ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - รักหนอ
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 9
121  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แบทแมน (batman) เมืองไทย เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 08:16:36 am




ซุปเปอร์ฮีโร่ 2553
122  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระอุบาลีเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงพระวินัย เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 08:10:27 am


พระอุบาลีเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงพระวินัย

 

ท่านได้ออกบวชพร้อมกับเจ้าราชกุมารทั้ง 6 คือ พระเจ้าภัททิยะศากยะราชา, เจ้าชายอนุรุทธะ, เจ้าชายอานันทะ, เจ้าชายอนุรุทธะ, เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายเทวทัตต์ รวมเป็น 7 ออกบวช ณ อนุปิยอัมพวัน ในอนุปิยนิคม แคว้นมัลละ โดยในวันผนวชนั้น เจ้าชายทั้ง 6 ได้ตกลงกันให้นายอุบาลีผู้เป็นช่างภูษามาลาออกบวชก่อนตน เพื่อจะได้ทำความเคารพเป็นการลดทิฐิและมานะแห่งความเป็นเชื้อสายกษัตริย์ของ ตนลง โดยทั้งหมดได้อุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า เมื่ออกบวชได้ไม่นานท่านก็ได้บรรลุอรหันต์

 

ท่านเป็นผู้ทรงจำพระวินัยอย่างแม่นยำ และเคยได้รับพุทธานุญาตให้วินิจฉัยอธิกรณ์ 3 คดี คือ ภารตัจฉวัตถุ, อัชชุกวัตถุ และกุมารกัสสปวัตถุ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทาง ผู้ทรงพระวินัย และหลังพุทธปรินิพพานท่านได้เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการรักษาพระวินัย เพราะท่านได้รับหน้าที่เป็น 1 ใน 3 พระมหาเถระผู้วิสัชชนาพระธรรมวินัยในครามปฐมสังคายนาที่ถ้ำสัตบรรณคูหา เมืองราชคฤห์

ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไม่ระบุว่าท่านดับขันธปรินิพพานที่ใด แต่ท่านคงดำรงขันธ์อยู่พอสมควรแก่กาลจึงปรินิพพานหลังพุทธปรินิพพาน

 

พระอุบาลีเถระ เดิมเป็นบุตรายช่างกัลบกในกรุงกบิลพัสดุ์ ต่อมาได้เข้าเป็นนายช่างภูษามาลาประจำพระราชวังกรุงกบิลพัสดุ์
123  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักวิจัยพุทธ22ชาติเชิดชู 'ในหลวง'-ทรงอุปถัมภ์ศึกษาบาลี เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 08:07:18 am
นักวิจัยพุทธ22ชาติเชิดชู 'ในหลวง'-ทรงอุปถัมภ์ศึกษาบาลี



พระ ธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนคร ศรีอยุธยา ได้มีการสัมมนาผลงาน วิจัยนานาชาติ ครั้งที่ 3 หัวข้อ "พระพุทธศาสนา : ความรู้ จริงและคุณภาพชีวิต (Buddhism : Truthful Knowledge and Quality of Life The 3 International Buddhist Research Seminar)" ซึ่งเป็นการสัมมนาระดับนานาชาติด้วยภาษาบาลีเวทีแรกของโลก โดยมีนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญทางพระพุทธศาสนาและภาษาบาลีทั้งฝ่ายเถรวาท มหายานและวัชรยานจาก 22 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม อาทิ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ฮังการี ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยูกันดา อินเดีย ศรีลังกา พม่า เป็นต้น

ทั้งนี้ พระพุทธศาสนาความรู้จริงและคุณภาพชีวิต คือ การนำเอาหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดความรู้ที่มี ประโยชน์ ต่อชีวิตและสังคม ที่สำคัญต้องค้นหาความจริงว่าพระพุทธศาสนาคือศาสตร์ที่พิสูจน์ได้เหมือนกับ วิทยาศาสตร์ สิ่งที่นักวิจัยต้องหาคำตอบร่วมกันคือการขจัดความแตกต่างทางความคิด เช่น พุทธฝ่ายเถรวาท ถือวันเพ็ญเดือนหก เป็นวันวิสาขบูชา ขณะที่ฝ่ายมหายาน ถือวันที่ 8 เม.ย.ของทุกปี เป็นต้น ระหว่างการสัมมนา นักวิจัยส่วนใหญ่แสดงความเป็นห่วงว่า การสื่อสารภาษาบาลีของชาวพุทธกำลังถูกท้าทายจากวัฒนธรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของภาษาลดลง ขณะเดียวกันการสื่อสารด้วยภาษาบาลีระหว่างชาวพุทธลดน้อยลง มีแต่การใช้ภาษาบาลีในการสวดมนต์เท่านั้น

ดังนั้น จึงเสนอให้คณะสงฆ์จากประเทศไทย ศรีลังกา และพม่า ร่วมกันทำวิจัย จะหาวิธีการใดให้มีการใช้การสื่อสารภาษาบาลีในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น ที่สำคัญต้องให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางสังคม โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อให้เกิดการนำเอาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ไปเผยแผ่ให้กับชาวโลก

