ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - Mahajaroon
หน้า: [1] 2
1  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: เมืองไทย ยังมีที่ สวย ๆ อีกมาก คะ บันทึกภาพธรรมจาริก จากหลวงพ่อ เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2011, 02:27:30 pm
นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานป๋า ศูนย์การค้าแดนใต้

คำขวัญของจังหวัดไหน...ใครทราบบ้างครับ ?

เมื่องไทย น่าเที่ยวทุกๆ จังหวัดครับ
แต่ที่น่าเทียวมากกว่านั้นคือ แดนอันเกษมที่กล่าวกันว่าพระนิพพานไงครับ


 :25:                                                      :25:                                              :25:
2  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระสารีบุตร เข้าสู่ นิพพาน วันลอยกระทง เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2011, 02:15:49 pm
            ท่านพระปุณณมันตานีบุตรกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ผมกำลังพูดอยู่กับท่านผู้เป็นสาวก

          ......... แม้ในแง่ของความประพฤติ ท่านก็เป็นภิกษุต้นแบบ เสมือนตาชั่งอันเป็นมาตรฐานของ
ความเป็นภิกษุ แม้ในวันนี้ก่อนที่ท่านจะปรินิพพานไม่กี่นาที ท่านก็ขอขมาภิกษุ ๕๐๐ รูป
ที่เดินทางมาด้วยกันว่า หากเคยทำอะไรที่ไม่เป็นที่พอใจ ก็ขอให้งดโทษนั้นแก่ท่านด้วย
ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปต่างตอบเป็นความเดียวว่า ไม่เคยเห็นโทษแม้เล็กน้อยในท่านพระสารีบุตรเลย

ฯลฯ......................ฯลฯ

   


 :25:

   เดียวนี้กลายเป็นประเพณีไปแล้วครับ ขอขมากันในวันเข้าพรรษา พระผู้น้อยขอขมาต่อผู้ใหญ่
ประเพณีนี้หากเราสามารถถ่ายทอดปลูกฝังให้มีในสังคมชาวไทย น่าจะทำให้สังคมดีกว่าทุกวันนี้เป็นแน่

       อ่านแล้วเพลินใจไพเราะจับใจมากครับเขียนใด้ดีมาก ได้ทั้งอรรถและพยัญชนะเลยที่เดียว
ท้ายสุดนี้ขอให้ธรรมะคุ้มครองอายุจงยืนนานหนอ





 :49:
3  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: เครื่องกลั่นกรอง 'ธรรม' ออกจากโลก เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2011, 08:55:14 pm
เห็นตัวแก่ดีกว่า  เห็นแก่ตัว

ชัดเจน ๆ โอ้ชัดเจน  แก้ได้ด้วยเครื่องกลั่นกรอง 'ธรรม' ออกจากโลก







                                             :25:
4  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: เร่งทำความเพียรเสียแต่วันนี้ ใครเล่าพึงรู้ว่าจะตายในวันพรุ่ง เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2011, 02:20:14 pm


                                                 คนมีความเพียร

                                        (วัณณุปถชาดก : ผู้ไม่เกียจคร้าน)
   
         
 
"ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่ทางทราย ได้พบน้ำในทางทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้งฉันใด 
มุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรและกำลัง เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจ ฉันนั้น"
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร  เมืองสาวัตถี  ตรัสวัณณุปถธรรม เพราะปรารภกุลบุตรคนหนึ่ง ไปฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา มีจิตเลื่อมใน เห็นโทษในกามและอนิสงส์ในการออกจากกามจึงบวช อุปสมบทได้ 5 พรรษา เรียนได้มาติกา 2 บท ศึกษาการประพฤติวิปัสสนา รับพระกรรมฐานที่จิตของตนชอบ ในสำนักของพระศาสดา เข้าไปยังป่าแห่งหนึ่ง จำพรรษา พยายามอยู่ตลอดไตรมาส ไม่อาจทำสักว่า โอภาสหรือนิมิตให้เกิดขึ้น
           
 ภิกษุนั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พระศาสดาตรัสบุคคล 4 จำพวก ในบุคคล 4 จำพวกนั้น เราคงจะเป็นปทปรมะ เราเห็นจะไม่มีมรรคหรือผลในอัตภาพนี้ เราจักกระทำอะไรด้วยการอยู่ป่า เราจักไปยังสำนักของพระศาสดา แลดูพระรูปของพระพุทธเจ้าอันถึงความงามแห่งพระรูปอย่างยิ่ง ฟังพระธรรมเทศนาอันไพเราะอยู่ (จะดีกว่า) ครั้นคิดแล้ว ก็กลับมายังพระเชตวันวิหารอีก
  พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอละความเพียร จริงหรือ
  ภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า
  พระศาสดาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุ เธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เห็นปานนี้ ทำไมจึงไม่ให้เขารู้จักตนอย่างนี้ว่า เป็นผู้มักน้อย หรือว่าเป็นผู้สันโดษ หรือว่าเป็นผู้สงัด หรือว่าเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง หรือว่าเป็นผู้ปรารภความเพียร ให้เขารู้จักว่า เป็นภิกษุผู้ละความเพียร
           
 เมื่อครั้งก่อน เธอได้เป็นผู้มีความเพียรมิใช่หรือ เมื่อเกวียน 500 เล่ม ไปในทางกันดาร เพราะทราย พวกมนุษย์และโคทั้งหลายได้นํ้าดื่มมีความสุข เพราะอาศัยความเพียร ซึ่งเธอผู้เดียวกระทำแล้ว เพราะเหตุไร บัดนี้ เธอจึงละความเพียรเสีย ภิกษุนั้นได้กำลังใจ ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้"

              ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองปกครองนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในตระกูลพ่อค้าเกวียน เมื่อเจริญวัยแล้วก็ได้เป็นนายกองเกวียนนำพ่อค้าเกวียน 500 เล่ม  ไปค้าขายต่างเมืองเป็นประจำ คราวหนึ่ง พระโพธิสัตว์นั้นเดินทางกันดารเพราะทรายแห่งหนึ่ง มีระยะประมาณ 60 โยชน์  โดยออกเดินทางเฉพาะกลางคืน กลางวันจะหยุด
             
ในการควบคุมพ่อค้าเกวียนไปค้าขายดังกล่าว  พระโพธิสัตว์จะตั้งผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์ให้เป็นผู้กำหนดทิศทาง คราวนั้น คนกำหนดทิศทางได้ม่อยหลับไปเพราะเหน็ดเหนื่อย เนื่องจากไม่ได้หลับเป็นเวลานาน ทำให้โคนำเกวียนหวนกลับมาในเส้นทางเดิมอีก
             
พออรุณรุ่งตื่นขึ้นได้รู้ว่าเป็นเส้นทางเดิมจะบอกให้กลับเกวียน แต่ขณะนั้นสว่างเสียแล้ว  พวกพ่อค้าเหล่านั้น เมื่อรู้ว่าพวกตนได้กลับมายังที่ที่พักแรมเมื่อวานนี้ก็ได้แต่เสียใจ  เพราะน้ำดื่มน้ำใช้รวมทั้งฟืนที่เตรียมมาหมดลงพอดี จึงพากันหยุดพัก ณ ที่นั้นอีกครั้งหนึ่ง
             
ฝ่ายนายกองเกวียนโพธิสัตว์พยายามสร้างขวัญและกำลังใจให้เกิดแก่บริวาร จึงเดินไปรอบ  ๆ บริเวณค่ายพักในขณะที่ยังเช้าอยู่ พลันได้เหลือบเห็นหญ้าแพรกกอหนึ่งยังเขียวสดอยู่ท่ามกลางทะเลทราย เกิดความคิดว่าหญ้าจะสดชื่นอยู่ได้จะต้องมีน้ำที่ให้ความชื่นอยู่เบื้องล่าง จึงสังคนนำจอบขุดลงไปใต้กอหญ้า พอขุดลึกลงไปถึง 60 ศอก ก็พบแผ่นหินใหญ่จึงเกิดความท้อถอย
             
ฝ่ายนายกองเกวียนโพธิสัตว์คิดว่า ใต้แผ่นหินนี้จะต้องมีสายน้ำเป็นแน่ได้เงี่ยหูฟังและได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่เบื้องล่าง จึงบอกคนรับใช้ให้ใช้ค้อนเหล็กทุบลงไปที่แผ่นหินนั้น  พอแผ่นหินแตกเกลียวน้ำประมาณเท่าลำตาลก็พุ่งขึ้นมา คนทั้งปวงต่างพากันตื่มกันและอาบ พออาทิตย์อัสดงจงได้ยกธงไว้ใกล้บอน้ำนั้น เพื่อผู้ผ่านไปมาจะได้เห็นและแวะมาดื่ม อาบตามอัธยาศัย
             
 ครั้นแล้ว นายกองเกวียนและบริวารก็ออกเดินทางไปค้าขายตามเมืองต่าง ๆ ขายสินค้าได้กำไร 2-3 เท่าแล้ว จึงกลับไปยังที่อยู่ของตนโดยสวัสดิภาพ
            ครั้นตรัสเรื่องนี้จบลงแล้ว พระพุทธองค์ได้ตรัสพุทธภาษิตว่า
"ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นใต้ทราย
ได้พบน้ำใต้ทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้งฉันใด
มุนี (ผู้รู้) ประกอบด้วยความเพียรและกำลังใจเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน
พึงได้ความสงบใจฉันนั้น"               

สรุปเทศนา
              คนรับใช้ผู้ไม่ละความเพียร ต่อยหินให้นํ้าแก่มหาชนในสมัยนั้น ได้เป็น ภิกษุผู้ละความเพียรรูปนี้ ในบัดนี้
              บริษัทที่เหลือในสมัยนั้น ได้เป็น พุทธบริษัท ในบัดนี้
              ส่วนหัวหน้าพ่อค้าเกวียน ได้เป็น เราตถาคต


ที่มา พระสูตรและอรรถกถา เล่มที่ 55 ขุททกนิกายชาดก ภาคที่ 1 เอกนิบาตชาดก
5  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: แก้ว...อันประเสริฐ เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 09:18:25 pm
เป็นคติธรรมขั้นเทพเลยที่เดียว สุดยอดจริง
ขอความเจริญในธรรมจงมีแต่เจ้าของกระทู้นี้ด้วยเทอญ เจริญพร

ใครก็ตามรู้เรื่องเข้าใจพระรัตนตรัยอย่างเดียวรับรองว่า ศีล ๕ บริสุทธิ์แน่ เพราะกลัวบาป

ขอฝากคำพูดไว้ให้คิดสักนิดก่อนจากไป
<>ในโลกนี้ไม่มีใครที่จะฉลาดไปทุกเรื่อง
และในโลกก็ไม่มีใครที่จะโง่ตลอดไป
เพราะความรู้สามารถเรียนทันกันได้
คนโง่ที่ยังรู้ว่าตนเองโง่ยังพอฉลาดอยู่บ้าง
แต่คนฉลาดที่ไม่รู้ว่าตนเองโง่ไม่เป็นคนเฉลียวเลย<>

 :33:       :85:
6  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: สมาธิชั่ว "ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น" เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 08:47:06 pm
แสดงว่า ถ้าเราปฏิบัติ สมาธิ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ได้อานิสงค์ ผลบุญแล้ว
ถ้าเราทำมาก ๆ ขึ้น อานิสงค์ ก็ต้องมากขึ้นด้วยใช่หรือไม่คะ

