crossing the Threshhold of Hope (London, Jonathan Cape, 1994) มีทั้งหมด 244 หน้า (รวมดรรชนีคำศัพท์) ตอนที่ทรงวิพากษ์วิจารณ์คำสอนพระพุทธเจ้า (ซึ่งทรงเข้าพระทัยผิดๆ อยู่มาก) อยู่ในบทที่ 12 มีทั้งหมด 7 หน้า (ตั้งแต่หน้า 84-90)


 :96: :96: :96: :96: :96:

สาเหตุที่ทรงวิจารณ์พระพุทธศาสนา มีกล่าวชัดในบทประทานสัมภาษณ์ กล่าวคือทรงต้อง การเตือนสติชาวคริสต์ทำนองว่าไม่ควรด่วนเข้าไปนับถือคำสอนพระพุทธศาสนา แต่ควรใช้วิจารณญาณ (For this reason, it is not inappropriate to caution those Christians who enthusiastically welcome certain ideas originating in the religious traditions of the Far East, pp.89-90) ที่เป็นดังนี้ เพราะกระแสคนหันมานับถือพระพุทธศาสนา และช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างแข็งขันในยุโรป ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมักเป็นชาวคริสต์มาก่อน หลายคนเคยเป็นบาทหลวงระดับสูง

ต่อมาก็มีฝรั่งนักวิชาการชาวพุทธหลายคนทั้งพระ ทั้งฆราวาส ซึ่งเคยเป็นชาวคริสต์มาก่อน ได้เขียนตอบโต้พระองค์ลงวารสารต่างๆ มากมาย ที่โดดเด่นก็ คือ กลุ่มพระสงฆ์ชาวอิตาเลี่ยนในอิตาลี นำโดย พระฐานวโร ได้เข้าเฝ้าเพื่อทูลชี้แจงให้สมเด็จพระสันตปาปาทรงทราบด้วยซ้ำว่าทรงอธิบายพระพุทธศาสนาผิดๆ

ยุโรปตอนนี้จึงเหมือนอินเดียครั้งพุทธกาล ศาสนาเดิมที่ผู้คนนับถือคือศาสนาพราหมณ์ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาก็มีผู้เคยนับถือศาสนาพราหมณ์มานับถือ และขวนขวายเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเดือดเนื้อร้อนพระทัยว่าใครจะหันมานับถือศาสนาของพระองค์หรือไม่ ทรงสอนให้ผู้ฟังเทศน์ของพระองค์รู้จักไตร่ตรองหาเหตุผลให้รอบคอบก่อนถึงจะเชื่อ หลายคนที่หันมานับถือคำสอนของพระองค์เคยให้ความอุปถัมภ์ศาสนาอื่นมาก่อนก็มี พระองค์ก็ทรงแนะให้คนเหล่านี้กลับไปคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ มิหนำซ้ำพระองค์ยังคงแนะให้บรรดาผู้หันมานับถือพระพุทธศาสนาเหล่านี้ยังคงอุปถัมภ์บำรุงศาสนาอื่นๆ ที่ตนเคยนับถือตามปกติไปด้วย

 :25: :25: :25: :25:

แต่เดิมศาสนาคริสต์ถูกลัทธิมาร์กซ์โจมตีอย่างรุนแรงมาร์กซ์ได้ประณามศาสนาว่า คือยาเสพติด เพราะสอนให้ประชาชนศรัทธาแบบหัวปักหัวปำโดยไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรอง หลายอย่างขัดแย้งหลักวิทยาศาสตร์ เช่น โลกแบน, โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ฯลฯ นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบความจริงใหม่ ๆ หลายคนถูกศาสนจักรลงโทษจนตายในคุก

แต่เมื่อพระพุทธศาสนาเข้าสู่ยุโรป พระพุทธศาสนาได้สอนให้ปัญญาชนชาวยุโรปได้เข้าใจความหมายของ Religion เสียใหม่ว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าคือคำสอน ซึ่งทรงสอนให้ผู้ฟังใช้ปัญญาพิจารณาอย่างถ่องแท้ก่อนจะปลงใจเชื่อ ไม่ใช่เทวโองการ (Gospel)จากพระเจ้าซึ่งแย้งไม่ได้ พระสงฆ์หรือพุทธสาวกก็มิใช่มิชชันนารี ซึ่งมีภารกิจหลักคือ จาริกไปชี้ชวนให้ใครต่อใครมานับถือพระศาสนา

พระสงฆ์หรือพุทธสาวกมีหน้าที่เพียงอธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ คนที่สนใจฟังเท่านั้น ใครไม่สนใจฟัง ชาวพุทธก็ไม่เคยใช้กฎหมายหรือรัฐธรรมนูญบังคับให้นับถือ ไม่เคยตั้งกองทุนให้การศึกษาฟรี แล้วสร้างเงื่อนไขให้ผู้รับทุนเปลี่ยนมาเป็นชาวพุทธ ไม่เคยสร้างที่พักอาศัยให้หรือแจกทานให้อาหารฟรีๆ แล้ววางเงื่อนไขให้คนมาขออาศัยตนต้องหันมานับถือศาสนาในภาวะจำยอม


 st12 st12 st12 st12

ขณะที่ศาสนาคริสต์ต้องใช้ความพยายาม อย่างหนักเพื่อดึงศรัทธาชาวยุโรปให้นับถือเหมือนเดิม ในเวลาเดียวกันก็พยายามแสวงหาผู้นับถือใหม่ๆ ในประเทศเอเชียให้มากยิ่งขึ้น การเผยแพร่หนังสือ “พลังชีวิต” ซึ่งจัดพิมพ์โดยมูลนิธิอาร์เธอร์ เอส เดอมอส ในประเทศไทยคือหนึ่งในความพยายามดังกล่าวนี้

ความใจกว้างและมีหลักคำสอนที่เป็นสัจธรรม เชิญชวนให้มาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติเองและเน้นให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนนับถือ ทำให้พระพุทธศาสนาได้รับการยอมรับจากวิญญูชนไปทั่วโลก นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ดัง ๆ ระดับโลกจำนวนมาก เช่น โซเพน ฮาวเออร์, ไอน์สไตน์ ต่างหันมานับถือพระพุทธศาสนา นับแต่พระพุทธศาสนาเข้ายุโรปสมัยศตวรรษที่ 19 ก็มีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงสถิติว่าคนยุโรปและอเมริกาชาติต่าง ๆ หันมาเข้าวัดในพระพุทธศาสนามากขึ้นบ้าง ประกาศตนเป็นพุทธมามกะมากขึ้นบ้าง สถานปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาซึ่งรวมทั้งวัดวาอารามเพิ่มขึ้นที่นั่นที่นี่ประจำบ้าง

 st11 st11 st11 st11

เดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาก็มีข่าวออกมาอีกว่า ดาราฮอลลี้วูดอังกฤษ ชื่อ ออร์นันโด บลูม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้แสดงนำในหนังเรื่อง The Lord of the Rings ได้ทำพิธีประกาศตนเป็นพุทธมามกะต่อหน้าสาธารณชนอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว

ระหว่างทหารอเมริกันพยายามไล่บี้ทหารอิรักอย่างเมามันตามคำสั่งของประธานาธิบดีบุชไม่นานมานี้ ทหารอเมริกันคนหนึ่งนามว่า เจเรมี่ ฮินซ์แมน วัย 26 ปี ได้ตัดสินใจหนีทัพอเมริกาในอิรักไปปักหลักลี้ภัยในแคนาดา เขาให้เหตุผลว่าสงครามที่อเมริกาทำกับชาวอิรักเป็นสงครามผิดกฎหมาย ประเด็นที่น่าสนใจก็คือเขาเป็นชาวพุทธที่สนใจปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เขาให้สัมภาษณ์ว่าคำสอนพระพุทธศาสนาสอนให้เขาไม่อยากทำสงคราม เขาตั้งปฏิญาณว่าจะรับใช้ชาติหรือพิทักษ์ชาติจากการรุกรานของข้าศึกศัตรู แต่มิใช่ไปทำสงครามแบบก้าวร้าวต่อชาติอื่นดังที่ทหารอเมริกันกำลังทำอยู่ในอิรักเวลานี้


 ans1 ans1 ans1 ans1

ผมได้ข่าวจากหนังสือพิมพ์ Lanka Daily News ในลังกาตั้งแต่ 23 ต.ค. ที่แล้วว่าปัจจุบันพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุดในแคนาดา ประเทศแคนาดาเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างที่สุดในอเมริกาเหนือ พระพุทธศาสนาเข้าแคนาดาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และมาบูมขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2503-2513 (1960s) เป็นต้นมา ช่วงนั้นมีการสำรวจพบว่า วัดชาวพุทธมีแค่ 18 วัด มีชาวแคนาดาปฏิบัติธรรมราวๆ 10,000 คน แต่เมื่อสำรวจผู้นับถือพระพุทธศาสนาอีกครั้งในพ.ศ. 2528 ชาวพุทธมีเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 คน

หกปีหลังจากนั้นคือ พ.ศ. 2534 รัฐบาลสำรวจคร่าวๆ อีกครั้งพบว่าผู้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะมีเพิ่มเป็น 163,415 คน รัฐมาสำรวจครั้งล่าสุดอีกครั้ง เมื่อพ.ศ. 2544 พบว่าพุทธมามกะแท้ ๆ มีไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน แซงหน้าจำนวนผู้นับถือศาสนาฮินดูและศาสนาซิกข์ ซึ่งเคยตามหลัง จำนวนผู้นับถือยังเติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นนี้ทุกปี

ผลสำรวจยังบอกว่าวัด, สถานที่ปฏิบัติธรรม หรือศูนย์กลางของชาวพุทธในแคนาดาตอนนี้มีเกือบๆ จะถึงหนึ่งพันแห่งทั่วประเทศ เมืองที่มีชาวพุทธมากที่สุดคือ ออนตาริโอ, บริติชโคลัมเบีย และควิเบก ข่าวยังลงด้วยว่าแม้จำนวนคนนับถือจะยังอยู่เรือนแสน แต่จำนวนผู้แสดงความสนใจและเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาบ้างแล้วมีหลายล้านคนทั่วประเทศ

 :25: :25: :25: :25:

เมื่อ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา โฆษกประจำรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กระพือข่าวว่า องค์ทะไลลามะจะได้รับอนุญาตให้เข้ารัสเซีย หลังจากถูกแบนเพราะเกรงจะกระทบความสัมพันธ์กับจีน หลังจากรัสเซียเซ็นสัญญามิตรภาพกับจีน เมื่อ พ.ศ. 2544 แต่ชาวรัสเซียก็แสดงจุดยืนชัดเจนว่า องค์ทะไลลามะจะมาเยือนด้วยภารกิจศาสนา เมื่อกระแสประชาชนเรียกร้องหนักขึ้น รัสเซียก็ยอมอนุญาตให้ท่านเข้ารัสเซียแต่โดยดี ปลาย พ.ย.ที่ผ่านมา

ท่านทะไลลามะจึงมีโอกาสแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทและประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกที่เมืองกัลมิเกีย ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมอสโกประมาณหนึ่งพันไมล์ ชาวรัสเซียหลายคนในเมืองนี้มีบรรพบุรุษเป็นชาวมองโกลซึ่งอพยพจากทางตะวันตกของจีนเข้าสู่รัสเซียเมื่อราว 4 ร้อยกว่าปีมาแล้ว พระพุทธศาสนาที่นำเข้ามาจึงเป็น พระพุทธศาสนาแบบทิเบต

ผลปรากฏว่า มีชาวพุทธและผู้สนใจทั่วๆ ไปชาวรัสเซียแห่กันมาฟังธรรมล้นหลามเป็นจำนวนหลายพันคน ผู้สื่อข่าวรายงานลงใน Ireland Online ว่าจากจำนวนประชากรของเมืองนี้ ทั้งหมดราว 3 แสนคน ประมาณครึ่งหนึ่งนับถือพระพุทธศาสนา รัสเซียมีประชากรราว 144 ล้านคน ในจำนวนนี้มีราว 1 ล้านคน ที่ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ


 ask1 ans1 ask1 ans1

ผมดูภาพรวมพระพุทธศาสนาจากข่าวสารต่างๆ แล้วก็รู้สึกได้ว่าวัฒนธรรมแบบพุทธกำลังเติบโตและเบ่งบานในหลายๆ ประเทศของทวีปยุโรป, ออสเตรเลีย และอเมริกาบางแห่ง เช่น รัสเซียแม้จะเติบโตช้า แต่ปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ก็เริ่มมีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น

ผมคิดว่าปัญญาชนในประเทศทุนนิยมทั่วโลกเวลานี้คงเอือมระอากับ “ทุนนิยมเสรี” หรืออีกชื่อหนึ่งว่า กระแสโลกาภิวัตน์กันไม่น้อย และก็คงเห็นชัดเจนแล้วว่า มีแต่ศาสนาเท่านั้นที่จะช่วยเปลี่ยนให้มนุษย์มีความเป็นผู้เป็นคน(ใจสูง) มากขึ้น ท่ามกลางกระแสสังคมที่มีแต่นายทุนจอมตะกละตะกรามแสวงหากำไรสูงสุดอยู่ทุกแห่ง ดังนั้น จึงเริ่มผ่อนปรนให้ผู้นำศาสนาทำงานได้สะดวกขึ้น


ที่มา : ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
http://www.siamrath.co.th/Education.asp?ReviewID=89725
http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=buddhiststudies&id=61
ขอบคุณเว็บ http://www.vcharkarn.com/vcafe/120279
11730  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไม่บัญญัติพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ เมื่อ: มกราคม 16, 2016, 08:56:19 am



ไม่บัญญัติพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ

คุณอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ แถลงความคืบหน้าการร่างรัฐธรรมนูญที่ชะอำว่า ในหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ได้บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งพระพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก และที่ประชุมยังเห็นชอบว่า จะไม่บัญญัติให้ “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ เห็นว่าหากใส่ถ้อยคำดังกล่าวไว้ จะเป็นอันตรายในระยะยาว

ผมไม่รู้ว่ากรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้กลัวอะไร และอะไรคืออันตรายในระยะยาว

การบัญญัติให้ ศาสนาที่มีคนส่วนใหญ่ในประเทศนับถือ เป็น ศาสนาประจำชาติ ทุกประเทศก็ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรืออันตรายแต่อย่างใด มีรายงานการวิจัยของ ศาสตราจารย์ ดร.โรเบิร์ต เจ.บาร์โร ระบุว่า มีถึง 58 ประเทศในโลกที่มี การ บัญญัติ “ศาสนาประจำชาติ” ไว้ในรัฐธรรมนูญ และก็ไม่มีคนในศาสนาอื่นในประเทศเหล่านี้ต่อต้านแต่อย่างใด เพราะรู้ดีว่าศาสนาดั้งเดิมของคนส่วนใหญ่ในประเทศนั้นคืออะไร ย่อมที่จะให้เกียรติเจ้าของประเทศ


 :96: :96: :96: :96:

คุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญไปค้นข้อมูลดูได้พระพุทธศาสนา เข้ามาเผยแผ่ใน ประเทศไทย ราว พ.ศ.236 สมัยเดียวกับที่เข้าไปเผยแผ่ใน ศรีลังกา จาก พระธรรมทูต 9 สาย ที่ พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดียที่ส่งออกไปเผยแผ่พุทธศาสนา ประเทศไทยสมัยนั้นยังรวมอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ จาก พ.ศ.236 ถึง พ.ศ.2559 พุทธศาสนาก็อยู่ในดินแดนไทยมานานถึง 2,323 ปีแล้ว แล้วกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญไปกลัวอะไร จึงไม่กล้าบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

จากรายงาน การสำรวจภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม พ.ศ.2554 ของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ประชากรของประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 94.6 นับถือ ศาสนาอิสลาม ร้อยละ 4.6 และนับถือ ศาสนาคริสต์ ร้อยละ 0.7 ที่เหลือคือผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ และผู้ที่ไม่มีศาสนา

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ในงานการวิจัยของ ศาสตราจารย์ ดร.โรเบิร์ต เจ.บาร์โร ระบุว่า ประเทศที่ระบุศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มอิสลาม กลุ่มคริสเตียน และลัทธิเก่าในยุโรป และ กลุ่มพุทธและฮินดู โดย กลุ่มอิสลาม จะระบุชัดเจนไว้ในรัฐธรรมนูญเลยว่า lslam is the religion of state หรือ The religion of the State is lslam ศาสนาอิสลามคือศาสนาประจำชาติ

ความจริง ชาวพุทธ เมื่อเทียบกับศาสนาอื่น ถือว่ามีจำนวนน้อยมาก เพียง 6 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองโลกเท่านั้นเอง ประเทศที่เคร่งในพุทธศาสนามากที่สุดก็คือ ภูฏาน รัฐธรรมนูญของภูฏานเรียกกันว่า Buddhist Constitution เลยทีเดียว เพราะมีการบัญญัติถึงกระบวนการแต่งตั้ง พระสังฆราช ในรัฐธรรมนูญด้วย

 st12 st12 st12 st12

รัฐธรรมนูญภูฏาน บัญญัติไว้ว่า ศาสนาพุทธคือมรดกทางจิตวิญญาณของภูฏาน ซึ่งส่งเสริมหลักการและคุณค่าของสันติภาพ ความไม่รุนแรง ความเมตตา และความอดกลั้น

อีกประเทศหนึ่งที่มีการบัญญัติพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญก็คือ ศรีลังกา โดยบัญญัติว่า สาธารณรัฐศรีลังกาจะยกศาสนาพุทธไว้ในที่สูงสุด และโดยนัยนี้ เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องปกป้องและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ในขณะเดียวกันก็ให้ความมั่นใจว่า ทุกศาสนาจะมีสิทธิตามมาตรา 10 และมาตรา 14...

 ans1 ans1 ans1 ans1

แม้แต่ ลาว ที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ก็ยังบัญญัติว่า รัฐเคารพและปกป้องกิจกรรมอันถูกต้องตามกฎหมายของชาวพุทธ และผู้นับถือศาสนาอื่น ส่งเสริมพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ รวมทั้งพระในศาสนาอื่น โดยระบุชื่อ ศาสนาพุทธ อย่างชัดเจน

ก็ในเมื่อคนไทยเกือบ 70 ล้านคน เป็นชาวพุทธถึง 94.6% หรือกว่า 66 ล้านคน แล้ว กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ไปกลัวอะไร จึงไม่กล้าระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ฟังเหตุผลแล้วมันทะแม่งฟังไม่ขึ้นนะ.


คอลัมน์ หมายเหตุประเทศไทย โดย “ลม เปลี่ยนทิศ”
https://www.thairath.co.th/content/562574
11731  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อามะภันเต (ใช่ครับ) เมื่อ: มกราคม 16, 2016, 08:52:23 am



อามะภันเต

วันนี้ (16 ม.ค.) ดาวพระราหู ดาวบาปเคราะห์ดวงสำคัญจะยกย้ายจากราศีกันย์ไปสถิตราศีสิงห์ และอยู่ยาว ไปอีก 18 เดือน อิทธิพลดาวพระราหูจะทำให้บ้าน เมืองเผชิญเงาดำของความมืดมน ความขัดแย้งชุดเดิมยังไม่คลี่คลาย จะมีความขัดแย้งชุดใหม่เพิ่มเข้ามา อย่างไรก็ดี การย้ายที่อยู่ของดาวพระราหูครั้งนี้จะทำให้ความคลุมเครือสับสนบางเรื่องสิ้นสุดลง เหมือนเหรียญย่อมมี 2 ด้านฉะนั้นแล

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่ากรณีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ซึ่งเป็นข่าวสับสนวุ่นวายมาหลายวัน

ล่าสุด นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้รับ หนังสือยืนยันจากมหาเถรสมาคมที่ลงมติเห็นชอบให้ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ)” เจ้าอาวาสวัดปากนํ้าภาษีเจริญ เป็นผู้สมควรได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 ของประเทศไทย เป็นมติเห็นชอบร่วมกันของคณะกรรมการมหาเถรสมาคมทุกองค์ ไม่มีความเห็นเป็นอื่นแม้แต่เสียงเดียว


 :25: :25: :25: :25:

“แม่ลูกจันทร์” มองว่ามติเห็นชอบโดยเอกฉันท์ในที่ประชุมมหาเถรสมาคม ซึ่งมีสมเด็จพระราชาคณะทั้งฝ่ายธรรมยุต และมหานิกาย จำนวนใกล้เคียงกัน เป็นการยืนยันความเหมาะสมและความชอบธรรม ของ “สมเด็จพระมหา-รัชมังคลาจารย์” ที่จะได้รับการสถาปนาเป็นประมุขสงฆ์องค์ใหม่อย่างชัดเจน

ขั้นตอนต่อไป นายสุวพันธุ์ ในฐานะรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบโดยตรง จะต้องตรวจ สอบความถูกต้องให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนส่งต่อถึงรองนายกฯ ดร.วิษณุ เครืองาม ตรวจสอบซ้ำอีกที จากนั้นจึงเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชต่อไป ส่วนจะได้รับโปรดเกล้าฯหรือไม่ เป็นพระราชวินิจฉัยของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามประเพณี

 st12 st12 st12 st12

“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยกับรองนายกฯ ดร.วิษณุ ที่บอกว่าเรื่องนี้ต้องยึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญ ในเมื่อ ก.ม.ระบุชัดว่าที่ประชุมมหาเถรสมาคมเป็นผู้เห็นชอบเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณ-ศักดิ์เพียงรูปเดียว นั่นคือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ถ้าไม่ให้ตั้งสมเด็จช่วงฯ วัดปากน้ำ แล้วจะตั้งใคร??

