ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - Mahajaroon
หน้า: [1]
1  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ปริศนาในเรื่องหลั่งน้ำศพ เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 08:19:09 am
ได้มีโอกาสจัดงานศพจึงมีเรื่องให้ส่งสัยมากมายขอท่านผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างด้วย

๑ ศพเจ้าคนนายคนมีการรดน้ำให้ แต่ศพสามัญชนไม่เห็นมี  ข้อนี้งงช่วยตอบด้วยครับ ?

๒ ปริศนาเรื่องรดน้ำให้ผู้ตายหรืออาบน้ำให้ศพมีมาอย่างไรตามประเพณีนิยม ครับ ?

ประเพณีนี้แต่ละท้องถิ่นคงไม่เหมือนกันใครมีประสบการณ์ตรงนำมาเล่าให้ฟังกันบ้างครับ ?
เจริญพรมายังอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายใครรู้เรื่องนี้ก็เจริญพรเชิญตอบได้นะครับ ธรรมะคุ้มครอง
 :welcome:
2  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / 9 จัมมสาฏกชาดก เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 11:21:52 pm
 จัมมสาฏกชาดก

   อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน
   
   

   พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ ปริพาชกชื่อจัมมสาฏก จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
   

   ได้ยินว่า ปริพาชกนั้นมีหนังเท่านั้นเป็นเครื่องนุ่งและเครื่องห่ม (เปลือยกาย) วันหนึ่ง ปริพาชกนั้นออกจากอารามของปริพาชก เพื่อเที่ยวภิกขา ครั้นเมื่อไปในนครสาวัตถี ถึงที่หนึ่งซึ่งมีพวกแพะชนกัน แพะเห็นปริพาชกนั้นจึงย่อตัวลงด้วยประสงค์จะวิ่งเข้าชน ปริพาชกไม่หลบแพะนั้นด้วยคิดว่า แพะนี้ คงแสดงความเคารพเรา  (โดยการย่อตัว)

   แพะจึงวิ่งมาโดยรวดเร็ว ชนปริพาชกนั้นที่ขาอ่อนทำให้ล้มลง เหตุที่เขายกย่องแพะซึ่งมิใช่สัตบุรุษนั้น (โดยคิดว่าแพะจะทำความเคารพเขา) ได้ปรากฏไปในหมู่ภิกษุสงฆ์

   วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย จัมมสาฏกปริพาชกกระทำการยกย่องอสัตบุรุษ จึงถึงความพินาศ พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ปริพาชกนี้ก็ได้ยกย่องอสัตบุรุษแล้วถึงความพินาศ ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
   

   ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพ่อค้าตระกูลหนึ่ง กระทำการค้าอยู่ ในกาลนั้น มีจัมมสาฏกปริพาชกผู้หนึ่ง เที่ยวภิกขาไปในนครพาราณสี ถึงสถานที่พวกแพะชนกัน เห็นแพะตัวหนึ่งย่อตัวก็ไม่หลีกหนีด้วยสำคัญว่า มันทำความเคารพเรา คิดว่าในระหว่างพวกมนุษย์เหล่านี้ แพะตัวหนึ่งยังรู้จักคุณของเรา จึงยืนประนมมือแต้อยู่ กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :

   [๕๙๔] แพะตัวนี้เป็นสัตว์ที่มีท่าทางงดงามดี เป็นที่เจริญใจ และมีศีล น่ารักใคร่

   ย่อมเคารพนบนอบพราหมณ์ ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติและมนต์ทั้งหลาย นับ

   ได้ว่า เป็นแพะประเสริฐ มียศศักดิ์.

   ขณะนั้น พ่อค้าผู้เป็นบัณฑิตนั่งอยู่ในตลาด เมื่อจะห้ามปริพาชกนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :

   [๕๙๕] ดูกรพราหมณ์ ท่านอย่าได้ไว้วางใจแก่สัตว์ ๔ เท้า เพียงได้เห็นมันครู่

   เดียว มันต้องการจะชนให้ถนัด จึงย่อตัวลงจักชนให้ถนัดถนี่.

   ก็เมื่อพ่อค้าผู้เป็นบัณฑิตกำลังพูดอยู่นั่นแหละ แพะวิ่งมาโดยเร็วชนที่ขาอ่อน ทำให้ปริพาชกนั้นล้มลง ณ ที่นั้นเอง ทำให้ได้รับทุกขเวทนา ปริพาชกนั้นนอนปริเวทนาการอยู่

   พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเหตุนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๓ ว่า :

   [๕๙๖] กระดูกขาของพราหมณ์ก็หัก บริขารที่หาบอยู่ก็พลัดตก สิ่งของก็แตก

   ทำลายหมด พราหมณ์ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ว่า โธ่เอ๋ย แพะ

   มาฆ่าพรหมจารีได้.

   ปริพาชกจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :

   [๕๙๗] ผู้ใด สรรเสริญบูชาคนที่ไม่ควรบูชา ผู้นั้น จะต้องถูกเขาห้ำหั่นนอนอยู่

   เหมือนกับเราผู้มีปัญญาทรามถูกแพะชนเอาในวันนี้.

   ปริพาชกนั้นคร่ำครวญอยู่ด้วยประการฉะนี้ จึงถึงความสิ้นชีวิตไป ณ ที่นั้นเอง

   พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ปริพาชกชื่อจัมมสาฏกในครั้งนั้น ได้เป็นปริพาชกชื่อ จัมมสาฏกในบัดนี้ ส่วนพาณิชผู้บัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล

   จบ จัมมสาฏกชาดก
3  พระไตรปิฏก / พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ / กุสนาฬิชาดก เมื่อ: ตุลาคม 21, 2011, 11:00:48 pm
นิทาน กุสนาฬิชาดก
                                           ประโยชน์ของการผูกมิตร
       ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภมิตรของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสว่า " ธรรมดามิตร จะเป็นคนเล็กน้อยไม่มี ผู้สามารถรักษามิตรไว้ได้เป็นสิ่งประเสริฐ มิตรผู้เสมอกัน ต่ำกว่ากัน หรือสูงกว่ากันควรคบไว้ เพราะมิตรเหล่านั้น ย่อมช่วยแบ่งเบาภาระของเราได้ทั้งนั้น " แล้วนำอดีตนิทานมาสาธกว่า...

        กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเทวดาอยู่ที่กอหญ้าคาในพระราชอุทยาน เป็นมิตรกับเทวราชผู้ศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง ผู้อาศัยที่ต้นไม้มงคลของพระราชาอยู่ในพระราชอุทยานนั้นด้วย ครั้งนั้น พระราชาประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว เสาของปราสาทนั้นสั่นไหวขึ้น พระองค์จึงรับสั่งให้พวกช่างไม้หาไม้แก่น มาเปลี่ยนเสาปราสาทใหม่ พวกช่างไม้เสาะแสวงหาไม้แก่นในพระราชอุทยาน ตกลงกันจะเอาต้นไม้มงคลนั้นทำเป็นเสาปราสาท จึงกราบทูลพระราชา พระองค์จึงอนุญาตให้ตัดได้ วันนั้น พวกนายช่างได้ไปทำพลีกรรมต้นไม้มงคล และกำหนดตัดในวันพรุ่งนี้

        ฝ่ายเทวราช พอทราบว่าต้นไม้ที่อยู่อาศัยจะถูกตัด ไม่เห็นที่จะไป จึงกอดคอลูกน้อยร้องไห้อยู่ หมู่รุกขเทวดาทราบเรื่องแล้ว ก็ไม่มีใครจะช่วยแก้ปัญหาได้ เทวดาพระโพธิสัตว์ทราบเรื่อง จึงพูดปลอบเทวราชผู้สหายนั้นว่า " พรุ่งนี้เราจะไม่ให้ตัดต้นไม้นั้น พวกเราคอยดูเราเถิด "

        ครั้นรุ่งขึ้น พอพวกช่างไม้มาถึง ท่านก็แปลงตัวเป็นกิ่งก่าวิ่งนำหน้าพวกช่างไม้ไป มุดเข้าที่โคนต้นไม้มงคลไปโผล่ออกทางยอดไม้นอนผงกหัวอยู่ ทำประหนึ่งว่าต้นไม้นั้นเป็นโพรง

        นายช่างไม้เห็นเช่นนั้นแล้ว ก็เอามือตบต้นไม้นั้นแล้วตำหนิว่า " ต้นไม้นี้ มีโพรง ไร้แก่น เมื่อวานไม่ทันได้ตรวจดูถ้วนถี่ หลงทำพลีกรรมกันเสียแล้ว " ก็พากันหนีกลับไป

            เทวราชพอเห็นวิมานของตนไม่ถูกทำลาย ก็ยกย่องพระโพธิสัตว์ ท่ามกลางหมู่รุกขเทวดา ด้วยคาถาว่า
                                   " บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากันหรือเลวกว่ากัน ก็ควรคบกันไว้
                                  เพราะมิตรเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้
                                  เหมือนเราผู้เป็นเทวดาสถิตอยู่ที่ต้นรุจา กับเทวดาผู้สถิตที่กอหญ้าคาคบกัน "
   


