ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - มะยม
หน้า: [1]
1  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระอรหันต์ เวลาหลับ ก็ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป ใช่หรือไม่ครับ ? เมื่อ: มกราคม 23, 2012, 11:24:25 am
โปดรอ่านเนื้อเรื่องก่อนนะครับ

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ วินัยปิฎกที่ ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค
เรื่องพระอรหันต์เมืองภัททิยะจำวัดหลับ
[๖๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง อยู่ในที่พักกลางวันในป่าชาติยาวัน แขวงเมือง
ภัททิยะ จำวัดหลับอยู่ อวัยวะใหญ่น้อยของภิกษุนั้นถูกลมรำเพยให้ตึงตัว สตรีผู้หนึ่งพบเข้าแล้ว
ได้นั่งคร่อมองค์กำเนิด กระทำการพอแก่ความประสงค์ แล้วหลีกไป ภิกษุเห็นองค์กำเนิด
เปรอะเปื้อน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ กำหนัด ๑ ปวดอุจจาระ ๑ ปวดปัสสาวะ ๑
ถูกลมรำเพย ๑ ถูกบุ้งขน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้ ด้วยอาการ
๕ อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย องค์กำเนิดของภิกษุนั้น พึงเป็นอวัยวะใช้การได้ ด้วยความกำหนัดใด
ข้อนั้นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส เพราะภิกษุนั้นเป็นอรหันต์ ภิกษุนั้นไม่ต้องอาบัติ.

จากเรื่องที่อ่านแสดงให้เห็นว่า เวลาพระอรหันต์ท่านหลับ ก็ไม่แตกต่างจากชาวบ้านธรรมดาใช่หรือไม่ครับ ?
2  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ทำไม ต้องเพ่งจิตไปยัง ฐานจิต ด้วยครับ เมื่อ: มกราคม 10, 2012, 09:06:18 am
ทำไม ต้องเพ่งจิตไปยัง ฐานจิต ด้วยครับ
ไม่ต้องเพ่ง ฐานจิต ลงไปยัง ฐานจิต ต่าง ๆ นั้นได้หรือไม่ ครับ

  :25:
3  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจริญธรรม วันธรรมสวนะ ( วันพระ ) ปฐมบท เมื่อ: ธันวาคม 18, 2011, 07:16:56 am





 :49:

จะพยายามทำไปเรื่อย ๆ ครับ

4  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สงสัยเรื่องจักรวาฬ ที่มีภูเขา สิเนรุ อะไรป่านนี้ มาจากพระไตรปิฏกเล่มไหนครับ เมื่อ: ธันวาคม 14, 2011, 09:51:36 am
สงสัยเรื่องจักรวาฬ ที่มีภูเขา สิเนรุ อะไรป่านนี้ มาจากพระไตรปิฏกเล่มไหนครับ

คือสงสัยว่า มีที่มาอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ถึงขนาดนี้ เลยหรือครับ

  :c017: :smiley_confused1:
5  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / ความเหลื่อมล้ำ ของ คนรวย จนในประเทศไทย เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 10:17:25 am



ความเหลื่อมล้ำ ของ คนรวย จนในประเทศไทย
6  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / น้ำท่วมประเทศไทยตอนนี้ ที่เห็นแสดงให้เห็นความเห็นแก่ตัว ของ คนไทยอย่างชัดเจน เมื่อ: ตุลาคม 12, 2011, 10:06:21 am
ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา


ขอบคุณจาก http://www.lampangclub.com

ใครว่าคนไทยเป็นคนใจกว้าง มีความโอบอ้อมอารี เอื่อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปัน 
 
 
ผมว่า...พูดผิดพูดใหม่ได้นะครับ 
 
เพราะ กรณีน้ำท่วมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกตั้งแต่จังหวัดในภาคเหนือ เช่น จังหวัดอุตรดิตถ์ไล่ลงมาจนถึงจังหวัดในภาคกลาง เช่น สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยาฯลฯ
 
ล้วนแสดงให้เห็นถึงความมักง่ายและความเห็นแก่ตัวของคนไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้   
 
ตัวอย่าง ปัญหาน้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยได้เปลี่ยนจากสังคมของ การเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขไปเป็นสังคมของความเห็นแก่ตัวอย่างสมบูรณ์ คนที่มีเงินหรือมีอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือกว่าก็สามารถเอาเปรียบคนยากคนจน ได้(อย่างหน้าชื่นตาบาน) ลองดูตัวอย่างดังต่อไปนี้นะครับ
 
 
ตัวอย่าง ที่หนึ่ง การปล่อยปะละเลยให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในภาคเหนือเพื่อปลูกพืช เศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด   แสดงให้เห็นว่านักธุรกิจหรือผู้ที่มีอิทธิพลทั้งหลายไม่เคยสนใจเลยว่าการทำ ธุรกิจที่ใช้ข้าวโพดเป็นวัตถุดิบนั้นได้นำมาสู่การสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ที่ ทำหน้าที่เป็นต้นน้ำสำคัญของประเทศ พื้นที่ต้นน้ำเหล่านี้ทำหน้าที่ชะลอการไหลของน้ำในฤดูฝนและคลายน้ำที่อุ้ม ไว้ในฤดูแล้ง
 
 
เมื่อนักธุรกิจไทยเลือกที่จะรุกรานพื้นที่ป่าไม้ เพื่อปลูกข้าวโพดทั้งที่รู้ว่าเป็นการทำลายระบบนิเวศและเป็นต้นตอของปัญหา น้ำท่วมน้ำแล้งของประเทศไทย ก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความมักง่ายและความเห็นแก่ตัวของกลุ่มทุนเหล่านี้ทั้ง สิ้น หลังจากที่นักธุรกิจค้าข้าวโพดได้กอบโกยผลประโยชน์จากการทำลายระบบนิเวศใน พื้นที่ต้นน้ำ เป็นที่พอใจแล้วก็แสดงความใจแคบโดยการทิ้งปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งให้คนยากคนจน ในชนบทในภาคกลาง
 
ตัวอย่างที่สอง น้ำเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถบริหารจัดการอย่างง่ายๆ ไม่งั้นคนเขาไม่เสียเวลาห้าปีแปดปีเพื่อร่ำเรียนวิชาชลศาสตร์หรือวิศวกรน้ำ หรอกครับ แต่การแก้ปัญหาน้ำท่วมในปัจจุบันกลับอาศัยความมักง่ายโดยการมอบให้ผู้ว่า ราชการจังหวัดต่างๆ รับผิดชอบการแก้ปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดของตน
 
 
เช่น การสร้างทำนบกั้นน้ำไม่ให้เข้าท่วมพื้นที่ในจังหวัดของตนเอง  แต่เคยคิดหรือไม่ว่าน้ำจำนวนนั้นจะถูกผลักออกไปท่วมจังหวัดอื่นๆ ถัดไปอย่างไรบ้าง ดังนั้น การป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่ดำเนินกันมาแบบว่าพื้นที่ใดมีเงินมากก็สร้าง เขื่อนให้สูงกว่าเพื่อผลักน้ำให้ไปท่วมพื้นที่อื่นหรือจังหวัดอื่นแทน ถ้าคนไทยยังแก้ปัญหากันแบบนี้ผมก็คิดว่าเป็นการทำงานที่เห็นแก่ตัวสิ้นดีและ เป็นการแก้ปัญหาแบบมักง่าย
 
ตัวอย่างที่สาม การพัฒนาตัวเมืองต่างๆ ผู้คนหวังแต่จะกอบโกยประโยชน์ใส่ตนเองโดยไม่แยแสต่อส่วนรวม ในการพัฒนาเมืองพบว่าทางไหลของน้ำเดิม เช่น ลำคลอง ลำห้วย ลำธารต่างๆ ที่เป็นทางระบายน้ำในฤดูฝนก็ถูกถมไปหมดเพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ทาง เศรษฐกิจ
 
 
เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กอบโกยเงินโดยการถมทาง น้ำสาธารณะเพื่อทำหมู่บ้านจัดสรร เจ้าหน้าที่ของรัฐพอได้รับเงินค่าน้ำร้อนน้ำชาแล้วก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ สร้างถนนต่างๆ ก็ยกระดับให้สูงซะจนน้ำไม่สามารถไหลผ่านได้ พื้นที่เขตธุรกิจหรือเขตอุตสาหกรรมก็สร้างทำนบกันน้ำไม่ให้ท่วมพื้นที่ของตน โดยให้คนยากคนจนในพื้นที่เกษตรกรรมต้องรับชะตากรรมกับปัญหาน้ำท่วมน้ำหลาก แทน การขยายตัวของพื้นที่เมืองในลักษณะเช่นนี้นอกจากไม่นำไปสู่การพัฒนาที่ ยั่งยืนแล้วช่างสะท้อนความด้อยพัฒนาคนอีกด้วย
 
ตัวอย่างที่สี่ เกิดเป็นคนกรุงเทพนี้ช่างวิเศษเสียจริงๆ กี่ปีต่อกี่ปีที่ประเทศไทยมีปัญหาน้ำท่วมสูงถึงหลังคาบ้าน ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายมากมาย ทรัพย์สมบัติของชาวบ้านที่ซื้อหามาด้วยเงินทองที่แสนจะหายากก็ถูกน้ำพัดพา อันตรธานไปหมด
 
แต่คนกรุงเทพยังคงใช้ชีวิตปกติ ว่างจากงานก็ช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง ทำสิ่งที่ตนเองสนใจ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาน้ำท่วมเลย
 
 
การ ที่คนกรุงเทพฯ ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมเป็นเพราะคนกรุงเทพฯ มีเอกสิทธิ์และมีสตางค์มากพอทีจะสร้างแนวกันน้ำสองริมฝั่งแม่น้ำและปิดประตู กันน้ำทุกจุดเพื่อ  ป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าเขตกรุงเทพฯ เมื่อน้ำจำนวนนี้ไม่สามารถไหลเข้าพื้นที่กรุงเทพได้ มันก็ต้องไหลไปท่วมพื้นที่ข้างเคียงแทน
 
 
อย่างนี้ไม่เรียกว่า เป็นการบริหารจัดการน้ำอย่างเห็นแก่ตัวก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรแล้วครับ  ถามว่า...คนรวยในกรุงเทพฯเคยมีจิตใจที่คิดจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษ เพื่อนำเงินรายได้ของชาวกรุงเทพฯไปชดเชยประชาชนในพื้นที่ข้างเคียงที่ ต้องอยู่ใต้น้ำแทนคนกรุงเทพหรือไม่...ไม่เคยและไม่คิดจะทำด้วย อย่างนี้ไม่เรียกว่าเอาเปรียบ ใจแคบ เห็นแก่ตัวก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรแล้ว
 
นอก จากจะมีเล่ห์เหลี่ยมในการเอาเปรียบพื้นที่รอบๆแล้ว คนกรุงเทพฯ ก็ยังยกภาระการจ่ายค่าชดเชยทั้งหมดไปให้รัฐบาลกลางแทน อย่าลืมนะครับว่าเงินของรัฐบาลที่นำมาจ่ายเป็นค่าชดเชยน้ำท่วมก็คือเงินของ ประชาชนทั้งประเทศนั่นเอง  เมื่อรัฐบาลนำเงินจำนวนนี้มาจ่ายเป็นค่าชดเชยน้ำท่วมเสียแล้ว เงินที่จะนำมาใช้เพื่อพัฒนาประเทศให้กับประชาชนในชนบทในอนาคต ก็ต้องถูกตัดทอนลงไป
 
 
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนกรุงเทพฯ ไม่ยอมรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่โยนภาระทั้งหมดให้คนจนในชนบทที่ต้องใช้เงินของตัวเองมาชดเชยให้ตัวเองจาก ปัญหาน้ำท่วม การทำแบบนี้เป็นวิธีการทางการคลังสาธารณะที่แยบยลมาก ผมเองไม่คิดเลยว่าคนไทยด้วยกันจะกล้าทำกันขนาดนี้
 
สรุปความได้ว่า การบริหารจัดการน้ำท่วมของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นเพียงการแก้ปัญหาแบบตัว ใครตัวมัน ใครมีเงินมากกว่า มีอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือกว่า เช่น ชาวกรุงเทพมหานคร หรือคนในเขตเมืองใหญ่ๆ ก็ใช้อิทธิพลของตัวเองสร้างสิ่งปลูกสร้างที่แข็งแรงกว่าเพื่อผลักน้ำให้ไป ท่วมพื้นที่รอบนอกแทน ทำให้พื้นที่อื่นๆ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอยู่แล้วต้องอยู่ใต้น้ำนานขึ้นและ/หรือเผชิญกับ ระดับน้ำที่สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น การกระทำอย่างนี้ไม่เรียกว่าเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว มักง่ายก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแล้วครับ.

