ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 555 556 [557] 558 559 ... 708
22241  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: "พระบรมเกศาธาตุ..จากศรีลังกา" ประดิษฐาน ณ สนามหลวง ๒๘ ธ.ค.๕๕ - ๑๑ ม.ค.๕๖ เมื่อ: ธันวาคม 24, 2012, 10:49:15 am






พระบรมเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า อัญเชิญจากประเทศศรีลังกามาถึงประเทศไทยแล้ว
    สมเด็จพระสังฆนายก สยามวงศ์นิกาย ฝ่ายมัลลวตะ ประมุขสงฆ์ของประเทศศรีลังกาได้ประทานพระบรมเกศาธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    และเปิดให้ประชาชนได้สักการะ ณ มณทลพิธีท้องสนามหลวง
    ในวันที่ 28 ธันวาคม 2555 - 6 มกราคม 2556 นี้


ขอบคุณภาพข่าวจาก
board.palungjit.com/f36/พระบรมเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าอัญเชิญจากประเทศศรีลังกามาถึงประเทศไทยแล้ว-404596.html โพสต์โดยคุณหัว-หอม
22242  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัศจรรย์.! ‘หลวงปู่จำปา’ มรณะ 9 ปี สังขารไม่เน่าเปื่อย เมื่อ: ธันวาคม 24, 2012, 10:36:47 am



อัศจรรย์‘หลวงปู่จำปา’มรณะ 9 ปี สังขารไม่เน่าเปื่อย

วันที่ 23 ธ.ค. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า ที่วัดบุฝ้าย ตำบลบุฝ้าย อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากที่มีข่าวร่ำลือว่ามีพระสงฆ์ที่มรณภาพมานานกว่า 9 ปี สังขารไม่เน่าไม่เปื่อย แถมยังมีผิวหนังเหลืองเหมือนสีทอง และเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ยิ่งนักกับผู้พบเห็น ตรวจสอบพบ สังขารของพระครูเขมวัตรสุนทร หรือ (หลวงปู่จำปา)  อดีตเจ้าอาวาสวัดบุฝ้าย ที่มรณภาพทางวัดได้บรรจุร่างของท่านไว้ในโลงแก้ว ที่ศาลาการเปรียญของวัด ในสภาพศพเหมือนคนหลับทั่วไปผิวหนังแห้ง และยังมีสีเหลืองเหมือนทองคำ เส้นผมของท่านทุกเส้นไม่ร่วงหลุดยังคงสภาพเดิม เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่ามาจากที่ท่านเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกองค์หนึ่ง  จึงทำให้สังขารของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย  เพื่อไว้ให้ญาติโยมและลูกศิษย์ของท่านได้กราบไว้บูชา  แต่ละวันจะมีชาวบ้านและญาติโยมที่เคารพนับถือในตัวท่านมากราบไว้เป็นประจำอย่างไม่ขาดสาย

ทางด้านพระครูประสิทธิวรธรรม เจ้าคณะตำบลบุฝ้าย เจ้าอาวาสวัดบุฝ้ายองค์ปัจจุบัน กล่าวว่า
     พระครูเขมวัตรสุนทร สมัยที่ท่านบวชได้ศึกษาธรรมะและเป็นพระนักปฏิบัติอีกรูปหนึ่งของหวัดปราจีนบุรี
     ที่มีชื่อเสียงในสายปฏิบัติของหลวงพ่อเอีย หลวงพ่อจาด และหลวงปู่เส็ง ซึ่งพระเกจิของเมืองปราจีนบุรีในสมัยนั้น
     จนเป็นที่เคารพนับถือของชาวอำเภอประจันตคามและข้างอำเภอข้างเคียง เรื่อยมา ส่วนที่ร่างของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย ผิดแปลกกับศพทั่วไปที่ตายแล้วต้องเน่าเปื่อยเป็นเรื่องปกติ





ส่วนประวัติของ พระครูเขมวัตรสุนทร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงปูจำปา เกิดวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2452 เกิดที่จังหวัดยโสธร โดยมีนายสอ และนางบัว ไชยรักษ์ เป็นบิดามาร และมาอุปสมบทเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2487 ที่วัดประสาทรังสฤษฏ์ ตำบลหนองแสง อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบุฝ้ายเมื่อปีพ.ศ.2492 เรื่อยมา  จนได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นเจ้าคณะตำบลชั้นโท

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 ได้เข้ารับการรักษาตัวที่ ร.พ.ประจันตคาม แต่อาการของท่านไม่ดีขึ้นจึงส่งไปรักษาที่ ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จนถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2546 พระครูเขมวัตรสุนทร หรือหลวงปู่จำปา ได้มรณภาพลงอย่างสงบ
    สิริรวมอายุ 94 ปี 8 เดือน 5 วัน นับตั้งแต่วันมรณภาพจนปัจจุบันรวม 9 ปี 1 เดือน 10 วัน
    ส่วนศพของท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันกล่าวว่าจะไม่เผา จะเก็บสังขารของท่านไว้ในวิหารที่กำลังก่อสร้างเพื่อให้ชาวบ้านและลูกศิษย์ของท่านได้กราบไว้บูชาต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU5qSTBORFF4TlE9PQ==&subcatid=
22243  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โลกไม่แตกแน่ 'เทพนม เมืองแมน' ชี้ มนุษย์ต่างดาวการันตี เมื่อ: ธันวาคม 24, 2012, 10:22:06 am

โลกไม่แตกแน่ 'เทพนม เมืองแมน' ชี้ มนุษย์ต่างดาวการันตี

เชื่อโลกไม่แตก ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษย์ต่างดาวบอกเพื่อนนอกจากการันตี ย้ำปีหน้าจะมีแผ่นดินไหวใหญ่ที่พม่า สะเทือนมาถึงไทย...

ชุดความเชื่อกรณีคำทำนายปฏิทินชาวมายัน ชนเผ่ามายาว่าในวันที่ 21 ธ.ค. 2555 จะเป็นวันสิ้นสุดของโลก กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ตื่นตระหนกกันไปทั่วมาตลอดทั้งสัปดาห์ แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกประเทศเรียงหน้ากระดานออกมาให้ความรู้ ...

ล่าสุด ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อดีตคณะบดีมหาวิทยาลัยเอกชน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ อีกทั้งยังเชื่อกันว่าสามารถสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้ ออกมาเตือนผ่านไทยรัฐออนไลน์หลังจากที่ติดต่อกับเพื่อนจากนอกโลกว่า พวกเขาการันตีได้ว่า วันที่ 21 ธันวาคมนี้ โลกไม่แตกแบบที่คำทำนายนี้แน่นอน

    “เรื่องนี้ผมติดตามศึกษาอย่างใกล้ชิด ทั้งการศึกษา เนื่องจากเป็นอดีตคณะบดีสิ่งแวดล้อมได้จัดประชุมพร้อมทั้งยังได้รับการติดต่อจากมนุษย์ต่างที่ดาวอังคารยืนยันว่า 21 ธันวา คม 2555 นี้โลกแตกแน่นอน แม้จะมีการระบุกันว่าวันดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงในดวงอาทิตย์ที่มีอุณหภูมิร้อนขึ้นจนเกิดการระเบิด หรือมีข่าวลือเกี่ยวกับพายุสุริยะ หรือเรื่องอุกกาบาตที่จะวิ่งพุ่งชนโลก ฯลฯ เหล่านี้ก็ยังไม่ปรากฏตามหลักฐานที่กล่าวอ้าง

     ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าข้อนาซ่าที่ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น เดินทางเข้าพูดคุยกัน เพียงแต่ดร.ก้องภพ บอกว่านาซ่าเป็นห่วงแค่เรื่องของดวงอาทิตย์ที่มันร้อนขึ้นแล้วมันส่งผลกระทบกับแผ่นดินไหว น้ำท่วม และอาจจะเกิดพายุหมุนบนโลกนี้ ข้อมูลดังกล่าวก็ตรงกับการศึกษาเรื่องนี้ของเราเช่นกันว่า

    หลังจากนี้ จะมีความน่ากลัวของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทั่วโลก อาจจะรุนแรงมากขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นทำให้โลกแตกอย่างคำทำนายแต่อย่างใด และแม้ว่าจะเกิดความน่ากลัวของ ดิน น้ำ ลม ไฟ รุนแรงมากขึ้น แต่เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในที่ตั้งที่ปลอดภัยจึงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก”




   
    อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวอีกว่า
    แต่สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวสื่อสารเตือนอย่างเน้นหนักให้ระวังก็คือ
    ปีหน้าจะมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในพม่า ที่สำคัญเขาบอกว่าจะส่งผลมาถึงประเทศไทย
    โดยเฉพาะหลายจังหวัดในภาคเหนือ ส่วนกรุงเทพฯ จะได้รับผลกระทบด้วยเนื่องจากเป็นพื้นที่ดินอ่อน

    “มนุษย์ต่างดาวเขามาเตือนว่าให้ระวังแผ่นดินไหวใหญ่พม่าและจะส่งผลกระทบมายังประเทศไทย หลายจังหวัดในภาคเหนือ ซึ่งได้รับผลกระทบมากมาย กรุงเทพฯ ก็อันตรายเพราะเป็นพื้นที่ดินอ่อน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีตึกสูงมากมาย
     นอกจากนี้ให้ระวังว่า จะมีคลื่นสึนามิ อันเกิดจากภูเขาไฟที่ประเทศอินโดนีเชียระเบิด
     ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นวงกว้าง
     ขอให้เตรียมตัวกันให้มากกว่าเรื่องโลกแตกในวันที่ 21 ธันวาคมนี้หลายเท่าตัว




     
     สุดท้าย อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวเตือนย้ำด้วยว่า
     มนุษย์ต่างดาวบอกว่าหากโลกจะแตกจริงๆ ไม่ใช่เพราะคำทำนายของใคร หรือชนเผ่าใด
     แต่จะแตกได้ด้วยน้ำมือมนุษย์ที่ทำให้โลกแตกเท่านั้น


     มนุษย์ต่างดาวเขาบอกว่า
       "ให้ระวัง สงครามโลกครั้งที่ 3 ให้ดี ภายใน 10 ปีนี้จะเกิดขึ้น
        ซึ่งเป็นเรื่องจากความขัดแย้งของมหาอำนาจ 2 ประเทศ"

     ผู้เชี่ยวชาญเรื่องมนุษย์ต่างดาวกล่าวสรุป.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/314724
http://board.postjung.com/
22244  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จะใช้ชีวิตอย่างไร.? ในยุคโลกาภิวัตน์ "ให้เป็นสุข..ต้อนรับปีใหม่" เมื่อ: ธันวาคม 24, 2012, 09:57:07 am


จะใช้ชีวิตอย่างไรในยุคโลกาภิวัตน์
จะใช้ชีวิตอย่างไรในยุคโลกาภิวัตน์ ให้เป็นสุขต้อนรับปีใหม่และทุกๆ วัน : ปุจฉา-วิสัชนากับพระไพศาล วิสาโล

     "ปีใหม่ควรเป็นเวลาที่เราจะได้ปล่อยวาง หรือว่าขจัดปัดเป่าอารมณ์เก่าๆ ออกไป ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความท้อแท้ ความเกลียด อย่าเก็บเอาไว้ การมีสติเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเรามีสติ สติจะช่วยขจัดปัดเป่าอารมณ์เก่าๆ ไป ไม่ให้หมักหมมในจิตใจ และทำให้ชีวิตใหม่อยู่เสมอ ตื่นขึ้นทุกวันจะไม่ใช่เป็นแค่เช้าวันใหม่แต่จะเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ ของชีวิตใหม่"

เนื้อเรื่อง
      วันนี้เป็นวันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑ แล้ว ยุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์ คำนี้มีความหมายหลายแง่ แต่แง่หนึ่งก็คือการไหลบ่าของบริโภคนิยม ทำให้ผู้คนมุ่งการมี การเสพ การครอบครองวัตถุเยอะๆ ทำให้ผู้คนคิดถึงแต่ตัวเองมากขึ้น ตอนนี้อาตมาคิดว่า


สังคมไทยมีปัญหาหลักๆ  ๔ ประการ คือ
     ประการที่หนึ่ง ผู้คนคิดถึงตัวเองมากกว่าผู้อื่น
     เอาประโยชน์ส่วนตัวหรือเอาความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่สนใจส่วนรวม ไม่สนใจสังคม หรือไม่สนใจแม้กระทั่งครอบครัวด้วยซ้ำ

     ประการที่สอง ติดยึดหรือหวังพึ่งพิงทางวัตถุ
     เข้าใจว่าความสุขจะได้มาก็จากการเสพวัตถุ จึงคิดแต่จะครอบครองหรือว่าเสพวัตถุให้ได้มากที่สุด เพราะคิดว่าวัตถุเท่านั้นที่เป็นที่มาประการเดียวของความสุข
     ประการที่สาม หวังลาภลอยคอยโชคและนิยมทางลัด
     เดี๋ยวนี้เรามักบ่นกันว่าทำไมคนไทยชอบเล่นการพนัน ชอบโกง คอร์รัปชั่น หรือว่าหลงใหลไสยศาสตร์ อันนี้เป็นเพราะว่าเราหวังลาภลอยคอยโชคและนิยมทางลัด จึงติดการพนัน ติดหวย ติดลอตเตอรี่ นักเรียนก็คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะได้คะแนนดีโดยไม่เหนื่อย
     เพราะฉะนั้นการลอกข้อสอบ การโกงข้อสอบเป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่สนใจเรียนแต่ขอเกรดครู ส่วนคนที่อยากรวยก็เล่นการพนันซื้อหวยหรือพึ่งพาวัตถุมงคล ไม่สนใจทำมาหากิน

     ประการที่สี่คือ การคิดไม่เป็น ใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล เอาความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง





ถามว่าทำอย่างไรสังคมจะมีความสุข ผู้คนมีความสุข ก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติสี่ประการ คือ
     ประการที่หนึ่ง นึกถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง
    ประการที่สอง สามารถเข้าถึงความสุขโดยไม่อิงวัตถุ
     ความสุขที่ไม่อิงวัตถุหมายถึงความสุขที่ได้จากการทำความดี ความสุขจากการที่ได้ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น ความสุขจากการที่ได้ทำสิ่งที่ยากให้สำเร็จได้ ความสุขจากสมาธิภาวนา อันนี้คือความสุขที่ไม่อิงวัตถุ

     ประการที่สาม พึ่งความเพียรของตัวเอง
     อยากได้อะไรก็ต้องใช้ความเพียรของตัวเอง คนไทยเราถ้ามีความเพียรเป็นที่พึ่งเราจะประสบความสำเร็จทั้งในชีวิต การทำงานและส่วนรวม  คนเราถ้ามีความเพียรเป็นที่พึ่ง ก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เน้นเรื่องความเพียรมาก อาตมาคิดว่าทุกศาสนาก็เน้นตรงนี้คือเอาความเพียรเป็นที่พึ่ง

     ประการที่สี่ คิดดี คิดเป็น เห็นชอบ
     ก็คือ รู้จักคิดอย่างฉลาด ไม่มองแต่แง่ลบ มองแง่บวกด้วย เจอปัญหาก็ไม่ท้อ เพราะมองเห็นว่าปัญหาทั้งหลายมีข้อดีอย่างไรบ้าง ถูกวิจารณ์แทนที่จะโกรธก็มองว่า สิ่งที่เขาพูดมามีข้อดี ถูกต้องอย่างไรบ้าง  แม้แต่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ไม่ทุกข์ เพราะเราสามารถจะหาประโยชน์จากความเจ็บป่วยได้


     ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า ป่วยทุกทีก็ต้องฉลาดทุกที เพราะความเจ็บป่วยมาเตือนให้เราฉลาด มาเตือนให้เราตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต เตือนให้เราไม่ประมาท และทำให้เราเห็นว่าความสุขที่จริงมันง่ายนิดเดียว เพียงแค่เราไม่ป่วยเราก็มีความสุขแล้ว แต่คนไม่ได้คิดอย่างนี้ ตอนที่มีสุขภาพดีก็อยากได้นู่นอยากได้นี่ แต่พอเจ็บป่วยขึ้นมาจึงรู้ว่า ความสุขนี้มันง่ายนิดเดียว เพียงแค่เราไม่ป่วย เพียงแค่สุขภาพปกติเราก็มีความสุขแล้ว

     อาตมาคิดว่าถ้าคนไทยมีธรรมะสี่ประการนี้ ไม่ว่านับถือศาสนาใด ก็จะมีความสุขได้ง่าย
     เจอความทุกข์ เจอความลำบากก็ไม่กลัว กล้าสู้สิ่งยาก เพราะรู้ว่าลำบากวันนี้ก็จะสบายวันหน้า และเมื่อมีความสุขแล้วเราก็จะมีกำลังในการทำความดี สร้างประโยชน์ให้ส่วนรวม ถ้าคนไทยคิดอย่างนี้กันมากขึ้น สังคมไทยก็จะเป็นสังคมที่สงบสุข   




   
     เดี๋ยวนี้เราไม่มีเวลาให้กันแม้กระทั่งในครอบครัว  ไม่มีแม้แต่เวลาจะกินข้าวด้วยกัน หรือคุยด้วยกัน บางทีได้เวลากินข้าวก็ต้องโทรศัพท์เรียกให้ลงมากินข้าวหรือว่าส่งอีเมล์ไปหาลูก เพราะลูกเอาแต่เฝ้าอยู่หน้าจอ ส่งอีเมลมาบอกว่าลูกลงมากินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวนี้เรามีเวลาให้คนอื่น คนที่อยู่คนละทวีป คนละประเทศ แต่เราไม่มีเวลาให้แก่คนใกล้ชิด
     อันนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราไปหลงติดติดกับเทคโนโลยี 
     พอเราไปลุ่มหลงกับเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ไอโฟน เฟซบุ๊ก
     เราเลยไม่มีเวลาให้คนที่อยู่ใกล้ชิด


     เราต้องเริ่มต้นจากการเห็นว่าความรัก ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันในครอบครัวเป็นที่มาแห่งความสุข ให้เวลาแก่กันมากขึ้น อย่าไปหลงใหลเทคโนโลยีมากเกินไป อย่าไปเสียเวลากับเทคโนโลยีมากเกินไป แล้วก็ฟังกันให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ลูกฟังพ่อแม่เท่านั้น คือพ่อแม่อยากให้ลูกฟังพ่อแม่ แต่ว่าลูกจะฟังพ่อแม่ได้ พ่อแม่ต้องฟังลูกก่อน เดี๋ยวนี้มีปัญหาในครอบครัวมาก ว่าลูกไม่ฟังพ่อแม่

     แต่อาตมาคิดว่าทั้งหมดนี้เกิดจาก การที่พ่อแม่ไม่ค่อยฟังลูก
     ถ้าพ่อแม่ฟังลูก ลูกก็จะฟังพ่อแม่ ถ้าลูกฟังพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะฟังลูกมากขึ้นเช่นกัน การฟังซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความเข้าใจเห็นอกเห็นใจกัน แล้วก็จะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันได้มากขึ้น จะมีความรักความเห็นใจกันมากขึ้น
     ไม่ใช่เฉพาะในครอบครัวเท่านั้น แต่รวมถึงในที่ทำงาน ในหมู่เพื่อนฝูง ในสังคม
     ถ้าเราฟังซึ่งกันและกันให้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน
     การฟังซึ่งกันและกัน จะทำให้เราเคารพกัน เข้าใจกัน




    
     ตอนนี้เมืองไทยผู้คนไม่ค่อยฟังกัน ถ้าอยู่คนละกลุ่ม คนละสี คนละค่าย คนละพรรคก็ไม่ฟังกันแล้ว
     ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน เกิดอคติและในที่สุดก็สร้างภาพให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวเลวร้าย ทำให้เกิดเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เกิดความเกลียดชังกัน การที่คนเราจะรักกันได้ ไม่ได้หมายความว่าต้องคิดเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องใส่เสื้อสีเดียวกัน เพราะยุคโลกาภิวัตน์มันมีแต่ความแตกต่าง  เราไม่สามารถทำให้คนคิดเหมือนกันได้ การที่คนเราจะรักกันได้ต้องเริ่มต้นจากการเปิดใจฟังกัน และทำความเข้าใจกัน

     นอกจากเปิดใจฟังกันและกันแล้ว ก็ควรที่จะเปิดใจฟังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองด้วย
     ถ้าเราฟังความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เราจะรู้ทันจิตใจของเรามากขึ้น เดี๋ยวนี้คนเรานอกจากไม่เป็นมิตรหรือรู้สึกแปลกแยกกับคนอื่นแล้ว เรายังไม่เป็นมิตรกับตัวเอง  แปลกแยกกับตัวเองด้วย คนสมัยนี้บอกว่ารักตัวเอง แต่พอให้อยู่กับตัวเองก็อยู่ไม่ได้  ต้องไปนู่นต้องไปนี่ ทำตัวให้วุ่นกับงาน เที่ยวห้าง โทรศัพท์ถึงเพื่อน เพราะว่าอยู่กับตัวเองไม่ได้


     ทำไมอยู่กับตัวเองไม่ได้ ก็เพราะว่าทนตัวเองไม่ได้ มีความขัดแย้งกับตัวเอง
     อาตมาคิดว่าถ้าคนเราหันมาใส่ใจกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง คือ มีสติรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
     เราจะเป็นมิตรกับตัวเองง่ายขึ้น เราจะเหงาน้อยลง เราจะแปลกแยกกับตัวเองน้อยลง
     แล้วเราสามารถจะอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่กับผู้อื่นก็ราบรื่นกลมเกลียว
     ทั้งหมดนี้ต้องเริ่มต้นจากการที่เราเป็นมิตรกับตัวเองให้ได้




     
     ปีใหม่ที่จะถึงนี้ ใครๆ ก็อยากได้ของใหม่ อยากได้ชีวิตใหม่
     แต่ชีวิตใหม่ไม่ได้เกิดจาก การที่เรามีโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ มีรถคันใหม่ มีบ้านหลังใหม่
     อันนั้นไม่ได้ทำให้มีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง จะมีชีวิตใหม่อย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเรามีคุณภาพจิตแบบใหม่ เริ่มต้นจากการเป็นมิตรกับตัวเอง รักตัวเองอย่างแท้จริง อยู่กับตัวเองได้ เมื่อเรามีความสุขในตัวเอง เราก็จะสามารถแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่นได้


     การอยู่กับตัวเองยังรวมไปถึงการอยู่กับปัจจุบันด้วย
     ปีใหม่จะให้ชีวิตใหม่อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อเราทิ้งสิ่งเก่าๆไป นิสัยที่ไม่ดีเก่าๆ ก็วางหรือทิ้งเสีย
     อารมณ์เก่าๆ ที่หมักหมมค้างคาในใจ  รู้จักปล่อย รู้จักวางบ้าง
     ถ้ามันสะสมอยู่ในใจก็จะกลายเป็นพิษ เหมือนกับอาหารที่เรากิน ถ้าถ่ายไม่หมด มีสิ่งตกค้างหมักหมมมากๆ ก็จะเป็นพิษต่อร่างกาย อาจทำให้เกิดมะเร็งได้ อารมณ์ที่หมักหมมในจิตใจก็อาจทำให้ เกิดเป็นมะเร็งในจิตใจได้


     ปีใหม่ควรเป็นเวลาที่เราจะได้ปล่อยวาง หรือว่าขจัดปัดเป่าอารมณ์เก่าๆ ออกไป
     ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความท้อแท้ ความเกลียด อย่าเก็บความโกรธเอาไว้ อย่าเก็บความเกลียดเอาไว้ อย่าเก็บสะสมความเศร้าเอาไว้ ปีใหม่ทั้งทีก็ปลดเปลื้องออกไป การมีสติเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเรามีสติ สติจะช่วยขจัดปัดเป่าอารมณ์เก่าๆ ไป ไม่ให้หมักหมมในจิตใจ และทำให้ชีวิตใหม่อยู่เสมอ ตื่นขึ้นทุกวันจะไม่ใช่เป็นแค่เช้าวันใหม่แต่จะเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ ของชีวิตใหม่

    ทำทุกวันให้เป็นวันใหม่อยู่เสมอ แม้ว่าชีวิตประจำวันยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ต่างจากเมื่อวาน
    แต่ว่ามีความรู้สึกใหม่ มีความรู้สึกใหม่เพราะว่าเราวางความรู้สึกเก่าๆ ทำให้ใจเราโปร่งโล่ง ปลอดจากความเศร้า ความโกรธ ความเกลียด ความหม่นหมองในใจ เราจะเป็นมิตรกับตัวเองได้ ก็ต้องรู้จักปล่อยวางอารมณ์ที่เศร้าหมอง ละวางความโกรธ ความโลภ มีความเพียร ใส่ใจในการทำความดี




    
     ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะทำให้เรามีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง
     แม้ว่าเรายังมีรถคันเดิม มีบ้านหลังเดิม ใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิม
     แต่ถ้าเรามีคุณภาพจิตแบบใหม่แล้ว เราจะมีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง
     ทุกวันจะเป็นเวลาแห่งความสุข ทุกวันจะใหม่เสมอสำหรับเรา และทุกชั่วโมงก็จะใหม่เสมอเช่นเดียวกัน

    ขอให้ทุกท่านได้รับสิ่งนี้ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐ คำว่า พร แปลว่า สิ่งประเสริฐ 
     สิ่งประเสริฐหรือสิริมงคลในพุทธศาสนา ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่คือธรรมะในจิตใจ
     ธรรมะในจิตใจไม่มีใครที่จะให้แก่เราได้ มีแต่เราต้องทำขึ้นมาเอง
     แต่ถ้าเราสามารถสร้างหรือทำขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นของขวัญอันประเสริฐที่สุด


     อยากให้เรามอบของขวัญอันประเสริฐนี้แก่ตัวเราเอง ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาให้
     ไม่ต้องรอพรจากพระสงฆ์องคเจ้า เราสามารถมอบของขวัญให้ตัวเอง
     สร้างสิ่งประเสริฐคือพรให้แก่ตัวเอง แล้วเราจะได้ชีวิตใหม่ ทำให้เป็นปีใหม่อย่างแท้จริง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121221/147693/จะใช้ชีวิตอย่างไรในยุคโลกาภิวัตน์.html#.UNyUq6zjrRc
http://ecards.dmc.tv/,http://news.nipa.co.th/,http://women.sanook.com/,http://www.sarnrak.net/,http://api.ning.com/
22245  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระพุทธศาสนา มีกี่ นิกาย คะ มีหลักการแตกต่างกันอย่างไร คะ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 12:26:24 pm

พระพุทธศาสนา วัชระยาน ~ Vajarayana

  เป็นที่ทราบกันดีว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงหมุนกงล้อพระธรรมจักร 3 ครั้งด้วยกัน หมายความ ท่านได้เทศนาในหลักใหญ่ๆไว้ 3 เรื่อง 3 วาระ
     ครั้งแรกที่เมือง สารนาถ แค้วนพาราณสี
     ครั้งที่ 2 ที่กฤตธาราโกติ แค้วนราชคฤห์ ครั้งที่ 3 ที่ไวศาลี
     ครั้งแรกเทศนาเกี่ยวกับพุทธศาสนาฝ่ายเถระวาท
     ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ท่านได้เทศนาเกี่ยวกับมหายาน


   ในมหายานได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ในเรื่องของอุดมคติการหลุดพ้นของสรรพสัตว์ทั้งหมดเป็นอุดมคติของมหายานอุดมคตินี้ เรียกว่า โพธิจิตหรือจิตรู้แจ้ง
   การพัฒนาโพธิจิตขึ้นเพื่อต้องการสำเร็จรู้แจ้งเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อประโยชน์ สุขของสรรพสัตว์ทั้งหมด
   บุคคลใดที่มีอุดมคตินี้และปฏิบัติอุดมคตินี้ บุคคลนั้นก็คือ พระโพธิสัตว์ ซึ่งการตายแล้วเกิดใหม่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ชาวพุทธด้วยกันแต่ก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างในพุทธศาสนิกแต่ละนิกาย
    ฉะนั้นถ้าเรายอมรับในเรื่องการตายแล้วเกิดใหม่ก็หมายความว่า ในแต่ละ ครั้งแห่งการเกิดต้องมีบุพการี 1 กลุ่ม


   ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารนี้แต่ละคนได้มีบุพการีมาแล้วเป็นจำนวนที่นับไม่ถ้วนและด้วยเหตุผลนี้ต้องยอมรับว่าสรรพสัตว์ที่บังเกิดขึ้นได้เคย ดำรงสถานะภาพความเป็นบุพการีมานับครั้งไม่ถ้วนฉะนั้นการแสวงหาทางหลุดพ้นจึงควรเป็นไป พร้อมกันหรือให้บุพการีไปก่อนแล้วเราค่อยหลุดพ้นตามไปนี่คือความเป็นพระโพธิสัตว์

