ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เจ้าชายสิทธัตถะรู้ชัดแน่แท้แล้ว ว่า จักได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  (อ่าน 6518 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ตามประวัติพระไตรปิฏก นั้น

 ครั้งที่ 1 เจ้าชายสิทธัตถะ ครั้นออกอภิเนษกรม แล้ว ตอนปลงพระเกศานั้น

   ก็เสีียงทายด้วยสามารถ หากเราจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ ขอให้เส้นผมนี้อย่าล่วงหล่นสู่ธรณี

   พอปลงพระเกศา พระอินทร์ก็น้อมรับพระเกศา ไปด้วยฤทธิ์ บรรจุไว้ใน จุฬามณี


 ครั้งที่ 2 นักบวชสิทธัตถะ ก็อธิษฐานตอนคลายความเพียร ด้วยการทรมานตน ด้วยการเสวย

 ข้าวมธุปายาส ของนางสุชาดา พร้อมกันนั้น ก็ได้อธิษฐาน ลอยถาดทองคำ ด้วยการอธิษฐานว่า

 หากเราจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วขอให้ถาดทองคำนี่จงลอย ทวนน้ำ

 ถาดนั้นก็ลอยทวนน้ำ และลงไปทับถาดของพระพุทธเจ้าอีก 3 พระองค์ในกัปป์นี้ ที่เมืองนาค


ครั้งที่ 3 ที่พระองค์ทรงเห็นโอภาสในค่ำคืนวิสาข นั้น พระองค์จึงทรงอธิษฐานอีกครั้งด้วยความมั่นใจ

ว่าจะได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเ้จ้า อีกครั้งหนึ่ง

 แม้เลือดและหนัง เอ็นกระดูก ของเรานี้ จักเหือดแห้งไปก็ตามที หากเรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ก็จักไม่ลุกจากบัลลังก์นี้


( จากการวิเคราะห์ นั้น นักบวชสิทธัตถะ สามารถเข้าสมาบัติ 8 และ 9 ได้อยู่แล้วเนื่องด้วยสำเร็จ สมาบัติ

มาจากสำนัก อุทกดาบส และ อาฬารกดาบส ซึ่งเป็น อรูปกรรมฐาน ดังนั้นแม้ นักบวชสิทธัตถะ หรือดาบส

อธิษฐานเช่นนั้น ก็ย่อมรู้กำลังของตนอยู่แล้วว่า สามารถเข้าสมาบัติได้ไม่ต่ำกว่า 15 วัน และเพราะพระองค์

ได้ผ่านการทรมานตนด้วยการอดอาหารมา เป็นเวลา 6 ปี จึงรู้กำลังว่าเสวยครั้งนี้จะสามารถเข้าสมาบัติได้นาน

เท่าใด ดังนั้นเนื่องจากทุกครั้งนั้น พระสติของพระองค์พะวงด้วยเรื่องอาหารบ้าง วิธีการบ้าง แต่ครั้งนี้ ดาบส

ก็รู้แล้วว่าการทำเช่นนั้นด้วยการทรมานกายไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากตบะทางจิต พระองค์เห็นหนทางแล้ว

จึงได้เจริญ อานาปานสติกรรมฐาน ด้วยความปล่อยวาง จากกาย และ จิต และกลับมาพิจารณาความจริงแห่ง

สัจจธรรมคือ พระอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ( แหมเขียนยังกับว่ารู้ภาวะของพระดาบสเลย ไม่ใช่คะจำมาจากพระ

อาจารย์คะ ) ในค่ำคืนนั้นพระองค์ จึงได้เข้าสู่การบรรลุญาณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามลำดับ คะ

 แต่ครั้งนี้พระทัยของพระองค์นึำกไปถึง การเข้า ปฐมฌาน ตอนพระเยาว์โดยบังเอิญนั้นเป็น สมาธิอันเนื่อง