 

ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1316606565&grpid&catid=02&subcatid=0200

http://www.lampangclub.com/board/index.php?topic=7547.0
7  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.watpanamjone.org/ วัดป่าน้ำโจน เมื่อ: กันยายน 27, 2011, 09:52:08 am

เว็บไซต์  http://www.watpanamjone.org/
วัดป่าน้ำโจน



พระอาจารย์อังคาร อัคคธัมโม
วัดป่าน้ำโจน
เลขที่ 419 หมู่ 13 ต.พันชาลี
อ.วังทอง จ.พิษณุโลก 65130
โทรศัพท์ 08-94387-648, 08-1886-8761


วัด ป่าน้ำโจน ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2536 มี พระอาจารย์อังคาร อัคคธัมโม เป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นชาวสกลนครโดยกำเนิด อายุ 48 ปี พรรษา 18 (เมื่อปี พ.ศ. 2549) ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร แห่งวัดประชาชุมพลพัฒนาราม (วัดป่าบ้านหนองใหญ่) บ้านหนองใหญ่ ต.บ้านจั่น อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ช่วงที่ออกธุดงค์เพื่อจะขึ้นไปพำนักในถ้ำแถบจังหวัดลำปางได้ผ่านพิษณุโลกและ พักปักกลดที่สวนมะม่วงของโยมคนหนึ่ง

จึงเป็นโอกาสให้คุณยายนันทนา นาคอินทร์ ได้รับฟังธรรมจากท่าน และด้วยเหตุที่ซาบซึ้งในรสพระธรรมและศรัทธาในปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่ง ครัดของพระป่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งคุณยายไม่เคยพบมาก่อน คุณยายจึงบริจาคที่ดินเพื่อสร้างวัดซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดในปัจจุบัน และนิมนต์พระอาจารย์อังคาร มาพำนักจำพรรษาอย่างถาวรจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ปัจจุบันวัดมีพระสงฆ์ 1 รูป คือพระอาจารย์อังคาร ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากวัดค่อนข้างขาดแคลน และพระอาจารย์เป็นคนพูดตรงโผงผาง

วัด ป่าน้ำโจน เป็นสถานที่สัปปายะเหมาะกับนักปฏิบัติ นักภาวนา มากพอควร บริเวณวัดเป็นป่าร่มรื่นและสงบเย็น มีคนเข้า-ออกน้อยมาก ไม่มีไฟฟ้า ใช้การจุดเทียนเพื่อให้แสงสว่าง กุฏิหลังคามุงแฝก กว้างประมาณ 2 x 3 เมตร ผนังทั้ง 4 ด้านใช้ผ้าจีวรเก่าเป็นม่านรูดเปิด-ปิด มีทางจงกรมที่เป็นส่วนตัวทุกกุฏิ เป็นวัดที่เน้นให้ผู้ไปปฏิบัติมีความมักน้อยสันโดด มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการสู้รบกับกิเลส-ตัญหาของตนเอง และเน้นให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะรู้จักเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ทางไปวัดค่อนข้างซับซ้อน

ธรรมะที่พระอาจารย์อังคาร อัคคธัมโม สอนเป็นธรรมะที่ค่อนข้างทันสมัยสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีเหตุมีผล ต้องพิจารณาและทดลองปฏิบัติก่อนแล้วจึงเชื่อ ซึ่งตรงตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติท่านหนึ่งมีโอกาสไปพักค้างปฏิบัติที่วัดป่าน้ำโจนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ มีความเห็นว่าตัวพระอาจารย์เองมีความสามารถในการนำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า มาอธิบายหลักวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าสนใจ ในขณะที่การปฏิบัติยังยึดหลักพระป่าสายหลวงปู่มั่น

เบอร์โทรศัพท์ของ คุณยายนันทนา นาคอินทร์ หรือคุณจุ๋ม
ซึ่งพักค้างอยู่ที่วัดป่าน้ำโจน คือ 089-4387-648, 081-886-8761

การเดินทาง

- เริ่มต้นจากกรุงเทพมหานคร ไปถนนสายเอเซียเบี่ยงซ้ายไปใช้เส้นทางที่ผ่านอำเภอตากฟ้า (ทางหลวงหมายเลข11) ตรงไปใช้เส้นทางผ่านกิ่งอำเภอสากเหล็ก สู่อำเภอวังทอง สังเกตุปั้มบางจากขวามือ (กม. 27) กลับรถแล้วเลี้ยวซ้ายมือ ตรงบ้านวัดตายมไปวัดป่าน้ำโจน ระยะทาง ประมาณ 15 กิโลเมตร

- เริ่มต้นจากกรุงเทพมหานคร เส้นผ่านจังหวัดนครสวรรค์สู่พิษณุโลกไปอำเภอวังทองเลี้ยวแยกขวาตรงไฟจราจร (เส้นไปกรุงเทพมหานคร) จากอำเภอวังทอง ไปบ้านวัดตายม ประมาณ 30 กิโลเมตร ถึงบ้านวัดตายมแล้วเลี้ยวซ้าย ไปวัดป่าน้ำโจนระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร

- เริ่มต้นจากอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่จะไปอำเภอสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร จากอำเภอวังทอง จะพบปั๊มน้ำมันบางจากอยู่ทางซ้ายมือ ตรงไปสักครู่จะพบป้ายบ้านวัดตายม และป้ายชี้ทางไปวัดป่าน้ำโจน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอย และไปตามที่ป้ายบอกทางไปวัดป่าน้ำโจน ซึ่งจะมีเป็นระยะๆ อีกประมาณ 15 กิโลเมตร แล้วก็จะถึงวัดป่าน้ำโจน

8  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำงานไปด้วย ฟังธรรมไปด้วย เป็นการไม่เคารพพระธรรมหรือไม่ เมื่อ: กันยายน 14, 2011, 10:30:36 am
วันก่อนได้ฟัง รายการ RDN ว่าการฟังธรรม โดยความเคารพ นั้นต้องตั้งสติ แล้วฟังด้วยความตั้งใจ

แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็เคารพธรรม

  ที่นี้เวลาตัวเองฟังธรรม ก็มักทำงานไปด้วย พูดคุยไปบ้าง อ่านหนังสืออยุ่ บ้าง

 อย่างนี้จัดเป็นการไม่เคารพธรรม ใช่หรือไม่ ครับ

 ถ้าอย่างนั้น เราควรทำอย่างไรดี ปิดเสียงรายการไปแล้วทำงานไป หรือ เปิดฟังไป ทำงานไปดี ครับ

  :smiley_confused1: :c017:
9  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / บ้านจิตสบาย ขอเชิญร่วมฟังธรรม 21 ส.ค.54 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2011, 08:54:33 am
วันอาทิตย์ที่  21  สิงหาคม  2554 

เวลา 9.00 - 11.00 น.  แสดงพระธรรมเทศนา 

โดยพระอาจาย์มานพ  อุปสโม
ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษาราชนครินทร์
(เขาดินหนองแสง)  จ. จันทบุรี 

ณ ศาลาไตรสิกขา   บ้านจิตสบาย
พุทธมณฑลสาย 2


เวลา 13.00 - 15.00  แสดงพระธรรมเทศนา

โดย  อาจารย์สุภีร์ ทุมทอง 

ณ ห้องกรรมฐาน   บ้านจิตสบาย



รถประจำทางที่ผ่าน สาย 157, 123, ปอ.พ.79

สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ 02-448-3392
เวลาทำการ 9.00 – 18.00 น. หยุดวันพุธ

10  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องหลอนเรื่องที่สอง เกิดที่มหาลัย.. ประสพการณ์เรื่องสยองขวัญ เมื่อ: สิงหาคม 09, 2011, 08:52:05 am
เปลี่ยนบรรยากาศ อ่านเรื่องเบา ๆ บ้างนะครับ


เรื่องหลอนเรื่องที่สอง  เกิดที่มหาลัย..

เรื่องนี้มีผลกับชีวิตเรามาก และนำเรามาสู่การปฏิบัติธรรมแบบเต็มๆ


วัน นึงเขาจะรื้ออาคารโรงละครเก่า เพื่อจะเอาที่ตรงนั้นสร้างอาคารใหม่  ทางที่ทำงานเราก็เลยจัดพิธีซะหน่อย  ด้วยความเชื่อในเรื่องครูอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทั้งสถาบันนี่ก็คงจะมีแต่เด็กละครแหละที่เชื่อเรื่องอย่างนี้กัน  ทำละครทีก็มีบวงสรวงบ้าง จุดธูปไหว้บ้างตามเรื่อง


สมัยเรา เรียนก็จะออกแนวจุดธูปไหว้ อย่างมากก็มีน้ำบ้าง ก็เพื่อบูชาครู และท่านเจ้าที่เจ้าทางที่โรงละคร  แต่สมัยหลัง เด็กมันเพี้ยนกันไปใหญ่ ออกแนวมีอาหารคาวหวาน หัวหมู น้ำแดง เหล้า ด่ามันบอกมันก็ไม่เชื่อหรอก  คือมันเชื่อของมันไง  มันขลังดีใช่ไหม.. ก็สืบทอดกันมาจากพี่สู่น้อง (ไอ้เรื่องดีๆ น่ะมันไม่มีสีสัน มันเลยชอบสืบทอดเรื่องที่มีสีสัน แต่มันไม่ดีน่ะ..)


เราเองมารู้ทีหลังว่า.. ผีทั้งสถาบัน เขาก็คงมาชุมนุมกันแถวโรงละครเราแหละ... ก็เด็กมันไปเลี้ยงเขาไง  ใครจะเชื่อว่าจริง..  ไอ้ที่ทำกันก็ทำเพราะความเชื่อแหละ  แต่ที่จริงเด็กก็ไม่ได้เชื่อว่าจริงหรอก  ออกแนวสบายใจ แต่ไม่รู้ความจริง ไม่รู้ธรรมเนียมไง..


เราเคยออกปากเตือนไป แต่ก็เตือนไปด้วยความรู้สึก ไอ้เราก็ไม่เคยเห็นจริงเหมือนกัน.. เตือนไปว่า.. ครูอาจารย์ท่านไม่กินเหล้ากินนำแดงหรอกนะ  พวกเธอไปเซ่นไหว้ผี แล้วอย่ามาร้องกลัวผีนะ...  ว่าเด็กไปอย่างนี้ ไม่นึกว่าจะจริง..


