ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายฯ  (อ่าน 3591 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายฯ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 06:12:42 am »
0

[๑๓๙] ดูกรสุภัททะ เราโดยวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้ว ตามแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ตั้งแต่เราบวชแล้วนับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะผู้เป็นไปในประเทศแห่งธรรมเป็นเครื่องนำออก ไม่มีในภายนอก แต่ธรรมวินัยนี้ ฯ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ก็มิได้มี ลัทธิอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายฯ

[๑๔๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สุภัททปริพาชกได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค ฯ

พระ ผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นต้องอยู่ปริวาสสี่เดือน เมื่อล่วงสี่เดือน ภิกษุทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุ ก็แต่ว่าเรารู้ความต่างแห่งบุคคลในข้อนี้

            สุภัททปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากผู้ที่เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาสสี่เดือน เมื่อล่วงสี่เดือน ภิกษุทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุไซร้ ข้าพระองค์จักอยู่ปริวาสสี่ปี เมื่อล่วงสี่ปี ภิกษุทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบทเถิด ฯ

พระสุภัททะสำเร็จพระอรหัตผล

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า

ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้สุภัททปริพาชกบวชเถิด

ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว สุภัททปริพาชกได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า

ดูกรท่านอานนท์ ผู้มีอายุ เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระศาสดาทรงอภิเษกด้วยอันเตวาสิกาภิเษก ในที่เฉพาะพระพักตร์ ในพระศาสนานี้

สุภัททปริพาชกได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค ก็ท่าน สุภัททปริพาชกได้บรรพชาอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ ไม่ช้านานนัก ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้มีความต้องการออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ท่านสุภัททะได้เป็นอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเป็นสักขิสาวกองค์สุดท้ายของพระผู้มีพระภาค ฯ

จบภาณวารที่ห้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 15, 2010, 06:15:56 am โดย หมวยจ้า »
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
เวลานี้ในโลกนี้มีพระอรหันต์หรือไม่
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 07:27:02 pm »
0
เวลานี้ในโลกนี้มีพระอรหันต์หรือไม่ 
 


ข้อความจากนิตยสาร  "ศุภมิตร" 
ฉบับที่  ๕๒๔  พ.ย. - ธ.ค.  ๒๕๔๓ 
ในข้อ  "หลักธรรมะสำหรับนักศึกษา"    พุทธทาส

โพสโดย สัจจธรรมภิกขุ

มีปัญหาต่อไปนี้ เวลานี้ในโลกนี้มีพระอรหันต์หรือไม่ ?
   
        ข้อนี้ตอบด้วย   พระพุทธภาษิต   ในทีฆนิกายมหาวรรค   พระไตรปิฎกบาลี   เล่ม  ๑๐  หน้า  ๑๗๖
 
(ถ้าอาตมากล่าวถึงคำว่าพระไตรปิฎกแล้ว   ขอให้ถือว่าเป็นฉบับบาลี   สยามรัฐ   ปกเหลืองมีช้างแดงที่สัน) 
 
มีอยู่ว่า  "ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้จักอยู่โดยชอบไซร้  โลกก็ไม่ว่างจากพระอรหัตน์"  ที่เป็นคำตรัสใกล้ ๆ  นิพพานอยู่หยก ๆ ในวันนั้นเอง  สเจ   เม   ภิกฺขู   สมฺมา   วิหเรยฺยุํ   ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้จักพึงอยู่โดยชอบไซร้;  อสุญฺโญโลโก    อรนฺหเตหิ   อสฺส   โลกนี้ก็ไม่ว่างจากพระอรหันต์,   ถ้าท่านมีข้อสงสัยหรือถูก

ถามว่าเดี๋ยวนี้มีพระอรหันต์หรือไม่ท่านอย่าตอบออกไปโดยส่วนเดียว   ว่ามีหรือไม่มี   จะเป็นความผิดพลาดจากที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้   ว่าภิกษุเป็นอยู่โดยชอบ   โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์.
 

