ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สุขา สุขา สุขา ธรรมะในห้องน้ำ  (อ่าน 5601 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
สุขา สุขา สุขา ธรรมะในห้องน้ำ
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2015, 12:08:34 pm »
0


"ธรรมะในห้องน้ำ ก็มีได้ .....
ไม่สบายใจ ไม่สบายใจ ไม่สบายใจ ฉันบ่นของฉันอย่างนี้ มันมีมากหลายเรื่อง ที่ไม่สบายใจ ความเจ็บ ที่ทรมาน ความอดอยาก ที่หิวโหย ความทุกข์ที่ไม่มี ปัจจัยติดตัว ความไม่สบายใจจากการดูถูกเหยียดหยาม แหม มันสาระพัด เรื่อง ของความไม่สบายใจเลยนะ ฉันเดินบ่นไป อย่างนี้ ก็เลยเข้าไปที่ห้องน้ำ ฉันไม่มีธุระอะไรทางกายในห้องน้ำหรอก วันนี้ แต่ฉันมีธุระทางใจ ในห้องน้ำ ก็ห้องน้ำ เขาเรียกว่า ห้องสุขา ไม่ใช่หรือ ก็วันนี้ฉันไม่สบายใจ ก็เลยต้องไปห้อง สุขา เพื่อให้ได้สบายใจ เสียหน่อย พอเข้าไปฉันก็ไปยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ แล้ว ก็พูดกับตัวเองในกระจก ( มันบ้าแล้วตอนนี้ ) ไหนแก ไม่สบายใจเรื่องอะไร บอกข้ามาสิ พอถามออกไป เงาที่สะท้อนก็บอกเรื่องทุกข์ เรื่องนั้น เรื่องนี้ เข้ามามากมายเลย มันช่างขยันพูด เสียจริง ไอ้เจ้าเงา นี่นะ มันบอกว่า วันนี้เจ็บท้องมากมาย ทรมานเหลือเกิน โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน อย่างนี้แย่แล้ว จะทำอย่างไร ? เราก็ตอบลงไปว่า มันเป็นธรรมดา ความเจ็บมันเป็นธรรมดา การมีอัตภาพร่างกาย มันก็เป็นต้องมีความแก่ ความเจ็บ และ ความตาย มันเป็นธรรมดา ที่มันต้องมี ต้องเป็น ของมันอย่างนั้น แล้วหิวละ ไม่มีกิน ไม่มีฉัน มันทำให้กายลำบากนะ เราก็ตอบลงไปว่า อันการกินการฉัน ของ ผู้ภาวนาต้องถือว่าเป็นเรื่องรอง เมื่อไม่มีก็ต้องแสวง เมื่อแสวงไม่ได้ ก็ต้องรู้จักวางใจ ให้เห็นว่า บญมีน้อย ดื่มน้ำไปก่อน ให้เสริมบารมี ......"

ข้อความบางส่วน จาก หนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนาและการเดินทาง ของ ธัมมะวังโส
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0

อันที่จริง พุทธศาสนา ไม่มีความจำเป็นจะต้องมี ก็ได้ ถ้า มนุษย์ เกิดมาแล้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ไม่มีเป็นกลาง ๆ คือ พูดง่าย ๆ คือ ไม่ต้องมี เวทนา มนุษย์ ก็คงไม่ต้องดิ้นรน แสวงหา สัจจะธรรม ใด ๆ ทั้งสิ้น


  เงา- แต่ มันเป็นไปไม่ได้ !

  ตน- ใช่ เพราะ ขันธ์ 5 นี้ มันประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
        มันจึงต้องมี เพราะ เวทนา มีปัจจัยมาจาก ผัสสะ ที่นี้ ก็ต้องไล่ไปอีก
 
  เงา - อ้าวแล้ว ผัสสะ มาได้อย่างไร ?

  ตน - ผัสสะ มีปัจจัย มาจาก สฬายตนะ 12 ( 6 คู่ )

  เงา - อ้าวแล้ว สฬายตนะ มีปัจจัย มาจากอะไร ? อีก !

  ตน - สฬายตนะ มีปัจจัย มาจาก นามรูป

  เงา - อ้าวแล้ว นามรูป มีปัจจัย มาจากอะไร ? อีก

  ตน - นามรูป มีปัจจัย มาจาก วิญญาณ

  เงา - เอ ชักอย่างไร แล้ว นี่ ทำไม เหตุปัจจัย นับเนื่อง จึงมีมากจัง
        แล้ว วิญญาณ มีปัจจัย มาจากอะไร ?

