ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : ปัญญาธรรม(1)  (อ่าน 1078 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28441
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สมาธิชาวบ้าน : ปัญญาธรรม(1)
« เมื่อ: กันยายน 01, 2014, 10:54:57 am »
0


สมาธิชาวบ้าน : ปัญญาธรรม(1)

จิตเมื่อถูกอบรมดีแล้วมันจะไปรู้ในสิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความวิเศษอะไร เพราะไม่ว่าใครจะมีพลังรู้มากขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถรอดพ้นความตายไปได้สักคน อยู่ได้ไม่เกินร้อยปีก็ตาย หรือถ้าเก่งกว่าร้อยปียังไงไม่เกินร้อยห้าสิบปีก็ตาย ถ้าแน่กว่านั้นไม่เกินสองร้อยปีก็ตาย ในที่สุดแล้วก็ไม่เห็นว่ามีใครแน่จริง สุดท้ายก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อตายแล้วก็เน่าเหมือนกันทุกคน ไม่เห็นมีใครแน่จริง เพราะฉะนั้นมันไม่มีความจริงอะไรในโลกนี้ที่จะจริงไปกว่าธรรมะ ธรรมะเป็นความจริง ถ้ามีความจริงที่จริงไปกว่าธรรมะได้ค่อยไปเชื่อถือ ดังนั้นปฏิบัติแล้วก็ต้องปล่อยวาง ในที่สุดอบรมไปมันก็ปล่อยวางหลุดพ้น ถ้าปฏิบัติแล้วพิจารณาอะไรไม่ออก มันก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร

 :25: :25: :25: :25:

การฟังธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อก่อนนี้พระเณรต่างๆ พอรู้ข่าวว่ามีพระรูปใดได้สำเร็จภูมิธรรมอันเป็นเลิศเป็นวิเศษแล้ว ก็ต้องดั้นด้นกันเดินทางไปในป่าในเขาลึกๆ เพียงเพื่อไปฟังธรรมที่ท่านจะแสดงให้ฟัง อันเป็นธรรมที่ท่านสำเร็จนั้น เพื่อเท่านั้นจริงๆ บางองค์ถึงกับอยู่ปรนนิบัติรับใช้เป็นหลายๆ ปี เพื่อแค่ได้ฟังธรรมที่ท่านได้ไปล่วงรู้สำเร็จธรรมนั้น

การได้ฟังธรรมที่ท่านผู้สำเร็จแสดงมันช่างมีความปีติ มีความชื่นใจ และก็มีปัญญาธรรมหลังจากได้ฟังธรรมนั้น ธรรมที่สำเร็จจะถูกแสดงออกมาโดยกระจ่างแจ่มชัด เป็นธรรมที่สมบูรณ์ ใครได้ฟังแล้วก็มีความปีติชื่นใจ
 
การได้ฟังธรรมจากท่านที่สำเร็จนั้นมันยิ่งกว่าการได้สัมผัสอะไรทั้งสิ้น เพราะธรรมที่แสดงมันสดับไปถึงในใจ ใจก็เกิดความรู้ความเห็น เกิดปัญญาธรรมขึ้นภายในใจ บางครั้งธรรมนั้นก็เป็นเพียงการเติมให้เต็ม เหมือนแก้วที่รอน้ำหยดสุดท้าย พอได้น้ำหยดสุดท้ายมานี้มันก็ทำให้เต็ม หลังจากที่เฝ้ารอคอยมา เมื่อเราขาดภูมิธรรมข้อนั้นอยู่ พอได้สดับฟังธรรมมันก็เกิดเต็มขึ้นมา จิตมันจะยกระดับขึ้นเองโดยอัตโนมัติ



การปฏิบัติอย่าไปเข้าใจผิดว่าปฏิบัติแล้วมันจะต้องเข้าไปสู่มิตินั้น มิตินี้ มันไม่มี มีแค่สงบลง สงบลงแล้วมันเกิดปัญญาธรรมขึ้น

ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นใจมันพัฒนาขึ้น ปัญญาธรรมก็บังเกิดภายในใจเรา เหมือนการส่องกระจก ถ้าไม่เคยส่องกระจกก็จะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นยังไง พอเริ่มส่องกระจกก็จะเห็น เช่นว่า อ๋อ...ไอ้ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาทของเรา มันน่าเกลียดอย่างนี่เอง เป็นต้น ปกติจะเห็นแต่ของคนอื่น

เมื่อใจเราได้สมาธิแล้ว ถ้าจะหยิบยกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันขึ้นมาพิจารณา มันก็เป็นธรรมะทั้งนั้น แต่ถ้าเรายังมีอารมณ์ไปปกคลุม ใจมันก็จะมองไม่เห็นธรรม ต้องปฏิบัติจนใจมันนิ่งแล้ว อารมณ์ก็จะปกคลุมไม่ได้ จิตเป็นสิ่งที่มีความอัศจรรย์มาก การที่เราฟังธรรมมากเข้าๆ มันก็เกิดปัญญาขึ้นภายในใจเรา เป็นปัญญาธรรม.


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/310814/95480
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