ส่วนที่มีกระแสคัดค้านจากบางกลุ่มบางฝ่าย รัฐบาลไม่ถือเอากระแสคัดค้านมาเป็นหลักการตัดสินใจ เพราะการแต่งตั้งทุกตำแหน่ง ย่อมมีทั้งผู้พอใจและไม่พอใจเป็นธรรมดา

 st11 st11 st11 st11

“แม่ลูกจันทร์” ไม่รู้จักสมเด็จฯองค์นี้เป็นส่วนตัว ไม่เคยไปทำบุญวัดปากน้ำ-ภาษีเจริญ ไม่เคยเป็นสาวกวัดพระธรรมกาย แต่เชื่อว่าผู้ที่บวชเรียนมาตั้งแต่อายุ 14 ปี สามารถสอบจบเปรียญธรรม 9 ประโยค ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นสมเด็จพระราชาคณะยาวนานถึง 20 ปี ย่อมเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน

ส่วนกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวคัดค้านก็เป็นเรื่องนานาจิตตัง เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนไทยทุกคนเห็นตรงกัน 100 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น ก็อยู่ที่รัฐบาลจะตัดสินใจตามที่เห็นสมควร

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าในที่สุดเรื่องนี้จะจบด้วยดี ถ้ารัฐบาลยึดหลักกฎหมาย และเคารพ มติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ของที่ประชุมมหาเถรสมาคม ขออย่างเดียว...อย่าเอาประเด็นการเมืองไปยุ่งกับเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าให้เกิดปัญหาขัดแย้งแตกแยกยิ่งกว่าเดิม ปัญหาที่มีอยู่ก็เยอะแล้ว...จะเยอะไปถึงไหนกันอีกล่ะโยม.

คอลัมน์ สำนักข่าวหัวเขียว โดย “แม่ลูกจันทร์”
https://www.thairath.co.th/content/563101
11732  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปัญหาเรื่องนิกายและการสถาปนา′สมเด็จพระสังฆราช′ เมื่อ: มกราคม 16, 2016, 08:42:35 am


ปัญหาเรื่องนิกายและการสถาปนา′สมเด็จพระสังฆราช′

ความเห็นต่างหรือความคิดเห็นขัดแย้งกันทางศาสนาน่าจะมีมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ที่เกิดศาสนาขึ้นในโลกในปฐมเทศนาพุทธะก็วิพากษ์ศาสนาอื่นว่าเป็นแนวทางสุดโต่งเป็นวิถีปฏิบัติที่เลว ในคัมภีร์พุทธศาสนามีการจำแนกความเชื่อทางลัทธิศาสนาอื่นๆ ว่าเป็น "มิจฉาทิฐิ" อย่างน้อย 62 ความเชื่อ ขณะเดียวกันสังฆะที่พุทธะก่อตั้งขึ้นเอง ก็มีปัญหาขัดแย้งทางความคิดเห็นและเกิดความแตกแยกด้วยเช่นกัน ดังกรณีพระเทวทัตประกาศความเห็นที่แตกต่างและขอแยกตัวออกเป็นเอกเทศเป็นต้น

หลังพุทธกาล เมื่อเริ่มสังคายนาธรรมวินัยครั้งแรก ก็ปรากฏร่องรอยความไม่เป็นเอกภาพในหมู่ชาวพุทธ นั่นคือ ภิกษุณีและอุบาสกอุบาสิกาไม่มีสิทธิเข้าร่วมในการทำสังคายนา ทั้งที่พุทธะยืนยันว่าธรรมวินัยจะงอกงามแผ่ขยายได้ ก็ด้วยความร่วมมือของพุทธบริษัททั้งสี่ แน่นอน พระสงฆ์ส่วนมากที่ไม่ได้เข้าร่วมสังคายนาก็ย่อมไม่เห็นด้วยทั้งหมดกับ "ฉันทามติ" ของพระสงฆ์ 500 รูป ที่ร่วมกันทำสังคายนาครั้งนั้น


 :96: :96: :96: :96: :96:

ต่อมาก็เกิดพระสงฆ์กลุ่มใหญ่เรียกว่า "มหาสังฆิกะ" ที่ตีความธรรมวินัยแตกต่างไปจากมติของการสังคายนาครั้งแรก แล้วพัฒนาไปสู่การแยกเป็น 2 นิกายหลักคือ มหายานกับหินยานหรือเถรวาท แต่ละนิกายก็แยกเป็นนิกายย่อยๆ อีกจำนวนมาก

ถามว่า การแยกนิกายมีการโจมตี ข่มกัน หรือแข่งขันระหว่างนิกายไหม ตามหลักฐานทางเอกสารคือ "มี" แต่นี่ก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาที่ศาสนาอื่นๆ ในเวลานั้นก็มีการแยกนิกายและโจมตีกันเป็นปกติ ระหว่างศาสนาก็มีการวิจารณ์ โจมตี หรือโต้วาทะกันไปมา ซึ่งเป็นธรรมชาติของสังคมศาสนายุคโบราณ ในบรรยากาศแบบนั้นการแยกนิกายศาสนา การเลือกนับถือศาสนาเป็นไปอย่างเสรี (นักพรตสิทธัตถะก็เลือกทดลองปฏิบัติในหลายลัทธิก่อนจะค้นพบความจริงด้วยตนเอง) ปัญหาความรุนแรงทางศาสนามีน้อยมาก เนื่องจากแต่ละศาสนาไม่ได้มี "อำนาจรัฐ" ไปจัดการลงโทษเอาผิดคนที่คิดหรือเชื่อต่างจากพวกตน ในพุทธศาสนาเองหากพระทำผิดวินัยสงฆ์ก็เป็นเรื่องของพระสงฆ์ในวัดนั้นๆ และชาวบ้านที่ดูแลวัดนั้นๆ จัดการแก้ปัญหากันเอง ไม่เกี่ยวกับอำนาจรัฐ

 :25: :25: :25: :25:

อำนาจรัฐได้เข้ามาแทรกแซงหรือ "ลงโทษ" แก่พระภิกษุและภิกษุณีที่กระทำผิดกฎทางศาสนาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกเป็นต้นมา ต่อมารัฐต่างๆ ในเอเชียอาคเนย์ที่รับพุทธศาสนาแบบอโศก ได้ถือว่าผู้ปกครองเป็นธรรมราชามีหน้าที่เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก แต่ได้พัฒนาเกินไปจากพุทธศาสนาแบบอโศกอีก คือ มีการยกย่องว่ากษัตริย์นอกจากจะเป็นธรรมราชาแล้วยังเป็นพระโพธิสัตว์, สมมุติเทพ, พระพุทธเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มีการสถาปนาพระสังฆราช, สังฆราชา, สมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะชั้นต่างๆ สืบมาจนปัจจุบัน

หากมองจากประวัติศาสตร์สังคมการเมืองยุคเก่า จะเห็นว่า "ชนชั้นนำ" ในยุคนั้นคือ กษัตริย์, ขุนนาง, พระ จึงไม่แปลกที่รัฐต่างๆ ในเอเชียอาคเนย์จะมอบฐานันดรศักดิ์แก่พระ เนื่องจากรัฐในแถบนี้ล้วนเป็น "รัฐนาฏกรรม" ที่อาศัยหลักความเชื่อทางศาสนาให้ความชอบธรรมแก่สถานะ อำนาจ และการแสดงบุญบารมีของชนชั้นปกครอง และศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองได้ก็ด้วยการอุปถัมภ์จากอำนาจรัฐ เป็นทำนองเดียวกันนี้หมดไม่ว่าในโลกตะวันตกหรือตะวันออก


 st12 st12 st12 st12

แต่ในยุโรปช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สภาวะสมัยใหม่ (modernity) ได้เกิดการแยกศาสนจักรออกจากอาณาจักรคือเอาสถาบันศาสนาออกไปจากสถาบันการปกครองของรัฐหรือเปลี่ยนศาสนจักรที่เคยมีอำนาจรัฐให้กลายเป็นองค์กรศาสนาแบบเอกชน เพื่อแก้ปัญหาการกดขี่ ล่าแม่มด ความขัดแย้ง และสงครามในนามศาสนา ตรงกันข้ามกับการปรับตัวเข้าสู่สภาวะสมัยใหม่ของสยามไทย ที่เริ่มด้วยการสร้าง "ศาสนจักร" ที่มีอำนาจรัฐขึ้นมา

กล่าวคือ ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ แม้จะมีการสถาปนาพระสังฆราชและพระราชาคณะ แต่ตำแหน่งที่ว่าก็ไม่ได้มีอำนาจทางกฎหมาย และไม่มี "องค์กรปกครองสงฆ์" หรือ "ศาสนจักร" ที่มีอำนาจตามกฎหมาย เมื่อปฏิรูปการปกครองเป็นรัฐชาติ สร้างระบบราชการแบบสมัยใหม่ที่รวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลางในสมัย ร.5 ศาสนจักรที่เรียกว่า "มหาเถรสมาคม" ที่มีอำนาจตามกฎหมายปกครองพระสงฆ์ทั่วทุกภาคของประเทศจึงถูกสถาปนาขึ้น

 st11 st11 st11 st11

แน่นอน ก่อนหน้านั้นมีการแยกนิกายธรรมยุตโดย ร.4 (ขณะผนวชเป็น "วชิรญาณภิกขุ") ซึ่งก็เหมือนการแยกนิกายในยุคก่อนๆ คือ เริ่มด้วยการวิจารณ์ว่าสงฆ์กลุ่มเดิมไม่ได้ปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยที่ถูกต้องบริสุทธิ์ นิกายใหม่ถูกต้องบริสุทธิ์กว่า จนกำหนดประเพณีปฏิบัติว่าหากพระนิกายเดิมคือมหานิกาย จะเปลี่ยนเป็นธรรมยุต ต้องถอดจีวรนุ่งขาวแล้วเข้าพิธีบวชพระใหม่ และถือเป็นประเพณีสืบมาว่า "นาคหลวง" ที่อุปสมบทจากพระสองนิกายในพระอุโบสถวัดพระแก้ว หากเป็นธรรมยุตต้องไปทำพิธีบวชในโบสถ์ธรรมยุตซ้ำอีก จึงจะถือว่าเป็นพระโดยสมบูรณ์ ทำให้พระมหานิกายรู้สึกไม่พอใจว่าฝ่ายธรรมยุตไม่ได้มองพวกตนในฐานะเป็น "พระภิกษุ" เท่าเทียมกัน

แต่การที่แต่ละนิกายจะมองความเป็นพระไม่เทียมกัน อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะการข่มกันระหว่างนิกายก็มีมาตลอด มีกันทุกศาสนา แต่นั่นเป็นเพียง "ความเห็น" หรือทัศนคติ ปัญหาเกิดจากการที่รัฐบัญญัติกฎหมายกำหนดให้สถานะของพระ 2 นิกายไม่เท่าเทียมกันตั้งแต่มี พ.ร.บ.ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ฉบับ ร.ศ.121 ในสมัย ร.5 ที่กำหนดให้พระนิกายธรรมยุต (ซึ่งเป็นสงฆ์ส่วนน้อย) มีอำนาจปกครองพระมหานิกายได้ แต่พระมหานิกายปกครองพระธรรมยุตไม่ได้

 :25: :25: :25: :25:

หลังปฏิวัติสยาม 2475 ในปี 2476 พระมหานิกายจำนวนหนึ่งที่รู้สึกถึง "ความไม่ยุติธรรม" ในกฎหมายสงฆ์ดังกล่าว ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ จนเกิด พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ฉบับ พ.ศ.2484 แบ่งอำนาจออกเป็น 3 คือ สังมนตรี, สังฆสภา และคณะวินัยธร แต่สัดส่วนของสมาชิกสังฆสภาและสังฆมนตรีฝ่ายธรรมยุตยังมากกว่าฝ่ายมหานิกาย จนเกิดการร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น และเกิดความร้าวฉานในสังฆสภาอีกหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ "กรณีพระพิมลธรรม" เป็นเหตุให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้เป็นข้ออ้างในการยกเลิก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2484 และประกาศใช้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แทน โดยนำระบบมหาเถรสมาคมแบบสมัย ร.5 กลับมาใช้อีกและใช้มาจนถึงปัจจุบัน

หากจะกล่าวโดยภาพรวม ความขัดแย้งระหว่างธรรมยุตกับมหานิกายในยุคปัจจุบัน อาจไม่ปรากฏชัดเจน จะว่าไปพระทั้งสองนิกายมีการไปมาหาสู่ ทำกิจกรรมร่วมกัน เคารพให้เกียรติกันมากขึ้น เพราะในโลกสมัยใหม่การเคารพระหว่างนิกายศาสนากลายเป็นกระแสที่ยอมรับกันทั่วไป แต่ "การต่อสู้เชิงอำนาจ" ผ่าน "กฎหมาย" ยังเป็นปัญหาที่ดำรงอยู่อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เช่นมีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ฉบับ 2505 ในปี 2535 ที่กำหนดให้นับ "อาวุโสทางสมณศักดิ์" เป็นเงื่อนไขหลักของผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราช

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ขณะเดียวกันก็เกิด "ปรากฏการณ์พระป่า" สายธรรมยุตออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกเงื่อนไขดังกล่าว และเรียกร้องให้ถวายคืน "พระราชอำนาจ" ในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชให้เป็นไปตามพระราชศรัทธาดังโบราณราชประเพณี ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทย แต่ก่อนพระป่ามักมุ่งความสงบวิเวกเป็นหลัก ไม่เคยแสดงความเห็นหรือออกมาเคลื่อนไหวใดๆ ในประเด็นอำนาจและสมณศักดิ์ มักมีท่าทีไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเลยด้วยซ้ำ

อันที่จริง "การต่อสู้เชิงอำนาจ" ผ่าน "กฎหมาย" ไม่ใช่จะมีเฉพาะธรรมยุตกับมหานิกายที่ต่อสู้กันผ่านกฎหมายสงฆ์ 3 ฉบับดังกล่าวแล้ว ยังมีการพาดพิงถึงศาสนาอื่นด้วย เช่นมีการอ้างว่าศาสนาอิสลามออกกฎหมายต่างๆ เพื่อสิทธิประโยชน์ของตัวเองได้มากกว่า ฉะนั้น จึงต้องมีการออกกฎหมายอุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธศาสนา บัญญัติพุทธศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญเป็นต้น นี่ก็เป็นข้ออ้างในกลุ่มที่ผลักดันเรื่องนี้

 ans1 ans1 ans1 ans1

แต่ดังที่กล่าวแล้วตั้งแต่แรกว่า การแยกนิกายและการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีกันระหว่างศาสนาและนิกายศาสนา มีมาตลอดในประวัติศาสตร์ มันไม่ใช่ปัญหาในตัวมันเอง ซ้ำยังมีข้อดีที่ทำให้เกิดความเชื่อ แนวปฏิบัติที่หลากหลาย ก่อให้เกิดพัฒนาการทางปัญญาที่สอดคล้องยืดหยุ่นในบริบทของสังคมและยุคสมัยต่างๆ แต่ปัญหาระดับ "รากฐาน" จริง อยู่ที่รัฐให้อำนาจทางกฎหมายแก่คณะสงฆ์ และมีการบัญญัติกฎหมายที่ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคระหว่างนิกายขึ้น จึงเป็นเหตุให้มีการต่อสู้เชิงอำนาจผ่านการบัญญัติกฎหมายตลอดมา

ปัญหาดังกล่าวจะสามารถแก้ได้อย่างถาวร ก็ต่อเมื่อ "แยกศาสนาจากรัฐ" อาจมีตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม แต่ไม่ควรมีอำนาจทางกฎหมาย พระสงฆ์ทั่วไปควรมีอิสระปกครองตนเองตามหลักธรรมวินัยและกฎเกณฑ์ที่สำนัก วัด หรือสายครูอาจารย์ต่างๆ ร่วมกันกำหนดขึ้น ซึ่งจะทำให้พุทธศาสนาเจริญงอกงามอย่างเคารพความแตกต่างหลากหลาย และสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่

     สุรพศ ทวีศักดิ์
     นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452848704
11733  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คณะสงฆ์เตรียมนัดรวมตัว แสดง 'สังฆามติ' หาก รบ.ดองตั้งสังฆราช เมื่อ: มกราคม 16, 2016, 08:34:04 am



คณะสงฆ์เตรียมนัดรวมตัว แสดง 'สังฆามติ' หาก รบ.ดองตั้งสังฆราช

คณะสงฆ์กว่า 40 จังหวัดพร้อมเคลื่อนไหวรวมตัวแสดงสังฆามติ หากรัฐบาลดองเรื่องเสนอทูลเกล้าฯสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แฉดีเอสไอจ้องตรวจสอบรถยนต์ในพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำ ทั้งที่เป็นรถเก่า หวังสร้างภาพลบกับ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” บิ๊กตู่วอนเคารพการปกครองของสงฆ์ อย่ามัวหาเรื่องทะเลาะกัน

แม้ว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะส่งมติมหาเถรสมาคม ในการเสนอรายชื่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ไปยังรัฐบาล เพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้วนั้น แต่ยังคงมีกลุ่มที่ต่อต้านเรื่องนี้ออกมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังให้รัฐบาลชะลอเรื่องดังกล่าวไปก่อน

เมื่อวันที่ 15 ม.ค. พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ชัดเจนแล้วว่า รายชื่อของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติเสนอเพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช อยู่ที่รัฐบาลแล้ว ศูนย์พิทักษ์ฯ และคณะสงฆ์จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีการดองเรื่อง ไม่ยอมนำขึ้นทูลเกล้าฯ นานจนผิดสังเกต เช่น นำข้อเรียกร้องของพระ 1 รูป กับโยม 1 คน มาเป็นเงื่อนไข ในการชะลอเรื่องนี้ไว้ มากกว่าเชื่อความเห็นของมหาเถรสมาคมและพระสงฆ์ทั่วประเทศ ก็พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหว ขณะนี้มีคณะสงฆ์กว่า 40 จังหวัดแล้ว ที่ตอบรับจะออกมาร่วมเคลื่อนไหวแสดงสังฆามติในเรื่องนี้


 :96: :96: :96: :96: :96:

เลขาธิการศูนย์พิทักษ์ฯกล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกัน ยังมีกระแสข่าวออกมาว่า เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จะเข้าตรวจสอบรถยนต์ ที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ทั้งที่จากการสอบถามข้อมูลจากวัดปากน้ำฯ ทราบว่ามีเอกสารถูกต้องทุกประการ อีกทั้งยังเป็นรถที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของเก่า ร่วมกับของใช้ของคนในสมัยอดีต เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้ศึกษา ไม่ทราบว่าจะเข้ามาตรวจสอบทำไม หากต้องการตรวจสอบหรือขอข้อมูล ทำไมไม่ส่งเจ้าหน้าที่มาขอข้อมูลและสอบถามข้อเท็จจริง แต่จากกระแสข่าวที่ออกมาพบว่าจะมีการแจ้งนักข่าวมาทำข่าวด้วย ไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของดีเอสไอว่า ต้องการอะไรกันแน่ หรือเพียงต้องการให้มีภาพออกไป เพราะต้องการสร้างมลทินให้สมเด็จพระมหารัชมังคลา-จารย์ ตามความต้องการของคนบางกลุ่ม หากผลการตรวจสอบพบว่ามีความถูกต้องทุกประการ ใครจะเป็น ผู้รับผิดชอบกับภาพข่าวที่สื่อออกไป

พระเมธีธรรมาจารย์กล่าวอีกว่า กระแสข่าวที่เกิดขึ้น มาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ปรารถนาดีต่อคณะสงฆ์ แจ้งมาว่า ดีเอสไอมีการประชุมลับ และนัดกับสื่อมวลชนที่เป็นพรรคพวกตนเองมาร่วมตรวจสอบ ออกข่าวให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ มีภาพมัวหมอง คนที่ทำจะเป็นใครก็แล้วแต่ แต่ชัดเจนว่ามีเจตนาสร้างข้อมูลเท็จ มีการเตรียมใช้สื่อขยายความให้คนเห็นผิดจากข้อเท็จจริง

 :96: :96: :96: :96: :96:

ด้านนายพิศาล แช่มโสภา ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า เรื่องรถไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ที่อ้างว่าเป็นของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เรื่องนี้อยากให้ทุกฝ่ายใช้ปัญญา คิดพิจารณาว่า ท่านจะต้องซื้อรถทำไม ในเมื่อชาวพุทธที่เลื่อมใสท่านมีอยู่มาก ระดับท่านไม่จำเป็นต้องซื้อ ก็มีพอใช้ปฏิบัติศาสนกิจอยู่แล้ว ได้รถมาอย่างไร เรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก อย่านำการเมืองเข้ามาแทรกแซงในกิจการพระพุทธศาสนา ด้วยวิธีการที่ไม่สะอาด แค่นี้พระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ก็มีความรู้สึกที่แย่พออยู่แล้ว

สำหรับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ยังคงปฏิบัติศาสนกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เดินทางไปเป็นประธานพิธีพระราชทานสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร พระสงฆ์ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนเหนือ ที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช จ.พิษณุโลก หลังเสร็จสิ้นพิธีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กล่าวให้โอวาทว่า พระสงฆ์ต้องตั้งใจปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ สร้างพระพุทธศาสนาให้งดงาม ทั้งต้องคอยระวังภัยต่อพระศาสนาด้วย รัฐบาลต้องการปรองดองสมานฉันท์ จะเกิดขึ้นได้เพราะอำนาจของศีลธรรมทางพระพุทธศาสนา และมหาเถรสมาคม ก็มีมติดำเนินโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 เพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดในประเทศนี้ คณะสงฆ์จะมีการดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าโครงการนี้จะสิ้นสุดในปี 2560 ก็ตาม โดยการดำเนินการโครงการนี้วัตถุประสงค์ เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และเพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในประเทศ เพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาชน


 st11 st11 st11 st11

ค่ำวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติว่า เรื่องศาสนาวันนี้เริ่มขัดแย้งกันอีกแล้ว กล่าวหาว่าข้างนั้นข้างนี้ ไม่สนใจ เพราะเป็นชาวพุทธ เคารพในพระสงฆ์ ในคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่สนใจผู้นำแต่ละฝ่ายว่าเป็นใคร ทุกคนก็อาจจะมีความปรารถนาดี แต่อย่าลืมว่าเป็นความขัดแย้งที่รุนแรง สมัยก่อนจำได้ไหม โลกใบนี้รบกันเรื่องของศาสนามากมายสงครามศาสนาตายกันทั้งประเทศ รัฐบาลเป็นห่วงเรื่องนี้ เป็นห่วงประชาชนที่ให้ความเคารพนับถือ ภายใต้การนำของแต่ละฝ่ายมากกว่า ใครผิดใครถูกยังไม่กล่าวถึงตรงนั้น