ปัญหาก็เหลืออยู่ว่า   อย่างไรเรียกว่าอยู่โดยชอบ ?   
        ฟังดูแล้วมันง่ายเกินไป   อยู่โดยชอบนี้   ที่จริงมันก็มีความหมายพิเศษของมัน   อยู่โดยชอบคือว่าอยู่โดยวิธีที่กิเลสจะไม่ได้กินอาหาร   หรืออยู่โดยวิธีที่กิเลสจะไม่ถูกปรุงขึ้นมานั่นเอง   เพราะฉะนั้น   จึงไม่มีอะไรอีกนอกจากว่าอยู่ด้วยจิตที่ว่างตลอดไป   คือจิตที่มองเห็นโลกทั้งหมดโดยความเป็นของว่าง   และจิตไม่จับฉวยสิ่งใด   

โดยความเป็นตัวตนหรือของตน  จะพูด  จะคิด   จะทำ   จะขวานขวาย   จะใช้   จะสอยอะไรก็ตาม   ไม่มีความรู้สึกยึดมั่นสิ่งใดว่าเป็นของตนแต่ทำไปด้วยสติสัมปชัญญะ   ทำไปด้วยปัญญา   ทำไปด้วยความรู้เท่าถึงการณ์เป็นอยู่อย่างนี้เรียกว่าเป็นอยู่ชอบ   คือเป็นอยู่ในลักษณะที่กิเลสไม่มีทางจะเกิด,  กิเลสไม่มีทางที่จะได้อาหารหรือถ้าจะกล่าวระบุชื่อ   อย่างเช่นอยู่ด้วยอริยมรรคมีองค์แปดอย่างนี้   ก็ได้เหมือนกัน   เรียกว่าเป็นอยู่ชอบเพราะ

สิ่งที่เรียกกว่าสัมมาทิฏฐิ   อันเป็นองค์ที่  ๑  ของอริยมรรคนั้นหมายถึงความรู้ความ
เข้าใจความเห็นแจ้งที่ถูกต้องว่าไม่มีอะไรที่ควรจะยึดถือ   ฉะนั้นจึงทำให้การใฝ่ฝันหรือการอะไรต่าง ๆเป็นไปในลักษณะที่ไม่ยึดถือทั้งนั้น   เป็นอยู่ชอบอย่างนี้   กิเลสผ่ายผอมลงไปเองและหมดสิ้นไป   คือไม่มีทางที่จะเกิด   ไม่มีความเคยชินในการที่จะเกิดอีก.


        สิ่งที่เรียกว่าอนุสัยนอนเนื่องในสันดานนั้นเป็นเพียงความเคยชินเท่านั้น   แต่คนไม่รู้คิดว่ากิเลสเป็นตน   กลายเป็นสัตตทิฏฐิไปเลย   ว่ากิเลสเป็นตัวเป็นตนนอนเนื่องอยู่ในสันดานนี้เป็นพวกสัสตทิฏฐิ.

พวกที่มีความรู้ความเข้าใจตามหลักของพระพุทธเจ้าจะถือว่าสิ่งเหล่านี้   จะเป็นตัวเป็นตนไปไม่ได้  มันมีเหตุผล   มันเกิดตามเหตุตามปัจจัย   แต่ทีนี้ความที่เกิดจนเคยชินยิ่งกว่าชิน   จึงดูเป็นของประจำคล้าย ๆ กับมีประจำอยู่ในสันดาน  ที่ทำให้เข้าใจว่ามันนอนรออยู่ในสันดานตลอดเวลาฉะนั้น   ขอให้เข้าใจว่า   สิ่งที่เรียกว่าอนุสัยนั้นเป็นเพียงความเคยชิน  ชินอย่างยิ่ง  ชินเหลือเกิน  จึงได้ใช้คำว่าอนุสั
ย.
       