ด้าน พระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ในฐานะ ผอ.สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาจุฬาฯ ประธานจัดงาน กล่าวว่า ที่ประชุมได้ยกย่องประเทศไทยว่ามีความเข้มแข็งในการใช้และรักษาภาษาบาลี อย่างถูกต้องตามพุทธพจน์มากที่สุดในโลก และยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม ปกครองบ้านเมืองด้วยหลักธรรมะ ทั้งทรงให้การอุปถัมภ์และสนับสนุนการศึกษาภาษาบาลีอย่างเข้มแข็งทุกด้าน โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนเล่าเรียนหลวงที่ให้ทุนสนับสนุนพระภิกษุสามเณรที่ ศึกษาภาษาบาลี เป็นการให้กำลังใจการศึกษาคณะสงฆ์ ที่สำคัญทรงปฏิบัติกรรมฐานด้วยพระองค์เองตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ขณะที่ประชาชนในประเทศให้ความศรัทธาและสนับสนุนในทุกด้าน นอกจากนี้ คณะสงฆ์ไทยยังมีสำนักงานแม่กองบาลีสนามหลวง ทำหน้าที่จัดการเรียนการสอนและการสอบภาษาบาลีอย่างเข้มแข็งด้วย
124  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปลุกกระโปรงยาว สืบประเพณีสาวบัญชีธัญบุรี สนับสนุนคะ เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 08:03:34 am



แฟชั่น ชุดนักศึกษาที่นิยมหันมาลดขนาดเล็กลงกันจนน่าใจหาย กลายเป็นเสื้อรัดติ้ว กระโปรงสั้นเต่อ ก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเอง ทั้งการเสี่ยงถูกฉุด ถูกกระทำมิดีมิร้าย ซึ่งเป็นภัยสังคมที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วประเทศ ขณะที่สังคมไทยยึดถือเรื่องวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามสืบทอดกันมายาวนาน การแต่งกายนักศึกษาที่ถูกระเบียบ จึงควรได้รับการรักษาให้คงไว้

เช่น เดียวกับประเพณีการรับน้องของสาขาวิชาการเงินและบัญชี คณะบริหาร ธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ที่ได้ตั้งกฎการแต่งกายชุดนักศึกษาของน้องปี 1 ไว้

'ณะ'นายชัย ชนะ โสภา นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาการเงิน ประธานรุ่นการเงิน และ 'แมน'นายปรัชญา ใจเร็ว นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาการบัญชี ประธานรุ่นบัญชี ทั้งสองบอกว่า การแต่งกายของน้องปี 1 เป็นอีกกิจกรรมที่สืบทอดกันมาจากรุ่นพี่ โดยผู้หญิงจะต้องใส่เสื้อที่พอดี ไม่ฟิตหรือว่าหลวมเกินไป กระโปรงพลีตสีดำยาวคลุมตาตุ่ม สาขาวิชาการเงินจะใส่รองเท้าผ้าใบสีขาว แต่สาขาวิชาบัญชีจะใส่คัตชู ส่วนผู้ชาย ใส่เสื้อแขนยาว ผูกเนกไท กางเกงสแล็กส์สีดำ รองเท้าหนังสีดำ

1.น้องจ๋อมแจ๋ม

2.น้องมุก

3.น้องกิ่ง



เนื่อง จากน้องๆ ปี 1 ต้องมีกิจกรรม เช่น การซ้อมเชียร์ กระโปรงยาวลุกนั่งได้สะดวกสำหรับน้องผู้หญิง ดูเรียบร้อย เป็นเอกลักษณ์เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าไม่มีประเพณีดังกล่าว บางคนอาจจะใส่สั้นหรือว่ายาว ทำให้ไม่น่ามอง นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกการแต่งกาย ปลูกฝังความมีวินัย "เริ่มสร้างวินัยที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น ในอนาคตจะได้ติดเป็นนิสัย"

'น้อง จ๋อมแจ๋ม'น.ส.ตรีชฎา พินิจมนตรี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาบัญชี บอกว่า ส่วนตัวชอบใส่กระโปรงยาว หากขึ้นชั้นปีที่ 2 ก็จะใส่กระโปรงพลีตยาว เพราะเรียบร้อยสามารถไปได้ทุกสถานที่ คนอาจมองว่าแปลก แต่ในทางกลับกันคนที่ใส่กระโปรงสั้น เราก็มองว่าแปลก

'น้อง มุก'น.ส.นฤมล วงษ์ชัยชนะ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาบัญชี บอกว่า พ่อแม่ชมว่าแต่งตัวเรียบร้อย ค่านิยม คือ ปัญหาของวัยรุ่นที่กลัวว่าจะไม่เหมือนกับคนอื่น เป็นนักศึกษาปี 1 ระเบียบของ มหาวิทยาลัยสำคัญที่สุด เราแต่งกายตามที่ชอบได้ แต่ในความชอบต้องอยู่ในขอบเขตความถูกต้อง

'น้องส้ม'น.ส. พิมพ์พร คงคะรัศมี บอกว่า ชุดนักศึกษากลายเป็นแฟชั่นที่ไม่สามารถแยกออกจากกัน แตกต่างกับสมัยก่อนๆ ซึ่งนำเอาแฟชั่นเข้ามาในการดึงดูดความสนใจ ภูมิใจที่ได้แต่งกายเรียบร้อยตามกฎและประเพณีที่สืบทอดกันมานาน เข้ามหาวิทยาลัยมีหน้าที่คือการเรียน ต้องตั้งใจเรียนทำหน้าที่ให้ดีที่สุด "สวย หรือดึงดูดความสนใจได้ แต่ไม่ต้องตามกระแสแฟชั่นก็ได้"