  :25:

ตามคำพูดข้างบนหมายถึงระยะเวลาของการปฏิบัติ
แต่คำว่าชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เป็นเรื่องของจิตที่สงบ
เราจะใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติว่าอยู่ระดับไหน
หากเขาคนนั้นไม่เคยฝึกจิตเลยจะนำคำที่ว่านี้มาพูดว่านั่งไปเถอะไม่ต้องนานใช้ไม่ได้ผลหรอก
เพราะสมาธิเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องฝึกให้ชำนาญมั่นคง ฉนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยวันละ ๓๐ นาที
ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา ๓  ปีเป็นอย่างน้อย ถึงจะคล่องแคล่วในการเข้าการออกจากสมาธิ

จงทบทวนบทความด้านล่างได้กล่าวไว้ชัดเจน...เจริญพร

>>>>ประโยชน์ของข้อความที่ว่า  สติปัฏฐานเกิดแม้เพียงชั่วช้างกระดิกหู  หรือไก่ปรบ

ปีก หรืองูแลบลิ้น ที่กล่าวอุปมาไว้เปรียบเทียบแสดงไว้ว่า  เร็วแค่ไหน ก็มีประโยชน์มาก

เพราะเหตุว่าถ้าไม่เคยเกิดเลย ก็ยังเกิดได้ แม้สั้นมาก เร็วมาก  ๑ ขณะ หรือน้ำหยดหนึ่ง

ที่จะลงตุ่มจนกว่าจะเต็ม ทีละ ๑ หยด นานๆ ครั้งหนึ่ง  ก็ยังเต็มได้  เพราะฉะนั้นแม้เพียง

ขณะสั้นๆ  ต่อไปเราก็จะคุ้นเคย จะค่อยๆ รู้ว่า  นี่คือขณะที่กำลังเริ่มรู้ลักษณะแท้จริงของ

สภาพธรรมที่เราเรียนมา  ฟังมา นานแสนนาน  แต่ประโยชน์ก็อยู่ตรงที่ระลึกรู้ลักษณะนั้น

เพื่อที่จะรู้จริงๆ ว่าความจริงเป็นไปตามที่ได้เรียนมา ประโยชน์สูงสุดอยู่ตรงนี้<<<<<<

สภาพธรรมที่แท้จริง คือ อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา ของสัพพะสิ่ง
                                                                                                :s_laugh:
7  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ปริศนาในเรื่องหลั่งน้ำศพ เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 11:01:36 am
ที่บ้านผมนั้น ก็เห็นคนเฒ่า คนแ่ก่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ผู้สูงอายุ ก็มีการรดน้ำศพครับ ไม่ใช่เฉพาะพวกคนมียศครับ ที่รดน้ำศพ ก็น่าจะเป็นการให้ความเคารพ เช่นเดียวกับ การรดน้ำดำหัว ส่วนประวัตินั้นไม่ทราบครับ

  :25:


นึกได้ ๓ วิธีตามพิธีนิยม

๑ อาบน้ำให้ศพ
๒ รดน้ำให้ศพ
๓ หลั่งน้ำให้ศพ

น่าจะมีความหมายลึกกว่านั้นนะครับ
ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ทุกคนมี
มีภาพมาให้ดูเล่นครับ






ที่คุณพูดมาก็ถูกนะครับแต่ยังไม่หายสงสัย
8  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: การโพสรูปในบอรด์นะครับ เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 10:38:48 am
ขอบคุณมากมาย
หนึ่งรูปภาพสื่อได้ล้านคำพูดครับผม
9  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ปริศนาในเรื่องหลั่งน้ำศพ เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 08:19:09 am
ได้มีโอกาสจัดงานศพจึงมีเรื่องให้ส่งสัยมากมายขอท่านผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างด้วย

๑ ศพเจ้าคนนายคนมีการรดน้ำให้ แต่ศพสามัญชนไม่เห็นมี  ข้อนี้งงช่วยตอบด้วยครับ ?

๒ ปริศนาเรื่องรดน้ำให้ผู้ตายหรืออาบน้ำให้ศพมีมาอย่างไรตามประเพณีนิยม ครับ ?

ประเพณีนี้แต่ละท้องถิ่นคงไม่เหมือนกันใครมีประสบการณ์ตรงนำมาเล่าให้ฟังกันบ้างครับ ?
เจริญพรมายังอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายใครรู้เรื่องนี้ก็เจริญพรเชิญตอบได้นะครับ ธรรมะคุ้มครอง
 :welcome:
10  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ความไม่เห็นแก่ตัว เมื่อ: ตุลาคม 29, 2011, 04:18:24 pm


หากเห็นแก่ตัวแก้ด้วยการละความเห็นแก่ตัว

อุบายการละสักกายทิฏฐิ คือ กลยุธในการสละ ความเห็นว่าเป็นตัวเราของเรา


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสอน อุบายการละสักกายทิฏฐิไว้มีดังนี้


๑  ท่านจงพิจารณาความไม่เที่ยงไว้เสมอ ๆ จักได้คลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้ด้วยประการทั้งปวง แม้จักละได้ยังไม่สนิท ก็บรรเทาสักกายทิฏฐิลงได้บ้างไม่มากก็น้อย

๒   จงอย่าลืมคำว่าสักกายทิฏฐิเป็นขั้น ๆ ตั้งแต่อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด คือ ตั้งแต่ปุถุชนมาสู่พระโสดาบัน-พระสกิทาคามี-พระอนาคามี-พระอรหันต์ ล้วนแต่ละสักกายทิฏฐิในระดับนั้น ๆ ทั้งสิ้น

๓   สาเหตุก็เนื่องมาจากการเห็นทุกข์ในความไม่เที่ยง จากการเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบก็เป็นทุกข์ ความโศกเศร้าเสียใจเป็นทุกข์ แล้วในที่สุดความตายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ ต่างคนต่างปฏิบัติไป ก็เข้าสู่อริยสัจตามระดับจิตนั้น ๆ โดยเห็นความไม่เที่ยง-เป็นทุกข์-เป็นโทษ จึงพิจารณาสักกายทิฏฐิเพื่อปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่นในทุกข์นั้นลงเสีย   พระพุทธองค์ทรงยกตัวอย่างให้ดู พุทธสาวกทั้งหลาย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของพวกเราว่า แม้ท่านจะจบกิจเป็นพระอรหันต์มาหลายสิบปีแล้ว ท่านก็ไม่เคยทิ้งการทำบุญ-ทำทาน-ทำกุศล ให้พวกเราทุกคนปฏิบัติตามท่าน

สรุปว่า
๑  ทรงสอนให้ตัดหรือละสักกายทิฏฐิข้อเดียว ก็จบกิจในพุทธศาสนาได้
๒  คำสั่งสอนของพระองค์มี ๘๔,๐๐๐ บท สรุปแล้วเหลือประโยคเดียวคือ จงอย่าประมาท
 :25:   
11  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: สมบัติของมนุษย์ เมื่อ: ตุลาคม 29, 2011, 02:39:58 pm
มนุษย์ผู้มีใจสูง

     สัตว์โลกที่ชื่อว่า มนุษย์ เพราะอรรถว่าเป็นเหล่ากอแห่งพระมนู ก็พระโบราณาจารย์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า สัตว์โลกทั้งหลายที่ชื่อว่ามนุษย์ เพราะเป็นผู้มีใจสูง.
     มนุษย์เหล่านั้นมี ๔ จำพวกคือ 
     พวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป  ๑ 
     พวกมนุษย์ชาวอมรโคยาน (อปรโคยานทวีป) ๑ 
     พวกมนุษย์อุตตรกุรุ ๑ 
     พวกมนุษย์ชาวปุพพวิเทหะ  ๑

     ในสังยุตตนิกาย กล่าวความเกิดเป็นมนุษย์แสนยาก ความว่าแผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคทรงช้อนไว้ที่ปลายพระนขามีประมาณน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่ ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคทรงช้อนไว้ที่ปลายพระนขา (เล็บ) ย่อมไม่ถึงซึ่งการนับ การเปรียบเทียบ หรือแม้ส่วนเสี้ยว
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติในพวกมนุษย์แล้วกลับมาเกิดในพวกมนุษย์มีน้อย โดยที่แท้สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้วกลับไปเกิดในนรกมีมากกว่า ฯลฯ.
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิดในพวกมนุษย์มีน้อย โดยที่แท้สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานมีมากกว่า ฯลฯ.
     สาเหตุที่ได้มาเกิดในโลกแล้วเป็นมนุษย์ต้องอาศัยปฏิปทาดังนี้
     ปฏิปทาให้มาเกิดเป็นมนุษย์สิกขาบท  ๕  อย่าง  ศีล ๕
     ๑.  ปาณาติปาตา  เวรมณี    [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่าสัตว์] 
     ๒. อทินนาทานา  เวรมณี   [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์]
     ๓. กาเมสุมิจฉาจารา  เวรมณี  [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม] 
     ๔. มุสาวาทา  เวรมณี  [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ]
     ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา  เวรมณี  [เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท] 
 ในภูมิกสูตร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสความว่าสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปาวาริกอัมพวัน ใกล้เมืองนาฬันทา ครั้งนั้นแล นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ มีคณโฑน้ำติดตัวประดับพวงมาลัยสาหร่าย อาบน้ำทุกเช้าเย็น บำเรอไฟ พราหมณ์เหล่านั้น
ชื่อว่า ยังสัตว์ที่ตายทำกาละแล้วให้เป็นขึ้น ให้รู้ชอบ ชวนให้เข้าสวรรค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถกระทำให้สัตว์โลกทั้งหมด เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ได้หรือ
     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณี ถ้าอย่างนั้นเราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ปัญหาควรแก่ท่านด้วยประการใด ท่านพึงพยากรณ์ปัญหา ข้อนั้นด้วยประการนั้น ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
     บุรุษในโลกนี้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด หมู่มหาชนมาประชุมกันแล้ว  พึงสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบผู้นั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะเหตุการสวดวิงวอน เพราะเหตุการสรรเสริญ หรือเพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบดังนี้หรือ ฯ
     คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
     พ. ดูกรนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษโยนหินก้อนหนาใหญ่ ลงในห้วงน้ำลึก หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอนสรรเสริญ ประนมมือ  เดินเวียนรอบหินนั้นว่า ขอจงโผล่ขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงลอยขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหิน ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ก้อนหินนั้นพึงโผล่ขึ้น พึงลอยขึ้น หรือพึงขึ้นบก เพราะเหตุการสวดวิงวอน สรรเสริญประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ฯ 
     คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
     พ. ดูกรนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษคนใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วย อภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวด  วิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป  จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ซึ่งความจริงบุรุษนั้นเมื่อตาย พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ  วินิบาต นรก ฯ
     ดูกรนายคามณี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษในโลกนี้เว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา  ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบหมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอนสรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
     บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต  นรก เพราะเหตุการสวดวิงวอน สรรเสริญ หรือเพราะเหตุการประนมมือเดิน เวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ ฯ 
     คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
     พ. ดูกรนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษลงยังห้วงน้ำลึกแล้ว พึงทุบหม้อเนยใสหรือหม้อน้ำมัน ก้อนกรวดหรือก้อนหินที่มีอยู่ในหม้อนั้น พึงจมลง เนยใสหรือน้ำมันที่มีอยู่ในหม้อนั้นได้ลอยขึ้น หมู่มหาชนพึงมาประชุมกัน แล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบเนยใสหรือน้ำมันนั้นว่าขอจงจมลงเถิดท่านเนยใสและน้ำมัน ขอจงดำลงเถิดท่านเนยใสและน้ำมัน ขอจงลงภายใต้เถิดท่านเนยใสและน้ำมัน ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เนยใสและน้ำมันนั้นพึงจมลง พึงดำลง พึงลงภายใต้ เพราะเหตุการสวดวิงวอนสรรเสริญ หรือเพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ
     คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ 
     พ. ดูกรนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษใดเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ หมู่มหาชนจะพากันมาประชุมแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษ  นี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แต่ความจริง บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
     ในตมสูตรได้กล่าวถึงบุคคล ๔ จำพวก ความว่า
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ 
     ผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑
     ผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไปจำพวก ๑
     ผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑
     ผู้สว่างมาแล้ว มีสว่างต่อไปจำพวก ๑ }