ปัญหาต่อไปว่าการเป็น  พระอรหันต์นั้นยากหรือง่าย ?   
        นี่คนแทนทั้งหมด   ตอบว่ายากเหลือแสน  ไม่มีใครกล้าคิดกล้าพูดว่าง่าย   นี้ขอให้ถือหลักอย่างเดียวกันอีกว่าอย่าตอบอะไรลงไปโดยส่วยเดียว   ผู้ใดตอบอะไรลงไปโดยส่วยเดียว  เช่นตอบว่ามีหรือไม่มีตอบว่าง่ายหรือยากลงไปโดยส่วยเดียวอย่างนี้ไม่ถูก   ไม่ใช่ผู้เดินตามพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีหลักแห่งเหตุปัจจัย   ถ้าทำถูกหลักแห่งเหตุปัจจัยมันก็ง่าย   ถ้าทำผิดหลักแห่งเหตุปัจจัยมันก็ยากเหลือแสนจริงเหมือนกัน.

        นี่ก็เพราะความที่คนเราเคยชินแต่เรื่องของกิเลสมันจึงปรากฏเป็นของยาก  นี้ต้องนึกถึงพระพุทธภาษิตที่ว่า   อยู่โดยชอบเท่านั้นโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์   อยู่โดยชอบนี้ไม่ยากไม่เหลือวิสัย   อยู่โดยอุบายที่ปิดล้อมกิเกสไว้ไม่ให้ได้อาหารเหมืผอนจะฆ่าเสือสักตัวหนึ่ง   เราก็ล้อมไว้ไม่ให้กินอาหารมันก็ตายลง   ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปเผชิญกับเสือให้เสือมันกัดมันข่วน  

อย่างนี้จึงเรียกว่าไม่เหลือวิสัยนี่แหละอุบายวิธี   และอยู่ในลักษณะที่ทำได้   เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นพระอรหันต์นั้น   จะว่ายากก็ไม่ยาก   จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย   แล้วแต่จะทำถูกหรือผิดวิธี   แต่ถ้าถือตามพระพุทธภาษิตแล้วก็ไม่ยาก   ขอให้อยู่โดยชอบ  โลกก็ไม่ว่างจากพระอรหันต์.

ปัญหามีว่า   เราจะรู้จักพระอรหันต์ได้หรือไม่ ?   
        นี่ชอบถามกันมาก   เช่นบางคนสงสัยว่าเราอาจจะไม่รู้จักพระอรหันต์ที่กำลังมีอยู่ในโลกเวลานี้ก็มี   ถ้าถามอย่างนี้คือถามว่าเราจะรู้จักพระอรหันต์ได้หรือไม่   ถ้าเดินมา.

        ตอบว่าถ้าถึงบทที่จะไม่รู้   หรือถึงคราวไม่รู้แล้วแม้แต่พระอรหันต์ด้วยกันเอง   ก็ไม่รู้จักกันว่าเป็นพระอรหันต์   มีคำกล่าวในจุลวรรคอุทานเล่มที่  ๒๕  หน้า ๑๙๘  ว่าพระสารีบุตรไม่รู้ว่าพระลกุณฏกะภัททิยะ   นี้เป็นพระอรหันต์มัวพูดธรรมเพื่อความเป็รพระอรหันต์แก่พระลกุณฏกะภัททิยะเรื่อย  นี่แสดงว่าพระสารีบุตรก็ไม่รู้ว่า   พระลกุณฏกะภัททิยะเป็นพระอรหันต์ ทีนี้ถ้าถึงคราวที่จะรู้แล้ว  แม้พรหมในพรหมโลกที่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ก็ยังรู้ว่าใครตายอย่างนิพพาน   ใครตายอย่างไม่นิพพานเป็นผู้พยากรณ์ได้   