'น้อง กิ่ง'น.ส. จุฬารัตน์ รินทร บอกว่า ทำให้บุคลิกดี น่ารัก คิดว่าเป็นกิจกรรมรับน้องวิธีหนึ่งที่ดี เวลาที่เดินไปไหนมาไหนก็มีคนถามว่ามาจากสาขาวิชาไหน จากจุดสนใจเล็กๆ ไม่ต้องโชว์ ก็สามารถเรียกร้องความสนใจได้ เรียบร้อย เหมาะกับวัย กระแสแฟชั่น เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ดังนั้น การอยู่กึ่งกลางระหว่างความทันสมัยและความล้าหลังดีที่สุด

ถือเป็นวิธีการรับน้องที่ควรสนับสนุนอีกกิจกรรมหนึ่ง สะท้อนว่าการอยู่ในวัยเรียน การแต่งกายถูกกฎระเบียบก็กลายเป็นเทรนด์ได้เหมือนกัน

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFpIVXdOREUwTURFMU5BPT0=&sectionid=TURNeE5RPT0=&day=TWpBeE1TMHdNUzB4TkE9PQ==
125  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พ่อแม่รังแกฉัน เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 09:24:13 am
พ่อแม่รังแกฉัน

 

เมื่อชัยอายุ 6 ขวบ ขณะที่นั่งรถไปกับพ่อ ถูกตำรวจจับเพราะขับรถเร็วเกินกำหนด พ่อแอบยื่นเงิน 500 บาทให้ตำรวจ และได้รับอนุญาตปล่อยตัวไป พ่อหันมาพูดกับชัยว่า
       
      ?ไม่เป็นไรลูก...
       เงินแค่นี้ซื้อเวลา ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
       
       เมื่อชัยอายุ 8 ขวบ ป้าพาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเงิน 75 บาท เมื่อป้าไปชำระเงิน ยื่นธนบัตรร้อยบาทให้พนักงาน ได้รับเงินทอน 55 บาท เพราะลูกค้ามากและเข้าใจว่าธนบัตร 50 บาท คือ 20 บาท ป้ารับเงินทอนและใส่กระเป๋าทันที แทนที่จะบอกพนักงานว่าทอนเงินผิด เมื่อออกจากร้านป้าก็พูดกับชัยว่า
       
        ?ไม่เป็นไรหลาน...
       ความผิดของเขาเอง ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
       
       เมื่อชัยอายุ 9 ขวบ ครูให้การบ้านปลูกต้นหอมแดงในกระบะ 2 สัปดาห์ แล้วนำไปส่งที่โรงเรียน แม่ลืมซื้อหัวหอมแดงมาให้ชัย เมื่อครบกำหนดวันส่ง แม่ให้พ่อไปซื้อต้นหอมแดงที่ตลาด และฝังลงในกระบะให้ชัยนำไปส่งครู แล้วพูดว่า
       
        ?ไม่เป็นไรลูก...
       ครูไม่รู้หรอก มีส่งก็ดีแล้ว ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
       
       เมื่อชัยอายุ 12 ขวบ ชัยทำแว่นตาใหม่ราคาแพงของลุงแตก
       ลุงจึงนำใบเสร็จไปอ้างกับบริษัทเครดิตที่ลุงใช้บริการอยู่ว่าแว่นตาถูกขโมย ได้รับเงินชดใช้มา 15,000 บาท เต็มราคาที่ซื้อมา
       ลุงพูดกับชัยอย่างภาคภูมิใจว่า
       
        ?ไม่เป็นไรหรอกหลาน...
       สิทธ์ของเรา ใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ?
       

        เมื่อชัยอายุ 15 ปี ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน ครูฝึกได้สอนวิธีกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บโดยไม่ผิดถือว่าอยู่ในเกม
       ครูฝึกบอกว่า
       
        ?ไม่เป็นไรหรอก...
       ได้เปรียบไว้ก่อนเป็นดี ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
 
       เมื่อชัยอายุ 16 ปี ได้ไปทำงานระหว่างปิดเทอมที่แผนกซูปเปอร์มาร์เก็ต ของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อแห่งหนึ่ง หัวหน้าแผนกให้ชัยจัดกระเช้าผลไม้ โดยแนะนำให้จัดวางผลไม่สวยจวนจะเน่าอยู่ก้นตะกร้า คัดผลสวย ใบโตสีสด จัดวางอยู่ส่วนบน หัวหน้าแผนกสอนว่า
       
        ?ไม่เป็นไรหรอก...
       ผู้ซื้อไม่ได้ใช้เองแต่นำไปฝากคนอื่น ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
       
       เมื่อชัยอายุ 18 ปี ได้สมัครสอบเพื่อเข้าขอรับทุนของมหาวิทยาลัย ปรากฏผลทราบเป็นการภายในว่ามาเป็นอันดับ 2 เมื่อพ่อรู้เข้าจึงไปพูดกับกรรมการซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในที่สุดชัยก็ได้รับทุน พ่อพูดกับชัยว่า
       
        ?ไม่เป็นไรลูก...
       เป็นโอกาสของเรา ใครใครถ้ามีโอกาส เขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
       
       เมื่อชัยอายุ 19 ปี เพื่อนเอาข้อสอบปลายปีที่ขโมยมาขายกับชัยเป็นเงิน 1,500 บาท ชัยลังเลใจและตัดสินใจซื้อในที่สุด เพราะเพื่อนพูดว่า
       
        ?ไม่เป็นไรหรอกชัย...
       เกรดมีผลกับอนาคตนะ ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
       
       เมื่อชัยอายุ 24 ปี ชัยถูกจับข้อหายักยอกเงินบริษัท 700,000 บาท และต้องติดคุก พ่อกับแม่ไปเยี่ยมและตัดพ้อต่อว่า
       
        ?ทำไมลูกทำอย่างนี้กับพ่อแม่
       ที่บ้านเราไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนขี้โกงเลยนะ?
       