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า    
      
ผู้คนควรมีมิตรทุกชั้นวรรณะ เมื่อคราวลำบากจะมีผู้ช่วยเหลือ

                                                           :08:
4  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ขอให้แสดงความเห็นเรื่องไหว้พระหน้าคอมพิวเตอร์ เมื่อ: ตุลาคม 20, 2011, 11:34:54 am
ไหว้พระหน้าคอมพิวเตอร์ถูกต้องตามหลักธรรมหรือไม่
ยุคสมัยเปลี่ยนไปมีพุทธศาสนิกชนไว้พระหน้าคอมพิวเตอร์สร้างโปรแกรมจำลองภาพพระพุทธรูปขึ้นมา
เด็กๆยุคใหม่ดูแล้วน่าสนใจเท่ห์ดี แปลกใจน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เขาคิดได้ไง ลองไปดูและอย่าลืมติชมพร้อมคำวิจารณ์ด้วยครับ


http://www.polyboon.com/worship/inside/waipra.html กดตรงนี้ครับ สุดยอดจริงๆ

ขอให้แสดงความเห็นเรื่องไหว้พระหน้าคอมพิวเตอร์ว่าคุณคิดเห็นเป็นอย่างไรกับเรื่องนี้            :s_laugh:

อ้างพระไตรปิฏกมาให้ดูได้ยิ่งดี

ไหว้พระพุทธ  อย่าไปสะดุดเอาทองคำ
ไหว้พระธรรม  อย่าไปขย่ำเอาใบลาน
ไหว้พระสงฆ์   อย่าไปหลงลูกชาวบ้าน
                            หลวงพ่อพุทธทาสฝากไว้
5  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ตามหาแก่นธรรม เมื่อ: กันยายน 25, 2011, 09:56:50 am

ถึงท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ

ผมเป็นคนสนใจธรรมะ แต่ยังไม่เข้าใจ ธรรมะ เพราะยังใหม่กับเรื่องนี้มาก

ได้ยินว่าความไม่ประมาทเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวงก็จริง แต่ผมไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือ

๑ ไม่ประมาทในทุกข์ เป็นอย่างไร  ?

๒ กำหนดรู้ทุกข์ อย่าละทุกข์ ยิ่งงงมากเลยขอคำอธิบายจากผู้รู้ครับ ว่าเป็นเช่นไร ?

๓ ทุกข์ในพระไตรลักษณ์ กับทุกข์ในอริยสัจ ๔ ทุกข์เหมือนกัน และต่างกันอย่างไร ?

เรียนมาก็พอสมควรแต่อ่อนประสบการณ์ ตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะเข้าปฏิบัติวิปัสสนาบ้าง
                                                                                                    :25:      :character0029:
6  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิญญาณแสนรู้ เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 08:53:52 pm

      ผู้รู้ตอบด้วยครับ
๑ วิญญาณ ใครคิดเห็นเป็นอย่างไร

มนุษย์ตายแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปปฏิสนธิจิตทันทีตามแนวพุทธศาสนานิกายเถรวาท
แต่ชาวพุทธส่วนมากยังเข้าใจว่า มนุษย์หากตายก่อนเวลาอันสมควร เช่น ถูกรถชน โดนยิง
ตกน้ำตาย เป็นต้น วิญญาณจะไม่ไปเกิด เที่ยวสิงอยู่ที่นั้นที่นี่ บางครั้งมาปรากฏให้ลูกหลานเจอ
   
๒ นิยามของคำว่าวิญญาณเป็นเช่นไร

จิตขณะสุดท้ายในภพนี้ดับลง ก็เป็นเหตุให้ปฏิสนธิวิญญาณ หรือปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ทันที
ที่กล่าวมาหมายความว่า คนและสัตว์ตายแล้วเกิดทันที ไม่มีการรอเกิด รอให้ใครทำบุญกรวดน้ำไปให้ก่อน
จึงจะเกิดได้  เขาจะเกิดเป็นอะไร ก็เป็นไปตามกรรมที่ตนทำไว้ เขาได้รับผลของกรรมดี กรรมชั่ว เริ่มตั้งแต่เขา
ได้เกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้  ขณะที่กำลังมีชิวิตอยู่ เขาใช้ผลของกรรมเก่า  สร้างกรรมใหม่ต่อไปอีก
หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้น ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า  วัฏฏสงสาร  ดังนั้น ความตายจึงเป็นสิ่ง
ที่ไม่น่ากลัว  กรรมชั่วต่างหากเป็นสิ่งที่น่ากลัว รู้แล้วไม่ควรทำชั่ว เพราะมีผลเป็นความทุกข์ที่สุด คือลงอบายภูมิ

                                                                                                         
                                 :d030:               :49:             :33:                          :s_laugh:
7  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://benchamabophit.com/?fromuid=6 (คันถะธุระ และวิปัสสนาธุระ ) เมื่อ: กันยายน 18, 2011, 02:34:27 pm
เป็นเว็บน้องใหม่หัวใจรักธรรมะ พี่ๆ มีอะไรที่พอจะแนะนำ ขอเชิญ  เรียนเชิญ  นมัสการเชิญ ครับ