ด้วยแสงสว่าง ที่วางและว่าง พระองค์จึงกำหนดอารมณ์นั้นเป็นกำลัีงในสมาธิ จึงทำให้จิตไม่ถูกย้อมด้วยวิธีการ

ทั้งปวง และเนื่องด้วยวิบากกรรมของพระองค์หมดแล้ว จึงได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


 :25: :25:
Aeva Debug: 0.0006 seconds.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 20, 2010, 08:57:03 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ลำดับพระญาณแห่ง "การตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 18, 2010, 10:00:02 pm »
0
ลำดับพระญาณแห่ง "การตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า"


เริ่มต้นตั้งพระหฤทัยเป็นสัตยาธิษฐาน ว่า
" ถ้ากมลสันดานแห่งอาตมะนี้ ยังไม่พ้นจาก
อาสวกิเลสกามคุณตราบใด ถึงแม้มาตรว่าหฤทัย
และเนื้อหนังทั้งเอ็นสมองอัฐิจะแห้งเหือด

ตลอดถึงเลือดและมันข้นจนทั่วสรีรกายก็ดี ธรรมวิเศษล้ำเลิศ
อันใดที่เป็นวิสัยอันบุคคลจะพึงได้ด้วยเรี่ยวแรง
และความเพียรแห่งบุรุษ

เมื่อยังไม่บรรลุถึงธรรมวิเศษอันนั้น การที่อาตมาะจักคลายจากพับแพนง
เชิงสมาธิบัลลังก์วิเศษนี้เป็นอันไม่มี อันยังมิได้บรรลุซึ่ง
พระโพธิญาณแล้วไซร้

อาตมะจักไม่ทำลายสมาธิ
บัลลังก์วิเศษนี้เลยเป็นอันขาด อาตมะคงเพียรให้
บรรลุโพธิธรรมเสวยพระพุทธาภิกเษกสมบัตินวชิร
บัลลังก์อาสน์นี้ให้จงได้ "


ทรงตั้งพระหฤทัยเป็นสัตยาธิษฐานดังนี้แล้ว ก็ทรงจำเริญพระสมาธิภาวนาเรื่อยมา บังเกิดสมาธิแก่กล้ามีสุวรรณประภาพวยพุ่งออกจากพระวรกาย จวบจนถึงสมัยพระสุริยายอแสงเป็นมหามงคลกาลในขณะนี้
 

ครั้นล่วงเข้า ราตรีปฐมยาม พระองค์ผู้มีสมาธิภาวนาอันแก่กล้า ก็สามารถยังฌาณและอภิญญาให้เกิดขึ้น ได้บรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ = ญาณเครื่องระลึกถึงชาติก่อนได้ คือในขณะนี้พระองค์ทรงสามารถระลึกชาติในอดีตหนหลังได้ตั้งแต่ ๑-๒ ชาติ ๑๐-๒๐ ชาติ ๑๐๐-๑,๐๐๐ ชาติ ๑๐,๐๐๐-๑๐๐,๐๐๐ ชาติเรื่อยไป

จนถึงสังวัฏฏกัป-วิวัฏฏกัป-สังวัฏฏวิวัฏฏกัป เป็นอันมาก โดยทรงรู้อย่างแจ้งประจักษ์ว่า ในชาตินั้นพระองค์เกิดในประเทศนั้น มีชื่อและโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณ และมีอาหารอย่างนั้น ดังนี้เป็นต้น


ครั้งล่วงเข้า ราตรีมัชฌิมยาม พระองค์ก็ได้บรรลุจุตูปปาตญาณ = ญาณเครื่องรู้แจ้งในจุติและอุบัติ เหตุแห่งสัตว์ทั้งหลาย คือในขณะนี้พระองค์ทรงสามารถเห็นสัตว์ทั้งหลายที่กำลังจุติตายไปและกำลังอุบัติเกิดขึ้นใหม่ในโลกทั้งหลาย