       แต่แท้ที่จริงแล้ว พ่อแม่และบรรดาคนรอบข้างชัยไม่เคยรู้เลยว่า เขานั่นแหละที่สอนให้ชัยเป็นคนโกงโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ที่กลายเป็น "พ่อแม่รังแกฉัน" เสียเอง
       
        ขอขอบคุณข้อมูลจาก มีธรรมหนึ่ง ดอท คอม
 

ที่มา siamsouth.com
126  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศิลปะ ในการชนะทุกข์ เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 09:21:22 am
 
ศิลปะ คือ..ความงดงาม..
ที่บังเกิดจากจิตนาการ..อารมณ์..และความรู้สึก..

ภาพแห่งความทุกข์..
คือ..สิ่งที่ปรากฏขึ้นในจิตใจของเรา..
…ที่ทำให้จิตใจหวั่นไหว..
…สร้างความเจ็บปวดทางอารมณ์และความรู้สึก..
…ที่มีผลกระทบต่อจิตใจของเรา..

การที่เราจะเอาชนะความทุกข์ได้นั้น..
เราจะต้องรู้วิธีในการดับทุกข์ก่อน..
และต้องรู้ก่อนว่า..
…ความทุกข์มันเกิดขึ้นที่ไหน..???
…มันเกิดที่กาย..
…หรือเกิดที่ใจ..

ความทุกข์..
ที่เราบัญญัติกันขึ้นมา..
มันเป็นความทุกข์จอมปลอม..
…ที่คอยหลอกล่อเราหรือเปล่า..
…หรือมันเป็นความทุกข์..
…ที่เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับตัวเรา..ตั้งแต่เกิด..

ธรรมชาติของความทุกข์..
ก็มีการเปลี่ยนแปลงทุก ๆ ขณะ..
มีการเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และเสื่อมไป..

ไม่มีความทุกข์ใด ๆ..
จะให้ผล..คือ..ความทุกข์..แก่เราได้
ตลอดปี..ตลอดชาติ..
…เพราะความทุกข์ของวันใด..
…ก็มากพอสำหรับวันนั้น..คืนนั้นแล้ว..

ความทุกข์ของวันใด..ก็ให้มันจบในวันนั้น..
…อย่ายึดถือ..แบกห้ามมันไว้..
…ทำร้ายจิตใจของเรา..ให้หนักหนา..สาหัสไปเลย..

ที่เราเป็นทุกข์...อยู่ขณะนี้..
เพราะเราไม่รู้จักที่จะเรียนรู้..วิธีการปล่อยวาง..
…รู้ว่าทุกข์..มันหนัก..
…แล้วไย..เราต้องเอาใจไปแบกมันไว้ทำไม ???

ทำไม..ไม่ทำใจให้ว่าง ๆ..
แล้วปล่อยวางมัน..โยนมันทิ้งเสียบ้างละ ???

บทความ...โดย..ชายน้อย..
127  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความจริงแห่ง สังขาร นะคะ เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 09:18:08 am



นี่แหละความจริงแห่งสังขาร
เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด
เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย
ไม่ใช่ตัวตนของเราที่แท้จริง

สังขารคือร่างกาย และ จิตใจ คือ รูปธรรม นามธรรม ทั้งหมด ทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง
เกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตาย ไป เป็นธรรมดา


128  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ทุกครั้งที่ชวนเพื่อน เรียนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 09:11:31 am
ทุกครั้งที่ชวนเพื่อน เรียนกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

  ก็มักจะถูกปฏิเสธ ว่า อย่ามัวติดสมาธิ ให้ปฏิบัติตาม คำสอนของพระพุทธเจ้า คือการเจริญสติปัฏฐาน ดีกว่า

 สิ่งที่ รักหนอ ประสพในวัดที่ กทม. ก็มักจะเป็นอย่างนี้ประจำที่ชักชวนเพื่อนไปขึ้นกรรมฐาน ที่วัดราชสิทธาราม

 ปัญหา ที่แท้จริงคือถูกปฏิเสธก่อนเลยว่าเป็นกรรมฐาน แนวใหม่ นอกพระไตรปิฏก คนจะคิดอย่างนี้ก่อนเป็นอันดับ

 แรก ถึงแม้เราจะเล่าข้อมูลให้ฟัง ก็ยังยืนยัน เรื่อง สติปัฏฐาน เหมือนเดิม ก็อาจจะนับเป็นเรื่องที่ดี เพราะเพื่อนที่

ยืนยันอย่างนี้มาก็ภาวนา สติปัฏฐาน มาเกือน 10 ปีแล้ว

 :25: :25: :25:
129  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / การฝึกสมาธิ ทำให้ติดสุข เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 09:07:14 am
วันหนึ่ง รักหนอเข้าไปปฏิบัติธรรมที่วัด

  และรักหนอ จะชอบทำสมาธิ และจะปฏิบัติตาม กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