เรื่อง มากระจ่าง เมื่อวันทำพิธีรื้อโรงละครนี่แหละ  เขาไม่ได้ทำพิธีสงฆ์หรอก เขาเชิญอาจารย์ผู้หญิงคนนึงมาจัดพิธีให้ แล้วอาจารย์ของเราเป็นอาจารย์ใหญ่ท่านก็อ่านโองการ.. ทำพิธีเอง ก็ขลังๆ แหละ..   คนมากันเป็นร้อย อาจารย์หลายท่านก็มาเป็นสักขีพยาน..     


เรื่อง มันเริ่มจากอาจารย์คนนึงเขาพูดทักไว้ว่า  อาจารย์ที่ทำพิธีบอกว่า ถ้ามีอะไรก็ให้ปล่อยตามธรรมชาติ อย่าไปฝืน..  เราฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดๆ แต่ไม่ได้คิดอะไร..


ลืมเล่าไปว่า.. คืนนั้น ใครไม่รู้ไปปลุกด้วย แล้วบอกให้แต่งชุดขาว..  เราก็เชื่อ แต่งชุดขาวมา..   พอถึงพิธีได้ฤกษ์ เขาก็ให้อาจารย์ขึ้นไปบนเวที เด็กก็อยู่ข้างล่างกัน ก็ทำพิธี..
พอเริ่มอ่านโองการ สาธยายมนต์ เด็กก็เริ่มร้องไห้ ตัวสั่น ตัวโยก..     ไอ้เราอยู่บนเวทีก็ชักรู้สึกเหมือนกัน มันซ่านชาขึ้นมาจากขา..   อาการเหมือนจะเข้าสมาธิน่ะ  แต่ในใจมันรู้ มันไม่เอา เลยขยับตัวบ่อยๆ ดูตูดอาจารย์ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้า (ขอโทษ ทำอย่างนั้นจริงๆ ดูตูดเขาแล้วคิดว่า ตูดใหญ่จัง.. คือมันคิดขึ้นมาเอง ว่าทำแบบนี้แล้วจะดำรงสติไว้ได้น่ะ)

ระหว่างนั้นก็รู้ได้ว่า..อ๋อ.. อาการผีเข้าเป็นแบบนี้นี่เอง.. แล้วทำไมเขาให้เด็กปล่อยใจฟระ..ไม่ยุ่งกันใหญ่เหรอเนี่ย..   ยังคิดไม่จบ    ผู้ทำพิธีเขาก็เอาค้อนทุบหิน (เป็นพิธี) ว่าทุบโรงละครดังปังใหญ่..   เสียงเด็กสาวๆ กรี๊ด.. สนั่น.. 

ยุ่งกันใหญ่ล่ะทีนี้  พอทุบเสร็จก็จบพิธีช่วงแรก แต่เด็กๆ ไม่จบละสิ.. เริ่มออกอาการ

บ้างก็ตัวโยก ร้องไห้  แบบว่าไม่มีสติน่ะ   บ้างก็เริ่มร้องเพลง..  ส่งเสียงทำนองแปลกๆ คนนึงร้อง อีกคนก็ร้องตาม  เลยร้องกันระงม..

เรา ก็คิดว่า.. เออ..นะ  อุปทานหมู่แหง๋ๆ เลย (ลืมนึกว่าตัวเองก็เจอ จนต้องดูตูดอาจารย์ไง)  คือเด็กเรียนศิลปะมันอ่อนไหวน่ะ  คงจะรู้สึกผูกพันกับสถานที่มาก เลยเศร้าเสียใจ

พอคนนึงทำท่าว่าผีเข้า เลยโน้มน้าวใจตามๆ กันไป..   สรุปผีเข้าไปสิบกว่าคน.



เวลา ผ่านไป เป็นชั่วโมง  ผีก็ยังเข้าเด็กอยู่ เริ่มวุ่นกันแล้ว เพราะมันเยอะมาก  อาจารย์ผู้ใหญ่ก็กลับคณะไปงงๆ  ส่วนอาจารย์ในภาคก็นั่งดูเหตุการณ์ว่าจะเอาไงดี  ถามอาจารย์ที่ทำพิธี  เขาว่า.. เดี๋ยวก็หาย ปล่อยไปอย่างนั้นแหละ..   อาจารย์(เยอะนิ) ผู้สอนเลยได้แต่นั่งดูตาปริบๆ


เราเห็นท่าไม่ดี เลยเข้าไปดูเด็กทีละคน  ก็ออกแนวปฏิบัติการจิตวิทยาไง.. เข้าไปปลอบโยนเด็กๆ คือเขาสมมติว่าเขาเป็นผีใช่ไหม  เราก็สมมติตามเขา แล้วคุยกับเขา

ปลอบ ใจเขา  บอกไม่เป็นไร ทุบแล้วจะสร้างใหม่.. ไม่ต้องกลัว  เดี๋ยวจะทำบุญให้ bla bla bla.. ก็ได้ผลนะ..  จับเนื้อจับตัว บีบนวด ส่งความรู้สึกดีๆ ให้ เขาก็ออกไป  เด็กก็หาย.. บางคนหายแล้วก็รีบกลับหอไปเลย   (แต่บางคนหายแล้วก็เข้าใหม่อีกก็มี)

เราปฏิบัติการจิตวิทยาไปสักสามสี่คน  เริ่มคิดแล้วว่ามันไม่ใช่อุปาทานซะแล้วแฮะ..

คือเวลาที่ผีเข้าเนี่ยมันนานมาก ราวๆ สามสี่ชั่วโมง  เด็กคงไม่อุปาทานอะไรนานขนาดนั้น
เด็กก็เหนื่อย ครูก็เหนื่อย..  (ส่วนแม่หมอ ไม่พูดไม่จา พูดกับผี ผีก็ไม่พูดด้วยซะงั้น)


ใน ช่วงชั่วโมงที่สองเกือบสาม  เคสเบาๆ ก็ออกไปหมดแล้ว เด็กๆ ก็เริ่มฟื้นตัวมีสติ ดื่มน้ำหวานกันได้  นั่งคุยกันมั่ง หนีกลับหอมั่ง   แต่บางเคสยังไม่ออก 


มีเคสนึง แกพูดจาโต้ตอบได้ด้วย  เป็นคุณป้าอายุร้อยกว่าปี  บอกชื่อเสร็จสรรพ แกเล่าว่าเป็นนางรำ สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นลูกคนจีน พ่อแม่มาทิ้งไว้แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีก  แกก็เล่าว่าแกสวย ขาว รำเก่ง  เป็นคนที่เรียกว่าป๊อบปูล่า (เด็กที่โดนผีเข้าปี 4 แล้ว จะว่าแกแอคติ้งก็ได้ คือท่าทางเป็นคนแกขี้เล่นเลยนะ  แต่เรื่องที่เล่าเนี่ย..มันมีรายละเอียดมาก จนน่าสนใจว่าแกไม่น่าจะคิดบทละครสดได้ขนาดนี้)


คุณป้านี้ชื่อกิมจู (ขออนุญาตคุณป้านะ)  คุณป้าใจดีมากจนเด็กมันทะลึ่งถาม

เด็ก ถามว่าป้าดูละครธีซิสบ้างหรือเปล่า  ป้าก็บอกว่าดูทุกเรื่องแหละ ชอบ.. เค้าเล่นกันเก่งๆ ทั้งนั้น.. เด็กมันก็ล้อมเข้ามา ถามว่าป้าดูของหนูไหม ชอบไหม.. แย่งกันถาม

ป้าก็ว่าดู ดูทุกเรื่อง  เด็กคนนึงถามว่า.. ป้าชอบเรื่องไหนที่สุด.. (เราก็แอบกลั้นใจรอฟังคำตอบว่าป้าจะว่ายังไง)  ป้าบอกว่า.. ชอบหมด ดูเยอะจนจำไม่ได้หรอก ป้าชอบทุกเรื่อง.. ดูเชาว์ปัญญาป้านะ...


คราวนี้ครูถามมั่ง  ถามว่าเขาร้องเพลงอะไรกัน  ป้าบอกว่า เพลงนั้นเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวง ชื่อเพลงกรุณา (เริ่มขนลุกกันแล้ว)  แต่เขาไม่ร้องเนื้อ ร้องแต่ทำนอง ทำนองฟังดูขนลุกทีเดียว.. เด็กมันฮัมๆ ประสานกัน ได้อารมณ์มาก


เราก็เริ่มถามป้า ว่ารู้จักใครบ้าง ป้าก็บอกว่ารู้จักหลายคน บางคนเป็นคนเก่าคนแก่
บางคนก็ไม่รู้จัก อยู่มาก่อนที่ป้าจะมา  ป้าแกก็แนะนำได้หลายคน ว่าเป็นคนนั้นคนนี้..

ไอ้ครูก็เข้าทางป้าไง  บอกป้า.. ป้าสงสารเด็กมันนะ ป้าบอกเขาได้ไหมว่าให้ออกไป

ป้าก็บอกว่า.. เขากลัวกัน เขากลัวไม่มีที่อยู่ เขาต้องการจะอยู่ที่นี่ แต่เราไปไล่เขา

เราก็บอกว่า เราเป็นอาจารย์ เราให้สัจจะเลยว่าไม่ไล่หรอก แค่จะทุบตึกเก่าทำตึกใหม่น่ะ

พวกป้าก็อยู่กันต่อไปได้นี่..

ป้าว่า..แล้วจะอยู่กันยังไงล่ะ ทุบตึกแล้วจะไม่มีที่อยู่นะ.. จะให้ทำไง...

อาจารย์ อีกคนมาร่วมด้วย บอกป้า.. หรือช่วงนี้ไปอยู่ห้องอื่นก่อนไหม เรามีตึกเยอะ..ไปอยู่ตึกใกล้ๆ นี้ชั่วคราวก่อนก็ได้ ว่าแล้วอาจารย์ท่านนี้ก็ชวนป้าไปดูห้องพักใหม่กัน..

ป้ายอมไปแฮะ..  เราก็เลยพาป้ากิมจูไปดูห้องพักที่ตึกอีกหลังนึง..