นายกฯกล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้นไปหาทางออกให้ได้ หากยังใช้อารมณ์ใช้ความรู้สึก กฎหมายอยู่ตรงไหนไม่รู้ อีกกลุ่มบอกว่าต้องรีบทำ อีกกลุ่มบอกว่าทำแล้วทำไมไม่โปร่งใส แล้วจะไปทางไหน ต้องการความสงบสุขของบ้านเมือง ต้องการดำรงความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธและพระสงฆ์ วันนี้อย่าทะเลาะกันอีกเลยเรื่องแบบนี้ หยุดเถิด อะไรเป็นกิจของสงฆ์ของฆราวาสแยกให้ออก ต่างฝ่ายต้องหาทางออกให้ได้ อย่าให้เสื่อมความนับถือ หม่นหมอง เคารพในกฎหมาย เคารพในการปกครองของพระสงฆ์ เรื่องใครจะทำผิดทำถูกไปหาวิธีการมา ไปหาข้อยุติมา อย่ากล่าวอ้างกันไปเรื่อยๆ กฎหมายมีอยู่ ถ้าเราไม่ทำตามกฎหมายก็ไม่ได้อีก แต่จะทำอย่างไรไม่ทำให้ทะเลาะกัน วันเวลาที่เหมาะสมเป็นเรื่องของรัฐบาลจะดำเนินการ ไม่ต้องมาบังคับ ไม่อย่างนั้นทุกเรื่องใครก็แล้วแต่ก็วางระเบิดเวลาทุกที่ไป ทุกเรื่อง ทุกงาน ไว้ให้ คสช. ไว้ให้รัฐบาลเหยียบกับระเบิดทุกวัน

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/563429
11734  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สธ.อึ้ง ตรวจสุขภาพพระสงฆ์ พบโรคเพียบ-ประจำตัวเรื้อรัง เสี่ยงอันตรายเสียชีวิตได้ เมื่อ: มกราคม 15, 2016, 09:15:11 pm


สธ.อึ้ง ตรวจสุขภาพพระสงฆ์ พบโรคเพียบ-ประจำตัวเรื้อรัง เสี่ยงอันตรายเสียชีวิตได้

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 15 มกราคม เวลา 10.30 น. กระทรวงสาธารณสุขและคณะสงฆ์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดกิจกรรมโครงการของขวัญปีใหม่ 2559 สำหรับพระภิกษุสงฆ์ และประชาชนชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่หอประชุมใหญ่วัดพนัญเชิงวรวิหาร โดยมีนายประยูร  รัตนเสนีย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ เป็นประธานในพิธีเปิด ซึ่งมีพระสงฆ์และประชาชน  คนชรา มาเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 500 คน  ในงานมีการตรวจสุขภาพฟรี อาทิ ตรวจความดันโลหิต  พบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา ตรวจโรคตาและวัดสายตา

ซึ่งนพ.พิทยา ไพบูลย์ศิริ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดฯ เปิดเผยว่า ผลการตรวจพบว่า พระสงฆ์ส่วนใหญ่จะมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคไขมันในเส้นเลือด โรคหัวใจ และโรคไขข้อเสื่อม รวมถึงคนชราส่วนใหญ่  ก็มักจะเป็นโรคในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งถึงจะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงแบบเฉียบพลัน แต่ก็เป็นอันตรายต่อชีวิตได้  ดังนั้นจึงแนะนำวิธีการปฏิบัติตัว เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโรค รวมถึงแนวทางสร้างสุขภาพให้แข็งแรง  เพื่อต่อสู้กับโรคต่างๆ เหล่านี้



อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขประสงค์ให้คนทั้งประเทศมีสุขภาพดี จึงจัดทำโครงการนี้ เน้น 5 กิจกรรมหลัก ปะกอบด้วย
     1.กวาดล้างเชื้อโรคโปลิโอ
     2.ตรวจวัดสายตาในเด็กนักเรียน
     3.ดูแลสุขภาพพระภิกษุสามเณร
     4.ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ และ
     5.มอบแขนขาเทียมแก่คนพิการ



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452834123
11735  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดเขาย้อย เปิดโบสถ์โชว์งานปูนปั้นติดอักษรเบลล์ ให้คนตาบอดร่วมเรียนรู้ เมื่อ: มกราคม 15, 2016, 09:10:05 pm

วัดเขาย้อย เปิดโบสถ์โชว์งานปูนปั้นติดอักษรเบลล์ ให้คนตาบอดร่วมเรียนรู้

(15 ม.ค.59) เมื่อเวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่าที่วัดเขาย้อย หมู่ 5 ต.เขาย้อย อ.เขาย้อย  จ.เพชรบุรี มีศิลปินชาวเพชรบุรีได้สร้างสรรค์ชิ้นงานศิลปะ โดยการทำประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำ เป็นรูปเรื่องราวของประเพณีและการละเล่นของไทย พร้อมมีการนำอักษรเบลล์ ซึ่งเป็นตัวอักษรที่ผู้พิการทางสายตาใช้สื่อสารจากการสัมผัส มาสื่อความหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พิการทางสายตาได้รับทราบความหมายของรูปเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

โดยสถานที่จัดตั้งงานศิลปะปูนปั้นอักษรเบลล์แห่งแรกของประเทศไทย อยู่บริเวณฐานพระอุโบสถซึ่งสร้างด้วยไม้สักของวัดเขาย้อย ปรากฏรูปประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำโดยรอบจำนวนรวม 35 ภาพ โดยฝั่งทิศเหนือเป็นรูปการละเล่นของไทยสมัยโบราณ อาทิ หัวล้านชนกัน รีรีข้าวสาร ชักกะเย่อ ฯลฯ จำนวน 18 รูป  ส่วนทิศใต้เป็นภาพประเพณีของไทย อาทิ สงกรานต์ ก่อเจดีย์ทราย บวชนาค ฯลฯ จำนวน 17 รูป โดยใต้รูปปูนปั้นแต่ละรูปจะมีการติดแผ่นทองเหลืองดุนนูนเป็นจุดตัวอักษรเบลล์บรรยายชื่อรูป แต่ละรูปชัดเจน นอกจากนี้บริเวณทางขึ้นด้านหน้าและด้านหลังพระอุโบสถยังประดับด้วยประติมากรรมปูนปั้นลอยองค์รูปพญานาค 7 เศียร และจัดทำทางลาดขึ้นลงเพื่อให้ผู้พิการที่ต้องใช้รถวิลล์แชร์เข้าไปสักการะพระประธานและชื่นชมความงามของภาพแกะสลักไม้เรื่องราวพุทธประวัติด้านในและโดยรอบระเบียงพระอุโบสถได้สะดวก

 :96: :96: :96: :96:

ขณะที่ผู้สื่อข่าวกำลังชื่นชมความงามของพระอุโบสถ และดูรายละเอียดภาพปูนปั้น ได้มีนักเรียนผู้พิการทางสายตาจากโรงเรียนธรรมิกวิทยาจังหวัดเพชรบุรี สังกัดมูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวน 14 คน นำโดย นางอัญชลิกา ตนานนท์ อาจารย์สอนภาษาเบลล์ โรงเรียนธรรมิกวิทยา เดินทางมาดูผลงานปูนปั้น อักษรเบลล์ดังกล่าว โดยเด็กนักเรียนผู้พิการทางสายตา และอาจารย์ที่นำมาได้แสดงความตื่นเต้นยินดีกับผลงานนี้อย่างมาก

นายธานินทร์ ชื่นใจ หรือช่างน้อง ช่างลายรดน้ำและศิลปินร่วมสมัยจังหวัดเพชรบุรี ผู้ออกแบบประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำและอักษรเบลล์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้พระครูไพบูล พัฒนโสภณ เจ้าอาวาสวัดเขาย้อย ได้มอบหมายให้ตนและ นายสำรวย เอมโอษฐ์ ช่างปั้นปูนชื่อดังเมืองเพชรบุรีเข้ามาซ่อมแซมและสร้างพระอุโบสถที่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยช่างสมชายได้ปั้นรูปพญานาคที่บริเวณทางขึ้นหน้าหลังพระอุโบสถ สวยงามหาชมได้ยาก แต่ตนเห็นว่าพื้นที่บริเวณฐานพระอุโบสถมีความชำรุดเสียหาย สภาพไม่สมบูรณ์ จึงเสนอแนวคิดทำการแก้ไขโดยร่วมกับพระมหาทรัพย์ พระลูกวัดเขาย้อย ออกแบบประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำและอักษรเบรลล์ ดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเปิดโอกาสการเรียนรู้ให้กับผู้พิการทางสายตาที่มีความเคารพศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้มีโอกาส ทราบถึงเรื่องราวของภาพจากการลูบคลำปูนปั้นลอยตัว และทราบความหมายของภาพโดยการสะกดจากตัวอักษรเบลล์



จากนั้นจึงได้ขยายความคิดให้นายสมชาย แย้มรัศมี ช่างปั้นปั้นรูปนูนต่ำและได้รับการร่วมมือจาก อาจารย์โรงเรียนเขาย้อยวิทยา และโรงเรียนธรรมิกวิทยาจังหวัดเพชรบุรี สังกัดมูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดทำตัวอักษรเบลล์ขึ้นมาติดตั้ง โดยรวมงบประมาณทั้งหมดในการสร้างพระอุโบสถครั้งนี้กว่า 25 ล้านบาท

“ ในอนาคตอยากขยายโอกาสการเรียนรู้และเปิดโอกาสให้ผู้พิการทางสายตาได้สร้างความสำคัญให้กับตนเองเทียบเท่าบุคคลปกติ โดยตั้งหวังว่าเมื่อผู้พิการทางสายตาได้มีโอกาสลูบคลำและเรียนรู้ความหมายแล้ว จะขยายโอกาสสร้างศักยภาพให้ตนเองโดยการฝึกทำฝึกปั้น และใช้จินตนาการของตนสร้างชิ้นงานขึ้นมา ไม่แน่ในอนาคตเพชรบุรีอาจจะมีช่างปั้นฝีมือระดับชาติที่เป็นผู้พิการทางสายตาก็ได้” นายธานินทน์กล่าว

 :25: :25: :25: :25:

ด้านนางอัญชลิกา ตนานนท์ อาจารย์สอนภาษาเบลล์ โรงเรียนธรรมิกวิทยาจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่มีผู้เห็นความสำคัญของผู้พิการทางสายตา และดีใจที่มีคนรู้จักอักษรเบลล์ ขอบคุณที่ทำให้ทุกๆคนรู้จักอักษรเบลล์มากขึ้น การทำปูนปั้นและมีอักษรเบลล์ประกอบจะเป็นการเปิดโลกการเรียนรู้ให้กับผู้พิการทางสายตา ที่จากเดิมสามารถลูบคลำและต้องจินตนาการไปเองว่าเป็นรูปเรื่องราวชื่ออะไร หรือต้องคอยสอบถามจากบุคคลซึ่งสามารถมองเห็นจึงได้คำตอบ การปั้นรูปและอักษรเบลล์ไปพร้อมกันเช่นนี้จึงทำให้ผู้พิการสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเอง และมีความสำคัญในการช่วยตัวเองมากขึ้น ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นชิ้นงานลักษณะแบบนี้มาก่อน ผลงานนี้จึงนับได้ว่าเป็นงานประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำและอักษรเบลล์แห่งแรกของโลก


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452855319
11736  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระร้อง กรธ. ขอโทษ "กล่าวหากระทบพุทธศาสนา" เมื่อ: มกราคม 15, 2016, 09:07:02 pm



พระร้อง กรธ. ขอโทษ กล่าวหากระทบพุทธศาสนา

พระบุกที่ประชุมกรธ.เรียกร้องขอโทษใน 7 วันหลังกล่าวหาบัญญัติ"พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ"จะเป็นภัยระยะยาว

เมื่อวันที่ 15 ม.ค. เวลา 16.20 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หน้าห้องประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ภายในโรงแรมเลควิว รีสอร์ท แอนด์ กอล์ฟคลับ ชะอำ จ.เพชรบุรี องค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ(อพช.) นำโดยพระสิทธิศักดิ์ สิรินันโท รองประธานอพช. เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยมีนายชาติชาย ณ เชียงใหม่ โฆษกกรธ. เป็นตัวแทนออกมารับหนังสือ

ทั้งนี้ พระสิทธิศักดิ์ กล่าว่า อพช.ต้องการเรียกร้องให้กรธ.ออกมาชี้แจง พร้อมกับแสดงหลักฐานว่าการบัญญัติพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญจะเป็นภัยในระยะยาวอย่างไร อาทิ จะเป็นภัยต่อการปกครอง เป็นภัยต่อเศรษฐกิจ และเป็นภัยต่อการพัฒนาชาติอย่างไร พร้อมทั้งขอเรียกร้องให้กรธ.ถอนถำพูดต่อกรณีดังกล่าว และขอโทษต่อประชาชนภายใน 7 วัน.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/politics/373391
11737  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศูนย์พิทักษ์ฯ หวั่นดองเรื่อง "ตั้งสังฆราช" เมื่อ: มกราคม 15, 2016, 09:02:41 pm



ศูนย์พิทักษ์ฯ หวั่นดองเรื่อง "ตั้งสังฆราช"

พระเมธีธรรมาจารย์ยืนยันคณะสงฆ์กว่า 40 จังหวัดพร้อมเคลื่อนพลรวมตัวแสดงสังฆามติ หากรัฐบาลดองเรื่องเสนอทูลเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช เผยดีเอสไอจ้องตรวจสอบรถยนต์ในพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำ ทั้งที่เป็นรถเก่า ข้องใจต้องการสร้างภาพลบให้กับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์หรือไม่

แม้ว่าทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) จะส่งมติมหาเถรสมาคมในการเสนอรายชื่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ไปยังรัฐบาล เพื่อให้นายกรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แล้ว แต่ยังคงมีกลุ่มที่ต่อต้านออกมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังให้รัฐบาลชะลอเรื่องดังกล่าวไปก่อนนั้น

 
 :96: :96: :96: :96:

วันนี้(15 ม.ค.) พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ชัดเจนแล้วว่ารายชื่อของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติเสนอเพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ที่รัฐบาลแล้ว ดังนั้นศูนย์พิทักษ์ฯ และคณะสงฆ์จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีการดองเรื่องไม่ยอมนำขึ้นทูลเกล้าฯ นานจนผิดสังเกต เช่น นำข้อเรียกร้องของพระ 1 รูป กับโยม 1 คน มาเป็นเงื่อนไข ในการชะลอเรื่องนี้ไว้ มากกว่าเชื่อความเห็นของมหาเถรสมาคม และพระสงฆ์ทั่วประเทศ ก็พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหว

โดยขณะนี้มีคณะสงฆ์กว่า 40 จังหวัดแล้ว ที่ตอบรับจะออกมาร่วมเคลื่อนไหวแสดงสังฆามติในเรื่องนี้ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์ ฯ กล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกันยังมีกระแสข่าวออกมาว่าทางเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จะเข้าตรวจสอบรถยนต์ที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ทั้งที่่จากการสอบถามข้อมูลจากทางวัดปากน้ำฯ ก็ทราบว่ารถยนต์ดังกล่าวมีเอกสารถูกต้องทุกประการ อีกทั้งยังเป็นรถที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของเก่า ร่วมกับของใช้ของคนในสมัยอดีต เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้ศึกษา จึงไม่ทราบว่าจะมีการเข้ามาตรวจสอบทำไม หากต้องการตรวจสอบหรือขอข้อมูล ทำไมไม่ส่งเจ้าหน้าที่มาขอข้อมูล และสอบถามข้อเท็จจริง

แต่จากกระแสข่าวที่ออกมาพบว่าจะมีการแจ้งนักข่าวมาทำข่าวด้วย จึงไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของดีเอสไอว่าต้องการอะไรกันแน่ หรือเพียงต้องการให้มีภาพออกไป เพียงเพราะต้องการสร้างมลทินให้เกิดกับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ตามความต้องการของบุคคลบางกลุ่ม และหากผลการตรวจสอบพบว่ามีความถูกต้องทุกประการ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบกับภาพข่าวที่สื่ออกไป

 st12 st12 st12 st12

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวอีกว่า กระแสข่าวดังกล่าวมาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ปรารถนาดีต่อคณะสงฆ์ แจ้งมาว่า ดีเอสไอ มีการประชุมลับ ในเรื่องดังกล่าวแล้ว และที่จะมีการนัดกับสื่อมวลชนที่เป็นพรรคพวกตนเอง มาร่วมตรวจสอบ แล้วออกข่าวให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ มีภาพมัวหมอง คนที่ทำจะเป็นใครก็แล้วแต่ แต่ชัดเจนว่ามีเจตนาสร้างข้อมูลเท็จ มีการเตรียมใช้สื่อขยายความให้คนเห็นผิดจากข้อเท็จจริง

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟสบุ๊กของกลุ่มพระสงฆ์ทั้งใน และต่างประเทศ เช่น เฟสบุ๊กเจ้าคุณเบอร์ลิน พระโสภณพุทธิวิเทศ เป็นต้น ได้มีการส่งต่อข้อความ โดยระบุว่า ภายใน 1-2 วันนี้ จะมีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จะสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เข้าตรวจวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งเป็นที่จำพรรษาของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในการตรวจค้น ตรวจยึดรถเก่าในอาคารพิพิธภัณฑ์ภายในวัดปากน้ำภาษีเจริญทั้งหมด

พร้อมทั้งมีการกล่าวหาว่า เป็นรถหรูผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการเล่นเกมส์ก่อสังฆเภทในสยามประเทศ ยื้อเรื่อง สารพัดอ้าง แล้วแตะมือกับกลุ่มแนวร่วมทางการเมืองเดิม ๆ พวกสุดโต่ง ดำเนินการป้ายความผิดให้ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์


 st12 st12 st12 st12

นายพิศาล แช่มโสภา ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า เรื่องรถไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ที่อ้างว่าเป็นของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ซึ่งในเรื่องนี้อยากให้ทุกฝ่ายใช้ปัญญาในการคิดพิจารณาว่า ท่านจะต้องซื้อรถทำไม ในเมื่อชาวพุทธที่เลื่อมใสท่านมีอยู่มาก ระดับท่านไม่จำเป็นต้องซื้อ ก็มีพอใช้ปฏิบัติศาสนกิจอยู่แล้ว สำคัญที่คนซื้อถวายว่า ได้รถมาอย่างไร เรื่องนี้ก็พิสูจน์ได้ไม่ยาก ทั้งนี้ ตนเห็นว่า อย่านำการเมืองเข้ามาแทรกแซงในกิจการพระพุทธศาสนาด้วยวิธีการที่ไม่สะอาด แค่นี้พระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ก็มีความรู้สึกที่แย่พออยู่แล้ว

 st11 st11 st11 st11

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ยังคงมีการปฏิบัติศาสนกิจอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเดินทางไปเป็นประธานในพิธีประทานสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร ให้แก่พระสงฆ์ในเขตปกครองคณะสงฆ์หน เหนือ ที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช จ.พิษณุโลก โดยมีพระสงฆ์เข้าร่วมพิธี กว่า 500 รูป

โดยหลังเสร็จสิ้นพิธี สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กล่าวให้โอวาทว่า พระสงฆ์ต้องตั้งใจปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เพื่อสร้างพระพุทธศาสนาให้งดงาม ทั้งต้องคอยระวังภัยต่อพระศาสนาด้วย รัฐบาลต้องการปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เพราะอำนาจของศีลธรรมทางพระพุทธศาสนา และทางมหาเถรสมาคม ก็มีมติดำเนินโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 เพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดในประเทศนี้ และทางคณะสงฆ์จะมีการดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าโครงการนี้จะสิ้นสุดในปี 2560 ก็ตาม โดยการดำเนินการโครงการนี้วัตถุประสงค์ เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และเพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในประเทศ ทั้งเพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาชน


ขอบคุณข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/373364
11738  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ด่วน DSIเตรียมเข้าตรวจรถหรูวัดปากน้ำ เจ้าคุณประสารชี้ เจตนาสร้างมลทิน สมเด็จช่วง เมื่อ: มกราคม 15, 2016, 08:54:43 pm
พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร)

ด่วน!! DSIเตรียมเข้าตรวจรถหรูวัดปากน้ำฯ เจ้าคุณประสารชี้เจตนาสร้างมลทินสมเด็จช่วง

พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ศพศ.) เปิดเผยกรณีที่มีกระแสข่าวว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะเข้าตรวจสอบรถโบราณ และรถหรู ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

หลังจากมีผู้ร้องเรียนว่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สะสมรถหรู และรถโบราณ รวมถึงกล่าวหาว่าอาจมีรถจดประกอบไม่ถูกกฎหมายปะปนอยู่ ว่า ได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่หวังดีว่าเร็วๆ นี้ ดีเอสไอจะนำสื่อมวลชนเข้าตรวจสอบรถโบราณ และรถหรูของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ อาตมาตั้งข้อสังเกตว่าการออกมาตรวจสอบรถหรูของดีเอสไอ ทำไมถึงทำในช่วงที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังมีเจตนาสร้างมลทินให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อหาเหตุผลให้รัฐบาลชะลอการเสนอชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452849186
11739  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตีความมาตรา 7 ใคร.? มีอำนาจเสนอตั้ง ′สังฆราช′ เมื่อ: มกราคม 15, 2016, 08:52:03 pm



′ไพบูลย์′ มาแล้ว ลุยยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินตีความมาตรา 7 ใคร.? มีอำนาจเสนอตั้ง ′สังฆราช′

นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 18 มกราคม จะเข้าพบกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อเร่งให้ตรวจสอบรถหรูของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และสัปดาห์หน้าจะเข้าพบผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อยื่นคำขอให้ตรวจสอบสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะที่เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มส.) กรณีการเสนอชื่อแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 ระบุว่า

พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่งในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกฯ โดยความเห็นชอบ มส.เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

โดย พศ.ตีความหมายมาตรา 7 ว่าให้ มส.เป็นต้นเรื่อง ดังนั้น จึงต้องร้องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจวินิจฉัยว่า มส.ทำตามขั้นตอนถูกต้องหรือไม่ เพราะนักกฎหมายอีกฝ่ายมองว่าการตีความกฎหมายมาตรา 7 ต้องให้นายกฯ เป็นต้นเรื่องไม่ใช่ มส.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452852255
11740  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านแห่เช่า 'เสือหลวงพ่ออุทัย' หลังทีมชาตินำไปแขวนไว้ที่ประตู เมื่อ: มกราคม 15, 2016, 08:47:47 pm



ชาวบ้านแห่เช่า 'เสือหลวงพ่ออุทัย' หลังทีมชาตินำไปแขวนไว้ที่ประตู

ชาวบ้านแห่เช่า เสืออุ้มทรัพย์หลวงพ่ออุทัย ราชบุรี หลังผู้รักษาประตูทีมชาติไทย นำไปแขวนไว้ที่ประตูแล้วเซฟจุดโทษได้ ในการแข่งขันศึกยู23 ไทยปะทะซาอุดีอาระเบีย เมื่อคืนที่ผ่านมา

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 14 ม.ค. 59 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ วัดศรีมฤคทายวัน (เกาะตาพุด) ม.4 ต.ธรรมเสน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี หลังทราบข่าวว่า มีชาวบ้านแห่ไปเช่าเสืออุ้มทรัพย์ ของหลวงพ่ออุทัย ปภังกโร เจ้าอาวาส ได้จัดสร้างขึ้นเพื่อนำรายได้ไปสร้างโบสถ์ หลังจากเมื่อกลางดึกวันพุธที่ผ่านมา (13 ม.ค. 59) ในแมตช์แรกของศึก ยู 23 ชิงแชมป์เอเชีย 2016 กลุ่มบี ที่โดฮาร์ ประเทศกาตาร์ ทีมชาติไทย–ซาอุดีอาระเบีย ผลเสมอ 1-1 มีการเปิดเผยว่า มีเครื่องรางของขลังที่ห้อยอยู่หลังประตู เป็นเสืออุ้มทรัพย์ ของ หลวงพ่ออุทัย และเมื่อ สมพร ยศ ผู้รักษาประตูของทีมชาติไทย ช่วยเชฟจุดโทษให้กับทีมไม่เสียประตูในครึ่งแรก ทำให้ประชาชนที่ทราบข่าวต่างก็พากันไปขอเช่าเสืออุ้มทรัพย์กันจำนวนมาก แต่ไม่ได้พบกับหลวงพ่ออุทัย เนื่องจากท่านอาพาธ


เสืออุ้มทรัพย์ หลวงพ่ออุทัย วัดศรีมฤคทายวัน (เกาะตาพุด) ม.4 ต.ธรรมเสน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

นางสนิท นุตตะโร อายุ 77 ปี ลูกศิษย์ของหลวงพ่ออุทัย เผยถึงถึงประวัติการสร้างเสืออุ้มทรัพย์ รุ่นสร้างโบสถ์ ให้ฟังว่า หลวงพ่อสร้างเสือ เมื่อปี พ.ศ.2553 สร้างแค่เพียง 10,000 องค์ เพื่อต้องการนำเงินที่ได้จากการเช่าเสือไปบูชามาเป็นกองทุนในการสร้างโบสถ์ ซึ่งตั้งงบประมาณไว้ 30 ล้านบาท โดยให้เช่าองค์ละ 2,000 บาท ส่วนที่ต้องสร้างเสือเพราะเสือเป็นสัตว์ใหญ่และมีอำนาจ หลวงพ่อก็อยากให้เรามีอำนาจและร่ำรวย โดยสร้างมาจากแร่ทองพิจิตร ซึ่งในวันนี้มีคนมาเช่าไปแล้วเกือบ 300 องค์ และหลวงพ่อก็จะไม่มีการสร้างเสือรุ่นต่อไป เพราะสร้างแล้วสร้างเลยจะไม่ทำอีก

เสืออุ้มทรัพย์ เชื่อว่า มีพลังและอำนาจ

ส่วน นายสุรศักดิ์ เพ็ญธำรงรัตน์ อายุ 35 ปี ผู้ใหญ่บ้าน ม.11 ต.วัดแก้ว อ.บางแพ จ.ราชบุรี ได้เดินทางมาที่วัด และขอเช่า เสืออุ้มทรัพย์ จำนวน 50 องค์ เป็นเงิน 100,000 บาท โดยบอกว่า มีเพื่อนฝากมาเช่าด้วย และจะไปมอบให้กับญาติๆ ด้วย เพราะเคยมาให้ หลวงพ่ออุทัย ได้เคาะหัว และพรมน้ำมนต์บ่อยๆ และทราบมานานแล้วว่าหลวงพ่อสร้างเสืออุ้มทรัพย์ เพราะต้องการหาเงินไปสร้างโบสถ์ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดจะเช่า จนมีข่าวออกมาจึงได้รีบเดินทางมาขอเช่าทันที

ดังเพียงชั่วข้ามคืนหลัง แฟนบอลเห็นแขวนอยู่หลังประตู ฟุตบอลทีมฟุตบอลไทย คู่ไทย-ซาอุฯ ในการถ่ายทอดสด

สำหรับหลวงพ่ออุทัย ตาทิพย์ ท่านตาบอดทั้งสองข้าง เป็นเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากในภาคตะวันตก มีลูกศิษย์ที่เป็นคนมีชื่อเสียงทั้งดารานักแสดงจำนวนมาก ที่ให้ความนับถือศรัทธาต้องเดินทางมาให้ท่านพรมน้ำมนต์เคาะศีรษะ จนท่านสามารถสร้างวัดราคากว่า 200 ล้าน ด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

เครื่องรางของคลังของ เกจิอาจารย์ จากอ .โพธาราม ราชบุรี

ประชาชน แห่มาเช่า อย่างล้นหลาม

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/562894
11741  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านบึงกาฬ ฮือฮา เห็ดงอกออกหูหลวงพ่อตะเคียนทอง คอหวยรุมตีเลขเด็ด เมื่อ: มกราคม 15, 2016, 08:43:15 pm


ชาวบ้านบึงกาฬ ฮือฮา เห็ดงอกออกหูหลวงพ่อตะเคียนทอง คอหวยรุมตีเลขเด็ด

ชาวบ้านบึงกาฬ ฮือฮา! ดอกเห็ดหลินจือ งอกออกมาจากหูพระพุทธรูป ที่แกะสลักมาจากไม้ตะเคียนทอง เซียนหวยตีเลขเด็ด ซื้อลอตเตอรี่ลุ้นรางวัลตามระเบียบ

เมื่อเวลา 11.00 วันที่ 15 ม.ค. 59 ผู้สื่อข่าวจังหวัดบึงกาฬ ได้รับการบอกเล่าว่า ที่วัดหอคำเหนือ บ้านหอคำ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ มีเห็ดเกิดงอกออกมาจากใบหูพระพุทธรูป ที่ประดิษฐานไว้ในศาลาวัด จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบพระอาจารย์ พรทวี เมธิโก เจ้าอาวาส เปิดเผยว่า เมื่อวันพระที่ผ่านมา ได้มีคุณตาวันดี นิลเกตุ อายุ 70 ปี พร้อมด้วยญาติโยม ที่มาทำบุญตักบาตรในศาลาวัด ได้เห็นว่า มีอะไรยื่นออกมาจากซอกใต้ใบหูด้านขวาของหลวงพ่อตะเคียนทอง เข้าไปดูใกล้ๆ พบว่า เป็นเห็ดหลินจือ จึงได้มาแจ้งให้ตนได้ทราบ เมื่อไปดูก็เห็นเป็นเห็ดจริงๆ จึงได้บอกกับญาติโยมว่า ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ห้ามไปเด็ดออกให้ดูแลรักษาไว้เกรงจะมีคนมือบอนเด็ดดอกเห็ดออกไป


ดอกเห็ดหลินจือ งอกใบหูขวา"หลวงพ่อตะเคียนทอง"

พระอาจารย์ พรทวี ได้เล่าต่อไปว่า ประวัติ “หลวงพ่อตะเคียนทอง” องค์นี้ สร้างขึ้นด้วยไม้ เป็นหนึ่งในจำนวนหลายสิบองค์ ที่สร้างจากไม้ต่างๆ เช่น ตะเคียน พะยูง โดยเจ้าอาวาสรูปก่อนได้นำเอาตอไม้ตะเคียนทองมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ที่มีขนาดหน้าตักกว้าง 1.69 เมตร สูง 2.79 เมตร และสร้างมานานกว่า 15 ปีแล้ว โดยประดิษฐานไว้ในศาลาวัดตลอด ไม่ถูกแสงแดดและสายฝน แต่จู่ๆ ก็เกิดมีเห็ดงอกออกมาจากซอกใต้ใบหูพระพุทธรูป มีความยาวยื่นออกมาเกือบ 4 นิ้ว หลังจากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างแห่กันมาดู ต่างก็ตีเป็นเลขเด็ดไปหาซื้อลอตเตอรี่ไว้ลุ้นรางวัลในงวดวันที่ 17 ม.ค.นี้ อย่างตื่นเต้น

ไม่พ้น!คอหวย ที่บึงกาฬ ตีเลขเด็ด
ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/563291
11742  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ผู้แสดงธรรม ชื่อว่า "บุพพการี" ผู้ปฏิบัติธรรม ชื่อว่า "กตัญญูกตเวที" เมื่อ: มกราคม 15, 2016, 10:39:48 am
   

บุคคลผู้หาได้ยาก ๒ จำพวก

      บุคคลหาได้ยากในโลก ๒ จำพวก เป็นไฉน
    บุพพการีบุคคล ๑
    กตัญญูกตเวทีบุคคล ๑


    ans1 ans1 ans1 ans1

      อรรถกถาบุคคลผู้หาได้ยาก ๒ จำพวก
             
    บทว่า "ทุลฺลภา" ได้แก่ มิใช่บุคคลที่หาได้โดยง่าย.
    บทว่า "ปุพฺพการี" ได้แก่ ผู้กระทำอุปการะก่อนนั่นเทียว.
    บทว่า "กตเวที" ได้แก่ ประกาศอุปการคุณที่บุคคลอื่นกระทำแล้ว คือกระทำอุปการคุณให้ปรากฏ.

    บัณฑิตพึงแสดงบุคคลทั้ง ๒ พวกนั้น ด้วยอาคาริยบุคคลและอนาคาริยบุคคล คือคฤหัสถ์และบรรพชิต.
    ก็บรรดาคฤหัสถ์ทั้งหลาย มารดาและบิดาชื่อว่าบุพพการี (ผู้กระทำอุปการะก่อน)
    ส่วนบุตรและธิดาผู้ปฏิบัติมารดาบิดา และกระทำการอภิวาทเป็นต้นแก่บิดามารดา ชื่อว่ากตเวที (ผู้รู้อุปการคุณอันบุพพการีชนกระทำแล้ว)

    สำหรับบรรพชิตทั้งหลาย อาจารย์และอุปัชฌาย์ชื่อว่าบุพพการี.
    อันเตวาสิกและสัทธิวิหาริกทั้งหลาย (ลูกศิษย์และผู้อยู่ร่วม) ที่ปฏิบัติอาจารย์และอุปัชฌาย์ ชื่อว่ากตเวที
    เพื่อประกาศบุคคลทั้ง ๒ พวกนั้นให้แจ่มแจ้ง บัณฑิตพึงกล่าวถึงเรื่องของพระโสณเถระผู้เลี้ยงดูอุปัชฌาย์ เป็นต้น.


     :25: :25: :25: :25:

     อีกนัยหนึ่ง บุคคลใด เมื่อผู้อื่นยังมิได้กระทำอุปการะเลย ไม่เพ่งเล็งถึงอุปการะที่ผู้อื่นกระทำในตนแล้วกระทำการอุปการะ ผู้นั้นก็ชื่อว่าบุพพการี เปรียบเหมือนบิดามารดาพวกหนึ่ง อาจารย์และอุปัชฌาย์พวกหนึ่ง บุพพการี บุคคลนั้นชื่อว่าหาได้โดยยาก เพราะความที่สัตว์ทั้งหลายถูกตัณหาครอบงำไว้.

     บุคคลใดรู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำในตน ประกาศอยู่ซึ่งอุปการะที่เป็นไปตามสมควรแก่อุปการะที่ผู้อื่นกระทำแล้ว ผู้นั้นชื่อว่ากตัญญูกตเวที เปรียบเหมือนบุคคลผู้ปฏิบัติชอบในมารดาและบิดา หรือในอาจารย์ และอุปัชฌาย์ทั้งหลาย. กตัญญูกตเวทีบุคคลนั้น ชื่อว่าหาได้โดยยาก เพราะความที่สัตว์ทั้งหลายถูกอวิชชาครอบงำไว้.



     อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้เมตตารักใคร่ โดยไม่มีเหตุ ชื่อว่าบุพพการี.
     บุคคลเมตตารักใคร่ โดยมีเหตุ ชื่อว่ากตัญญูกตเวที.
     บุคคลผู้กระทำประโยชน์ โดยไม่เพ่งเล็งถึงเหตุเป็นต้นอย่างนี้ว่า "ผู้นี้จักกระทำอุปการะแก่เรา" ชื่อว่าบุพพการี.
     บุคคลผู้กระทำประโยชน์ โดยเพ่งเล็งถึงสาเหตุเป็นต้นอย่างนี้ว่า "ผู้นี้จักกระทำอุปการะแก่เรา" ชื่อว่ากตัญญูกตเวที.

     ผู้มืดมาสว่างไปข้างหน้า ชื่อว่าบุพพการี. ผู้สว่างมาสว่างไปข้างหน้า ชื่อว่ากตัญญูกตเวที.
     ผู้แสดงธรรม ชื่อว่า บุพพการี. ผู้ปฏิบัติธรรมชื่อว่า กตัญญูกตเวที.
     พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าบุพพการีในโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก. พระอริยสาวก ชื่อว่ากตัญญูกตเวที.


      st11 st11 st11 st11

     ส่วนในคัมภีร์อรรถกถาแห่งทุกนิบาต ท่านกล่าวคำไว้มีประมาณเท่านี้ว่า (ผู้กระทำอุปการะก่อน ชื่อว่าบุพพการี. ผู้รู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำแล้วกระทำตอบในภายหลัง ชื่อว่ากตเวที).

     บรรดาบุคคลทั้ง ๒ พวกนั้น
     บุพพการีชนย่อมกระทำความสำคัญว่า "เราให้หนี้"
     บุคคลผู้กระทำตอบแทนในภายหลัง ย่อมทำความสำคัญว่า "เราใช้หนี้".


อ้างอิง :-
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๖ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๓ ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=36&A=2940&Z=3224
อรรถกถา ปุคคลบัญญัติปกรณ์ บุคคลบัญญัติ ทุกนิทเทส
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=36.2&i=58
11743  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ผู้แสดงธรรม ชื่อว่า "บุพพการี" ผู้ปฏิบัติธรรม ชื่อว่า "กตัญญูกตเวที" เมื่อ: มกราคม 15, 2016, 10:18:03 am



ความกตัญญูเป็นมงคลสูงสุด

ความกตัญญูเป็นอุดมมงคล กตัญญูนั้นคือความเป็นผู้รู้คุณที่ผู้อื่นกระทำแล้วแก่ตน เมื่อใครเขาทำคุณให้แก่เรา ไม่ว่ามากหรือน้อยก็นึกถึงคุณของเขา คิดจะตอบแทนคุณของเขา การตอบแทนคุณเรียกว่า "กตเวที" กตัญญูจึงมาคู่กับกตเวทีเสมอ 

    พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคลที่หาได้ยาก ๒ จำพวก คือ 
    ๑. บุพการี ผู้ที่กระทำคุณแก่เราก่อน มีบิดามารดา ครู อาจารย์ เป็นต้น
    ๒. กตัญญูกตเวที ผู้ที่รู้คุณที่เขาทำแล้วแก่ตนและตอบแทนคุณผู้นั้น มีการตอบแทนคุณมารดาบิดา ครูอาจารย์ เป็นต้น


 :25: :25: :25: :25:

มารดาบิดาท่านให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามาก่อนใครๆ ส่วนครูอาจารย์ก็ให้วิชาความรู้แก่เรารองมาจากบิดามารดา ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้ทำคุณแก่เราก่อน สมควรที่เราจะตอบแทนคุณท่านในเมื่อมีโอกาส การกระทำเช่นนี้ได้รับการยกย่องสรรเสริญในเวลามีชีวิตอยู่ เป็นเหตุให้เกิดในสุคติโลกสวรรค์เมื่อตายไปแล้ว

เรื่องราวของผู้ที่มีความกตัญญูนั้นมีมากทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างท่านพระอานนท์กตัญญูรู้คุณของพระบรมศาสดา ยอมเอาตนเข้าขวางช้างนาฬาคีรีที่พระเทวทัตปล่อยมา หวังจะให้ทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่ด้วยอำนาจพระเมตตา ช้างไม่อาจทำร้ายพระพุทธเจ้าได้   

แม้ท่านสารีบุตรก็ได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที กล่าวคือท่านพระสารีบุตรเคยได้อาหารทัพพีหนึ่งจากราธะพราหมณ์ก็ไม่ลืม เมื่อราธะพราหมณ์ต้องการจะบวชเมื่อแก่ พระสงฆ์ไม่ยอมบวชให้ 
     พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ใครรู้จักพราหมณ์ผู้นี้บ้าง
     ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ท่านรู้จัก เพราะเคยถวายอาหารแก่ท่านทัพพีหนึ่ง 
     พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งให้ท่านพระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาเป็นภิกษุในพระศาสนา


     st12 st12 st12 st12

     ความกตัญญูรู้คุณท่าน จึงเป็นเหตุให้ได้รับความสุขความเจริญทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ความกตัญญูจึงจัดเป็นอุดมมงคลอีกประการหนึ่ง


ที่มา : สิ่งที่เป็นมงคล(มงคล ๓๘) โดยประณีต ก้องสมุทร
http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html#25
11744  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดดังเพชรบุรีแจงดราม่า "โซเชียล" กล่าวหา "ใจดำ" เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:32:57 pm


วัดดังเพชรบุรีแจงดราม่า "โซเชียล"กล่าวหา"ใจดำ"

เจ้าอาวาสวัดท่าคอย จ.เพชรบุรี ขี้แจงกรณีชาวโซเชียลโพสต์โจมตีผ่านอินเทอร์เน็ต ว่าไม่ยอมรับสวดพระอภิธรรมให้ 2 หนูน้อยพี่น้องที่จมน้ำเสียชีวิต ระบุไม่ใช่คนใจจืดใจดำ ญาติร่วมยันเข้าใจคาดเคลื่อน

จากกรณี ด.ญ.สุธาสินี นวนศรี อายุ 6 ขวบ และ ด.ช.จักรภัทร นวนศรี อายุ 5 ขวบ สองพี่น้อง ที่พากันลงเล่นน้ำภายในคลองชลประทาน สาย 3 บริเวณหมู่ 7 ต.ท่าคอย อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี แล้วพากันกอดคอจมน้ำเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 14 ม.ค.

 :91: :91: :91: :91:

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บนโลกออนไลน์ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งมีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทำนองว่า ครอบครัวของเด็กที่เสียชีวิตทั้งสองรายนั้นมีฐานะยากจนมาก โดยศพของเด็กทั้งสองญาติยังต้องนำใส่ในโลงเดียวกัน เนื่องจากไม่มีเงินซื้อโลง และทางวัดท่าคอย ต.ท่าคอย อ.ท่ายาง ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพให้กับสองหนูน้อย ก็ไม่ยอมสวดพระอภิธรรมศพให้ เพราะไม่มีเงิน ทำให้เกิดกระแสวิพาษ์วิจารณ์วัดท่าคอยอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่วัดท่าคอย เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดย นางจินตนา องค์แช่ม อายุ 60 ปี ย่าของเด็กทั้งสองได้เปิดเผยว่า เบื้องต้นขอชี้แจงว่า เหตุการณ์การความไม่พอใจที่ไม่ได้มีการสวดพระอภิธรรมศพน้องทั้ง 2 เกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงตามที่มีคนนำไปโพสต์ทางอินเทอร์เน็ต และทำให้วัดรวมทั้งเจ้าอาวาสเสื่อมเสีย ซึ่งทางครอบครัวก็ได้กราบขอโทษทางเจ้าอาวาสไปแล้ว



สำหรับเรื่องที่มีการระบุว่า ครอบครัวของตนมีฐานะยากจนนั้น ก็ยอมรับว่ายากจนจริง แต่ไม่ถึงกับยากไร้ ส่วนเรื่องโลงศพสำหรับใส่ร่างของหลานทั้งสองคนที่บอกว่าต้องนำใส่ในโลงเดียวกันนั้น เป็นโลงสำหรับทำความเย็น ญาติจึงนำศพของเด็กทั้ง 2 ที่เป็นพี่น้องกัน ใส่ไว้ในโลงทำความเย็นโลงเดียวกันก่อน เพื่อคงรักษาสภาพร่างกายไม่ให้มีกลิ่นระหว่างตั้งสวดบำเพ็ญกุศล และจะนำออกมาใส่โลงศพที่เตรียมไว้แล้วจำนวน 2 โลง เพื่อจัดพิธีฌาปนกิจในวันที่ 17 ม.ค.ที่จะถึงนี้

อย่างไรก็ดี หลังมีผู้โพสต์ข้อความลงบนโลกออนไลน์ไป ก็มีบรรดาผู้ใจบุญเดินทางมามอบเงินช่วยเหลือค่าทำศพเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนก็ขอขอบคุณทุกคนที่ให้การช่วยเหลือด้วย

 ans1 ans1 ans1 ans1

ขณะที่ พระครูศิริทัศนียคุณ เจ้าคณะตำบลท่าคอยและตำบลท่ายาง เจ้าอาวาสวัดท่าคอย เปิดเผยว่า การที่มีผู้เขียนข้อความบนเฟซบุ๊กอ้างว่าทางวัดไม่ช่วยเหลือครอบครัวของเด็กทั้งสองที่มีฐานะยากจนนั้นไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาทางวัดไม่เคยกระทำแบบนั้นเลย

ส่วนการที่ไม่ได้จัดสวดพระอภิธรรมศพให้เด็กทั้งสองในคืนที่ผ่านมา เนื่องจากศพเด็กได้ถูกนำมาที่วัดในช่วงที่ค่ำแล้ว และการจัดเตรียมสถานที่ก็ยังไม่พร้อม เพราะต้องมาจัดใต้ศาลาการเปรียญ ส่วนศาลาบำเพ็ญกุศลของวัดจะมีงานพระราชทานเพลิงศพที่ได้มีการจัดสถานที่ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยพิธีจะมีในวันนี้ (14 ม.ค.) ทางญาติของเด็กก็ยินยอมเลื่อนสวด แต่ก็มีญาติบางส่วนที่มาภายหลังไม่เข้าใจ จึงเกิดการต่อว่าโวยวายขึ้น และมีการถ่ายภาพนำไปลงในอินเทอร์เน็ตกล่าวหาอาตมาต่างๆนานา ทั้งที่จริงไม่ได้เป็นแบบนั้น



สำหรับครอบครัวของเด็กทั้ง 2 รวมทั้งเด็กที่เสียชีวิตด้วย อาตมาได้ช่วยเหลือเลี้ยงดูมาตลอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่จัดการงานศพให้ มิใช่ว่าอาตมาจะใจจืดใจดำแบบที่กล่าวหากัน วานนี้ (13 ม.ค.) อาตมาก็ไปทำพิธีเชิญดวงวิญญาณเด็กมาจากจุดเกิดเหตุ หลังจากที่มีคนเห็นเด็กทั้งสองนั่งร้องไห้กอดกันอยู่ ดังนั้น การที่มากล่าวหาว่าทางวัดไม่ให้ความสนใจกับศพที่ทางครอบครัวมีฐานะยากจน จึงไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด ไม่ว่าจะมรฐานะแบบไหนทางวัดจะให้การช่วยเหลืออนุเคราะห์เหมือนกันหมด.

ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/373030
11745  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บอกญาติซื้อหวย '145' ก่อนมรณภาพ! พระวัดโคราชสิ้นลมกลางดึก เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:25:15 pm


บอกญาติซื้อหวย '145' ก่อนมรณภาพ! พระวัดโคราชสิ้นลมกลางดึก

พระวัดโนนระเวียง อายุ 51 ปี มรณภาพกลางดึกคากุฏิ พบมีเลือดทะลักออกจมูก ญาติคาดโรคเครียด-กรดไหลย้อนกำเริบ ไม่คิดว่าจะสิ้นลมกะทันหัน พร้อมเผย ช่วงบ่ายยังโทรให้ซื้อเลขท้าย "145" บอก เผื่อมีโชค

เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 59 ร.ต.อ.ดำรง ปุราชะโก พงส.สภ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้รับแจ้งว่า พระบุญชู สนฺตจิตฺโต อายุ 51 ปี พระลูกวัด วัดโนนระเวียง ม.8 ต.หนองบัวตะเกียด อ.ด่านขุนทด มรณภาพภายในกุฏิ จึงเดินทางไปชันสูตรพลิกศพ พร้อมด้วยแพทย์เวร รพ.ด่านขุนทด และหน่วยกู้ภัยปริสุทฺโธ (ฮุก 31) ภายในกุฏิชั้น 2 พบ พระบุญชู สภาพนอนมีผ้าห่มคลุมถึงอก เลือดทะลักทางจมูก ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง ในห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ตรวจดูทรัพย์สินยังอยู่ครบ มีทั้งเงินสด 17,000 บาท โทรศัพท์ 1 เครื่อง พระเครื่องและเครื่องรางอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ ยังพบยาบำรุงเลือดของ รพ.มหาราชนครราชสีมา จึงนำส่ง รพ.ด่านขุนทด เพื่อชันสูตรพลิกศพหาสาเหตุการมรณภาพอย่างละเอียดอีกครั้ง คาดว่ามรณภาพไม่ต่ำกว่า 5 ชม.



จากการสอบสวนเบื้องต้น พระครูสุนทรกิจวิมล เจ้าอาวาส ให้การว่า พระบุญชู บวชมาแล้ว 16 พรรษา เดิมจำวัดยู่ที่วัดสีมุมบูรพาราม อ.เมืองนครราชสีมา และญาติเพิ่งจะพามาฝากให้จำพรรษาที่วัดโนนระเวียง ได้เพียง 2 เดือน ปกติ พระบุญชู จะเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยพูดคุยกับพระในวัด แต่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ตามปกติ ก่อนเกิดเหตุเมื่อช่วงเย็นวานนี้ หลังสรงน้ำก็เข้าห้องจำวัด จนกระทั่งเช้าพระในวัดกลับจากบิณฑบาตจะมาเรียกฉันเช้า พบว่ามรณภาพแล้ว

ขณะที่ ร.ต.อ.ดำรง เปิดเผยว่า ญาติมาติดต่อขอรับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านเกิด โดยบอกว่า พระบุญชู มีโรคประจำตัวคือเป็นโรคเครียด และกรดไหลย้อน สงสัยว่าคงเกิดอาการกำเริบ ทำให้ถึงแก่มรณภาพ โดยเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับญาติเป็นปกติ และยังบอกให้ซื้อเลขท้ายสลากกินแบ่งรัฐบาล 145 ไว้ด้วย เผื่อว่าจะมีโชค ไม่คิดว่าจะมรณภาพกะทันหันเช่นนี้.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/562744
11746  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขนลุก! หญิงสาวกรีดร้องลั่น หน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อ้างผีปอบเข้าสิง เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:22:38 pm


ขนลุก! หญิงสาวกรีดร้องลั่น หน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อ้างผีปอบเข้าสิง

ขนลุก!หญิงก่อสร้าง อ้าง ผีปอบเข้าสิง ขึ้นวิหารเซืยนซือสัตหีบ ชลบุรี จู่ๆ ก็กรีดร้องลั่นว่า "ช่วยยายด้วย ยายทรมานเหลือเกิน" หน้าองค์พระและเทพแปดเซียน ร้อนถึงจนท.ต้องนำน้ำมนต์ มาให้ดื่มจนฟื้น รู้สึกตัวและเป็นปกติ 

เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันที่ 14 ม.ค.59 เจ้าหน้าที่ศูนย์กู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรม อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้ยินเสียง กรีดร้องลั่นลงมาจากบนวิหารเซืยนซือสัตหีบ จึงได้วิ่งขึ้นไปดูพร้อมคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย

พบว่ามีหญิงทราบชื่อต่อมา นางจงกลพรรณ อยู่มี อายุ 41 ปี เป็นคนงานก่อสร้าง ในพื้นที่สัตหีบ กำลังนั่ง ตัวสั่น อ้วกอยู่ตลอดเวลา และร้องไห้ส่งเสียงกรีดร้องลั่นไปทั่ว พร้อมกับตะโกน ว่า ยายทรมานเหลือเกินช่วยยายด้วย บริเวณหน้าองค์พระพุทธรูป และเทพเจ้าแปดเซียน เจ้าแม่กวนอิม ก่อนที่คณะฝ่ายทรงเทพเจ้าแปดเซียน โป๊ยเซียนโจวซือของมูลนิธิ จะเดินไปยกมือไหว้เทพเจ้าพร้อมหยิบน้ำมนต์ ที่ทำพิธีแล้ว มาพรมทั่วร่าง และให้ดื่ม จนทำให้หญิงคนดังกล่าวสงบและนอนลงไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็แสดงอาการมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำเอาคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจกับเรื่องเกิดขึ้นอย่างมาก

ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ที่อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี สถานที่เกิดเหตุการณ์ น่าขนลุก

สอบถาม นางจงกลพรรณ ทราบว่า ก่อนหน้านี้ตนได้ไปกินมะขาม จากเพื่อนร่วมงานที่มาทราบตอนหลังว่า มีเชื้อสายผีปอบ ก่อนจะมารู้สึกเหมือนมีผีปอบมาเข้าสิง และมีความรู้สึกอยากจะมากราบไหว้ที่นี้ จึงได้เดินทางมากราบไหว้ขอพร เทพเจ้าแปดเซียน โป๊ยเซียนโจวซือ ก่อนที่จะขอพรให้เทพเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ช่วยลูกด้วย ลูกไม่รู้เป็นอะไรใจไม่ดี ก่อนจะไม่รู้สึกตนว่า ได้ทำอะไรลงไปก่อนจะตื่นขึ้นมาดังกล่าว ซึ่งตอนนี้รู้สึกตัวดีแล้ว หลังจากได้ดื่มน้ำมนต์เข้าไป ก่อนจะเอาน้ำมนต์ไปอาบน้ำกลางแจ้งเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปจากตัวไป

ระทึก! หญิงสาวถึงกับดิ้น เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมร้องว่า"ช่วยยายด้วย ยายทรมานเหลือเกิน"

ด้านคณะกรรมการฝ่ายทรง กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์เราก็ช่วยเหลือตามพิธีกรรมของคนฝ่ายทรงคืนใช้น้ำมนต์พรมทั่วร่างกาย และดื่มน้ำมนต์ เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากร่างกาย พร้อมกับแนะนำหญิงคนดังกล่าวควรทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย สำหรับเซืยนซือสัตหีบ เป็นวิหารที่ประทับรูปปั้น ของเทพเจ้าแปดเซียน หรือ โป๊ยเซียนโจวซือ ที่มูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถาน ตลอดจนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ประชาชน ให้ความเคารพ นับถือ เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ โดยจะมีชาวบ้านต่างพากันมากราบไหว้ตลอดทั้งวัน เพื่อขอพร โชคลาภและและขับไล่สิ่งชั่วร้ายและยังสร้างปาฏิหาริย์ในอีกหลายเหตุการณ์ ที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ นับถือและเคารพบูชา และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นอย่างมากอีกด้วย

จนท.มูลนิธิฯ เข้าช่วยหญิงสาว กรีดร้องลั่น ที่ถูกระบุว่าผีปอบเข้าสิง

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/562885
11747  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา พระครูเจ้าคณะนครพนม นำตะเคียนยักษ์ 2,000 ปี แกะสลักแฝงปริศนาธรรม(คลิป) เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:19:03 pm


ฮือฮา พระครูเจ้าคณะนครพนม นำตะเคียนยักษ์ 2,000 ปี แกะสลักแฝงปริศนาธรรม(คลิป)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม ได้เกิดข่าวฮือฮา เป็นที่สนใจของประชาชนและนักท่องเที่ยว  ภายหลังจากพระครูปิยคามเขตคณาภิรักษ์(ดร.) (จอ.ชพ.) หรือพระอาจารย์จินดา  อายุ 45 ปี เจ้าคณะอำเภอบ้านแพง จ.นครพนม เจ้าอาวาสวัดปทุมมาราม  บ้านนาเข หมู่ 1 ต.นาเข อ.บ้านแพง จ.นครพนม ได้มีไอเดียนำต้นไม้ตะเคียนทองยักษ์ อายุราว 2,000 ปี ขนาดความยาวประมาณ 20 เมตร  เส้นรอบวงโคนต้น ประมาณ 5 เมตร  ซึ่งเป็นไม้ตามความเชื่อว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาอารักษ์ปกปักรักษา รวมถึงมีนางตะเคียนสิงสถิตย์  มาเก็บรักษาไว้ภายในวัด  พร้อมออกแบบจากแนวความคิด  ให้ช่างแกะสลักไม้มาแกะสลักเป็นภาพนูนสูง  ตลอดลำต้นไม้ตะเคียนยักษ์ 

โดยประกอบด้วย รูปพระพุทธเจ้าปางปรินิพพาน 2 ด้าน รวมไปถึงภาพพุทธประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการออกผนวช แสดงธรรมเทศนาโปรดมนุษย์  ผสมผสานกับภาพสัตว์ในวรรณคดี รวมถึงหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ไปจนถึงการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ สอดแทรกด้วยภาพสัจธรรมของชีวิต ที่ปัจจุบันกำลังยึดติดกับเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า ที่จะเป็นสื่อให้ประชาชน นักท่องเที่ยว ได้มากราบไหว้ เพราะยังเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของต้นตะเคียน ควบคู่กับการชื่นชมลวดลายแกะสลัก แฝงสั่งสอนด้วยปริศนาธรรมในตัว



ที่สำคัญยังเป็นการสร้างจิตสำนักให้คนเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา เนื่องจากปัจจุบันคนในสังคมกำลังหลงอยู่กับอบายมุข โดยในการแกะสลักจะเน้นให้มีความสวยงามแบบธรรมชาติ และลงตัวกับสภาพของต้นตะเคียนทองยักษ์ให้มากที่สุด  ซึ่งจะมีการแกะสลักแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านที่มีการลงสีสันความสวยงาม อีกด้านจะเน้นความเป็นธรรมชาติของไม้ตะเคียนให้มากที่สุด สื่อถึงสัจธรรมของชีวิต เมื่อเกิดมาแล้ว สุดท้ายไม่มีอะไร นอกจากความดี

โดยจากการสอบถาม พระสุเทพ ธรรมวโร  อายุ 39 ปี พระลูกวัดที่ดูแลวัด เล่าถึงที่มาของต้นตะเคียนยักษ์ว่า เดิม พระครูปิยคามเขตคณาภิรักษ์  หรือพระอาจารย์จินดา ซึ่งเป็นพระที่มีความรู้ความสามารถ ชาวบ้านศรัทธาเคารพนับถือ  อุปสมบทศึกษาเล่าเรียน มานานกว่า 26 พรรษา จนได้รับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอบ้านแพง จ.นครพนม  ก่อนได้มาพัฒนาดูแลวัดแห่งนี้ ที่เป็นบ้านเกิด  ต่อจากเจ้าอาวาสองค์เดิม จนกระทั่งมีความตั้งใจว่าจะสร้างอุโบสถ แต่ต้องการทำด้วยไม้ เพื่อให้เกิดความสวยงาม หาดูได้ยาก ให้ประชาชน นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชม กราบไหว้ทำบุญ



และเป็นที่มาของการเกิดนิมิต มีผู้หญิงคนหนึ่งมาบอกว่า ต้องการที่จะมาอยู่อาศัยในวัด  ช่วยพัฒนาวัดทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา  ต่อมาไม่นานได้เกิดความบังเอิญ  ได้มีชาวบ้านมาบอกว่า มีคนพบไม้ตะเคียนขนาดใหญ่  ที่ห้วยบางทราย จ.มุกดาหาร  เมื่อปี 2554 จึงเกิดความแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตามนิมิต และมีความคิดว่าจะไปดูและอยากได้ไม้ตะเคียนต้นดังกล่าวมาไว้ที่วัด เพราะเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในนิมิต แต่หลังจากการไปดูแล้วพบว่าไม้มีขนาดใหญ่มาก ความยาวประมาณ 20 เมตร  ขนาดความกว้างรอบลำต้นประมาณ 5 เมตร  เชื่อว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี  จึงได้พยามขอรับสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธา เคลื่อนย้ายไม้ตะเคียนยักษ์ต้นนี้มาไว้ที่วัด  ซึ่งต้องมีการผ่านกระบวนการทางกฎหมายหลายขั้นตอน ถึงนำมาไว้ที่วัดได้

ภายหลังทางพระครูเจ้าอาวาส จึงได้เกิดความคิดว่าการนำไม้ตะเคียนมาไว้ที่วัดเพียงอย่างเดียวคงไม่เกิดจุดสนใจ จึงเกิดความคิดที่จะทำการแกะสลักไม้ตะเคียน เพื่อให้เกิดความขลังศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น จึงได้หารือกับช่างแกสลักมาลงมือแกะสลัก โดยเป็นคนออกแบบด้วยตนเอง ให้ช่างลงมือแกะสลัก เนื่องจากมีความรู้พื้นฐาน และชอบศึกษาเกี่ยวกับงานศิลปะมาอยู่แล้ว  ซึ่งได้กำหนดแกะสลักให้ต้นตะเคียนเป็นรูป พระพุทธเจ้าปางปรินิพพาน 2 ด้าน รวมไปถึงภาพพุทธประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการออกผนวช แสดงธรรมเทศนาโปรดมนุษย์  ผสมผสานกับภาพสัตว์ในวรรณคดี รวมถึงหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ไปจนถึงการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ สอดแทรกด้วยภาพสัจธรรมของชีวิต



ด้านหนึ่งจะมีการลงสีให้สวยงาม  ส่วนอีกด้านจะคงเป็นสภาพเดิมให้เห็นลักษณะความสวยงามของเนื้อไม้ และแก่นแท้ของไม้ตะเคียน  สื่อความหมายระหว่างความสำคัญของพระพุทธศาสนา กับสังคมยุคปัจจุบัน  ให้ประชาชนที่ได้มาเยี่ยมชมเกิดความคิด มีความหมายในตัว แฝงด้วยปริศนาธรรม

โดยเป้าหมายที่แกะสลักภาพลงบนไม้ตะเคียนต้นนี้ ต้องการที่จะสร้างจุดสนใจให้กับผู้ที่มาพบเห็นได้สำนึกในหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิต ที่จะนำไปปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน ให้มีความสงบสุข  และช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา  ภายใต้ความขลังของไม้ตะเคียนทอง ที่เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงได้มากราบไหว้บูชาเป็นสิริมงคลตามความเชื่อ  นอกจากนี้ยังจะได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาที่สำคัญของ จ.นครพนม ต่อไปอนาคต จึงขอเชิญชวนญาติโยม ได้เดินทางมาเที่ยวชม กราบไหว้บูชา เป็นสิริมงคล


ชมคลิปได้ที่
https://youtu.be/QzySn-1EqsY
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452740676
11748  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุวพันธุ์เผยได้รับหนังสือแจ้งมติมส. เสนอตั้ง′สมเด็จช่วง′ เป็นสังฆราชองค์ใหม่แล้ว เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:13:25 pm


′สุวพันธุ์′ เผยได้รับหนังสือแจ้งมติมส.เสนอตั้ง′สมเด็จช่วง′เป็นสังฆราชองค์ใหม่แล้ว

"สุวพันธุ์" รับพศ.ส่งหนังสือแจ้งมติมส.เสนอชื่อ "สมเด็จช่วง" เป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ เตรียมถก "พศ.-คณะสงฆ์-วิษณุ" ข้อมูลเพิ่มเติมก่อนส่งให้ “บิ๊กตู่”

เมื่อวันที่ 14 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่ประชุมกรรมการเถรสมาคม (มส.) มีมติเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชองค์ใหม่แล้ว ว่า ที่ประชุมกรรมการ มส.เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบนามของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อส่งถึงรัฐบาลเพื่อนำความกราบบังคมทูลฯ ต่อไป โดยเป็นมติที่เห็นชอบร่วมกันของกรรมการมส.ทุกรูป ไม่มีข้อขัดแย้งหรือมีปัญหาในมส. ทั้งนี้มีกรรมการ 3 รูปที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม คือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิตถาวโร) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระภทฺทจารี) เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวราราม


 :25: :25: :25: :25:

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)ได้รับมติดังกล่าวจากมส.เรียบร้อย และได้ทำเป็นหนังสือส่งมาถึงมือตนแล้วเช่นกัน ส่วนขั้นตอนต่อจากนี้ ตนจะต้องรวบรวมข้อมูลครบถ้วนรอบด้านที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพื่อส่งให้นายกรัฐมนตรีมีข้อมูลทุกประเด็นเพียงพอในการพิจารณาในส่วนอำนาจหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการต่อไปโดยตั้งแต่สัปดาห์หน้าตนจะมีการหารือเพิ่มเติมกับพศ.รวมถึงอาจต้องหารือกับคณะสงฆ์และนายวิษณุเครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และอาจมีข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม 

อีกทั้งทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับกระบวนการนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ก็จำเป็นต้องมีข้อมูลครบและรอบด้านให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาก่อน อย่างไรก็ตาม ตนยังบอกไม่ได้ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้นานแค่ไหนหรือจะเสร็จภายในเดือนมกราคมนี้หรือไม่ ทั้งนี้ขอยืนยันว่าเราทำทุกอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรคลุมเครือ และอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง

"เมื่อรัฐบาลได้รับเรื่องมาแล้วก็ต้องดำเนินการ จะทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ ตอนนี้อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีมีอยู่อย่างเดียวคือจะกราบบังคมทูลฯ หรือไม่ อย่างไร แค่นี้เอง ซึ่งนายกฯพูดมา 2 ครั้งแล้วว่ามีเหตุผลของท่านอยู่ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ฉะนั้นการที่จะทำให้เกิดความเหมาะสมและรอบคอบ นายกฯก็อยากเห็นข้อมูลให้รอบด้านทั้งหมดก่อน ส่วนเสียงคัดค้านนั้น เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งก็ต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรต่อไป" นายสุวพันธุ์กล่าว



เมื่อถามว่าจะสามารถส่งเรื่องให้ถึงมือนายกรัฐมนตรีได้ภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้หรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวว่า ตอบไม่ได้ว่าจะถึงมือเมื่อไหร่ เอาเป็นว่าตอนนี้ความรับผิดชอบอยู่ที่ตนในฐานะกำกับดูแล พศ.เมื่อเห็นว่าได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็จะส่งถึงนายกรัฐมนตรี แต่หากตนยังเห็นว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มอีก ก็อาจต้องไปหารือกับฝ่ายต่างๆ เท่าที่จะทำได้  เมื่อถามย้ำว่าจากนี้ไปจะไม่มีอะไรเป็นเรื่องลับแล้วใช่หรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวว่า จะบอกอย่างนั้นก็ไม่ได้ แต่จะไม่มีอะไรที่คลุมเครือ อะไรที่พูดไม่ได้ก็จะบอกว่าพูดไม่ได้ แต่อะไรที่พูดได้ ตนก็จะเล่าให้สังคมรับทราบโดยอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงทั้งหมด ต่อข้อถามว่ากังวลหรือไม่ต่อกระแสต่อต้านในขณะนี้

นายสุวพันธุ์กล่าวว่า เรารอดูและประเมินเป็นระยะๆ จากประสบการณ์ของตนคงดูว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง การจะทำอะไรแต่ละอย่างนั้นต้องดูและเข้าใจพัฒนาการของเขาก่อนว่าเรื่องที่กำลังเกิดมีเหตุปัจจัยอะไร มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง และควรจะเดินแบบไหน เพราะเจตนาของตนมีอย่างเดียวคือทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ยั่งยืน มั่นคงอยู่กับสังคมไทย ไม่มีความเสียหาย เรื่องนี้ต้องใช้เวลา ขอให้ดูกันไปก่อน


 :96: :96: :96: :96:

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในเรื่องนี้จะต้องพิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 หรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวว่า นายกฯมีนโยบายชัดว่าการใช้มาตรา 44 จะทำเมื่อจำเป็นเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินหรือการแก้ปัญหามีความราบรื่น จึงเชื่อว่าถ้าจะใช้ นายกฯต้องเห็นสถานการณ์ไปถึงจุดจุดนั้นแล้วจึงจะนำมาพิจารณา

ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452764670
11749  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดเบื้องหลัง มติมส. เสนอ ‘สมเด็จช่วง’ รูปเดียว เป็นสังฆราช เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:07:35 pm


เปิดเบื้องหลัง มติมส. เสนอ ‘สมเด็จช่วง’ รูปเดียว เป็นสังฆราช

เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ เตือนรัฐบาลดองเรื่องตั้งพระสังฆราช สงฆ์ทั่วประเทศนัดรวมตัวกันแน่ เผยเบื้องหลังวาระ มส. 5 ม.ค. สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศเป็นผู้เสนอชื่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพียงรูปเดียวก่อนมีมติเอกฉันท์...