  ทุกครั้งหลังทำวัตรเช้า และ ทำวัตรเย็น กับพระคุณเจ้าที่วัด

  ก็สังเกต พระคุณเจ้าที่เป็นประธานการสอนอบรมธรรมประจำวัด ท่านได้นั่งกรรมฐาน สมาธิ บ้างหรือป่าว

  สังเกตท่านแล้ว ก็เห็นว่าทุกครั้งที่ท่านนั่งกรรมฐาน ท่านก็จะนั่งสัปปะหงก โงกง่วง เป็นประจำ


วันหนึ่งในขณะที่รักหนอ นั่งกรรมฐาน วันนั้นก็ขอนั่งกรรมฐานต่อ ไม่อยากไปสนทนากับพวกคุณยาย พี่ ๆ ทั้งหลายที่มาร่วมปฏิบัติ ในวัดก็เลยนั่งกรรมฐานต่ออีก 2 ชั่วโมง

  พอออกจากสถานที่เป็น วิหารออกมา พระที่เป็นประธานการสอนธรรมท่านก็เรียกเข้าไปพูดว่า

 " โยมนั่งสมาธิ นาน ๆ ระวังติดสุข นะ

  การปฏิบัติธรรม ต้องเจริญสติ ตามแนวสติปัฏฐาน การนั่งสมาธิ ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติภาวนา

  อีกอย่างควรปฏิบัติตัวให้เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่มุ่งนั่งสมาธิ จนลืมโลก ลืมเพื่อน นะ "

 รักหนอ ก็รับคำท่าน ไว้ 

   คะ

  แต่ก็อดแปลกใจไ่ม่ได้ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราทำแต่ สมาธิ ในเมื่อ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

 มีวิปัสสนา อยู่ในตัว แต่ก็ไม่ได้ ต่อความยาว สาวความยืดกับพระคุณเจ้า


  เพื่อน ๆ สมาชิก มีความเห็นอย่างไรบ้างคะ

  :25:
130  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เมื่อเพื่อนบอกว่า "อย่าไปหลงกับการทำสมาธิ" เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 08:57:07 am
วันหนึ่ง ได้สนทนากับเพื่อนที่นับถือกันท่านหนึ่ง แล้วได้พูดถึงเรื่องสมาธิ

 ร.( รักหนอ )  พี่ไม่ฝึกสมาธิ บ้างหรือคะ

 พ ( เพื่อน )   ไม่

 ร.  ทำไมคะ

 พ  พี่ไปหลงฝึกทำสมาธิ มาตั้ง 20 ปีแล้วไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรเลย

 ร. ทำไมไม่ได้ประโยชน์ อะไรคะ

 พ มันดับกิเลสไม่ได้ และไม่ได้เป็นทางแห่งพระนิพพาน

 ร. อย่างนั้นควรทำอย่างไร คะ

 พ  เจริญสติ ดูการเคลื่อนไหว ฝึกอิริยาบถ กำหนดรู้ด้วยใจ รู้ทัน และ วาง

 ร. ต้องอาศัยสมาธิ ด้วยหรือป่าวคะ

 พ. ไม่จำเป็นต้องมีสมาธิ มีสติ ระลึกรู้ มีสติตามเห็น รู้เห็น และ ปล่อยวาง จำไว้นะ

     อีกอย่างอย่าไปหลงมัวงม อยู่ในเรื่องสมาธิ อันนั้นดับกิเลสไม่ได้จริง นะ

 ร.  คะ

 ----------------------------------------------------------

เพื่อน  ๆ มีความเห็นว่าอย่างไรคะ
131  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่อยากให้สนใจคะ เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 10:02:31 am
   
   "ดิน"    หมายถึง ชมโครงการที่จะพัฒนาดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ ให้เหมาะแก่การเกษตรกรรม (หญ้าแฝก)
   "น้ำ"    หมายถึง โครงการชลประทานต่างๆ                                                                               
   "ลม"
   หมายถึง คำสั่งสอนของในหลวง ที่ช่วยเตือนใจให้พสกนิกรได้น้อมนำเอาคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน
ไปปฏิบัติใช้ เพื่อให้เกิดความสุขในชีวิต อาทิ แนวความคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
   "ไฟ"    หมายถึง การดับไฟ หรือความทุกข์ร้อนของประชาชน เช่นการปลูกลิ้นจี่แทนการปลูกฝิ่นในภาคเหนือ

ติดตามเนื้อหาได้ที่นี่ คะ

http://www.picforourking.org/
132  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / รำลึก'หลวงปู่นาค'องค์ปฐม ชมงานประจำปี-วัดห้วยจระเข้ เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 09:54:12 am
รำลึก'หลวงปู่นาค'องค์ปฐม ชมงานประจำปี-วัดห้วยจระเข้

วัดห้วยจระเข้ ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม

พระ อาจารย์พิทยา ปริญญาโณ เลขา นุการเจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้
ทางวัดกำหนดจัดงานประจำปี 2554 ปิดทองพระพุทธรูปสำคัญ และบำเพ็ญกุศลพระบูรพาจารย์ รำลึกถึงคุณงามความดีของ 3 พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง หลวงปู่นาค หลวงปู่สุข หลวงปู่ล้ง