   พระอาจารย์ชาวทิเบตได้กล่าวไว้ในศตวรรษที่ 14 ว่า "ความทุกข์ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเห็นแก่ตัว ความสุขทั้งหมดเกิดขึ้นจากการหวังดีให้ผู้อื่นมีความสุข” ฉะนั้นการแลกความสุขของตนเปลี่ยน กับความทุกข์ของผู้อื่นเป็นหน้าที่ของพระโพธิสัตว ์พระโพธิสัตว์ต้องประกอบไปด้วยบารมี 6 ประการ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าไม่มีบาปใดใหญ่หลวงเท่าความแค้น ไม่มีความดีใดเทียบได้กับความอดทน เมื่อเราได้เกิดขึ้นมาความสมดุลก็ได้หายไป



   ความอดทนมี 3 ประเภท
   1. อดทนต่อการต่อต้าน
   2. อดทนต่อความลำบากในการศึกษาและปฏิบัติธรรม
   3. อดทนในความกล้าปฏิบัติในคำสอนซึ่งลึกล้ำเช่นคำสอนเรื่องศูนยตาการบำเพ็ญตน ตามโพธิสัตว์มรรคจึงต้องทำงานหนัก
   เพื่อผลแห่งการเกิดปัญญาแห่งการวิเคราะห์ มีการแยกแยะปัญญาไว้ 3 ประเภทพื้นฐาน
      1.ปัญญา เกิดจากการมีความรู้
      2. ปัญญาเกิดจากการพินิจพิจารณา
      3. ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติแต่ก็ยังมีการแยกย่อยอีก เช่น
           1. ปัญญาที่เกิดระหว่างสมาธิ
           2. ปัญญาที่เกิดหลังทำสมาธิ
           3. ปัญญาเกิดเพื่อช่วยผู้อื่นและยังมีการแยกแยะลึกลงไปอีก เช่น ปัญญาในทางโลกและปัญญาที่อยู่เหนือโลกปัญญาที่เข้าถึงสัจจะธรรมสูงสุดหรือปัญญาที่กว้าง เพื่อเข้าถึงปรากฏการณ์ต่างๆ ในทางโลก


  ในบารมี 6 ที่พระโพธิสัตว์ปฏิบัตินั้นประกอบด้วยเมตตา 5 ปัญญา 1
   เมื่อปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว พระโพธิสัตว์ก็บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าได้ สามารถบรรลุความเป็นตรีกายได้คือธรรมกายสัมโภคกายและนิรมานกาย ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นพื้นฐานที่ต้องมีความเป็นพระโพธิสัตว์ต้องบังเกิดเพื่อบรรลุความสำเร็จในการปฏิบัติวัชระยานต่อไป


   ฉะนั้นจึงแยกความเป็นมหายานและวัชระยานออกจากกันไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าได้สอน เรื่องของวัชระยานไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เช่น กาลจักระ ตันตระ ซึ่งเป็นบทปฏิบัติตันตระชั้นสูง พระพุทธเจ้าได้เทศนาหลังจากได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว1ปีพระพุทธเจ้าได้เทศนาสอน แก่พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญในภูมิที่สูง ฉะนั้นคำสอนตันตระจึงถือว่าเป็นคำสอนลับเฉพาะ

   แม้คำสอนของมหายานเองก็มีการปฏิบัติไม่มากนักในสมัยพุทธกาล คำสอนมหายานเป็นที่เริ่ม สนใจปฏิบัติในช่วงของท่านคุรุนาคารชุนในปื ค.ศ.1 ท่านนาคารชุนได้ปฏิบัติคำสอนตันตระได้ อย่างเป็นเลิศ ท่านได้เขียนเรื่องการปฏิบัติตันตระเรื่องกูเยียซามูจาตันตระ ในศตวรรษที่ 16 ท่าน ธารานาถ ธารานาถชาวทิเบตได้บันทึกไว้ว่า

   ท่านคุรุนาคารชุนได้เขียนคำสอนเกี่ยวกับตันตระไว้มาก เพียงแต่ช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ไม่เป็นที่นิยมและแพร่หลาย ทิเบตเริ่มรับคำสอนจากอินเดีย ในช่วงศตวรรษที่ 7-8 ในช่วงนั้นการปฏิบัติตันตระในอินเดียได้พัฒนาขึ้นถึงจุดสูงสุดไปจนถึง ศตวรรษที่ 12 เมื่อทิเบตรับคำสอนวัชระยานจากอินเดียในช่วงที่เจริญสูงสุด ทิเบตจึงรับคำสอน อย่างเต็มที่


 
    การปฏิบัติในวัชระยานมีเงื่อนไขสำคัญอยู่หนึ่งข้อ
    คือ ก่อนที่จะศึกษาปฏิบัติตันตระจะต้อง ได้รับการมนตราภิเษกจากวัชราจารย์ผู้ซึ่งได้สำเร็จรู้แจ้งแล้ว
    ถ้าไม่มีการมนตราภิเษกแล้ว ถึงแม้จะปฏิบัติอย่างไรก็ตามจะไม่ได้รับผลเต็มที่ ฉะนั้นผู้สนใจต่อการปฏิบัติวัชระยานจะ ต้องได้รับการมนตราภิเษกจากวัชราจารย์เสียก่อน

    ถามว่าคำสอนวัชระยาน คืออะไร เพื่ออะไร
    คำสอนวัชระยานมีไว้สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานปัญญาจากมหายานเป็นอย่างดี จึงสามารถเข้าใจคำสอน อันลึกซึ้งได้ เช่น ถ้าเราต้องการสำเร็จความเป็นพุทธะในชาตินี้ชาติเดียวต้องศึกษาปฏิบัติคำ สอนตันตระ เท่านั้น ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นี้ได้ เหมือนกับการบินโดยเครื่องบิน ในปัจจุบันนี้เราสามารถบินในระยะทางไกลๆ ได้ด้วยเวลา อันสั้นแค่ชั่วโมงแทนที่จะเดินด้วยเท่าเปล่าเป็นเดือน เป็นที่รู้กันว่าในทิเบตท่านมิลาเรปะท่าน ได้บรรลุสำเร็จได้ในช่วงชีวิตของท่านด้วยการปฏิบัติตันตระ


   แล้ว ตันตระ คือ อะไร 
   ตันตระโดยความหมายของคำแปลว่าความต่อเนื่อง อันเป็นคำสอนการ ปฏิบัติระดับสูงซึ่งพระพุทธเจ้าได้สอนศิษย์ในวงจำกัดเท่านั้น การปฏิบัติตันตระไม่มีใครได้พูด ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติโดยไม่มีอาจารย์และไม่ได้รับการมนตราภิเษกจากอาจารย์ก่อน แม้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้ปฏิบัติมามาก เข้าใจเป็นอย่างดี ก็ไม่สามารถที่จะพูด ศึกษาหรือปฏิบัติตันตระไม่ผ่านการมนตราภิเษก การปฏิบัติตันตระเหมือนกับแพทย์ ที่มีความชำนาญมากสามารถที่จะเอาสารพิษหรือยาพิษมาสกัดเพื่อเป็นยารักษาโรคใหม่ๆได้ และมีประสิทธิภาพสูง


   ในการปฏิบัติตันตระจะมีการนำความรู้สึกที่เป็นลบมาแปลงให้เกิดเป็น พลังที่เป็นบวก ได้เป็นที่เข้าใจกันได้ว่าในสภาพของการรู้แจ้งจะไม่ถูกทำลายด้วยพลังที่ เป็นลบต่างๆ ไม่มีพิษใดๆ ที่จะทำให้สภาพการรู้แจ้งนี้เป็นพิษไปด้วย สภาพการรู้แจ้งนี้เป็นสภาพ ซึ่งไม่มีข้อแตกต่างระหว่างดีกับไม่ดีและอย่างไร

   คำสอนวัชระยานการปฏิบัติวัชระยานสามารถ ทำให้เราสามารถบรรลุถึงจุดนั้นได้ด้วยเวลาอันสั้น แต่คำถามก็มีอยู่ว่ามีมนุษย์สักกี่คนที่ต้อง การบรรลุรู้แจ้งเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นทั้งหมด คำสอนต่างๆในตันตระได้ถูกบันทึกไว้ด้วยวิธีการ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งไว้

   เราสามารถศึกษาตันตระได้จากคำสอนต่างๆ ที่พระอาจารย์ชาว อินเดียได้บันทึกไว้และได้แปลทั้งหมดสู่ภาษาทิเบต เนื่องจากคำสอนดั้งเดิมที่เป็นภาษาสัน สฤตได้สูญหาย และถูกทำลายไปนานแล้ว ฉะนั้นเราสามารถศึกษาตันตระได้จากภาษาทิเบต เท่านั้น ในปัจจุบันภาษาทิเบตจึงมีความสำคัญมากเนื่องจากได้บันทึกและได้แปลคำสอนต่างๆ ที่เป็นสันสฤตดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วน



    พุทธศาสนาได้เข้าสู่ทิเบตในสมัยกษัตริย์สองซันกัมโปเรืองอำนาจ
    ด้วยความสนพระทัยอันเป็น ทุนเดิมอยู่แล้วพร้อมทั้งยังได้รับการแรงหนุนจากพระมเหสีชาวจีนและเนปาลซึ่งเป็นชาวพุทธ ที่เคร่งครัดถึงแม้ว่าพุทธศาสนาจะถูกขัดขวางจากลัทธิบอนอันเป็นลัทธิดั้งเดิม พุทธศาสนาเข้า สู่ทิเบตทั้งจากอินเดียและจีน ได้มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของทิเบตว่า


    ได้เกิดการสังคายนา พุทธศาสนา ณ กรุงลาซา เป็นการสังคายนาระหว่างนิกายเซ็นของจีนและวัชระยานจากอินเดีย ในรัชสมัยพระเจ้าทิซองเด็ตเชน ชาวทิเบตเลื่อมใสในวัชระยานมากกว่า ดังนั้นพุทธศาสนา วัชระยานจึงลงรากฐานมั่นคงในทิเบตสืบมา พระเจ้าทิซองเด็ตเชนได้ทรงนิมนต์ ศานตรักษิตภิกษุชาวอินเดียและคุรุปัทมสมภพเข้ามาเพื่อแผ่แพร่พระธรรม

    โดยเฉพาะ คุรุปัทมสมภพได้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวทิเบตอย่างมาก
    จนได้ยกย่องท่านว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 และขานนามท่านว่ากูรูรินโปเช่ หรือแปลว่าพระอาจารย์ผู้ประเสริฐกูรูรินโปเช่ ได้ร่วมกับศานตรักษิตสร้างวัดสัมเยขึ้นในปี ค.ศ.787 และได้เริ่มมีการอุปสมบทพระภิกษุชาว ทิเบตขึ้นเป็นครั้งแรก ในความอุปถัมภ์ของพระเจ้าทิซองเด็ตเชน ทั้งนี้ยังได้จัดนักปราชญ์ ชาวทิเบตเข้าร่วมในการแปลพระพุทธธรรมเป็นภาษาธิเบตด้วยอย่างมากมาย


ที่มา : พุทธศาสนามหายาน-วัชระยานแห่งธิเบต www.mahayana.in.th
http://www.dhammathai.org/buddhism/vajarayana.php
ขอบคุณภาพจาก http://www.manager.co.th/,http://news.tlcthai.com/,http://www.alittlebuddha.com/,http://i938.photobucket.com/
22246  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระพุทธศาสนา มีกี่ นิกาย คะ มีหลักการแตกต่างกันอย่างไร คะ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 12:06:58 pm

พระพุทธศาสนา มหายาน ~ Mahayana

    พระพุทธเจ้า ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการ ก็ จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้” (มหาปรินิพพานสูตร 10/141) ทำให้เกิดมีปัญหาว่าแค่ไหนเรียกว่าเล็กน้อย เป็นเหตุให้ภิกษุบางรูปไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับสังคายนามาตั้งแต่ครั้งแรก และเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับหลายสังคายนา มีกลุ่มแยกตัวทำสังคายนาต่างหาก เป็นการ แตกแยกทางความคิดและนิกาย

    แต่ไม่ควรถือว่าเป็นการแบ่งแยกศาสนาแต่ประการใดไม่อาจกำหนดได้แน่ชัดว่า พุทธศาสนามหายานกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่ที่แน่ชัด คือพระเจ้ากนิษกะ มหาราช กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์กุษาณะ ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกองค์แรกของ มหายาน ทรงปลูกฝังพระพุทธศาสนามหายานลงมั่นคงในราชอาณาจักร และทรงส่งพระธรรม ทูตออกเผยแพร่ไปยังนานาประเทศ

    คณาจารย์ผู้วางรากฐานของมหายานอย่างชัดเจน ได้แก่ พระอัศวโฆษ พระนาคารชุน พระอารยะเทวะ พระวสุพันธุ พระธรรมกีรติ ศานตรักษิตะ โดยเฉพาะคุรุนาคารชุน (ราว ค.ศ 1) คณาจารย์องค์สำคัญที่สุดผู้ทำให้มหายานทรงอิทธิพลและ รุ่งเรืองที่สุดของพระพุทธศาสนาในพุทธศตวรรษที่ 6-10

    มหายานมิได้ปฏิเสธพระไตรปิฎกหากแต่ถือว่ายังไม่พอ เนื่องจากเกิดสำนึกร่วมขึ้นมาว่านามและรูปของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระไม่อาจดับสูญ สิ่งที่ดับสูญเป็นเพียงภาพมายา ธรรมกายอันเป็นธาตุพุทธะยังคงอยู่ต่อไป สรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดมาพร้อมธาตุพุทธะ หากแต่กิเลสอวิชชาได้บดบังธาตุพุทธะจึงไม่ปรากฏ ด้วยมุมมองที่ว่าสรรพสัตว์เป็นพุทธะ สรรพสัตว์ทั้งปวงปารถนาที่จะไม่เกิดมาพบกับความทุกข์ ที่ต้องเกิดเพราะกรรมที่ได้สะสมไว้ มนุษย์ผู้โชดดีมีภูมิความรู้ในการรู้แจ้งต้องเมตตาส่งเสริม ให้สรรพสัตว์ที่โชคดีน้อยกว่าให้ไปสู่ความรู้แจ้ง

    ผู้ที่กระทำการเช่นนั้น คือพระโพธิสัตว์ นั่นคือ ชาวพุทธมหายานต้องเดินแนวทางโพธิสัตว์มรรค เพิ่มเติมจากการเดินในแนวอริยะมรรคเพียงอย่างเดียว คำสอนของของพระโพธิสัตว์ถือเป็นพระไตรปิฎกที่ 2 ที่ต้องปฏิบัติด้วยการยอมรับ หรือศรัทธาต่อ พระโพธิสัตว์ไม่เท่ากัน ความสำนึกและการแสดงออกจึงต่างกัน ทำให้มหายานแตกเป็นนิกายต่างๆ มากมายในอินเดียมีประมาณ 4 นิกาย

     1. นิกายศูนยวาทหรือมาธยมิก ผู้ก่อ ตั้งคือ คุรุนาคารชุน
     2. นิกายวิชญานวาทหรือโยคาจาร ผู้ก่อตั้ง คือ ท่านไมตรีนาถ
     3. นิกายจิต อมตวาท
     4. นิกายพุทธตันตระหรือมนตรยานซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นวัชระยาน


   ในประเทศจีน ระยะเวลาอันยาวนานกว่าทำให้มีนิกายแตกแขนงออกไปมากมาย เช่น
      นิกายสัทธรรมปุณทริก (เทียนไท้จง) นิกายเซ็นหรือฌาณ(เสี่ยมจง)
      นิกายอวตังสกะ(ฮั่วเงี่ยมจง) นิกายสุขาวดี(เจ่ง โท้วจง)
      นิกายตรีศาสตร์(ซาหลุ่งจง) นิกายธรรมลักษณะ(ฮวบเซี่ยงจง)
      นิกายวินัย(หลุกจง) นิกายมนตรยาน(มิกจง)
   แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าเกิดการแตกแยกศาสนา ด้วยว่าทุกนิกาย ก็คือพุทธศาสนามหายาน



ลัทธิมหายานถืออุดมคติ 3 ประการ คือ
    1. หลักมหาปัญญา ในหลักการข้อนี้ ฝ่ายมหายานได้อธิบายหลักอนัตตาซึ่งเป็นคุณลักษณะ พิเศษในพุทธศาสนาออกไปอย่างกว้างขวางลึกซึ้งมาก พิสดารยิ่งกว่าในฝ่ายเถรวาทมหายาน เรียกว่า ศูนย์ตา แทนคำว่า อนัตตา ในส่วนปฏิบัติของบุคคลทางฝ่ายมหายาน ถือว่าบุคคลจะ พ้นทุกข์ได้ ก็ด้วยการเข้าถึงศูนยตา ซึ่งมี 2 ชั้น คือ บุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตา บุคคล ศูนยตาได้แก่การละอัสมิมานะซึ่งทำให้บุคคลบรรลุอรหันต์ส่วนธรรมศูนยตา ได้แก่การละ ความยึดถือแม้ในพระนิพพานซึ่งเป็นภูมิของพระโพธิสัตว์ชั้นสูง

    2. หลักมหากรุณา ได้แก่การ ตั้งโพธิจิตมุ่งพุทธภูมิ ไม่มุ่งเพียงอรหันต์ภูมิ ในทัศนะมหายานเห็นว่าอรหันต์ภูมิช่วยคนได้น้อย เพราะฉะนั้นจึงควรมุ่งพุทธภูมิซึ่งในขณะที่ยังมิได้บรรลุต้องสร้างบารมีเพื่อช่วยสัตว์ ดังนั้น ทางฝ่ายมหายานจึงย่อทศบารมีลงเหลือ 6 คือ
        2.1 ทานปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องสละทรัพย์ อวัยวะและชีวิต เพื่อสัตว์โลกได้โดยไม่อาลัย
        2.2 ศีลปารมิตา พระโพธิสัตว์ต้องรักษาศีลอันประกอบ ด้วยอินทรีย์สังวรศีล กุศลสังคหศีล ข้อ นี้ได้แก่การทำความดีสงเคราะห์สัตว์ทุกกรณี สัตวสังคหศีลคือการช่วยให้พ้นทุกข์
        2.3 กษานติปารมิตา พระโพธิสัตว์ต้องสามารถอดทนต่อสิ่งกดดันเพื่อโปรดสัตว์ได้
        2.4 วิริยปารมิตา พระโพธิสัตว์ไม่ย่อท้อต่อพุทธภูมิ ไม่รู้สึกเหนื่อย หน่ายระอาในการช่วยสัตว์
        2.5 ธยานปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องสำเร็จในฌานสมาบัติทุกชั้น มีจิตไม่คลอนแคลน เพราะเหตุอารมณ์
        2.6 ปรัชญาปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องทำให้แจ้งในปุคคลศูนยตาและ ธรรมศูนยตา


    3. หลักมหาอุปาย คือพระโพธิสัตว์จะต้องประกอบด้วยกุศโลบายนานัปการ ในการช่วยเหลือ ปวงสัตว์ ต้องประกอบด้วยไหวพริบปฏิภาณในการเข้าถึงอธิมุติของปวงสัตว์เปรียบเหมือน นายแพทย์ผู้ฉลาดรู้จักวางยาให้ถูกโรค อาศัยข้อนี้แหละทางฝ่ายมหายานจึงได้เพิ่มเติมคติ ธรรมและพิธีการซึ่งไม่เคยมีในฝ่ายเถรวาทเข้ามามากมาย โดยถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอุบาย ชักจูงให้ผู้เขลาโน้มเอียงเข้ามาสู่สัจธรรมในเบื้องปลายเท่านั้น

     คุรุนาคารชุน ได้สถาปนาความ มั่นคงฝ่ายมหายานด้วยแนวคิดดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ด้วย ปรัชญาปารามิตาหฤทัยสูตร พระสูตรสั้นๆแต่มีสาระสำคัญอันเป็นบ่อเกิดแห่งความมั่นคงของ มหายาน ในคัมภีร์มาธยมิกศาสตร์     
     ท่านคุรุนาคารชุนได้เริ่มปณามคาถาในต้นปกรณ์ว่า
    “ไม่มีความเกิดขึ้น ไม่มีความดับ ไม่มีความขาดสูญ ไม่มีความเที่ยงแท้ ไม่มีอรรถแต่อย่าง เดียว ไม่มีอรรถนานาประการ ไม่มีการมา ไม่มีการไป ท่านใดกล่าวไว้ เป็นปฏิจจสมุปบาท ธรรม ท่านผู้นั้นคือพระพุทธเจ้า ข้าขอนอบน้อม แด่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ดับเสียได้ซึ่ง ปปัญจธรรมเป็นเลิศยิ่งกว่าวาทะทั้งหลาย”


ที่มา : พุทธศาสนามหายาน-วัชระยานแห่งธิเบต www.mahayana.in.th
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammathai.org/buddhism/mahayana.php http://www.phuketvegetarian.com/
22247  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระพุทธศาสนา มีกี่ นิกาย คะ มีหลักการแตกต่างกันอย่างไร คะ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 11:56:10 am

นิกายสำคัญของพระพุทธศาสนา

๑. นิกายเถรวาท หรือ หินยาน เป็นนิกายเก่าแก่ที่สุด ยึดถือพระธรรมวินัยเดิมอย่างเคร่งครัด นับถือมากในไทย พม่า เขมร ลาว ศรีลังกา

๒. นิกายมหายาน ภิกษุบางรูปไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับสังคายนามาตั้งแต่ครั้งแรก และเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับหลายสังคายนา มีกลุ่มแยกตัวทำสังคายนาต่างหาก เป็นการ แตกแยกทางความคิดและนิกาย

๓. นิกายวัชระยาน เกิดจากพระพุทธศาสนามหายาน ที่แยกออกเป็นนิกายประมาณ ๔ นิกาย คือ
    1. นิกายศูนยวาทหรือมาธยมิก ผู้ก่อ ตั้งคือ คุรุนาคารชุน
    2. นิกายวิชญานวาทหรือโยคาจาร ผู้ก่อตั้ง คือ ท่านไมตรีนาถ
    3. นิกายจิต อมตวาท
    4. นิกายพุทธตันตระหรือมนตรยานซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นวัชระยาน


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.dhammathai.org/buddhism/nikaya.php



พระพุทธศาสนา เถรวาท ~ Theravada หรือ หินยาน

นิกายเถรวาท หรือ หินยาน เป็นนิกายเก่าแก่ที่สุด ยึดถือพระธรรมวินัยเดิมอย่างเคร่งครัด นับถือมากในไทย พม่า เขมร ลาว ศรีลังกา

คัมภีร์ของพระพุทธศาสนา
    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 3 เดือน สาวกผู้ได้เคยสดับฟังคำสั่งสอนของพระองค์จำนวน 500 รูป ก็ประชุมทำสังคายนากัน ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา ใกล้เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ สอบปากคำกันอยู่ 7 เดือน จึงตกลงประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นครั้งแรก นี่คือบ่อเกิดของคัมภีร์พระไตรปิฎก ต่อมาเมื่อมีปัญหาขัดแย้ง พระเถระผู้ใหญ่ก็ประชุมขจัดข้อขัดแย้งกัน เป็นสังคายนาต่อมาอีกหลายครั้ง จนได้พระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทดังที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ ซึ่งถือกันทั่วไปว่าเป็นคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจ้าที่นับว่าใกล้เคียงที่สุด

     เนื่องจากภาษามคธที่ใช้บันทึกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ครั้นกาลเวลาล่วงไปก็ค่อยๆ กลายเป็นภาษาโบราณ ยากที่จะเข้าใจได้ทันทีสำหรับนักศึกษารุ่นหลังๆ จึงได้มีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ชี้แจงความหมายเรียกว่า อรรถกถา เมื่อนักศึกษารู้สึกว่าอรรถกถายังไม่ชัดเจนก็มีผู้เชี่ยวชาญนิพนธ์ฎีกาขึ้นชี้แจงความหมาย และมีอนุฎีกาสำหรับชี้แจงความหมายของฎีกาอีกต่อหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะปัญหาก็นิพนธ์ชี้แจงเฉพาะปัญหาขึ้นเรียกว่า ปกรณ์

     เหล่านี้ถือว่าเป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งสิ้น แต่ทว่ามีน้ำหนักน้อยกว่าพระไตรปิฎก เพราะถือว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ตีความ นักศึกษาจะเห็นกับบางคัมภีร์ และไม่เห็นด้วยกับบางคัมภีร์ก็ได้ ไม่ถือว่ามีความเป็นพุทธศาสนิกมากน้อยกว่ากันเพราะเรื่องนี้

"พระไตรปิฎก~Tipitaka" คือ คัมภีร์คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
     แบ่งเป็น 3 หมวด คือ
    1. พระสุตตันตปิฎก รวมคำสอนของพระพุทธเจ้า และพระสาวก
    2. พระวินัยปิฎก ศีลของพระภิกษุ และพิธีกรรมทางศาสนา
    3. พระอภิธรรมปิฎก รวมหลักธรรมชั้นสูง


    พระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทเป็นภาษามคธ ฝ่ายมหายานเป็นภาษาสันสกฤต

หลักธรรมที่สำคัญ ได้แก่
     อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ ได้แก่
     1. ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ได้แก่ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
     2. สมุทัย คือ ต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 ประการ
     3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ การหมดกิเลส คือ นิพพาน
     4. มรรค คือ ทางดับทุกข์ ได้แก่ อริยมรรค มีองค์ 8


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.dhammathai.org/buddhism/theravada.php
22248  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระพุทธศาสนา มีกี่ นิกาย คะ มีหลักการแตกต่างกันอย่างไร คะ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 11:44:42 am


พระพุทธศาสนามีกี่นิกาย และแตกต่างกันอย่างไร ?
“คำถาม-คำตอบ เรื่องน่ารู้ทางพระพุทธศาสนา”  โดย ผศ.รท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ

พระพุทธศาสนามีนิกายใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นแม่แบบของนิกายอื่นๆ อยู่ ๒ นิกายด้วยกัน คือ
     ๑) นิกายหินยาน
     ๒) นิกายมหายาน

นิกายหินยาน มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นิกายเถรวาท และทักษิณนิกาย เหตุที่เรียกว่า นิกายเถรวาท เพราะพระในนิกายนี้ถือปฏิบัติตามหลักคำสอนที่สืบต่อกันมาโดยพระเถระตั้งแต่ครั้งที่ทำปฐมสังคายนา (สังคายนาครั้งที่ ๑) ซึ่งถือว่าเป็นพระเถระที่ได้มีชีวิตอยู่ทันเห็นพระพุทธเจ้าและได้รักษาคำสอนพระพุทธเจ้าไว้ตามรูปแบบที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
     ต่อมานิกายนี้ได้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทักษิณนิกาย แปลว่า นิกายฝ่ายใต้
     หมายความว่า เป็นนิกายของพระภาคใต้


     นิกายหินยานได้แตกสาขาออกมาอีกในเวลาต่อมารวมกันเป็น ๑๘ นิกาย และในปีพุทธศักราช ๒๑๘ ปี หลังจากทำตติยสังคายนาแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชได้จัดส่งพระธรรมทูตออกไปประกาศพระศาสนา ๙ สายด้วยกัน เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาได้เจริญแพร่หลายไปในประเทศต่างๆ ที่เห็นเด่นชัด คือ ในประเทศลังการวมทั้งประเทศไทยและประเทศในแถบอินโดจีนคือ ลาว เขมร พม่าก็รวมอยู่ด้วย พระพุทธศาสนาที่เจริญแพร่หลายอยู่ในประเทศดังกล่าวมานี้ล้วนเป็นพระพุทธศาสนาประเภทเถรวาททั้งสิ้น



นิกายมหายาน อ่านเพิ่มเติมใน นิกายเซ็น(นิกายฉับพลัน) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นิกายอาจริยวาท เพราะพระในนิกายนี้ถือ เรื่องจิตเดิมแท้เป็นหลัก มีจิตที่กลับคืนสู่ธรรมชาติเป็นอารมณ์ มีคนกล่าวว่า นิกายนี้ พระมีครอบครัวได้ แต่ความจริง คือ ไม่ใช่นิกายเซ็น,  เป็นนิกายที่คนที่แต่งตัวคล้ายพระมีครอบครัวได้ยังมีอยู่ในญี่ปุ่นในปัจจุบัน  ซึ่งที่จริงไม่ใช่พระแต่บรรบุรุษคือคนธรรมดาที่รับใช้พระในวัด 