  ตน - วิญญาณ มีปัจจัย มาจาก สังขาร ไหน ๆ ก็ถามแล้ว ถามต่อก็แล้วกัน
  เงา - อ้าวแล้ว สังขาร มีปัจจัย มาจาก อะไร ?

  ตน - สังขาร มีปัจจัย มาจาก อวิชชา ( โอ มาตรงนี้แล้ว )
  เงา - แล้ว อวิชชา มีปัจจัย มาจากอะไร ?

  ตน - อวิชชา มีปัจจัย มาจาก ชาติชรามรณะทุกขะโสกะปริเทวะ
  เงา - หมดหรือยังนี่  ? *_*

  ตน - ยังเพราะต้นตอ มันยังไม่หมด ยังมีอีก
  เงา - อ้าวมีอะไร อีก นั้นถามต่อก็ได้
         ชาติชรามรณะทุกขะโสกะปริเทวะ มีปัจจัย มาจาก อะไร ?

  ตน -  ชาติชรามรณะทุกขะโสกะปริเทวะ มีปัจจัยยมาจาก ภพ
  เงา - แล้วเจ้า ภพ นี้มีปัจจัย มาจากอะไร ?
 
  ตน - ภพ มีปัจจัย มาจาก อุปาทาน
  เงา - โห ยังมีอีกหรือนี่ ?  แล้ว อุปาทาน มีปัจจัยมาจากอะไร ?
  ตน -  อุปาทาน มีปัจจัยมาจาก ตัณหา

  เงา - หมดหรือยัง ? รู้สึก ว่าเยอะแล้วนะ *_*  สาเหตุ มากมาย จริง ๆ
         สุดท้าย จะแก้ตรงไหนละ ?
  ตน - ยังไม่หมด ยังเหลือ อีก หนึ่งประการ

  เงา - อ้าวนั้นคือ อะไร ? เออไม่ใช่ ต้องถามว่า ตัณหา มีปัจจัย มาจากอะไร ?
  ตน - ตัณหา มีปัจจัย มาจาก เวทนา ที่ แก บ่น นั่นแหละ ว่า สุขา ทุกขา นั่นแหละ

  เงา - !!!!! อะไรกัน นี่ สุดท้าย แท้ที่จริง ปัญหา พอไล่ไป ไล่มา ก็เป็น ตัวเอง นั่นแหละที่เป็น ปัญหา
         ดังนั้นก็หมายความ ว่า ถ้าฉันไม่มี เวทนา ก็ไม่ต้อง บ่น ว่า สุขา ทุกขา ใช่หรือไม่ ?

  ตน - ใช่ ....
  เงา -  แล้วทำอย่างไร ? ที่จะให้เวทนา ดับ หรือ เจ้า สุขา ทุกขา นี้มันดับลงไปได้ ?

  ตน - ก็ต้องย้อนดู ปัจจัย ของมัน ที่เป็น กาล 3 กาล ไงละ

  เงา - เป็นอย่างไร ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ ไปดับ อวิชชา หรือ หรือ ดับ ผัสสะ ใช่ หรือ ป่าว ?

  ตน - ไม่ใช่ ....
 
  เงา - ทำไม ?

  ตน - ก็เพราะเวลา เราเป็น ทุกข์ มันมีอยู่ 3 กาล คือ
      1.ปัจจุบันกาล คือ ขณะ อยู่ ที่เวทนา
      2.อดีตกาล คือ ขณะ ที่เสวยเวทนา มาแล้ว
      3.อนาคตกาล คือ ขณะ ที่เวทนากำลังจะเสวยใหม่
      ดังนั้น เวลา ดับ เวทนา ต้องดับให้ถูกในกาล ด้วย

  เงา - โห ล้ำลึก จริง ๆ
  ตน - ใช่ เมื่อก่อน ฉันก็เคยท่อง บทนี้มาหลายรอบ แต่ พอเห็นในกาล ในเวลา
        แล้ว มันก็รู้จัก หยุด หรือ ทำให้ขาด จากมันไปเลย สนใจจะฟัง หรือ ยัง ?