ระหว่างวันที่ 12-16 ม.ค.2554 รวม 5 วัน 5 คืน

ในแต่ละคืน จัดให้มีการสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตาทุกคืน และยังจัดให้มีมหรสพทุกคืน เฉพาะเวทีการแสดงบนเวทีของเด็กนักเรียน, กิจกรรมนักเรียน, การประกวดเทพบุตรและธิดาทวารวดี, การประกวดเทพธิดาจำแลง





133  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ด.ญ. 11 ขวบรับรางวัลเด็กดี ดูแลยายป่วย เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 09:43:11 am
ด.ญ. 11 ขวบรับรางวัลเด็กดี ดูแลยายป่วย

เผยอยากได้มือถือ โทร.หาพ่อแม่

 เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 54 ก่อนถึงวันเด็ก ผู้สื่อข่าวพิษณุโลก รายงานชีวิตเด็กหญิง 11 ปี คอยดูแลยายที่ล้มป่วยเดินไปไหนไม่ได้ ตลอดเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา  ซึ่งครูบอกกับเด็กว่า จะพาไปรับรางวัลเด็กดียอดเยี่ยม

 

 เด็กหญิงมีชื่อว่า  ด.ญ.สมหญิง หรือน้องหญิง อินทร์แก้ว อยู่บ้านเลขที่  100/21 ม.2 ต.วัดจันทร์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ภายในหมู่บ้านบัวสีเงิน เป็นนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 3 วัดท่ามะปราง อ.เมืองพิษณุโลก คอยเช็ดตัว และป้อนข้าวมื้อเย็นให้กับยายชื่อนางสะอิ้ง  ครีบฟัก อายุ 73 ปี ซึ่งนั่งอยู่บนเตียงลุกเดินไปไหนไม่ได้

 

 ด.ญ.สมหญิง เล่าว่า ทุกวันก่อนจะไปโรงเรียนในตอนเช้าจะดูแลปรนนิบัติ ค่อยทิ้งกระโถน เช็ดตัว ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ หลังจากนั้นป้าจะไปส่งที่โรงเรียน  กระทั่งโรงเรียนเลิกก็จะขี่รถจักรยานยนต์ไปรับกลับบ้าน  พอมาถึงก็จะมาดูแลยายให้เรียบร้อยก่อนเป็นอย่างนี้ประจำทุกวัน  ส่วนวันเสาร์อาทิตย์จะดูแลยายเต็มวัน ไม่ได้ไปเที่ยวไหนกับเพื่อนเลยอย่างดีก็วิ่งเล่นข้างบ้านเท่านั้น

 

 เด็กหญิงกตัญญูกล่าวอีกว่า หลังจากพ่อแม่จากไปนาน ในวันเด็กอยากจะได้มือถือ เพื่อต้องการโทรหาพ่อแม่ เพราะคิดถึงมาก อยากให้พ่อแม่มาอยู่ใกล้ๆ ทุกวัน

 

 ด้านนางเพ็ญ ครีบฟัก อายุ 54 ปี ญาติของด.ญ.สมหญิง กล่าวว่า บ้านหลังนี้อยู่ด้วยกัน 5 คน มีตน สามี ลูกชาย แม่ และ ด.ญ.สมหญิง   ตนทำงานหนักไม่ไหวเพราะมีโรคประจำตัว ต้องคอยดูแลแม่ช่วงกลางวันแทนด.ญ.สมหญิงตอนไปเรียนหนังสือ  แต่ส่วนมาก ด.ญ.สมหญิงจะเป็นคนดูแลยายคนเดียวมานาน 3-4 ปี แล้ว และเวลากลางคืนก็จะนอนกับยาย เพราะด.ญ.สมหญิงจะรักยายมาก เนื่องจากยายเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก


ที่มา

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJNU5EUXhORFl3TUE9PQ==&sectionid=
134  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ปีใหม่ วันนี้ 1 ม.ค.2554 ทำอะไรดีคร้า.... เมื่อ: มกราคม 03, 2011, 08:57:38 am
ประโยคหนึ่งที่ รักหนอ เคยอ่านจากเมลของพระอาจารย์ว่า

   กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ไม่ใช่เป็นกรรมฐาน ที่อยู่ในป่า

  แต่กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เป็นกรรมฐานที่เป็นที่พึ่งของคนที่ใช้ชีวิตเป็น

 คุณธรรมธวัช มีคำคมดีคะ

  “ตุ๊ตาดี จูงศรัทธาตาบอด  ตุ๊

เจ้าไปไม่รอด ศรัทธาตาบอด จูงตุ๊เจ้าตาดี”

   

 :25: :25: :25:
135  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ เมื่อ: มกราคม 03, 2011, 08:45:31 am

ประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ
วัดเขาอ้อ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ยังมีการกล่าวถึงอยู่ในพงศาวดารพัทลุง ดังปรากฏในหนังสือ "พระสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (อาจารย์ทองเฒ่า) อาจารย์ผู้เฒ่าวัดเขาอ้อ" ซึ่งอาจารย์ชุม ไชยคีรี ศิษย์เอกทางไสยเวทคนหนึ่งของสำนักวัดเขาอ้อได้ค้นคว้าและเรียบเรียงขึ้นมา เป็นประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ มีความว่า

"เท่าที่ค้นพบจากพงศาวดาร และจากคำบันทึกของพระ เจ้าของตำรา พระอาจารย์ทุกองค์ในสำนักวัดเขาอ้อมีความรู้ความสามารถในทางไสยศาสตร์ให้แก่ทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นเจ้าเมือง และนักรบมาแต่ครั้งโบราณ เริ่มตั้งแต่สมัยศรีวิชัยตลอดมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระอาจารย์ที่ปรากฏองค์ที่ 1 ชื่อ พระอาจารย์ทอง ในสมัยนั้นทางฟากตะวันตกของทะเลสาบตรงกับวัดพระเกิด ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน ปัจจุบันนี้

