ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความสุขที่แท้สร้างได้ เพราะสิ่งที่เรามองเห็น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรามมองหา  (อ่าน 375 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


รู้ไว้เถิดว่า..ความสุขที่แท้สร้างได้ เพราะสิ่งที่เรามองเห็น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรามองหา.!!

หลายๆ คนที่ได้อ่านเจอบทความดีๆ หรือข้อคิดสอนใจในการจัดการกับความทุกข์ในตัวเองออกไปได้แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลามาจัดการกับความสุข ของตัวเองกันดูบ้าง อย่างที่เราได้เคยพูดกันมาบ่อยๆ แล้วว่าความสุขหรือความทุกข์ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ใจของตัวเราเองทั้งนั้น ดังนั้นตัวการแรกที่ต้องเริ่มสะสางก็ต้องเริ่มจากจิตใจของเราเองเป็นอย่างแรกก่อนค่ะ แล้วปัจจัยอะไรล่ะที่ทำให้คนเรามีความสุข? อันนี้ถือเป็นคำถามที่ตอบได้ยาก เพราะว่าแต่ละคนมีรสนิยมในการเสพความสุขที่แตกต่างกันไป บางคนเพียงแค่ได้นั่งอยู่เงียบๆ คนเดียว มีเวลาเป็นส่วนตัวสักวันละ 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง ก็ถือว่าเป็นความสุขมากแล้ว

ในขณะที่บางคนกลับมองว่าการจะมีความสุขได้นั้นจะต้องเกิดจากการเดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศ นอนแช่น้ำในอ่างจากุชชี่สุดหรู จิบไวน์เคล้าเสียงเพลงคลอเบาๆ และมีมือนุ่มๆ ของคนรู้ใจคอยนวดหลังนวดไหล่ให้อยู่ไม่ห่าง จะเห็นได้ชัดเจนว่าความสุขเกิดจากความต้องการส่วนตัวของแต่ละบุคคลล้วนๆ และเกิดจากตัวคุณเองล้วนๆ ความสุขเป็นความรู้สึกเหมือนกันกับความทุกข์ ถ้าจิตใจเราสามารถสร้างและขจัดความทุกข์ออกไปได้ด้วยตัวเองแล้ว จิตใจของเราก็ย่อมจะสร้างและขจัดความสุขออกไปจากใจเราได้ด้วยตัวเราเองเช่นกัน

ในที่สุดแล้วก็จะมีความสุขได้ พื้นฐานที่ง่ายที่สุดคือการเปิดใจให้กว้าง และมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ลด ละ เลิกความวิตกกังวล และเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งหลายทิ้งไป ฝังกลบความวุ่นวายในจิตใจ รวมทั้งความต้องการต่างๆ นานาลงไปดูสักครู่ แล้วคุณจะรู้ว่า…ความสุขนั้นสร้างได้



เลือกรับแต่สิ่งที่ดี

เรามักจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า คุณจะเป็นดั่งเช่นสิ่งที่คุณกิน หรือ You are what you eat ซึ่งเป็นประโยคอมตะที่ได้รับการพิสูจน์มานานแล้วว่าเป็นความจริง แต่ประโยคนี้จะเป็นการให้ความสำคัญกับสิ่งที่ได้รับทางการคืออาหารการกินเท่านั้น หรือให้ความสำคัญเฉพาะกับกระเพาะอาหารและลิ้น ในขณะที่ ตา หู จมูก กาย และใจ ร่างกายส่วนต่างๆ ที่เหลือก็มีความสามารถในการรับสัมผัสไม่น้อยกว่าลิ้นแต่อย่างใด

หรือแม้แต่เด็กที่เกิดในครอบครัวขี้โมโหจะกลายเป็นคนโมโหง่ายด้วย คนที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนพูดจาไพเราะก็จะพูดจาไพเราะไปด้วย คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยความวิตกกังวล ลูกจะเติบโตเป็นคนที่ขี้กังวล หรือเป็นเด็กที่มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย เป็นต้น จากสิ่งที่เราพูดไปทั้งหมดนี้ เราจะไม่ได้เป็นดั่งเช่นสิ่งที่กินเพียงอย่างเดียว แต่เราจะเป็นดังเช่นสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่ได้กลิ่น สิ่งที่ได้รับสัมผัส และสิ่งที่ได้รับรู้ทางใจด้วย

สรุปก็คือ ทั้งรูป (อาหาร) และนาม (ความรู้สึก) เมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกายแล้ว คุณก็จะเป็นดังเช่นสิ่งที่คุณรับมา ดังนั้นวิธีเดียวที่จะพัฒนาตนเองคือ ต้องรู้จักเลือกรับสัมผัสเช่นเดียวกับรู้จักเลือกกิน