โดยทรงเห็นอย่างแจ้งประจักษ์ ด้วยอำนาจทิพยจักษุอันบริสุทธิ์วิเศษกว่าสามัญมนุษย์จักษุวิสัยว่า สัตว์ทั้งหลายได้พากันล้มตายลงไปแล้ว ต่างผู้ต่างก็ไปเกิดในสภาพต่างๆ กัน เลวบ้าง ประณีตบ้าง มีผิวพรรณงามบ้าง ไม่งามบ้าง ถึงซึ่งความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แตกต่างกันไป ตามสมควรแก่กรรมแห่งตนที่ได้กระทำไว้


ครั้นล่วงเข้า ราตรีปัจฉิมยาม พระองค์ก็ทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาในปัจจยาการ อันเป็นวิธีการที่ถูกต้อง ซึ่งพระบรมสรรเพชญพุทธเจ้าทุกพระองค์เคยกระทำมา โดยทรงพิจารณาพระปฏิจจสมุปบาทธรรมอันล้ำลึกนี้ ก็โดยสาเหตุที่พระองค์ทรงสิ้นความสงสัยในสันดานพระองค์เอง และทรงสิ้นสงสัยในสันดานสัตว์เหล่าอื่น อันเป็นผลแห่งญาณก่อนๆ ที่ได้ทรงบรรลุมาแล้ว คือ

เมื่อพระองค์ได้ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณในตอนปฐมยามนั้น ได้ทรงเห็นพระองค์เองจุติจากชาตินั้นไปเกิดในชาติโน้น จุติจากชาติโน้นมาเกิดในชาตินี้ แต่ทรงเฝ้าตายเกิดอยู่อย่างนี้หลายชาติหลายภพเป็นนักหนา


เมื่อทรงเห็นโดยประจักษ์อย่างแจ้งชัดเช่นนี้ ความสงสัยดังนี้ ย่อมจะหมดไปโดยแท้ นี่แหละเรียกว่าทรงสิ้นความสงสัยในสันดานของพระองค์เอง ด้วยอำนาจแห่ง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

เมื่อพระองค์ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณในตอนมัชฌิมยามนั้น ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายซึ่งกำลังตายและกำลังเกิดกันมากมายนักหนาทุกเวลานาที ในสถานที่ต่างๆ กันเป็นอลหม่าน เมื่อทรงเห็นโดยประจักษ์อย่างแจ้งชัดเช่นนี้ ความสงสัยในสันดานแห่งสัตว์เหล่าอื่นในกรณีที่ว่า

"สัตว์เหล่าอื่นต้องตายเกิดและเกิดตายกันอยู่เสมอ" ตลอดเวลาไม่ว่างเว้นเป็นเวลานานแสนนานจริงหรือไม่ ? ความสงสัยดังนี้ย่อมจะหมดไปโดยแท้ นี่แหละเรียกว่าทรงสิ้นความสงสัยในสันดานของสัตว์เหล่าอื่น ด้วยอำนาจแห่ง จุตูปปาตญาณ


เมื่อพระองค์ทรงสิ้นความสงสัยในสันดานแห่งพระองค์เองและสันดานแห่งสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีความเกิดความตายอยู่เป็นประจำซ้ำซากดังกล่าวแล้ว ก็ทรงสังเวชสลดพระหฤทัย จึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาปัจจยาการหรือปฏิจจสมุปบาทธรรมอันล้ำลึก คือ

ในขั้นแรกทรงปรารภ ชรามรณะ ความแก่และความตายขึ้นเป็นอารมณ์ปฐมเหตุก่อน แล้วก็ทรงทราบเป็นลำดับต่อไปว่า
 

ชรามรณะ มีได้ก็เพราะ ชาติ
ชาติ มีได้ก็เพราะ ภพ

ภพ มีได้ก็เพราะ อุปาทาน
อุปาทาน มีได้ก็เพราะ ตัณหา

ตัณหา มีได้ก็เพราะ เวทนา
เวทนา มีได้ก็เพราะ ผัสสะ

ผัสสะ มีได้ก็เพราะ สฬายตนะ
สฬายตนะ มีได้ก็เพราะ นามรูป

นามรูป มีได้ก็เพราะ วิญญาณ
วิญญาณ มีได้ก็เพราะ สังขาร
สังขาร มีได้ก็เพราะ อวิชชา


แล้วจึงทรงพิจารณาซึ่งที่ดับแห่งสภาวธรรมเหล่านี้สืบต่อไปว่า...