     ต่อมาสมัยหนึ่งไม่มีพระเหลืออยู่อีก แต่เมื่อชาวบ้านมาวัดก็ต้องการคนทำพิธี ก็เลยขอร้องให้คนวัดนี้ทำพิธีแทนไปพลางๆ นานๆไปก็เลยทำสืบต่อมาเป็นประเพณีและมีการปรับปรุงการแต่งตัวให้คล้ายพระมากขึ้น  จนเหมือนเป็นพระไปเลย และสืบทอดให้กับลูกหลานมาจนปัจจุบัน วัดอื่นๆก็พลอยเห็นดีไปด้วย เลยเอาตัวอย่างตามกันไปหมด มาตั้งแต่สมัยแรกเริ่ม

     นิกายมหายานได้เจริญแพร่หลายอยู่ในประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และปัจจุบันได้รับความนิยมกว้างขวางอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีระเบียบปฏิบัติที่ไม่เคร่งครัดมากเกินไป
(หมายเหตุ ในเมืองไทยเรา ก็มีพระพุทธศาสนานิกายมหายานเหมือนกัน และปัจจุบันได้แบ่งออกเป็น ๒ นิกาย คือ ๑. อนัมนิกาย (ญวน หรือเวียดนาม) และ ๒. จีนนิกาย)

      อย่างไรก็ตาม นิกายทั้งสองนี้ แม้จะมีข้อวัตรปฏิบัติและพิธีกรรมของพระและฆราวาสแตกต่างกันบ้าง
      แต่เมื่อพูดถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็มุ่งพระนิพพานเป็นจุดสูงสุดเหมือนกัน และนับถือพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเช่นเดียวกัน



ได้กล่าวไว้แล้วว่า ในเมืองไทยเรานับถือพระพุทธศาสนานิกายหินยาน และปัจจุบันได้แบ่งออกเป็น ๒ นิกาย คือ
    ๑. มหานิกาย
    ๒. ธรรมยุติกนิกาย


    ซึ่งนิกายทั้งสองนี้เรานิยมเรียกพระแต่ละนิกายว่า พระมหานิกาย พระธรรมยุต นิกายทั้งสองนี้มีวัตรปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้างเพียงเล็กน้อย จนเกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลยไม่ว่าจะเป็นในด้านวินัยบัญญัติ หลักธรรม ที่สำคัญพระในนิกายทั้งสองยังสามารถปฏิบัติศาสนพิธีร่วมกันได้ โดยยึดถือพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาร่วมกัน ส่วนในด้านการปกครอง สมเด็จพระสังฆราช (จากนิกายไหนก็ได้) ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นประมุขสูงสุดของคณะสงฆ์

ข้อเพิ่มเติม
นิกายหินยาน นั้นในทางวิชาการเรามักจะไม่ค่อยใช้กัน เพราะถือว่าเป็นคำดูถูกที่นิกายมหายานยัดเยียดให้นิกายหินยาน
    เพราะคำว่า หิน (อ่าน หิ-นะ) หมายถึง ต่ำช้า เลวทราม
    สาเหตุเพราะมุ่งความบริสุทธิ์เฉพาะตัวเป็นหลักก่อนจึงค่อยสอนผู้อื่น
    แต่นักปราชญ์ฝ่ายหินยานก็เลี่ยงเสียใหม่ แปล หิน ว่า เล็ก
    เพราะฉะนั้น หินยาน จึงแปลว่า ยานเล็ก หมายความว่า ขนสัตว์ไปนิพพานได้น้อยกว่า
    ส่วน มหายาน แปลว่า ยานใหญ่ หมายความว่า ขนสัตว์ไปนิพพานได้มากกว่า มหายานท่านว่าอย่างนี้ จะจริงเท็จแค่ไหนก็ต้องปฏิบัติดู


อ้างอิง
จาก... วารสาร พ.ส.ล. ปีที่๓๙ ฉบับที่ ๒๕๖ กรกฎาคม – กันยายน ๒๕๔๙ 
http://www.thumboon.com/readarticle.php?article_id=71
ขอบคุณภาพจาก http://upload.wikimedia.org/
22249  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระพุทธศาสนา มีกี่ นิกาย คะ มีหลักการแตกต่างกันอย่างไร คะ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 11:28:53 am
พระพุทธรูปในถ้ำซ็อกคูรัม ประเทศเกาหลีใต้

ประวัติ
ภายหลังการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ได้เกิดความขัดแย้งอันเกิดจากการตีความพระธรรมคำสอนและพระวินัยไม่ตรงกัน จึงมีการแก้ไขโดยมีการจัดทำสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยที่ถูกต้องไว้เป็นหลักฐานสำหรับยึดถือเป็นแบบแผนต่อไป จึงนำไปสู่การทำสังคายนาพระไตรปิฎก
     ในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2 นี้เองที่พระพุทธศาสนาแตกออกเป็นหลายนิกายกว่า 20 นิกาย
     และในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 ในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้ทรงแต่งสมณทูต 9 สายออกไปเผยแผ่พุทธศาสนา จนกระทั่งพุทธศาสนาแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวาง


นิกาย
ศาสนาพุทธ แบ่งออกเป็นนิกายใหญ่ได้ 2 นิกายคือ เถรวาท และมหายาน นอกจากนี้แล้วยังมีการแบ่งที่แตกต่างออกไปแบ่งเป็น 3 นิกาย เนื่องจากวัชรยานไม่ยอมรับว่าตนคือมหายาน เนื่องจาก มหายานมีต้นเค้ามาจากท่านโพธิธรรม (ปรมาจารย์ตั๊กม้อ) ส่วนวชิรยานมีต้นเค้ามาจากท่านคุรุปัทสัมภวะ

    ๑. เถรวาท (หรือ 'หินยาน' แปลว่า ยานเล็ก) หมายถึง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งคำสั่งสอน และ หลักปฏิบัติ จะเป็นไปตามพระไตรปิฎก นับถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทย, ศรีลังกา, พม่า, ลาว และกัมพูชา ส่วนที่นับถือเป็นส่วนน้อยพบทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม (โดยเฉพาะกลุ่มเชื้อสายเขมร), บังกลาเทศ (ในกลุ่มชนเผ่าจักมา และคนในสกุลพารัว) และทางตอนบนของมาเลเซีย (ในหมู่ผู้มีเชื้อสายไทย)

    ๒. มหายาน (ยานใหญ่) หรือ อาจาริยวาท แพร่หลายในสาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, เกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ พบเป็นประชาชนส่วนน้อยในประเทศเนปาล (ซึ่งอาจพบว่านับถือร่วมกับศาสนาอื่นด้วย)  ทั้งยังพบในประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, บรูไน และฟิลิปปินส์ ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน

    ๓. วัชรยาน หรือ มหายานพิเศษ พบมากในเขตปกครองตนเองทิเบตของจีน, ประเทศภูฏาน, มองโกเลีย และสาธารณรัฐคัลมืยคียาในรัสเซีย และเป็นประชากรส่วนน้อยในดินแดนลาดัก รัฐชัมมูและกัษมีร์ ประเทศอินเดีย, เนปาล, ปากีสถาน (ในเขตบัลติสถาน)


อ้างอิง
ศาสนาพุทธ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
th.wikipedia.org/wiki/ศาสนาพุทธ
22250  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: กรรมเวร กรรมลิขิต เรื่องกรรม ช่วยอธิบายให้เข้าใจ ด้วยคะ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 11:09:33 am


ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : ทำกรรมเก่าให้เกิดประโยชน์

คนไทยสมัยนี้ได้ยินคำว่า “กรรม” มักจะนึกไปในแง่ว่ากรรมจะตามมาให้เคราะห์ให้โทษอย่างไร พูดถึงกรรมก็จะนึกถึงอะไรอย่างหนึ่งที่คอยตามจะลงโทษ หรือทำให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะคิดไปถึงชาติก่อน คือมองกรรมในแง่กรรมเก่า และเป็นเรื่องไม่ดี
       
      คำว่า “กรรมเก่า” ก็บอกอยู่ในตัวเองแล้วว่า มันถูกจำกัดให้หดแคบเข้ามาเหลือเพียงส่วนหนึ่ง เพราะเติมคำว่า “เก่า” เข้าไป กรรมก็เหลือแคบเข้ามา ยิ่งนึกในแง่ว่ากรรมไม่ดีอีก ก็ยิ่งแคบหนักเข้า รวมแล้วก็คือเป็นกรรมที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไปๆมาๆก็เลยอะไรๆก็แล้วแต่กรรม (เก่า-ที่ไม่ดี) บางทีถึงกับมีการหาทางตัดกรรม เลยพลัดออกไปจากพระพุทธศาสนา
       
       ความจริง กรรมก็เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ คือเป็นเรื่องความเป็นไปตามเหตุปัจจัยของชีวิตมนุษย์ ที่มีเจตนา มีการคิด การพูด และการกระทำ แสดงออก มีความสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลาย แล้วก็เกิดผลต่อเนื่องกันไปในความสัมพันธ์นั้น
       
   ถ้ามัวไปยึดถือว่า แล้วแต่กรรมเก่าปางก่อนอย่างเดียว ก็จะทำกรรมใหม่ที่เป็นบาปอกุศลโดยไม่รู้ตัว     
   หมายความว่า ใครก็ตามที่ปลงว่า “แล้วแต่กรรม (เก่า)” นั้น
   ก็คือ เขากำลังทำความประมาท ที่ปล่อยปละละเลย ไม่ทำกรรมใหม่ที่ควรทำ

   ความประมาทนั้นก็เลยเป็นกรรมใหม่ของเขา ซึ่งเป็นผลจากโมหะ
   แล้วกรรมใหม่ที่ประมาทเพราะโมหะหลงงมงายนั้น ก็จะก่อผลร้ายแก่เขาต่อไป

       



      ความเชื่อว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่กรรมเก่า กรรมปางก่อน หรือกรรมในชาติก่อน คือลัทธิกรรมเก่านั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่เรียกว่า ปุพเพกตเหตุวาท หรือเรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท
       
       ท่านไม่ได้สอนว่าไม่ให้เชื่อกรรมเก่า แต่ท่านสอนไม่ให้เชื่อว่าอะไรๆ จะเป็นอย่างไรก็เพราะกรรมเก่า     
       การเชื่อแต่กรรมเก่า ก็สุดโต่งไปข้างหนึ่ง
       การไม่เชื่อกรรมเก่า ก็สุดโต่งไปอีกข้างหนึ่ง

       
       ได้กล่าวแล้วว่า “กรรม” พอเติม “เก่า” เข้าไป คำเดิมที่กว้างครบถ้วนสมบูรณ์ ก็หดแคบเข้ามาเหลืออยู่ส่วนเดียว อย่ามองกรรมที่กว้างสมบูรณ์ให้เหลือส่วนเดียวแค่กรรมเก่า     
       เรื่องกรรมที่เชื่อกันในแง่กรรมเก่านี้ มีจุดพลาดอยู่ 2 แง่ คือ
       
       1. ไปจับเอาส่วนเดียวเฉพาะอดีต ทั้งที่กรรมนั้นก็เป็นกลางๆ ไม่จำกัด ถ้าแยกโดยกาลเวลาก็ต้องมี 3 คือ กรรมเก่า (ในอดีต) กรรมใหม่ (ในปัจจุบัน) กรรมข้างหน้า (ในอนาคต) ต้องมองให้ครบ       
       2. มองแบบแยกขาดตัดตอน ไม่มองให้เห็นความเป็นไปของเหตุปัจจัยที่ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด คือไม่มองเป็นกระแสหรือกระบวนการที่ต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา แต่มองเหมือนกับว่ากรรมเก่าเป็นอะไรก้อนหนึ่งที่ลอยตามเรามาจากชาติก่อน แล้วมารอทำอะไรกับเราอยู่เรื่อยๆ

       



      ถ้ามองกรรมให้ถูกต้องทั้ง 3 กาล และมองอย่างเป็นกระบวนการของเหตุปัจจัย ในด้านเจตจำนง และการทำ-คิด-พูด ของมนุษย์ ที่ต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ก็จะมองเห็นกรรมถูกต้อง ชัดเจนและง่ายขึ้น ในที่นี้ แม้จะไม่อธิบายรายละเอียด แต่จะขอให้จุดสังเกตในการทำความเข้าใจ 2-3 อย่าง
       
       1. ไม่มองกรรมแบบแยกขาดตัดตอน คือ มองให้เห็นเป็นกระแสที่ต่อเนื่องตลอดมาจนถึงขณะนี้ และกำลังดำเนินสืบไป
       
       ถ้ามองกรรมให้ครบ 3 กาล และมองเป็นกระบวนการต่อเนื่อง จากอดีต มาถึงบัดนี้ และจะสืบไปข้างหน้า ก็จะเห็นว่า กรรมเก่า (ส่วนอดีต) ก็คือเอาขณะปัจจุบันเดี๋ยวนี้เป็นจุดกำหนด นับถอยจากขณะนี้ ย้อนหลังไปนานเท่าไรก็ตาม กี่ร้อยกี่พันชาติก็ตาม มาจนถึงขณะหนึ่งหรือวินาทีหนึ่งก่อนนี้ ก็เป็นกรรมเก่า (ส่วนอดีต) ทั้งหมด
       
       กรรมเก่าทั้งหมดนี้ คือกรรมที่ได้ทำไปแล้ว ส่วนกรรมใหม่ (ในปัจจุบัน) ก็คือที่กำลังทำๆ ซึ่งขณะต่อไปหรือวินาทีต่อไป ก็จะกลายเป็นกรรมเก่า (ส่วนอดีต) และอีกอย่างหนึ่งคือ กรรมข้างหน้า ซึ่งยังไม่ถึง แต่จะทำในอนาคต
       
       กรรมเก่านั้นยาวนานและมากนักหนา สำหรับคนสามัญ กรรมเก่าที่พอจะมองเห็นได้ ก็คือกรรมเก่าในชาตินี้ ส่วนกรรมเก่าในชาติก่อนๆ ก็อาจจะลึกล้ำเกินไป เราเป็นนักศึกษาก็ค่อยๆเริ่มจากมองใกล้หน่อยก่อน แล้วจึงค่อยๆขยายไกลออกไป
       
       อย่างเช่นเราจะวัดหรือตัดสินคนด้วยการกระทำของเขา กรรมใหม่ในปัจจุบันเรายังไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร เราก็ดูจากกรรมเก่า คือความประพฤติและการกระทำต่างๆ ของเขาย้อนหลังไปในชีวิตนี้ ตั้งแต่วินาทีนี้ไป นี่ก็กรรมเก่า ซึ่งใช้ประโยชน์ได้เลย

       



      2. รู้จักตัวเอง ทั้งทุนที่มีและข้อจำกัดของตน พร้อมทั้งเห็นตระหนักถึงผลสะท้อนที่ตนจะประสบ ซึ่งเกิดจากกรรมที่ตนได้ประกอบไว้
       
       กรรมเก่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเราทุกคน เพราะแต่ละคนที่เป็นอยู่ขณะนี้ ก็คือผลรวมของกรรมเก่าของตนที่ได้สะสมมา ด้วยการทำ-พูด-คิด การศึกษาพัฒนาตน และความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ในอดีตทั้งหมดตลอดมาจนถึงขณะหรือวินาทีสุดท้ายก่อนขณะนี้
       
      กรรมเก่านี้ให้ผลแก่เรา หรือเรารับผลของกรรมเก่านั้นเต็มที่ เพราะตัวเราที่เป็นอยู่ขณะนี้ เป็นผลรวมที่ปรากฏของกรรมเก่าทั้งหมดที่ผ่านมา กรรมเก่านั้นเท่ากับเป็นทุนเดิมของเราที่ได้สะสมไว้ ซึ่งกำหนดว่า เรามีความพร้อม มีวิสัยขีดความสามารถทางกาย วาจา ทางจิตใจ และทางปัญญาเท่าไร และเป็นตัวบ่งชี้ว่า เราจะทำอะไรได้ดีหรือไม่ อะไรเหมาะกับตัวเรา เราจะทำได้แค่ไหน และควรจะทำอะไรต่อไป
       
       ประโยชน์ที่สำคัญของกรรมเก่า ก็คือการรู้จักตัวเองดังที่ว่านั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ด้วยการรู้จักวิเคราะห์และตรวจสอบตนเอง โดยไม่มัวแต่ซัดทอดปัจจัยภายนอก     
       การรู้จักตัวเองนี้ นอกจากช่วยให้ทำการที่เหมาะกับตนอย่างได้ผลดีแล้ว ก็ทำให้รู้จุดที่จะแก้ไขปรับปรุงต่อไปด้วย

 
     


      3. แก้ไขปรับปรุงเพื่อก้าวสู่การทำกรรมที่ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่า ในที่สุดการปฏิบัติถูกต้องที่จะได้ประโยชน์จากกรรมเก่ามากที่สุด ก็คือ การทำกรรมใหม่ ที่ดีกว่ากรรมเก่า
   
      ทั้งนี้ เพราะหลักปฏิบัติทั้งหมดของพระพุทธศาสนารวมอยู่ในไตรสิกขา อันได้แก่การฝึกศึกษาพัฒนาตน ในการที่จะทำกรรมที่ดีได้ยิ่งขึ้นไป ทั้งในขั้นศีล สมาธิ ปัญญา     
       ในขั้นศีล คือการฝึกกาย วาจา สัมมาอาชีวะ รวมทั้งการสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยอินทรีย์ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)       
       ในขั้นสมาธิ คือฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ ที่เรียกว่าจิตภาวนาทั้งหมด     
       ในขั้นปัญญา คือความรู้คิดเข้าใจถูกต้อง มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงๆ และสามารถใช้ความรู้นั้นแก้ไขปรับปรุงกรรม ตลอดจนแก้ปัญหาดับทุกข์หมดไป มิให้มีทุกข์ใหม่ได้

       
       พูดสั้นๆ ก็คือ แม้ว่ากรรมเก่าจะสำคัญมาก ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปสยบยอมต่อมัน แต่ตรงข้าม เรามีหน้าที่พัฒนาชีวิตของเราที่เป็นผลรวมของกรรมเก่านั้นให้ดีขึ้น     
       ถ้าจะใช้คำที่ง่ายแก่คนสมัยนี้ ก็คือ เรามีหน้าที่พัฒนากรรม กรรมที่ไม่ดีเป็นอกุศล ผิดพลาดต่างๆ เราศึกษาเรียนรู้แล้วก็ต้องแก้ไข การปฏิบัติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ก็คือการพัฒนากรรมให้เป็นกุศล หรือดียิ่งขึ้นๆ

       
       ดังนั้น เมื่อทำกรรมอย่างหนึ่งแล้ว ก็พิจารณาวิเคราะห์ตรวจสอบคุณภาพและผลของกรรมนั้น ให้เห็นข้อยิ่งข้อหย่อน ส่วนที่ขาดที่พร่อง เป็นต้น แล้วแก้ไขปรับปรุงเพื่อจะได้ทำกรรมที่ดียิ่งขึ้นไป     
       จะพูดว่า รู้กรรมเก่า เพื่อวางแผนทำกรรมใหม่ให้ดียิ่งขึ้นไป ก็ได้

       
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) วัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม)


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9550000149045
http://xn--m3cif1apm3a5c5h6ab0d.dmc.tv/
22251  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: กรรมเวร กรรมลิขิต เรื่องกรรม ช่วยอธิบายให้เข้าใจ ด้วยคะ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 11:05:47 am

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
๗. ฐานสูตร


  [๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ อันสตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ๕ ประการเป็นไฉน คือ สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า
   เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ๑
   เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ๑
   เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ๑
   เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๑

   เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง
   จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๑ ฯ

  ............................ฯลฯ

   เมื่ออริยสาวกนั้นพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ มรรคย่อมเกิดขึ้นอริยสาวกนั้นย่อมเสพ อบรม ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเสพ อบรม ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

    ไม่ใช่เราแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด
     มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใดดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
     โดยที่แท้ สัตว์ทั้งปวงบรรดาที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ล้วนมีกรรมเป็นของตน
     เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง
     จักทำกรรมใดดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น


     เมื่ออริยสาวกนั้นพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ มรรคย่อมเกิดขึ้น อริยสาวกนั้นย่อมเสพ อบรม ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
     เมื่อเสพ อบรม ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/read/?22/57/81
ขอบคุณภาพจาก http://j5.tagstat.com/




อัปโหลดเมื่อ 3 ม.ค. 2012 โดย Lek musicday

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
๘. วาเสฏฐสูตร
ทรงโปรดวาเสฏฐมาณพ

     
      บุคคลจะชื่อว่าเป็นคนชั่วเพราะชาติก็หาไม่ จะชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะชาติก็หาไม่
      ที่แท้ ชื่อว่าเป็นคนชั่วเพราะกรรม ชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะกรรม เป็นชาวนาเพราะกรรม
      เป็นศิลปินเพราะกรรม เป็นพ่อค้าเพราะกรรม เป็นคนรับใช้เพราะกรรม แม้เป็นโจรก็เพราะกรรม
      แม้เป็นทหารก็เพราะกรรม เป็นปุโรหิตเพราะกรรม แม้เป็นพระราชาก็เพราะกรรม


      บัณฑิตทั้งหลายมีปกติเห็นปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในกรรมและวิบาก
      ย่อมเห็นกรรมนั้นแจ้งชัดตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า

      โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรม หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม สัตว์ทั้งหลายถูกผูกไว้ในกรรม..ฯลฯ


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=13&A=11070&Z=11248


      จำได้ว่า เคยตอบเรื่องนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ขอให้พิจารณาพุทธพจน์ข้างต้นเป็นหลัก
       :25:
22252  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เศร้าน้ำตาหยด.! โฮ่งเร่ร่อน..เฝ้าซากเพื่อนไม่ห่าง พยายามปลุกให้ฟื้น (ชมภาพ) เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 10:11:51 am


เศร้าน้ำตาหยด โฮ่งเร่ร่อนเฝ้าซากเพื่อนไม่ห่าง พยายามปลุกให้ฟื้น

เมื่อ 19 ธ.ค. เดลี่เมล์รายงานภาพข่าวสลดที่เรียกน้ำตาผู้พบเห็น เมื่อสุนัขเร่ร่อนตัวผู้ในเมืองจางโจว มณฑลฟูเจี้ยน ภาคตะวันออกของจีน นอนเฝ้าซากสุนัขเพศเมีย คู่ของมันที่ถูกรถชนตายกลางถนน พร้อมกับพยายามปลุกให้คู่ของมันฟื้น ด้วยการเลียหน้าเลียตาหลายครั้ง จากนั้นก็กลับไปนอนเฝ้าอยู่กลางถนน วิ่งหนีรถบ้าง แล้วก็กลับไปเฝ้าใหม่
 
    เสี่ยวอู๋ คนขายเนื้อริมถนนที่เกิดเหตุให้สัมภาษณ์ว่า เท่าที่เคยให้อาหารมัน
    สุนัขตัวเมียอยู่ริมถนนนี้มาก่อน กระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อน สุนัขตัวผู้ก็โผล่มา

    "ผมยังคิดเลยว่าเจ้าตัวเมียมีแฟนแล้ว เพราะมันอยู่ด้วยกันทั้งวัน เล่นกันอย่างรักใคร่
    จนเมื่อรถชน เจ้าตัวผู้มันก็เฝ้าคู่ของมันทั้งวัน พยายามดันหัวเจ้าตัวเมียขึ้นแล้วก็เลีย เพื่อจะปลุกให้ฟื้น
    ผมเห็นแล้วยังอดน้ำตาไหลไม่ได้"
เสี่ยวอู๋ กล่าว

     ทั้งนี้เมื่อมีคนไปลากซากตัวเมียเข้ามาใกล้ขอบถนน เจ้าตัวผู้ก็ยังนอนซบซากเพื่อนของมันอยู่







ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU5UazBOVEExTVE9PQ==&sectionid=
22253  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จัดละครเวที "พุทธประวัติมิวสิคัล" พร้อมสวดมนต์ข้ามปีที่สนามหลวง เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 09:57:33 am


จัดละครเวทีพุทธประวัติมิวสิคัลข้ามปี

สสส.-กทม.จัดสวดมนต์ข้ามปี ฉลองปีมหามงคล 4 เหตุการณ์ พร้อมจัดละครเวทีพุทธประวัติแบบมิวสิคัล เรื่อง 'พุทธะ ราชะ เดอะมิวสิคัล' บทเวทีกลางแจ้งที่ท้องสนามหลวง

20ธ.ค. นายมานิต  เตชอภิโชค  รองปลัดกรุงเทพมหานคร ร่วมกับศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ประธานคณะกรรมการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และนายมานพ มีจำรัส ผู้กำกับการแสดงละครเวที "พุทธะ ราชะ เดอะมิวสิคัล" แถลงข่าวการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี 2555-2556 ครั้งที่ 3 พร้อมร่วมปล่อยคาราวานนำบุญ บริเวณลานคนเมือง
    เพื่อออกรณรงค์แจกสื่อประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ในการจัดสวดมนต์ข้ามปีซึ่งเป็นปีมหามงคลมี 4 เหตุการณ์สำคัญ


    1.ปีพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้
    2.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษา 85 พรรษา
    3.สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา
    4.สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามกุฏราชกุมาร ทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษา จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่คนไทยจะร่วมเฉลิมฉลองและสวดมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล



    นายมานพ กล่าวว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกที่นำละครเวทีพุทธประวัติในรูปแบบมิวสิคัล เรื่อง “พุทธะ ราชะ เดอะมิวสิคคัล” แสดงบนเวทีกลางแจ้งที่ท้องสนามหลวง โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานอาทิ ดารา นักร้องชื่อดังร่วมแสดงกว่า 100 ชีวิต

    ทั้งนี้การจัดละครเวทีครั้งประวัติศาสตร์สำคัญของพุทธศาสนิกชนชาวไทยจะเริ่มในวันจันทร์ที่ 31 ธ.ค. นี้ เวลา 16.00 น.ที่ท้องสนามหลวง มีเนื้อหาจากพุทธประวัติในรูปแบบผสมผสานเสียงเพลงหรือมิวสิคัล ผ่านเทคนิคการแสดงหลายรูปแบบ

     ประกอบด้วย 4 องก์ ได้แก่
     องก์ที่ 1 พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เป็นการนำเสนอบทนำจนถึง พระนางสิริมหามายาทรงหระประสูติกาล ณ ลุมพินี ท่ามกลางการสรรเสริญยินดีของเหล่าเทวดา
      องก์ที่ 2 ธรรมดาของโลก นำเสนอพุทธประวัติช่วงทรงศึกษาศิลปะวิทยาการต่างๆ อาทิ อภิเษกสมรส เสด็จประพาสพระนคร จนกระทั่งออกผนวช
      องก์ที่ 3 บำเพ็ญทุกรกิริยา ดำเนินเรื่องการขับเสภา จนกระทั่งตัดสินพระทัยกลับมาเสวยพระกระยาหาร จนถึงประทับนั่งสมาธิที่ใต้ต้นโพธิ์และนางสุชาดามาถวายข้าวมธุปายาส ในรูปแบบลูกทุ่งออร์เคสตร้า และ
      องก์ที่ 4 ผจญมาร นำเสนอช่วงพระพุทธองค์ทรงผจญมาร ถึงตรัสรู้และการเฉลิมฉลองแห่งปีพุทธชยันตี



    ศ.นพ.อุดมศิลป์ กล่าวว่า สสส.ร่วมกับภาคีเครือข่ายกว่า 30 องค์กร จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีครั้งที่ 3 ในคืนวันที่ 31 ธ.ค.ที่ท้องสนามหลวง ซึ่งประชาชนแต่งกายสวมชุดขาวเพื่อร่วมสวดมนต์และรับฟังธรรมเทศนาจาก
     พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา
     พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรรมการมหาเถรมหาคม
     พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
     พระมหาสมปอง ตาลปุตโต
     และแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน


    และร่วมสักการะพระบรมเกศาธาตุจากประเทศศรีลังกา พระพุทธชยันตีองค์ดำ นาลันทา จากประเทศอินเดีย และพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ตะเคียนทอง วัดป่าเขาล้อม อีกทั้งเป็นปีแรกที่จัดกิจกรรมในเรือนจำ 192 แห่ง สถานพินิจฯและศูนย์ฝึกฯ 52 แห่งเพื่อให้ทุกคนได้ร่วมสวดมนต์ข้ามปีถวายเป็นพระราชกุศลพร้อมกัน



   "ส่วนในภูมิภาคมีการจัดกิจกรรม 4 ภาคได้แก่ วัดเจดีย์หลวงวรมหาวิหาร จ.เชียงใหม่,วัดพระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวง จ.ขอนแก่น วัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทราและวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช พร้อมวัด 2,000 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีการจัดประกวดภาพถ่ายชิงโล่จากประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา สสส." ศ.นพ.อุดมศิลป์ กล่าว