ดังนั้นการชื่นชมในสิ่งที่ดีในตัวคนอื่นๆ ก็คือการเลือกรับสิ่งนั้นเข้าสู่ตัว เช่น ถ้าเพื่อนได้เลื่อนตำแหน่ง ย่อมต้องมีสิ่งดีซ่อนอยู่ในตัวเขา อาจจะเป็นความขยัน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีมนุษยสัมพันธ์ ความเฉลียวฉลาด การชื่นชมก็คือการที่เลือกรับสัมผัสแต่สิ่งที่ดีๆ เข้าสู่ตัว ส่วนการริษยา ตำหนิ มองโลกในแง่ร้ายจะทำให้มองทุกอย่างเป็นลบไปหมด นั่นก็หมายความว่าสัมผัสที่ได้รับก็จะเป็นลบตามไปด้วย

การยกย่องจะดีกว่าการวิจารณ์ ยกเว้นว่าเป็นการวิจารณ์เพื่อให้ปรับปรุงหรือวิเคราะห์ แต่ก็ต้องไม่ใส่อารมณ์ความรู้สึกร่วมเข้าไปกับการวิจารณ์นั้น ใช้สมองซีกซ้ายคือซีกของตรรกะในการให้เหตุผลสมองส่วนนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ และวิจารณ์ออกไปด้วยใจที่เป็นกลาง  ถ้าเช่นนี้ถือว่าไม่ได้รับสิ่งนั้นเข้าสู่ตัว



การคิดบวก

คำว่า ทำไม่ได้ ไม่แน่ใจ อย่าดีกว่า จะไหวหรือ ไม่กล้าหลอก ฯลฯ คำเหล่านี้เปรียบเสมอนใบมีดอันคมกริบที่จะจัดความรู้สึกเส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างสมองส่วนรับกับสมองส่วนสั่งการให้ขาดสะบั้นออกจากกัน นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะเรียนรู้ขนาดไหนก็ไม่มีทางสร้างผลผลิตจากความรู้นั้นออกมาได้ หรือแม้แต่จะสอนสิ่งที่ตัวเองรู้ให้คนอื่นเข้าใจก็ยังทำไม่ได้ เพราะการสอนต้องพูดใช้ท่าทางประกอบ ซึ่งต้องอาศัยสมองส่วนสั่งการ

การคิดลบทำให้เกิดความกลัว ซึ่งจะบั่นทอนแรงใจอย่างรุนแรง แม้ว่าความกลัวจะมีประโยชน์ในการสร้างแรงขับ เช่น กลัวสอบตกทำให้ขยันอ่านหนังสือ แต่พลังอันเกิดจากความกลัว ไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นพลังที่มีพื้นฐานมาจากการขาดสติ ยิ่งกลัว ยิ่งขาดสติ นอกจากนั้นแรงขับอันเกิดมาจากความกลัวยังไม่ยั่งยืน เช่น นักกีฬาที่ลงแข่งด้วยความกลัวแพ้ เขาจะขอแค่เสมอก็พอใจแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีจิตใจที่มุ่งมั่นต่อชัยชนะ เมื่อขาดจิตที่มุ่งมั่น ในที่สุดก็จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้

มีผลวิจัยทางการแพทย์พบว่า ขณะที่คิดลบ ปริมาณเลือดไหลไปเลี้ยงสมองจะลดลงอย่างมาก อันเป็นผลเนื่องมาจากฮอร์โมนที่ทำให้เส้นเลือดหดตัว เกิดความเครียด ความดันขึ้นสูง ตรงกันข้ามกับคนที่กำลังคิดบวก ในสมองจะมีแต่สารเอนดอร์ฟินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้เลือดมาเลี้ยงสมองมากขึ้น มีความสุข มีสติ เกิดปัญญา แน่นอนว่า เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น โครงข่ายใยประสาทก็สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ ก็จะทำได้อย่างถูกต้อง

การสนใจหรือชื่นชมจุดที่ดี จุดที่เด่นของคนอื่นๆ ก็เป็นการป้อนโปรแกรมให้สมองเกิดการซึมซับคุณสมบัตินั้นไว้ และแสดงออกในอนาคต ทุกคนต้องมีส่วนเสีย แต่พยายามให้ความสนใจเฉพาะส่วนดี และนำส่วนนั้นเข้าสู่สมอง ดังนั้นการรู้จักเลือกมองแต่สิ่งที่ดีจะทำให้เห็นโอกาสในวิกฤติ ซึ่งจุดนี้สำคัญมากต่อการจะประสบความสุขความสำเร็จ เพราะทำให้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น การเห็นแบบนี้จะส่งผลให้ประสบความสำเร็จได้โดยง่าย “การคิดบวก” สรุปง่ายๆ ก็คือการคิดดี ทำให้มองเห็นด้านดีของทุกสิ่ง การมองเห็นด้านที่ดี ก็คือการมองเห็นโอกาสที่จะพาชีวิตก้าวไปสู่ความสำเร็จ



