ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การแสดงธรรมยากที่จะหลีกเลี่ยง "กระทบตนและกระทบท่าน"..!!  (อ่าน 5337 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
    • ดูรายละเอียด




พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในภายใน ก่อนแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
อุทายิสูตร

     [๑๕๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี สมัยนั้น ท่านพระอุทายีผู้อันคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว นั่งแสดงธรรมอยู่ ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระอุทายี ผู้อันคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว นั่งแสดงธรรมอยู่ จึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
     ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า
     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระอุทายี ผู้อันคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว นั่งแสดงธรรมอยู่

     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
     ดูกรอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่นพึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ภายใน แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น 

     ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุพึงตั้งใจว่า
      เราจักแสดงธรรมไปโดยลำดับ ๑
       เราจักแสดงอ้างเหตุผล ๑
        เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู ๑
         เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม ๑
          เราจักไม่แสดงให้กระทบตนและผู้อื่น ๑

           แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น

    ดูกรอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในภายใน แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ฯ


     จบสูตรที่ ๙


อ้างอิง :-
อุทายิสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒  บรรทัดที่ ๔๓๐๑-๔๓๑๖. หน้าที่ ๑๘๗.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=4301&Z=4316&pagebreak=0




อรรถกถาอุทายิสูตรที่ ๙
   
         
       พึงทราบวินิจฉัยในอุทายิสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
       บทว่า อนุปุพฺพิกถํ กเถสฺสามิ ความว่า ยกลำดับแห่งเทศนาอย่างนี้ว่า ศีลในลำดับทาน สวรรค์ในลำดับศีล หรือบทพระสูตร หรือบทคาถาใดๆ หรือพึงตั้งจิตว่า เราจักกล่าวกถาสมควรแก่บทนั้นๆ แล้วแสดงธรรมแก่ผู้อื่น.

       บทว่า ปริยายทสฺสาวี ได้แก่ แสดงถึงเหตุผลนั้นๆ แห่งเนื้อความนั้นๆ.
       จริงอยู่ ในสูตรนี้ ท่านกล่าวเหตุว่าปริยาย.

       บทว่า อนุทฺทยตํ ปฏิจฺจ ได้แก่ อาศัยความเอ็นดูว่า เราจักเปลื้องสัตว์ทั้งหลายผู้ถึงความยากลำบากมาก จากความยากลำบาก.
       บทว่า น อามิสนฺตโร ได้แก่ ไม่เห็นแก่อามิส. อธิบายว่า ไม่หวังลาภคือปัจจัย ๔ เพื่อตน.
       บทว่า อตฺตานญฺจ ปรญฺจ อนุปหจฺจ ได้แก่ ไม่กระทบตนและผู้อื่นด้วยการกระทบคุณโดยยกตนข่มผู้อื่น.


               จบอรรถกถาอุทายิสูตรที่ ๙ 

         
ที่มา :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=159
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
    • ดูรายละเอียด


การกล่าวธรรมไม่กระทบผู้อื่นและการคลุกคลี

 
ask1 ask1 ask1 ask1

ถามโดยคุณ Biggy : การกล่าวธรรมที่จะไม่กระทบผู้อื่นมีหลักอย่างไรคะ แล้วเป็นไปได้ไหมที่เราก็อาจไม่รู้ตัวว่า เราเผลอกล่าวธรรมเพื่อกระทบคนอื่น อย่างวันก่อน ดิฉันกับเพื่อนสนทนากันในเฟซบุ๊ค เรื่องการทำอาชีพต่างๆ มีผลต่อกุศลและอกุศลในชีวิตประจำวันหรือไม่.?

    แล้วเพื่อนก็เผลอเอาธรรมะมาพูดเสียดสีอาชีพคนค้าขาย แล้วเพื่อนอีกคนที่ค้าขายมาอ่านเจอเข้า ก็บอกว่าที่เค้าเอาธรรมะมาโพสนั้นไม่ใช่ธรรมทานหรอก เป็นแค่การเอาธรรมะมาเป็นเครื่องมือดูหมิ่นคนอื่น
    ดิฉันจึงได้คิดว่าน่าจะจริง เคยอ่านกระทู้เก่าๆ บอกว่าการสนทนาธรรมไม่ชื่อว่าคลุกคลี แต่บางกรณีก็อาจจะเป็นการคลุกคลีใช่ไหมคะ เพราะว่าจุดประสงค์ที่กล่าวธรรมนั้นเพื่อกระทบคนอื่น