       ด้านนายมานิต กล่าวว่า ทางกทม.ได้ระดมเจ้าหน้าที่และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ รถพยาบาลฉุกเฉิน รถสุขาเคลื่อนที่ คอยให้บริการประชาชนซึ่งคาดว่าจะมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก พร้อมร่วมกับองค์กรต่างๆจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.2555-1 ม.ค. 2556

      โดยจะมีการจัดประกวดร้องเพลงลูกกรุงและลูกทุ่งไทย ระหว่างวันที่ 28-29 ธ.ค. ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง
       กิจกกรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมและออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชุน วันที่ 30-31 ธ.ค.
       พิธีอัญเชิญพระพุทธนวราชบพิตร ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.- 1 ม.ค.ที่ลานคนเมือง   
      และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 185 รูป กิจกกรมไหว้พระ 9 วัด เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันที่ 1 ม.ค.2556



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121220/147647/จัดละครเวทีพุทธประวัติมิวสิคัลข้ามปี.html#.UNZwb6zjrRc
22254  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลาตินอเมริกาติดอันดับ "มองโลกในแง่ดีที่สุดในโลก" ไทยติดที่ 6 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 09:44:06 am


ลาตินอเมริกาติดอันดับ"มองโลกในแง่ดีที่สุดในโลก" "ไทย"ติดที่ 6 "สิงคโปร์"บ๊วยสุด

ผลสำรวจของกัลลัพอิงค์ พบว่า ชาวลาตินอเมริกามองโลกในแง่ดีที่สุดในโลก โดยมีถึง 8 ประเทศในภูมิภาคดังกล่าวติดใน 10 อันดับแรก ชาวปานามาและปารากวัยอยู่ในอันดับหนึ่งร่วม ขณะที่ชาวสิงคโปร์ อาร์เมเนีย และอิรัก มองโลกในแง่ดีน้อยที่สุด 3 อันดับแรกตามลำดับ

      ส่วนชาวไทยมองโลกในแง่ดีมากเป็นอันดับ 6 ของโลกเมื่อปีก่อน โดยมีคะแนนเท่ากับทรินิแดด แอนด์ โทแบคโค ขณะที่คนในประเทศกลุ่มลาตินอเมริกากวาดหมด 5 อันดับแรก ส่วนชาวสิงคโปร์มองโลกในแง่ดีเป็นอันดับสุดท้ายของโลก

กัลลัพอิงค์วัดความรู้สึกมองโลกในแง่ดีจากคนใน 148 ประเทศ ประเทศละ 1,000 คน ด้วยคำถาม 5 ข้อว่า
    - ในวันก่อนสำรวจมีความสุขเบิกบานใจหรือไม่
    - รู้สึกว่าได้รับความเคารพหรือไม่
    - ได้พักผ่อนเต็มที่หรือไม่
    - ได้ยิ้มหรือหัวเราะหรือไม่
    - ได้เรียนรู้หรือทำอะไรที่น่าสนใจหรือไม่


พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วผู้ตอบทั่วโลกตอบว่า ใช่ ทั้ง 5 คำถาม สะท้อนว่าทั่วโลกมองโลกค่อนข้างดี และประเทศที่มองโลกในแง่ดีอันดับต้น ๆ ไม่จำเป็นต้องมีดัชนีทางเศรษฐกิจสูงเสมอไป ผลสำรวจพบว่า
     กลุ่มวัยผู้ใหญ่ทั่วโลก
     85% รู้สึกว่าตนได้รับความเคารพตลอดทั้งวัน
     72% ยิ้มและหัวเราะมากเป็นพิเศษ
     73% รู้สึกมีความสุขมากตลอดทั้งวัน และ
     72% รู้วึกว่าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่



ผลสำรวจพบว่า ปีที่แล้วชาวปานามาและชาวปารากวัยมองโลกในแง่ดีมากที่สุด เพราะตอบใช่ต่อคำถามทั้ง 5 ข้อถึงร้อยละ 85  รองลงมาคือ ชาวเอลซัลวาดอร์และชาวเวเนซุเอลา ตอบใช่ร้อยละ 84 ชาวตรินิแดดและโตเบโกและชาวไทย ตอบใช่ร้อยละ 83 ชาวกัวเตมาลาและชาวฟิลิปปินส์ตอบใช่ร้อยละ 82 ชาวเอกวาดอร์และชาวคอสตาริกาตอบใช่ร้อยละ 81

     ส่วนชาวสิงคโปร์มองโลกในแง่ดีน้อยที่สุด มีคนตอบใช่ต่อคำถาม 5 ข้อเพียงร้อยละ 46
     รองลงมาคือชาวอาร์เมเนีย ตอบใช่ร้อยละ 49 ชาวอิรักตอบใช่ร้อยละ 50
     ขณะที่ชาวจอร์เจียและเยเมน ตอบใช่ร้อยละ 52


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355988830&grpid=01&catid=&subcatid=
http://talk.mthai.com/
22255  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 55 ปี ศรัทธาปสาทะ "บูรณะวัดไทยพุทธคยา" แห่งแรกในต่างแดน เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 09:30:38 am

พระอุโบสถวัด ทรงจตุรมุข (สี่หน้า) ในไทยพุทธคยา

55 ปี ศรัทธาปสาทะ "บูรณะวัดไทยพุทธคยา" แห่งแรกในต่างแดน
โดย อรพรรณ จันทรวงศ์ไพศาล

"วัดไทยพุทธคยา" เป็นวัดไทยแห่งแรกรัฐบาลไทยสร้างขึ้นในประเทศอินเดีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2500 เพื่อฉลองปีพุทธชยันตี 2,500 ปี ที่ตำบลพุทธคยา ใกล้กับพระมหาเจดีย์พุทธคยาและต้นพระศรีมหาโพธิ์ หนึ่งในสังเวชนียสถานแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

กว่า 50 ปีแล้วที่ วัดไทยในต่างแดนแห่งนี้ ยังไม่เคยได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่เลยแม้แต่ครั้งเดียว

ถึงแม้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาวัดไทยแห่งนี้จะมีความสำคัญและได้เฝ้าเสด็จ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง รวมถึงการไปกราบสักการะสังเวชนียสถานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ด้วย

พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยาอินเดีย เล่าว่า การบูรณะวัดไทยพุทธคยาครั้งนี้ เนื่องจากความทรุดโทรมตามอายุขัยของวัดที่มีความเป็นมาถึง 55 ปี ประกอบกับปีพุทธชยันตีแห่งการตรัสรู้ 2,600 ปี ซึ่งพุทธคยานับเป็นต้นกำเนิดความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาเพราะเป็นดินแดนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์

"วัดไทยพุทธคยา เป็นวัดที่รัฐบาลสร้างขึ้น จึงได้ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าของโครงการนี้โดยงบประมาณส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาล ขณะเดียวกันอีกส่วนหนึ่งขอให้เป็นส่วนของภาคประชาชนที่จะร่วมกันบริจาค เพราะวัดนี้เป็นของประชาชนเช่นกัน อีกทั้งในหลายปีที่ผ่านมาผู้คนสนใจมาบวชที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์มากขึ้น หลายคนกลับไปแล้วก็มีความคิดจะทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนาและสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง รวมถึงวัดไทยพุทธคยาแห่งนี้"

การบูรณะวัดไทยในแต่ละโซนในครั้งนี้พระราชรัตนรังษี เล่าว่า เป็นผู้วางแบบโดยความคิดร่วมกับสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีนาย อภัย จันทนจุลกะ กรรมการสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประชุมร่วมกับ ทีมสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีนาย ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติมาเป็นที่ปรึกษาการบูรณะครั้งนี้


(บน) โรงเรียนพระปริยัติธรรมในวัดไทยพุทธคยา กำลังบูรณะตกแต่งภายใน (ล่าง) อาคารสมเด็จพระเทพฯ อยู่ระหว่างการบูรณะ

"การสร้างอาคารทั้งหมด ได้ยึดหลัก 5 ป.คือ 1.ประโยชน์ 2.ประหยัด 3.ประยุกต์ใช้ได้ 4.เป็นไปตามประเพณี และ 5.มีประสิทธิภาพ ดังนั้น สิ่งก่อสร้างทั้งหมดจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ บางอาคารอาจจะต้องรื้อออก แต่หลายอาคารเช่น อาคาร สมเด็จพระเทพฯ อาคารจอมพล ป. ภายนอกทุกอย่างจะเหมือนเดิม แต่จะปรับปรุงด้านในทั้งการตกแต่งการปรับขนาดพื้นที่และเครื่องใช้สอย เช่น ห้องน้ำ ที่จะปรับเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย" พระราชรัตนรังษีบอก

ด้าน สุภชัย วีระภุชงค์ เลขานุการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 หนึ่งในผู้ผลักดันโครงการบูรณะวัดไทยพุทธคยา เล่าว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการบูรณะ เนื่องจาก 55 ปี ตั้งแต่เปิดวัดไทยพุทธคยามายังไม่เคยมีการบูรณะใหญ่เลยแม้เต่ครั้งเดียว และนอกจะเป็นการฉลอง 2,600 ปี พุทธชยันตีแห่งการตรัสรู้แล้ว ตัวแปรสำคัญอีกเรื่องคือ การปรับปรุงวัดไทยพุทธคยาเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา

"โดยพระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ วีรยุทฺโธ) หัวหน้าพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล มีความคิดที่จะบูรณะวัดอยู่แล้ว ประกอบกับได้ไปพูดกับนายกรัฐมนตรีในเบื้องต้น และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแลสำนักพุทธ ท่านก็มีความคิดเห็นในเชิงสนับสนุนว่าเหมาะสมเพราะด้วยเวลา และความสำคัญ" เลขานุการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 บอก

สุภชัยบอกว่า การบูรณะครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงการมาเยือนเมืองนิวเดลีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากการเชิญของกรรมการบูรณปฏิสังขรณ์วัดไทยพุทธคยาเพื่อเยี่ยมชมวัดไทยแห่งแรกในต่างแดนของรัฐบาลไทย ได้มาเยี่ยมชมการปรับปรุงว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร รวมไปถึงการกราบพระพุทธเมตตา และสวดมนต์ไหว้พระที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ หนึ่งในสังเวชนียสถานแห่งการตรัสรู้ แน่นอนว่า ในส่วนของภาครัฐบาล นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือเป็นเป็นหนึ่งในประธานกรรมการบูรณะวัดไทยพุทธคยา


ห้องพักในอาคารสมเด็จพระเทพฯ

สุภชัยบอกอีกว่า สำหรับรูปแบบการบูรณะ จะมีทั้งส่วนที่ต้องปรับปรุง สำหรับอาคารที่สร้างตั้งแต่ พ.ศ.2500 จะเก็บเอาไว้ทั้งหมด มีบางอาคารจะต้องปรับปรุงรื้อถอดออกไปเพื่อความเหมาะสม เนื่องจากสมัยก่อนมีชาวพุทธมาทำบุญปีหนึ่งประมาณ 100-200 คน แต่ปัจจุบันเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ปีหนึ่งมีชาวพุทธมาทำบุญไม่ต่ำกว่า 40,000-50,000 คน เพราะฉะนั้นอาคารต่างๆ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคจึงไม่เพียงพอที่จะรองรับพระภิกษุสงฆ์ที่มาแสวงบุญ และพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่เข้ามาทำบุญเป็นจำนวนมาก

"การปรับปรุงครั้งนี้จะสามารถรองรับพุทธศาสนิกชนที่จะมาทำบุญในพุทธภูมิในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ ซึ่งการคำนวณคร่าวๆ น่าจะประมาณ 2 แสนคน เพราะฉะนั้นบางอาคารอาจจะต้องรื้อถอนออกไป ซึ่งเป็นอาคารที่ทรุดโทรมมาก รวมถึงอาคารที่มีพื้นที่ใช้สอยน้อย เราก็สร้างทดแทนเป็นอาคาร 3 ชั้นขึ้นมา โดยมีห้องใต้ดิน ซึ่งการปรับปรุงครั้งนี้จะไม่ขยายพื้นที่วัด

"รวมไปถึงกลุ่มเป้าหมายในอนาคต ที่เราต้องการให้มาศึกษาพระพุทธศาสนา นั่นคือกลุ่มชนชั้นผู้นำ ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะกลัวความลำบาก การปรับปรุงครั้งนี้น่าจะทำให้คนกลุ่มนี้เข้าหาศาสนามากขึ้น" สุภชัยบอก

ถ้าเดินเข้าไปในวัดไทยพุทธคยาจะเห็นว่าบางอาคารมีการปรับปรุงอยู่ มีเครื่องไม้เครื่องมือ กองหินดินทราย ตลอดจนแรงงานหมุนเวียนเข้ามาไม่ขาด สำหรับอาคารที่จะปรับปรุงต่อไป คือ การสร้างกุฏิกรรมฐานทั้งหมด 7 หลัง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการขึ้นตอม่อ เรียกได้ว่าโครงการบูรณะวัดไทยพุทธคยาได้เริ่มขึ้นแล้ว

เลขานุการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 บอกอีกว่า ปัจจุบันได้วางแปลนการบูรณะเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่แปลนที่ออกมายังไม่นิ่งทั้ง 100% ในส่วนของงบประมาณก็ยังไม่มีตัวเลขชัดเจน คาดว่าคงใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งการเริ่มบูรณะในหลายอาคารเริ่มต้นไปแล้ว เช่น อาคารสมเด็จพระบรมฯที่บูรณะเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา ส่วนอาคารสมเด็จพระเทพฯก็มีการปรับปรุงตกแต่งภายในให้เรียบร้อย คาดว่าจะแล้วเสร็จใน 2 เดือน เพื่อใช้รับเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์



สำหรับวัดไทยพุทธคยามีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความเป็นไทย มีที่พักสงฆ์สถาปัตยกรรมสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่นี่ในอดีตเคยเป็นที่อุปสมบทของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม หรือ พระพิปุลสงฺคาโมภิกขุ เป็นเวลา 24 วัน และยังเป็นกุฏิที่พักสงฆ์ในยุคนั้นด้วย

จากการสำรวจอาคารแห่งนี้พบว่าตัวอาคารมีลักษณะเตี้ย แบน หน้าบันมีลักษระคล้ายรวงผึ้ง ภายในอาคารเป็นที่พระฉันอาหารมีพระประธานตั้งอยู่ 1 องค์ สุภชัยเล่าว่า พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปองค์แรกที่รัฐบาลไทยสร้างขึ้นมาประดิษฐานที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ออกแบบโดยอาจารย์ศิลป์ พีระศรี บรมครูของกรมศิลปากร เดิมเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ต่อมาย้ายออกเพื่อเปิดทางให้พระพุทธชินราชที่จอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี สร้างถวาย มาตั้งเป็นพระประธานแทน

"พระพุทธรูปองค์นี้เหมือนท่านมีชีวิต แต่เป็นเรื่องน่าแปลกที่พระพุทธรูปองค์นี้ ไม่มีชื่อเรียก การบูรณะวัดครั้งนี้ตั้งใจจะขยายบานประตูออกไปเพราะปัจจุบันบานประตูอาคารเตี้ยทำให้เหมือนพระพุทธรูปไร้เศียร ส่วนตัวอาคารจะเก็บไว้ทั้งหลังภายนอกจะเหมือนเดิมทุกอย่าง อาจจะปรับปรุงภายในเพิ่มเติมเท่านั้น"

การบูรณะครั้งนี้จะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชนและคณะสงฆ์ เพราะนี่คือวัดไทยในต่างแดน วัดแห่งแรก ที่เป็นหน้าตาของประเทศไทย


ขอบคุณภาพและบทความจาก
หน้า 20,มติชนรายวัน  ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2555
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355971090&grpid=&catid=09&subcatid=0901
http://www.thongthailand.com/
22256  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระพุทธประวัติ...ที่เกี่ยวกับ "สิ่งทอ" เมื่อ: ธันวาคม 22, 2012, 09:15:57 am


พระพุทธประวัติที่เกี่ยวกับสิ่งทอ

เวลาที่ผมขึ้นนั่งบนกี่ทอผ้าหรือก่อนที่จะลงมือทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งทอทั้งหลาย ผมจะนั่งนิ่งๆ อยู่สักอึดใจใหญ่  และก็จะมีลูกศิษย์ลูกหาสอบถามอยู่เสมอว่า ผมเป็นอะไรหรือทำอะไร คำตอบที่ผ่านมาคือรอยยิ้มของผมและจากนั้นก็จะลงมือทำงานโดยมิได้ปริปากอะไร ผมจึงถูกรบเร้ามาตลอดเพื่อให้เฉลยเหตุผลนั้น มาวันนี้ผมคิดว่าเหมาะสมกับการบอกเล่า ความเป็นมาเป็นไปของการหยุดนิ่งของผมได้แล้วจึงขอนำ เรื่องราวพระพุทธประวัติและพุทธกิจตอนหนึ่งมาเผยแผ่ ให้ประจักษ์ครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องของธิดาช่างทอหูกหรือช่างทอผ้านั่นแหละครับ คนอินเดียถือว่างานทอผ้า เป็นงานหนัก จึงมักจะเป็นงานของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ตรงข้ามกับในประเทศไทยของเรา เรื่องราวมีอยู่ว่า เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองอาฬวีเป็นครั้งที่ 2 เพราะทรงหยั่งรู้ด้วยทิพจักขุว่าการเสด็จของพระองค์ในครั้งนี้ จะยังให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่ง

เพราะนอกจากจะได้ทรงเทศนาสั่งสอนนางกุมาริกา ผู้เป็นธิดาของช่างทอหูก ผู้ซึ่งได้เคย สดับพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์มาก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จมาที่เมืองนี้ในคราวแรก และหลังจากนั้นนางกุมาริกาก็ได้เจริญมรณานุสติต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว ยังจะได้ทำให้ชาวเมืองอาฬวีได้ร่วมรับฟังพระธรรมเทศนาในครั้งนี้เป็นจำนวนมากอีกด้วย

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จถึงเมืองอาฬว ีพร้อมพระภิกษุอีกประมาณ 500 รูปนั้น บรรดาเหล่าชาวเมืองต่างก็ปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง พากันมาเฝ้าถวายภัตตาหาร และจากนั้นต่างก็นั่งเฝ้า รอเฝ้าการอนุโมทนาหลังจากฉันภัตตาหารแล้ว หากแต่พระพุทธองค์ก็ทรงนิ่งอยู่เป็นปกติ มิได้ตรัสความอันใด เพราะทรงตั้งพระทัยไว้แล้วว่าจะเทศน์โปรดนางกุมาริกาเป็นหลัก และนางผู้นั้นก็ยังมาไม่ถึงที่นี้ เพราะบิดาของนางได้สั่งให้นางกรอด้ายใส่แกนหลอด เพื่อจะนำไปทอผ้าให้แล้วเสร็จในวันนั้น

นางกุมาริกาตั้งใจที่จะกรอด้ายให้เสร็จและนำไปส่งให้บิดาเสียก่อนตามคำสั่ง แล้วจึงจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ แต่เส้นทางสู่โรงทอผ้าของบิดานั้น ต้องผ่านศาลาที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ นางเห็นผู้คนที่มานั่งรออยู่ในที่นั้นจำนวนมากและเห็นสายตาของพระพุทธองค์ที่ทอดพระเนตรตรงมายังตัวนาง นางจึงคลานเข้าไปนั่งในศาลา วางตะกร้าบรรจุหลอดด้ายที่กรอแล้ว ลงไว้ข้างตัว เมื่อถวายบังคมแล้วก็นั่งนิ่งอยู่



    พระพุทธองค์ตรัสถามนางว่า "เธอมาจากไหน"
     นางตอบว่า "หม่อมฉันไม่ทราบ พระพุทธเจ้าข้า"
     เมื่อทรงตรัสถามต่อ "เธอจักไปที่ไหน"
     นางตอบอีกว่า "หม่อมฉันไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า"
     พระพุทธองค์จึงทรงถามต่ออีกว่า "เธอไม่ทราบหรือ...กุมาริกา"
     นางจึงทูลตอบว่า "หม่อมฉันทราบ พระพุทธเจ้าข้า"
     สุดท้าย พระพุทธองค์ถามว่า "เธอทราบหรือ"
     นางตอบทันทีว่า "หม่อมฉันไม่ทราบ พระพุทธเจ้าข้า"


     โอ๊ยยย...นางกุมาริกาจอมกวน 
     ถ้านางมาเล่นถาม-ตอบแบบนี้ในปัจจุบัน นางคงโดนตบกระจายไปหลายรอบแล้ว 
     เพราะขนาดชาวบ้านร้านตลาดที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ยินการโต้ตอบนี้
     ต่างก็รู้สึกหมั่นไส้นางเหลือกำลัง พากันกล่าวว่าด่านางว่าช่างเจรจาเล่นลิ้น เหลือเกิน

     แต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าปรารถนาจะให้คนทั้งหลายได้เข้าใจนัยยะของบทเจรจาโต้ตอบกันเมื่อครู่นี้
     จึงเริ่มต้นการถามนางใหม่อีกครั้ง "เมื่อเราถามว่า...มาจากไหน...เพราะเหตุใดเธอจึงตอบว่า...ไม่ทราบ"
     นางกุมาริกาทูลตอบว่า "หม่อมฉันเข้าใจว่าพระองค์ตรัสถามด้วยอำนาจเเห่งปฏิสนธิว่า...มาจากไหน หม่อมฉันไม่ทราบว่ามาจากนรกหรือเทวโลก หม่อมฉันจึงกราบทูลตอบว่า...ไม่ทราบ"

     พระพุทธองค์ตรัสถามต่อไปอีกว่า
     "เมื่อเราถามว่า...เธอจะไปไหน เหตุไรจึงตอบว่า...ไม่ทราบ"
     นางกราบทูลต่อว่า
    "หม่อมฉันเข้าใจว่าพระองค์ตรัสถามด้วยอำนาจเเห่งจุติว่า...จักไปไหน เพราะหม่อมฉันไม่ทราบว่าจักไปนรกหรือเทวโลก หม่อมฉันจึงทูลตอบว่า...ไม่ทราบ"

     พระพุทธองค์ทรงถามขยายความต่อไปอีกว่า
     "เมื่อเราถามว่า...เธอไม่ทราบหรือ...เหตุใดเธอกลับตอบว่า...ทราบ..."
     นางจึงกราบทูลตอบว่า "หม่อมฉันย่อมทราบสภาวะเเห่งมรณะ ว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงต้องตายแน่นอน หม่อมฉันจึงทูลตอบว่า...ทราบ"

     สุดท้าย พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสถามว่า
     "เมื่อเราถามว่า...เธอทราบหรือ...เหตุไรเธอจึงตอบว่า...ไม่ทราบ..."
     นางจึงกราบทูลตอบไปว่า
     "หม่อมฉันทราบแต่ภาวะ คือความตาย แต่ไม่ทราบถึงมรณกาล ว่าหม่อมฉันจักตายในเวลาใด..วันนี้..หรือพรุ่งนี้...หม่อมฉันจึงกราบทูลว่า...ไม่ทราบ"



      เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ถาม-ตอบกับนางกุมาริกาแบบขยายความ เพื่อให้ผู้ที่ อยู่เฝ้าพระองค์ได้เข้าใจแล้ว ก็ได้ทรงอนุโมทนาปัญหาที่นางกุมาริกานั้นวิสัชนา แล้วจึงตรัสต่อไปว่า 
      "ดีละ ดีละ ทาริกาเป็นบัณฑิต จึงจำไว้ว่า ชนเหล่าใดไม่มีปัญญา ชนเหล่านั้นเป็นประดุจผู้มีจักษุบอด"
      จากนั้นจึงได้ทรงตรัสถาคาว่า
      "ในโลกนี้น้อยคนนักจักเห็นแจ้ง น้อยคนที่จะไปสู่สวรรค์ ดุจนกติดข่าย น้อยตัวนักที่จะหลุดจากข่าย ฉะนั้น"

     เมื่อจบพระธรรมเทศนาในบ่ายวันนั้น  นางกุมาริกาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
     ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงตั้งปรารถนาที่จะช่วยเหลือนาง

     อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงจะเริ่มสงสัยแล้ว ว่าทำไมพระพุทธองค์จึงทรงเจาะจง มุ่งหมาย ที่จะแสดงพระธรรมเทศนาให้กับนางกุมาริกามาก
     จนถึงกับต้องเสด็จมาถึงเมืองอาฬวีอีก ครั้งและทรงตั้งใจรอ
     จนนางกรอด้ายเสร็จ และมาเฝ้าพระพุทธองค์
     แม้ว่าจะมีผู้คนที่มาเฝ้าถวายภัตตาหารจะนั่งรออยู่เป็นจำนวนมากมาย
     ก็ไม่ทรงอนุโมทนาและเริ่มแสดงธรรมแต่อย่างใด และแม้เมื่อนางมาเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว
     ก็ได้มีรับสั่งถาม-ตอบเชิงปุจฉา-วิสัชชนาแต่จำเพาะกับนางแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น


     เหตุผลก็คือพระพุทธองค์ทรงหยั่งรู้ล่วงหน้าแล้วว่า วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของนางกุมาริกา ธิดาแห่งช่างทอหูกของเมืองอาฬวีนี้ เพราะหลังจากที่นางถวายบังคมลาพระพุทธองค์ออกไปแล้ว นางก็จะต้องถึงแก่กาลกิริยาหรือตาย หากพระองค์ได้่เสด็จมาเทศน์ โปรดนางก่อนตายแล้ว นางก็จะบรรลุโสดาปัตติผล และจะเป็นผู้ที่มีคติที่แน่นอน ด้วยผลจากที่นางเคยสดับพระธรรมเทศนาเมื่อ 3 ปีก่อนมาแล้ว และได้เป็นผู้เจริญมรณานุสติมาโดยตลอด จึงทรงพระเมตตาต่อนางเป็นอย่างยิ่ง






    นางกุมาริกา เมื่อกราบถวายบังคมลาพระพุทธองค์ออกมาแล้ว ก็เร่งรีบเดินทางไปยังโรงทอหูก ด้วยรู้ตัวว่าล่าช้า ฝ่ายบิดาของนางที่เฝ้ารออยู่ด้วยความโกรธที่จะทอผ้าไม่ทัน ด้วยด้ายที่กรอใส่หลอดไว้หมด ครั้นได้รับหลอดด้ายจากนางก็นำบรรจุลงกระสวย แล้วเร่งรีบพุ่งกระสวยนั้นเต็มแรง กระสวยจึงพุ่งผ่านเลยกี่ทอผ้าออกไปกระแทกทิ่มเข้าที่ท้องของนางกุมาริกาล้มลงสิ้นชีวิตในทันที นางกุมาริกาก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตวิมาน

    เนื้อเรื่องข้างต้นนี้คือเหตุปัจจัยที่ทำให้ผมหยุดนิ่งรำลึกถึงทุกครั้งที่ผมจะทำกิจใดใดที่เกี่ยว กับสิ่งทอและเมื่อขึ้นนั่งบนกี่ทอผ้า  ผมจะนิ่งรำลึกถึงอำนาจแห่งพระพุทธคุณเป็นที่พึ่ง และขออำนาจนั้นปกป้องคุ้มครองตัวผมและขอให้งานที่จะทำนั้นลุล่วงผ่านไปด้วยดี ผมจะนึกถึงและเตือนสติตัวเองเสมอๆ ถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิตที่จะแตกดับลงไปเมื่อไรก็ได้ เช่นเดียวกับที่ผมก็ได้เคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาด้วยตนเองแล้ว และผมจะนึกถึงผลของความโกรธ ที่จะทำให้เรากระทำในสิ่งที่ตนเองจะต้องเสียใจได้ในภายหลัง เช่นเดียวกับช่างทอหูก ที่สูญเสียนางกุมาริกาผู้เป็นธิดาไปโดยประมาทและโทสะ

     เผ่าทอง ทองเจือ
     www.facebook.com/paothong.pan
     www.facebook.com/paothong.thongchua


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/314479
http://www.bloggang.com/,http://www.tourluangprabang.com/
22257  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วันที่ 21/12/12 ไม่สิ้นโลก...อีก 100 ปีโลกก็ไม่แตก.?.! เมื่อ: ธันวาคม 21, 2012, 10:14:54 am


วันที่ 21/12/12 ไม่สิ้นโลก...อีก 100 ปีโลกก็ไม่แตก.?.!

เป็นเวลานานหลายเดือนเกือบครึ่งปีที่มีการกล่าวขานกันถึง ‘วันสิ้นโลก 21/12/12’ ตามความเข้าใจของผู้ตีความในปฏิทินชาวมายา ทำให้ชาวโลกเกิดความตื่นตระหนกตกใจในเรื่องดังกล่าวกันอย่างมาก มีประชาชนในบางประเทศเชื่อคำทำนายว่าจะเกิดขึ้นจริงถึงกับตุนสิ่งของ อาหารเอาไว้จำนวนมาก เผื่อมีชีวิตรอด!