อยู่กับปัจจุบัน

กว่า 80% ของความทุกข์ของคนเราเกิดจากการไปนึกถึงสิ่งที่ผ่านเลยมาแล้ว และการนึกถึงหรือคิดกังวลถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อีก 20% เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้นถ้าสามารถกำหนดจิตไว้ที่ปัจจุบัน ความทุกข์ก็จะลดลงอย่างมาก การพยายามคิดวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้จะทำให้สูญเสียพลังความคิดอยู่ตลอดเวลา เหมือนรถที่เหยียบคันเร่งตอนเกียร์ว่าง และเมื่อต้องออกรถก็จะควบคุมทิศทางได้ยาก นอกจากนั้นการคิดวนเวียนไปมาถึงอดีตจะทำให้สูญเสียโอกาสในอนาคต

 ยกตัวอย่างเช่นคนที่กำลังจะข้ามถนน บังเอิญขณะถนนว่างข้ามไม่ทัน แล้วก็มานั่งเสียดายว่าทำไมตอนนั้นไม่ข้าม คิดซ้ำๆ วนไปวนมา ในขณะที่ละเลยโอกาสที่กำลังจะมาถึงข้างหน้าอีกมากมาย ถ้าเราเห็นคนที่คิดแบบนี้ ในขณะข้ามถนนก็จะถือว่ามีอาการทางจิต แต่สำหรับชีวิต การคิดวนเวียนเสียดายโอกาสที่น่าจะได้ แต่ไม่ได้และมันผ่านไปแล้ว กลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว คนที่คิดแบบนี้ก็มีสภาพจิตที่น่าเป็นห่วงเช่นกันค่ะ

อดีตเป็นสิ่งที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่อนาคตอยู่ในกำมือคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แล้วจะไปหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ทำไม จะว่าไปแล้วแม้แต่อนาคตก็ยังไม่แน่นอน สิ่งที่ควบคุมได้แน่ๆ คือ ปัจจุบัน

แน่นอนว่า การมองย้อนอดีตเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการคาดการณ์อนาคต แต่ต้องย้อนมองแบบวิเคราะห์ ไม่ใช่ใส่อารมณ์ความรู้สึกให้เข้าไปตกหล่มอยู่กับอดีตนั้นอีกครั้ง และไม่จำเป็นต้องมองอยู่ตลอดเวลาด้วย เปรียบได้กับการขับรถ เราจะมองเห็นกระจกหลังก็เฉพาะเวลาจะเปลี่ยนช่องทาง เวลาจะแซง หรือมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเท่านั้น ใครที่มัวแต่มองกระจกหลังโดยไม่ใส่ใจกระจกหน้าในไม่ช้าก็จะประสบกับอุบัติเหตุ เช่นเดียวกับคนที่มีอดีตอันเจ็บปวดจากการหย่าร้าง เมื่อวิถีชีวิตเปลี่ยน จะต้องแต่งงานอีกครั้ง การย้อนกลับไปมองอดีตเพื่อวิเคราะห์ก็จะมีประโยชน์ในอนาคต แต่ไม่ใช่มานั่งนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นอยู่ตลอดเวลา

อดีตมีไว้ให้เรียนรู้เพื่อสร้างอนาคต จงใช้อดีตเพื่อเป็นบันไดก้าวไปสู่ความสำเร็จของชีวิต ก่อนที่มันจะกลายเป็นโซ่ตรวนแห่งความทรงจำ

@@@@@@

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วจะเห็นได้ว่าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปตามล่าไขว่คว้าความสุขจากที่ไหนไกล แต่แสวงหามันได้จากทุกๆ ที่ ทุกๆ การกระทำที่คุณทำในชีวิต มองหาความสุขระหว่างทางกลับบ้าน มอบรอยยิ้มเล็กๆ ให้กับเพื่อนร่วมงาน หรือกลับถึงบ้านก็รวมตัวกันนั่งพูดคุย กอดกันบ้าง พร้อมบอกรักทุกคน ลองเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตเสียใหม่ จากนั้นลองมองรอบตัวดูอีกครั้ง แล้วคุณจะพบว่าโลกสดใสขึ้นกว่าที่คุณเคยเห็นจากเมื่อก่อนเยอะเลย เพราะความสุขสร้างได้ง่ายๆ ด้วยสองมือเปล่าของเราเอง



ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/lifestyle/knowledge-work-inspiration/172850.html
By pant ,5 September 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