จากคุณ    : chaosy
11  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.watmahawanaram.com วัดมหาวนาราม ( วัดป่าใหญ่ ) เมื่อ: สิงหาคม 08, 2011, 11:15:01 am


http://www.watmahawanaram.com
วัดมหาวนาราม ( วัดป่าใหญ่ )


ประวัติ
     วัดมหาวนารามหรือที่ชาวอุบลนิยมเรียกกันทั่วไปว่า “วัดป่าใหญ่”  เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี  อยู่ห่างไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของศาลากลางจังหวัด (หรือทุ่งศรีเมือง)   ประมาณ ๑ กิโลเมตร  เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง นามว่า พระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง
     วัดมหาวนาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ  ซึ่งเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกและแห่งเดียวของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย  ตั้งอยู่เลขที่ ๑๘๓  ถนนหลวง  ตำบลในเมือง  อำเภอเมือง  จังหวัดอุบลราชธานี  สังกัดคณะสงฆ์ตำบลในเมืองเขต ๑  สถานภาพดั้งเดิมเป็นสำนักสงฆ์ตามกฎหมาย เมื่อวันที่ ๑๐  เดือนมีนาคม  พ.ศ. ๒๔๖๐  หรือเป็นวัดก่อนใช้ พ.ร.บ.  คณะสงฆ์  พ.ศ. ๒๔๘๔  เป็นวิสุงคามสีมา  เมื่อวันที่ ๘  เดือนกุมภาพันธ์  พ.ศ. ๒๔๖๕  เป็นพัทธสีมา  เมื่อวันที่ ๑๐  เดือนกุมภาพันธ์  พ.ศ. ๒๔๖๘
     วัดมหาวนาราม  มีเนื้อที่ ๑๘ ไร่  ๒ งาน  ๙๕.๒-๑๐ วา-ศอก  ตามหนังสือสำคัญ  คือโฉนดเลขที่ ๑๙๔๓  ออกที่  ที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี

ที่ตั้ง/อาณาเขต
          - ทิศเหนือ จรดกับ ถนนสรรพสิทธิ์ และกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี
          - ทิศใต้ จรดกับ ถนนหลวง
          - ทิศตะวันออก จรดกับ ถนนเทพโยธี
          - ทิศตะวันตก จรดกับ ถนนหลวง และโรงเรียนเอนกวิทยา

การบริหารและการปกครอง
      ๑. พระมหาราชครูศรีสัทธรรมวงศา
      ๒. พระหงษ์
      ๓. พระสังวาลย์
      ๔. พระโสม
      ๕. พระพวง
      ๖. พระทอง
      ๗. พระครูเคน
      ๘. พระครูนวกรรมโกวิท (นาค ภูริปุญโญ) พ.ศ.๒๔๘๕ - พ.ศ.๒๕๒๘
      ๙. พระเทพกิตติมุนี (สมเกียรติ สมกิตฺติ ป.ธ.๖) พ.ศ.๒๕๒๙ - ปัจจุบัน

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนให้ความเคารพศรัทธา
      พระ เจ้าใหญ่อินทร์แปลง สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ พระมหาราชครูศรีสัทธรรมวงศา (เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงมณีโชติศรีสวัสดิ์ (วัดมหาวนาราม)) ได้พาลูกศิษย์และศิษยานุศิษย์ สร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง ๖ ศอก สูงจากเรือนแท่นถึงเปลวพระโมลี ๑๐ ศอก สร้างลงรักปิดทองด้วยพุทธศิลปะที่งดงาม เพื่อเป็นองค์แทนสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างสำเร็จเมื่อ วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ (เดือนเมษายน) เป็นวันเฉลิมฉลองพระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง เป็นประจำทุกปี

สภาพปัจจุบัน
     วัดมหาวนาราม ได้จัดระบบบริหารตามกรอบแห่งการปกครองคณะสงฆ์ภายใต้พระราชบัญญัติการปกครอง คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ และตามกฏมหาเถรสมาคม  กล่าวคือ ได้แบ่งเขตพุทธาวาส และเขตสังฆาวาส ออกเป็นสัดส่วน โดยตัดถนนภายในวัดเป็น ๔ สาย มีประตูเข้าออกวัดทั้ง ๔ ด้าน
          - เขตพุทธวาส ได้แก่ พระวิหารพระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง และพระอุโบสถ
          - เขตสังฆาวาส ได้แก่ กุฏิ เสนาสนะสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่มีอยู่รอบวัด
          - เขตอุทยานการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงฆ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย


http://www.watmahawanaram.com/index.php?option=com_content&view=article&id=46&Itemid=55
12  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ควรนั่งสมาธิ นานเท่าไร ต่อ วัน สำหรับมือใหม่ หัดปฏิบัติ เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2011, 04:49:53 pm
เราควรนั่งสมาธิ นานเท่าไร และ กี่ครั้ง ต่อวัน ครับ สำหรับ ผู้ปฏิบัติภาวนาใหม่ ครับ
ที่ดูแล้วไม่เกินกำลัง ไม่เกินความสามารถ

และผลของการ ทำสมาธิ วัดกันอย่างไร ครับ ว่าได้ผลจากการภาวนา

 :s_hi: :c017:


ขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com
13  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / ใครใช้ firefox version ต่ำกว่า version 4 อย่าพึ่ง udgrade version เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2011, 10:30:43 pm
ใครใช้ firefox version ต่ำกว่า version 4 อย่าพึ่ง udgrade version

ผมได้ test ปรับเวอร์ชั่นเป็น เวอร์ชั่น 4.0 ขึ้นไป ตามคำเชิญของ firefox mozillar team

รุ่นใหม่ไม่เร็วจริงครับ ผมใช้อืดมาก ที่สำคัญ add on ที่สำคัญนั้นไม่ ทำงานด้วยกัน ยกตัวอย่าง

 adobe pdf ไม่เวิกค์ ไม่มีอัพเดท

 internet download maneger ไม่มีีอัพเดท

 อื่น ๆ อีกหลายอัน เลยครับ

 พวก Addon ถ้าเป็น firefox มีให้ uddate ครับ แต่ถ้าเป็น บ. อื่น ๆ ไม่มีครับที่ทำงาน ซัพพอร์ตกับ

เวอร์ชั่น 4 ผมเลยต้องกลับมาใช้เวอร์ชั่น 3.611 ครับ จึงกลับมาเป็นปกติครับ

คงต้องรอจากวันนี้อีกสักพัก ที่แน่ ๆ ไม่เร็วครับ เพราะมีระบบ หน่วงโปรแกรม เช่น ทวีิต เฟคบุ๊ค เป็นต้นหน่วงให้ช้ามากครับ

 :41:
14  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โรคเครียด พัฒนา สู่โรคหัวใจ ได้ พึงระวังครับ..... เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 03:51:33 pm
 ถ้า จะพูดถึงโรคร้ายที่คร่าชีวิตประชากรโลกในอันดับต้นๆ “โรคหัวใจ” จะต้องถูกหยิบยกออกมาพูดถึงกันอยู่เสมอ โรคหัวใจเป็นโรคที่หลายคนรู้จักชื่อกันเป็นอย่างดี แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าการใช้ชีวิตประจำวัน ของเราเสี่ยงกับการเป็นโรคหัวใจแค่ไหน โดยเฉพาะกับกลุ่มคนทำงานในปัจจุบันที่ต้องเผชิญกับความเครียด อยู่บ่อยครั้ง แล้วจะมีวิธีกำจัดความเครียดได้อย่างไร ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลนนทเวชมีวิธีที่ช่วยให้ห่างไกลจากโรคหัวใจที่เกิดจากความเครียดได้

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.oknation.net/blog
โรคหัวใจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจโต ลิ้นหัวใจโตผิดปกติหรืออาจเกิดจากเยื่อหุ้มหัวใจมีความผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน ความเครียด สูบบุหรี่และดื่มสุราจัด แต่ที่จะพบได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของคนไทย โดยมีอัตราเสียชีวิตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4 คนต่อ 1 ชั่วโมง เกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและหัวใจวายเฉียบพลัน ที่สำคัญที่สุดผู้ป่วยมักจะไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคดังกล่าว เนื่องจากโรคนี้มักไม่แสดงอาการ สำหรับอาการบ่งชี้โดยทั่วไปมักมีอาการ จุกเสียด เจ็บแน่นหน้าอกหรือบริเวณลิ้นปี่ เหนื่อยง่าย แขนขาบวม นอนราบไม่ได้ ใจสั่น บางครั้งอาจหมดสติได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะพบในเพศชายอายุ 40 ปีขึ้นไปหรือเพศหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่สำหรับความเครียดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจได้

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.siam-society.com

ทุกวันนี้ความเครียดก็ส่งผลให้ผู้คน เป็นโรคหัวใจกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงาน ผู้บริหาร ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ที่จะใช้เวลาอยู่กับงานค่อนข้างมาก เผชิญกับความเครียด ไม่มีเวลาพักผ่อนและ ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ น้ำหนักตัวมากขึ้นจนเพิ่มภาระให้กับหัวใจ และอาจนำไปสู่โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน เมื่อความเครียดเกิดขึ้นร่างกายจะสร้างสารที่เรียกว่า “อะดรีนาลิน (ADRENALINE) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น ทำให้หลอดเลือดตีบตัว เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ นอกจากนี้ อาจก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง และเพิ่มปริมาณไขมันในเลือดให้สูงขึ้น
วิธีกำจัดความเครียดด้วยวิธีง่ายๆ คือ
-  หาวิธีพักผ่อนหย่อนใจ ไปท่องเที่ยว ดูหนัง ออกกำลังกาย พูดคุยกับเพื่อนสนิท
-  คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและถามความรู้สึกตัวเอง
-  พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา การสูบบุหรี่ ใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนสนิทที่คอยให้กำลังใจได้ตลอดเวลา
อย่าลืมว่าโรค หัวใจไม่ใช่โรคไกลตัวอีกต่อไป นอกเหนือจากการรักษาสุขภาพกายให้สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว สุขภาพใจก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ห่างไกลโรคได้ แล้วหัวใจที่แข็งแรงจะอยู่กับเราไปอีกนาน
15  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไมหนูต้องเกิดมาเป็นลูกพ่อ เมื่อ: มีนาคม 03, 2011, 09:44:30 am


ว่าจะไม่เขียนเรื่องนี้นะ แต่ก็ไม่รู้จะไประบายที่ไหน เพราะอะไรนะหรือ

เพราะว่าคนรอบข้างคาดหวังว่าคนเป็นพ่อจะต้องเข้มแข็ง เป็นคำตอบ เป็นที่พึ่ง

พ่อเป็นคนที่รับฟังและเป็นที่บรรเทาทุกข์ของทุกคนในบ้าน มีคนข้างๆเคยถามว่า

เวลาพ่อกลุ้มใจพ่อคุยกับใคร ... พ่อบอกว่า พ่อไม่รู้ ... พ่อคุยกับ "คนบนฟ้า" กระมัง ...

เพราะเธอที่ถาม ตัวเธอเองก็แย่เต็มที พ่อไม่อยากให้เธอรู้ว่า ... พ่อเองก็จะไม่ไหวเหมือนกัน ...

ยากนะที่จะเป็นหลักที่ให้พึ่งพิงในยามที่หลักเองก็ยังต้องพยายามยันตัวเองเพื่อตั้งให้ตรง ....

พ่อคนนี้ก็แค่ผู้ชายธรรมดาๆที่อ่อนแอได้และร้องไห้เป็น

 

"พ่อขา ... ทำไมหนูไม่มีเพื่อน ทำไมไม่มีใครอยากเล่นกับหนู"
"พ่อขา ... (...)เอากระเป๋าหนูไปทิ้งถังขยะ (...)บอกว่าหนูใช้กระเป๋าเก่าๆ น่าจะเอาไปทิ้งได้แล้ว"
"พ่อขา ... (...)ว่าหนูสกปรก ชอบขโมยของ ชอบทำของหาย แล้วก็เรียนไม่เก่ง ท่องสูตรคูณก็ไม่ได้"
"พ่อขา ... (...)ว่าหนูชอบเสียงดัง แล้วก็เล่นแรงๆ"

"พ่อขา ... หนูอยากเป็นตัวตลก ...ตลกให้มากๆเลย"
"ทำไมล่ะลูก" ... "เพื่อนๆจะได้เล่นกับหนู ... (...)บอกให้หนูเลียโต๊ะก่อน เขาถึงจะเล่นด้วย"
(พ่ออึ้ง ..ไปพักนึง) ... "แล้วหนูเลียไหมล่ะจ๊ะ" ...
... "หนูเลียค่ะ" ...
"แล้วเขาเล่นกับหนูไหม" .. "เล่นค่ะ แต่แป๊บเดียว" ... (พ่อน้ำตาไหล ...)