นี้มีข้อความในอังคุตตรนิกาย   สัตตกนิบาต  เล่ม  ๒๓  หน้า  ๑๗๒  ฉะนั้นเมื่อถามว่าจะรู้จักพระอรหันต์ได้หรือไม่ ?  จำเป็นต้องตอบว่ารู้ได้ก็ได้   ไม่อาจจะรู้ได้ก็ได้   มันแล้วแต่กรณี   แม้เป็นพระอรหันต์ด้วยกันเองก็ยังไม่รู้ก็มี   ดังนั้นไม่ควรจะตอบโดยส่วนเดียว   ว่ารู้ได้หรือรู้ไม่ได้   เหมือนพวกอาจารย์ตามศาลาวัดที่ชอบพูดว่ารู้ได้บ้าง   รู้ไม่ได้บ้าง.

ปัญหาต่อไป   จะหาพบพระอรหันต์ได้ที่ไหน ?   
        ก็ต้องหาพบพระอรหันต์ที่ความสิ้นไปแห่งกิเลส   อย่ามัวไปหาตามป่า  ตามวัด   ตามถ้ำ   ตามเขา   ตามบ้าน   ตามเมือง   ตามสำนักวิปัสสนา   จงไปค้นหาพระอรหันต์ได้ที่ความสิ้นไปแห่งกิเลส   จงพิสูจน์หรือว่าค้นหรือทดลองอะไรก็ตามให้รู้ถึงความสิ้นไปแห่งกิเลส   ถ้าไม่มีทางก็ไม่ต้องค้นหารู้ของตัวก็แล้วกัน   ถ้ามีความสิ้นไปแห่งกิเลสก็เป็นพระอรหันต์   นี้เป็นหลักกลาง ๆ  ที่สุด   ที่เราจะต้องถืออย่างนี้


พระอรหันต์เป็นฆราวาสนไม่ได้ใช่หรือไม่ ?
       นี้อย่าไปตอบโดยส่วนเดียวว่าได้หรือไม่ได้   จะต้องตอบว่าพระอรหันต์อยู่เหนือความเป็นฆราวาส   และเหนือความเป็นบรรพชิต   ฉะนั้น   การที่พูดว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว   ต้องรีบออกบวชภายใน  ๗  วัน  มิฉะนั้นจะตาย   นี้มันเป็นคำพูดของคนอวดดีในชั้นหลัง   ในอรรถกถา ในฎีกาในอะไรก็ตามใจ   พระอรหันต์ต้องอยู่เหนือความเป็นฆราวาส   และเหนือความเป็นบรรพชิตเสมอ   ไม่มีใครจับพระอรหันต์ใส่ลงไปในความเป็นฆราวาสได้   และอยู่เหนือความเป็นบรรพชิตด้วย

ฉะนั้นอย่าไปพูดเรื่องพระอรหันต์อยู่บ้านเรือนได้หรือไม่   แม้จะจับให้อยู่แต่ในบ้านเรือน   จับใส่ลงไปในบ้านเรือน   มันก็ทำให้พระอรหันต์เป็นคนครองเรือนไม่ได้   ท่านอยู่เหนือความเป็นฆราวาส  เหนือความเป็นบรรพชิตอย่างนี้

ปัญหามีว่า   ทำไมผู้ฆ่าคนตาย จึงเป็นพระอรหันต์ ?   
        นี้ตอบได้ง่ายนิดเดียว   เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า  "คน"  นั่นแหละต้องฆ่าเสียก่อน   แล้วจึงจะเป็นพระอรหันต์ได้   ถ้าสิ่งที่เรียกว่า  "คน"   นั้นไม่ถูกฆ่าแล้ว   ไม่มีทางเป็นพระอรหันต์ได้   คือ  จะต้องฆ่าความรู้สึกว่าคน  ว่าตัวว่าตนว่าเรา  ว่าเขา  ว่าสัตว์   ว่าบุคคล   เหล่านี้เสียก่อน   คือไม่มีความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นเป็นสัตว์   เป็นคนเป็นตัวเป็นตนอีกต่อไป   นี้เรียกว่า  "ฆ่าคน"  หรือฆ่าสิ่งที่เรียกว่าคนเสียได้ก็เป็นอรหันต์ทันที   ฉะนั้น   จึงกล่าวว่าต้องฆ่าคนเสียก่อนจึงจะเป็นพระอรหันต์ได้.