ตรงนี้ครับ   http://benchamabophit.com/?fromuser=jaroon27


ขอฝาก  คำคมคารมพระ  ไว้สักนิดนะครับ

คุณจะเป็นใครมาจากไหนก็ไม่ว่า
ถ้าบวชเข้ามา  ในพุทธศาสนา
ต้องพัฒนาจิตของตัวเอง
                                  :s_laugh:
8  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ต้องการรู้เรื่องโพชฌงค์แนวปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เมื่อ: กันยายน 14, 2011, 09:36:38 pm




ใครที่เข้าใจเรื่องโพชฌงค์ขอคำอธิบาย

๑ โพชฌงค์กับชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร?
๒ โพชฌงค์กับวิปัสสนาภาวนาเป็นอย่างไร?
๓ พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสเรื่องนี้ที่ใดบ้าง ?
9  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เห็นการเกิดดับชั่วขณะ ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เมื่อ: กันยายน 05, 2011, 07:56:43 pm
              สมาธิมี  ๓  อย่าง

๑   อุปจารสมาธิ
๒   อัปปนาสมาธิ
๓   ขณิกสมาธิ

     ตอบว่า สมาธิชั่ว "ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น"  จัดเป็น ขณิกสมาธิ ครับ เพราะมีความหมายอย่างนี้ว่า  ความที่จิตระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์(คือรู้รูปนาม)ที่กำลัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป    ทีละขณะๆ  ตั้งมั่นต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ตราบเท่าทีจิตยังรับรู้อารมณ์อยู่  ท่านเรียกว่า  ขณิกสมาธิ
 
ยังมีต่อนะ   เจริญพร                                           :s_laugh:         
10  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สมบัติของมนุษย์ เมื่อ: สิงหาคม 17, 2011, 09:05:10 am
               สมบัติ คือ ความสมบูรณ์แห่งผลสำเร็จที่ให้ได้สมความปรารถนา
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ว่ามีอยู่ด้วยกัน ๓ ประการ คือ
๑. มนุษย์สมบัติ  ๒. สวรรค์สมบัติ  ๓. นิพพานสมบัติ
ประการที่ ๑ มนุษย์สมบัติ ได้แก่ การมีทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ การยกย่องและความสุขกายสบายใจ คนผู้ที่จะได้มนุษย์สมบัตินี้จะต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในคุณธรรม ๔ประการ คือ
๑.ด้วยความหมั่น พยายามไม่ให้เป็นอันตราย
๒.รักษาการงานที่ได้ทำไว้ไม่ให้เสื่อมเสียไป
๓. ความมีเพื่อนเป็นคนดี คือ การรู้จักคบคนดีเป็นเพื่อน เลือกคบหา เสวนากับคนที่สามารถแนะนำในสิ่งที่ถูกที่ควรได้
๔. ความเลี้ยงชีวิตตามสมควร คือ รู้จักเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ ไม่ให้ฝืดเคือง ไม่ให้ฟุ่มเฟือยจนเกินไป
            มีเรื่องเล่าในอดีตเป็นตัวอย่างว่า คนรับใช้ของเศรษฐีคนหนึ่ง ทำการค้าขายครั้งแรกด้วยการลงทุนด้วยหนูตายเพียงตัวเดียว ได้ทรัพย์สินเงินทองมากมาย คือ ครั้งแรก เขาขายหนูตายนั้นแล้วได้เงินมาจำนวนหนึ่ง จึงนำเงินนั้นไปซื้อดอกไม้มาขาย นำกำไรที่ขายดอกไม้ได้ไปซื้อไม้แล้วนำไปขายให้กับคนเผาภาชนะดิน นำผลกำไรที่ได้เพิ่มขึ้นอีก ไปซื้อหญ้าแล้วนำไปขายให้คนเลี้ยงม้า ได้เงินมาแล้วก็นำไปเก็บรักษาไว้ ต่อมาได้ทำการค้าขายทางเรือกับพวกพ่อค้า ได้เงินทองมากขึ้นตามลำดับ ต่อมาระลึกถึงเศรษฐีที่เคยมีอุปการะแก่ตนมาก่อน ด้วยความกตัญญู จึงนำทรัพย์สินเงินทองครึ่งหนึ่งที่ตนหามาได้มอบให้แก่เศรษฐี ท่านเศรษฐีคิดว่า คนที่ฉลาด ขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ ไม่สมควรที่จะเป็นคนรับใช้ของเรา จึงได้ยกธิดาคนหนึ่งให้และมอบเงินทองให้อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งต่อมาเมื่อเศรษฐีล่วงลับไปแล้ว เขาก็ได้รับตำแหน่งเศรษฐีต่อไป
 
    :25:   ยังมีต่อครับ      :s_laugh:
หน้า: [1]