ans1 ans1 ans1 ans1

ตอบโดยคุณ paderm : พระธรรมทุกบท มีประโยชน์และมีค่า สำหรับผู้ที่ตั้งจิตไว้ชอบ ด้วยกุศลธรรม หากแต่ว่า การศึกษาพระธรรม ที่ไม่ดีที่เรียกว่า การศึกษาพระธรรมแบบจับงูพิษที่หางงู พิษย่อมแว้งกัดได้ เพราะจับไว้ไม่ดี ก็ทำให้เป็นทุกข์ปางตาย ฉันใด การศึกษาพระธรรมอันเป็นไปด้วยอำนาจกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อละ สละขัดเกลา มีการเพื่อให้ได้ลาภ สักการะ สรรเสริญ รวมทั้งเพื่อว่าร้ายผู้อื่นๆ
    สรุปคือ ศึกษาพระธรรมเพื่อการเพิ่มอกุศลหรืออกุศลเจริญขึ้น ย่อมมีโทษกับผู้ที่ศึกษา และกล่าวธรรมในทางที่ผิดเพราะการตั้งจิตไว้ผิด ตั้งจิตในทางอกุศลนั่นเอง ครับ

   ซึ่งในพระไตรปิฎกแสดงไว้ครับว่า มีสมณพราหมณ์จำนวนมาก ต่างก็โต้เถียง กล่าวว่า ด้วยถ้อยคำที่กล่าวด้วยธรรมของตนในกันและกัน ผู้หนึ่งเห็นเหตุการณ์นี้จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
   สมณพราหมณ์เหล่านี้มีการโต้เถียง ขัดแย้งเป็นอานิสงส์ หรือเป็นผล ส่วนธรรมของพระองค์มีอะไรเป็นผล อานิสงส์.?
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมที่บุคคลศึกษาดีแล้ว ย่อมมีวิชชาและวิมุตติ คือ การหลุดพ้นจากกิเลส และการเกิดเป็นอานิสงส์ คือเป็นผล

    ดังนั้นผู้ที่ศึกษาธรรมที่ผิด ทำให้มีการโต้เถียง และกล่าวว่ากันด้วยการยกธรรม อานิสงส์ หรือ ผล ของการกระทำนั้น ก็ตรงกันข้ามกับการศึกษาธรรมที่ถูก ผลคือเพิ่มอกุศล คืออวิชชา ความไม่รู้และกิเลสประการต่างๆ  และทำให้ไม่หลุดพ้นจากกิเลส และไม่หลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์ คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตายได้เลยครับ นี่คือผลของผู้ที่ศึกษาธรรมผิด มีการยกพระธรรมมาว่าร้ายกัน เป็นต้น
    และขณะที่ตั้งใจว่าร้าย แม้คำนั้นจะเป็นคำที่สุภาพตามชาวเมืองกล่าวกัน หรือเป็นคำที่เป็นพระธรรมของพระพุทธเจ้า แต่มีจิตร้ายที่เป็นโทสะต้องการว่า ขณะนั้นก็เป็นผรุสวาจาแล้ว เป็นคำหยาบ หากครบกรรมบถ ถ้ากรรมให้ผล ก็ทำให้ไปอบายภูมิได้ครับ


      :25: :25: :25: :25:

     การศึกษาพระธรรมจึงเป็นไปเพื่อละ สละขัดเกลากิเลส ดังนั้น การศึกษาพระธรรมจึงมีโทษและมีประโยชน์ หากเป็นผู้ตั้งใจไว้ไม่ดีและดีครับ
     การแสดงธรรมที่ถูกต้องจึงต้องเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์ เกื้อกูลกับผู้ที่ได้รับฟัง ให้ได้รับประโยชน์ ธรรมนั้นจึงจะบริสุทธิ์ และเป็นไปเพื่อละ สละกิเลสกับทั้งผู้แสดงและผู้ฟัง อันเป็นไปในการที่จะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ครับ เพราะไม่มีพระธรรมบทไหนเลย  ที่จะแสดงให้ผู้แสดงธรรมและผู้รับฟังเกิดอกุศล
    ดังนั้น โทษของพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไม่มีโทษ มีแต่ผู้ที่ศึกษาพระธรรมเองเท่านั้น ครับ

    การแสดงธรรมหรือการกล่าวธรรม รวมไปถึงการสนทนาธรรมด้วย ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ไม่ใช่เพื่อลาภ สักการะ สรรเสริญ ไม่ใช่เพื่อโต้เถียงหรือแข่งกันว่าใครจะเก่งกว่ากัน เป็นต้น
    แต่เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้รับฟังเป็นสำคัญที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ได้ฟัง อันเป็นความจริง  เป็นสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ถ้ากล่าวธรรมด้วยการตั้งจิตไว้ไม่ชอบ ซึ่งก็คือตั้งจิตไว้ผิด(เป็นอกุศล) ย่อมไม่บริุสุทธิ์เลย เป็นการเพิ่มอกุศลให้กับตนเองมากยิ่งขึ้น   ขึ้นชื่อว่าอกุศลแล้ว ไม่ดีเลยโดยประการทั้งปวง ครับ     