"พ่อขา ... (...)ว่าหนูหัวยุ่ง แล้วก็ตอบคำถามครูก็ไม่ทัน"
"พ่อขา ... หนูเรียนไม่เข้าใจเลย ทำไมหนูถึงไม่เก่งเหมือนคนอื่น
. . . . . . . (...)ท่องศัพท์เก่งมากเลย หนูท่องเท่าไรก็ไม่ได้"
"พ่อขา ... หนูทำเค้กของ(...)หน้าเละ (...)บอกให้หนูไปซื้อมาใช้คืน ... หนูไม่ได้ตั้งใจนะค่ะ" (เริ่มสะอื้น)

... "ตอนกลางวันหนูกินข้าวกับใครค่ะ"
... "หนูกินคนเดียวค่ะ"
... "ตอนพักเที่ยงหนูเล่นกับใคร"
... "ไม่ได้เล่นกับใครค่ะ"
... "แล้วหนูทำอะไร"
... "หนูเข้าห้องสมุดอ่านหนังสือคนเดียวค่ะ"

วันนี้เป็นวันหยุด พ่อไปส่งหนูทำกิจกรรมที่โรงเรียน
ก่อนถึงเวลาครูนัด เราสองคนพ่อลูกนั่งกอดกันหลวมๆรออยู่ริมสนามเด็กเล่น
หนูจะเข้าไปขอเพื่อนเล่นด้วย เพื่อนๆไม่ยอมให้เล่นด้วย 2-3 คนเดินหนี
หนูโดนแกล้งให้เป็นลิงชิงบอลอยู่คนเดียว
... พ่อแอบเดินไปข้างหลังพุ่มไม้
... "อย่าไปเล่นกับเฟิร์น เดี๋ยวจะหัวยุ่ง สกปรกเหมือนเฟิร์น"
.
.
หนูเดินก้มหน้ากลับมา ... เราหามุมเงียบๆ
... เรานั่งกอดกันแน่นขึ้น
... หนูสะอื้น ... แต่พ่อร้องไห้

"พ่อขา ... (...)บอกว่าไม่ให้หนูเข้ากลุ่มเล่นพละด้วย เขาบอกว่าถ้ากลุ่มแพ้จะต้องเป็นเพราะหนูแน่ๆเลย"
"แล้วกลุ่มหนูแพ้ไหมล่ะ"
"แพ้ค่ะ ...หนูโดนรุมว่าใหญ่เลย ทั้งๆที่หนูวิ่งเต็มที่แล้ว"
"พ่อขา ...ทำไมเพื่อนๆไม่รักหนู"
"..."

"พ่อขา ..."

ใครไม่เคยถูกปฏิเสธก็ไม่รู้รสชาติขอการถูกปฏิเสธ
และ รสชาติของการไม่ได้รับการยอมรับหรอก ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน
ขนาดหัวใจกร้านโลกอย่างพ่อ ในโลกใบใหญ่ก็ยังเจ็บปวด ....
ประสาอะไรกับหัวใจเล็กๆบอบบาง ...ในโลกใบเล็กๆ ที่โดนปฏิเสธทุกวัน
แต่หนูก็ยังอยากไปโรงเรียน ... หนูเข้มแข็งกว่าพ่อมากมาย

ในโลกของเด็ก ... ไม่มีหน้ากาก ไม่มีมายา คิดออกมาอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น
...พ่อไม่ว่าเพื่อนๆหนูหรอก ... พ่อไม่ว่าใครทั้งนั้น ...
พ่อรู้ว่าที่หนูเป็นอย่างนี้ หนูไม่รู้ตัว หนูไม่ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น
เป็นความผิดพลาดทางสายพันธุ์ ... ที่อาจมาจากพ่อ
ดังนั้นหนูเลยไม่เข้าใจว่าทำไมหนูจึงไม่เป็นที่ต้องการ
.
.
ถ้าพ่อต้องอยู่ต่อไปทั้งชีวิตโดยไม่มีใครสักคน
ขอเพียงให้หนูมีเพื่อนที่ดีบ้างสักคน
พ่อยอม ....

...

เอาเถอะ ... อย่างน้อยหนูก็ดีกว่าเด็กอีกหลายๆคน
เพราะหนูรับรู้ได้ว่า ... "พ่อรักหนู"
และสามารถบอกพ่อได้ว่า " หนูรักพ่อ " ...
.
.

เธอเคยบอกว่าเธอไม่มีแม้ใครสักคนหนึ่ง
คงลืมว่าอย่างน้อย " ยังมี" ฉันไง
วันใดที่เธอมีเพื่อนรุมล้อมเธอหรือยังมีใคร
เธอก็จะไม่เห็นฉันเลยคนดี
... แม้วันใดหัวใจเธอพ่าย
... จะมาแพ้ไปกับเธอ
... และถ้ามีวันใดน้ำตาเธอเอ่อ
... จะร้องไห้เป็นเพื่อนกัน
หากเธอสมหวัง...ในวันหนึ่ง
ให้รู้ว่าฉันยังแอบเห็นและชื่นชม
หากเธอท้อแท้..ฉันยังอยู่
หากแม้นไม่เห็นฉัน ... จงโปรดรู้ไว้ว่าเธอ ...ใช่อยู่คนเดียว.
.
ยังไงพ่อก็รักหนู ... เพราะว่าหนูเป็นลูกของพ่อ
.
.
และถึงชีวิตหนูจะไม่มีใคร ...
ชีวิตหนูยังคงมีพ่อคนนี้เสมอและตลอดไป ...
.
.
เพราะว่า ....หนูเป็นเหตุผลเดียวที่พ่อยังจะต้องมีชีวิตอยู่

...

และเมื่อวันนั้นมาถึง ...
ไม่ว่าใครจะไปจากใครก่อนก็ตาม ....
พ่ออยากให้หนูรู้ไว้ว่า ...
ความรักของพ่อจะยังคงอยู่กับหนู ... ตลอดไป ...

...

จากหัวใจธรรมดาๆของผู้ชายคนหนึ่งที่หนูเรียกว่า "พ่อ" ...
...
 
 
แล้วคุณจะทราบซึ้ง กับความหมายยิ่งใหญ่ ของผู้ชายคนนี้

"คูณพ่อน้องเฟิร์น" คุณพ่อแสนดี กับลูกสาวที่น่ารักที่สุดของพ่อ

 

ใช่แล้วครับ

"ยัยตัวดี ... ลูกเฟิร์น ... ลูกสาวผม ... เป็นเด็ก ADHD"
16  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 3 คาถาของคนทำงาน โดนจริง ๆ ศักดิ์สิทธิ์มากๆ เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 11:57:04 am
3 คาถาของคนทำงาน โดนจริง ๆ
1 . คาถาคนทำงาน
ขั้นแรก...ท่อง นะโม 3 จบ ก่อน แล้วจึงค่อยท่องคาถานะ
 
อาจจะมี ... เซ็งไปบ้าง...ในบางครั้ง
อาจจะมี ...เบื่อกันบ้าง.... ในบางหน
อาจจะมี ...เหม็นขี้หน้า...กับบางคน <====== อันนี้ โดน
พยายามทน ทำงานไป เพราะได้ตังค์ <====== อันนี้โดนก่า
 
2. คาถาปล่อยวาง
กูว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา
เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สาม ประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย
จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย
 
3. คำสอนของพระพุทธเจ้า
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' เหนือ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' ต่ำ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' เสมอ เท่าเรา เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น
จงนึกเสมอว่า 'คนอื่นทุกคน' เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด
17  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / งานวันเกิดสาวอังกฤษล่มเพราะเฟสบุ๊ก เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:05:32 pm
งานวันเกิดสาวอังกฤษล่มเพราะเฟสบุ๊ก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 กันยายน 2553 18:12 น.

   
อุทาหรณ์ยอดเยี่ยมจากการใช้งานเครือข่ายสังคมชื่อดังอย่างเฟสบุ๊กอย่างไม่ ระวัง เมื่อสาวผู้ดีอังกฤษนาม Rebecca Javeleau วัย 14 ประกาศเชิญเพื่อนมาร่วมงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 15 ปีบนเฟสบุ๊กโดยไม่ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ปรากฏว่ามีผู้ตอบรับคำเชิญร่วมงานถึง 21,000 คน ร้อนถึงคุณแม่ของสาวน้อยที่ต้องแจ้งตำรวจเพื่อป้องกันความไม่ปลอดภัยเบื้อง ต้น และดัดหลังลูกสาวด้วยการห้ามเล่นอินเทอร์เน็ตระยะหนึ่ง
       
       ต้นเหตุที่ทำให้งานปาร์ตี้ฉลองวันครบรอบ 15 ขวบของสาวน้อยสาวกเฟสบุ๊กรายนี้คือการลืม "uncheck" หรือการยกเลิกฟังก์ชัน "anyone can view and RSVP" ก่อนการกดปุ่ม "Create Event" เพื่อสร้างหน้าประกาศเชิญร่วมงานที่จัดขึ้น โดยรายงานจาก Daily Telegraph ระบุว่าน้องหนู Javeleau นั้นได้รับคำยืนยันร่วมงานจากผู้ใช้เฟสบุ๊กกว่า 21,000 ชื่อบัญชี ซึ่งในนั้นประกอบด้วยเซเลบตัวปลอมอย่าง Justin Bieber และ Stephen Hawking
       
       ขณะนี้เฟสบุ๊กได้ปลดเพจคำเชิญร่วมงานปาร์ตี้ของสาวน้อยจากเมือง Herdfordshire ลงแล้ว แต่ยังมีแฟนเพจที่กลุ่มผู้ใช้เฟสบุ๊กจำนวนหนึ่งได้ร่วมกันสร้างไว้เพื่อ ระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โดยหนึ่งในแฟนเพจเหล่านั้นมีชื่อว่า  "HER PARTY WILL GO DOWN IN HISTORY"  และมีผู้ชื่นชอบด้วยการกดปุ่ม "likes" ถึง 1,200 ครั้ง

   

แทนที่จะเตรียมขนมนมเนยไว้เผื่อแขกตัวจริง คุณแม่ของสาว Javeleau กลับยกเลิกงานปาร์ตี้ของลูกสาว ก่อนจะลงโทษด้วยการห้ามใช้อินเทอร์เน็ตระยะหนึ่ง จากนั้นจึงโทรขอกำลังจากตำรวจเพื่อป้องกันกรณีที่ชาวเฟสบุ๊กแห่มาที่บ้าน ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ โดยสิ่งที่เกิดขึ้นกับสาวน้อยเมืองผู้ดีรายนี้ ถูกนำไปรายงานผ่านรายการ Early Show ของสถานีโทรทัศน์ CBS
       
        นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สมาชิกเฟสบุ๊กต้องตกใจกับจำนวนผู้ตอบรับคำเชิญร่วมงาน ที่มากเกินไป โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมา ชาวออสเตรเลียรายหนึ่งก็เคยได้รับคำตอบรับคำเชิญร่วมงานวันเกิดหลักหมื่นราย เช่นกัน แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ความผิดพลาดของเฟสบุ๊ก แต่เป็นสิ่งที่สาวกเฟสบุ๊กจะต้องรับรู้เพื่อป้องกันการตกที่นั่ง"หมด สนุก"แบบที่สาวน้อย Javeleau กำลังเซ็งอยู่
18  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สวัสดีปีใหม่ เราก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ ก็ถือว่าเป็นการเริ่มปีนักษัตรใหม่ “ปีเถาะ” เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 11:56:05 am


สวัสดีปีใหม่ เราก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ ก็ถือว่าเป็นการเริ่มปีนักษัตรใหม่ “ปีเถาะ” แม้ว่าปีนักษัตรเราจะนับกันตามปีใหม่ไทย (สงกรานต์) และปีใหม่จีน (ตรุษจีน) แต่ยุคปัจจุบันเพื่อความสะดวก เราก็นับรวมเถลิงศกกันไปพร้อมๆ กับปฏิทินสากล
       