เมื่อวันที่ 14 ม.ค.59 นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ได้ส่งมติมหาเถรสมาคมเรื่องการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสนอไปยังนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาฯแล้ว ซึ่งเป็นการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย ตามมาตรา 7 ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535


 :96: :96: :96: :96:

ขณะที่นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามกรณีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 กล่าวว่า หลังจากนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามความคืบหน้าการเสนอเรื่องสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชจากรัฐบาลเป็นระยะๆ รวมถึงจะต้องตอบข้อซักถามของรัฐบาลในประเด็นต่างๆ ซึ่งขณะนี้ทราบว่า นายสุวพันธุ์ จะหารือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ในวันที่ 18 ม.ค.นี้ ใน 2-3 ประเด็น เกี่ยวกับข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง รวมถึงประเพณีปฏิบัติที่ผ่านมา รวมทั้งกรณีข้อท้วงติงของกลุ่มผู้คัดค้าน

ด้านพระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรณีที่มีผู้เรียกร้องให้รัฐบาลตีความขั้นตอนการเสนอรายชื่อสมเด็จพระราชาคณะ เพื่อทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น เป็นกระบวนการเพื่อสร้างเรื่องให้เกิดเงื่อนไข กวนน้ำให้ขุ่น เพื่อต้องการให้กระบวนการในการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต้องล่าช้า ทั้งที่ขั้นตอนต่างๆ ที่ทางมส. ดำเนินการนั้น เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนเดียวกับเมื่อครั้งที่มีการเสนอรายชื่อสมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร ขึ้นทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

 :25: :25: :25: :25:

"ขณะนี้ชัดเจนแล้วว่าทาง พศ.ได้เสนอรายชื่อสมเด็จพระราชาคณะ ตามมติ มส.เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ไปยังรัฐบาลแล้ว และหากพบว่ารัฐบาลมีการดองเรื่อง พระสงฆ์ทั่วประเทศก็พร้อมที่จะนัดรวมตัวกันแสดงสังฆามติ ให้รัฐบาลได้เห็น ซึ่งขณะนี้มีกระแสตอบรับจากพระสงฆ์จำนวนมาก เหมือนกับเมื่อครั้งที่จะนัดรวมตัวกันเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวทางของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน" พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมติมหาเถรสมาคม วาระพิเศษ เมื่อวันที่ 5 ม.ค.59 ในการพิจารณาเสนอรายชื่อสมเด็จพระราชาคณะ เพื่อทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ที่ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส่งเรื่องไปยังรัฐบาลแล้วนั้น ในการประชุมวันดังกล่าวมีกรรมการมหาเถรสมาคมเข้าร่วมประชุมทั้งสิ้น 17 รูป โดยมี 3 รูป ไม่ได้เข้าร่วมประชุม คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดสัมพันธวงศาราม เนื่องจากอาพาธ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุทัศนเทพวราราม เนื่องจากอาพาธ ซึ่งในระหว่างการประชุม สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นผู้เสนอรายชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพียงรูปเดียว และที่ประชุมก็มีมติเป็นเอกฉันท์.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/562808
11750  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศิษย์หลวงตาบัว ยื่น 1.7 ล้านชื่อ ทบทวนตั้ง 'สังฆราช' เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:04:42 pm


ศิษย์หลวงตาบัว ยื่น 1.7 ล้านชื่อ ทบทวนตั้ง 'สังฆราช'

กลุ่มพุทธศาสนิกชนคนปทุมธานี ยื่นหนังสือให้ชะลอการตั้งพระสังฆราชถึงรัฐบาล

กลุ่มพุทธศาสนิกชนคนปทุมธานี ยื่นหนังสือค้านตั้งสมเด็จพระสังฆราช กับตัวแทนรัฐบาล ขณะที่กลุ่มคณะสงฆ์ และศิษยานุศิษย์หลวงตามหาบัว ก็ยื่นหนังสือถึงนายกฯ 2 ฉบับ 1.7 ล้านรายชื่อ ทบทวนการแต่งตั้งประมุขสงฆ์ครั้งนี้..

กระแสการเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม ความคืบหน้าวันที่ 4 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มคณะสงฆ์ศิษยานุศิษย์องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ใช้มาตรา 44 แก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เพื่อถวายคืนพระราชอำนาจ ในการสถาปนาและปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เท่านั้น ทั้งนี้ เป็นไปตามประชามติ 1 ล้าน 7 แสนรายชื่อ ซึ่งสังคมกำลังเกิดความขัดแย้งในเรื่องการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ดังนั้น นายกรัฐมนตรี ควรเร่งแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด และนอกจากนี้ ยังมีการยื่นหนังสืออีกฉบับ เพื่อย้ำเตือนนายกฯ เรื่องการสถาปนาและปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราช ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย โบราณราชประเพณี ซึ่งต้องเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เท่านั้น

 :96: :96: :96: :96: :96:

ขณะที่ช่วงเช้าวันเดียวกัน ยังคงมีกลุ่มพุทธศาสนิกชนคนปทุมธานี นำโดย นายอรรถพล อรุโณรส ผู้ประสานงานกลุ่ม มายื่นหนังสือคัดค้านการเสนอชื่อ ”สมเด็จช่วง” เป็นสังฆราชองค์ใหม่ ให้กับ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลงานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เนื่องจากทางกลุ่มเห็นถึงความไม่เหมาะสมของ ”สมเด็จช่วง” เพราะมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย อีกทั้ง ยังเอื้อประโยชน์ให้กับพระธัมมชโย ผู้ที่มีคดีทุจริตติดตัว โดยมี นายเพิ่มศักดิ์ บ้านใหม่ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นตัวเเทนรับมอบหนังสือ ที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป..

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/562786
11751  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิจัยเผย "9 ใน 10 คนยุคนี้ มักมีอาการคิดไปเองว่า มือถือสั่น" เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:22:15 am


วิจัยเผย "9 ใน 10 คนยุคนี้ มักมีอาการคิดไปเองว่า มือถือสั่น"

วิจัยเผย "9ใ น 10 ของคนยุคสมัยนี้ มักมีอาการคิดไปเองว่า มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่น"

สำนักข่าว'อินดิเพนเดน' อังกฤษ ได้เผยแพร่งานวิจัยที่ตีพิมพ์วารสาร Computers in Human Behaviour ระบุว่า 9 ใน 10 ของผู้คนในยุคสมัยนี้มักมีอาการคิดไปเองมือถือในกระเป๋ากางเกงตัวเองกำลังสั่นและมีสายโทรศัพท์เข้า ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้มีการสั่นแต่อย่างใด

'ดร.โรเบิร์ต โรเซนเบอร์เกอร์'ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีรัฐจอร์เจียได้อธิบายว่า ปรากฏการณ์พฤติกรรมมนุษย์ลักษณะนี้เกิดการใช้โทรศัพท์มือถือ และใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงเป็นประจำ จนรู้สึกเหมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว

 :49: :49: :49: :49:

"ในบางครั้ง ประสาทสัมผัสผู้คนสมัยนี้มักรับรู้การสัมผัสเสื้อผ้าที่สั่นไหวเป็นการสั่นของโทรศัพท์มือถือซึ่งจริงๆ แล้วไม่จริง ทำนองเดียวกับอาการประสาทหลอน" ดร.โรเบิร์ตกล่าว

รายงานยังระบุว่า พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนว่าผู้คนสมัยนี้มักมีระดับความกระวนกระวาย หรือกังวลระหว่างวันมากขึ้น เนื่องจากโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันที่กลายเป็นอุปกรณ์รับข้อความ อีเมล์ และสายโทรศัพท์ได้ตลอดเวลา


ที่มา independent
http://www.posttoday.com/world/news/409538
11752  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไขข้อสงสัย ทำไมนอนหลับแล้วถึงน้ำลายไหล.? แก้ไขอย่างไร.? เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:18:31 am



ไขข้อสงสัย ทำไมนอนหลับแล้วถึงน้ำลายไหล.? แก้ไขอย่างไร.?

ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร เพศใด อาชีพอะไร ไลฟ์สไตล์เป็นอย่างไร เชื่อว่าต้องเคยนอนหลับแล้วน้ำลายไหลยืดเป็นทาง จนแขนเสื้อเปียก หมอนชุ่มกันมาบ้างแล้วนะคะ แต่ทำไมเราถึงน้ำลายไหลตอนหลับด้วย แล้วทั้งๆ ที่ตอนนอนก็ปิดปากสนิทดีแล้ว ทำไมยังไหลได้อีก จะแก้ไขอย่างไร Sanook! Health มีคำตอบมาจากรายการ Did You Know? มาฝากกันค่ะ

ทำไมเราถึงนอนหลับน้ำลายไหล.?
ปกติแล้วร่างกายของคนเราจะผลิตน้ำลายออกมาตลอดเวลาอยู่แล้ว ในสภาวะปกติน้ำลายจะผลิตน้ำลายออกมา 1-2 ลิตรต่อวัน ในตอนที่เราตื่นอยู่ จะผลิตน้ำลายออกมามากกว่าตอนเราหลับ ซึ่งตอนหลับร่างกายของเราจะผลิตน้ำลายลดลงจนแทบเป็นศูนย์เลยทีเดียว

แต่ถึงกระนั้น ในตอนตื่นเราสามารถควบคุมร่างกาย ควบคุมปริมาณน้ำลายในปากของเราได้ด้วยการกลืน แต่เมื่อเราหลับ ร่างกายเข้าสู่สภาวะพักผ่อน กล้ามเนื้อทั้งตัวและบนใบหน้าก็จะผ่อนคลาย ปากของเราจะเผลออ้ากว้างออก น้ำลายที่สะสมอยู่ในปากจึงไหลออกมานอกปาก เพราะเราไม่ได้กลืนลงท้องเหมือนตอนตื่นนั่นเอง


 ask1 ans1 ask1 ans1

นอนหลับน้ำลายไหล เป็นอาการที่ผิดปกติหรือไม่.?
อันที่จริงแล้ว การนอนหลับ แล้วน้ำลายไหล ไม่ใช่อาการที่ผิดปกติแต่อย่างใด มักเกิดขึ้นเมื่อเราหลับลึก หลับสนิท ไม่ขยับตัว สังเกตได้จากวันที่เราเหนื่อยมากเป็นพิเศษ หรือผู้ที่ชอบนอนตะแคงข้าง ก็จะมีแนวโน้มในการนอนน้ำลายไหลมากกว่าคนอื่นๆ

แต่นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ผู้ป่วยโรคหวัดที่มีอาการคัดจมูก แล้วนอนอ้าปาก หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจมีปัญหานอนหลับน้ำลายไหลได้เช่นเดียวกัน


 ask1 ans1 ask1 ans1

วิธีลดอาการนอนหลับน้ำลายไหล
เพราะอาการนอนหลับน้ำลายไหลเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ จึงไม่มีวิธีการรักษาที่ตายตัว แต่สามารถลดโอกาสที่น้ำลายจะไหลยืดได้ ด้วยการนอนหงาย หรือนอนให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ปากของเราปิดขณะนอนหลับนั่นเอง


เนื้อหาโดย : Did You Know
http://health.sanook.com/2365/
11753  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมเด็จวัดปากน้ำ แนะ ‘พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี’ เน้นสอนศีล 5 ลดขัดแย้ง เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:14:02 am


สมเด็จวัดปากน้ำแนะ‘พระ ว.’เน้นสอนศีล5ลดขัดแย้ง

สมเด็จวัดปากน้ำประทานโล่รางวัลวัดที่ผ่านเกณฑ์ประเมินการจัดการสิ่งแวดล้อม ปี 2557-2558 ชื่นชมพระหนุ่มทำงานเพื่อสังคม แนะ‘ พระว.’ เน้นสอนศีล 5 ลดความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2559 ที่อาคารหอประชุม มวก.48 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  สมเด็จพระมหาราชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ)  ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานเปิดการประชุมมอบโล่รางวัลวัดที่ผ่านเกณฑ์ประเมินการจัดการสิ่งแวดล้อมปี 2557-2558 จัดโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและ มจร



ในการนี้สมเด็จพระมหาราชมังคลาจารย์ได้กล่าวย้ำว่า ต้องปลูกต้นไม้ให้เต็มวัด แต่ต้องฟังญาติโยมบ้าง ฟังชุมชนด้วย อย่าขัดแย้งกับชุมชน ต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วมเรื่องการจัดการวัด  เพื่อให้วัดร่มรื่น เข้ามาในวัดทำให้เย็น  ซึ่งในสมัยโบราณจะปลูกต้นสนรอบวัด  อยากให้พระปลูกต้นไม้รับประทานได้  ซึ่งพระสงฆ์ไปขอรับจากกรมป่าไม้ได้ฟรี   อยากให้ญาติโยมมาวัดได้ความร่มรื่น ร่มเย็น จากร้อนต้องเย็น วัดใดมีต้นไม้มากๆ ก็อยากให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบรางวัลให้เลยเพื่อเป็นกำลังใจ



"แต่วัดต้องพัฒนาพระเณรให้การศึกษา นักธรรมและบาลี  จะมีกี่รูปก็ตามต้องจัดการศึกษา อยากให้คนอาวุโสที่พอช่วยตนเองได้ให้ชวนกันมาบวชเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมในวัด  ฉะนั้น นอกจากฒนาสิ่งแวดล้อมในวัด จะต้องพัฒนาตนเองควบคู่ด้านการศึกษา"  สมเด็จพระมหาราชมังคลาจารย์กล่าว

ต่อจากนั้นสมเด็จพระมหาราชมังคลาจารย์ได้ประทานโล่รางวัลสำหรับในปีงบประมาณ 2557 มีวัดเข้าร่วมโครงการ จำนวน 67 วัด ผ่านเกณฑ์การประเมินระดับดีเยี่ยม 14 วัด  ระดับดีมาก 11 วัด และระดับดี 16 วัด ในปีงบประมาณ 2558 มีวัดเข้าร่วมโครงการ จำนวน 192 วัด ผ่านเกณฑ์การประเมินระดับดีเยี่ยม 12 วัด ระดับดีมาก 14 วัด และระดับดี 18 วัด

พร้อมกันนี้สมเด็จพระมหาราชมังคลาจารย์ยังนิมนต์พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี แห่งศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย เข้าพบบนเวที เพื่อให้กำลังใจในการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยกล่าวว่า อยากให้เน้นศีล 5 แบบบูรณาการเพื่อลดปัญหาความขัดแย้ง จึงขอกำลังพระมหาวุฒิชัยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะเป็นพระหนุ่มรุ่นใหม่




ต่อจากนั้นเป็นการอภิปรายเรื่อง "การจัดการสิ่งแวดล้อมในวัด" โดยมีวิทยากรประกอบด้วย พระพุทธิญาณมุนี  เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา จ.เชียงราย  พระครูผาสุกิจวิจารณ์ เจ้าอาวาสวัดกำแพงมณี จ.พิษณุโลก  พระมหาวุฒิชัย วชริเมธี นายสากล ฐินะกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และรศ.สยาม  อรุณศรีมรกต  รองคณบดีคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีพันตรีสุธี สุขสากล อนุศาสนาจารย์กรมทหารการสื่อสาร กองทัพบก เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยกล่าวว่า  วัดเป็นศูนย์กลางของผู้คนชาวพุทธ จึงมีความสำคัญในการจัดการวัดให้มีความสนใจอยากให้ประชาชนเข้าวัดปฏิบัติธรรม วัดมีแนวทางให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างไร วัดจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างไร

พระพุทธิญาณมุนี
กล่าวว่า เชียงรายเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของสยาม วัดเป็นภูเขามีพื้นที่ พันกว่าไร่ ชาวบ้านขึ้นไปทำไร่สวน จึงขอชาวบ้านให้แบ่งพื้นที่ชัดเจน จึงพัฒนาให้วัดเป็นธุดงคสถาน มีการรักษาต้นไม้  ซึ่งชาวบ้านไม่เข้าใจว่า พระสงฆ์มาเกี่ยวข้องอะไรกับป่าไม้ เราจึงให้คำตอบว่า รักษาไว้เพื่อเป็นของส่วนร่วม เพราะในป่ามีสมุนไพร  ส่วนอาคารสถานที่ก็พยายามสร้างเพื่อไม่ให้ทำลายป่าไม้ ธรรมชาติสร้างความกลมกลืนกับธรรมชาติ สรุปว่า ป่าในวัดมีสมุนไพรทำให้ผู้คนแวะเวียนมาเรื่อยๆ เพื่อศึกษาและเยี่ยมชมวัด



พระครูผาสุกิจวิจารณ์ กล่าวว่า เริ่มต้นจากการรวมตัวกับพระสงฆ์ออกไปอบรมจริยธรรมเด็กเยาวชนตามโรงเรียนต่างๆ โดยใช้ความรู้นักธรรม  เป็นการเชิกรุกเผยแผ่ตามโรงเรียน ซึ่งวัดแห่งนี้เดิมมีความขัดแย้ง ไม่มีราศี ไม่มีพระมาอยู่ โยมจึงนิมนต์มาพัฒนาวัด  จึงเริ่มต้นจากการอบรมเยาวชน บวชเณร  ทำโครงการทุกอย่างร่วมกับภาครัฐและเอกชน ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีทุน ถ้าเราทำจริงๆอาตมาเริ่มต้นจากศีล 5  ตั้งแต่ พ.ศ.2532  เยาวชนมาร่วมทำความสะอาดวัด นำขยะมาทำปุ๋ย อย่าเผาเด็ดขาด ซึ่งพระที่ทำพัฒนาวัดมีแต่พระรุ่นเก่าๆ พระรุ่นใหม่ไม่อยากทำ เพราะมันเหนื่อยและเสียสละมากๆ ซึ่งโครงการบวชป่า ที่วัดก็ทำ ต้นสักที่วัดมีเป็นหมื่นต้น  ปลูกทุกพื้นที่ มีจำนวน  30,000 ต้น

"ผมสร้างวัดด้วยแรงบันดาลใจ สร้างวัด สร้างคน จนเป็นที่ยอมรับของชุมชนและส่วนราชการ ซึ่งมีโครงการอะไรทำได้หมด  มีนักเรียนเครือข่ายเกิดขึ้น 15 โรงเรียน"  พระครูผาสุกิจวิจารณ์ กล่าว

นายสากล กล่าวว่า วัดต้องไม่เผาขยะเพราะจะทำให้เกิดภาวะโลกร้อน วัดจึงต้องมีกระบวนการจัดการขยะ รวมไปถึงการจุดธูปเทียนเยอะ ๆ จะทำอย่างไรจะช่วยลดความร้อนของโลก  ต้องเริ่มต้นจาก บ้าน วัด โรงเรียน ชุมชน โรงงานต่างๆ  ยากให้วัดเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของสิ่งแวดล้อม วัดสีเขียว ให้วัดลดพวงหรีด แต่อยากให้เน้นของใช้ต่างๆ เช่น พัดลมแทนพวงหรีด   รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงภายในวัด  สถานที่ประกอบอาหารภายในวัดต้องสะอาด ถูกสุขลักษณะ เราอยากสร้าง "วัดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม"  มีบ่อบำบัดน้ำเสียด้วย



พระมหาวุฒิชัย กล่าวว่าที่ไร่เชิญตะวันเน้นสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ซึ่งวัดใช้คำว่า อาราม แปลว่าสวนที่น่ารื่นร่ม ทุกวัดต้องกลับไปหารากเหง้าของความร่มรื่น  เดิมที่ไร่เชิญตะวัน เป็นสวนลำไย สภาพป่า ต้นไม้แย่มากเรียกว่า  "กระทำชำเราธรรมชาติ" เพราะใช้สารพิษกันจริงๆ   ประเด็นที่ฝาก คือ
    1.ทำวัดให้เป็นอาราม ร่มรื่นร่มเย็น
    2.ให้ชาวบ้านรู้ตื่นให้การรักษาดูแล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า "ให้ปลาอยู่เฉยๆ เดี๋ยวปลาก็โตเอง" หมายถึงให้ปลาอยู่กับธรรมชาติ คนที่มาเชียงรายจะต้องมา "สามเหลี่ยมทางจิตวิญญาณของเชียงราย" คือ วัดร่องขุ่น บ้านดำ ไร่เชิญตะวัน เป็นสามเหลี่ยมแห่งจิตวิญญาณ  ทำให้ขยะเยอะมากที่ไร่เชิญตะวัน เพราะคนมาเยอะมากๆ จึงมีโครงการ "ขุมทองกลางกองขยะ" เปลี่ยนเศษปฏิกูลเป็นทองคำ นำขยะมาแลกอาหารเครื่องบริโภคอุปโภค  ฉะนั้นเราต้องตื่นรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมกันเเล้ว

รศ.สยาม  กล่าวว่า เรามีโครงการ  "ศาลยาน่าอยู่" ซึ่งวัดจีนมีการเผาเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นความเชื่อ   แต่พยายามจะพูดคุยให้ใช้การเผาให้น้อยที่สุด   เราต้องระวังความรั่วไหลของไฟฟ้า เช่น เปิดแอร์ แล้วเปิดประตูทิ้งไว้  ทำให้สูญเสียพลังงานเป็นอย่างมาก อยากให้พระสงฆ์พูดเรื่องสิ่งแวดล้อมทุกครั้งในการเทศน์ การสอน เป็นการบูรณาการสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประชาชนร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม



ทั้งนี้พระปราโมทย์  วาทโกวิโท พระนิสิตปริญญาโท สาขสันติศึกษา มจร ได้มีทัศนะเรื่อง "ปลูกวันละต้น โค่นวันละไร่" ความว่า  "สร้างวัดและสถานธรรมให้ "สัปปายะ"  ซึ่งหมายถึง สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการประพฤติวัตรปฏิบัติธรรม  และสถานที่ไม่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรม เรียกว่า อสัปปายะ"  พระพุทธศาสนามีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม  ซึ่งการอนุรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามหลักคำสอนเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ที่ว่า "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นจึงดับ"  เป็นการเน้นถึงความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งในโลก ว่ามีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ดังคำกล่าวที่ว่า...