ทั้งนี้ ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา นักวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านภัยพิบัติโลก ได้มีการเปิดเวทีสัมมนาเพื่อถอดรหัสว่าวันที่ 21/12/12 นั้น จะสิ้นโลกหรือไม่? ซึ่งจากการวิเคราะห์ของนักวิชาการผู้รู้ต่าง ๆ ส่วนใหญ่เห็นไปในทำนองเดียวกันว่าไม่มีเหตุอะไรที่บ่งบอกว่าโลกจะสิ้นสุดลง แต่ให้ระวังภัยพิบัติต่าง ๆ ที่อาจเกิดถี่ยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วมใหญ่ ตลอดจนวิกฤติของสภาพดินฟ้าอากาศ

ขณะที่ มีกระแสข่าวว่าวันที่ 21/12/12 ไม่ใช่วันสิ้นโลก แต่เป็นวันสิ้นสุดของปฏิทินชาวมายาเท่านั้น ซึ่งเหมือนกับการสิ้นสุดของปฏิทินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

แต่ทว่า ยังมีประเด็นเกี่ยวกับ ‘พายุสุริยะ’ ที่มีการคาดการณ์ว่าอาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้กับวันที่ 21/12/12 จะส่งผลให้โลกได้รับผลกระทบหรือไม่ อย่างไรนั้น จากการค้นคว้าข้อมูล สรุปได้ว่า
    ปรากฏการณ์ดังกล่าว เป็นไปตามวัฏจักรปกติของคาบการเกิดพายุสุริยะ
    โดยบนดวงอาทิตย์มีจุด หรือ ซัน สปอต ซึ่งจะปล่อยพลังงานออกมา ทั้งการลุกจ้า
    และการพ่นมวลสารบนผิวดวงอาทิตย์ ตามทิศทาง และวงโคจรของดวงอาทิตย์
    จึงไม่จำเป็นต้องมาถึงโลกทุกครั้ง เฉลี่ยแล้วพบว่าจะมีจุดมากที่สุดในรอบ 11 ปี ตรงกับช่วงปลายปี 2555 กระแสของอนุภาคพลังงานสูงที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ด้วยปริมาณ และความเร็วสูงกว่าปกติ เป็นตัวการทำให้เกิดแสงเหนือใต้ พายุแม่เหล็กโลก


ทั้งนี้ พื้นที่โลกที่อาจได้รับผลกระทบ คือ บริเวณขั้วโลก จากลมพายุสุริยะกระทบเส้นสนามแม่เหล็กโลกใกล้ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ เกิดแสงเหนือใต้มากขึ้น อาจส่งผลรบกวนการทำงานของดาวเทียม วงการสื่อสารโทรคมนาคม รวมถึงระบบนำทางเครื่องบิน ที่อาจขัดข้องชั่วขณะ

     ก่อนหน้านี้ มีรายงานถึงผลกระทบจากพายุสุริยะในต่างประเทศ
     อย่างปี 2402 ทำให้สายโทรเลขลัดวงจรหลายแห่งในยุโรป และอเมริกา
     ส่วนปี 2532 ทำให้หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดในควิเบก แคนาดา
     สำหรับไทย เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2554 ดาวเทียมไทยคม 5 ขัดข้องเกือบ 4 ชม. ทำให้โทรทัศน์รับสัญญาณไม่ได้ จากอิทธิพลของลมสุริยะแรงกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่หวาดผวากับวันสิ้นโลกคงจะสบายใจเมื่อได้ฟังการถอดรหัสจากหลาย ๆ ข้อมูล ซึ่งประมาณ 2 สัปดาห์ข้างหน้าก็จะถึงเทศกาลแห่งความสุข วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เหมือนเช่นทุกปี แต่ทั้งนี้ ในอนาคตข้างหน้าคงต้องระวัง และเตรียมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจเกิดถี่ และรุนแรงขึ้น.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/article/440/173485
22258  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: วิญญาณฐิติ 7 กับกรรมฐาน เกี่ยวข้องกันอย่างไร ครับ เมื่อ: ธันวาคม 21, 2012, 07:31:07 am
   
    เรื่องนี้คุณเท่ากับผลรวม ได้โพสต์ไว้แล้วในกระทู้
    "ธรรม ๗ ประการที่ควรกำหนดรู้"
    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5043.0

    พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค 
    [๑๑.ทสุตตรสูตร] ธรรม ๗ ประการ ที่ควรกำหนดรู้ วิญญาณฐิติ ๗ ได้แก่

   
    ๑. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน
        คือ มนุษย์ เทพ บางพวก และวินิปาติกะบางพวก นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๑

    ๒. มีสัตว์ทั้งหลายมีกายต่างกัน แต่มีสัญญาอย่างเดียวกัน
        คือ พวกเทพชั้นพรหมกายิกา(เทพผู้นับเนื่องในหมู่พรหม) เกิดในปฐมฌาน นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๒
    ๓. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน
        คือ พวกเทพชั้นอาภัสสระ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่   ๓

    ๔. มีสัตว์ทั้งหลายผู้มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน
        คือ พวกเทพชั้นสุภกิณหะ(เทพผู้เต็มไปด้วยความงดงาม) นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๔
    ๕. มีสัตว์ทั้งหลายบรรลุอากาสานัญจายตนฌานโดยกำหนดว่า “อากาศหาที่สุดมิได้”
        เพราะล่วงรูปสัญญา  ดับปฏิฆสัญญา ไม่กำหนดนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕

    ๖. มีสัตว์ทั้งหลายล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน
        โดยกำหนดว่า  “วิญญาณหาที่สุดมิได้”  นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๖
    ๗. มีสัตว์ทั้งหลายล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน
        โดยกำหนดว่า “ไม่มีอะไร” นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๗

        นี้คือธรรม ๗ ประการที่ควรกำหนดรู้




   
    "วิญญาณฐิติ คือ ภูมิเป็นที่ตั้งของวิญญาณ"
    ขอให้ไปอ่านกระทู้นี้ก่อนนะครับ ว่างๆจะมาสรุปให้อ่านอีกครั้ง

    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5043.0

     :25:
   
22259  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ตามรอยพระอริยสงฆ์ (2) เมื่อ: ธันวาคม 21, 2012, 07:11:58 am


ตามรอยพระอริยสงฆ์ (2)
คอลัมภ์ : มุมมองสองวัย นสพ.เดลินิวส์ ประจำวันพุธที่ 14 มีนาคม 2555

เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากผมกลับจากการแสวงบุญที่พุทธคยาและสารนาถ ผมก็รีบตาม คณะหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ไปธุดงค์ขึ้นดอยอินทนนท์ ความจริงหลวงพ่อและคณะศิษย์ร่วม 2,500 คน ได้เดินธุดงค์ขึ้นดอยไปตั้งแต่วันที่ 8 หลังวันมาฆบูชาเพียงวันเดียว

คำว่า “ธุดงค์” มาจากภาษาบาลีคือ “ธุต” ที่แปลว่า กำจัดหรือขัดเกลา กับ “องค์” สนธิรวมกันเป็น ธุดงค์ หมายถึง องค์คุณแห่งการกำจัดกิเลส ซึ่งในพระพุทธศาสนาถือว่ามีข้อวัตร 13 อย่าง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงอนุญาตและสรรเสริญให้ภิกษุในพระพุทธศาสนามานาน เรียกว่า “ธุดงควัตร” มีทั้งข้อวัตรที่เป็นการ ละเว้น เช่น
     อารัญญิกังคธุดงค์ คือ การละเว้นการอยู่ใกล้ชุมชน หรือ
     รุกขมูลิกังคธุดงค์ คือ ละเว้นการนั่งนอนในที่มุงบัง เช่น กุฏิอยู่ใต้โคนไม้
     ธุดงค์ที่นำโดยพระอาจารย์หลวงพ่อจึงเป็นทั้ง อารัญญิกังคะ และรุกขมุลิกังคะ เพราะตลอด 3 คืน 4 วันนั้น ต้องเดินและนอนในป่าบนดอยตลอด


ผมคิดว่าไม่มีคณะธุดงค์ใดในเวลานี้ที่จะมีคนมากถึง 2,500 คน! ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะลูกศิษย์ที่เรียนหลักสูตรครูสมาธิ และ หลักสูตรวิทันตสาสมาธิ จะจบการศึกษาได้ก็ต้องฝึกปฏิบัติจริงในสนาม จึงมีนักศึกษาทั้ง 2 หลักสูตรจากแคนาดา 3 ศูนย์ คือที่ Edmunton, Toronto และ Vancouver 25 คน และจากศูนย์ที่ Dallas Texas 5 คน เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลตามพระอาจารย์หลวงพ่อมาและนักศึกษาไทยอีก 2,500 คนจาก 31 ศูนย์สอนสมาธิของสถาบันพลังจิตตานุภาพทั่วประเทศ

เดิมผมทราบจำนวนคนก็คิดว่าคงเป็น “โกลาหลธุดงค์” เป็นแน่ แต่เอาเข้าจริงก็เห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยเฉพาะเมื่อมีการนำสวดมนต์ ทำสมาธิ โดยพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์นั้น ป่าทั้งป่าก็สงบเงียบเหมือนไม่มีคนเลย เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทำให้นึกถึงคาถามนตราแผ่นดินที่ว่า
    “สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา”   
    หรือความพร้อมเพรียงของหมู่คณะ ก่อให้เกิดความสุขความเจริญ
    ความเรียบร้อยนี้มาจาก 3 เหตุ คือ ศรัทธาในหลวงพ่อหนึ่ง การบริหารจัดการที่ดีเยี่ยมของสถาบันพลังจิตตานุภาพหนึ่ง และความร่วมมือของคน 2,500 คนอีกหนึ่ง





พระอาจารย์หลวงพ่อเดินธุดงค์มาตั้งแต่อายุ 13 จนบัดนี้อายุ 93 รวม 80 ปี แต่ที่ท่านเมตตานำศิษย์ที่ฝึกสมาธิกับท่านธุดงค์นี้ มีมาตั้งแต่ก่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพ และเปิดสอนสมาธิในปี 2540 มาจนถึงปัจจุบัน 15 ปี และท่านนำเดินธุดงค์มาแล้ว 29 รุ่น (ทั้งรุ่นปัจจุบันที่เดินตามท่าน)

คนที่เดินธุดงค์ตามท่านมีทั้งชาวต่างชาติ ชาวไทย มีทั้งอายุน้อยที่สุด (10 ขวบ) กับมากที่สุด (93 ปี) มีทั้งคนพิการแต่กาย แต่ใจสมบูรณ์เต็มร้อย นั่งรถเข็นมา (น.ต.สิน ธีรพัฒนกุล) มีทั้งภิกษุ (ที่เรียนหลักสูตรท่าน) และฆราวาส ฯลฯ

    ผมถามชาวแคนาดา และอเมริกันที่ข้ามน้ำข้ามทะเลตามท่านมาว่า เหตุใดจึงลงทุนเช่นนี้
    คำตอบตรงกัน คือ “ศรัทธา”(มี Faith) และนับถือหลวงพ่อเป็น “Master-Father” (ครูและพ่อ) และอยากได้ประกาศนียบัตร


    เพราะเรียนสมาธิกับหลวงพ่อแล้ว ได้ผลทั้งทางใจ คือใจสงบ นอนหลับ คิดแก้ปัญหาได้
     และ ทางกาย คือ หายจากโรค ถ้าไม่มีใบประกาศ เขารู้สึกว่ามันจะขาดอะไรไป
     และคนเหล่านี้ไม่ใช่สักแต่จะจบ แต่ยังปฏิญาณว่าจะช่วยหลวงพ่อเผยแผ่สมาธิไปให้เกิดสันติสุขทั้งในสังคมของเขาและในโลก
     จึงต้องช่วยสอน เมื่อจะช่วยสอนก็ต้องมีใบประกาศนียบัตร (Certificate) ของหลวงพ่อ จึงต้องดั้นด้นมาเอาใบประกาศให้ได้


    หลักสูตร “ครูสมาธิ” นี้ หลวงพ่อเล่าว่า
    เกิดจากการสอบถามพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ว่าจะนำหลักสมาธิไปสอนชาวโลกได้หรือไม่
    พระอาจารย์มั่นตอบว่า

    “ได้ แต่ต้องเอาแบบขั้นพื้นฐาน สำหรับเป็นประโยชน์แก่มหาชน
    สำหรับขั้นสูงให้มีน้อย โอกาสที่เธอเห็นจะทำนั้นมีอยู่
    แต่ต้องทำขั้นพื้นฐาน เพื่อคนส่วนมากในโลกจะได้สงบ
    และเธอต้องไปอยู่กรุงเทพฯ เพราะคนกรุงเทพฯ ที่มีวาสนาบารมีมีอยู่ไม่น้อย”




   
    พระอาจารย์หลวงพ่อยืนยันว่า ท่านได้ประมวลประสบการณ์จากที่
    พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์กงมาสอน และประสบการณ์ 80 ปีของท่าน

    ทำตำรา 3 เล่ม (ไม่มีขายจนกว่าจะไปเรียนด้วยตนเอง) ย่นย่อ 80 ปีของท่าน
    เหลือหลักสูตร 200 ชั่วโมง หรือเรียนวันละ 2 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์
    เป็นเวลา 6 เดือนเท่านั้น ก็ได้เคล็ดวิชาครบถ้วน!
    ใน 2 ชั่วโมงเป็นทฤษฎีคือฟังคำบรรยายจากเสียงหลวงพ่อ 1 ชั่วโมง เดินจงกรม 30 นาที นั่งสมาธิ 30 นาที
    เพื่อสร้างพลังจิต (Will Power) และพลังจิตนี้เอง ถ้าสะสมมากๆ ก็จะทำให้หายเครียด
    ระงับความร้ายกาจที่เคยเป็น เช่น โมโหร้าย แก้ปัญหาที่แก้ไม่ตกได้ ฯลฯ
    ถ้าสะสมได้มาก ๆ เหมือนพระอริยสงฆ์ก็อาจใช้เป็นบาทฐานให้พ้นทุกข์ได้


    หลวงพ่อเน้นมาก "การสร้างพลังจิตด้วยสมถกรรมฐาน" นี้แหละ สำคัญสำหรับฆราวาส
    เพราะช่วยในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข สงบ และสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น
    หลักสูตรของหลวงพ่อจึงเน้น “ประโยชน์” และ “สุข” ของคนหมู่มาก
    เพื่อสันติภาพในสังคมไทยและสังคมโลก


เมื่อยามศึกษาจบและได้ประสบการณ์ตรงจากผลของสมาธิจึงตัดสินใจนำเข้าสู่สถาบันพระปกเกล้า พระอาจารย์หลวงพ่อจึงเมตตาย่อหลักสูตรครูสมาธิลงเหลือ 150 ชั่วโมง เรียกว่า
     “วิทันตสาสมาธิ” แปลว่า “การฝึกฝนตนอย่างวิเศษ”
     เปิดเรียนจบรุ่นที่ 1 แล้ว รุ่นที่ 2 กำลังรับสมัครที่สถาบันพระปกเกล้า จนถึงวันที่  16 มีนาคมนี้
     และจะเริ่มปฐมนิเทศและลงมือเรียน ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2141-9641


    ใครที่อยากได้ประสบการณ์ตรงจากผลของสมาธิต้องรีบมาสมัครเรียนนะครับ เพราะเรารับจำนวนจำกัด!
    ใครมีเวลาจะเรียนหลักสูตรครูสมาธิเต็มหลักสูตร ก็ขอข้อมูลได้ที่ วัดธรรมมงคล สุขุมวิท 101 โทร. 0-2332-4145.


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.dailynews.co.th/article/351/16978
http://www.dhammada.net/
22260  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "วันสิ้นโลก" กับ พระพุทธศาสนา เมื่อ: ธันวาคม 21, 2012, 06:38:33 am



วันสิ้นโลกกับพระพุทธศาสนา
คอลัมภ์ : มุมมองสองวัย นสพ.เดลินิวส์ ประจำวันที่ วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2555


อีกสองวันมีข่าวลือไปทั่วโลกว่าเป็นวันสิ้นโลก บางคนอ้างว่าชาวมายา (Mayan) ได้คำนวณปฏิทินสุริยคติไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ โดยการคำนวณปฏิทินสุริยคติชาวมายันนั้น ชาวตะวันตกทึ่งมาก เพราะแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ ไม่มีกล้องดูดาว ตามปฏิทินนี้ ถือว่า ปีหนึ่งมี 365.2420 วัน แตกต่างจากปฏิทินปัจจุบันที่คำนวณโดยอาศัยกล้องดูดาวที่มีอานุภาพสูง เพียง 0.0002 ของหนึ่งวันเท่านั้น!

เมื่อชาวมายันเก่งขนาดนี้ ชาวตะวันตกก็ชักจะต้องฟังมากกว่าคนชาติอื่น ที่คนตะวันตกเริ่มขนพองสยองเกล้า ก็เพราะพบว่าปฏิทินที่ชาวมายันคำนวณไว้อันเป็นปฏิทินฉบับที่ 3 ที่เรียกว่า Long Count นั้น เริ่มต้นใน 3114 ปีก่อนคริสตกาล แล้วมาสิ้นสุดลงในวันที่ 21.12.2012 หรือ 21 ธันวาคม 2012

พวกคนที่มีทรรศนะทุกขนิยมก็ต้องตี ความว่า เมื่อปฏิทินเผ่ามายันหมดเพียงแค่นี้ก็จะต้องเข้าใจว่า วันนี้เป็นวันสิ้นโลก! บรรดาโหรน้อยใหญ่ก็ออกมาทำนายกันว่า มีภัยธรรมชาติในวันนั้นที่จะทำให้คนตายเกือบหมดโลก บ้างก็ไปโยงกับสงครามล้างโลกของโหรใหญ่ที่ชื่อนอสตราดามุส

ฝรั่งบางคนเชื่อถึงกับสร้างห้องใต้ดิน ตุนอาหาร และอาวุธไว้ป้องกันตัว ไม่เพียงแค่ฝรั่งแตกตื่น จีนก็แตกตื่นวิ่งหาซื้อเทียนไขจนแทบจะหมดมณฑลเสฉวนกันทีเดียว บางทฤษฎีกับมาว่า วันนั้นสนามแม่เหล็กโลกจะพลิกขั้ว ซึ่งจะเกิดขึ้นหลายล้านปีต่อครั้ง และแต่ละครั้งจะทำให้สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดตายไปทั้งโลก!

เมื่อคนเกิดความกลัวก็ทำสิ่งต่าง ๆ กัน เช่น บางคนก็แสวงหาความสุขทางกามเต็มที่ เพราะเชื่อว่ากามสุขจะทำให้ลืมความกลัวและความทุกข์ได้ บางพวกก็ลงมือเตรียมรับภัยด้วยการตุนอาหาร อาวุธและเทียนไข บางพวกก็ลงมือสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า





แต่ผมคิดว่าในฐานะพุทธ ศาสนิกชน เราควรระลึกถึง กาลามสูตร ซึ่งพระพุทธองค์ก็ตรัสสอนชาวกาลามโคตร แห่งเกสปุตตนิคมว่า อย่าหลงเชื่อในเหตุ  10 ประการ คือ
    มา อนุสสวเนนะ อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา
    มา ปรัมปรายะ อย่าเชื่อเพราะถือว่าเป็นของเก่าเล่าต่อ ๆ กันมา
    มา อิติกิรายะ อย่าเชื่อเพราะข่าวเล่าลือกัน
    มา ปิฎกสัมปาทาเนนะ อย่าเชื่อตามคัมภีร์หรือตำรา
    มา ตักกเหตุ อย่าเชื่อเพราะตรรกะ
    มา นัยเหตุ อย่าเชื่อเพราะอนุมานเอง
    มา อาการปริวิตักเกนะ อย่าเชื่อเพราะคิดเองตามอาการที่ปรากฏ
    มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าเชื่อเพราะตรงกับความคิด
    มา ภัพพรูปตา  อย่าเชื่อเพราะผู้พูดน่าเชื่อถือ
    มา สมโณ โน ครูติ  อย่าเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูของเรา
    แล้วทรงสอนให้คิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบด้านด้วยตนเอง


ถ้าเรายึดกาลามสูตรนี้ เราก็คงไม่ต้องเดือดร้อนกระวนกระวาย เพราะหากโลกจะสลายจริง เราก็ทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ทำความดีเข้าไว้ทุกนาทีตามหลักพระศาสนา 3 ประการ คือ
    ละความชั่ว หรือบาปทั้งปวงที่เป็นโทษกับผู้อื่นและตนเอง
    ทำความดีที่ก่อคุณประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นและตนเอง 
    แล้วทำจิตใจให้ผ่องใสตามคำสอนในโอวาทปาติโมกข์ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท
    แม้โลกจะดับสูญ เราก็ไม่เดือดร้อน




   
     แต่ผมเองเชื่อในพระพุทธองค์และพุทธพจน์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
     และถ้าศึกษาพระสูตรต่อไปนี้ อันได้แก่
     อัคคัญสูตร อันว่าด้วยกำเนิดมนุษย์ กำเนิดการปกครองและการแบ่งแยกชนชั้น
     ตลอดจนกรรมที่มนุษย์ก่อซึ่งถ้าเป็นกรรมเลวก็จะทำให้อายุสั้นลงเรื่อย ๆ
     รวมทั้ง จุฬนีสูตร อันว่าด้วยจักรวาลทั้งหลาย
     สุริยสูตร ซึ่งทางแสดงว่าโลกดับสูญไปด้วยอาทิตย์  7 ดวง เป็นต้น
     แล้วเราจะพบว่าไม่มีตอนใดของพระไตรปิฎกเลยที่บอกว่า ปีนี้หรือช่วงนี้จะเป็นปีสิ้นโลก


     ตรงกันข้าม พระพุทธศาสนาเชื่อว่า ศาสนาของพระโคดมหรือพระโคตมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันจะยืนยาวถึง 5,000 ปี
     และภัทรกัป นี้ยังจะมีพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายอีก
     เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงไม่เชื่อคำพยากรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้นตามหลักกาลามสูตรครับ.


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.dailynews.co.th/article/439/173351
http://www.posttoday.com/,http://www.vcharkarn.com/
22261  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระสงฆ์ไทยเยี่ยม "วัดบังคลาเทศถูกเผา..นำปัจจัยช่วยเหลือกว่า 2 ล้าน" เมื่อ: ธันวาคม 21, 2012, 06:13:22 am



พระไทยสลดเยี่ยม'วัดบังคลาเทศถูกเผา'

พระสงฆ์ไทยเยี่ยมวัดบังคลาเทศถูกเผา นำปัจจัยช่วยเหลือกว่า 2 ล้าน เผยรู้สึกสุดสลดเมื่อเห็นพระพุทธรูปถูกทำลายเกือบหมด วอน 'ปู' กำชับรบ.หนุนพระเรียนม.สงฆ์ไทย


20ธ.ค.2555 พระเทพวิสุทธิกวี ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการนำคณะสงฆ์ไทยและองค์กรชาวพุทธนำปัจจัยและสิ่งของที่ได้รับบริจาคไปช่วยเหลือวัดพุทธที่ประเทศบังกลาเทศกว่า 27 แห่ง ที่ถูกคนร้ายที่มีความเห็นขัดแย้งทางศาสนาเผา ส่งผลให้มีพระและญาติโยมเสียชีวิตและทรัพย์สินว่า ระหว่างวันที่ 14 - 18 ธ.ค.คณะได้เดินทางไปทั้งหมด 16 รูป/คน โดยนำเงินจำนวน 1.2 ล้านบาทและสิ่งของเครื่องใช้สำหรับพระมูลค่าประมาณ 1.5 ล้านบาท ไปมอบให้

       เมื่อไปเห็นสภาพแล้วรู้สึกสลดและสงสารพระและชาวบ้านมาก เพราะวัดสวนใหญ่ที่ถูกเผาอยู่ตามชนบท ซึ่งความเป็นอยู่ที่มีความขัดแย้งกันสภาพไม่ต่างจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นทำให้ขวัญกระเจิง

      "สิ่งที่ถูกทำลายส่วนใหญ่จะเป็นพระพุทธรูปและหนังสือทางพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธรูปจะทำด้วยปูนและไม้ถูกเผาทุบทำลายเกือบหมดดำเป็นตอตะโก รวมถึงพระพุทธรูปที่หล่อจากประเทศไทยด้วย"  ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา กล่าวและว่า

      อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลประเทศบังคลาเทศเองก็ได้จัดสรรงบประมาณสร้างอาคารแทนวัดที่ถูกเผาซึ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะว่ารัฐบาลประเทศบังคลาเทศปัจจุบันนี้ยึดหลักประชาธิปไตยไม่สนับสนุนความรุนแรง ประกอบกับสื่อมวลชนได้กระจายข่าวให้ชาวโลกให้ทราบด้วย





    สำหรับการช่วยเหลือของไทยคราวต่อไปนั้น พระเทพวิสุทธิกวี กล่าวว่า คงต้องให้กังลังใจพระชาวบังคลาเทศอย่างมากและช่วยเหลือในโอกาสต่อไป ขณะเดียวกันจะจัดหาพระพุทธรูปหน้าตัก 1 เมตร คาดว่าจะเปิดบริจาคหาทุนเช่าซื้อ ภายใต้การดำเนินการของศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแล้วทำพิธีก่อนที่จะจัดส่งไปให้

      ส่วนการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินททางไปเยือนประเทศบังคลาเทศระหว่างวันที่ 21-22 ธ.ค. ตามคำเชิญของนางชีค ฮาสินา (Sheikh Hasina) นายกรัฐมนตรีประเทศบังคลาเทศ  ในโอกาสเดินทางเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย สมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ 20-21 ธ.ค. ที่กรุงนิวเดลี ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการประชุมอาเซียน-อินเดียสมัยพิเศษนั้น

      พระเทพวิสุทธิกวี กล่าวว่า อยากฝากให้น.ส.ยิ่งลักษณ์กำชับนายกรัฐมนตรีประเทศบังคลาเทศการสนับสนุนการศึกษาพระพุทธศาสนาโดยส่งเสริมให้พระเดินทางมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ของไทยให้มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ขอให้ตัวของน.ส.ยิ่งลักษณ์เองหนักแน่นในหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา

 



กก.ยูจีซีประเทศบังคลาเทศเยี่ยม'มจร'

      ทั้งนี้เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา  คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ ยูจีซี จากประเทศบังคลาเทศจำนวน 5 รูป/คน นำโดย ศ. ดร. โมฮัมเหม็ด โมฮับเบ็ท คาน และหลวงพ่อชินะโพธิ ศ.ดร. ได้เข้าเยี่ยมมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เพื่อเยี่ยมชมรูปแบการเรียนการสอน ระเบียบการ การบริหารจัดการ ตลอดจนถึงพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อจะได้นำประสบการณ์ในครั้งนี้ ไปประยุกต์ใช้ในสร้างมหาวิทยาลัยพุทธ ในประเทศบังคลาเทศซึ่งมีแผนจะสร้างในเร็วๆนี้

     ในการเข้าเยี่ยมมหาวิทยาลัยครั้งนี้ มีพระมหาสุเทพ สุปณฺฑิโต ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ พร้อมด้วยผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และนักศึกษาชาวบังคลาเทศที่เรียนใน มจร ทำการต้อนรับ ณ ห้อง 303  อาคารอธิการบดี มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121220/147678/พระไทยสลดเยี่ยมวัดบังคลาเทศถูกเผา.html#.UNxZtqzjrRd
(หมายเหตุ : สามารถชมภาพเพิ่มเติมกว่า 100 ภาพทางเฟซบุ๊กได้ที่ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.188733997932335.46571.100003872097206&type=1&comment_id=711923¬if_t=photo_album_reply) 
22262  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สมเด็จพระสังฆราชฯ ประทานพระโอวาทวันขึ้นปีใหม่ 2556 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2012, 06:03:38 am


ขอบคุณภาพจาก http://www.dailynews.co.th/education/173568
22263  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมเด็จพระสังฆราชฯ ประทานพระโอวาทวันขึ้นปีใหม่ 2556 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2012, 05:58:17 am



สังฆราชขอคนไทยปรารถนาดีต่อกัน

สมเด็จพระสังฆราชฯ ประทานพระโอวาทวันขึ้นปีใหม่ 2556 ขอให้คนไทยกล่าวคำอวยพรแสดงความปรารถนาดีต่อกัน ส่งจิตใจไปจนถึงความสงบสุขของประเทศชาติ