  เงา - ต้องเลือก คำตอบว่า
       ถ้าเลือกว่า ฟัง ก็ อ่านต่อ ใน บท ต่อไป
       ถ้าเลือกว่า ไม่ฟัง ก็ ไม่ต้องอ่าน ...... จบ
     
       :49:
 

   

   
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 02, 2015, 10:26:18 pm โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา

sinsae

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 277
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สุขา สุขา สุขา ธรรมะในห้องน้ำ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2015, 04:36:54 pm »
0
สุขา อยากได้สุข บ้างครับ

  ต้องทำอย่างไร ครับ

  st11 st12
บันทึกการเข้า

saieaw

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 271
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สุขา สุขา สุขา ธรรมะในห้องน้ำ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2015, 04:57:05 pm »
0
 st11 st12 st12

  เรื่องนี้ แม้ พระอาจารย์ ใช้สำนวน แบบ ขำ ๆ แต่ อ่านแล้ว ลึกซึ้ง มาก คะ

  :coffee2:
บันทึกการเข้า

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: สุขา สุขา สุขา ธรรมะในห้องน้ำ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2015, 05:15:02 pm »
0




ใช่ เรื่องนี้ เป็นธรรม ขั้นละกิเลส ที่ฉันเล่าปนข้อความ ขำ ๆ มันเป็นคำพูด ที่ฉันพูดกับตัวเอง

  ในวันนั้นมีการ เข้า วิปัสสนา ด้วย ปฏิจสสมุปบาท

  เมื่อก่อนไม่เคยรู้วิธี การเจริญ ภาวนา ปฏิจจสมุปบาท เลย พอได้ เจริญแล้ว จึงเข้าใจเป็นเพราะว่าไม่ รู้จักคำว่า หยุด กาลเวลา ในกรรมฐาน พอเราเข้าไป หยุด กาลเวลา ในกรรมฐานได้ ธรรมที่ปรากฏ มันมีสี่อย่าง คือ

  1. อดีต เป็น ภาพนิมิต ที่ซื้อนกาย อยู่ มันมีขณะที่จิตไปหน่วง รับรู้ ว่าเป็นอะไร เป็นอะไร ทำอะไร
  2. อนาคต เป็น ภาพนิมิต ที่ปรากฏ ล่วงหน้า ของ สภาวะจิต คือ การหยั่งใจไปล่วงหน้า ว่า นั่นเป็นสิ่งที่จะเกิด จะเป็น อย่างนั้น
  3. ปัจจุบัน ภาพนิมิต ทั้งหมดหายไปกลาย เป็น การรู้เห็น ว่า ภาพอดีต เกิด ขึ้น ดับไป คงมีแต่ ปัจจุบัน ขณะใหม่ ตั้งอยู่ เท่านั้น แม้ที่ผ่านไปในเวลานั้น ก็กลายเป็น อดีต สิ่งที่คาดการณ์ในอนาคต ก็ไม่เหมือนในอดีต ไม่เกิด ไม่ดับ เพราะอนาคต ไม่มีการเกิด และ การดับ เพราะอนาคต คือสิ่งที่คาดการณ์ไว้ไม่ได้ นั่นเอง
  4. การเห็นแจ้ง ( อิทัปปัจจยตา ) ตรงนี้สำคัญมาก เหมือนสายฟ้า เวลาเห็น พอเห็นแล้ว เกิด ดับ เกิด ดับ เกิด ดับ เกิด ดับ ไม่ต้องนับ เพราะนับไม่ทัน เราเพียงแต่ รู้ว่า มันเกิด มันดับ เหมือน สายฟ้า สว่างแว่บ เรารู้ว่า สายฟ้าเกิด และ สายฟ้าก็ดับหายไป อย่างเดียวกัน

  ทั้งหมด นี้ จะรวม ลงในการบรรยาย เดินจิต ปฏิจจสมุปบาท กรรมฐาน ๆ นี้เป็น วิปัสสนาล้วน เพราะใช้ เวทนา เป็นตัวตั้ง องค์ธรรม ทั้งหมด เริ่มจากเวทนา และจบที่เวทนา เดินอนุโลม ไปก็จบที่เวทนา เดินปฏิโลม ก็จบที่เวททนา ในระหว่างที่เดินจิตไปตามนั้น ก็มีขั้นตอนการหยั่งลง ญาณ แต่ ละขณะ ตรวจดับ กิเลส เมื่อจบรอบ


 เจริญธรรม / เจริญพร

    ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0

จากภาพ มีคำถาม ว่า อะไร คือ ปัจจุบัน อะไร อดีต อะไร คือ อนาคต ?

ที่ผ่าน มาเพราะไม่รู้วิธีการ คนที่สอนฉัน ก็ไม่รู้วิธีการ จึงทำให้เราไม่เข้าไป ประจักษ์ในธรรม อันสมควร

 ฉันเอง ท่องสูตร ปฏิจจสมุปบาท นี้ได้ มาตั้งแต่เป็นสามเณร พยายามทบทวน เรื่องนี้ ฟังเรื่อง อ่านเรื่องนี้ จากครูอาจารย์ ที่เคารพ หลายรูป หลายองค์ แต่สุดท้ายผ่านไป 30 กว่าปี ฉันเองก็ยังไม่เข้าไป ประจักษ์ธรรม ตรงนี้ แต่ถ้าถามว่าฉันอธิบายได้หรือไม่ เข้าใจในพระสูตร สามารถบรรยายเรื่องนี้ แบบครูอาจารย์เหล่านั้น ได้หรือไม่ ?