น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย และ  นายพึ่งบ่าว เจ้าพึ่งข้า ป่าพึ่งเสือ เรือพึ่งน้ำ"  ด้วยเหมือนกัน  ซึ่งคำว่า "ป่าพึ่งเสือ" มีหมายความว่า  "เสือมีเพราะป่าปก  ป่ารกเพราะเสือยัง  ดินดีเพราะหญ้ายัง   หญ้ายังเพราะดินดี"

             

พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นบิดาผู้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางพระพุทธศาสนา เพราะ  "ประสูติในสวนป่าลุมพินีวัน  ตรัสรู้ในป่าใต้ต้นมหาโพธิ์  นิพพานในป่าใต้ต้นสาละ" ซึ่งตามพระวินัยพระพุทธเจ้าทรงห้ามพระสงฆ์มิให้ตัดไม้ทำลายป่า และมิให้ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ บ้วนน้ำลายลงบนพืชพันธุ์ธัญญาหาร และแม่น้ำลำคลอง ที่ยิ่งกว่านั้นทรงบัญญัติให้อยู่โคนไม้ เป็นการรักษาธรรมชาติ เพื่อจะได้พึ่งพาธรรมชาติ
             
สมัยพระพุทธกาลจะมีอาราม คือ สวนป่า เช่น วัดเวฬุวันวนาราม เป็นสวนไผ่ วัดชีวกกัมพวนาราม เป็นสวนมะม่วง  กลุ่มพระสงฆ์ผู้พำนักอยู่ในวัดป่าเรียกว่า "อรัญญวาสี"
             
พระสงฆ์จึงเป็นนักอนุรักษ์ป่าไม้ได้เป็นอย่างดี    ด้วยการชักชวนศรัทธาประชาชนเห็นคุณค่าของป่าไม้  ถือว่าเป็นการสร้างบุญจากการรักษาสิ่งแวดล้อม

             

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน วนโรปสูตร ว่า..." ชนเหล่าใดปลูกสวน ปลูกป่า  สร้างสะพาน  สร้างโรงน้ำ ขุดบ่อน้ำ บริจาคอาคารที่พักอาศัย  ชนเหล่านั้นได้บุญตลอดเวลาทั้งกลางคืนและกลางวัน"  เพราะผู้คนตลอดถึงพระสงฆ์ได้ใช้ประโยชน์นั่นเอง
             
ใน "สีสปาวนสูตร" พระพุทธเจ้าใช้ป่าไม้เป็นอุปกรณ์ในการสอนธรรมแก่พระสงฆ์ พระองค์ทรงหยิบใบประดู่ลายแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า...  "ใบประดู่ลายเล็กน้อยที่เราได้ถือไว้ กับใบที่อยู่บนต้นประดู่ลาย อย่างไหนจะมากกว่ากัน  "
           
พระภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า  "ใบประดู่ลายในพระหัตถ์ของพระองค์น้อยกว่า ใบที่อยู่บนต้นประดู่ลายมีมากกว่า"  พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า..."เรื่องที่เราตรัสรู้แล้ว แต่มิได้บอกท่านทั้งหลายก็มีมากกว่า ฉันนั้นเหมือนกัน  เรื่องที่เราบอกท่านทั้งหลายมีน้อยกว่า เหมือนใบไม้ในกำมือนี้"
           
ฉะนั้น ให้ทุกท่านเริ่มด้วยการปลูกต้นแคร์ในหัวใจของเรา คือ แคร์ความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ทั้งคนและธรรมชาติ พระพุทธตรัสว่า
    "สุทสฺสํ  วชฺชมญฺเญสํ อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ
     แปลความว่า ความผิดพลาดของคนอื่นเห็นได้ง่าย ความผิดพลาดของตนเองเห็นได้ยาก"  สาธุ

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊กPramote Od และพันตรี สุธี สุขสากล
http://www.komchadluek.net/detail/20160113/220488.html
11754  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ยันชัด 'สมเด็จช่วง' เป็น 'พระสังฆราช' เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 09:48:36 am


ยันชัด 'สมเด็จช่วง' เป็น 'พระสังฆราช'

‘วิษณุ’ชี้ตามหลักอาวุโส

“วิษณุ” ของขึ้นบอกถ้ายังมีปัญหาแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ จะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ระบุชัดต้องตั้งสมเด็จวัดปากน้ำขึ้นเป็นสังฆราช ซัดลูกศิษย์ตัวป่วน ก่อปัญหา เสนอชื่อสังฆราชต้องรอบคอบ ด้านมหาเถรสมาคมตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งเรื่องการแต่งตั้งตามขั้นตอนการแต่งตั้ง “สังฆราช” องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ยังเกิดข้อขัดแย้ง ที่ทำให้ปั่นป่วนต่อการแต่งตั้ง ทั้งนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 13 ม.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีมหาเถรสมาคม ประชุมลับเมื่อวันที่ 5 ม.ค. พร้อมมีมติเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ใหม่ว่า

ประชุมทุกครั้งก็ลับทั้งนั้น ลับหรือไม่ลับจึงไม่มีความแตกต่าง ปัญหาคือวาระที่ประชุมบอกให้คนรู้ก่อนหรือไม่ ส่วนจะครบองค์ประชุมหรือไม่นั้นไม่ทราบ หากมีมติใดออกมาก็เสนอมายังรัฐบาลได้ ถ้าการประชุมมีมติรับรองถูกต้องก็จบ ตามขั้นตอนหากรัฐบาลได้รับรายชื่อมา จะต้องตรวจสอบว่าการพิจารณาเสนอชื่อมาทำถูกหรือไม่ แต่ไม่มีหน้าที่ไปดูความประพฤติหรือความเหมาะสม เพราะไม่มีอำนาจ

ส่วนการตั้งรักษาการไปก่อนจะ เป็นทางออกดีที่สุดหรือไม่นั้น ไม่ขอตอบ แต่รัฐบาลจะไม่นำสิ่งซึ่งเป็นความขัดแย้งขึ้นกราบบังคมทูลฯ ถ้ากราบบังคมทูลฯ ขึ้นไปแล้วคนที่ขัดแย้งตามไปคัดค้าน สำนักราชเลขาธิการต้องส่งกลับมาอยู่ดีว่า จะเอาอย่างไรแน่ การที่หลายคนมองเป็นเผือกร้อนของรัฐบาล ตนถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมดา

 :25: :25: :25: :25:

นายวิษณุกล่าวว่า เรื่องนี้พระมหากษัตริย์ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชตามที่นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม ซึ่งจะต้องเสนอเห็นชอบสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นสมเด็จช่วง วัดปากน้ำ จะมา พูดเป็นอย่างอื่นให้ยุ่งทำไม ถ้าไม่ตั้งสมเด็จวัดปากน้ำแล้วจะตั้งใคร ไม่ชอบสมเด็จวัดปากน้ำไม่ว่า แต่ถ้าไม่ตั้งแล้วไปตั้งใคร ถึงจะตั้งโดยชอบด้วยกฎหมาย หลายครั้งที่ตั้งสมเด็จพระสังฆราชในอดีตมีปัญหา เมื่อมีปัญหาถ้าตั้งได้ก็จบ ครั้งนี้ไม่ได้มีการแย่งชิง แต่ที่มีปัญหาคือ ลูกศิษย์ที่อยากให้อาจารย์ตัวเองได้เป็น จึงควรปล่อยให้เป็นไปโดยธรรมชาติ อย่าให้ผิดธรรมชาติ


 :25: :25: :25: :25:

ด้านนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลยังไม่ได้รับเรื่องมาจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้สอบถามไปยังสำนักพุทธฯ ว่ามีความคืบหน้าอย่างไร สำนักพุทธฯยังตอบไม่ได้ รายงานเพียงว่ามีการประชุมวาระพิเศษเมื่อวันที่ 5 ม.ค. แต่ไม่ทราบว่า คณะสงฆ์มีมติอะไรออกมาหรือไม่ แต่ก่อนที่จะเสนอขึ้นทูลเกล้าฯจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่ละส่วนต้องทำงานอย่างละเอียด ตนจะหารือกับคณะสงฆ์ เพื่อให้เกิดความราบรื่น จะไม่ทำอะไรตามลำพัง

 st12 st12 st12 st12

วันเดียวกันนายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า มหาเถรสมาคม ส่งมติการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะ เพื่อทูลเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มายังสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อนำเรื่องเสนอไปยังนายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ พิจารณาส่งเรื่องไปยังนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายก-รัฐมนตรี ก่อนที่จะเสนอไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป มติที่มหาเถรฯส่งมานั้น เป็นมติจากการประชุมวาระพิเศษเมื่อวันที่ 5 ม.ค. และผ่านการรับรองจากการประชุม มส.เมื่อวันที่ 11 ม.ค.

 ask1 ask1 ask1 ask1

นายพิศาล แช่มโสภา ผอ.สำนักงานพระพุทธ ศาสนาจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า กรณีที่มีผู้นำเรื่องพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช เกี่ยวกับเรื่องเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มาพยายามโยงเข้ากับเรื่องการสร้างให้เกิดมลทินต่อสมเด็จพระมหารัช-มังคลาจารย์ ในฐานะที่เคยทำงานเป็น ผอ.ส่วนงานมหาเถรสมาคม ขอชี้แจงว่า ไม่อยากให้มากล่าวอ้างว่าเป็นมลทิน ต่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ทั้งยังมีการระบุอีกว่าพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชเป็นกฎหมาย ที่มหาเถรฯและคณะสงฆ์ต้องปฏิบัติตาม ขอชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องพระบัญชากับพระลิขิต พระ บัญชา คือ คำสั่งสมเด็จพระสังฆราช หรือผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ที่คณะสงฆ์ไทยต้องปฏิบัติตาม ส่วนพระลิขิต คือข้อเขียนตามพระประสงค์ จัดเป็นคำสอน ไม่ใช่คำสั่ง ไม่เป็นกฎหมาย ไม่มีผลต่อการปฏิบัติการ กล่าวอ้างว่า มหาเถรฯขัดพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ทำให้เกิดมลทิน จึงไม่เป็นความจริง

 ans1 ans1 ans1 ans1

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า กรณีกระแสสังคมที่พยายามเชื่อมโยงวัดพระธรรมกายเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระธัมมชโย เข้าไปปนเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช อยากให้ประชาชนใช้ดุลพินิจอย่านำทั้ง 2 เรื่องมาเชื่อมโยงกัน เพราะคดีวัดพระธรรมกาย เกิดขึ้นก่อนเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องไปตามระยะเวลา ก่อนหน้านี้ดีเอสไอส่งคดีที่เกี่ยวข้องกับพระธัมมชโยไปให้อัยการพิจารณา 3-4 เดือนแล้ว อัยการมีกระบวนการทำงานของตัวเอง กระทรวงยุติธรรมไม่สามารถเข้าไปแทรกแซง ส่วนคดีการครอบครองรถหรู ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ช่วง วรปุญฺโญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น อยู่ในขั้นตอนดำเนินการของดีเอสไอ ยังอยู่ระหว่างกรมศุลกากรประเมินอัตราภาษี ยืนยันไม่เคยเลือกปฏิบัติและกำหนดเงื่อนเวลา ดำเนินการไปตามหน้าที่

“ในโลกนี้ใครทำผิดมันปิดบังกันไม่ได้ ใครดีใครชั่วปิดกันไม่ได้ ที่มีคนใช้ประโยชน์จากเจ้าหน้าที่ทำงานโดยบริสุทธิ์ใจจะต้องคิดให้มาก เพราะทำให้สังคมอยู่ไม่ได้ ดีเอสไออยู่ระหว่างดำเนินการถามว่าจะยุบดีเอสไอหรือไม่ ไม่อยากให้สังคมมากดดัน เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปตามกระบวนการ สังคมต้องฟังให้ชัด ใครคัดค้านต้องใช้ข้อพิจารณาให้ดี ข้าราชการไม่สามารถไปบังคับได้ หากไม่แยกแยะจุดยืนของดีเอสไอจะกลับไปที่สภาพเก่า คือถูกใช้เป็นเครื่องมือ” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว


 st11 st11 st11 st11

อีกด้านหนึ่ง พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด อายุ 72 ปี ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ไทยรัฐ” วันเดียวกันว่า ได้ลงชื่อกำกับหนังสือประกาศเรื่อง “ชี้แจงกรณีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย และถือเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่บุคคลผู้ใดจะก้าวล่วงมิได้” หลังจากมีหนังสือประกาศวัดป่าบ้านตาด วันที่ 12 มกราคม ยืนยันว่าเป็นมติ ของพระสงฆ์ และศิษยานุศิษย์ของวัดป่าบ้านตาด ทุกหมู่เหล่า เนื่องจากเป็นเจตนารมณ์ของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ที่ได้แสดงธรรมไว้

ก่อนละสังขาร คณะสงฆ์วัดป่าบ้านตาดขออนุโมทนา ไปยังคณะศิษยานุศิษย์ทุกหมู่เหล่า ที่มีส่วนร่วมรักษาพระธรรมวินัยด้วยความเทิดทูนบูชา และรักษาโบราณราชประเพณี คณะสงฆ์วัดป่าบ้านตาดขออยู่เคียงข้าง ร่วมแสดงจุดยืนที่จะปกป้องพระธรรมวินัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/562468
11755  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดกรุสยามประเทศ ค้น 'พระลิขิต' อดีตสังฆราช เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 09:39:19 am


เปิดกรุสยามประเทศ ค้น 'พระลิขิต' อดีตสังฆราช

ในตอนที่แล้ว ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้เจาะลึกถึง "พระลิขิต" เกี่ยวกับกรณีแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 'พระลิขิต'ปุจฉาร้อน โยงตั้งพระสังฆราช? มาถึงตอนนี้ ทีมข่าวฯ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ นักวิชาการด้านเทววิทยา ที่ศึกษาเกี่ยว "พระลิขิต" ของอดีตพระสังฆราช และเรื่องราวของ มหานิกาย และ ธรรมยุติกนิกาย ถึงความแตกต่าง รวมไปถึงความไม่ลงรอยกันของ 2 นิกายนี้ ว่ามีจริงหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบ

 ask1 ans1 ask1 ans1

ไม่พบ "พระลิขิต" อดีตสมเด็จพระสังฆราชพระองค์อื่น แต่ทิ้งปณิธานไว้

นอกจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงมี "พระลิขิต" แล้ว สมเด็จพระสังฆราชพระองค์อื่น เคยมีพระลิขิตหรือไม่ ในเรื่องนี้ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการด้านเทววิทยา ให้ความรู้กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า เท่าที่ศึกษาไม่พบ "พระลิขิต" ของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์อื่น แต่จะมีในลักษณะการสั่งสอนหรือฝากฝังเช่น ในสมัยรัชกาลที่ 5 กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ทำการเทศนาสั่งสอน กรณีพระผู้ใหญ่ไม่ดูแลพระลูกวัด หรือ เจ้าคณะจังหวัดถูกบัตรสนเท่ห์ ซึ่งท่านอาจจะมีคำวินิจฉัยออกไปด้วยวาจา โดยไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนที่เป็นลายลักษณ์อักษรส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องกฎระเบียบต่าง ๆ แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้อง ปาราชิก นั้น ท่านจะมอบหมายให้พระผู้ใหญ่ที่ดูแล เช่น เจ้าอาวาส ในวัดนั้นๆ เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งตอนนั้น ยังไม่มี

"ในฐานะสมเด็จพระสังฆราช ท่านจะไม่ลงโทษใครง่ายๆ ถ้าไม่ผิดจริง เพราะเป็นสังฆราชาธิบดี การใช้อำนาจโดยไม่ไต่สวนให้ถูกต้อง"

อีกองค์ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ในสมัย รัชกาลที่ 5 เช่นกัน ซึ่งท่านเองก็ไม่ได้มีพระลิขิตแต่อย่างใด แต่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงความลำบากใจในฐานะผู้ปกครองระหว่าง 2 นิกาย เนื่องจากเกิดความขัดแย้งระหว่างหมู่คณะสงฆ์ แต่ก็ได้ดำเนินการจัดการไปตามลำดับชั้น โดยไม่ได้ใช้อำนาจของสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทั้ง 2 ครั้งดังกล่าว ไม่ถือเป็นพระลิขิต แต่ถือเป็นปณิธานของสมเด็จพระสังฆราช เพราะสมเด็จพระสังฆราช จะไม่ยุ่งกับทางโลก จะดำเนินการปกครองในคณะสงฆ์

"สมณะทั้งสองรูปเคยพูดเหมือนกันว่า เป็นพระผู้ใหญ่แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกพระลูกวัดตำหนิไม่ได้ การตำหนิสามารถทำได้ หากทำให้พระพุทธศาสนายั่งยืน ฉะนั้น พระผู้ใหญ่ก็ต้องฟังพระลูกวัดได้ เนื่องจากพระก็คือมนุษย์เหมือนกัน ในขณะที่ประชาชนทั่วไป ก็สามารถท้วงติงได้ ไม่ใช่เรื่องบาปแต่อย่างใด เนื่องจากพุทธศาสนิกชนก็เป็นหนึ่งในพุทธบริษัทสี่ ต้องทำหน้าที่ในฐานะพุทธมามกะที่ต้องช่วยทำนุบำรุงศาสนา"


 :25: :25: :25: :25:

พระราชาคณะต้องอธิกรณ์ปาราชิก

อย่างไรก็ดี นายเทพมนตรี ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ถึง กรณี พระราชาคณะต้องอธิกรณ์ปาราชิก (ถูกจับติดคุก) นั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในเดือน 12 ปีชวดอัฐศกนั้น มีโจทก์ฟ้องว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัดมหาธาตุรูป 1 พระญาณสมโพธิ์ (เค็ม) วัดนาคกลาง รูป 1 พระมงคลเทพมุนี (จีน) วัดหน้าพระเมรุ กรุงเก่า 1 รูป ทั้ง 3 รูป นี้ประพฤติผิดพระวินัยบัญญัติข้อสำคัญ ต้องเมถุนปาราชิกมาช้านาน จนถึงมีบุตรหลายคน โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นรณเรศ กับ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพิจารณาได้ความเป็นสัตย์สมดังฟ้อง จึงมีรับสั่งเอาตัวผู้ผิดไปจำไว้ ณ คุก (โดยข้อมูลดังกล่าวนี้ คัดจากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์)


 :96: :96: :96: :96: :96:

เรื่องฉาว ก่อนตั้งสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ ปี 2362

ส่วนอีกข้อมูลหนึ่ง เกี่ยวข้องกับ การตั้งสมเด็จพระสังฆราช นั้น คัดย่อจากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 เมื่อปีเถาะเอกศก พ.ศ. 2362 ณ วันอังคาร เดือน 10 แรม 7 ค่ำ เวลา 7 ทุ่ม สมเด็จพระสังฆราช(มี) สิ้นพระชนม์ ถึงเดือน 1 โปรดให้ทำเมรุผ้าขาวที่ท้องสนามหลวง แล้วชักพระศพสมเด็จพระสังฆราช เข้าสู่เมรุ มีการสมโภช 3 วัน 3 คืน พระราชทานเพลิงเมื่อวันอาทิตย์เดือน 1 ขึ้น 11 ค่ำ แล ตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น เดิมทรงพระราชดำริ จะตั้งสมเด็จพระวันรัตน์(อาจ) วัดสระเกศ เป็นสมเด็จพระสังฆราช ถึงได้แห่มา สถิต ณ วัดมหาธาตุ เมื่อ ณ เดือน 4 ปีเถาะ เอกศก นั้น แล้ว

แต่เมื่อปีมะโรง โทศกข้างต้นปี เกิดอหิวาตกโรคมาก ยังไม่ทันจะได้ทรงตั้งสมเด็จพระวันรัตน์ (อาจ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช ถึงเดือน 11 มีโจทก์ฟ้องกล่าวหาอธิกรณ์สมเด็จพระวันรัตน์ (อาจ) ว่าชอบหยอกเอิน ศิษย์หนุ่มด้วยกิริยาไม่สมควรแก่สมณะ ชำระได้ความเป็นสัตย์อธิกรณ์ ไม่ถึงเป็นปาราชิก จึงเป็นแต่ให้ถอดเสียจากตำแหน่งพระราชาคณะ และเนรเทศไปจากพระอารามหลวง ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช นั้น มีพระราชดำริว่า สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) วัดราชสิทธ เป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ แล ได้เป็นพระอาจารย์ ที่เคารพในพระราชวงศ์ จึงโปรดให้แห่สมเด็จพระญาณสังวร(สุก) มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เมื่อ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 12 ขึ้น 4 ค่ำ ครั้นถึง ณ วันพฤหัสบดี เดือน 1 ขึ้น 2 ค่ำปีมะโรง โทศก พ.ศ. 2362 จึงทรงตั้งสมเด็จพระญาณสังวร(สุก) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช


 ask1 ans1 ask1 ans1

เปิดปฐมบท ความต่าง "มหานิกาย" กับ "ธรรมยุติกนิกาย" ...