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระโอวาทวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2556 ความว่า ขออำนวยพรสาธุชนทั้งหลาย ดิถีขึ้นปีใหม่ได้เวียนมาถึงอีกวาระหนึ่ง โดยพรที่ทุกคนปรารถนา น่าจะเป็นพรสี่ประการที่นิยมเรียกกันว่า จตุรพิธพร คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ซึ่งหมายถึง ความมีอายุยืน มีผิวพรรณผ่องใสงดงาม มีความสุขด้วยสมบัติ คือพรั่งพร้อมด้านต่างๆ และมีพละกำลัง ทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา กำลังทรัพย์ และกำลังพวกพ้อง

อันที่จริงการให้พรกันนั้น ย่อมเป็นที่ทราบกันว่า คือการให้ความมีมิตรจิตมิตรใจต่อกัน มิใช่ใครจะหยิบยื่นพรเหล่านี้ให้แก่กันได้เพียงแต่พูด หรือกล่าวคำอวยพรแก่กันเท่านั้น ฉะนั้นการให้พรกัน จึงหมายถึงการแสดงออกซึ่งความปรารถนาดีต่อกันทั้งสองฝ่าย ทั้งเป็นสิ่งที่เกื้อกูลให้เกิดพรทั้งสี่ได้จริง

ตรงกันข้าม การแสดงออกซึ่งความปรารถนาร้ายต่อกัน ย่อมเป็นเครื่องบั่นทอนพรต่างๆ มีอายุ เป็นต้น ซึ่งมิได้มีความหมายแต่อายุของชีวิตคน แต่รวมไปถึงอายุของกิจการ บ้านเมือง และประเทศชาติด้วย เพราะคนเรานั่นเองเป็นผู้ใส่ชีวิตจิตใจให้แก่กิจการ บ้านเมือง และประเทศชาติ ถ้าอายุของคนสั้น อายุของกิจการ บ้านเมือง ประเทศชาติก็สั้น ถ้าจิตใจของคนผ่องใสเป็นสุข จิตใจของกิจการ บ้านเมือง ประเทศชาติก็ผ่องใสเป็นสุข

ความขาดพรในใจ จึงหมายถึงขาดความปรารถนาดีต่อกัน ขาดความซื่อสัตย์ ความข่มใจ ความอดทน ความเสียสละ และความเคารพนับถือกัน ความขาดพรในใจต่อกัน จึงเป็นเหตุทำลายอายุ วรรณะ สุขะ พละ ไม่เฉพาะแต่ของคน แต่รวมไปถึงทำลายอายุ วรรณะ สุขะ พละ ของกิจการ บ้านเมือง และประเทศชาติด้วย

ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2556 นี้ จึงขออำนวยให้สาธุชนทั้งหลาย จึงมีพรและให้พรแก่กันและกัน เพื่อความเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ของสรรพชีวิต ตลอดถึงสรรพกิจการและชาติบ้านเมืองตลอดไป

ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121220/147684/สังฆราชขอคนไทยปรารถนาดีต่อกัน.html#.UNxW_qzjrRd
22264  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'นาซา' โพสต์คลิป 'ทำไมโลกไม่แตก' เมื่อ: ธันวาคม 21, 2012, 05:52:43 am



'นาซา' โพสต์คลิป 'ทำไมโลกไม่แตก'

'นาซา' รับโทรศัพท์-อีเมล สอบถามวันสิ้นโลก วันละ 200-300 สาย โพสต์คลิปทำความเข้าใจ ยันโลกไม่แตกแน่นอน

20 ธ.ค. 55  นาซา ระบุว่า ได้รับอีเมลและโทรศัพท์จำนวนมากจากประชาชน ที่อยากรู้ว่า โลกจะถึงกาลอวสานหรือไม่ในวันที่ 21 ธันวาคม ตามคำทำนายของชาวมายา ที่ระบุว่า โลกจะถึงวันดับสูญในวันที่ 21 ธันวาคม 2012

แม้ว่า เรื่องนี้จะมีต้นกำเนิดมาจากปฏิทินของชาวมายา แต่การที่ยุคนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะการมีอินเทอร์เน็ตและโซเชียล มีเดีย มันก็เลยเป็นตัวช่วยแพร่กระจายไปทั่ว ทำให้เกิดความวิตกและคำถามมากมายจากผู้คนจำนวนไม่น้อยทั่วโลก และแน่นอนว่า แหล่งที่จะให้คำตอบของพวกเขาได้ดีกว่าใครคือ นาซา

ดเวย์น บราวน์ โฆษกของนาซา บอกว่า ปกติแล้ว จะได้รับโทรศัพท์หรืออีเมลที่สอบถามเรื่องทั่วๆ ไป ประมาณ 90 ครั้ง แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนกลับพุ่งสูงอย่างน่าตกใจ เพราะแต่ละวันจะมีโทรศัพท์ไปสอบถามตั้งแต่ 200-300 คน

บราวน์ ยังกล่าวติดตลกด้วยว่า ถ้าจะถามว่า โลกจะแตกหรือไม่ จะต้องถามใคร ถ้าไม่ใช่นาซา ส่วนคำถามคาใจคนเหล่านี้ มีตั้งแต่ดาวเคราะห์จะพุ่งชนโลกจริงหรือไม่ , ดวงอาทิตย์จะระเบิดหรือไม่ , โลกจะมืดไป 3 วันจริงหรือ แต่ความคิดบางคนก็น่าขนลุก เช่น คิดจะทำร้ายตัวเอง จนนาซาต้องตัดสินใจว่า จะต้องทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่ออธิบายความจริงให้กับทุกๆ คน

ความพยายามนี้ ได้รวมถึงการโพสต์คลิปวิดีโอกึ่งสารคดีเรื่อง " Why the World Didn't End Yesterday " ทั้งในเว็บไซต์ของนาซาเองและในยูทูบ โดยมีเป้าหมายจะให้คนเข้าไปอ่านในวันที่ 22 ธันวาคม เพื่อทำความเข้าใจว่า เหตุใดโลกจึงไม่แตก แต่ก็มีคนเข้าไปดูอย่างเหนือความคาดหมาย เพราะกลัวว่า เดี๋ยวโลกแตกก่อนจะไม่ได้ดู ซึ่งคลิปวิดีโอนี้ มีความยาว 4 นาที

นาซา ระบุว่า ที่จริงอยากจะทำเรื่องแบบนี้ มา 2-3 ปีแล้ว ตั้งแต่เกิดแนวคิดเรื่องโลกจะแตก โดยเฉพาะตอนที่มีหนังเรื่อง 2012 ออกมา เมื่อปี 2552 เพื่อต้องการจะบอกว่า ยังไงโลกก็ไม่แตก และวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าต่อไป และวันที่ 21 ธันวาคม ก็เป็นอีกเป็นวันหนึ่งของปีเท่านั้นเอง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121220/147643/นาซาโพสต์คลิปทำไมโลกไม่แตก.html#.UNxVDazjrRd


!
เผยแพร่เมื่อ 11 ธ.ค. 2012 โดย ScienceAtNASA

NASA is so sure the world won't come to an end on Dec. 21, 2012, that they already released a video for the day after.

More questions about December 21, 2012? http://www.nasa.gov/2012/

Visit http://science.nasa.gov/science-news/science-at-nasa/2012/14dec_yesterday/ for more.

 
22265  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา-สถานทูตสหรัฐ ประจำกรุงเทพฯ ทำคลิปสวัสดีปีใหม่สุดน่ารัก เมื่อ: ธันวาคม 21, 2012, 05:44:05 am


ฮือฮา-สถานทูตสหรัฐ ประจำกรุงเทพฯ ทำคลิปสวัสดีปีใหม่สุดน่ารัก

หมายเหตุ :  คริสตี้ เคนนี่ย์​ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา และพนักงานสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย จัดทำและเผยแพร่คลิปส่งความสุขให้เพื่อนๆ ชาวไทยทุกคนในวันปีใหม 2556


!
เผยแพร่เมื่อ 17 ธ.ค. 2012 โดย USEmbassyBangkok
         
                   ท่านทูต คริสตี้ เคนนี่ย์​ และพนักงานสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
                   ขอส่งความสุขให้เพื่อนๆ ชาวไทยทุกคนในวันปีใหม่นี้ค่ะ
                   The U.S. Embassy in Thailand would like to wish you all a very happy new year!

                   [มีอะไรสนุกๆ ให้ชมหลังจบเพลงด้วยค่ะ]
                   [Please keep watching until the very end!]

                    Music: Ruen Rerng Ta-lerng Sok by Soontaraporn [Lyrics below]
                   เพลง: รื่นเริงเถลิงศก ของ คณะสุนทราภรณ์



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU5Ua3dOakE0TkE9PQ==&catid=
22266  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / MV ชวนกลับบ้านวันปีใหม่ จดหมายถึงพ่อ-เขียนฝันไว้ข้างฝา เมื่อ: ธันวาคม 21, 2012, 05:33:10 am

ภาพ "THE PLAIN AT AUVERS" วาดโดย "วินเซนต์ แวน โก๊ะ" (Vincent van Gogh)


MV ชวนกลับบ้านวันปีใหม่ จดหมายถึงพ่อ-เขียนฝันไว้ข้างฝา
คอลัมน์ “หนังช่างคิด” OLDBOY บางคูวัด sompratana08@yahoo.com
 
ผ่านเข้าสู่ครึ่งหลังของเดือนธันวาคม กลิ่นอายของการเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ รวมถึงบรรยากาศอันครึกครื้นรื่นเริง ก็ปกคลุมไปทุกหัวระแหง ไม่ว่าจะเป็นคอนเวนชั่นฮออล์สำหรับจัดงานเลี้ยงสุดหรู ภัตาคารลอยน้ำ ไปจนถึง ร้านหมูกระทะ ร้านลาบหน้าปั๊ม ริม 2 ข้างทางถนน (ส่วนสุดท้ายเห็นเขาว่าจะห้ามกินดื่มฉลองด้วยแอลกอฮอล์เสียแล้ว)

อย่าได้แปลกใจที่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ลูกจ้างจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดในเมื่อ จิตใจล่องลอยไปถึงความสุขที่กำลังเกิดขึ้นกับการเลี้ยงฉลอง  และวันหยุดยาว ธรรมเนียมฝรั่งทางตะวันตก เทศกาลคริสต์มาส คือช่วงเวลาสำหรับครอบครัวที่ได้หยุดงาน กลับไปเจอคนที่บ้าน ญาติมิตรให้พร้อมหน้าพร้อมตากันปีละครั้ง

เทศกาลปีใหม่ไทยร่วมสมัยก็ไม่แตกต่างกันนัก นอกจากจะเป็นเวลาที่ควรพักสมอง หยุดเถียงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ หยุดเกี่ยงกันว่าจะขึ้นค่าแรง 300 บาทยังไงดีแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่ “คนไกลบ้าน” ทั้งหลายวาดหวังเอาไว้ว่าจะได้กลับไปสังสรรค์ รื่นเริง กับ พ่อ-แม่-พี่-น้อง ที่บ้านเกิดในจังหวัดต่างๆ หลังจากที่ตลอดทั้งปี ต้องเดินทางมาหากิน ค้าขาย เป็นนักรบแรงงาน ในต่างบ้านต่างถิ่น ตามหัวเมืองใหญ่
   
คอลัมน์ส่งท้ายปีเลยอยากเชิญชวน “กลับบ้าน” ไปใช้ช่วงเวลาดีๆ กันอย่างมีความสุข และสวัสดิภาพ ผ่าน ภาพและเพลง จาก 2 ศิลปิน ที่ผมเชื่อว่าเปิดชมเปิดฟังครั้งใด “คนไกลบ้าน” ก็อาจแอบสะอื้น (อาจมีอีกหลายเพลงที่เป็นตัวแทนหรือทำหน้าที่ในทำนองนี้ แต่บังเอิญผู้เขียนอินกับ 2 เพลงนี้มากที่สุด)

เพลงแรกคือ “จดหมายถึงพ่อ” ของ อี๊ด ฟุตบาท เพลงเก่าที่เนื้อหามีกลิ่นอายบ้านทุ่ง เรือนน้อยนอกเขตเมือง กับท่วงทำนองกึ่งหวานกึ่งสนุก กระชับ กระฉับกระเฉง แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อฟัง “ความ” ที่สะท้อนวิถีชีวิตคนไทย ถ่ายทอดปัญหาแรงงานอพยพ ตลอดจนประเด็นที่ตัดแบ่งแย้งกันระหว่าง “จะมีบ้านโตมีรถโก้สง่า” กับ “จะเอาขี่หลังของพ่อคนเดียว” แล้ว ผมรู้สึกว่ามันทั้งใช่และชอบ ประทับใจ ได้อารมณ์ร่วมดีเหลือเกิน

ไม่ว่า “พ่อ” ในนิยามของเพลงจะหมายถึง นักรบแรงงาน นักแสวงโชคผู้อยากขยับสถานะหนีไปจากคำนำหน้าว่า “คนจน” หรือ “รากหญ้า” ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ผู้จากบ้านทิ้งครอบครัวในแดนไกลไปไปแขวนชีวิตเอาไว้กับพื้นที่ต่างถิ่น
   
เพลงที่สอง“เขียนฝันไว้ข้างฝา”ของรัชนก ศรีโลพันธุ์เพลงลูกทุ่งที่ฉายภาพอันแสนจะสามัญสำหรับเด็กสาวนับแสนนับล้านคนที่ต่างก็มีฝันและตะเกียกตะกายในเมืองใหญ่เพื่อจะไปให้ถึงฝันนั้น มีมากมายที่สะดุดล้ม หรือหลุดกระเด็นออกไปนอกเส้นทาง จมอยู่กับสภาวะที่ “เลือกไม่ได้” แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกันที่ยังพร้อมจะดิ้นรน ไขว่คว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา พร้อมที่จะลองสู้
   
หลายคนใช้เวลานานปีหลังจากวันที่ “จากบ้านวันฟ้ามัว มาขึ้นรถทัวร์ที่อำเภอ” กว่าที่จะเอื้อมเข้าไปใกล้ “ความสำเร็จ” และกลับไปบ้านอีกครั้งอย่างภาคภูมิใจ เพื่อไปเปลี่ยนภาพฝันให้กลายเป็นจริง
   
   ชมภาพจาก มิวสิค วิดีโอ พร้อมฟังเสียง เนื้อความจับใจจากทั้ง 2 เพลงนี้แล้ว
   “คนไกลบ้าน” น่าจะยิ่งเห็นคุณค่า-ความหมายในการเดินทางระหว่างวันหยุดยาวฉลองปีใหม่ 2556
   ขอให้ความความสุขกับช่วงเวลาดีๆ พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวและคนรอบข้างที่รักเรานะครับ




อัปโหลดเมื่อ 3 ก.ย. 2009 โดย Banthit Kp

จดหมายถึงพ่อ   
อี๊ด ฟุตบาท & ครอบครัว
           
อ่านคำบรรยาย จดหมายถึงพ่อ
หนูยังรอวันพ่อกลับมาบ้าน
กล้ามะละกอที่พ่อนั่งหว่าน.
ยังปลูกไม่นานลูกโตน่าดู.
กระถินริมรั้วสูงขึ้นเลยบ่า
พุ่มกระดังงาเลื้อยซุ้มประตู.
ทานตะวันชูคอชูช่อรออยู่
คงชะเง้อดูคอยพ่อกลับมา


แม่อธิบายที่พ่อไปทำงาน
เพื่อเงินเพื่อบ้าน และเพื่อลูกยา.
จะมีบ้านโตมีรถโก้สง่า
มีหน้ามีตาเหมือนดังใครๆ.
พ่อไปคราวนี้แม้จะยาวนาน
พวกเราทางบ้านเป็นกำลังใจ.
แต่บางคืนแม่สะอื้นร้องไห้
หนูแกล้งหลับไปสงสารแม่จัง.

ส่วนน้องหญิงยิ่งยามเย็นย่ำ
อ้อนประจำเหตุผลไม่ฟัง.
ไม่เอาบ้านโตไม่เอาทุกอย่าง
จะเอาขี่หลังของพ่อคนเดียว.


กระถินริมรั้วสูงขึ้นเลยบ่า
พุ่มกระดังงาเลื้อยซุ้มประตู
ทานตะวันชูคอชูช่อรออยู่
คงชะเง้อดูคอยพ่อกลับมา

สุดท้ายนี้ขออวยพรให้
พ่ออยู่แดนไกลมีใจเด็ดเดี่ยว.
ขอพระคุ้มครองยามใจห่อเหี่ยว
ปกป้องแลเหลียวร่ำรวยกลับมา.


กระถินริมรั้วสูงขึ้นเลยบ่า
พุ่ม กระดังงาเลื้อยซุ้มประตู
ทานตะวันชูคอ ชูช่อรออยู่
คงชะเง้อดูคอยพ่อกลับมา.
กระถินริมรั้วสูงขึ้นเลยบ่า
พุ่ม กระดังงาเลื้อยซุ้มประตู
ทานตะวันชูคอ ชูช่อรออยู่
คงชะเง้อดูคอยพ่อกลับมา……………#



อัปโหลดเมื่อ 2 มี.ค. 2009 โดย beereena

เขียนไว้ข้างฝา
รัชนก  ศรีโลพันธุ์

เขียนติดฝาห้องว่าต้องสู้ไหว
ลูกต้องทำให้ได้ เคยบอกแม่ไว้จำได้เสมอ
จากบ้านวันฟ้ามัว มาขึ้นรถทัวร์ที่อำเภอ
หอบฝันเปื้อนน้ำตาเอ่อ...เข้าเมืองเสี่ยงดวงเดียวดาย


งานแลกรายได้ที่ใจเสาะหา
ไม่ตรงที่เรียนมาก็ต้องรีบคว้ารอท่าไม่ไหว
เช่าห้องโทรมซุกนอนเพื่อลดทอนรายจ่าย
จะเก็บเงินพันซักใบต้องใช้เวลาหลายเดือน

หลังคาเรือนรูรั่วข้างหัวเตียงแม่
จักรยานอีแก่ที่พ่อปั่นยี่ห้อลบเลือน
น้องอ้อนวอนขออยากมีเสื้อใหม่เหมือนเพื่อน
ภาพหวังค้างจ่ายย้ำเตือนฝันไม่เลือนแต่คงต้องรอ


*เขียนคำห้ามท้อไว้เตือนใจฝัน
สายเลือดความมุ่งมั่น...จากแม่นั้นยังมีมากพอ
ลูกแม่ยังสู้ไหว...แม้เมืองไกลใจร้ายต่อ
ความฝันที่เราเฝ้ารอ...ลูกขอทยอยส่งคืน..................#

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355929077&grpid=01&catid=&subcatid=
22267  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เราทำบุญ เพื่ออะไรกัน จะต้องทำกันไปอีกกี่ครั้ง เมื่อ: ธันวาคม 20, 2012, 11:12:27 am
ขอบคุณภาพจาก http://www.rd1677.com/branch.php?id=73331
   
   คุณเสริมสุขกำลังท้อ ศรัทธาที่มีอยู่เริ่มหดตัว สำหรับปุถุชนแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องปรกติ
   เนื่องจากอินทรีย์ของคุณเสริมสุขยังไม่แก่กล้า ขอให้พิจารณา ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

   ทั้งห้าข้อนี้คุณบกพร่องตรงไหน.?
   ตอนนี้ศรัทธาอ่อนตัวมาก อินทรีย์ห้าเป็นข้อธรรมที่สนับสนุนซึ่งกันและกันดั่งวงล้อ
   เบื้องต้นให้เรียกสติ เพื่อสร้างสมาธิขึ้นมาให้ได้
   ในสมาธิมีปิติ(อิ่มใจ)อยู่ หากคุณมีสมาธิระดับหนึ่ง ปิติก็จะเกิดขึ้น
   ปิติเป็นเหมือนอาหารหล่อเลี้ยงของนักปฏิบัติธรรม ทำให้มีกำลังใจที่จะปฏิบัติต่อไป


   ในกรรมฐานมัชฌิมาฯ ในห้องพุทธานุสติ มีการฝึกพระธรรมปิติ
   ผู้ฝึกจะรับรู้ได้ทางกายภาพ เช่น  การกระเพื่อม ร้อนเย็น ตัวเบา ตัวหมุน เป็นโพลง
   การเกิดลักษณะเหล่านี้ ทำให้รู้สึกอิ่มใจ มีกำลังใจ มีศรัทธาที่จะปฏิบัติต่อไป

   ทาน ศีล ภาวนา ต้องทำต่อเนื่อง
   ทานที่คุณเสริมสุข ชอบทำ ก็ขอให้ทำ ให้สม่ำเสมอ
   ศีลที่มีอยู่ให้พิจารณาว่า ด่าง พร้อย หรือขาดหรือไม่
   การหวังผลในบุญใดๆ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพียงแต่ต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า
   เหตุและปัจจัยมันเกิดขึ้นหรือยัง เราได้สร้างเหตุและปัจจัยมากพอแล้วหรือยัง
   และที่สำคัญ สิ่งที่มุ่งหวังมันเกินกำลังของเราหรือไม่

   
   จิตต้องปภัสสร หลีกเลี่ยงการคลุกคลีในหมู่คณะ
   ควรหาโอกาสปลีกวิเวก เพื่อทำจิตให้ห่างจากอกุศล ทำให้จิตบริสุทธิ์ชั่วคราว(ปภัสสร)
   และใช้โอกาสนี้ภาวนา อบรมอินทรีย์ให้แก่กล้า


   สร้างวิหารธรรมโดยการสวดคาถาพญาไก่เถื่อน
   หากยามใดจิตตก หมดกำลังใจ โกรธ หรืออยู่ในอารมณ์ฝ่ายอกุศล
   ขอให้ท่องคาถานี้ เพื่อให้จิตได้มีหลักไว้ยึดเกาะ


   ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาแล้ว ล้วนเป็นการสร้างบุญทั้งทางตรงและทางอ้อม
   ขอให้ใช้สติรักษาจิตให้ยึดติดกับกุศล สร้างทานศีลภาวนาให้ต่อเนื่อง
   อย่าได้หมิ่นบุญน้อยว่า จะมาไม่ถึง ในเบื้องต้นขอให้ระลึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า

   "บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญเล็กน้อยว่าจะไม่มาถึง  แม้หม้อน้ำก็ยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมาฉันใด 
    ผู้ฉลาดเมื่อสะสมบุญแม้ทีละน้อยทีละน้อย  ก็ย่อมเต็มด้วยบุญฉะนั้น"


    คุยเป็นเพื่อนเท่านี้ครับ

     :25:
22268  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / 12,960 วินาที ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ในแดนพุทธภูมิ เมื่อ: ธันวาคม 20, 2012, 10:10:11 am

12,960 วินาที ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ในแดนพุทธภูมิ
คอลัมน์ บันทึกเดินทาง โดย สักกะ โพธิ  (มติชนรายวัน 18 ต.ค.2555)

ผมเองเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยนับถือศาสนาพุทธแค่ในทะเบียนบ้าน เพิ่งตั้งใจศึกษาและเข้าใจพระธรรมก็เมื่ออายุมากแล้ว เคยบวช (ตามประเพณี) เมื่ออายุ 20 ต้นๆ พอสึกออกมาแล้วเหมือนไม่ได้อะไรติดตัวมาสักอย่าง กระทั่งได้บริจาคโลหิตที่สภากาชาดไทย ส่งผลให้มีดวงตาเห็นธรรมกับเขาบ้าง

จะเรียกว่าเพราะความลงตัวหรือเปล่าไม่รู้ ที่อยู่ๆ มีผู้ใหญ่ใจดีหลายคนให้การสนับสนุน และเป็นโยมอุปัฏฐาก ได้ทำตามความตั้งใจ ไปบวชที่วัดไทยพุทธคยา สถานที่ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้

หลังจากลาบวชเป็นที่เรียบร้อย เฝ้าสวดมนต์เตรียมตัวอยู่เกือบ 1 เดือน วันแห่งการรอคอยก็มาถึง

วันที่ 2 มีนาคม 2555 ออกเดินทางเพียงลำพังจากประเทศไทย จากสนามบินสุวรรณภูมิใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็มาถึงสนามบินคยา ผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองด้วยอาการหวั่นๆ ว่าจะผ่านหรือเปล่า เพราะพกเงินที่เพื่อนพ้องน้องพี่ฝากทำบุญเป็นจำนวนมาก ทั้งเงินไทย เงินดอลลาร์ ตรวจอยู่ 20 นาทีผ่าน...โล่ง หลังจากนั้นมีรถของทางวัดไทยพุทธคยามารับ เดินทางเพียง 25 นาทีก็ถึงวัด

มีเวลาเดินสำรวจสถานที่อยู่ประมาณครึ่งวัน เพื่อรอเวลาเข้าร่วมพิธีบวชพร้อมกับคณะกลุ่มนายทหารนายตำรวจซึ่งจะเดินทางมาถึงในช่วงเย็น

กว่าทุกอย่างพร้อมปาเข้าไปประมาณ 2 ทุ่ม โดย *พระราชรัตนรังษี* หัวหน้าพระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล โกนศีรษะให้ และมีคุณสมพร เทพสิธา อดีตรองประธานสภาสังคมสงเคราะห์ ซึ่งตามมาบวชให้ลูกชาย กรุณาเป็นโยมพ่อให้ผม ท่ามกลางอุณหภูมิ 10 องศา


ผ่านไปครึ่งชั่วโมง โกนหัวเสร็จ แต่งชุดขาว เตรียมตัวซ้อมขานนาค และเตรียมตัวบวชเณรใต้ต้นโพธิ์ ขณะที่เวลาล่วงเลยกว่า 2 ทุ่ม อากาศรอบกายค่อยๆ ลดลงอีกทำให้กายผมเริ่มสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้


ภายในอุโบสถวัดไทยพุทธคยา

ตอนนี้ได้มานั่งอยู่ใกล้ๆ กับพระแท่นวัชรอาสนพุทธบัลลังก์ และพระพุทธเมตตา ห่างประมาณไม่ถึง 10 เมตร ถึงเวลาขานนาค ความตื่นเต้นทำให้ลืมบทขานนาคเกือบหมด พระคู่สวดต้องบอกนำให้ เมื่อถึงตอนครองจีวร ห่มเป็นเณรเกิดความปีติจนน้ำตาไหล ใต้ผ้าจีวรรู้สึกความหนาวหายไปหมดสิ้น

เสร็จพิธีบวชเณร ครองจีวร มันคอยจะหลุดอยู่ตลอดเวลา ต้องคอยระวัง จนกลายเป็นวิตกกังวล กลับกุฏิภายในวัดไทยพุทธคยา นอนไม่ค่อยหลับ ตื่นเต้น ตื่นมาตี 5 รีบไปหาพระพี่เลี้ยงช่วยครองจีวรให้ เพื่อเตรียมตัวบวชเป็นพระ ในตอนเช้าของวันที่ 4 มีนาคม

เข้าโบสถ์ ทำพิธีบวชเป็นพระ พอมาถึงตอนถวายผ้าไตรจีวรแด่พระราชรัตนรังษี เป็นพระอุปัชฌาย์ นั่งขนาบด้วย *พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)* เจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด วัดด่านใน (พระกรรมวาจาจารย์) *พระเมธีวรญาณ* ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ (พระอนุสาวนาจารณ์)

ช่วงเวลาที่พระราชรัตนรังษีชักอังสะออกจากไตรมาสวมให้ผู้เขียน รู้สึกหัวใจเต้นแรง ทำให้นึกถึงพ่อ-แม่ และผู้มีพระคุณขึ้นมาทันที ที่ได้บวชเป็นพระได้สำเร็จ

บวชเป็นพระเพียง 1 วันก็ได้ร่วมคณะทัวร์ไปสังเวชนียสถานอีกสามแห่งคือไปที่ *สารนาถ* สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือ ประกาศพระสัจธรรมเป็นครั้งแรก เมืองปาวา เป็นที่ตั้งของ *สาลวโนทยาน* หรือป่าไม้สาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานและเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า และต่อไปยัง *ลุมพินีสถาน* เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่อำเภอไภรวา แคว้นอูธ ประเทศเนปาล

หากเป็นฆราวาสร่วมทัวร์คงไม่มีปัญหาอะไรมากมาย แต่นี้เป็นพระ ดูจะกังวลไปหมด เดินทางไปที่สถานที่สามแห่ง ใช้ระยะเวลายาวนานหลายวันอยู่บนรถบัส มากกว่าอยู่วัด บางเวลาต้องฉันอาหารในบาตรบนรถ ต้องมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เพราะเคร่ง แต่ต้องห่มผ้าจีวรที่จะหลุดอยู่ตลอดเวลา