ครั้งนั้น ตามพงศาวดารเมืองพัทลุงกล่าวว่า ยังมีตายาย 2 คน ตาชื่อ สามโม ยายชื่อ ยายเพ็ชร์ ตายายมีบุตรหลานบุญธรรมอยู่ 2 คน ผู้ชายชื่อ กุมาร ผู้หญิงชื่อ เลือดขาว นางเลือดขาวกล่าวว่าเป็นอัจริยะมนุษย์ คือ เลือดในตัวนางมีสีขาว ผิวขาวผิดกับมนุษย์ธรรมดาสามัญ

ตาสามโมเป็นนายกองช้าง หน้าที่จับช้าง เลี้ยงช้างถวายพระยากรงทอง ปีละ 1 เชือก

เมื่อบุตรธิดาทั้งสองเจริญวัยพอสมควรแล้ว ตายายจึงนำไปฝากให้พระอาจารย์ทอง วัดเขาอ้อ สอนวิชาความรู้ให้ พบบันทึกในตำราว่าเริ่มนำตัวไปถวายพระอาจารย์ทองเมื่อวันพฤหัสบดี ปีกุน เดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 301 (พ.ศ.1482) จะศึกษาอยู่นานเท่าใดไม่ปรากฏ ทราบแต่ว่าเป็นผู้มีความรู้ทางอยู่ยงคงกระพัน กำบังกายหายตัว และอื่นๆ เป็นอย่างดียิ่ง ต่อมาตายายให้บุตรบุญธรรมทั้งสองแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน พระยากรงทองโปรดให้ไปเป็นเจ้าเมืองชื่อพระกุมารและนางเลือดขาว ตั้งเมืองอยู่ที่บางแก้วฝั่งทะเลสาบตะวันตก ชื่อเมืองตะลุง ได้สร้างวัดและเจดีย์วัดตะเขียน (วัดบางแก้ว ตำบลเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เดี๋ยวนี้)

การที่ให้ชื่อเมืองว่า เมืองตะลุง อาจจะเป็นเพราะว่าเดิมเป็นหลักล่ามช้าง ต่อมาจึงกลายเป็นเมืองพัทลุง พระกุมารและนางเลือดขาวเป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างวัดวาอาราม พระพุทธรูป พระเจดีย์ ในเขตเมืองพัทลุง เมืองนครศรีธรรมราช และเมืองตรัง หลายแห่งด้วยกัน เช่น วัดบางแก้ว วัดสทังใหญ่ เมื่อปีพ.ศ. 1493 สร้างวัดพระพุทธสิหิงค์ จังหวัดตรัง 1 วัด สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ 1 องค์ พอจะจับเค้ามูลได้ว่าวัดเขาอ้อมีมาก่อนเมืองพัทลุง เพราะกุมารมาศึกษาวิชาความรู้ก่อนเป็นเจ้าเมือง"

และยังมีตอนหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องถึงประวัติของหลวงพ่อทวด แห่งวัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี แต่ครั้งยังอยู่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ว่า

"เมื่อจุลศักราช 991 (พ.ศ.2171) พระสามีรามวัดพะโคะ หรือที่เราทราบกันเดี๋ยวนี้ว่า หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ซึ่งประชาชนในสมัยนั้นยกย่องถวายนามว่าสมเด็จเจ้าพะโคะ ท่านได้ไปเรียนพระปริยัติธรรม ณ กรุงศรีอยุธยา เป็นผู้แตกฉานในอรรถธรรม ครั้งนั้นยังมีพราหมณ์เป็นนักปราชญ์มาจากประเทศสิงหล (ลังกา) มาตั้งปริศนาปัญหาธรรมที่แสนยาก พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาโปรดให้พระสามีรามเถระแก้ปัญหาธรรมนั้นๆ จนชนะพราหมณ์ชาวสิงหล จึงพระราชทานยศเป็นพระราชมุนี

เมื่อกลับมาเมืองพัทลุงได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระรัตนมหาธาตุไว้บนเขาพะโคะ สูง 1 เส้น 5 วา มีระเบียงล้อมรอบพระเจดีย์

ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้นฉลองพระเจดีย์นั้น ท่านอาจารย์เฒ่า วัดเขาอ้อ พัทลุง องค์หนึ่งชื่อ สมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งคงจะเป็นชื่อที่ยกย่องเช่นเดียวกับสมเด็จเจ้าพะโคะ นำพุทธบริษัทไปในงานฉลองพระเจดีย์ทางเรือใบ แสดงอภินิหารวิ่งเรือใบเลยขึ้นไปถึงเขาพะโคะ ซึ่งไกลจากทะเลมาก ทำให้ประชาชนที่เห็นอภินิหารเคารพนับถือ และปัจจุบันสถานที่ตรงนั้นเรียกกันว่า "ที่จอดเรือท่านอาจารย์วัดเขาอ้อ"