เมื่อถึงตรงนี้ ทีมข่าวฯ ได้สอบถามถึงความแตกต่างระหว่าง 2 นิกายในประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านเทววิทยา กล่าวว่า ธรรมยุติกนิกาย เริ่มต้นจาก รัชกาลที่ 4 เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น เนื่องจากมองเห็นปัญหา มหานิกาย เริ่มหย่อนยาน ท่านก็เลยตั้งนิกาย "ธรรมยุติกนิกาย" เพื่อดำรงความเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ในอดีตที่พระองค์ท่านตีความ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว "ธรรมยุติกนิกาย" จึงตั้งขึ้นมา โดยมีวัดบวรนิเวศวรวิหาร เป็นศูนย์กลาง โดยมี วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม เป็นวัดประจำ รัชกาลที่ 4 ส่วน วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 ซึ่งก็เป็นธรรมยุต เช่นเดียวกัน

ความแตกต่างระหว่าง 2 นิกาย คือ ธรรมยุต มีวัตรปฏิบัติเข้มข้นกว่า เช่น จะไม่รับเงินทอง ไม่รับอามิสสินจ้าง มีวัตรปฏิบัติฉันมื้อเดียว ไม่ใส่รองเท้า โดยยึดคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ไม่มีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ การบิณฑบาต ก็จะบิณฑบาตเฉพาะที่ฉันเพราะเป็นบัญญัติของ รัชกาลที่ 4


 st12 st12 st12 st12

ความขัดแย้งระหว่าง 2 นิกาย มีจริงหรือ.?

นายเทพมนตรี กล่าวว่า เท่าที่ศึกษามาพบว่ามีเหมือนกัน แต่ตนไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยนี้คิดว่า สมัยนี้มีมากกว่า เนื่องจากหากให้วิเคราะห์เห็นว่า ในอดีตพระสงฆ์จะมีศีลธรรมมากกว่าพระในปัจจุบัน ในอดีตเวลามีปัญหาก็จะแก้โดยพระสังฆราช ซึ่งไม่ว่าพระจากนิกายใดขึ้นเป็นพระสังฆราช ท่านก็ทรงมีความยุติธรรม ท่านจะไม่เทคแอ็กชั่นด้านใดด้านหนึ่ง

ส่วนที่ผ่านมา มีธรรมเนียมปฏิบัติหรือไม่ ว่าการขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ต้องสลับหมุนเวียนกันระหว่าง 2 นิกาย นายเทพมนตรี กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่า เป็นเรื่องคิดเอาเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง การที่จะขึ้นเป็นพระสังฆราช นั้น ต้องดูที่ความเหมาะสม แต่หลักคณิตศาสตร์ทั่วไป ประเทศไทยมีแค่ 2 นิกาย หากจะให้เป็นธรรมต้องสลับกัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะ 2 ครั้งที่ผ่านมาพระสังฆราช มาจากสายธรรมยุต


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/562297
11756  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ′สุวพันธุ์′ ยันไม่ได้รับเรื่องเสนอชื่อตั้ง ′สมเด็จช่วง′ จาก มส. ดักคอคนเค้าน เมื่อ: มกราคม 13, 2016, 09:18:14 pm


′สุวพันธุ์′ยันไม่ได้รับเรื่องเสนอชื่อตั้ง′สมเด็จช่วง′ จากมส. ดักคอคนเคลื่อนไหวค้าน

เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวกรณีที่มหาเถรสมาคม (มส.) มีการประชุมวาระพิเศษ เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา และได้มีการประชุมเพื่อรับรองมติวาระพิเศษ ไปเมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเห็นชอบเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ว่า ความชัดเจนในขณะนี้คือ รัฐบาลยังไม่ได้รับเรื่องการเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ มาจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

อย่างไรก็ตาม ได้สอบถามไปยังสำนักพุทธฯ ซึ่งระบุว่ายังให้คำตอบไม่ได้ และในรายงานระบุว่ามีการประชุมวาระพิเศษเมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา แต่สำนักพุทธฯไม่ทราบว่ามีการหารือในเรื่องอะไรหรือมีมติเรื่องใด การทูลเกล้าฯแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชนั้น รัฐบาลมีกระบวนการขั้นตอนในการทำงาน ซึ่งต้องดูข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง จังหวะเวลา สภาพความเป็นไป ที่ต้องดูอย่างรอบคอบ


 :96: :96: :96: :96: :96:

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดพระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จันทสาโร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จึงมีการเปิดเผยว่าได้เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์มาที่รัฐบาลแล้ว นายสุวพันธุ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่าเจ้าคุณประสารมีเจตนาอย่างไร และไม่สามารถแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะพระพุทธศาสนาเป็นสถาบันหลักของชาติ

ดังนั้นการดำเนินการทั้งในส่วนของคณะสงฆ์จาก มส.หรือส่วนอื่นๆ ทุกฝ่ายทราบดีว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ การดำเนินการของรัฐบาลก็ให้ความสำคัญ แต่ละส่วนจึงต้องทำงานอย่างละเอียด ส่วนตนในฐานะดูแลสำนักพุทธก็ต้องหารือกับคณะสงฆ์ จะไม่ทำอะไรตามลำพัง


 :25: :25: :25: :25:

เมื่อถามว่า การมีผู้ปฎิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช โดยที่ไม่มีการเสนอชื่อแต่งตั้งใหม่นั้นถือว่าไม่ได้ผิดระเบียบของ มส.หรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามจาก มส. ตนทำงานร่วมกับ มส.มาเป็นเวลาปีเศษ ทุกอย่างมีความราบรื่น งานของคณะสงฆ์สามารถเดินหน้าได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลจะปรามผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านเรื่องนี้หรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวว่า เชื่อว่าทุกฝ่ายตระหนักดีว่าอะไรควรและไม่ควร และตนจะทำในสิ่งที่เหมาะสม


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452682901
11757  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โอละพ่อ! เด็กหญิงเยอรมันสอยเงินจากต้นผ้าป่า เหตุไม่เข้าใจประเพณี นึกว่าแจกฟรี เมื่อ: มกราคม 13, 2016, 09:12:58 pm


โอละพ่อ! เด็กหญิงเยอรมันสอยเงินจากต้นผ้าป่า เหตุไม่เข้าใจประเพณี นึกว่าแจกฟรี

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 13 มกราคม พ.ต.อ. ภูวดิท ชนะคชภัทร์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า จากกรณีมีเหตุเด็กหญิงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เข้าไปหยิบเงินจากต้นผ้าป่า ที่ตั้งอยู่ภายในพระอุโบสถวัดราชบรรทม  หมู่ 2 ตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวง เมื่อบ่ายวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา  ซึ่งวัดดังกล่าวเป็นวัดโบราณ อีกทั้งเป็นวัดหนึ่งในโครงการท่องเที่ยวไหว้พระ 99 วัดของจังหวัด

จากการตรวจสอบแล้วพบว่า นักท่องเที่ยวที่เข้าไปหยิบเงินจากต้นผ้าป่าเป็นเด็กหญิง ชาวเยอรมัน อายุ 12 ปี มีพ่อเป็นชาวเยอรมัน และแม่เป็นคนไทย ประกอบธุรกิจร้านอาหารอยู่ประเทศเยอรมนี ฐานะดี และเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเด็กหญิงไม่สามารถพูดไทยได้ และไม่เข้าในประเพณีวัฒนธรรม เข้าใจผิดคิดไปเองว่า เงินบนต้นผ้าป่าเป็นเงินที่ไว้สำหรับแจกเด็กๆ จึงแอบหยิบไป 1-2 ใบ และนำไปเก็บรักษาอย่างดี  เพื่อเป็นที่ระลึกเมื่อมาประเทศไทย


 :25: :25: :25: :25:

พ.ต.อ.ภูวดิทกล่าวว่า ด้านทางเจ้าอาวาสไม่ติดใจเอาความ และทางผู้ปกครองได้นำเงินจากต้นผ้าป่าคืนพร้อมทำบุญเพิ่ม  อีกทั้งทุกคนทุกฝ่ายให้ความเมตตาต่อเด็กหญิงชาวเยอรมัน เพราะทำไปรู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่เข้าในวัฒนธรรมทางศาสนาพุทธ ที่สำคัญไม่มีเจตนาที่จะลักทรัพย์


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452670339
11758  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เชิญพระไตรปิฎกอักษรโบราณ 2000 ปี เชื่อมสัมพันธ์อาเซียน เมื่อ: มกราคม 13, 2016, 09:09:03 pm


เชิญพระไตรปิฎกอักษรโบราณ 2000 ปี เชื่อมสัมพันธ์อาเซียน

มส.เห็นชอบวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เชิญธรรมเจดีย์พระไตรปิฎกอักษรโบราณ อายุกว่า 2000 ปี ประดิษฐานชั่วคราวให้ชาวพุทธอินเดีย-อาเซียน 10 ประเทศ เฉลิมพระเกียรติในหลวง

วันนี้ (13 ม.ค.) นายประดับ โพธิกาญจนวัตร รองโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ได้มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เสนอจัดโครงการอัญเชิญธรรมเจดีย์พระไตรปิฎกจารึกด้วยอักษรโบราณ อายุกว่า 2000 ปี และเป็นคัมภีร์พุทธศาสนาเก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของสถาบันอนุรักษ์สเคอเยน ราชอาณาจักนอร์เวย์ โดยทางวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้รับมอบคัมภีร์ดังกล่าวบางส่วนมาประดิษฐานยังวัดสระเกศฯ ซึ่งโครงการนี้มีการอัญเชิญคัมภีร์ดังกล่าวที่ประดิษฐานยังวัดสระเกศฯ ไปประดิษฐานชั่วคราว ที่พุทธคยา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย และประเทศสมาชิกอาเซียน จำนวน 10 ประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2558 ถึงวันที่ 1 มิ.ย. 2559

โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีสืบสานวัฒนธรรมแห่งพระพุทธศาสนาในกลุ่มประเทศอาเซียน เนื่องในวาระการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ และเพื่อรำลึกพระธรรมทูตที่เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ จนขยายสู่ประเทศแถบอาเซียนในปัจจุบัน

 :25: :25: :25: :25:

นายประดับ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้จะมีการอัญเชิญพระคัมภีร์ดังกล่าวไปประดิษฐานในประเทศสมาชิกอาเซียนแรก คือ ประเทศเมียนมา ระหว่างวันที่ 22-25 ม.ค.นี้ ณ มหาวิทยาลัยสงฆ์นานาชาติสิตากุ เมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับความอนุเคราะห์จากสถาบันอนุรักษ์สเคอเยน โดยการอนุมัติของกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์ โดยหลังจากที่มีการอัญเชิญไปประดิษฐานยังพุทธคยาแล้ว จากนี้พระพรหมสิทธิ กรรมการมส. เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ในฐานะประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตฯ พร้อมคณะ จะอัญเชิญพระคัมภีร์ดังกล่าวไปประดิษฐาน ชั่วคราวที่ประเทศเมียนมา


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/372930
11759  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บุกจับพระปลอมถึงวัด อ้างรักษาคุณไสย ส่วนลูกพกเสื้อกาวน์ติดชื่อ พญ. เมื่อ: มกราคม 13, 2016, 09:01:32 pm



บุกจับพระปลอมถึงวัด อ้างรักษาคุณไสย ส่วนลูกพกเสื้อกาวน์ติดชื่อ พญ.

ทหาร-ตร. บุกรวบพระปลอม แอบอ้างรักษาคุณไสยถึงวัด ตามที่มีร้องศูนย์ดำรงธรรมกำแพงเพชร โดยไม่มีหลักฐานในการบวช ส่วนลูกสาวพบว่า พกเสื้อกาวน์ติดชื่อแพทย์หญิง จึงได้เปรียบเทียบปรับ...

วันที่ 12 ม.ค.59 เวลา 18.30 น. ที่สถานีตำรวจภูธรพรานกระต่าย ร.ต.ท.อาวุธ เกิดยินดี พงส.สภ.พรานกระต่าย พร้อมด้วยพระครูปรีชา วิชราทร เจ้าคณะ ต.เขาคีริส พระครูวชิรธรรมทัต เจ้าคณะ ต.พรานกระต่าย และพระมหาบุญสงค์ ญาณสํวโร เจ้าคณะ ต.ท่าไม้-วังควง อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร ร.ท.นิติธร มาปัน น.ฝขว.กกล.รส.พล.ร. สย.1 และ ชป.มวลชน อ.พรานกระต่าย นายเสน่ห์ ไชยมงคล ปลัด อ.พรานกระต่าย ฝ่ายความมั่นคง ร่วม สอบสวนพระปรีดา มีชื่อตามบัตรประจำตัวประชาชน นายปรีดา บุตรคุณ อายุ 47 ปี และ น.ส.กชกร บุตรคุณ อายุ 21 ปี พร้อมเสื้อกาวน์จำนวน 4 ตัว ที่กระเป๋าอกเสื้อมีตรากระทรวงสาธารณสุข ปักอักษรชื่อ แพทย์หญิงกชกร บุตรคุณ และแพทย์หญิงกชกร นิเกษ ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายปรีดา



โดยก่อนหน้าเมื่อ เวลา 15.00 น. ร.ต.อ.วัชรินทร์ ราชวงศ์ รอง สวป.สภ.พรานกระต่าย ปลัดอำเภอพรานกระต่าย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ร่วมตรวจสอบกรณีมีผู้ร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดกำแพงเพชร ว่ามีพระแอบอ้างเรื่องการรักษา ว่าสามารถรักษาคนที่ถูกคุณไสย ที่วัดพานทองศิริมงคล หมู่ที่ 4 ต.เขาคีริส อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร จึงเดินทางไปตรวจสอบ


เบื้องต้นภายในวัดพบ พระปรีดา บุตรคุณ และพบ น.ส.กชกร บุตรคุณ พร้อมเสื้อกาวน์ภายในกุฏิ จึงเชิญตัวมาที่ สภ.พรานกระต่าย และตรวจสอบหนังสือสุทธิของพระปรีดา ซึ่งออกเมื่อปี พ.ศ. 2543 เป็นหนังสือสุทธิแบบเก่าที่ไม่ใช้แล้ว และเมื่อขอตรวจสอบหนังสือสุทธิแบบใหม่ก็ไม่สามารถนำมาแสดงได้ โดยอ้างว่าได้สึกไปเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2558 ที่ผ่านมา เพื่อไปรักษาโรคผิวหนังประมาณ 2 อาทิตย์ และได้บวชกลับเข้ามาใหม่ที่วัดสิงห์คูยาง อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ทางเจ้าคณะตำบลเขาคีริส จึงได้ถ่ายรูปส่งภาพไปให้ทางวัดดู และตรวจสอบทะเบียน ไม่พบประวัติของพระปรีดา ซึ่งยังได้อ้างชื่อพระอุปัชฌาย์ และเป็นชื่อที่ไม่ถูกต้อง

พระปรีดาให้การว่า บวชพระปี 2542 ที่วัดบ้านชาติ อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ได้สึกไปรักษาตัวโรคผิวหนัง และกลับมาบวชใหม่ ญาติโยมได้นิมนต์ให้ไปอยู่ที่วัดใหม่เสรีธรรม อ.วังเจ้า จ.ตาก ก่อนถูกนิมนต์ให้มาจำวัดอยู่ที่วัดพานทองศิริมงคล ต.เขาคีริส อ.พรานกระต่าย ที่จะมีพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างโบสถ์ ในวันที่ 20 พ.ค.2559 ที่จะถึงนี้ มีญาติโยมมาหาให้รักษาอาการป่วยทั่วไป ส่วนวิธีรักษาก็ใช้น้ำมนต์อาบบ้าง ใช้มีดหมอ เคาะไปตามขา แก้ปวดแก้เมื่อย คิดค่าครู 114 บาท อาบน้ำมนต์ 20 บาท ดูดวง 20 บาท เพื่อสมทบทุนไปสร้างโบสถ์

 :96: :96: :96: :96:

จากการสอบสวนเบื้องต้นตามที่พระปรีดา แอบอ้างว่า ได้บวชที่วัดสิงห์ครูยาง จ.ลพบุรี นั้น ได้รับการยืนยันว่าไม่มีการบวชให้กับรูปดังกล่าวแต่อย่างใด จะได้แจ้งข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ เนื่องจากไม่ได้เป็นพระ จึงไม่ต้องทำการสึก ส่วน น.ส.กชกร บุตรคุณ ที่ตรวจพบเสื้อกาวน์ลักษณะคล้ายเสื้อของแพทย์นั้น น.ส.กชกร อ้างว่าเสื้อดังกล่าวเพื่อนรุ่นพี่ได้ทำให้ใช้สำหรับเวลาข้ามไปทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์ที่ประเทศพม่า จึงต้องปักชื่อเป็น แพทย์หญิง จะสะดวกต่อการตรวจสอบของทหารพม่า แต่ตนไม่ได้จบหรือเรียนแพทย์มาแต่อย่างใด และกรณีพบเสื้อกาวน์ดังกล่าวยังไม่เข้าข่ายการกระทำผิด ตามกฎหมายใด และไม่มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ และจากการตรวจสอบ น.ส.กชกร ไม่พกบัตรประชาชน จึงได้ทำการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายต่อไป.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/561810
11760  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดทะเลบก ขาดปัจจัย ขุดไหฝังพระนานกว่า 42 ปี ให้เช่าบูชา สร้างมณฑป เมื่อ: มกราคม 13, 2016, 08:58:18 pm



วัดทะเลบก ขาดปัจจัย ขุดไหฝังพระนานกว่า 42 ปี ให้เช่าบูชา สร้างมณฑป

วัดทะเลบก จ.นครปฐม ขุดไหบรรจุพระฝังดิน หน้าอุโบสถ มายาวนานกว่า 42 ปี ขึ้นมา ให้ประชาชนได้เช่าบูชา นำเงินมาสมทบทุนสร้างมณฑปหลวงปู่แสง หลวงปู่วิเชียร หลวงปู่เบี้ยว ล่าสุดเจอแค่ไหเดียวจาก 3 ไหที่ฝังไว้...

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 13 ม.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่วัดทะเลบก ต.กระตีบ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม หลังทราบว่ามีการนำรถแบ็กโฮ มาขุดไหที่ภายในบรรจุพระฝังดินไว้มายาวนานกว่า 42 ปี บริเวณหน้าอุโบสถ โคนต้นโพธิ์ พบชาวบ้านจำนวนมาก มาเฝ้าดูการขุดอย่างใกล้ชิด

พระครูสุมนสุนทรกิจ สุมโน เจ้าคณะตำบลห้วยม่วง เจ้าอาวาสวัดทะเลบก 42 พรรษา เปิดเผยว่า ทางวัดทะเลบก มีความประสงค์สร้างมณฑปหลวงปู่แสง หลวงปู่วิเชียร หลวงปู่เบี้ยว อดีตเจ้าอาวาส มูลค่า 10 ล้านบาท แต่ยังขาดจตุปัจจัย เพื่อให้ประชาชนได้กราบสักการบูชา กระทั่งเมื่อกลางดึกที่ผ่านมาได้นึกขึ้นได้ว่า เมื่อ พ.ศ. 2517 ขณะนั้น เป็นพระลูกวัด หลวงปู่เบี้ยว อดีตเจ้าอาวาส ได้ใช้ให้ นำไหจำนวน 3 ไหไปฝังดิน ภายในบรรจุ พระวันทา อภิวาท เนื้อดินผสมว่าน พระปางลีลาขนาด 10 นิ้ว เนื้อดินเผา ที่อดีตเจ้าอาวาสองค์ก่อนได้รับมาจาก หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน จ.สุพรรณบุรี เคยมอบให้ทางวัดทะเลบก จากนั้นได้นำไปขุดฝังดินไว้จำนวน 3 ไห



ทั้งนี้ ภายหลังนำรถแบ็กโฮมาขุด โดยขณะนี้พบเพียง 1 ไห เป็นไหดินเผาขนาด สูง 80 ซม. กว้าง 1 ฟุต ด้านบนปิดด้วยปูน เขียนภาษาขอม “ทอน สุวโน” และเลข 17 ซึ่งเป็นปี พ.ศ. ที่ฝัง ส่วนที่เหลืออีก 2 ไหกำลังดำเนินการขุดหาอยู่ ต่อมาได้เรียกคณะกรรมการร่วมมาเป็นสักขีพยาน ทำการเปิดไหออกมาพบพระวันทา อภิวาท เนื้อดินผสมว่าน จำนวน 1,080 องค์ และพระปางลีลาขนาด 10 นิ้ว เนื้อดินเผา จำนวน 50 องค์ ซึ่งยังไม่ได้กำหนดราคาให้ประชาชนมาเช่า ต้องดำเนินการประชุมกับกรรมการวัดก่อน ส่วนงบประมาณในการสร้างมณฑป ต้องรอรวบรวมปัจจัยให้ได้ครบ ถึงเริ่มมีการก่อสร้างต่อไป.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/562229
หน้า: 1 ... 292 293 [294] 295 296 ... 708