ที่เป็นอุปสรรคคืออากาศหนาว แล้วยังมียุง ที่ไม่สนใจว่าอากาศจะหนาวแค่ไหนกัดอย่างเดียว เวลาปวดเบา ปวดหนัก ต้องไปปลดทุกตามป่าข้างทาง โอ้โห สุดยอด


พระอุโบสถวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์

จำพรรษาวัดที่สอง ที่ "วัดไทยกุสินาราเฉลิมราษฎร์" ได้ทำกิจวัตรของพระหลายข้อ เช่น ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น รักษาผ้าครอง รู้สึกได้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการบวชเป็นพระ ตื่นตีห้า หกโมงเช้าทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น 19.00 น. เป็นช่วงเวลาที่มีอากาศค่อนข้างหนาว ขนาดพูดควันออกปาก อยู่ที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราษฎร์หลายวัน ด้วยถูกกำหนดด้วยตั๋วเดินทาง ต้องกลับประเทศไทย วันที่ 20 มีนาคม

วันที่ 18 มีนาคม ออกเดินจากวัดไทยกุสินาราเฉลิมราษฎร์ไปยังวัดไทยพุทธคยาอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะต้องไปนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ให้ได้ก่อนกลับประเทศไทย มีเวลา 2 คืน คือ 18-19 มีนาคม

ทันทีที่เดินทางไปยังพระมหาโพธิเจดีย์ จองตั๋วเพื่อเข้าไปนั่งหลัง เวลา 21.00 น. ถึงตอนเช้า 06.00 น. เรียกว่านั่งสมาธิกันข้ามคืนข้ามวันกัน

วันแรกหลังเวลา 21.00 น. ไปด้วยความมั่นใจมาก ไม่มีกลด หรือยาทากันยุงใดๆ ทั้งสิ้น ไปนั่งข้างต้นโพธิ์ห่างแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับนั่งของพระมหาบุรุษ ผู้ทรงมีใจเข้มแข็ง ประดุจเพชร 4-5 เมตร ใต้ต้นโพธิ์หน่อที่ 4

     ปรากฏว่านั่งสมาธิได้ประมาณ 5 นาที มารฝูงใหญ่พากันมากัดทั่วสรรพางค์กาย
     เว้นตรงที่ครองจีวร เป็นอันว่าคืนแรกปฏิบัติการไม่สำเร็จตามที่ต้องการ


คืนที่สองลองใหม่ เตรียมตัวไปอย่างดี มีเกราะกันมาร เอ๊ย ยุง เป็นกลดรุ่นใหม่ทรงสี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะ ของวัดครับยืมมา นั่งรอเวลา 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม ถึงตีหนึ่ง เริ่มนั่งสมาธิกะได้แน่ เพราะปลอดมาร คือยุง นั่งไปสัก 5 นาที เจอมารตัวใหม่ สุนัขอินเดียขนานแท้ ใต้ต้นโพธิ์ต้นหน่อที่ห้า เห่าอยู่ข้างหูห่างหนึ่งเมตร ภาวนาเสียงหนอๆๆๆๆ

10 นาทีผ่านไป จิตเริ่มสงบนิ่ง รู้ว่ามีเสียงเห่า แต่ไม่เกิดความรำคาญ เป็นสภาวะที่จิตเข้าถึงความสงบ พูดแล้วเหมือนอวดอุตริ แต่เป็นเรื่องจริงเจอกับผู้เขียนจริง ในสภาวะที่จิตสงบ อยากจะนั่งใต้ต้นโพธิ์อีกเพื่อให้ได้สมาธิเพื่อให้จิตรวมน่าเสียดายต้องกลับประเทศไทยแล้ว

ผู้เขียนออกจากประเทศอินเดียด้วยใจระทึก ตรงด่านตรวจคนเข้าเมือง ตรวจละเอียดมาก ผู้เขียนเองถูกใส่ข้อมูลมาตลอดระหว่างที่อยู่ที่ประเทศอินเดียว่าการบวชจากประเทศอินเดียแล้วจะกลับประเทศไทยนั้น สถานภาพเปลี่ยนไปจากเดิม จะทำให้ออกจากประเทศอินเดียไม่ได้ ตอนเข้าประเทศไทยไปอินเดียเป็นฆราวาส แต่ตอนออกบวชเป็นพระ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้เขียนเตรียมรูปภาพ ตอนบวชไว้หากเจอปัญหาก็จะแสดง แต่ก็โล่งอกผ่านตลอด


พระศรีสรรเพชญ พระประธานในพระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

ผู้เขียนลาสิกขาที่ทำงานไว้ 1 เดือนยังไม่ครบ เหลืออีก 10 วัน และต้องการบวชเป็นพระกลับมาที่ประเทศไทย มาจำพรรษาต่อที่วัดมหาธาตุฯท่าพระจันทร์ ที่คณะ 8 เพื่อให้ญาติพี่น้อง เพื่อนพี่น้อง ได้มาทำบุญ     
     ก่อนที่จะสึก มาอยู่ที่วัดมหาธาตุฯได้เห็นอะไรหลายอย่าง
     พระที่จำพรรษาอยู่ใจกลางผู้คนที่พลุกพล่านมันเป็นเรื่องยากสำหรับการปฏิบัติธรรม
     ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอ กิจวัตรท่ามกลางอากาศร้อน ตรงกันข้ามกับประเทศอินเดีย


มาอยู่ที่ประเทศไทยได้ทำกิจวัตรหลายอย่างเพิ่มขึ้น เช่นตื่นตีห้าครึ่งบิณฑบาต 06.00 น. สร้างสมาธิได้อย่างดี ต้องระวังไม่ให้ฝาบาตรหล่น เดินสำรวมระยะสามก้าว ระยะเส้นทางครึ่งกิโลเมตร แต่ก็ไม่วายถูกเศษแก้วตำเท้า มาจำพรรษาที่คณะ 8 มีเวลาอ่านหนังสือมากมายหลายเล่ม โดยเฉพาะหนังสือธรรมะ

สรุปว่าการบวชแค่ 1 เดือนยังไม่ได้อะไรเลย ต้อง 1-2 พรรษา เพศบรรพชิตจบลงด้วยความอาลัย มีเจ้าประคุณพระธรรมสุธี อธิบดีสงฆ์ วัดมหาธาตุฯ (ท่าพระจันทร์) ให้ความกรุณาทำพิธีสึกให้ พอถึงวินาทีสุดท้ายดึงสังฆาฏิออกจากบ่า จิตใจอาวรณ์ไม่อยากออกจากผ้าเหลือง เกือบกั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

ผมบวชหนนี้ถ้าไม่ได้บุคคลเหล่านี้ทั้งพระ ฆราวาส ให้ความอุปถัมภ์ คงบวชไม่ได้ อย่างคุณนายชัชชัย สุเมธโชติเมธา กรรมการผูัจัดการ บริษัท สากล เอนเนอยี จำกัด คุณอ๊อด สุภชัย วีระภุชงค์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด และพระราชรัตนรังษี พระมหาโกวิท และพระเมธีวรญาณ เป็นพระเถระที่อุปสมบทพวกกระผมมา ทำให้พวกกระผม ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศอินเดียมากขึ้น

     "บวชที่ไหนก็ได้ แต่บวชที่ประเทศอินเดีย เหมือนอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า"


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1350729027&grpid=03&catid=&subcatid=
http://www.thongthailand.com/,http://www.watthaikusinara-th.org/,http://www.mahathatde.com/
22269  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ตามรอยพระอริยสงฆ์ (1) เมื่อ: ธันวาคม 20, 2012, 09:42:29 am


ตามรอยพระอริยสงฆ์ (1)

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ 7 มีนาคม 2555 อันเป็นวันมาฆบูชาในปีที่ 2600 ที่พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ นับเป็นวันสำคัญยิ่งอีกวาระหนึ่ง ผมจึงขอหยุดนำเสนอเรื่องพระคุณ ธ รักษาไว้สัก 2 ตอน เพื่อมานำเสนอเรื่องตามรอยพระอริยสงฆ์ในตอนนี้ และตอนหน้า

ผมโชคดีที่มีโอกาสได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร หรือพระธรรมมงคลญาณ พระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนาในปัจจุบัน

ที่ว่าโชคดีก็เพราะได้มีโอกาสศึกษาประวัติชีวิตของท่าน และได้คติดี ๆ หลายประการมาใช้ในชีวิตของเราต่อไปประการหนึ่ง ทั้งยังได้ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของท่านโดยเฉพาะในหลักสูตรครูสมาธิอีกประการหนึ่ง

พระอาจารย์หลวงพ่อมีประวัติที่น่าสนใจหลายประการ ใครสนใจควรไปหาหนังสือ “อัตชีวประวัติพระเทพเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร)” ซึ่งพิมพ์มาแล้ว 4 ครั้ง มาอ่านก็จะได้ทั้งธรรมะและความบันเทิงควบคู่ไป เพราะพระอาจารย์หลวงพ่อเขียนเล่าประวัติชีวิตของท่านอย่างสนุกสนาน อ่านเพลินจนวางไม่ลง

พระอาจารย์เกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2463 ปัจจุบันท่านมีอายุ 92 ปี และบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ 22 พฤษภาคม 2478 ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ 20 พฤษภาคม 2484 ถ้านับพรรษาก็ได้ 71 พรรษา แต่ถ้านับแต่บวชเณรก็ได้ 77 พรรษา

หลวงพ่อวิริยังค์เป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ และต่อมาได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอริยสงฆ์อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระของภาคอีสาน ได้รับเมตตาและความไว้วางใจจากพระอาจารย์มั่นให้เป็นพระอุปัฏฐากของพระอาจารย์มั่นเมื่ออายุ 22 ปี ในปี 2484 จนกระทั่งพระอาจารย์มั่นมรณภาพ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2492

พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์จึงนับเป็นศิษย์เอกของพระอาจารย์หลวงปู่มั่นเหมือน ๆ กับพระอริยสงฆ์อื่น ๆ อีกหลายรูป อาทิ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน (พระธรรมวิสุทธิมงคล) พระอาจารย์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (พระราชนิโรธรังสี) หลวงปู่ชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถระ) หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ฯลฯ

 

สำหรับผม การศึกษาประวัติของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ ทำให้ผมได้คติหลายอย่างที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะวัตรปฏิบัติซึ่งแสดงธรรมะที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยึดถือมาตลอดชีวิต
 
ธรรมะข้อแรกที่ผมได้จากการศึกษาประวัติท่านคือ “สัจจะ” ซึ่งท่านตั้งจิตอธิษฐานเมื่อครั้งเป็นเด็กและเป็นอัมพาตว่า ถ้าใครมารักษาให้หาย ท่านก็ จะอุทิศชีวิตนี้ให้พระพุทธศาสนา เมื่อชีผ้าขาวรักษาท่านหาย ท่านก็รักษาสัจจะมาจนทุกวันนี้

“วิริยะ” หรือความเพียรเหมือนชื่อของท่านก็เป็นธรรมะอีกข้อที่ผมได้จากอัตชีวประวัติท่าน ผมไม่เคยนึกว่าคนเราจะสามารถ ไม่นอนได้ถึง 3 ปี แต่พระอาจารย์หลวงพ่อก็ตั้งสัจจะอธิษฐานเอาชีวิตเข้าแลก เหมือนที่พระพุทธองค์ทรงตั้งสัตยาธิษฐานก่อนตรัสรู้ ที่ท่านทำได้ก็เพราะ “ศรัทธา” ที่มีต่อพระพุทธองค์ และพระศาสนานั้นเอง

“เมตตา” เป็นธรรมะอีกข้อหนึ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อปฏิบัติมานาน ใครได้เคยเข้าใกล้ท่านก็จะรู้สึกได้ถึง “พลังความเย็นใจ เย็นกาย” ที่ได้ใกล้ชิดท่าน และด้วยเมตตานี่เองที่ทำให้ท่านทำงานหนักเพื่อช่วยชาวโลกทั้งหลายตามพระพุทโธบาย เมื่อ 2600 ปีที่แล้ว

    “จรถ ภิกฺขเว จาริกัง พหุชนะ หิตายะ พหุชนะ สุขายะ โลกานุกัมปายะ”
    คือ พระอาจารย์ทำงานเพื่อประโยชน์และความสุขของคนทั้งปวงนั้นเอง

“จักขุมา” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า “vision” ซึ่งแปลว่า วิสัยทัศน์ ที่พระอาจารย์หลวงพ่อเห็นว่าการเผยแผ่ธรรมะโดยเฉพาะสมาธิตามหลักพระพุทธศาสนานั้นทำแต่ในประเทศไม่พอ ต้องเผยแผ่ไปให้ชาวต่างประเทศปฏิบัติด้วย เป็นเหตุให้พระอาจารย์หลวงพ่อลงมือศึกษาภาษาอังกฤษเมื่ออายุ 79 ปี และไปเปิดสอนสมาธิที่แคนาดาจนบัดนี้มีสาขาถึงเกือบ 10 แห่ง มีลูกศิษย์นับเป็นหลายพันคน


   
   สมคำพยากรณ์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตที่ว่า
“ถ้าวิริยังค์เข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วก็เหมือนกับไก่ป่าเป็นไก่บ้าน ขันจ้านทั่วเมือง คำเฮืองทั่วจักรวาลทั้ง 4”
   คือโด่งดังไปทั้งประเทศ และทั่วโลก!
   พระอาจารย์หลวงพ่อทำให้ผมรู้ว่าการศึกษาไม่จำกัดอายุ ถ้าท่านเรียนภาษาอังกฤษเมื่ออายุ 79 ปีได้
   แล้วเรา-ท่านอายุน้อยกว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อมากมายทำไมจะทำตามท่านไม่ได้!

ความจริง ธรรมะที่ได้จากการศึกษาประวัติของท่านยังมีอีกมากและ ใครเรียนหลักสูตรครูสมาธิกับสถาบันพลังจิตตานุภาพ ก็จะได้ฟังพระอาจารย์หลวงพ่อเล่าด้วยตัวท่านเอง ผมได้เรียนหลักสูตรนี้เมื่อปีที่แล้ว และตั้งตารอคอยวันนี้ คือวันที่นักศึกษากว่า 2,500 คน ที่ศึกษาหลักสูตรครูสมาธิและหลักสูตรวิทันตสาสมาธิสำหรับผู้บริหาร รุ่น 1 ของสถาบันพระปกเกล้า จะได้ธุดงค์ตามพระอาจารย์หลวงพ่อขึ้นดอยอินทนนท์ ตั้งแต่วันที่ 8-11 มีนาคม 2555

คราวหน้า ผมจะมาเล่าประสบการณ์ธุดงค์ขึ้นดอยอินทนนท์ตามพระอาจารย์หลวงพ่อให้ฟัง แต่วันนี้ขอประชาสัมพันธ์ว่า หลักสูตรวิทันตสาสมาธิสำหรับผู้บริหาร รุ่น 2 ของพระอาจารย์หลวงพ่อกำลังเปิดรับสมัครที่สถาบันพระปกเกล้า จนถึงวันที่ 16 มีนาคม 2555 และเปิดเรียนวันที่ 26 มีนาคม 2555 ใครอยากตามรอยพระอริยสงฆ์ธุดงค์ขึ้นดอยอินทนนท์ปีหน้า ต้องรีบสมัครเพราะรับจำนวนจำกัดครับ!.



ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.dailynews.co.th/article/351/15853
http://www.dhammada.net/
22270  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผู้แทน 'มจร' ร่วมพิธีเปิด "วิทยาลัยสงฆ์มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน" เมื่อ: ธันวาคม 20, 2012, 09:25:32 am


ผู้แทน 'มจร' ร่วมพิธีเปิดวิทยาลัยสงฆ์มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
     
     18 ธ.ค.2555 คณะผู้แทนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาชัย (มจร) 
     นำโดยพระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ (ไสว) รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ
     พร้อมด้วยพระมหาไพรัชน์ ธมฺมทีโป ผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี ได้เข้าร่วมพิธีเปิด
     วิทยาลัยสงฆ์มณฑลกวางตุ้ง ณ วัดกวงเซี่ยว เมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
     ซึ่งมีประธานพุทธสมาคมมณฑลกวางตุ้งเป็นประธานสงฆ์มีผู้ว่าการเมืองกว่างโจวเป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์


      นอกจากนั้น ยังได้ร่วมพิธีสวดมนต์เป็นอนุสรณ์ถวาย
      พระธรรมาจารย์เว่ยหล่าง วิปัสสนาเซนที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ได้ร่วมสัมมนาวิชาการนานาชาติ
      และได้ร่วมพิธีเปิดอุทยานพระโพธิสัตว์กวนอิน ณ เมืองโฝวซาน (Foshan City) อีกด้วย 
      ทั้งนี้โดยการอาราธนาของพุทธสมาคมมณฑลกว่างตุ้ง





ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121218/147521/มจรร่วมพิธีเปิดวิทยาลัยสงฆ์กวางตุ้ง.html#.UNJ1pazjrRd
22271  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ทำไม พระอาจารย์จึงไม่ค่อยสอน ลูกศิษย์ หรือ แนะนำกรรมฐาน เมื่อ: ธันวาคม 20, 2012, 09:06:27 am



"กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์"...พุทธวจนะ

กัลยาณมิตรธรรม 7 (องค์คุณของกัลยาณมิตร, คุณสมบัติของมิตรดีหรือมิตรแท้ คือท่านที่คบหรือเข้าหาแล้วจะเป็นเหตุให้เกิดความดีงามและความเจริญ ในที่นี้มุ่งเอามิตรประเภทครูหรือพี่เลี้ยงเป็นสำคัญ)

       1. ปิโย (น่ารัก ในฐานเป็นที่สบายใจและสนิทสนม ชวนให้อยากเข้าไปปรึกษา ไต่ถาม)
       2. ครุ (น่าเคารพ ในฐานประพฤติสมควรแก่ฐานะ ให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นที่พึ่งใจ และปลอดภัย)
       3. ภาวนีโย (น่าเจริญใจ หรือน่ายกย่อง ในฐานทรงคุณ คือ ความรู้และภูมิปัญญาแท้จริง ทั้งเป็นผู้ฝึกอบรมและปรับปรุงตนอยู่เสมอ ควรเอาอย่าง ทำให้ระลึกและเอ่ยอ้างด้วยซาบซึ้งภูมิใจ)
       4. วตฺตา จ (รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้าใจ รู้ว่าเมื่อไรควรพูดอะไรอย่างไร คอยให้คำแนะนำว่ากล่าวตักเตือน เป็นที่ปรึกษาที่ดี)
       5. วจนกฺขโม (อดทนต่อถ้อยคำ คือ พร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษาซักถามคำเสนอแนะวิพากษ์วิจารณ์ อดทน ฟังได้ไม่เบื่อ ไม่ฉุนเฉียว)
       6. คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา (แถลงเรื่องล้ำลึกได้ สามารถอธิบายเรื่องยุ่งยากซับซ้อน ให้เข้าใจ และให้เรียนรู้เรื่องราวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป)
       7. โน จฏฺฐาเน นิโยชเย (ไม่ชักนำในอฐาน คือ ไม่แนะนำในเรื่องเหลวไหล หรือชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย)


อ้างอิง : องฺ.สตฺตก. 23/34/33.
ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภุณรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


   
     คุณ montra ครับ ขอให้พิจารณา "กัลยาณมิตรธรรม 7"  ข้อธรรมนี้เป็นบรรทัดฐานทั่วไปที่ใช้วัดความเป็นครูอาจารย์ได้ ผมเป็นศิษย์อุปฐากท่าน แน่นอนต้องใกล้ชิดท่านระดับหนึ่ง ขอยืนยันว่า ท่านมีกัลยาณธรรมครบทั้ง ๗ ข้อ กล่าวโดยย่อ คือ
                    1. น่ารัก       
                    2. น่าเคารพ     
                    3. น่าเทิดทูน
                    4. ฉลาดพูดแนะนำตักเตือน         
                    5. อดทนต่อถ้อยคำ         
                    6. แถลงเรื่องที่ลึกล้ำได้
                    7. ไม่ชักนำไปในสิ่งที่เสื่อม

     :25: :25: :25:
22272  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: มีหลายท่าน กล่าวว่า ในครั้งพุทธกาล ไม่มีตำราจริงหรือไม่ คะ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2012, 12:18:22 pm
มีหลายท่าน กล่าวว่า ในครั้งพุทธกาล ไม่มีตำราจริงหรือไม่ คะ
 คือมีหลายคน มักกล่าวให้ฟัง ในครั้งพระพุทธเจ้ามีชีิวิตอยู่นั้น ไม่มีตำราธรรมะ หรือวินัย จริงหรือไม่คะ

 ขอบคุณมากคะ :c017:


     
      หากตั้งคำถามว่า ในสมัยพุทธกาลมีตำรา(คำสอนของพระพุทธเจ้า)หรือไม่.?
      ตอบว่า มี แต่อยู่ในรูปของการท่องจำ ไม่มีหลักฐานว่า ได้มีการบันทึกลงบนวัสดุใดๆ

       
      ถามว่า ทำไมต้องท่องจำ สมัยนั้นไม่มีตัวอักษร ไม่มีเครื่องมือและวัสดุบันทึกหรือไง.?
      ตอบว่า มีตัวอักษร มีเครื่องมือและวัสดุที่ใช้บันทึกได้
      แต่ด้วยทำเนียมปฏิบัติในสมัยนั้น การจดจำคำสอนหรือสาระใดที่สำคัญ นิยมท่องจำ
      การถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ต้องนับถือกันเป็นศิษย์อาจารย์ ไม่ยอมที่จะให้เผยแพร่ให้คนนอกได้รับรู้
      อาจจะเรียกว่า หวงวิชาก็ได้ เพราะหากมีการบันทึกเป็นเล่ม บันทึกนั้นอาจถูกลักขโมยได้

      เหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ต้องใช้วิธีท่องจำ ก็เพราะในสมัยนั้นเทคนิคการพิมพ์ยังไม่เกิด ยังไม่มีแม่พิมพ์
      การทำสำเนา ต้องใช้คนบันทึกซ้ำด้วยมือ การใช้คนบันทึกอาจทำให้ข้อความผิดเพี้ยนได้
      ไม่เหมือนสมัยนี้ สร้างแม่พิมพ์หรือต้นฉบับเสร็จ ก็ก๊อปปี้ได้ไม่จำกัด ข้อความเหมือนต้นฉบับทุกประการ


      ถามว่า การท่องจำ ประกันได้อย่างไรว่า ข้อความไม่ผิดเพี้ยน
      ตอบว่า ก็ใช้วิธีแบ่งกันท่อง โดยแบ่งเป็นสาย วิันัย พระสูตร และอภิธรรม
      และแต่ละสายจะมีวิธีทบทวนและตรวจสอบ โดยใช้วิธีสวดเป็นทำนองสรภัญญะ
      เมื่อมีการสวดเป็นทำนองพร้อมๆกัน ทำให้สามารถจับผิดกันได้ ว่าใครจำคลาดเคลื่อน เกิน ขาด หรือผิดอย่างไร
      ใครที่จำมาผิด ก็จะสวดไม่เหมือนกับคนอื่นๆ


      การสวดนี้เป็นที่มาของคำว่า "สวดมนต์" จุดประสงค์หนึ่งที่สำคัญของการสวดมนต์ ก็คือ
      "ทรงจำพระธรรมวินัย หรือพระไตรปิฎกนั่นเอง"


        :25:
22273  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: มีหลายท่าน กล่าวว่า ในครั้งพุทธกาล ไม่มีตำราจริงหรือไม่ คะ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2012, 11:28:46 am


ความเป็นมาของพระไตรปิฎก

       การกล่าวถึงความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก จำเป็นต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ยังมิได้จดจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งหลักฐานเรื่องการท่องจำ และข้อความที่กระจัดกระจายยังมิได้จัดเป็นหมวดหมู่ จนถึงมีการสังคายนา คือจัดระเบียบหมวดหมู่ การจารึกเป็นตัวหนังสือการพิมพ์เป็นเล่ม

       ในเบื้องแรกเห็นควรกล่าวถึงพระสาวก ๔ รูป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ
        ๑. พระอานนท์ ผู้เป็นพระอนุชา (ลูกผู้พี่ผู้น้อง) และเป็นผู้อุปฐากรับใช้ใกล้ชิดของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ทรงจำพระพุทธวจนะไว้ได้มาก
       ๒. พระอุบาลี ผู้เชี่ยวชาญทางวินัย ในฐานะที่ทรงจำวินัยปิฎก
       ๓. พระโสณกุฏิกัณณะ ผู้เคยท่องจำบางส่วนแห่งพระสุตตันตปิฎก และกล่าวข้อความนั้นปากเปล่าในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้รับสรรเสริญว่าทรงจำได้ดีมาก ทั้งสำเนียงที่กล่าวข้อความออกมาก็ชัดเจนแจ่มใส เป็นตัวอย่างแห่งการท่องจำในสมัยที่ยังไมมีการจารึกพระไตรปิฎกเป็นตัวหนังสือ
       ๔. พระมหากัสสป ในฐานะเป็นผู้ริเริ่มให้มีการสังคายนา จัดระเบียบพระพุทธวจนะให้เป็นหมวดหมู่ ในข้อนี้ย่อมเกี่ยวโยงไปถึงพระพุทธเจ้า พระสาริบุตร และพระจุนทะ น้องชายพระสาริบุตร ซึ่งเคยเสนอให้เห็นความสำคัญของการทำสังคายนา คือจัดระเบียบคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ดังจะกล่าวต่อไป...ฯลฯ....