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล ตระกูลช่างสาน  ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือในตระกูลคนเทหยากเยื่อ อันเป็นตระกูล เข็ญใจ มีข้าว น้ำและโภชนะน้อย เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภคและผ้านุ่งห่มได้โดยฝืดเคือง
     อนึ่ง เขามีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรคมาก เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือพิการไปแถบหนึ่ง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป ตามสมควร เขาซ้ำประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจาและด้วยใจ ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปอย่างนี้แลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไปเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล ตระกูลช่างสาน ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือตระกูลคนเทหยากเยื่อ อันเป็นตระกูลเข็ญใจ มีข้าว น้ำและโภชนะน้อย เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภคและผ้านุ่งห่มได้โดยฝืดเคือง 
     อนึ่ง เขามีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรคมาก เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือเป็นคนพิการไปแถบหนึ่ง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป ตามสมควรแต่เขาประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจ ครั้นประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้วมีสว่างต่อไป อย่างนี้แล ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือตระกูลคหบดีมหาศาล อันเป็นตระกูล มั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้ที่น่าปลื้มใจมากมาย มีทรัพย์สินเหลือล้น
     อนึ่ง เขามีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก เป็นผู้มีปรกติได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป แต่เขาประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติทุจริต ด้วยกาย วาจา และใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้วมีมืดต่อไปอย่างนี้แล ฯ
 :88:     :25:    :88:      :25:
12  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ตามหาแก่นธรรม เมื่อ: ตุลาคม 29, 2011, 02:14:20 pm
น้ำท่วมครั้งนี้เห็นแก่นธรรม แต่บางครั้งยังไม่เจอแก่นธรรม
เพราะเหตุอะไรจึงได้พูดเช่นนี้
ประการแรก

๑ การให้ทานบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมยังเคลื่อนจากธรรมของพระสัมมา
๒ การรักษากายวาจาในขณะประสบภัยพิบัติ ยังคิดว่าคนรวยเอาเปรียบคนจน ยังมีเขามีเรา
๓ จิตใจไม่มีวันสงบเพราะมองข้ามคุณค่าของการให้ทานและรักษากายวาจาของตน
 
ประการที่๒

๑ ตอนนี้หลายพื้นที่ทางภาคกลางกำลังประสบภัยพิบัติมีใครบ้างไหมที่ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส
๒ เมื่อผู้นำผู้มีอำนาจสามารถรู้สาเหตุที่แท้จริงว่าเพราะเหตุอะไรเมื่องไทยจึงประสบภ้ย
๓ ในอนาคต ลูกหลานเหลน คงได้รับความอุ่นใจว่าประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำลอยเดิมแน่นอน
๔ ประวัติศาสตร์จะจารึกไว้ให้คนทั้งโลกรู้ว่าเราแก้ปัญหาให้กับตนเองได้ ยิ้มได้เมื่อภัยมา

ธรรมะนั้นมีหลากหลายตามจริตของคนแต่ที่พระพุทธเจ้าแสดงมากที่สุดก็คือ
อนุปุพพีกถา
ทาน  การให้อย่างฉลียวฉลาด
ศีล   การควบคุมกายวาจาให้ปกติ
สวรรค์ รู้จักคุณค่าของศีลทาน
กามาทีนวะ  ของดีมีประโยชน์หากไม่รู้จักใช้จะเกิดโทษได้ภายหลัง
เนกขัมมะ   ของดีมีประโยชน์มีคุณอันเลิศหรูแต่เป็นเพียงของนอกกายเท่านั้น

เมื่อผู้ใดเข้าใจธรรมะ ๕ ข้อข้างต้นดีแล้ว พระองค์จึงแสดงสัจจธรรมล้วนๆ เรียกว่า
ทุกข์  ควรกำหนดรู้
สมุทัย ควรกำหนดละ
นิโรจน์ ควรทำให้แจ้ง
มรรค   ควรเจริญให้ถึงพร้อม

 :25:
อ้างอิงจากดวงใจน้อยๆ
อธิบายตามความเข้าใจของกระผม หากผิดพลาดประการใดขอน้อมรับด้วยเกล้าทุกประการ
สุดท้ายนี้ผู้รู้ท่านใดที่สามารถอธิบายธรรมโดยใช้ประสบการณ์ปัจจุบันมาเสนอ ขอเชิญนะครับ
13  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: วิญญาณแสนรู้ เมื่อ: ตุลาคม 29, 2011, 12:56:32 pm
คุณๆๆอย่ามองข้าม โสฬสญาณ หรือ ญาณ ๑๖ (ญาณแสนรู้ชัดเจนกว่าวิญญาณแสนรู้)
วิปัสสนาญาณ หมายถึง ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ เห็นประจักษ์แจ้งซึ่ง ไตรลักษณ์ แห่งรูปนาม

๑. นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นรูปเห็นนามว่าเป็นคนละสิ่งคนละส่วน ซึ่งไม่ได้ระคนปนกันจนแยกกันไม่ได้

๒. ปัจจยปริคคหญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นถึงปัจจัยที่ให้เกิดรูป เกิดนาม คือ รูปเกิดจาก กรรม จิต อุตุ อาหาร ส่วนนามเกิดจาก อารมณ์ วัตถุ มนสิการ

๓. สัมมสนญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นไตรลักษณ์ คือ ความเกิดดับของรูปนาม แต่ที่รู้ว่ารูปนามดับไปก็เพราะ เห็นรูปนามใหม่เกิดสืบต่อแทนขึ้นมาแล้ว เห็นอย่างนี้เรียกว่า สันตติยังไม่ขาดและยังอาศัยจินตามยปัญญาอยู่ อีกนัยหนึ่งว่า สัมมสนญาณ เป็นญาณที่ยกรูปนามขึ้นสู่ไตรลักษณ์

๔. อุทยัพพยญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นไตรลักษณ์ชัดเจน โดยสันตติขาด คือ เห็นรูปนามดับไปในทันทีที่ดับ และเห็นรูปนามเกิดขึ้นในขณะที่เกิด หมายความว่า เห็นทันทั้งในขณะที่เกิดและขณะที่ดับ อุทยัพพยญาณนี้ยังจำแนกได้เป็น ๒ คือ ตรุณอุทยัพพยญาณ เป็นญาณที่ยังอ่อนอยู่ และพลวอุทยัพพยญาณ เป็นญาณที่แก่กล้าแล้ว

๕. ภังคญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นความดับแต่อย่างเดียว เพราะความดับของรูปนามเป็นสิ่งที่ตื่นเต้นกว่าความเกิด

๖. ภยญาณ บ้างก็เรียกว่า ภยตูปัฏฐานญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นว่ารูปนามนี้เป็นภัย เป็นที่น่ากลัว เหมือนคนกลัวสัตว์ร้าย เช่น เสือ เป็นต้น

๗. อาทีนวญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นว่ารูปนามนี้เป็นโทษ เหมือนผู้ที่เห็นไฟกำลังไหม้เรือนตนอยู่ จึงคิดหนีจากเรือนนั้น

๘. นิพพิทาญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นว่า เกิดเบื่อหน่ายในรูปนาม เบื่อหน่ายในปัญจขันธ์

๙. มุญจิตุกมยตาญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นว่าใคร่จะหนีจากรูปนาม ใคร่จะพ้นจากปัญจขันธ์ เปรียบดังปลาเป็น ๆ ที่ใคร่จะพ้นจากที่ดอนที่แห้ง

๑๐. ปฏิสังขาญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นเพื่อหาทางที่จะหนี หาอุบายที่จะเปลื้องตนให้พ้นจากปัญจขันธ์

๑๑. สังขารุเบกขาญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นว่า จะหนีไม่พ้นจึงเฉยอยู่ไม่ยินดียินร้าย ดุจบุรุษอันเพิกเฉยในภริยาที่ทิ้งขว้างหย่าร้างกันแล้ว

๑๒. อนุโลมญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นให้คล้อยไปตามอริยสัจจญาณนี้เรียกว่า สัจจานุโลมิกญาณ ก็ได้
๑๓. โคตรภูญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นพระนิพพาน ตัดขาดจากโคตรปุถุชนเป็นโคตรอริยชน
๑๔. มัคคญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นพระนิพพาน และตัดขาดจากกิเลสเป็นสมุจเฉทประหาณ
๑๕. ผลญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นพระนิพพานโดยเสวยผลแห่งสันติสุข
๑๖. ปัจจเวกขณญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นใน มัคคจิต,ผลจิต,นิพพาน, กิเลสที่ละแล้ว และกิเลสที่ยังคงเหลืออยู่ ตั้งแต่ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ จนถึงญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณ รวม ๑๐ ญาณ นี้เรียกว่า วิปัสสนาญาณ เพราะสัมมสนญาณนั้น เริ่มเห็นไตรลักษณ์แล้วบางแห่งก็จัดว่า วิปัสสนาญาณ มีเพียง ๙ คือ นับตั้งแต่ญาณที่ ๔ อุทยัพพยญาณ จนถึงญาณที่ ๑๒ อนุโลมญาณ เพราะอุทยัพพยญาณเป็นญาณแรกที่รู้เห็นไตรลักษณ์ ด้วยปัญญาชนิดที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา โดยตรงโดยไม่ต้องอาศัย จินตามยปัญญาเข้ามาช่วย
 :25:
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณที่กรุณาสละเวลามาตอบกระทู้ให้
พวกเรา ชาวเว็บมัฌชิมาไม่เคยแร้งน้ำใจต่อแต่นี้ไปจะทำดีตอบแทน
ขอบคุณพระพุทธ ขอบคุณพระธรรม ขอบคุณพระสงฆ์
ขอบคุณคุณธรรมที่มีอยู่ในท่านผู้ตอบกระทู้ทุกๆท่าน ผมอ่านแล้วโง่น้อยตั้งมากมาย
14  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ขอให้แสดงความเห็นเรื่องไหว้พระหน้าคอมพิวเตอร์ เมื่อ: ตุลาคม 29, 2011, 12:01:27 pm
เห็นด้วยกับความคิดนี้  แต่เมื่อเราไหว้พระแล้วต้องพักผ่อนจริงไหม?

การไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอน (ไหว้พระหน้าคอมฯ)
 

           การไหว้พระสวดมนต์เป็นขนบธรรมเนียม เป็นแบบแผน และเป็นหลักปฏิบัติเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยแต่โบราณ

การสวดมนต์ก่อนนอนเป็นกุศโลบายเพื่อผ่อนคลายจิต หรือเป็นการลดระดับจิตที่วิ่งวุ่นมาทั้งวัน ให้สงบระงับก่อนก้าวลงสู่ความหลับ เพื่อไม่ให้หลับไปพร้อมกับความกระวนกระวายกระสับกระส่าย

           การนอนเป็นอิริยาบถใหญ่ที่สำคัญของคนเรา  พระพุทธเจ้าทรงสอนเราให้รู้จักใช้การนอนทำสมาธิอีกอิริยาบถหนึ่ง นอกเหนือจากการทำสมาธิแบบนั่ง(สมาธิ)และเดิน(จงกรม)  เป็นการใช้การนอนบริหารจิตใจให้สะอาดผ่องใสงดงาม ไม่หยาบกระด้างก้าวร้าว

           การไหว้พระก่อนนอนเป็นรูปแบบวิถีชีวิตอันงดงามของชาวไทยมาแต่โบราณ  ว่าโดยรูปแบบการไหว้พระก่อนนอนยึดแบบมาจากการทำสมาธิ   แต่แทนที่จะใช้วิธีการนั่งบริกรรมคำใดคำหนึ่ง  เช่น  พุทโธ, พองหนอ-ยุบหนอ, สัมมา-อะระหัง เป็นต้น เพื่อเป็นสื่อให้เข้าถึงความสงบ ก็กลับใช้การไหว้พระสวดมนต์เป็นอุบาย

          การไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนจึงเป็นวิธีการเข้าสู่สมาธิตามวิถีชีวิตแบบไทยๆ มาแต่โบราณ   เพื่อเป็นสื่อให้เข้าสู่ความหลับอย่างสบายไม่กระสับกระส่าย  เมื่อหลับก็ไม่ฝันร้าย  ตื่นก็สดชื่นไม่ง่วงซึม เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจักเกิดเหตุร้ายในชีวิตก็ทำให้เกิดนิมิตรู้ล่วงหน้า ที่เรียกว่า "เทวสังหรณ์"  คือเทวดาบอกเหตุล่วงหน้า

 

มาจากหนังสือ ลูกผู้ชายต้องบวช ผู้แต่ง ญาณวชิระ    :25:

แล้วคุณละปฏิบัติตัวอย่างไร  อย่ามัวเล่นคอมเพลินจนดึกดื่นค่อนคืน สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญจริงหรือไม่ ?

15  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / 9 จัมมสาฏกชาดก เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 11:21:52 pm
 จัมมสาฏกชาดก

   อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน
   
   

   พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ ปริพาชกชื่อจัมมสาฏก จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
   

   ได้ยินว่า ปริพาชกนั้นมีหนังเท่านั้นเป็นเครื่องนุ่งและเครื่องห่ม (เปลือยกาย) วันหนึ่ง ปริพาชกนั้นออกจากอารามของปริพาชก เพื่อเที่ยวภิกขา ครั้นเมื่อไปในนครสาวัตถี ถึงที่หนึ่งซึ่งมีพวกแพะชนกัน แพะเห็นปริพาชกนั้นจึงย่อตัวลงด้วยประสงค์จะวิ่งเข้าชน ปริพาชกไม่หลบแพะนั้นด้วยคิดว่า แพะนี้ คงแสดงความเคารพเรา  (โดยการย่อตัว)

   แพะจึงวิ่งมาโดยรวดเร็ว ชนปริพาชกนั้นที่ขาอ่อนทำให้ล้มลง เหตุที่เขายกย่องแพะซึ่งมิใช่สัตบุรุษนั้น (โดยคิดว่าแพะจะทำความเคารพเขา) ได้ปรากฏไปในหมู่ภิกษุสงฆ์

   วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย จัมมสาฏกปริพาชกกระทำการยกย่องอสัตบุรุษ จึงถึงความพินาศ พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ปริพาชกนี้ก็ได้ยกย่องอสัตบุรุษแล้วถึงความพินาศ ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
   

   ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพ่อค้าตระกูลหนึ่ง กระทำการค้าอยู่ ในกาลนั้น มีจัมมสาฏกปริพาชกผู้หนึ่ง เที่ยวภิกขาไปในนครพาราณสี ถึงสถานที่พวกแพะชนกัน เห็นแพะตัวหนึ่งย่อตัวก็ไม่หลีกหนีด้วยสำคัญว่า มันทำความเคารพเรา คิดว่าในระหว่างพวกมนุษย์เหล่านี้ แพะตัวหนึ่งยังรู้จักคุณของเรา จึงยืนประนมมือแต้อยู่ กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :

   [๕๙๔] แพะตัวนี้เป็นสัตว์ที่มีท่าทางงดงามดี เป็นที่เจริญใจ และมีศีล น่ารักใคร่

   ย่อมเคารพนบนอบพราหมณ์ ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติและมนต์ทั้งหลาย นับ

   ได้ว่า เป็นแพะประเสริฐ มียศศักดิ์.

   ขณะนั้น พ่อค้าผู้เป็นบัณฑิตนั่งอยู่ในตลาด เมื่อจะห้ามปริพาชกนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :

   [๕๙๕] ดูกรพราหมณ์ ท่านอย่าได้ไว้วางใจแก่สัตว์ ๔ เท้า เพียงได้เห็นมันครู่

   เดียว มันต้องการจะชนให้ถนัด จึงย่อตัวลงจักชนให้ถนัดถนี่.

   ก็เมื่อพ่อค้าผู้เป็นบัณฑิตกำลังพูดอยู่นั่นแหละ แพะวิ่งมาโดยเร็วชนที่ขาอ่อน ทำให้ปริพาชกนั้นล้มลง ณ ที่นั้นเอง ทำให้ได้รับทุกขเวทนา ปริพาชกนั้นนอนปริเวทนาการอยู่

   พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเหตุนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๓ ว่า :

   [๕๙๖] กระดูกขาของพราหมณ์ก็หัก บริขารที่หาบอยู่ก็พลัดตก สิ่งของก็แตก

   ทำลายหมด พราหมณ์ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ว่า โธ่เอ๋ย แพะ

   มาฆ่าพรหมจารีได้.

   ปริพาชกจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :

   [๕๙๗] ผู้ใด สรรเสริญบูชาคนที่ไม่ควรบูชา ผู้นั้น จะต้องถูกเขาห้ำหั่นนอนอยู่

   เหมือนกับเราผู้มีปัญญาทรามถูกแพะชนเอาในวันนี้.

   ปริพาชกนั้นคร่ำครวญอยู่ด้วยประการฉะนี้ จึงถึงความสิ้นชีวิตไป ณ ที่นั้นเอง

   พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ปริพาชกชื่อจัมมสาฏกในครั้งนั้น ได้เป็นปริพาชกชื่อ จัมมสาฏกในบัดนี้ ส่วนพาณิชผู้บัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล

   จบ จัมมสาฏกชาดก
16  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / กุสนาฬิชาดก เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 11:00:48 pm
นิทาน กุสนาฬิชาดก
                                           ประโยชน์ของการผูกมิตร
       ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภมิตรของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสว่า " ธรรมดามิตร จะเป็นคนเล็กน้อยไม่มี ผู้สามารถรักษามิตรไว้ได้เป็นสิ่งประเสริฐ มิตรผู้เสมอกัน ต่ำกว่ากัน หรือสูงกว่ากันควรคบไว้ เพราะมิตรเหล่านั้น ย่อมช่วยแบ่งเบาภาระของเราได้ทั้งนั้น " แล้วนำอดีตนิทานมาสาธกว่า...

        กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเทวดาอยู่ที่กอหญ้าคาในพระราชอุทยาน เป็นมิตรกับเทวราชผู้ศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง ผู้อาศัยที่ต้นไม้มงคลของพระราชาอยู่ในพระราชอุทยานนั้นด้วย ครั้งนั้น พระราชาประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว เสาของปราสาทนั้นสั่นไหวขึ้น พระองค์จึงรับสั่งให้พวกช่างไม้หาไม้แก่น มาเปลี่ยนเสาปราสาทใหม่ พวกช่างไม้เสาะแสวงหาไม้แก่นในพระราชอุทยาน ตกลงกันจะเอาต้นไม้มงคลนั้นทำเป็นเสาปราสาท จึงกราบทูลพระราชา พระองค์จึงอนุญาตให้ตัดได้ วันนั้น พวกนายช่างได้ไปทำพลีกรรมต้นไม้มงคล และกำหนดตัดในวันพรุ่งนี้

        ฝ่ายเทวราช พอทราบว่าต้นไม้ที่อยู่อาศัยจะถูกตัด ไม่เห็นที่จะไป จึงกอดคอลูกน้อยร้องไห้อยู่ หมู่รุกขเทวดาทราบเรื่องแล้ว ก็ไม่มีใครจะช่วยแก้ปัญหาได้ เทวดาพระโพธิสัตว์ทราบเรื่อง จึงพูดปลอบเทวราชผู้สหายนั้นว่า " พรุ่งนี้เราจะไม่ให้ตัดต้นไม้นั้น พวกเราคอยดูเราเถิด "

        ครั้นรุ่งขึ้น พอพวกช่างไม้มาถึง ท่านก็แปลงตัวเป็นกิ่งก่าวิ่งนำหน้าพวกช่างไม้ไป มุดเข้าที่โคนต้นไม้มงคลไปโผล่ออกทางยอดไม้นอนผงกหัวอยู่ ทำประหนึ่งว่าต้นไม้นั้นเป็นโพรง

        นายช่างไม้เห็นเช่นนั้นแล้ว ก็เอามือตบต้นไม้นั้นแล้วตำหนิว่า " ต้นไม้นี้ มีโพรง ไร้แก่น เมื่อวานไม่ทันได้ตรวจดูถ้วนถี่ หลงทำพลีกรรมกันเสียแล้ว " ก็พากันหนีกลับไป

            เทวราชพอเห็นวิมานของตนไม่ถูกทำลาย ก็ยกย่องพระโพธิสัตว์ ท่ามกลางหมู่รุกขเทวดา ด้วยคาถาว่า
                                   " บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากันหรือเลวกว่ากัน ก็ควรคบกันไว้
                                  เพราะมิตรเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้
                                  เหมือนเราผู้เป็นเทวดาสถิตอยู่ที่ต้นรุจา กับเทวดาผู้สถิตที่กอหญ้าคาคบกัน "
   


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า    
      
ผู้คนควรมีมิตรทุกชั้นวรรณะ เมื่อคราวลำบากจะมีผู้ช่วยเหลือ

                                                           :08:
17  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / Re: 6.ติปัลลัตถมิคชาดก แม่เนื้อเจ้าปัญญา เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 10:34:40 pm
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อันความรู้ รู้ให้กระจ่างแต่อย่างเดียว ขอให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดเนื้อ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือปัญญายังมีปัญญาของเนื้อหลานชาย
18  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / Re: กัณฑินาชาดก การตกอยู่ในอำนาจหญิง เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 10:15:47 pm
อนุโมทนาคะ อยากให้ท่านมหา ช่วยสานต่อ บอร์ดนี้ได้หรือไม่คะ

  :25: :25: :25:

เจริญพร...หากมีเวลาก็เข้ามาช่วยได้ครับ
เพราะขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ด้วยปีหน้าจะเข้าป่าค้นหาทางพ้นทุกข์
เคลียดกับหนังสือบาลีก็มานั่งอ่านธรรมเล่นๆเป็นประจำ

 :49:
อ่านธรรมะวันละนิดจิตแจ่มใส
19  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / Re: รูปหลวงปู่สุก ไก่เถื่อนครับ เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 08:38:29 pm
ขอกราบแทบพระบาทของเจ้าพระคุณสมเด็จสังฆราชฯ
นับว่าเป็นบุญตาที่ได้เห็นภาพของท่านเจ้าพระคุณครั้งแรก
ผมขออนุญาตนำรูปภาพไปบูชาและเป็นที่ระลึกด้วยนะครับ



 :25:                   :25:                     :25:
20  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ขอให้แสดงความเห็นเรื่องไหว้พระหน้าคอมพิวเตอร์ เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 10:10:04 am
   ระวังไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เมื่อความทุกข์และเหตุร้ายมากร้ำกรายถึงตัว
ผมเองก็เคยอยู่เป็นพระที่สวนโมกข์หลายปี แต่เมื่อเหตุการณ์ความทุกข์เข้ามาถึง
จึงรู้ตัวว่า ในชีวิตฆราวาส วัตถุอันเป็นที่ระลึกถึงธรรม ถึงคุณงามความดี มีความ
จำเป็นอย่างยิ่ง

 แต่หากจิตเราฝึกฝนภาวนาไปจนถึง สรณะที่พึ่งอื่นไม่มี นอกจากพระธรรม
แล้วก็เป็นการดี

 ทำไม พระสงฆ์ปัจจุบัน ถึงได้ พยายามสร้าง เทวรูป ต่าง ๆ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=2999.0

เข้าถึงธรรม...อย่างนี้ถูกหรือป่าวครับ ?
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=452.0

การถวาย ดอกไม้ ธูปเทียน ในใจ ได้บุญหรือไม่
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=150.0

ศาสนาที่ไม่นับถือเทพเจ้า ไม่ใช่ว่าจะรังเกียรติเทพเจ้าจริงมั๊ย? เพียงแต่เห็นว่าเทพเจ้าก็ยังมีความทุกข์
สิ่งไหนที่ยังมีความทุกข๋สิ่งนั้นไม่เป็นที่พึ่งอันถาวรถูกมั๊ย ? เมื่อเรารู้ว่าพึ่งไม่ได้แล้วทำไม่ยังมาอาลัยอาวรอีก ?
พระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพานถูกพระอานนท์ทูลถามว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วจะตั้งใครเป็นศาสดาแทนละพระเจ้าข้า  พระพุทธเจ้า ตรัสตอบว่า ธรรมและวินัยที่เรากล่าวไว้ดีแล้ว ธรรมวินัยนั้น เป็นตัวแทนของเราตถาคต
มาสมัยนี้พระพุทธเจ้ามี ๓ องค์ตามที่เข้าใจคือ
๑ องค์คนคือไคร ?
๒ องค์ธรรมคืออะไร ?
๓ องค์แทนคืออะไร ?
21  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ขอให้แสดงความเห็นเรื่องไหว้พระหน้าคอมพิวเตอร์ เมื่อ: ตุลาคม 20, 2011, 11:34:54 am
ไหว้พระหน้าคอมพิวเตอร์ถูกต้องตามหลักธรรมหรือไม่
ยุคสมัยเปลี่ยนไปมีพุทธศาสนิกชนไว้พระหน้าคอมพิวเตอร์สร้างโปรแกรมจำลองภาพพระพุทธรูปขึ้นมา
เด็กๆยุคใหม่ดูแล้วน่าสนใจเท่ห์ดี แปลกใจน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เขาคิดได้ไง ลองไปดูและอย่าลืมติชมพร้อมคำวิจารณ์ด้วยครับ


http://www.polyboon.com/worship/inside/waipra.html กดตรงนี้ครับ สุดยอดจริงๆ

ขอให้แสดงความเห็นเรื่องไหว้พระหน้าคอมพิวเตอร์ว่าคุณคิดเห็นเป็นอย่างไรกับเรื่องนี้            :s_laugh:

อ้างพระไตรปิฏกมาให้ดูได้ยิ่งดี

ไหว้พระพุทธ  อย่าไปสะดุดเอาทองคำ
ไหว้พระธรรม  อย่าไปขย่ำเอาใบลาน
ไหว้พระสงฆ์   อย่าไปหลงลูกชาวบ้าน
                            หลวงพ่อพุทธทาสฝากไว้
22  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: น้ำท่วมประเทศไทยตอนนี้ ที่เห็นแสดงให้เห็นความเห็นแก่ตัว ของ คนไทยอย่างชัดเจน เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 09:09:17 pm
เห็นด้วยกับความรู้ของท่านบางส่วนที่ว่า น้ำท่วมประเทศไทยตอนนี้ ที่เห็นแสดงให้เห็นความเห็นแก่ตัว ของ ผู้มีอำนาจในประเทศไทยอย่างชัดเจน   แต่พีน้องไทยไม่เคยทิ้งกันมีความเดือดร้อนที่ไหนก็ร่วมใจกันไปช่วยกันเสมอ สังคมบ้านนอกยังพอมีให้เห็น พระคุณเจ้าหลายวัดในกรุงเทพบอกบุญชาวบ้านช่วยเหลือน้ำท่าม เช่นภาพนี้ครับ





จะเห็นได้ว่าในสังคมไทยยังมีคนดีอยู่มาก หากวันใดคนดีๆที่มีปัญญา    ไม่เหลืออยู่ในสังคมไทยวันเป็นจุดจบที่สมบูรณ์ เพราะทุกวันนี้คนเน้นจะหาความรู้อย่างเดียว แต่กลับทิ้งคุณธรรม   คนฉลาดเอาเปรียบคนอื่นได้ง่ายที่สุด
อยากทราบว่าใครจะรับผิดชอบเรื่องแบบนี้ กฏแห่งกรรมไม่เคยปราณีใคร จัดไปเต็มเหวี่ยงเลยพี่ เอาให้เต็มที่เลยเธอ กรรมจะจัดสรรค์พวกที่ทำไม่ดี ให้ไปสู่อบายแน่นอน ส่วนคนทำดีย่อมสุขแท้จงแน่ใจ
 :03:                                                    :03:                                      :s_laugh:
23  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: วัดพระธาตุศรีจอมทองกับ...พระวิปัสสนาจารย์แห่งสยามประเทศ เมื่อ: ตุลาคม 09, 2011, 04:43:17 pm

ตารางปฏิบัติและกิจวัตรประจำวันมีอะไรบ้างครับ

ใครพอรู้เรื่องนี้โปรดเมตตาด้วยครับ

โพสต์ไว้เพื่อจะได้ตัดสินใจเข้าปฏิบัติบ้างสักคอร์ส
 
 
                                                  :character0029:
24  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: สมบัติของมนุษย์ เมื่อ: ตุลาคม 09, 2011, 04:24:42 pm
ประการที่ ๒ สวรรค์สมบัติ ได้แก่ สมบัติในสวรรค์ หรือทิพยสมบัติ

 ดังนั้น ผู้ที่ปรารถนาสมบัติ คือ ความถึงพร้อมทั้ง ๓ ประการนี้ ควรที่ปฏิบัติตน ประพฤติตามหลักธรรมดังที่กล่าวมา อันจักทำให้ได้รับสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง สมตามความปรารถนาแล

จิตเกษมชั่วคราวเราทำได้
เจริญสติรู้กายใจคลายโมหันต์
จิตผ่องใสชั่วขณะรู้ปัจจุบัน
จิตอรหันต์เกษมสุขทุกเวลา

ใครมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมบัติอีกไหมครับ  ?  เชิญได้ทางนี้เลยครับ


บทกลอนชุดนี้ขอมอบให้แก่สมาชิก  24  ท่านแรก ที่เข้ามาโหวด
เหตุผลที่ให้เพราะท่านเป็นมนุษย์ ย่อมรู้ใจมนุษย์ด้วยกัน

สาธุ  สาธุ  สาธุ   ขอให้พระธรรมคุ้มครอง

                                                         :25:
25  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: วิญญาณแสนรู้ เมื่อ: ตุลาคม 09, 2011, 04:06:54 pm
วิญญาณ ที่เป็นแต่กายแตก คือตาย นั้นก็มีอยู่จริง และ เป็นที่เสวย ภพ ชาติ ที่ันับไม่ถ้วน อีกมากมาย

วิญญาณ ที่เป็นที่กำหนด ในปฏิจจสมุปบาท นั้นเป็นวิญญาณ สภาวะธรรมเป็นต้นทางของการดับภพ ชาติ ในปัจจุบัน

เป็นไปเพื่อนการบรรลุเป็นพระอรหันต์ ในชาติปัจจุบัน

     
     :25: :67: :13:




กรุณาส่ง
         เด็กวัด......
ตกลงว่าวิญญาณมี สองอย่าง ใช่ไหมครับ
๑ วิญญาณ ที่เป็นแต่กายแตก คือตาย
๒ วิญญาณ ที่เป็นที่กำหนด ในปฏิจจสมุปบาท

ขอคำอธิบายหน่อยครับ ว่า
๑ ความต่างของวิญญาณแต่ละชนิดเป็นอย่างไร
๒ พระพุทธศาสนาเอ๋ยถึงวิญญาณประเภทไหนมากที่สุด
 สาธุ  สาธุ  สาธุ   ธรรมะจงคุ้มครอง

                                                         :58:
26  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ตามหาแก่นธรรม เมื่อ: ตุลาคม 09, 2011, 03:46:04 pm

ถึงท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ

ผมเป็นคนสนใจธรรมะ แต่ยังไม่เข้าใจ ธรรมะ เพราะยังใหม่กับเรื่องนี้มาก

ได้ยินว่าความไม่ประมาทเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวงก็จริง แต่ผมไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือ

๑ ไม่ประมาทในทุกข์ เป็นอย่างไร  ?

๒ กำหนดรู้ทุกข์ อย่าละทุกข์ ยิ่งงงมากเลยขอคำอธิบายจากผู้รู้ครับ ว่าเป็นเช่นไร ?

๓ ทุกข์ในพระไตรลักษณ์ กับทุกข์ในอริยสัจ ๔ ทุกข์เหมือนกัน และต่างกันอย่างไร ?