       “เถาะ” ปีนักษัตรลำดับที่ 4 ที่มีกระต่ายเป็นสัญญลักษณ์ ตำราโหราศาสตร์บอกว่า ปีนี้เป็นปีที่ดีเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดา 12 ปีเลยทีเดียว
       
       ในแง่โหราศาสตร์ดูดวง เสิรมชะตาก็ว่ากันไป แต่เมื่อพูดถึงสัตว์สัญญลักษณ์ประจำปีอย่าง “กระต่าย” แล้ว ทำให้ทีมข่าววิทยาศาสตร์สนใจศึกษาเรื่องราวของกระต่ายที่จะอยู่กับเรา (ในนาม) ไปถึง 1 ปีเต็มๆ นับจากนี้ …. ดูกันซิว่า เรารู้จักกระต่ายดีแค่ไหน
       
        กระต่ายบ้าน-กระต่ายป่า
       
        “กระต่าย” จัดอยู่ในจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีกระดูกสันหลัง มีลำตัวขนาดเล็ก ขนปุย หูยาว ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่า กระต่ายถือกำเนิดมาในโลกเมื่อ 50 ล้านปีมาแล้ว บริเวณทวีปเอเชีย และอเมริกาเหนือ ทั่วโลกมีอยู่ 58 ชนิด จัดอยู่ใน วงศ์กระต่ายธรรมดา (Leporidae) 44 ชนิด และ วงศ์กระต่ายหูสั้น (Ochotonidae) อีก 14 ชนิด
       
        กระต่ายธรรมดามีขาหลังที่ยาว ทำให้วิ่งได้เร็ว ใบหูยาวหมุนไปมาได้ และมีหางสั้น ส่วนกระต่ายหูสั้นจะมีขาทั้งคู่หน้าและคู่หลังสั้นพอๆ กัน ใบหูจะสั้นเป็นมนกลม และจะไม่เห็นหางจากภายนอก
       
       ในวงศ์กระต่ายธรรมดา ยังแบ่งออกเป็น กระต่ายเลี้ยง (Rabbit) ซึ่งชอบอยู่กันเป็นฝูง และกระต่ายป่า (Hare) ที่ชอบอยู่โดดเดี่ยว
       
       ทั้งนี้ กระต่ายที่พบอาศัยตามป่าทั่วไปในประเทศไทยมีชนิดเดียว คือ กระต่ายป่า (Lepus peguensis) ซึ่งมีขนสีน้ำตาล ใต้หางสีขาว ขุดดินเป็นโพรงอาศัย ส่วนที่นำมาเลี้ยงตามบ้าน มีหลายชนิดและหลายสี แต่ที่พบมากจะเป็นสีอ่อน เช่นสีขาว
       
        กระต่ายเกือบจะเป็นหนู
       
        แม้ว่ากระต่ายจะเป็น “สัตว์ฟันแทะ” ที่มีฟันหน้าขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายหนู แต่กระต่ายเป็นสัตว์ฟันแทะมีฟันหน้า 2 คู่ (lagomorph) ต่างจากพวกหนูหรือกระรอกที่มีฟันแทะคู่เดียว (rodent)
       
       เดิมทีมีการจัดกระต่ายไว้เป็นสัตว์ฟันแทะในอันดับโรเดนเทีย (Rodentia) ร่วมกับพวกหนูและกระรอก แต่เมื่อพบว่ากระต่ายมีลักษณะหลายอย่างเป็นของตนเอง ที่แตกต่างจากพวกหนูและกระรอกมาก โดยเฉพาะกระต่ายที่มีฟันตัด2 คู่ทางด้านหน้าของขากรรไกรบนคู่ที่สองมีลักษณะเป็นปุ่มเล็กซุกอยู่ภายในคู่ หน้า ในขณะที่หนูและกระรอกมีฟันตัดเพียงคู่เดียว
       
        ขยายพันธุ์ว่องไว
       
       ถ้าใครเลี้ยงกระต่ายคงจะทราบกันดีถึงความสามารถในการผลิต ประชากรกระต่าย โดยกระต่ายบ้านสามารถผสมพันธุ์ได้บ่อย และตั้งท้องปีละหลายครั้ง
       
       กระต่ายเลี้ยงในยุโรปตอนเหนือผสมพันธุ์ในช่วง ก.พ.-ก.ย. ออกลูกได้ 3-5 ครอก ครอกละ 5-6 ตัว สำหรับกระต่ายป่าในซีกโลกเหนือ ออกลูก 2-4 ครอก ครอกละ 1-9 ตัว ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่ในเขตร้อนกระต่ายป่าผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ตัวเมียตั้งท้องเพียง 1 เดือน ปีหนึ่งจึงสามารถออกลูกได้ 4-8 ครอก ลูกกระต่ายที่มีอายุราว 6-8 สัปดาห์จะแยกจากแม่ได้และมีอายุเฉลี่ย 9-12 ปี
       
       ทั้งนี้ ในมดลูกของกระต่ายเพศเมียจะมี 2 ช่อง นั่นหมายความว่า กระต่ายจะสามารถอุ้มท้องตัวน้อยได้ถึง 2 ครอก ที่มีอายุครรภ์ต่างกันได้ในเวลาเดียวกัน
       
        ถ้าไม่ได้กินสิ่งที่ถ่าย มีตายแน่นอน
       
       กระต่ายอยู่ในสภาพแวดล้อมได้หลายแบบทั้งเขตร้อนและหนาว อาหารส่วนใหญ่เป็น หญ้า พืชล้มลุก รากไม้ เปลือกไม้
       
       เวลาอาหารของกระต่าย พวกมันจะกินหญ้าจำนวนมากอย่างรวดเร็ว และขับถ่ายออกมาเป็นเม็ดแข็ง ส่วนที่เป็นเกล็ดของเสียจะไม่ถูกย่อย และเมื่อผ่านการกินอย่างหักโหมไปประมาณ 8 ชั่วโมงกระต่ายจะถ่ายมูลอ่อนออกมา ซึ่งส่วนใหญ่จะตรงกับช่วงกลางคืน
       
       มูลอ่อนดังกล่าวจะมีวุ้นเคลือบ และเมื่อเช้ามาถึงกระต่ายก็จะกินมูลอ่อนเหล่านี้ ซึ่งเชื้อแบคทีเรียในมูลอ่อน เมื่อสัมผัวกับอากาศจะสร้างวิตามินบางชนิดขึ้น วิตามินเหล่านี้จำเป็นมากต่อสุขภาพของกระต่าย หากไม่ได้กินมูลอ่อนกระต่ายจะตายภายในเวลา 3 วัน
       
        ใช้งานได้ทั้งในครัว-ห้องแล็บ
       
       การบริโภคเนื้อกระต่ายเป็นที่แพร่หลายในหลายพื้นที่ ทั้งในยุโรป อเมริกาทั้งตอนเหนือและใต้ รวมถึงตะวันออกกลาง
       
       แม้ว่าปัจจุบันในอังกฤษจะไม่มีเนื้อกระต่ายวางขายในซุเปอร์มาร์เก็ต แต่ตามร้านขายเนื้อหรือตลาดพื้นเมืองยังมีให้เห็นกันอยู่อย่างแน่นอน โดยร้านจะห้อยกระต่ายตายแล้วที่ยังไม่ได้แล่โชว์กันให้เห็นอันเป็นสไตล์
       
       ที่ซิดนีย์ เคยนิยมกินกระต่ายกันมาก ถึงกับมีชื่อทีมรักบี้ว่า “เซาธ์ ซิดนีย์ แรบบิโทธส์” (South Sydney Rabbithos) แต่ความนิยมบริโภคกระต่ายในซิดนีย์ต้องหมดไป เมื่อเหล่ากระต่ายเลี้ยงโดนโรคระบาดคุกคาม
       
       อย่างไรก็ดี ในแถบภูมิภาคอินโดจีนไม่นิยมกินกระต่าย แต่ก็ใช้กระต่ายเป็นอาหารสำหรับงูใหญ่
       
       กระต่ายทั้งถูกล่าด้วยปืน และส่วนที่เลี้ยงก็จะถูกฆ่าด้วยการทุบด้านหลังหัว เนื้อกระต่ายมีโปรตีนสูง ปรุงอาหารได้หลากหลายชนิดแบบเดียวกับเนื้อไก่ ซึ่งเนื้อกระต่ายที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ “กระต่ายขาวนิวซีแลนด์”
       
       และกระต่ายขาวนิวซีแลนด์นี้ ก็ยังได้รับนิยมนำไปศึกษาและวิจัย ทั้งทางด้านพยาธิวิทยาเพราะเป็นแหล่งของสารที่เร่งให้เกิดลิ่มเลือด ด้านสรีรวิทยาการสืบพันธุ์ ต่อมไร้ท่อ รวมทั้งใช้ทดสอบความปลอดภัยของยาชนิดต่างๆ วัคซีน และทดสอบความเป็นพิษ
       
        บอบบางตายง่าย?
       
       กระต่ายขยายพันธุ์ง่าย และก็ตายง่ายไม่แพ้กัน ผู้เลี้ยงกระต่ายทราบดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อน ที่กระต่ายอาจเกิดอาการช็อคตายได้ง่าย เพราะกระต่ายไม่มีต่อมเหงื่อ ระบายความร้อนได้ยาก เมื่ออากาศร้อนกระต่ายจะต้องหายใจถี่ขึ้น ที่จมูกจะสั่นเร็วขึ้น รวมถึงที่เส้นเลือดแดงใหญ่กลางหูจะช่วยทำงานระบายความร้อนมากขึ้น แต่ก็ยังระบายความร้อนไม่ทัน จึงทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงจนช็อคตาย
       
       อย่างไรก็ดี การให้น้ำกระต่ายเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะกระต่ายต้องการใช้ระบายความร้อน แต่ส่วนใหญ่ที่เราเลี้ยงกระต่ายกันก็ให้ผักหญ้า ซึ่งพืชพวกนี้มีน้ำสะสมอยู่ในระดับหนึ่ง ทำให้บางครั้งกระต่ายก็ไม่ต้องการน้ำเพิ่ม แต่หลายคนอาจมีความเชื่อว่าการให้น้ำกระต่าย อาจเป็นเหตุให้กระต่ายตายได้ นั่นอาจจะเป็นเพราะความสะอาดของน้ำหรือภาชนะบรรจุ
       
       นอกจากนี้ ในการจับกระต่าย ไม่ใช่จับที่หูแล้วดึงขึ้นมา เพราะถ้ากระต่ายตัวใหญ่และมีน้ำหนักมาก อาจทำให้เนื้ออ่อนบริเวณหูฉีกขาดได้ แต่ให้ค่อยๆ ประคองตัวลักษณะเหมือนอุ้มเด็ก และให้ทำด้วยความนุ่มนวล โดยเฉพาะหากกอดรัดที่บริเวณท้องอย่างรุนแรงก็จะทำให้กระต่ายได้รับอันตราย ถึงตายได้
       
       ปัจจุบัน กระต่ายกลายเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อมนุษย์นำออกจากป่าไปเลี้ยงและกระต่ายขยายพันธุ์เร็วเกินกว่าจะรับภาระ ไหว จึงพากระต่ายกลับไปปล่อยแต่ก็กลับไปไม่ถึงป่า ส่งผลให้กระต่ายสร้างปัญหาต่อเรือกสวนไร่นา โดยเฉพาะแนวคันนาหรือสวนที่นิยมใช้หญ้าทำเป็นแนว กลับกลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีให้เหล่ากระต่าย
       
       อย่างไรก็ดี ปัญหาประชากรกระต่ายก็ยังคงสร้างความยุ่งยากให้แก่เกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ที่แม้ไม่ใช่แหล่งกำเนิดของกระต่าย กลับมีปัญหากับการรุกล้ำพื้นที่ของกระต่ายไม่น้อย ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้ได้จัดให้กระต่ายเป็น “ศัตรูพืช” ชนิดหนึ่ง เจ้าของที่สามารถจัดการและควบคุมได้โดยถูกกฎหมาย
       
       ส่วนพฤติกรรมของกระต่ายดูเหมือนจะตื่นเต้นตกใจง่ายนั้น เป็นไปตามสัญชาติญาณระวังภัย คำว่า “กระต่ายตื่นตูม” เป็นสำนวนที่มาจากนิทานชาดก อ้างถึงสมัยพระพุทธเจ้า ซึ่งสามารถหาอ่านกันได้ ส่วนปีเถาะหนนี้เราจะเป็น “กระต่ายตื่นตัว” ประกอบกิจการงานและใช้ชีวิตอย่างมีสติก็คงจะดีไม่น้อย.