   ดังนั้นการกล่าวธรรมเพื่อกระทบผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่การกล่าวธรรมครับ เพราะขณะนั้นจิตเป็นอกุศล ไม่ใช่กุศล ครับ


    st12 st12 st12 st12

   พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ หน้าที่ ๓๓๔
   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม  ๕ ประการไว้ภายใน แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น  ๕ ประการเป็นไฉน.? คือ
   ภิกษุพึงตั้งใจว่า
   เราจักแสดงธรรมไปโดยลำดับ ๑       
   เราจักแสดงอ้างเหตุผล  ๑         
   เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู  ๑           
   เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม ๑
   เราจักไม่แสดงให้กระทบตนและผู้อื่น   ๑                 
   แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
   ดูก่อนอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่ายภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในภายใน  แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น.


    ขออนุโมทนา


ask1 ans1 ask1 ans1


ตอบโดยคุณ khampan.a : พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นปรากฏเป็นไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ  ทุกวันทุกขณะ เพื่อให้พุทธบริษัทเห็นโทษภัยของอกุศลธรรม และเห็นถึงภัยของสังสารวัฏฏ์ซึ่ง ตราบใดที่ปัญญายังไม่ได้อบรมเจริญจนกระทั่งถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งปวงได้โดยเด็ดขาด สังสารวัฏฏ์ก็จะไม่มีวันจบสิ้น

ดังนั้นถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง พุทธบริษัทก็จะไม่เห็นโทษภัยของอกุศลธรรมและภัยของสังสารวัฏฏ์แล้วก็จะไม่มีการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แต่เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลกทั้งปวง พระองค์จึงทรงแสดงธรรม เพื่อปลดเปลื้องหมู่สัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์ โดยที่พระองค์ไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทนใดๆเลย จากการแสดงธรรมของพระองค์

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นความจริง ดังนั้น ผู้ที่กล่าวธรรมก็ควรที่จะแสดงแต่ความจริงตามที่พระองค์ทรงแสดง เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นสำคัญ ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์อย่างอื่น และที่สำคัญ ขณะที่กล่าวธรรมสนทนาธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกนั่น ไม่ใช่การคลุกคลี เพราะการคลุกคลีเป็นเรื่องของอกุศล ครับ 
                     
    ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุก ๆ ท่านครับ...


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.dhammahome.com/webboard/topic/24669
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    • ดูรายละเอียด
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
    • ดูรายละเอียด
เรื่องนี้ ดี นะครับ ออกมาถูกเวลา นะครับ เพราะว่าบางครั้งการแสดงธรรม บางทีมันก็ต้องมีถูกกระทบ กันบ้าง แต่ผู้ปฏิบัติธรรม บางทีการถูกกระทบ ก็ไม่ใช่ว่า จะยอมรับกันได้ เพราะถ้าไม่อนุญาตให้สอนหรือ ตักเตือนกันแล้ว ก็ยากที่พูดกันให้เข้าใจได้ง่าย

  พระสงฆ์ จึงต้องมีการปวารณา ในตอนออกพรรษา คือ ไม่เข้าใจอะไรกัน แนะนำกันได้ ก็บอกออกมา แต่ก่อนการปวารณานั้น เป็นการชี้แนะนำธรรม ภาวนา ที่ขัดข้อง หรือ วินัย ที่ต้องชำระ แต่ปัจจุบันผมไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรนะครับ ในปัจจุบัน

     :25: st12
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    • ดูรายละเอียด
 :88:
       แต่ถ้าเข้าใจ...ก็น่าจะเห็นเป็นธรรมดา ครับ

           พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว.........เลือกสุขทุกข์ก็ต้องมีมาด้วย...จะเลือกเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่สามารถ  จะทำได้

                   หากเลือกเอาแต่สันติสุขเลย....ต้องเป็นพระเสขะ  พระอเสขะ

                         ก็ว่าต่อยอดกันไปเป็นวิสัย  เพื่อนัยยะไม่ให้กระทู้เงียบเหงา นะครับ ไม่มีอะไร ตามอารมณ์เช่นเคย
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    • ดูรายละเอียด
 :welcome:
  ขออนุโมทนาสาธุ ครับ

.......ช่วงนี้ ท่านรพลสัน  ไปบำเพ็ญกิจโลก   เพราะทราบว่าญาติป่วย  ต้องไปดูแล ครับ


      ใครที่มีเวลา ก็ช่วยกันแจกธรรมด้วย...ช่วยกันอัพเดด ครับ



      ขออนุโมทนาสาธุ ครับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

suchin_tum

  • ไม่กลับมาเกิด
  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 486
    • ดูรายละเอียด

    ขอสาธุ ด้วยคนค่ะ
บันทึกการเข้า
ขอน้อมอาราธนากำลังแห่งครูอาจารย์กรรมฐานมัชฌิมาจงมาประสิทธิ์ประศาสตร์