เรียนมาก็พอสมควรแต่อ่อนประสบการณ์ ตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะเข้าปฏิบัติวิปัสสนาบ้าง
                                                                                                    :25:      :character0029:


ครับผม...ไม่เสียแรงที่ได้เข้ามาโพสต์ถาม ได้รับคำตอบจากสหธรรมิก ทั้งทึ่เป็นพระภิกษุและอุบาสกอุบาสิกา
ทุกท่านที่ใช้ความเพียรพยายามค้นหาหลักธรรมมาตอบ เพื่อความเข้าใจธรรมะ และความไม่ผิดเพี้ยนมากไปกว่านี้
สัจธรรมจะตั้งมั่งคงอยู่ในจิตใจของมนุษย์ได้ก็ด้วยความเมตตาจากมนุษย์  แม้ว่าอ่านไปบางครั้ง บางเรื่อง เข้าใจ
ได้น้อยเหลือเกิน แต่จะพยายามครับผม ขอขอบพระคุณที่เมตตา
 :25:                                                      :25:                                          :25:
27  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / Re: กัณฑินาชาดก การตกอยู่ในอำนาจหญิง เมื่อ: ตุลาคม 01, 2011, 07:39:52 pm
อรรถกถากัณฑินชาดก

    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร      ทรงปรารภการ
ประเล้าประโลมของภรรยาเก่า      จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้       มีคำเริ่มต้นว่า ธิรตฺถุ   กณฺฑินํ   สลฺลํ   ดังนี้.
การประเล้าประโลมนั้น  จักมีแจ้งในอินทรียชาดก  อัฏฐกนิบาต.  ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้กะภิกษุนั้นว่า    ดูก่อนภิกษุ   แม้ในกาลก่อน  เธออาศัยมาตุคามนี้    ถึงความสิ้นชีวิต   ร้องเรียกอยู่ที่พื้นถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว  ภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า  เพื่อทรงประกาศเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดให้ปรากฏแล้ว.  ก็เบื้องหน้าแต่นี้ไป   เราจักไม่กล่าวถึงการที่ภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอน   และความที่เหตุถูกระหว่างภพปกปิด    จักกล่าวเฉพาะคำมีประมาณเท่านี้ว่า   อตีตํ   อาหริ   แปลว่า    ทรงนำอดีตนิทานมาว่าดังนี้เท่านั้น.   แม้เมื่อกล่าวคำมีประมาณเท่านี้  ก็พึง ประกอบเหตุการณ์นี้ทั้งหมด  คือ การทูลอาราธนาการเปรียบเทียบเหมือนนำพระจันทร์ออกจากกลุ่มเมฆ        และความที่เหตุถูกระหว่างภพปกปิดไว้  โดยนัยดังกล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ   แล้วพึงทราบไว้.

ในอดีตกาล   เมื่อพระเจ้ามคธครองราชสมบัติอยู่ในพระนครราชคฤห์แคว้นมคธ    ในสมัยข้าวกล้าของชนชาวมคธ   พวกเนื้อทั้งหลายมีอันตรายมาก เนื้อเหล่านั้น จึงเข้าไปยังเนินเขา.   

เนื้อภูเขาที่อยู่ในป่าตัวหนึ่ง    ทำความสนิทสนมกับลูกเนื้อตัวเมียชาวบ้านตัวหนึ่ง ในเวลาที่พวกเนื้อเหล่านั้น  ลงจากเชิงเขา กลับมายังชายแดนบ้านอีก     ได้ลงมากับเนื้อเหล่านั้นนั่นแหละ.     เพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในลูกเนื้อตัวเมียนั้น.   

ลำดับนั้น     ลูกเนื้อตัวเมียนั้นจึงกล่าวกะเนื้อภูเขานั้นว่า       ข้าแต่เจ้า ท่านแลเป็นเนื้อภูเขาที่เขลา  ก็ธรรมดาชายแดนของบ้าน  น่าระแวง  มีภัยเฉพาะหน้า   ท่านอย่าลงมากับพวกเราเลย. เนื้อภูเขานั้น  ไม่กลับเพราะมีจิตปฏิพัทธ์ต่อลูกเนื้อตัวเมียนั้น  ได้มากับลูกเนื้อตัวเมียนั้นนั่นแหละ.   ชนชาวมคธรู้ว่า  บัดนี้    เป็นเวลาที่พวกเนื้อลงจากเนินเขา  จึงยืนในซุ้มอันมิดชิดใกล้หนทาง     ในหนทางที่เนื้อทั้งสองแม้นั้นเดินมา    มีพรานคนหนึ่งยืนอยู่ในซุ้มอันมิดชิด.   ลูกเนื้อตัวเมียได้กลิ่นมนุษย์   จึงคิดว่า  จักมีพรานคนหนึ่งยืนอยู่    จึงทำเนื้อเขลาตัวนั้น  ให้อยู่ข้างหน้า    ส่วนตนเองอยู่ข้างหลัง.  นายพรานได้ท่าเนื้อตัวนั้นให้ล้มลงตรงนั้นนั่นเอง ด้วยการยิงด้วยลูกศรครั้งเดียวเท่านั้น.    ลูกเนื้อตัวเมียรู้ว่าเนื้อนั้นถูกยิง    จึงโดดหนีไปโดยการไปด้วยกำลังเร็วปานลม.  นายพรานออกจากซุ้มชำแหละเนื้อก่อไฟ   ปิ้งเนื้ออร่อย  บนถ่านไฟอันปราศจากเปลว    เคี้ยวกินแล้วดื่มน้ำ      หาบเนื้อที่เหลือไปด้วยไม้คานมีหยาดเลือดไหล  ได้ไปยังเรือน  ให้พวกเด็ก ๆ ยินดีแล้ว.

ในกาลนั้น    พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นเทวดาอยู่ในป่าชัฏแห่งนั้น  พระโพธิสัตว์นั้น  เห็นเหตุการณ์นั้น  จึงคิดว่า   เนื้อโง่ตัวนี้ตาย   เพราะอาศัยมารดา เพราะอาศัยบิดาก็หาไม่    โดยที่แท้ตายเพราะอาศัยกาม     จริงอยู่     เพราะกามเป็นนิมิตเหตุ     สัตว์ทั้งหลายจึงถึงทุกข์นานัปการมีการตัดมือเป็นต้น  ในสุคติ และการจองจำ ๕ ประการเป็นต้นในทุคติ     ชื่อว่าการทำทุกข์คือความตาย ให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น     ก็ถูกติเตียนในโลกนี้    แม้ชนบทใดมีสตรีเป็นผู้นำ   จัดแจงปกครอง   ก็ถูกติเตียน   เหล่าสัตว์ผู้ตกอยู่ในอำนาจของมาตุคาม   ก็ถูกติเตียนเหมือนกัน       แล้วแสดงเรื่องสำหรับติเตียน ๓ ประการ     ด้วยคาถา ๑ คาถา  เมื่อเทวดาทั้งหลายในป่าไห้สาธุการแล้วบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น

เมื่อจะยังไพรสณฑ์นั้น ให้บันลือขึ้นด้วยเสียงอันไพเราะ       จึงแสดงธรรมด้วยคาถานี้ว่า

                     เราติเตียนบุรุษผู้มีลูกศรเป็นอาวุธ     ผู้ยิ่งไปเต็ม
       กำลัง  เราติเตียนชนบทที่มีหญิงเป็นผู้นำ  อนึ่ง   สัตว์
       เหล่าใดตกอยู่ในอำนาจของหญิงทั้งหลาย   สัตว์เหล่า
       นั้น  บัณฑิตก็ติเตียนแล้วเหมือนกัน.
 
                                                            :49:
28  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / Re: พกชาดก นกกระยางเจ้าเล่ห์ เมื่อ: ตุลาคม 01, 2011, 07:29:01 pm
               ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ วัดพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ล่อลวงถือเอาผ้าจีวรรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่สระน้ำแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่มากนัก มีปลาอาศัยอยู่มาก ในฤดูร้อน น้ำในสระจะลดน้อยลงจนเกือบแห้งขอด ทำให้ปลาอยู่อย่างลำบาก ในที่ไม่ไกลจากสระนี้ มีนกกระยางอยู่ตัวหนึ่ง เห็นปลามีอยู่จำนวนมาก จึงคิดหาอุบายลวงกินปลาขึ้นมาได้อย่างหนึ่งแล้วไปยืนอยู่ที่ริมสระน้ำนั้น ทำทีเป็นเศร้าสร้อยหงอยเหงา ยืนเซื่องซึมอยู่ ปลาเห็นนกกระยางเป็นเช่นนั้นจึงถามว่า
      " ท่านเป็นอะไร ถึงดูซึมเศร้าไป "
นกกระยางจึงบอกว่า
      " เรากำลังสลดใจ สงสารพวกท่าน ที่น้ำในสระนี้มีน้อย มีที่เที่ยวน้อยและความร้อนมีมาก ในที่ไม่ไกลจากนี้ มีสระใหญ่อยู่สระหนึ่งทั้งลึก มีน้ำมากและมีดอกบัวเต็มสระ ถ้าพวกท่านไว้ใจเราๆ จะอาสาพาพวกท่านไปด้วยจงอยปาก คาบพวกท่านไปทีละตัว "

ปลากล่าวว่า
      " เจ้านาย ไม่เคยได้ยินว่า นกกระยางคิดดีต่อปลาเลย ท่านต้องการกินปลาทีละตัวมากกว่า พวกเราไม่เชื่อท่าน "

นกกระยางกล่าวว่า
      " ถ้าพวกท่านไม่เชื่อเรา พวกเจ้าจงส่งปลาตัวหนึ่งไปดูสระน้ำพร้อมกับเราซิ "

ปลาจึงคัดเลือกได้ปลาดำใหญ่ตัวหนึ่ง ที่มีความสามารถทั้งทางน้ำและทางบก เป็นตัวแทนไปดูสระน้ำนั้นกับนกกระยาง นกกระยางได้นำปลาตัวนั้นไปชมสระน้ำนั้นบินวน ๓ รอบ แล้วนำกลับมาปล่อยยังสระเดิม ปลานั้นได้พรรณนาถึงสระน้ำที่ไปเห็นมาให้ปลาทั้งหลายฟัง พวกปลาจึงตกลงใจจะไปอยู่ที่สระใหม่ตามคำแนะนำของนกกระยางนั้น


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นกกระยางก็คาบปลาทีละตัวไปและกินเสียที่ต้นไม้กุ่มใกล้สระนั้น จนปลาหมดสระ ในสระนั้นยังมีปูใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง นกกระยางอยากจะกินปูนั้น จึงไปใช้อุบายนั้นอีก ส่วนปูฉลาดกลับเสนอว่า เนื่องจากปูตัวใหญ่ เกรงว่านกจะคาบไปไม่ไหว จึงขอใช้ก้ามปูคีบคอนกไปแทนก็แล้วกัน ด้วยอำนาจแห่งความหิว ทำให้นกกระยางตกลงตามนั้น พอบินไปถึงต้นกุ่มนกกระยางก็ไปจับที่ต้นไม้นั้นหวังจะกินปู


ปูเห็นก้างปลาที่โคนต้นกุ่มนั้น กองอยู่อย่างมากมาย ทำให้ทราบความจริง จึงสั่งให้นกกระยางบินกลับไปส่งที่สระตามเดิม นกกระยางจะไม่ไป ปูจึงหนีบคอนกกะยางให้แน่นขึ้น พร้อมกับขู่จะหนีบคอนกให้ขาด นกกระยางกลัวตายจึงบินกลับไปที่สระน้ำนั้น พอบินไปถึงกลางสระน้ำ ปูจึงตัดสินใจหนีบคอนกกะยางขาดตายกลางสระนั่นเอง


รุกขเทวดา เห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาว่า
     " บุคคล ผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่น จะพบความสุขอยู่ได้ไม่นาน
เพราะผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงคนอื่น ย่อมประสบผลแห่งบาปกรรมที่ตนทำไว้
เหมือนนกกระยางถูกปูหนีบคอตาย ฉะนั้น "
 

  นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
 ไม่ควรใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่น เพราะจะประสบความพินาศในภายหลัง


