ยิ่งเรียนพุทธศาสนายิ่งไม่รู้พุทธศาสนา โดย ท่านพุทธทาสภิกขุท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวถึงเรื่อง “ยิ่ง เรียนพุทธศาสนา ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา ” ไว้ใน “เมื่อผีหัวเราะ” ท่านแสดงธรรมนี้ไว้เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2509 เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าทำไมท่านพุทธทาสภิกขุถึงมองว่า ยิ่งเรียนก็ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา ในแวบแรกทำให้นึกถึงพระเถระสมัยพุทธกาลซึ่งปรากฏในอรรถกถาธรรมบทชื่อว่า “โปฐิลเถระ”
พระเถระรูปนี่้เป็นพระภิกษุที่เก่งมาก เพราะสามารถจำพระไตรปิฎกและอรรถกถาได้ทั้งหมด แต่พระพุทธเจ้ากลับทรงเรียกพระรูปนี้ว่า “คุณใบลานเปล่า” เมื่อพระพุทธองค์ทรงเรียกพระโปฐิลเถระด้วยฉายานี้มากขึ้น พระเถระจึงคิดขึ้นได้ว่าคงต้องปฏิบัติบ้างเสียแล้ว จึงจัดบาตรและของใช้เท่าที่จำเป็นออกธุดงค์พร้อมกับกลุ่มพระภิกษุ
พระโปฐิลเถระขอร้องให้พระสังฆเถระช่วยลดมานะ (ความถือว่าตนสำคัญ) ของตน พระสังฆเถระจึงให้พระโปฐิลเถระไปยังสำนักของพระอนุเถระ และท่านก็บอกให้ไปสู่สำนักของสามเณรที่มีอายุเพียง 7 ขวบ ให้เป็นอาจารย์ สังเกตว่าพระโปฐิลเถระผู้ถือว่าตนเก่งทรงพระไตรปิฎกและอรรถกถาได้ทั้งหมด พระผู้ใหญ่ 2 รูปทราบกิตติศัพท์ของพระโปฐิลเถระดีว่าเป็นผู้มีมานะอย่างไร ทางเดียวคือต้องลดมานะด้วยการไปเป็นศิษย์ของผู้ที่ต่ำกว่าคือสามเณร
@@@@@@
และในที่สุดมานะก็ได้หายไป สามเณรชี้แนะพระโปฐิลเถระโดยกล่าวว่า “ตัวเหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปในจอมปลวกที่มีช่อง 6 ช่อง คนหมายจะจับมัน จึงอุดทุกช่องไว้จนเหลือช่องเดียว แล้วจับมันจากช่องที่มันเข้าไป จอมปลอกก็เหมือนร่างกายของคนเรา การอุดช่องที่ 5 คือการปิดอายตนะ ตา หู ลิ้น จมูก และกาย ท่านจงเร่งบริกรรมกรรมฐานขึ้นในใจของท่านเถิด”
เมื่อได้ยินดังนั้น พระโปฐิลเถระจึงได้ขึ้นถึงภาวนา และไม่ยึดติดในพระไตรปิฎกและอรรถกถาอีกต่อไป
เรื่องของพระเถระรูปนี้ หรือ คุณใบลานเปล่า ตรงกับธรรมเทศนาของท่านพุทธทาสภิกขุเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งธรรมเทศนาของท่านจะทำให้รู้ว่าเราควรศึกษาพุทธศาสนาอย่างไร เพื่อให้รู้ (ปัญญา) พุทธ (ตื่นรู้) ศาสนาอย่างแท้จริง
”ทีนี้เราจะมองให้แคบเข้ามา ก็จะเห็นได้ชัดว่า พุทธบริษัทเรานี่แหละ ยิ่งเรียนพุทธศาสนาก็ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา “ยิ่งเรียนพุทธศาสนายิ่งไม่รู้พุทธศาสนา” ฟังดูมันก็แปลกดีหรือไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ตามความเป็นจริงนั้น มันเป็นอย่างนั้น เพราะว่า “สิ่งที่เขาเรียกว่าพุทธศาสนา” นั้น มันไม่ใช่ตัวธรรมะ พระพุทธเจ้าไม่ได้เคยใช้คำว่าพุทธศาสนาในกรณีเช่นนี้ แต่ใช้คำว่าธรรมะ พระองค์ทรงสั่งสอนธรรมะและทรงกำชับสาวกให้ประกาศธรรมะ