  คำตอบก็คือ ฉัน สามารถ บรรยาย แบบครูอาจารย์ เหล่านั้นได้ เป็นวันๆ เหมือนกัน

  แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ถูกทาง เลย และไม่เป็นไปเพื่อการประจักษ์ธรรม ไม่มีความรู้สึกว่าได้บรรลุธรรม มีแต่ความเข้าใจว่า ตนบรรลุธรรม แต่พอกิเลสต่าง ๆ มันเข้ามา มันก็เหมือนเอาปัญญาเข้าไป ข่ม กิเลส สรุป วิธีการ มันไม่ต่างอะไร กับการใช้ สมาธิ เข้าไปข่ม นิวรณ์ พอออกจาก สมาธิ นิวรณ์ ก็เกิด

   เลยมีความเข้าใจผิด ว่า วิปัสสนา มัน คือ อย่างนี้ ละ คือ เอาปัญญาเข้าไปข่มกิเลส จนมันเห็นชัดว่า ไม่เอากันมันอีก ประมาณนั้น อันนี้ บอกกันเลยนะว่า เป็นความเข้าใจผิด เพราะไม่รู้หลักการ เดินจิต ตาม วิถีมรรค ก็จึงไม่เข้าใจ อวิชชา ได้ แต่ พูด ได้ แต่ เหมือน เข้า ใจ

    มันจะเข้าใจ ได้อย่างไร ก็ในเมื่อกิเลสมันไม่ดับ เห็นผู้หญิง ก็อยาก เห็นเงินก็อยากได้ อยากได้ยศ อยากได้ สรรเสริญ อันนี้ใจไม่รู้ พอมีอะไรกระทบหน่อย จิตค่อย ๆ กระเพื่อม ๆ ถ้ากระทบแรง จิต ก็ กระเพ่ื่อมแรงขึ้น

   ถามฉันว่า รู้ มัน ว่าไม่ดี มันเป็นทุกข์
   มันก็เหมือนคน ที่รู้ โทษ ของ เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด การผิดศีล ไม่ดี แต่ ไม่ก็ยังทำสิ่งที่ผิด ทั้ง ๆ ที่รู้

   อันนี้เรียก ว่า " สัมปชานมุสาวาท " โกหก ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ ว่า ผิด ว่า ไม่ดี แต่ก็ยัง โกหก หลอกตัวเองต่อไป ว่า นี่คือเรา นี่คือของเรา นี่คือ ตัว นี่ คือ ตน ของเรา

   พรรษาที่ผ่าน มา นับว่า เป็น มงคล แก่ชีิวิต ฉัน เพราะครูอาจารย์ ท่านถ่ายทอด วิธีการเจริญ วิปัสสนา ปฏิจจสมุปบาท นี้แก่ฉัน เพื่อ เข้าไป หา ลัญจกร  ดังนั้น วิธีการภาวนา ส่วนนี้ จะถ่ายทอด ให้กับศิษย์ ที่รับเลือก และเป็นศิษย์ ขึ้นกรรมฐาน เท่านั้น ไม่ถ่ายทอดให้เป็นสาธารณะ

   พระธรรม ไม่ใช่ สาธารณ เพราะ พระธรรม เป็นธรรม อันบุคคล ควรเป็น อุคติตัญญู หรือ วิปจิตัญญู ดังนั้น บรรดา พวก ปทปรมะ จึงไม่สมควรแก่ธรรม เพราะธรรมสมควร แก่ บุคคลที่เหมาะสม นั่นเอง

   ผู้ที่ไม่เอา ภาวนา ไม่เคารพ ในพระรัตนตรัย ไม่เคารพ ในพระกรรมฐาน ไม่เคารพในครูผู้บอกกรรฐาน ก็ ยิ่ง ไม่สมควร เช่นกัน

    ดังนั้นท่านใด มีความสมควรแก่ ธรรม มีความเหมาะสมในธรรม เพื่อการบรรลุธรรม ก็พึงเปิด โสตประสาท เพืีอรับฟัง และภาวนา ในเรื่องการเดิน จิต ปฏิจจสมุปบาทกรรมฐาน เถิด

    เจริญธรรม / เจริญพร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 02, 2015, 06:53:58 pm โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