                                                                                    :signspamani:
29  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การชอบสนทนา ธรรม จัดเป็นความฟุ้งซ่าน หรือ ไม่คะ เมื่อ: ตุลาคม 01, 2011, 07:13:35 pm
มาตั้งหัวข้อ ไม่ใช่มาว่า ใคร ๆ ผู้ใด นะคะ แต่บางครั้งก็สงสัยว่า ทำไมเวลาเราคุยกับเพื่อน ต้องดึงหัวข้อกับมาเรื่องธรรมะทุกครั้ง

เช่นเพื่อน ๆ คุยเรื่องแฟชั่น หนัง เที่ยว เดี๋ยวเราก็ดึงหัวข้อที่คุยกับมาที่ธรรมะ สุดท้ายเพื่อน ๆ ก็เดินหนีกันหมดจึงมาสงสัยอยู่เหมือนกันว่า การที่เราทำอย่างนี้ พูดอย่างนี้ จัดเป็นความฟุ้งซ่าน ใช่หรือไม่คะ

  :93: :19:

การคุยธรรมะต้องคุยให้ถูกที่ถูกคน  ธรรมะเปรียบเสมือนยาขม สำหรับคนที่ยังดื้อยา
แต่ธรรมเป็นโอชารสเลิศ เป็นอาหารใจอย่างดีสำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม
มนุษย์เราปัญญาเกิดขึ้นได้เพราะการฝึกฝนอดทน ปัญญาเกิดได้ ๔ ช่องทางคือ
สุ   /  จิ /  ปุ  /  ลิ


สุ  ฟังด้วยความตั้งใจไม่วอกแวก
จิ  คิดจนแตกจากฟังฝังใจอยู่
ปุ ถามความข้องใจใคร่ครวญดู
ลิ เขียนจดใว้ควรคู่รู้ค่าปัญญาคม


                                                          :welcome:
30  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: จะดีหรือไม่ ถ้าเราร่วมกัน รณรงค์ ให้พระสงฆ์ เลิกติด ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เมื่อ: ตุลาคม 01, 2011, 06:28:52 pm


 เราควรยกเลิก ระบบ ศักดินาของพระสงฆ์ แล้ว ยกเลิก พิธีกรรม ของชาวพุทธ กันดีไหม ?

เนื่องด้วยระบบ ศักดินา ของพระสงฆ์ในปัจจุบันไม่ได้ส่งเสริมในการลดกิเลส กัน ใช่หรือไม่ ?

หรือเราควรส่งเสริม มหายาน อย่าง ท่าน ติช นัท ฮัน กันดีไหม เพราะพระสงฆ์แบบ มหายานนั้นไม่ต้องไหว้

ต้องกราบก็ได้ แต่ การพูดคุยสนทนา กัน เหมือนคุยกับเพื่อนผู้สูงอายุ ท่านหนึ่ง ( ในความรู้สึก )

 :smiley_confused1:

 :88:

สังคมทุกวันนี้ที่เป็นปัญหาเพราะว่ามนุษย์ไม่เข้าใจตนเอง  แล้วกลับพาลไปแก้ไขคนอื่นที่อยู่รอบข้างตน
หากถามว่าคุณเห็นด้วยไหม  ? กับความคิดที่ตั้งมาในกระทู้นี้ ขอตอบว่าเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ แต่คนที่จะมาแก้ไข
ขอถามหน่อย ว่าคนผู้นั้นเขาเข้าใจตัวเองมากน้อยแค่ไหน มนุษย์เราหากเข้าใจตนเองได้จะนำเรื่องโลกียะ
มาปน มาอวด มาจัดระเบียบสิ่งที่ตรงกันข้ามคือ โลกุตระ หรอกครับ

เรื่องโลกให้ชาวโลกจัดการ เพราะยังมีความพร่องอีกมากมาย
ส่วนเรื่องธรรมะไม่ต้องมีใครมาจัดการ เพราะมันสมบูรณ์แบบในตัวเอง
แต่ทุกวันนี้ผู้นำทางวิญญาณ ที่พอมีอำนาจทางโลกที่สามารถเชื่อมโยงจิตเข้าถึงถึงพระธรรมยังมีน้อย
เมื่อจิตไม่ถึงพระธรรม ไม่ต้องเอ๋ยถึงพระพุทธ และพระสงฆ์  ยิ่งไม่เข้าใจไปกันยกใหญ่

พระรัตนตรัยอยู่ที่ไหน ?  คนที่ไม่รู้ติดแค่เปลือกนอกเข้าไม่ถึง
ศาสนาลัทธิต่าง ๆ แท้จริงอยู่ที่ไหน ? คนไม่รู้จริงถึงบอกไปก็บกล่าวว่ามันไม่ใช่  คุณเอาอะไรมาพูด

ภาษาคน กับภาษาธรรม  ต่างกันยิ่งกว่าราวกับฟ้ากะดิน
ปล่อยวางเถอะจะพบกับว่าง

ท่องให้ขึ้นใจนะครับ

ปัญหา            เป็นเรื่องภายนอก   
การปล่อยวาง    เป็นเรื่องภายใน
มีปัญหา           ต้องแก้ไข     
แก้ได้หรือไม่      ใจก็ต้องปล่อยวาง

อุจจาระแม้มีประมาณน้อยกลิ่นของมันก็ยังเหม็น
ความดีที่บุคคลทำแล้วยังยึดติด ก็ไม่พ้นจากทุกข์
                                                                       :happybirthday3:
31  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ยังมัวหาหนวดเต่า กันอยู่หรือไม่ครับ ? เมื่อ: ตุลาคม 01, 2011, 05:38:58 pm
ส่วนตัวยัง อดนึก ( อิจฉา ) ทีมงานสมาชิกธรรม ซึ่งมีโอกาสเรียนธรรม กรรมฐาน อยู่ใกล้กับพระอาจารย์
แต่เราอยู่ไกลมาก จนไม่รู้จะหาอาจารย์ที่ไหนได้คะ

  อนุโมทนา กับ กลอนประจำวันนี้ คะ

  :25:

body ของเราไงครับ  กาย ยาววา หนาคืบ อันนี้พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นครูบาอาจารย์ เป็นคัมภีร์ชั้นยอด
เป็นตัวนำไปสู่พระนิพพาน  จำขันธ์ ๕ กันได้ไหมครับ ? 
รูป / เวทนา / สัญญา / สังขาร / วิญญาณ  ย่อเป็น ๒ คือ รูปกับนาม
สิ่งที่กล่าวมานี้อยู่ในกายของเราไม่ใช่อยู่ที่ครูบาอาจารย์ ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น
ผู้ที่จะบรรลุคือตัวของท่าน  ฉะนั้นต้องปฏิบัติเอาเอง  ตถาคตเปรียบเสมีอนเรือเมื่อท่านถึงฝั่งแล้ว
ท่านจะแบกเรือกลับขึ้นบกด้วยหรือ  ร่างกายนี้เปรียบเสมือนเรือ  ตถาคตและครูบาอาจารย์ ก็เช่นกัน
มาณสติ มีประโยชน์มาก สำหรับคนในยุคนี้ครับ

 :25:                                                  :25:                                        :s_laugh:

ไม่มีที่อ้างอิงครับคิดเอง เป็นอัตโนมติครับ (ความเห็นส่วนตัว) พูดในฐานะสาวกสังโฆ ครับ
32  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ตามหาแก่นธรรม เมื่อ: กันยายน 25, 2011, 09:56:50 am

ถึงท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ

ผมเป็นคนสนใจธรรมะ แต่ยังไม่เข้าใจ ธรรมะ เพราะยังใหม่กับเรื่องนี้มาก

ได้ยินว่าความไม่ประมาทเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวงก็จริง แต่ผมไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือ

๑ ไม่ประมาทในทุกข์ เป็นอย่างไร  ?

๒ กำหนดรู้ทุกข์ อย่าละทุกข์ ยิ่งงงมากเลยขอคำอธิบายจากผู้รู้ครับ ว่าเป็นเช่นไร ?

๓ ทุกข์ในพระไตรลักษณ์ กับทุกข์ในอริยสัจ ๔ ทุกข์เหมือนกัน และต่างกันอย่างไร ?

เรียนมาก็พอสมควรแต่อ่อนประสบการณ์ ตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะเข้าปฏิบัติวิปัสสนาบ้าง
                                                                                                    :25:      :character0029:
33  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: วิญญาณแสนรู้ เมื่อ: กันยายน 25, 2011, 09:31:15 am
น่าจะหมายถึง วิญญาณ ที่ตายเพราะกายแตกดับ กระมังครับ

ดังนั้น ถ้าส่วนนี้เรียกว่า จิต ที่มีอยู่ก็ขึ้นอยู่กับบุญ นำ กรรมแต่ง ตัดสินเด็ดขาดไม่ได้

 พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสแสดงว่าเป็น อจินไตรย ( คือคิดไม่ได้ )

  :s_hi:

สาธุ  สาธุ   สาธุ     วิญญาณแสนรู้


      ขอบคุณพระธรรมที่มีอยู่ใน คุณ   kosol     คุณ  สมภพ  และคุณ   NATHAPONSON  ที่ตอบกันเข้ามาเพื่อคลายความสงสัย ผมพอที่จะเข้าได้นิดหน่อย ว่า
จิต จะเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก ชั่วเวลาลัดนิ้วมือเดียว จิตจะมีการเกิดดับถึงแสนโกฏิขณะ คือ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ครั้ง (หนึ่งล้านล้านครั้ง) จึงเป็นการยากที่บุคคลจะรู้เท่าทันได้
ดังนั้น จิต หรือ วิญญาณ จึงหมายถึงสิ่งเดียวกัน นอกจากนี้ จิต ยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น หทัย, ปัญฑระ, มโน, มนัส, มนินทรีย์, มโนธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ, วิญญาณขันธ์, มนายตนะ เป็นต้น จึงขอให้เข้าใจว่า แม้จะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม ชื่อเหล่านั้นก็คือ จิต นั่นเอง
และต้องขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับเรื่องที่แนะนำเว็บอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย  ทำให้ผมสนใจพระอภิธรรมแล้วสิ ...   