เมื่อ อวิชชา ดับสูญแล้ว สังขาร ก็ดับตาม
เมื่อ สังขาร ดับสูญแล้ว วิญญาณ ก็ดับตาม
เมื่อ วิญญาณ ดับสูญแล้ว นามรูป ก็ดับตาม
เมื่อ นามรูป ดับสูญแล้ว สฬายตนะ ก็ดับตาม

เมื่อ สฬายตนะ ดับสูญแล้ว ผัสสะ ก็ดับตาม
เมื่อ ผัสสะ ดับสูญแล้ว เวทนา ก็ดับตาม
เมื่อ เวทนา ดับสูญแล้ว ตัณหา ก็ดับตาม

เมื่อ ตัณหา ดับสูญแล้ว อุปาทาน ก็ดับตาม
เมื่อ อุปาทาน ดับสูญแล้ว ภพ ก็ดับตาม

เมื่อ ภพ ดับสูญแล้ว ชาติ ก็ดับตาม
เมื่อ ชาติ ดับสูญแล้ว ชรามรณะ ก็ดับตาม

แล้วก็ทรงพิจารณาทบทวนถอยหลังลงไป เพื่อให้แน่นอนเด็ดขาดอีกสืบไปว่า

"ชรามรณะ" นี้มิใช่เกิดจากอะไร
โดยที่แท้เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ "ชาติ" เป็นปัจจัย คือ
เป็นตัวเหตุ และ "ชาติ" นี้ก็มิใช่เกิดมาจากอะไร
โดยที่แท้ย่อมเกิดขึ้นมาได้เพราะ "ภพ"........"สังขาร" นั้นมิใช่เกิดมาจากอะไร
โดยที่แท้ย่อมเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย คือเป็นตัวเหตุ"


เป็นอันว่า บัดนี้พระองค์ผู้มีพุทธบารมีได้ทรงค้นพบแล้วว่า ตัวเหตุใหญ่ยิ่งสุดยอดที่มีอำนาจบันดาลให้สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั้นก็คือ "อวิชชา" นี่เอง
 

ขณะนี้ แม้ว่าพระองค์จะได้ทรงค้นพบสภาวธรรมอันล้ำลึก เกินวิสัยคนธรรมดาสามัญจักมีปัญญาหยั่งรู้ได้ดังกล่าวมาแล้วก็ดี ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ได้สำเร็จธรรมวิเศษเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า !

ฉะนั้น พระองค์จึงทรงหยั่งพระญาณลงพิจารณาตัวเหตุอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงค้นพบ คือ "อวิชชา" ทรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถ่องแท้

ในที่สุดก็ทรงทราบว่า "อวิชชา" คือตัวโมหะนี้ ย่อมมีปกติครอบงำจิตสันดานทำให้มืดมนปกปิดกำบังดวงปัญญามิให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณญาณ และมิให้เห็นแจ้งใน
พระจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)


เมื่อทรงทราบด้วยพระญาณอันประเสริฐสุดเช่นนี้แล้ว พระองค์ผู้มีพระทัยผ่องแผ้ว ใกล้จะได้ตรัสรู้ในชั่วระยะเวลาไม่นานนี้ ก็มีพระมนัสมั่นคง น้อมตรงไป
เพื่อที่จะบรรลุ อาสวักขยญาณ = ญาณเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวกิเลส คือ

ในขณะนี้พระองค์ทรงกระทำวิธีการในอันที่จะกำจัดอวิชชาหรือโมหะ ซึ่งเป็นม่านมืดปกปิดกำบังดวงปัญญามิให้เห็นแจ้งในพระไตรลักษณญาณ และพระจตุราริยสัจธรรม (พระอริยสัจ ๔)นั้น