        บางทีท่านกล่าวไว้ในที่บางแห่งยิ่งไปกว่านี้ว่าต้องฆ่าบิดามารดาเสียก่อนจึงจะเป็นพระอรหันต์   บิดามารดาก็คือกิเลสที่ปรุงแต่งโดยเฉพาะ  เช่น  อวิชชา  ตัณหา  อุปาทาน   หรือกรรมอะไรเหล่านี้   ที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นเหมือนบิดามารดาคือมันคลอดเราออกมา  คลอดความรู้สึกว่า  "คน"  ออกมา 

ฉะนั้นต้องฆ่ามันเสีย  คือต้องฆ่าบิดามารดาของคนนั้นเสียแล้วก็เป็นพระอรหันต์ได้   แม้ในเรื่องพระองคุลิมาล   พระองคุลิมาลเป็นพระอรหันต์เพราะฆ่าคนเสียได้   เมื่อได้ฟังคำว่า  "หยุด"  ของพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็ฟังถูกว่า  หยุดนั้นหมายความว่าอะไร   คนเขลา ๆ  อธิบายว่าพระพุทธเจ้าหยุดนั้น   คือหยุดฆ่าคน  หยุดวิ่งฆ่าคนเหมือนองคุลิมาล   เรียกว่าหยุดส่วนองคุลิมาลยังเที่ยวฆ่าคนอยู่เรียกว่าไม่หยุดอย่างนี้ไม่ถูก.

        ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าฉันหยุดคือว่าฉันหยุดการเป็นคนเสียแล้ว   ทีนี้พระองคุลิมาลก็ฟังถูก  ว่าหยุดนั้นคือหยุดการเป็นคน   แล้วท่านก็หยุดความเป็นคน  นี้ก็เรียกว่าพระองคุลิมาลฆ่าคนเสียได้   ฆ่าความรู้สึกว่าคนนี้เสียได้   พระองคุลิมาลก็เป็นพระอรหันต์เนื่องด้วยการฆ่าคนอย่างนี้เป็นต้น   เพียงแต่คำว่า  "หยุด"  เท่านี้ก็ฟังกันไม่ถูกเสียแล้ว   ฟังผิด  แล้วอธิบายกันผิด  พูดกันผิด   สอนกันผิดมันก็ค้านกันเองอยู่ตัว   เพียงแต่หยุดไม่วิ่งไล่ฆ่าคนหรือหยุดเดินนี้จะเป็นพระอรหันต์ได้นี้   มันน่าหัวเราะ   


ฉะนั้นต้องหยุดความเป็นคน   ฆ่าอุปทานว่าบุคคลตัวตนเราเขาเสียได้   จึงจะเป็นพระอรหันต์นี้เรียกว่าฆ่า  "คน"   แล้วก็เป็นพระอรหันต์.


เราจะดูสิ่งที่เป็นปัญหาปลีกย่อย  เพื่อจะช่วยให้เข้าใจปัญหาเหล่านี้ดีขึ้น  เช่นจะตั้งปัญหาถามว่า  โลกนี้เต็มไปด้วยอะไร ?   
        บางคนมองไปในลักษณะหนึ่งก็ตอบว่า  โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์   เช่นว่าทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น   ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่   ทุกข์เท่านั้นดับไป   อย่างนี้ก็เรียกว่าถูกเหมือนกัน  แต่มันยังฟังยาก  มันควรจะตอบอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า   โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ว่าง   โลกนี้ว่างไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนหรือของตน   