____________________________________________
ข้อมูล จาก พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/abouttripitaka/from.html




การทำสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดพระไตรปิฎก
   
     แม้ในตอนต้น จะได้ระบุนามของพระเถระหลายท่าน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎก
     แต่พระไตรปิฎกก็เกิดขึ้น ภายหลังที่ท่านพระเถระทั้งหลาย
     ได้ร่วมกันร้อยกรองจัดระเบียบพระพุทธวจนะแล้ว
     ในสมัยของพระพุทธเจ้าเอง ยังไม่มีการจัดระเบียบหมวดหมู่
     ยังไม่มีการจัดเป็นวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก

     นอกจากมีตัวอย่างการจัดระเบียบวินัยในการสวดปาฏิโมกข์ลำดับสิกขาบททุกกึ่งเดือน ตามพระพุทธบัญญัติและการจัดระเบียบธรรมในสังคีติสูตรและทสุตตรสูตรที่พระสาริบุตรเสนอไว้ กับตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงวิธีจัดระเบียบพระธรรมแก่พระจุนทะเถระและพระอานนท์ในปาสาทิกสูตร และสามคามสูตร ดังได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น


     พระพุทธเจ้าประทานพระพุทธโอวาทไว้มากหลายต่างกาลเวลา ต่างสถานที่กัน การที่พระสาวกซึ่งท่องจำกันไว้ได้ และจัดระเบียบหมวดหมู่เป็นปิฎกต่าง ๆ ในเมื่อพระศาสดานิพพานแล้ว พอเทียบได้ดังนี้ พระพุทธเจ้าเท่ากับทรงเป็นเจ้าของสวนผลไม้ เช่น ส้มหรือองุ่น พระเถระผู้จัดระเบียบหมวดหมู่คำสอน เท่ากับผู้ที่จัดผลไม้เหล่านั้นห่อกระดาษบรรจุลังไม้ เป็นประเภท ๆ บางอย่างก็ใช้ผงไม้กันกระเทือนใส่แทนห่อกระดาษ

      ปัญหาเรื่องของภาชนะที่ใส่ผลไม้เช่นลังหรือห่อก็เกิดขึ้น คือในชั้นแรก คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น รวมเรียกว่า พระธรรมพระวินัย เช่น ในสมัยเมื่อใกล้จะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า
      "ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย
           ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายเมื่อเราล่วงลับไป"


     จึงเป็นอันกำหนดลงเป็นหลักฐานได้อย่างหนึ่งว่า ในสมัยของพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่า พระไตรปิฎก มีแต่คำว่า ธรรมวินัย
     คำว่า พระไตรปิฎก หรือ ติปิฎก ในภาษาบาลีนั้น มาเกิดขึ้นภายหลังที่ทำสังคายนาแล้ว
     แต่จะภายหลังสังคายนาครั้งที่เท่าไร จะได้กล่าวต่อไป


     อย่างไรก็ตาม แม้คำว่า พระไตรปิฎก จะเกิดขึ้นในสมัยหลังพุทธปรินิพพาน ก็ไม่ทำให้สิ่งที่บรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น คลายความสำคัญลงเลย เพราะคำว่า พระไตรปิฎก เป็นเพียงภาชนะ กระจาดหรือลังสำหรับใส่ผลไม้ ส่วนตัวผลไม้หรือนัยหนึ่งพุทธวจนะ ก็มีมาแล้วในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระศาสนา


____________________________________________
ข้อมูล จาก พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/abouttripitaka/sangkayana.html




ลำดับอาจารย์ผู้ทรงจำพระไตรปิฎก

      ได้กล่าวไว้แล้วในสมัยที่ยังมิได้มีการจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลานนั้น ใช้วิธีท่องจำ และการท่องจำก็แบ่งหน้าที่กัน ตามใครจะสมัครเป็นผู้เชี่ยวชาญในส่วนไหนตอนไหนของพระไตรปิฎก เช่น
      คำว่า ทีฆภาณกะ แปลว่า ผู้สวดคัมภีร์ทีฆนิกาย (พระธรรมเทศนาหมวดยาว)
      มัชฉิมภาณกะ ผู้สวดคัมภีร์ มัชฌิมนิกาย (พระธรรมเทศนาขนาดปานกลาง)
      โดยนัยนี้ จึงเป็นการแบ่งงานกันทำในการท่องจำพระไตรปิฎก และมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา มีศิษย์ของแต่ละสำนักท่องจำตามที่อาจารย์สั่งสอน เป็นทางให้เห็นความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก ด้วยประการฉะนี้


     ในหนังสืออธิบายพระไตรปิฎก หรือที่เรียกว่าอรรถกถา ได้แสดงการสืบสายของอาจารย์ในแต่ละทาง คือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก ที่เรียกว่าอาจริยปรัมปรา สายแห่งพระอาจารย์ ดังนี้

สายวินัยปิฎก
       ๑. พระอุบาลี                                   
       ๒. พระทาสกะ
       ๓. พระโสณกะ                                 
       ๔. พระสิคควะ
       ๕. พระโมคคลีบุตร ติสสะ


สายสุตตันตปิฎก
      ไม่ได้มีระบุไว้ในอรรถกถา เป็นแต่ได้กล่าวถึงการมอบหน้าที่ในการท่องจำนำสืบ ๆ กันต่อไป ดังนี้๒
      ๑. มอบให้พระอานนท์ท่องจำสั่งสอนทีฆนิกาย
      ๒. มอบให้นิสิตทั้งหลายของพระสาริบุตรท่องจำมัชฉิมนิกาย
      ๓. มอบให้พระมหากัสสปท่องจำสังยุตตนิกาย
      ๔. มอบให้พระอานุรุทธ์ท่องจำอังคุตตรนิกาย ส่วนขุททกนิกายไม่ได้กล่าวไว้ว่ามอบเป็นหน้าที่ของใคร


สายอภิธัมมปิฎก
      ๑. พระสาริบุตร                                   
      ๒. พระภัททชิ
      ๓. พระโสภิตะ                                     
      ๔. พระปิยชาลี
      ๕. พระปิยปาละ                                   
      ๖. พระปิยทัสสี
      ๗. พระโกสิยปุตตะ                               
      ๘. พระสิคควะ
      ๙. พระสันเทหะ                                   
    ๑๐. พระโมคคลีบุตร
    ๑๑. พระติสสทัตตะ                               
    ๑๒. พระธัมมิยะ
    ๑๓. พระทาสกะ                                   
    ๑๔. พระโสณกะ
    ๑๕. พระเรวตะ


          ตามรายนามนี้ สืบต่อมาเพียงชั่ว ๒๓๕ ปีเท่านั้น
          ต่อจากนั้นยังมีรายนามอีกมาก ซึ่งนับแต่แผ่ศาสนาไปในลังกาแล้ว


____________________________________________
ข้อมูล จาก พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/abouttripitaka/teachter.html
ขอบคุณภาพจาก http://www.mmtc.egat.co.th/,http://dbook2.tarad.com/,http://www.larnbuddhism.com/
22274  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / “แล้วแต่กรรม(เก่า)” คือ "ความประมาท" เมื่อ: ธันวาคม 19, 2012, 09:29:48 am


ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : ทำกรรมเก่าให้เกิดประโยชน์

คนไทยสมัยนี้ได้ยินคำว่า “กรรม” มักจะนึกไปในแง่ว่ากรรมจะตามมาให้เคราะห์ให้โทษอย่างไร พูดถึงกรรมก็จะนึกถึงอะไรอย่างหนึ่งที่คอยตามจะลงโทษ หรือทำให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะคิดไปถึงชาติก่อน คือมองกรรมในแง่กรรมเก่า และเป็นเรื่องไม่ดี
       
      คำว่า “กรรมเก่า” ก็บอกอยู่ในตัวเองแล้วว่า มันถูกจำกัดให้หดแคบเข้ามาเหลือเพียงส่วนหนึ่ง เพราะเติมคำว่า “เก่า” เข้าไป กรรมก็เหลือแคบเข้ามา ยิ่งนึกในแง่ว่ากรรมไม่ดีอีก ก็ยิ่งแคบหนักเข้า รวมแล้วก็คือเป็นกรรมที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไปๆมาๆก็เลยอะไรๆก็แล้วแต่กรรม (เก่า-ที่ไม่ดี) บางทีถึงกับมีการหาทางตัดกรรม เลยพลัดออกไปจากพระพุทธศาสนา
       
       ความจริง กรรมก็เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ คือเป็นเรื่องความเป็นไปตามเหตุปัจจัยของชีวิตมนุษย์ ที่มีเจตนา มีการคิด การพูด และการกระทำ แสดงออก มีความสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลาย แล้วก็เกิดผลต่อเนื่องกันไปในความสัมพันธ์นั้น
       
   ถ้ามัวไปยึดถือว่า แล้วแต่กรรมเก่าปางก่อนอย่างเดียว ก็จะทำกรรมใหม่ที่เป็นบาปอกุศลโดยไม่รู้ตัว     
   หมายความว่า ใครก็ตามที่ปลงว่า “แล้วแต่กรรม (เก่า)” นั้น
   ก็คือ เขากำลังทำความประมาท ที่ปล่อยปละละเลย ไม่ทำกรรมใหม่ที่ควรทำ

   ความประมาทนั้นก็เลยเป็นกรรมใหม่ของเขา ซึ่งเป็นผลจากโมหะ
   แล้วกรรมใหม่ที่ประมาทเพราะโมหะหลงงมงายนั้น ก็จะก่อผลร้ายแก่เขาต่อไป

       



      ความเชื่อว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่กรรมเก่า กรรมปางก่อน หรือกรรมในชาติก่อน คือลัทธิกรรมเก่านั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่เรียกว่า ปุพเพกตเหตุวาท หรือเรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท
       
       ท่านไม่ได้สอนว่าไม่ให้เชื่อกรรมเก่า แต่ท่านสอนไม่ให้เชื่อว่าอะไรๆ จะเป็นอย่างไรก็เพราะกรรมเก่า     
       การเชื่อแต่กรรมเก่า ก็สุดโต่งไปข้างหนึ่ง
       การไม่เชื่อกรรมเก่า ก็สุดโต่งไปอีกข้างหนึ่ง

       
       ได้กล่าวแล้วว่า “กรรม” พอเติม “เก่า” เข้าไป คำเดิมที่กว้างครบถ้วนสมบูรณ์ ก็หดแคบเข้ามาเหลืออยู่ส่วนเดียว อย่ามองกรรมที่กว้างสมบูรณ์ให้เหลือส่วนเดียวแค่กรรมเก่า     
       เรื่องกรรมที่เชื่อกันในแง่กรรมเก่านี้ มีจุดพลาดอยู่ 2 แง่ คือ
       
       1. ไปจับเอาส่วนเดียวเฉพาะอดีต ทั้งที่กรรมนั้นก็เป็นกลางๆ ไม่จำกัด ถ้าแยกโดยกาลเวลาก็ต้องมี 3 คือ กรรมเก่า (ในอดีต) กรรมใหม่ (ในปัจจุบัน) กรรมข้างหน้า (ในอนาคต) ต้องมองให้ครบ       
       2. มองแบบแยกขาดตัดตอน ไม่มองให้เห็นความเป็นไปของเหตุปัจจัยที่ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด คือไม่มองเป็นกระแสหรือกระบวนการที่ต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา แต่มองเหมือนกับว่ากรรมเก่าเป็นอะไรก้อนหนึ่งที่ลอยตามเรามาจากชาติก่อน แล้วมารอทำอะไรกับเราอยู่เรื่อยๆ

       



      ถ้ามองกรรมให้ถูกต้องทั้ง 3 กาล และมองอย่างเป็นกระบวนการของเหตุปัจจัย ในด้านเจตจำนง และการทำ-คิด-พูด ของมนุษย์ ที่ต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ก็จะมองเห็นกรรมถูกต้อง ชัดเจนและง่ายขึ้น ในที่นี้ แม้จะไม่อธิบายรายละเอียด แต่จะขอให้จุดสังเกตในการทำความเข้าใจ 2-3 อย่าง
       
       1. ไม่มองกรรมแบบแยกขาดตัดตอน คือ มองให้เห็นเป็นกระแสที่ต่อเนื่องตลอดมาจนถึงขณะนี้ และกำลังดำเนินสืบไป
       
       ถ้ามองกรรมให้ครบ 3 กาล และมองเป็นกระบวนการต่อเนื่อง จากอดีต มาถึงบัดนี้ และจะสืบไปข้างหน้า ก็จะเห็นว่า กรรมเก่า (ส่วนอดีต) ก็คือเอาขณะปัจจุบันเดี๋ยวนี้เป็นจุดกำหนด นับถอยจากขณะนี้ ย้อนหลังไปนานเท่าไรก็ตาม กี่ร้อยกี่พันชาติก็ตาม มาจนถึงขณะหนึ่งหรือวินาทีหนึ่งก่อนนี้ ก็เป็นกรรมเก่า (ส่วนอดีต) ทั้งหมด
       
       กรรมเก่าทั้งหมดนี้ คือกรรมที่ได้ทำไปแล้ว ส่วนกรรมใหม่ (ในปัจจุบัน) ก็คือที่กำลังทำๆ ซึ่งขณะต่อไปหรือวินาทีต่อไป ก็จะกลายเป็นกรรมเก่า (ส่วนอดีต) และอีกอย่างหนึ่งคือ กรรมข้างหน้า ซึ่งยังไม่ถึง แต่จะทำในอนาคต
       
       กรรมเก่านั้นยาวนานและมากนักหนา สำหรับคนสามัญ กรรมเก่าที่พอจะมองเห็นได้ ก็คือกรรมเก่าในชาตินี้ ส่วนกรรมเก่าในชาติก่อนๆ ก็อาจจะลึกล้ำเกินไป เราเป็นนักศึกษาก็ค่อยๆเริ่มจากมองใกล้หน่อยก่อน แล้วจึงค่อยๆขยายไกลออกไป
       
       อย่างเช่นเราจะวัดหรือตัดสินคนด้วยการกระทำของเขา กรรมใหม่ในปัจจุบันเรายังไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร เราก็ดูจากกรรมเก่า คือความประพฤติและการกระทำต่างๆ ของเขาย้อนหลังไปในชีวิตนี้ ตั้งแต่วินาทีนี้ไป นี่ก็กรรมเก่า ซึ่งใช้ประโยชน์ได้เลย

       



      2. รู้จักตัวเอง ทั้งทุนที่มีและข้อจำกัดของตน พร้อมทั้งเห็นตระหนักถึงผลสะท้อนที่ตนจะประสบ ซึ่งเกิดจากกรรมที่ตนได้ประกอบไว้
       
       กรรมเก่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเราทุกคน เพราะแต่ละคนที่เป็นอยู่ขณะนี้ ก็คือผลรวมของกรรมเก่าของตนที่ได้สะสมมา ด้วยการทำ-พูด-คิด การศึกษาพัฒนาตน และความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ในอดีตทั้งหมดตลอดมาจนถึงขณะหรือวินาทีสุดท้ายก่อนขณะนี้
       
      กรรมเก่านี้ให้ผลแก่เรา หรือเรารับผลของกรรมเก่านั้นเต็มที่ เพราะตัวเราที่เป็นอยู่ขณะนี้ เป็นผลรวมที่ปรากฏของกรรมเก่าทั้งหมดที่ผ่านมา กรรมเก่านั้นเท่ากับเป็นทุนเดิมของเราที่ได้สะสมไว้ ซึ่งกำหนดว่า เรามีความพร้อม มีวิสัยขีดความสามารถทางกาย วาจา ทางจิตใจ และทางปัญญาเท่าไร และเป็นตัวบ่งชี้ว่า เราจะทำอะไรได้ดีหรือไม่ อะไรเหมาะกับตัวเรา เราจะทำได้แค่ไหน และควรจะทำอะไรต่อไป
       
       ประโยชน์ที่สำคัญของกรรมเก่า ก็คือการรู้จักตัวเองดังที่ว่านั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ด้วยการรู้จักวิเคราะห์และตรวจสอบตนเอง โดยไม่มัวแต่ซัดทอดปัจจัยภายนอก     
       การรู้จักตัวเองนี้ นอกจากช่วยให้ทำการที่เหมาะกับตนอย่างได้ผลดีแล้ว ก็ทำให้รู้จุดที่จะแก้ไขปรับปรุงต่อไปด้วย

 
     


      3. แก้ไขปรับปรุงเพื่อก้าวสู่การทำกรรมที่ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่า ในที่สุดการปฏิบัติถูกต้องที่จะได้ประโยชน์จากกรรมเก่ามากที่สุด ก็คือ การทำกรรมใหม่ ที่ดีกว่ากรรมเก่า
   
      ทั้งนี้ เพราะหลักปฏิบัติทั้งหมดของพระพุทธศาสนารวมอยู่ในไตรสิกขา อันได้แก่การฝึกศึกษาพัฒนาตน ในการที่จะทำกรรมที่ดีได้ยิ่งขึ้นไป ทั้งในขั้นศีล สมาธิ ปัญญา     
       ในขั้นศีล คือการฝึกกาย วาจา สัมมาอาชีวะ รวมทั้งการสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยอินทรีย์ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)       
       ในขั้นสมาธิ คือฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ ที่เรียกว่าจิตภาวนาทั้งหมด     
       ในขั้นปัญญา คือความรู้คิดเข้าใจถูกต้อง มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงๆ และสามารถใช้ความรู้นั้นแก้ไขปรับปรุงกรรม ตลอดจนแก้ปัญหาดับทุกข์หมดไป มิให้มีทุกข์ใหม่ได้

       
       พูดสั้นๆ ก็คือ แม้ว่ากรรมเก่าจะสำคัญมาก ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปสยบยอมต่อมัน แต่ตรงข้าม เรามีหน้าที่พัฒนาชีวิตของเราที่เป็นผลรวมของกรรมเก่านั้นให้ดีขึ้น     
       ถ้าจะใช้คำที่ง่ายแก่คนสมัยนี้ ก็คือ เรามีหน้าที่พัฒนากรรม กรรมที่ไม่ดีเป็นอกุศล ผิดพลาดต่างๆ เราศึกษาเรียนรู้แล้วก็ต้องแก้ไข การปฏิบัติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ก็คือการพัฒนากรรมให้เป็นกุศล หรือดียิ่งขึ้นๆ

       
       ดังนั้น เมื่อทำกรรมอย่างหนึ่งแล้ว ก็พิจารณาวิเคราะห์ตรวจสอบคุณภาพและผลของกรรมนั้น ให้เห็นข้อยิ่งข้อหย่อน ส่วนที่ขาดที่พร่อง เป็นต้น แล้วแก้ไขปรับปรุงเพื่อจะได้ทำกรรมที่ดียิ่งขึ้นไป     
       จะพูดว่า รู้กรรมเก่า เพื่อวางแผนทำกรรมใหม่ให้ดียิ่งขึ้นไป ก็ได้

       
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) วัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม)


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9550000149045
http://xn--m3cif1apm3a5c5h6ab0d.dmc.tv/
22275  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดสระเกศแจก 'ยันต์ผ้าแดง' รับปีใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2012, 09:08:46 am

วัดสระเกศแจก 'ยันต์ผ้าแดง' รับปีใหม่

มส.สั่ง 30,000 วัดสวดมนต์ข้ามปี มอบวัดสระเกศ - พุทธมณฑลศูนย์กลางกทม. แจกหลวงพ่อดวงดี-ยันต์ผ้าแดง 'สนธยา' รณรงค์ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทยปีใหม่วิถีพุทธ

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 18 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานขบวนรณรงค์ การจัดงาน “ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ และวิถีธรรม พ.ศ.2556” และการจัดงาน “ฤกษ์ดีปีใหม่ ไหว้พระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน ประจำปี 2556” พร้อมมอบการ์ดอวยพรปีใหม่ หนังสือเผยแพร่ความรู้กิจกรรมปีใหม่ ให้แก่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ นักเรียน นักศึกษา และศาสนิกสัมพันธ์ เข้าร่วมขบวนรณรงค์

วันเดียวกันเมื่อเวลา 13.00 น. ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร มหาเถรสมาคม(มส.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) และสำนักนายกรัฐมนตรี จัดแถลงข่าวโครงการสวดมนต์ข้ามปี ทำความดี ส่งท้ายปีเก่า 2555 ต้อนรับปีใหม่ 2556 น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา โดยมีพระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม พระพรหมสิทธิ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ  นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.พศ.ร่วมแถลงข่าวในครั้งนื้



    พระพรหมบัณฑิต กล่าวว่า มส.ได้มีมติเห็นชอบให้วัดทั่วประเทศกว่า 30,000 แห่งทั้งในและต่างประเทศ จัดพิธีสวดมนต์ข้ามปี ตามโครงการสวดมนต์ข้ามปี ทำความดี ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
     โดยส่วนกลางจะจัดที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
     ภาคเหนือ ศูนย์กลางจัดที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ
     ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศูนย์กลางที่วัดพระธาตุพนม จ.นครพนม
     ภาคใต้ ศูนย์กลางที่วัดพระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

     ทั้งนี้มส.ยังได้มอบหมายให้วัดเจ้าคณะจังหวัดแต่ละจังหวัดเป็นศูนย์กลางในการจัดสวดมนต์ข้ามปีด้วย

      ด้านพระพรหมสิทธิ กล่าวว่า ขออนุโมทนาคณะรัฐบาลที่เห็นความสำคัญของการจัดงานเจริญพระพุทธมนต์ข้ามปีที่วัดสระเกศฯ ซึ่งทางวัดสามารถรองรับพุทธศาสนิกชนได้ประมาณ 50,000 คน
      โดยในปีนี้ ทางวัดจะแจกแผ่นดวง สายสิญจน์มงคล หนังสือสวดมนต์
      ผ้ายันต์บรมบรรพต(ยันต์ผ้าแดง) จำนวน 60,000 ผืน 
      และพระผงหลวงพ่อดวงดี ที่มีวัตถุประสงค์มอบให้แก่ทหารจังหวัดชายแดนภาคใต้

      แต่ทางวัดจะนำมาแจกให้ประชาชนก่อน จำนวน 1 แสนองค์ ให้แก่พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมสวดมนต์ข้ามปีด้วย คาดว่าปีนี้มีผู้มาสวดมนต์ที่วัดไม่ต่ำกว่า 60,000 คน ขณะที่ทั่วประเทศคาดว่า มีผู้สวดมนต์ข้ามปี พร้อมกัน วัดละ 1,000 คน รวม 30,000 วัด หรือราว 30 ล้านคน



    “แผ่นดวงที่ทางวัดแจกให้ จะนำไปบรรจุบน บรมบรรพต หรือเรียกว่า สะดือเมือง
    พอครบ 1 ปี ทางวัดก็จะนำมาหล่อเป็นหลวงพ่อดวงดี
    โดยกิจกรรมนี้จะเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น.ของวันที่ 31 ธันวาคม 2555
    จนถึงเวลา 06.00 น.ของวันที่ 1 มกราคม 2556

    พุทธศาสนิกชนจะได้ร่วมกันสวดมนต์ตามหนังสือฉบับมส.และสวดอิติปิโส 108 จบ
    ร่วมกันพุทธาภิเษกหลวงพ่อดวงดี และได้ร่วมกันทำบุญตักบาตรรับปีใหม่”
ผู้ช่วยเจ้าอาวาส กล่าว

     นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า รัฐบาลตั้งใจจะให้ประชาชนได้มีโอกาสทำความดีส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เพื่อเกิดความเป็นสิริมงคลต่อตนเอง ตนจึงขอเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชน หรือเด็กวัยรุ่นมาสวดมนต์ข้ามปีที่วัดกันให้มากๆ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ในโอกาสฉลอง 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่สำคัญโครงการนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาคน เสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมประชาชนอีกทางหนึ่ง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121218/147518/วัดสระเกศแจกยันต์ผ้าแดงรับปีใหม่.html#.UNEe6qzjrRd
http://www.oknation.net/,http://www.thairath.co.th/
22276  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวหมอแคนผวา "ผีแม่ม่ายอาละวาดอีก" (ชมภาพและคลิป) เมื่อ: ธันวาคม 19, 2012, 08:56:01 am


ชาวหมอแคนผวา "ผีแม่ม่ายอาละวาดอีก"

จากกรณีที่ชาวบ้านหัวหนอง หมู่ 2 และ หมู่ 17 ในเขตเทศบาลตำบลหนองสองห้อง จ.ขอนแก่น ต่างลือและเชื่อกันเป็นวงกว้างว่า มีผีแม่ม่ายออกอาละวาด จนมีชาวบ้านผู้เสียชีวิตไปแล้วถึง 11 ราย ในแค่ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ซึ่งผู้ตายทั้งหมดเป็นเพศชายทั้งสิ้น ทำให้เป็นที่หวาดผวาจนชาวบ้านต้องแห่กันนำปลัดขิกมาแขวนไว้หน้าบ้าน รวมทั้งเอาสีมาทาเล็บให้คล้ายผู้หญิง เนื่องจากเชื่อว่าจะสามารถป้องกันผีแม่ม่ายได้

ล่าสุดวันนี้ (18 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านหัวหนอง ได้นิมนต์พระสงฆ์ 10 รูป มาทำพิธีปัดเป่าผีแม่ม่ายอีกครั้ง หลังจากพิธีกรรมครั้งที่แล้วไม่ได้ผล เนื่องจากยังมีผู้เสียชีวิตชายเพิ่มอีก 4 ราย รวมเป็น 15 รายแล้ว
    โดยมีการทำบุญตักบาตร พรมน้ำมนต์ และทำพิธีนำเสาขนาดสูงใหญ่และยาวกว่า 2 เมตร รวม 8 ต้น
    มาฝังไว้รอบหมู่บ้าน ครอบคลุม 8 ทิศ เพื่อไม่ให้ผีแม่ม่ายเข้ามาเอาชีวิตผู้ชายได้



สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 4 ราย เกิดจากการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ และผูกคอตาย กระทั่งเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายบุญถม ประนิทา อายุ 49 ปี ได้นอนไหลตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ อยู่บริเวณกลางถนนข้างวัดรัตนนิมิตร หลังกลับจากเที่ยวงานประจำปี ซึ่งทั้ง 4 ราย ได้รับการยืนยันว่า ไม่ได้นำปลัดขิกมาแขวนและไม่ได้ทาเล็บมือด้วย ทำให้ชาวบ้านหวนกลับมาหวาดกลัวอีกครั้ง

ด้าน นายชาลี อาษานอก อายุ 74 ปี อดีตข้าราชการครู หนึ่งในผู้ร่วมพิธี กล่าวว่า สิ่งที่ทำไม่ใช่เรื่องงมงาย ไม่ได้ขาดสติ ถ้าสิ่งนั้นทำให้สบายใจ อย่างน้อยก็มีจุดให้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ขณะที่ นางพรม เผามณี อายุ 69 ปี เล่าว่า เชื่อว่ามีผีแม่ม่ายตามที่ลือกันจริง เพราะลูกหลานในบ้านนอนฝันว่า มีผีแม่ม่าย 3 ตน ต้องการคนงานที่เป็นชายเท่านั้น เอาไปทำงานในเมืองผี ผู้หญิงไม่แข็งแรงไม่ชอบ




    ขณะที่ นายสวัสดิ์ กะลาม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 17 และนางบุญเต็ม  ศรีเดช ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 กล่าวว่า
    การติดปลัดขิกและทาเล็บนั้น ทำให้ลดความกลัวในเรื่องผีแม่ม่ายให้ซาลงไปบ้าง
    ก็ไม่น่าจะสร้างความเสียหายให้กับหมู่บ้านแต่อย่างใด กลับสร้างเสริมด้านความรักสามัคคีอีกด้วย   
    และการทำพิธีปลัดขิก และการทาเล็บ เป็นเหมือนกุสโลบายไม่เอาชีวิต ตามความเชื่อโบราณ เช่นเดียวกับการไปนอนในโลงศพนั่นเอง.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/173199



เผยแพร่เมื่อ 18 ธ.ค. 2012 โดย clipwebsite
22277  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'มจร' จัดฝึกพระนิสิต "ภาคปฏิบัติวิปัสสนา" เมื่อ: ธันวาคม 19, 2012, 08:46:44 am

'มจร' จัดฝึกพระนิสิต "ภาคปฏิบัติวิปัสสนา"

'มจร' จัดโครงการฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานสำหรับนิสิตประจำปี 2555 16-27 ธันวาคมนี้ ต้นปีหน้าจัดสัมมนา 'พุทธวิปัสสนา : การสร้างสรรค์สังคมร่มเย็นเป็นสุข'


18 ธ.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 16-27 ธันวาคม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) จัดโครงการ "โครงการฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานสำหรับนิสิต ประจำปี 2555" สำหรับพระนิสิตและนิสิตที่เป็นฆราวาส ทั้งระดับปริญญาตรี-เอก ทั้งส่วนกลางและวิทยาเขตพร้อมกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนเป็นประจำทุกปี

     สำหรับส่วนกลางจัดที่ มจร ถนนพหลโยธน กิโลเมตร ที่ 55
     ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 
     โดยมีพระนิสิตปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน 1,407 รูป
     ทั้งนี้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่ใจบุญสามารถร่วมทำบุญใส่บาตร
     ถวายภัตตาหารแก่พระนิสิตทั้ง 1,407 รูปได้ทุกวันตามที่กำหนด 
     ทั้งนี้สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-623-6326, 02-222-2835
     หรือเว็ปไซต์ www.mcu.ac.th


     ขณะเดียวกันระหว่างวันที่ 8-10 มกราคม พ.ศ.2556 มจร โดยศูนย์พุทธวิปัสสนานานาชาติ มีกำหนดจัดสัมมนาทางวิชาการว่าด้วย "พุทธวิปัสสนา : การสร้างสรรค์สังคมร่มเย็นเป็นสุข"
     โดยได้เชิญชาวพุทธทั้งไทยและต่างประเทศร่วมงาน แจ้งความประสงค์การเข้าร่วมสัมมนา (ไม่เสียค่าใช้จ่าย)
     สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและส่งบทความได้ที่ โทร. 026236328 หรือ 035248071
     email: ird_mcu@mcu.ac.th , mcu.bhavana@yahoo.com







ขอบคุณภาพข่าว
www.komchadluek.net/detail/20121218/147471/มจรจัดฝึกพระนิสิตภาคปฏิบัติวิปัสสนา.html#.UNEawqzjrRd
22278  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: เชิญร่วม "ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ" ที่ วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์) เมื่อ: ธันวาคม 19, 2012, 08:34:39 am

                             
                              แผนที่วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)
                              เลขที่ 62/1 หมู่ 5 บ้านเขาวง
                              ต.เขาวง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี 18120
                              โทร. 036-236-500-5, 086-133-6889, 084-310-9442, 084-310-9443
22279  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: สถานที่จัดกิจกรรม "สวดมนต์ข้ามปี 2556" เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 12:59:48 pm

กระทู้แนะนำ

สวดมนต์ส่งท้ายปีเก่า ๒๕๕๕ รับปีใหม่ ๒๕๕๖
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9145.0

สวดมนต์ข้ามปี ทำความดี ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ 31 ธ.ค.55 -1 ม.ค.56
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9394.0

วธ.ชวนสวดมนต์ข้ามปี 9 วัดดัง สักการะ 9 พระปฏิมา รับมงคลปีใหม่
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9534.0

เชิญร่วม "ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ" ที่ วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์)
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9536.0

22280  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: สวดมนต์ข้ามปี ทำความดี ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ 31 ธ.ค.55 -1 ม.ค.56 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2012, 12:58:16 pm

กระทู้แนะนำ

สวดมนต์ส่งท้ายปีเก่า ๒๕๕๕ รับปีใหม่ ๒๕๕๖
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9145.0

วธ.ชวนสวดมนต์ข้ามปี 9 วัดดัง สักการะ 9 พระปฏิมา รับมงคลปีใหม่
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9534.0

สถานที่จัดกิจกรรม "สวดมนต์ข้ามปี 2556"
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9535.0

เชิญร่วม "ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ" ที่ วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์)
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=9536.0

หน้า: 1 ... 555 556 [557] 558 559 ... 708