โดยวิธีการ คือ ทรงเจริญพระวิปัสสนาญาณภาวนา เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์หรือรูปนามตามอำนาจแห่งพระไตรลักษณ์แล้ว
 

จนกระทั่งถึงเพลาตามพารุณสมัยไขแสงทองส่องอร่ามฟ้า พระองค์ผู้ทรงพระอุตส่าห์สร้างพระพุทธบารมีมานานก็ได้ตรัสรู้แก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ กำจัดอวิชชาหรือโมหะได้อย่างเด็ดขาด

ทรงเห็นแจ้งในพระจตุราริยสัจโดยประจักษ์ ดับสูญสิ้นอาสวกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน สำเร็จเป็นองค์ "สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุนีโคดมบรมศาสดาจารย์" ทรงเป็นผู้ควรแก่การเคารพแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง



ทรงพระกรุณาตรัสเล่าถึงประสบการณ์ของพระองค์เองตอนนี้ ไว้ใน บาลีโพธิราชกุมารสูตร และ บาลีมหาวาร ดังต่อไปนี้
 

เราตถาคตน้อมจิตไปเฉพาะต่ออาสวขยญาณแล้ว
เราตถาคตรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงว่า
"นี่ทุกข์ , นี่เหตุแห่งทุกข์ , นี่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ,
นี่ทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งทุกข์...


เมื่อเราตถาคตรู้แจ้งอยู่อย่างนี้ เห็นแจ้งอยู่อย่างนี้
จิตก็พ้นจาก กามาสวะ-ภวาสวะ-อวิชชาสวะ
ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าจิตพ้นแล้ว

เราตถาคตรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว
กิจที่ต้องทำได้สำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อ
ความหลุดพ้นอย่างนี้มิได้มีอีกแล้ว


"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย !
ตราบใดที่ญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามความเป็นจริง
ของเราในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้ ยังไม่เป็นญาณทัศนะ
ที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี


ตราบนั้นเราตถาคตก็ยังไม่ปฏิญญาว่า ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่ง
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณให้เป็นที่รู้กันในมนุษยโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อม
ทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์

"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย !
เมื่อใดที่ญาณทัศนะเครื่องรู้เห็นตามความเป็นจริง
ของเราในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้ เป็นญาณทัศนะ
ที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยดี


เมื่อนั้นเราตถาคตปฏิญญาว่า
เป็นผู้ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งอนุตรสัมมา-
สัมโพธิญาณให้เป็นที่รู้กันในมนุษยโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อม
ทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์" ดังนี้


อ้างอิง หนังสือ โพธิธรรมทีปนี  โดยพระพรหมโมลี
ที่มา เว็บพลังจิต โดยปราชญ์ขยะ




นำมาช่วยคุณรักหนอครับ เข้าใจว่า "คุณรักหนอน่าจะชอบพุทธประวัติ"

คงสำราญใจไม่น้อย ที่ได้กล่าวถึงปฏิปทาของพระพุทธองค์

สิ่งที่นำเสนอนี้หวังว่าจะเป็น "พุทธานุสติ" ให้กับหลายๆท่าน


ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
 :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

pichai

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 99
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
เป็นไปตามคำพยากรณ์ ของพระพุทธเจ้า องค์ก่อน ๆ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 09:01:34 am »
0
ได้ไปอ่านเรื่อง สุเมธดาบสแล้ว

กลับมาอ่านเรื่องนี้อีก ก็ชี้ชัดได้ว่า ชีิวิตเรานั้นถูกกำหนดไว้อย่างนี้
 :25: :25:
บันทึกการเข้า

ปักษาวายุ

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 96
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนาสาูธุ กับเรื่องเก่า ที่นำมาให้อ่านกันใหม่ ครับ

 :25:
บันทึกการเข้า