       ************************************
       
        เรื่องน่าสนของ "กระต่าย"
       
       - สถิติโลกบันทึกไว้ว่ากระต่ายกระโดดได้สูงที่สุด 1 เมตร
       
       - บันทึกเล่มเดียวกันก็ยังบอกไว้ว่า กระต่ายกระโดดได้ไกลที่สุด 3 เมตร
       
       - กระต่ายครอกที่ใหญ่ที่สุด คือคลอดออกมา 24 ตัว มีบันทึกไว้ถึง 2 ครั้งในปี 1978 และ 1999
       
       - หูกระต่ายที่ยาวที่สุดในโลกคือ 31.125 นิ้ว เป็นกระต่ายอเมริกัน
       
       - กระต่ายที่อายุยืนที่สุดคืออยู่ได้ถึง 19 ปี
       
       - กระต่ายที่หนักที่สุดในโลกมีน้ำหนัก 12 กิโลกรัม
       
       - กระต่ายป่าที่เล็กที่สุดในโลกคือพันธุ์ปิกมี่ หรือ ลิตเติ้ลไอดาโฮ ในสหรัฐอเมริกา มีน้ำหนักน้อยกว่าครึ่งกิโลกรัม
       
       - กระต่ายจะตื่นตัวอย่างยิ่งในช่วงเช้าตรู่และยามเย็นโพล้เพล้
       
       - กระต่ายมองเห็นด้านหลังได้โดยไม่ต้องหันหัว
       
       - กระต่ายมีสีขนมากถึง 150 สี แต่มีสีตาเพียง 5 สี คือ น้ำตาล, น้ำเงิน-เทา, น้ำเงิน,ชมพู (แดง), และลูกแก้ว
       
       - กระต่ายตัวขาวตาแดง เพราะดวงตาของกระต่ายสีขาวอย่างพันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์หรือแคลลิฟอร์เนียน ไม่มีเม็ดสี ทำให้เห็นเส้นเลือดสีแดงในตาซึ่งจะ สะท้อนแสงให้เราเห็นตากระต่ายเป็นสีแดง
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เมื่อ: ธันวาคม 12, 2010, 10:09:23 am
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

          อุทยาน แห่งชาติแจ้ซ้อน มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่กิ่งอำเภอเมืองปาน อำเภอแจ้ห่ม และอำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปางมีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีเนื้อที่ประมาณ 592 ตารางกิโลเมตร ได้รับประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2531

สิ่งที่น่าสนใจในเขตอุทยาน

          บ่อน้ำร้อนขนาด ใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณที่ทำการอุทยาน มีพื้นที่ราวหนึ่งไร่เศษ เต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่ น้ำพุร้อนมีกลิ่นกำมะถันอ่อน ๆ อุณหภูมิเฉลี่ย 73 องศาเซลเซียส เมื่อธารน้ำร้อนไหลไปบรรจบกับธารน้ำเย็นที่ไหลมาจากน้ำตกแจ้ซ้อนจะกลายเป็น ธารน้ำอุ่น (น้ำแร่) ซึ่งอาบได้และสามารถรักษาโรคผิวหนังได้ บริเวณใกล้เคียงมีห้องบริการอาบน้ำแร่ 11 หลัง ตกแต่งบริเวณด้วยพันธุ์ไม้ต่าง ๆ สวยงาม ค่าบริการห้องอาบน้ำแร่แบบแช่ 20 บาท ค่า บริการอาบน้ำแร่แบบตักอาบ 5 บาท ต้องนำผ้าเช็ดตัวไปเอง เปิดบริการถึง 17.00 น. ทุกวัน อีกสิ่งหนึ่งที่มหัศจรรย์ก็คือในช่วงฤดูร้อน ราวเดือนเมษายน จะมีจั๊กจั่นนับแสนตัวพากันมาเล่นและดื่มน้ำแร่ ส่งเสียงร้องก้องป่าในตอนกลางคืน นับเป็นธรรมชาติที่น่าสัมผัสมาก

              น้ำตกแจ้ซ้อน อยู่ถัดจากบ่อน้ำร้อนขึ้นไป 1 กิโลเมตร เป็นธารน้ำตกที่มีแอ่งน้ำรองรับอยู่ตลอดสาย มีทั้งสิ้น 2 ชั้น มีต้นกำเนิดจากขุนห้วยแม่มอน ไหลผ่านหุบเขาสูงชัน นอกจากนี้ยังมีน้ำตกอีก 2 แห่ง คือ น้ำตกแม่มอนและน้ำตกแม่ขุน


20  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ทำไม เราถึงจะไม่ถูกกลั่นแกล้ง เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 02:00:46 pm
มะยม มักจะถูกกลั่นแกล้ง บ่อย ทั้ง ๆ ที่มะยม ก็มักจะแผ่เมตตาเป็นประจำ

ทำไมกรรมเหล่านี้ ถึงไม่หมดเสียที ครับ


   มีวิธี แผ่เมตตา แบบให้ผลทันตา ทันใจ เลยหรือป่าวครับ

 :25:
21  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เพลงศีล 5 ฟังไพเราะดีครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 11:59:25 am
22  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัมพาต เพราะน้ำอัดลม เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 11:32:47 am


 

อัมพาต เพราะน้ำอัดลม

 

 

 
   ดร.โมเสส เอลิซาฟ อายุรแพทย์ หัวหน้าทีมวิจัยจากมหา- วิทยาลัยไอโออันนินา เผยว่า การดื่มน้ำอัดลมมากๆ (โดยเฉพาะ น้ำสีดำ) กำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะนอกจากทำลายฟัน ทำให้ กระดูกผุ ส่งผลถึงระบบเมตาโบลิซึม และเป็น สาเหตุของเบาหวาน แล้ว ยังก่อให้เกิดภาวะไฮโปคาเลเมียหรือโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ทำให้ กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย ไม่มีแรง จนอาจถึงขั้นอัมพฤกษ์ อัมพาตอีกด้วย
 
 
   จากการเก็บข้อมูลในผู้ป่วยที่ดื่ม น้ำอัดลมวันละ 2 - 9 ลิตรต่อวันต่อเนื่อง เป็นประจำ พบว่า คนไข้มาพบหมอด้วย อาการเหนื่อยล้า กล้ามเนื้อไม่มีแรง ไม่อยากอาหาร คล้ายจะอาเจียนตลอดเวลา ผลการตรวจเลือดพบ โพแทสเซียมในเลือดต่ำและมีภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันร่วมด้วย แต่หลังจากให้หยุดดื่มน้ำอัดลมและหันมารับประทานอาหารที่อุดมไปด้วย โพแทสเซียมแล้ว พบว่า อาการป่วยดังกล่าวหายไป
 
 
   ประมาณการกันว่า ในแต่ละปีคนทั้งโลกดื่มน้ำอัดลมราว 500 ล้านลิตร หรือประมาณ 80 ลิตรต่อ คน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะชาวอเมริกันที่ดื่มกันมากถึงคนละ 200 ลิตรต่อปี
 
 
   รู้อย่างนี้แล้วลดปริมาณการดื่มลงบ้างเพื่อ สุขภาพที่ดีกว่าค่ะ
 

ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก
23  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 10 วิธีทำให้สมองแจ่ม เมื่อ: กันยายน 30, 2010, 12:17:12 pm


อันดับที่ 10 นอนหลับอย่างเพียงพอ
ทำไมละ? การอดหลับอดนอน มันมีผลต่อระบบต่างๆในร่างกายของเฮา โดยเฉพาะในส่วนของการรับรู้ ดังเช่น ความทรงจำ และ สมาธิ นอนไม่พอยังทำให้เกิดปรากฎการณ์ ที่เีรียกว่า snowball effect แถมจะมีผลเรื้อรังอีกด้วยนะ!! ทำไง? เข้านอนให้ตรงเวลา ก่อนนอนก็อย่าแจ้นไปกินข้าว เล่นเกมส์ หรือ หาโน่นหานี่มาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูหนาว พยายามเข้านอนแต่หัวค่ำ จะได้ตื่นขึ้นมารับรุ่งอรุณ ได้อย่างแจ่มใส เข้านอนแต่หัวค่ำจะช่วยให้คุณอารมณ์ดีและ กระปรี้กระเปร่าด้วยนะ เจ๋งไหมละ!!
 
 

อันดับที่ 9 ผ่อนคลาย
 
ทำไมละ? ก็เพราะว่าความเครียดมีผลต่อด้านจิตใจ และลดประสิทธิภาพด้านความคิด ทำไง? พยายามทำอะไรที่เป็นการ relax เช่นการนั่งสมาธิ เช่นโยคะ เป็นต้น
 
 

 

อันดับที่ 8 ออกกำลังกาย
 
ทำไมละ? ออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของหัวใจ จะทำให้่ช่วยให้ ระบบเผาผลาญพลังงานดีขึ้น และทำให้หัวใจไม่เสื่อมเร็วด้วย ทำไง? ไปออกกำลังกายไง เน้นการออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของหัวใจ และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
 
 

อันดับที่ 7 กินเยอะๆ พวกผักสีเขียว
 
ทำไมละ? ผักสีเขียวหนะมีวิตามินสูง ทั้งยังมีแอนตี้ออกซิเด้นที่จะช่วยป้องกัน ความจำเสื่อม เช่น vitamin E,C,B มีอยู่เยอะในผักสีเขียว ดังนั้นกินเข้าไปโลด ดีทั้งนั้น ทำไง? กินผักผลไม้ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ ลองทำอาหารบำรุงสมองเช่นสลัดดูก็ได้
 
 

 

อันดับที่ 6 เข้าเรียน!!
ทำไมละ? ก็ความรู้คือพลังไงละ เคยได้ยินบ่? ทำไงดี? พยายามหาความรู้เข้าสมองให้เยอะๆ มีเรียนก็เข้าเรียน หุๆ แค่เพียงการ เทคคอร์สสักคอร์ส เพียงคอร์สเดียว ก็จะช่วยให้คุณได้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแล้วแหล่ะ รู้มาก เก่งมาก ไม่ยาก ใช่ไหม....