       ฉะนั้นอย่าไปดีใจที่เพียวแต่พูดว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้น  ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ทุกข์   นี่ว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องแล้ว   มันถูกเหมือนกันแต่ว่ามันมีทางกำกวมได้   เผลอเข้าใจก็ผิดได้   เพราะว่าสิ่งเหล่านั้น   ถ้าไม่ไปยึดถือแล้ว  ก็ไม่เป็นทุกข์

        ขอให้ฟังให้ดีว่า   โลกก็ตาม  อะไรก็ตาม   ที่รวม ๆ  กันแล้ว   เรียกว่าโลกนี้มันไม่ได้เป็นทุกข์   หรือเป็นทุกข์   ต่อเมื่อไปยึดถือเข้าจึงจะเป็นทุกข์   ถ้าไม่ยึดถือแล้วไม่มีความทุกข์   ฉะนั้น   จึงไม่อาจจะพูดว่าชีวิตเป็นทุกข์   หรือไม่เป็นทุกข์   พูดว่าชีวิตเป็นทุกข์นี้พูดตื้น ๆ  ง่าย ๆ  ขอไปที


        ชีวิตที่ถูกยึดถือจึงจะเป็นทุกข์   ชีวิตที่ไม่ถูกยึดถือก็ไม่เป็นทุกข์   ฉะนั้นชีวิตนี้มีแก่นสาร   ไม่ใช่ไม่มีแก่นสาร  ชอบพูดกันว่าชีวิตนี้ไม่มีแก่นสารนั้นก็เพราะไม่รู้จักทำให้มีแก่นสาร   ถ้ารู้จักใช้ชีวิตนี้เป็นเครื่องช่วยให้รู้เรื่องโลก   เรื่องเหตุให้เกิดโลก   เรื่องความดับสนิทของของโลก   วิธีปฏิบัติให้ถึงความดับสนิทของโลกแล้ว   ชีวิตนี้ก็มีแก่นสารคือเป็นที่ตั้งแห่งการศึกษาเป็นที่ตั้งแห่งการประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งได้รับผลแห่งการปฏิบัติ   และเป็นที่ตั้งแห่งการรู้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ   คือ  นิพพาน   ฉะนั้นถือว่าชีวิตนี้มีแก่นสาร   แต่ไม่มีแก่นสารอะไรสำหรับคนโง่เขลาซึ่งไม่รู้จักใช้มัน

        นี่โลกนี้เต็มไปด้วยอะไรมองในแง่หนึ่งก็ว่า   เต็มไปด้วยความทุกข์หรือเป็นทุกข์ทั้งนั้น   แต่มองในแง่หนึ่งที่สูงขึ้นไป   ก็ว่าไม่ได้เป็นอะไรเลย   อย่างจะพูดว่ามีแต่สิ่งที่เกิดขึ้น  ตั้งอยู่   ดับไป   เกิดขึ้นตั้งอยู่   ดับไป ๆ  นี้ก็เหมือนกันต่อเมื่อไปยึดถือเข้ามันจึงจะเป็นทุกข์   ถ้าไม่ยึดถือมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น   ตั้งอยู่ดับไป   ของมันเอง  อยู่เรื่อยไป   

       ฉะนั้นเราต้องถือว่า   ผู้ที่หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์แล้ว   ไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์หรือเป็นสุข   เบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์ของพระอรหันต์ไม่กล่าวว่าเป็นทุกข์   ไม่มีใครกล่าว
ว่าเป็นทุกข์มีแต่การไหลเวียนเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัย   ในส่วนของเบญจขันธ์   นี่โลกนี้เต็มไปด้วยอะไร   เต็มไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป   ยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์   ไม่ยึดถือก็ไม่เป็นทุกข์


*************************************

ที่มา  http://www.societybit.com/bbs/viewthread.php?tid=163

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 17, 2010, 07:41:51 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