 :25:        :25:        :25:

34  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิญญาณแสนรู้ เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 08:53:52 pm

      ผู้รู้ตอบด้วยครับ
๑ วิญญาณ ใครคิดเห็นเป็นอย่างไร

มนุษย์ตายแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปปฏิสนธิจิตทันทีตามแนวพุทธศาสนานิกายเถรวาท
แต่ชาวพุทธส่วนมากยังเข้าใจว่า มนุษย์หากตายก่อนเวลาอันสมควร เช่น ถูกรถชน โดนยิง
ตกน้ำตาย เป็นต้น วิญญาณจะไม่ไปเกิด เที่ยวสิงอยู่ที่นั้นที่นี่ บางครั้งมาปรากฏให้ลูกหลานเจอ
   
๒ นิยามของคำว่าวิญญาณเป็นเช่นไร

จิตขณะสุดท้ายในภพนี้ดับลง ก็เป็นเหตุให้ปฏิสนธิวิญญาณ หรือปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ทันที
ที่กล่าวมาหมายความว่า คนและสัตว์ตายแล้วเกิดทันที ไม่มีการรอเกิด รอให้ใครทำบุญกรวดน้ำไปให้ก่อน
จึงจะเกิดได้  เขาจะเกิดเป็นอะไร ก็เป็นไปตามกรรมที่ตนทำไว้ เขาได้รับผลของกรรมดี กรรมชั่ว เริ่มตั้งแต่เขา
ได้เกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้  ขณะที่กำลังมีชิวิตอยู่ เขาใช้ผลของกรรมเก่า  สร้างกรรมใหม่ต่อไปอีก
หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้น ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า  วัฏฏสงสาร  ดังนั้น ความตายจึงเป็นสิ่ง
ที่ไม่น่ากลัว  กรรมชั่วต่างหากเป็นสิ่งที่น่ากลัว รู้แล้วไม่ควรทำชั่ว เพราะมีผลเป็นความทุกข์ที่สุด คือลงอบายภูมิ

                                                                                                         
                                 :d030:               :49:             :33:                          :s_laugh:
35  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://benchamabophit.com/?fromuid=6 (คันถะธุระ และวิปัสสนาธุระ ) เมื่อ: กันยายน 18, 2011, 02:34:27 pm
เป็นเว็บน้องใหม่หัวใจรักธรรมะ พี่ๆ มีอะไรที่พอจะแนะนำ ขอเชิญ  เรียนเชิญ  นมัสการเชิญ ครับ


ตรงนี้ครับ   http://benchamabophit.com/?fromuser=jaroon27


ขอฝาก  คำคมคารมพระ  ไว้สักนิดนะครับ

คุณจะเป็นใครมาจากไหนก็ไม่ว่า
ถ้าบวชเข้ามา  ในพุทธศาสนา
ต้องพัฒนาจิตของตัวเอง
                                  :s_laugh:
36  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: อานิสงฆ์ การบำรุงพระสงฆ์ ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควรแล้ว เมื่อ: กันยายน 18, 2011, 01:45:11 pm
               ๖. อธิมุตตเถราปทาน
         ประวัติในอดีตชาติของพระอธิมุตตเถระ
              (พระอธิมุตตเถระ    เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน    จึงกล่าวว่า)
                                                [๘๖]            ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด  ๆ
                                      คือจะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
                                      ในกำเนิดนั้น  ๆ    ข้าพเจ้าย่อมปกครองสัตว์ทั้งปวง
                                      นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม




ครับเห็นด้วยกับเรื่องพระอธิมุตตเถราปทาน
ท่านบริจาคทานจนบรรลุธรรมขั้นสิ้นกิเลส อัศจรรย์จริง ๆๆ บทความตอนหนึ่งว่า
 ท่านเลื่อมใสในพระรัตนตรัย  นิมนต์ภิกษุสงฆ์  ให้ทำโรงปะรำด้วย
อ้อยทั้งหลาย   แล้วบำเพ็ญมหาทานให้เป็นไป   ในทีได้ปรารถนาสันติบท.
ท่านจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว  เสวยสมบัติทั้งสองในเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย   ในพุทธุปบาทกาลนี้   บังเกิดในเรือนมีตระกูลแห่งหนึ่ง เลื่อมใส
ในพระศาสนา เพราะท่านตั้งอยู่ในศรัทธา จึงปรากฏนามว่า อธิมุตตเถระ.       
ท่านบรรลุพระอรหัต



อ้างอิง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ ๑๕๕
อรรถกถาอธิมุตตเถราปทาน
พระไตรปิฏกภาษาไทยฉบับสยามรัฏฐ จำนวน ๔๕ เล่ม
37  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ต้องการรู้เรื่องโพชฌงค์แนวปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เมื่อ: กันยายน 17, 2011, 09:23:21 pm
จริง หรือ คะ ที่ กรรมฐานพลังจิต จะรักษาโรคภัย ไข้เจ็บได้

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5141.0

ตำรา นวหรคุณ แบบ pdf อยู่ กระทู้นี้ครับ

 ส่วนจะเกี่ยวกับโพชฌงค์ หรือ ไม่ ต้องรอสนทนากับพระอาจารย์ ครับ

  ในการเดินจิต โพชฌงค์ นั้นมีวิธีการกำหนด เรียกว่า วิชาโลกอุดรสยบมาร มีอยู่ในหนังสือ อานาปานสติ

หน้าสุดท้าย นะครับ หรือ ดาวน์โหลด วิชาหลวงปู่ ได้ที่เว็บ สมเด็จสุก


 :25: :014:







   ขอขอบคุณพระธรรมที่มีอยู่ในจิตของคุณ nathaponson และคุณ miracle เป็นอย่างยิ่งที่นำแสงสว่าง
แม้คนอ่านอยู่ขณะนี้จะเข้าใจได้เล็กน้อย  แต่น้ำใจที่มอบให้ผู้ใหม่ในศาสนานี้มากมายเหลือคณานับที่เดียว
ได้อ่านเนื้อหาและประสบการณ์เรื่องโพชฌงค์ทำให้มีกำลังใจศรัทธาพุทธศาสนานี้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
    อันนี้เป็นส่วนหนึ่งในประสบการณ์ของคุณ THAWATCHAI173 ท่านกล่าวว่า
       ฯลฯ ทำให้มานั่งคิดถึงการเดินจิตภาวนาบริกรรมโพชฌงค์ ๗ ฐาน อานาปานสติ จักมีอานุภาพจริงขนาด
นี้หรืออย่างไร ผมจึงเดินจิตภาวนาซ้ำ ซึ่งก็ทำให้ผมใจวาง กายวาง ดีมากขึ้น ไม่ทะยานอยากซ่านไปในเรื่องโลก
มากนัก ใจสงบ อยากหาที่สงบสงัดภาวนา จิตหน่วงน้อมนำสู่ห้วงธรรมมากขึ้น มองโลกไร้สาระ ถามหาสาระให้
แก่ตัวตนของตนมากขึ้นทุกๆวัน เบื่อหน่ายกับการวิ่งแสวงหา เห็นทุกข์ เห็นโทษ ของการมี การเป็น อยากพ้น
มองสาระของการมีชีวิตเพื่อภาวนามากขึ้น ฯลฯ

                                                      :character0029:
38  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ต้องการรู้เรื่องโพชฌงค์แนวปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เมื่อ: กันยายน 14, 2011, 09:36:38 pm




ใครที่เข้าใจเรื่องโพชฌงค์ขอคำอธิบาย

๑ โพชฌงค์กับชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร?
๒ โพชฌงค์กับวิปัสสนาภาวนาเป็นอย่างไร?
๓ พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสเรื่องนี้ที่ใดบ้าง ?
39  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: บุญที่ถูกลืม เมื่อ: กันยายน 13, 2011, 04:15:44 pm

 
 ในโลกเรานี้ มีคนเก่งอยู่มาก มีคนรู้อยู่มาก มีคนดี อยู่มาก
 
 แต่ในโลกนี้ มีคนที่จะเสียสละน้อย มีคนที่ใช้ความรู้่ให้เป็นประโยชน์น้อย มีคนที่จะทำดี น้อย
 
 แม้เพียง น้อย ๆ แค่นี้ ก็ยังทำให้แผ่นดิน บ้านเมือง มีความสุข ถ้ามีมาก ๆ ก็คงทำให้บ้านเมือง
 
 มีความสุขมากกว่านี้
 
 มีคนพูดว่า จะทำ หรือ อยากทำ จำนวนมาก แต่มีคนที่ทำ และ ทำน้อย
 
 ความจริงก็เป็นอย่างนี้ นะจ๊ะ
 
   
  ;)

 คนพูดจริง คิดจริง ทำจริง  ไม่ทิ้งธรรม
กราบ นมัสการ พระอาจารย์ ที่มีฉายาว่า ธัมมะวังโส
กระผมยังใหม่ในศาสนา ขอฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยคนครับ
ขอบอกตรงนี้เลยว่าผมถูกใจกับบทความของท่านหลายเรื่อง
เช่นเรื่องที่ตอบในบทความ บุญที่ถูกลืม ของคุณมะเดือ มันโดนใจ ครับ

 :25:    :25:       :25:
40  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: คนทำบุญ จนจริง หรือไม่ ? เมื่อ: กันยายน 13, 2011, 03:27:18 pm
อยากฟังความคิดเห็นเพิ่ม เติม อีกนะคะ

แจกจ่าย ธรรมะ กัน เพื่อน เป็น ทิฏฐิชุกัมม์ นะคะ ได้บุญ มากคะ


  ส่วนใหญ่ เป็นซองกฐิน คะ คิดดูสิคะ ลูกน้องมาพูดขอร้องให้เป็นกรรมการ แล้ววงเล็บ มุมซองว่า ( 500 )

 ตอนนี้ ถ้าดิฉัน ใส่ซอง 500 คูณ 20 ซอง ก็ 10000 บาท เลยคะ อ่านวันที่แล้ว มีโอกาส 2 เดือนที่จะใส่

เงินเดือนดิฉัน 16000 บาท ไม่มีโอที แถมยัง ผ่อนค่าบ้านอีก 8000 บาท ต่อเดือน ( กลุ้มกับบุญครั้งนี้ จริง ๆ )

   :03: :c017:

ขอตอบนะเจริญพร
การทำบุญเพื่อหวังสิ่งอื่นที่ไม่ใช่บุญโดยตรงต้องลงทุนมากหน่อยน่าเห็นใจ
ตัวอย่าง เช่น ๑ ทำบุญเอาหน้า คือ ประสงค์จะให้ผู้อื่นรู้ว่าเราก็มีความสามารถพอตัว
             ๒ ทำบุญด้วยอคติ ๔ คือทำไปเพราะรัก ทำไปเพราะโกรธ ทำไปเพราะกลัว และหลง
กรณีของคุณหากทำไปแล้วเข้าทางหนักไปข้อที่ทำไปเพราะกลัว
( ถ้าไม่ใส่กลับไป หรือ ปฏิเสธ ก็คงโดนลูกน้องนินทา หรือ รังเกียจ ได้ เฮ้อ ) ประโยคนี้ใช่เลยกลัวเจริญพร

แนวทางแก้ไข
๑ เจอกันคนละครึ่งทาง คือเฉลี่ยรายได้ต่อเดือนให้ลงตัว แล้วอธิษฐานทำไป
๒ ตัดสินใจเด็ดขาดจะขอเอาบุญเต็มร้อยก็ต้องทำตามกำลังศรัทธา/มีน้อยทำน้อย/มีมากทำตามสมควร
๓ บอกเพื่อนสนิทมิตรสหายมาร่วมบุญเช่น ได้มา ๑๐ ซอง แบ่งให้เพื่อน ๘ คนเหลืออีก ๒ พอมีกำลังทำเอง
สังคมทุกวันนี้ไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรควรไม่ควร เพราะยุคนี้เป็นยุควัตถุนิยมทุกคนมุ่งแต่เรื่องวัตถุเพื่อสนองกิเลส
บุญก็เป็นกิเลสฝ่ายดี บาปเป็นกิเลสฝ่ายไม่ดี  อันที่จริงตัวบุญเป็นของดี แต่ที่บอกว่าเป็นกิเลสก็เพราะคนทำบุญเอง
เข้าไปยึดว่าเราทำบุญ ว่าเราได้บุญ  ว่าเรามีบุญ  บุญเป็นของเรา  ดังนั้นสรุปว่าการยึดมันเป็นตัวทุกข์ ปล่อยเถอะ


ปล่อยวางเรื่องบุญ
 
การทำบุญ     เป็นเรื่องภายนอก
การปล่อยวาง เป็นเรื่องภายใน
มีการแจกซองมา  ก็ต้องทำบุญไป
จะใส่ซองละเท่าไร   จิตใจก็ต้องปล่อยวาง   

สาธุ  สาธุ  สาธุ    :25:
หน้า: [1] 2