”เรารู้จักกันแต่ว่าพุทธศาสนา แล้วก็เล็งไปถึงพระคัมภีร์ ถึงเรื่องราวอันมากมายในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา มากมายเหลือที่จะกำหนดได้ เราก็ถือเอาว่าเป็นพุทธศาสนา เรียนกันในแง่ของภาษาต่างประเทศภาษาหนึ่ง ก็เป็นพุทธศาสนา เรียนกันในแง่ของประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี
ก็เพราะว่ามีเรื่องโบราณคดีกล่าวไว้ในคัมภีร์นั้นมาก ก็เรียนในแง่ของโบราณคดี แต่แล้วก็เรียกว่าพุทธศาสนา ยิ่งเรียนพุทธศาสนาในทำนองนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งไม่รู้จักพระพุทธศาสนา “พุทธศาสนา” คำแรกหมายถึงที่เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา ในการเรียนเพื่อเป็นนักปราชญ์ ส่วน “พุทธศาสนา” คำหลัง หมายถึงธรรมะที่จะดับทุกข์ได้ จึงยิ่งเรียนพุทธศาสนายิ่งไม่รู้พุทธศาสนา
@@@@@@
”เช่นจะเรียนบาลี เรียนภาษาบาลีกันจนตลอดชีวิต ก็รู้พุทธศาสนาไม่ได้ จะเรียนพระไตรปิฎกในลักษณะวรรณคดีกันจนตลอดชีวิต ก็รู้พุทธศาสนาไม่ได้ แม้จะเรียนอภิธรรมปิฎกกันในแง่ของจิตวิทยา และปรัชญาจนตาย ก็ไม่รู้พุทธศาสนาได้ นี้เรียกว่า “ยิ่งเรียนพุทธศาสนาไม่รู้จักพุทธศาสนา” เพราะพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จะเรียนธรรมะนั้น ต้องเรียนจากร่างกายที่เป็น ๆ คือร่างกายที่ยังไม่ตาย มีจิต มีใจ มีความรู้สึกคิดนึกได้
ให้รู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร จากในร่างกาย รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ คือ รู้กิเลส และรู้ความไม่มีทุกข์ คือการดับกิเลส และรู้การปฏิบัติก็ดับทุกข์ คือดับกิเลสนั้น จากการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ ของคนนั่นเอง จึงจะรู้ธรรมะ หรือรู้พุทธศาสนา
เดี๋ยวนี้เราละเลย การเรียนจากร่างกายอันยาววาหนึ่ง แล้วก็เป็นโอกาสให้ผีหัวเราะมนุษย์อีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านั้นเป็นพุทธบริษัท เป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกา เป็นภิกษุ เป็นสามเณร ตรงที่ยิ่งเรียนพุทธศาสนาก็ยิ่งไม่รู้พระพุทธศาสนา“
การศึกษาพุทธศาสนาให้รู้พุทธศาสนาอย่างแท้จริงคือ ศึกษาจากจอมปลวกที่มีช่องว่าง 6 ช่อง (ร่างกายของมนุษย์ที่ยาวหนึ่งวา) แล้วอุดช่องว่างทั้ง 5 ด้วยการกรรมฐาน คือภาวนาที่ใจ ที่มา : เมื่อผีหัวเราะ โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ , อรรถกถาคาถาธรรมบท เรื่อง พระโปฐิลเถระ
ภาพ :
https://pixabay.comขอบาคุณ :
https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/158084.htmlBy nintara1991 ,6 June 2019