ภาพนี้เป็นภาพที่ พระอาจารย์ มองเห็นครั้งแรก ประทับใจมากสำหรับ การวาดออกทางศิลป์ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ในปณิธาน ของการเป็นพระพุทธเจ้า ของ สุเมธดาบส ทีี่หลังจากได้นอนทอดกายเป็น สะพานให้ พระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ทรงเหยียบข้ามร่อง พร้อมพระสาวก ครั้งนั้น ผู้เป็นพระผู้เป็นนาถะอันยิ่งใหญ่ ได้ทรง ตรัสเป็น พระพุทธพยากรณ์ ถึงการที่สุเมธดาบส จักได้ เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ หนึ่งในกาลสมัยหน้า .......

ขอบคุณผู้วาดที่ถ่ายทอด ความเป็นศิลป์ อันยิ่งใหญ่ นั้นลงมาในภาพเป็นอย่างมาก มาก คุณอรรถนิติ ลาภากรณ์
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สุขา สุขา สุขา ธรรมะในห้องน้ำ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2015, 08:57:10 pm »
0
ขออนุโมทนาสาธุ gd1 st11 st12
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
"อันที่จริง เวลาฉันจะไปเทศน์ ธรรมะ ที่ไหน ฉันต้องอ่านกัณฑ์เทศน์หลายรอบ นะการทำอย่างนี้ ก็เพื่อตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คือจะได้คล่อง เวลาอ่าน ผู้ฟังก็ประทับเวลาที่ได้ฟัง อันนี้ตอนที่ฉัน ยังเป็นสามเณรพระใหม่ ขึ้นเทศน์ ครั้งแรก ใจมันสั่น ตุ๊บ ๆ ตื่นเต้น จริง ๆ แต่พอได้ออกไปเทศน์บ่อย ๆ ขึ้น ๆ ความประหม่า ก็หายไป มานึกถึงปัจจุบัน เดี๋ยวนี้เวลาเทศน์ ไม่มีจุดประสงค์ ให้ใครฟังเลย นอกจากตัวเองฟังเอง เวลาเทศน์ครั้งใดก็ตาม ฉันจะอธิษฐาน ว่าขอให้ปัญญาของข้าพเจ้าจงเกิด ขอให้ธรรม จงปรากฏขึ้นในใจของข้าพเจ้า พออธิษฐานเสร็จ ก็นั่งพูดอัดรายการไป คือ พูดไปนี้ ก็พูดให้ตัวเองฟัง นะ ไม่ได้พูดให้คนอื่นฟังเลย เพราะฉันไม่รู้หรอกว่า ใครจะได้ฟัง เสียงของฉันจริง ๆ ในรายการ บางครั้งสอบถามลูกศิษย์ ที่ดูเป็นศิษย์เอก กลับไม่มีตอบคำถามฉันได้ ทำให้ฉันรู้ว่า เขาไม่ได้ฟัง กันเลย ดังนั้นทุกวันนี้ ที่ฉันพูด ก็พูดสอนตัวเอง พอยิ่งพูดสอนตัวเอง ก็เลยแสดงธรรมในแบบที่ตนเอง ควรจะต้องฟัง เดี๋ยวนี้เวลา ฉัน พูด ไม่มี สคริปต์ จริงๆ ไม่มี คือ นึกตรงไหนจะพูดก็พูด แต่การพูดทุกครั้ง ต้องมีการภาวนา ด้วยอย่างน้อย ต้องมีการเจริญสติ อย่างมาก ก็มีการเจริญสมาธิ อย่างสูงสุด ก็คือการเดินมรรคกรรมฐาน ...."

ข้อความบางส่วน จากหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนา และการเดินทาง ของ ธัมมะวังโส
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สุขา สุขา สุขา ธรรมะในห้องน้ำ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2015, 11:30:10 pm »
0
สาธุ สาธุ

    อ่านแล้วครับครูบาอาจารย์ st11 st12
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

wipadakao

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 246
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สุขา สุขา สุขา ธรรมะในห้องน้ำ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2015, 08:42:46 pm »
0
 :25: :25:
บันทึกการเข้า

sinsae

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 277
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สุขา สุขา สุขา ธรรมะในห้องน้ำ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2015, 05:55:29 pm »
0
 st11 st12 st12
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สุขา สุขา สุขา ธรรมะในห้องน้ำ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2015, 06:06:03 pm »
0
 st12 st12 st12

ขอกราบอนุโมทนากับธรรมอันประจักษ์ใจนี้ มีคุณและค่าอย่างสูงครับ หาประะมาณไม่ได้เลย สาธุ สาธุ สาธุ
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