 

อันดับที่ 5 เล่นเกมส์พัฒนาสมอง
 
ทำไม? เกมส์ด้านตรรกะ จะช่วยให้คุณได้ใช้งานสมอง ด้านซ้าน ช่วยพัฒนากระบวนการคิดอย่างมีเหตุมีผล และทำให้กระบวนการคิดด้านตรรกะดีขึ้น ทำไง? เดี๋ยวนี้มีเกมส์แนวนี้เยอะแยะ เช่นเกมส์อักษรไขว้ โซดูกุ หาซื้อสักเล่มก็ได้ หรือจะเล่นวีดีโอเกมส์ หรือเกมส์คอมฯ ที่มันเอาไว้ "พัฒนาสมอง" หรือไม่ก็หาเล่นเกมส์แนวนี้ออนไลน์ ก็ได้ มีเยอะแยะเีชียวแหละคับ ก็ลองหาไรทำเป็นกลุ่มดูสิ
 
 

อันดับที่ 4 อ่านมากเก่งมาก
 
ทำไม? คงไม่มีใครจะปฎิเสธนะครับว่าการอ่านมีประโยชน์แค่ไหน เดี๋ยวนี้นิยายหลายเรื่อง ก็มีในรูปแบบดิจิตอล หรือหาอ่าน แบบออนไลน์ก็ได้ ทำไง? เลือกหนังสือมาสักเล่ม แล้วเริ่มอ่าน อ่านปกมันดูก่อนก็ได้ แล้วลองหาดูว่า เล่มไหนที่เราอยากอ่าน หาเจอแล้วก็อ่านมันเสีย

 

 

อันดับที่ 3 หางานอดิเรกที่สร้างสรรค์ทำ
 
ทำไม? งานด้าน Creative จะพัฒนาสมองด้านขวา ในขณะที่ สมองด้านซ้ายจะเกี่ยวกับด้านความคิด ตรรกะต่างๆ พยายามใช้สมองทั้งสองด้าน แล้วสมองของคุณจะแจ่ม!! ทำไง? ใช้เวลาสักชั่วโมง เพื่อทำงานอดิเรกที่ creative เช่น วาดรูป แกะสลัก ถ่ายภาพ หรือแม้แต่ทำอาหาร ถ้าคุณไม่รู้จะทำไรดี ก็ลองหาไรทำเป็นกลุ่มดูสิ
 
 

 

อันดับที่ 2 เลิกบุหรี่!
ทำไม? นอกจากการสูบบุหรี่จะทำร้ายคนอื่นแล้ว ควันบุหรี่นี่แหละทีเ่ป็นปัจจัยที่ทำให้คุณ ดูแก่ขึ้น และลดความสามารถในการจดจำ ทำไง? การเลิกบุหรี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก แต่มันก็ ทำได้นะครับ มีวิธีแนะนำหลายๆอย่างเลยเกี่ยวกับ การเลิกบุหรี่ ลด ละ เลิก ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใ้ช้ได้ผลดีทีเดียว
24  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สามุกกังสิกา คืออะไร คะ เมื่อ: กันยายน 22, 2010, 11:13:38 am
ได้อ่านเรื่อง อนุปพพิกถา แล้ว มาถึงคำว่า สามุกกังสิกา คือธรรมะสุดยอด

และก็ไม่มีคำอธิบายต่อ จึงอยากรู้ว่า สามุกกังสิกา คืออะไร มีความหมายอย่างไร

ทำไมจึงกล่าวว่าเป็นธรรมะ สุดยอด ใช่ นวโลกุตตรธรรม หรือป่าว
 
:25: :25:
25  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / แนะำนำเว็บธรรมะ วัดเขาสวนวาง พังงา เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 09:59:41 am


http://www.watsuanvang.com/

Aeva Debug: 0.0004 seconds.
26  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ืทำไม พระต้องทำพิธีพวกนี้ เป็นหลักของชาวพุทธ หรือ ป่าว เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 09:04:40 am


ืทำไม พระต้องทำพิธีพวกนี้ เป็นหลักของชาวพุทธ หรือ ป่าว

เป็นหลักของพระพุทธศาสนา หรือ ป่าว

พุทธศาสนา หรือ ไสยศาสตร์
27  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เมื่อเราท้อ นี่เป็นการให้กำลังใจ เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 08:30:40 am
เมื่อเราท้อให้นึกว่า..ไม่เป็นไร..
-

ขอให้นึกถึงสิ่งหนึ่งไว้ว่า “เราจะไม่เป็นไร” สิ่งที่เราเป็นไปนั้นเป็น “เรื่องธรรมดา”
เรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นกับทุกคนได้ ไม่เว้นแม้แต่ตัวเรา
และเมื่อถึงในวันที่ใจอ่อนล้า หมดเรี่ยวแรง สักแค่ไหน ขอเพียงอย่าเพิ่งหมด “กำลังใจ”
ทำใจให้ดีแล้วพยายามสร้างพลังใจขึ้นมาใหม่ ต่อสู้และแก้ปัญหา ต่อไปอย่าได้ท้อถอย แล้วค่อยๆเดินก้าวไปข้างหน้า

ก้าวช้า ช้าอย่างสุขุมและรอบคอบกว่าเดิม ถือเสียว่าสิ่งที่ผ่านมา เป็นประสบการณ์ชีวิต สอนให้เรารู้จักคิด รู้จักใช้ปัญญา

อย่า ให้ปัญหามาบั่นทอนจิตใจ ต้องคิดให้ได้ว่าชีวิตต้องดำเนินไป
ถึงจะยากเย็นเพียงไรก็ต้อง “อดทน” ไว้อย่าได้ยอมแพ้และ
ขอให้อย่าลืมคำ คำนี้ไว้ว่า “เราจะไม่เป็นไร”

สักวันทุกอย่างที่เป็นมา มันก็จะผ่านไป
 แล้วชีวิตก็จะพบกับสิ่งใหม่ๆอีกครั้ง ความสุขก็ยังรอเราอยู่เช่นเดิม

อย่าลืมว่า การจะอยู่อย่างมีความสุขนั้น มันเริ่มจากที่จิตใจ ของเราเอง
 

--

28  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สามัคคี กับ การฝึกฝนย่อมนำซึ่งความสำเร็จ เมื่อ: กันยายน 15, 2010, 08:17:13 am
เป็นวีดีโอ ที่ทหารโชว์ ถอด ประกอบ รถจิ๊บ ภาย 4 นาที
เอาใจช่วยด้วย
29  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โอวาท 10 สอนใจ หญิงแต่งงาน เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 08:39:54 am
เป็นโอวาท 10 ประการที่ ธนัญชัยเศรษฐี ได้กล่าวกะนางวิสาขา



คราออกเรือน ( แต่งงาน )

  โอวาท 10 ประการนั้นมีดังนี้
  1) ไฟในไม่ควรนำออก
  2) ไฟนอกไม่ควรนำเข้า
  3) ควรให้แก่ผู้ให้
  4) ไม่ควรให้แก่ผู้ไม่ให้
  5) ควรให้แก่ผู้ให้บ้างแก่ผู้ไม่ให้บ้าง
  6) ควรนั่งให้เป็นสุข
  7) ควรบริโภคให้เป็นสุข
  8) ควรนอกให้เป็นสุข
  9) ควรบูชาไฟ
 10) ควรนอบน้อมเทวดาภายใน
30  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เบญจกัลยาณี เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 08:34:24 am
หญิงเบญจกัลยาณี คือ หญิงที่มีความงาม 5 ประการคือ
           
     1.ผมงาม คือ ผมดำสลวยเป็นเงางาม
                       
           2.เนื้องาม คือ ริมฝีปากงาม
                       
                  3.กระดูกงาม คือ ฟันขาวงามเป็นระเบียบ
                       
                           4.ผิวงาม คือ ผิวเกลี้ยงเกลางามไม่มีไฝฝ้า
                                   
                                      5.วัยงาม คือมีความงามเหมาะสมกับวัยของตน



 
31  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ของนางวิสาขา เป็นอย่างไรครับ เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 08:20:58 am
มะยม ได้ไปอ่านเรื่องการถวายจีวร เข้าแล้วก็พบกับคำว่า

มหาลดาปสาธน์

หญิงถวายจีวรย่อมได้เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์




นอก จากอานิสงส์ ๕ ประการ ดังกล่าวในตอนที่แล้ว ในอรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เรื่องนางวิสาขา ยังได้แสดงว่า หญิงที่ถวายจีวรย่อมได้รับผลสูงสุดคือ เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์

เช่น นางวิสาขาได้ถวายจีวรสาฏกแก่ภิกษุ ๒ หมื่นรูป ในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะผลแห่งจีวรทานนั้น นางจึงได้เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ก็จีวรทานของหญิงทั้งหลายย่อมถึงที่สุด(อานิสงส์สูงสุดที่จะพึงได้รับ)ด้วย เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์

สำหรับ จีวรทานของบุรุษทั้งหลาย  ย่อมสำเร็จด้วยบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ซึ่งบาตรและจีวรอันสำเร็จของฤทธิ์นี้ มิใช่เป็นฤทธิ์ที่เกิดจากการเนรมิตรของผู้มีฤทธิ์ แต่หมายถึงบาตรและจีวรที่เกิดขึ้นโดยเป็นผลทานจากการที่ตนได้เคยถวายจีวรไว้ ในอดีตชาติ

ดัง เช่นที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ มีกุลบุตรผู้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์แล้วบรรลุธรรม มีความประสงค์จะขอบวช พระพุทธองค์ก็จะตรวจดูว่า ผู้นั้นเคยถวายจีวรเป็นทานหรือไม่? ถ้าเคยถวายจีวรเป็นทาน จีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ก็จะเกิดขึ้น พระพุทธองค์ก็จะทรงอนุญาตให้บวช โดยกล่าวใจความเป็นสังเขปว่า "ธรรมอันเราตรัสไว้ดีแล้ว เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด" แล้วทรงยื่นพระหัตถ์ออกไป บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ก็จะเกิดขึ้น การบวชเช่นนี้ เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" ดังเช่นที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้แก่พระองคุลีมาล เป็นต้น

แต่ ถ้าผู้ใดไม่เคยถวามจีวรเป็นทาน พระพุทธองค์ก็จะให้ไปหาบาตรและจีวรมาก่อนแล้วจึงจะบวชให้ ดังเช่นพระพาหิยะทารุจีริยะเถระ ได้ฟังธรรมแล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์(พระพุทธองค์ทรงแต่งตั้งให้เป็นเอตทัคคะ ทางด้านตรัสรู้เร็วที่สุด)จึงขอบวช แต่ท่านไม่เคยถวายจีวรเป็นทาน บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์จึงไม่เกิดขึ้น พระพุทธองค์ได้ให้ท่านไปหาบาตรและจีวรมาเอง ในขณะที่พระพาหิยะกำลังไปคุ้ยหาเศษผ้าจากกองขยะอยู่นั่นเอง โคแม่ลูกอ่อนได้วิ่งมาขวิดท่านจนถึงแก่ความตาย ท่านจึงมิได้บวช

ฉะนั้น กุลบุตรผู้ใดปรารถนาจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ในพุทธกาลข้างหน้า(เช่นสมัยพระศริอาริย์ เป็นต้น) ก็จงถวายจีวรเป็นทานเสียแต่บัดนี้

อัน ว่าทานนั้น บัณฑิตทั้งหลาย มีพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ เป็นต้น ผู้แสวงหาอยู่ซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณอันยิ่งใหญ่ ทรงขวนขวายเป็นยิ่งนัก ที่จะบำเพ็ญให้เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรก ในการสั่งสมบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ชื่อว่าทานที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายไม่เคยให้ ไม่ว่าจะเป็นทานชนิดใดๆนั้น ไม่มีเลย ท่านให้ทานมาแล้วทุกชนิด ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งสัพพัญุตญาณอันยิ่งใหญ่

ฉะนั้น ท่านสาธุชนทั้ง ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญา มองเห็นภัยในสังสารวัฏ พึงบำเพ็ญทาน เพื่อสั่งสมไว้เป็นบารมี นำตนให้พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ โดยทั่วกันทุกท่านเทอญ


หน้า: [1]