ต่อมา ท่านสมเด็จเจ้าพะโคะ ให้คนกวนข้าวเหนียวด้วยน้ำตาลโตนด ภาษาภาคใต้เรียกว่า เหนียวกวน ทำเป็นก้อนยาวประมาณ 2 ศอก โตเท่าขา ให้พระนำไปถวายสมเด็จเจ้าจอมทอง วัดเขาอ้อ ครั้นถึงเวลาฉันท่านสมเด็จเจ้าจอมทองสั่งให้แบ่งถวายพระทุกองค์ ศิษย์วัดตลอดถึงพระก็ไม่มีใครที่จะแบ่งได้ เอามีดมาฟันเท่าใดก็ไม่เข้า ทราบถึงสมเด็จเจ้าจอมทอง ท่านสั่งให้เอามาแล้วท่านจึงเอามือลูบ แล้วส่งให้ศิษย์ตัดแบ่งถวายพระอย่างข้าวเหนียวธรรมดา

อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จเจ้าจอมทองให้พระนำแตงโมใบใหญ่ 2 ลูก ไปถวายสมเด็จเจ้าพะโคะ พอถึงเวลาฉันก็ไม่มีใครผ่าออก สมเด็จเจ้าพะโคะทราบเข้าก็หัวเราะชอบใจ พูดขึ้นว่า สหายเราคงแสดงฤทธิ์แก้มือเรา ท่านรับแตงโมแล้วผ่าด้วยมือของท่านเองออกเป็นชิ้นๆ ถวายพระ

การแสดงอภินิหารของพระอาจารย์ครั้งโบราณเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ซึ่งมีมากอาจารย์ด้วยกัน ต่อจากนั้นพระอาจารย์วัดเขาอ้อทุกๆ องค์ ได้แสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ตลอดมา จึงเป็นที่เคารพนับถือของบุคคลทุกชั้น เจ้าเมืองพัทลุงทุกคนต้องไปเรียนวิชาความรู้ที่วัดเขาอ้อ

กล่าวสำหรับเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ เท่าที่สืบค้นพบจนถึงปัจจุบัน มี 11 รูป ด้วยกัน ดังนี้

1. พระอาจารย์ทอง

2. พระอาจารย์สมเด็จเจ้าจอมทอง

3. พระอาจารย์พรมทอง

4. พระอาจารย์ไชยทอง

5. พระอาจารย์ทองจันทร์

6. พระอาจารย์ทองในถ้ำ

7. พระอาจารย์ทองนอกถ้ำ

8. พระอาจารย์สมภารทอง

9. พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต

10. พระอาจารย์ปาล ปาลธฺมโม

11. พระครูอดุลธรรมกิตติ์ (กลั่น อคฺคธมฺโม)

พระอาจารย์วัดเขาอ้อนั้นล้วนต่างมีวิชาความรู้ความสามารถมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งนี้เพราะต่างศึกษาวิชากันมาไม่ขาดระยะ ตำราและวิชาความรู้ที่เป็นหลัก คือ การศึกษาเวทมนตร์คาถาเป็นหลัก เรียนตั้งแต่ธาตุ 4 ธาตุ การตั้งธาตุ หนุนธาตุ แปลงธาตุ และตรวจธาตุ วิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด สอนให้รู้กำเนิดที่มาของเลขยันต์อักขระต่างๆ


ขอบคุณเนื้อหา สามารถตามอ่านได้ที่นี่คะ
http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5327499&Ntype=5
136  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การปฏิบัติธรรม คือ การหนีปัญหา หรือ เผชิญปัญหา เมื่อ: มกราคม 03, 2011, 08:35:02 am
การปฏิบัติธรรม คือ การหนีปัญหา หรือ เผชิญปัญหา

  หลาย ๆ คน พากันปฏิบัติธรรมด้วยการหนี จากปัญหา

  แท้ที่จริง การปฏิบัติธรรม คือการหนีปัญหา หรือ เผชิญปัญหา จ๊ะ

 ถ้าผู้ชายหนีไปบวชพระกันหมด แล้ว ผู้หญิงต้องหนีตามไปบวชเป็นชี หรือป่าวจ๊ะ

 แต่ถ้าเราประกอบ สัมมาอาชีวะ แล้วเจริญธรรมขั้นสูงได้หรือป่าวคะ

 :88: :58: :25:
137  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พิจารณาธรรม น่าจะมาจากบทพระธรรมคุณ ใช่หรือป่าวคะ เมื่อ: มกราคม 03, 2011, 08:31:50 am
บทพระธรรมคุณ

- บาลี
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สนฺทิฏฺฐิโก
อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ
เวทิตพฺโพ วิญฺญูหีติ
- อ่าน
สะหวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฺฐิโก
อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง
เวทิตัพโพ วิญญูหีติ
- แปล
พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้...


- บทพระธรรมคุณ (ทำนองสรภัญญะ)
  ธรรมะคือคุณากร
ดุจดวงประทีปชัชวาล
  แห่งองค์พระศาสดาจารย์
สว่างกระจ่างใจมล
  ธรรมใดนับโดยมรรคผล
และเก้ากับทั้งนฤพาน
  สมญาโลกอุดรพิศดาร
พิสุทธิ์พิเศษสุกใส
  อีกธรรมต้นทางครรไล
ปฏิบัติปฏิยัติเป็นสอง
  คือทางดำเนินดุจคลอง
ยังโลกอุดรโดยตรง
  ข้าฯ ขอโอนอ่อนอุตมงค์
ด้วยจิตและกายวาจาฯ
ส่วนชอบสาคร

ส่องสัตว์สันดาน

เป็นแปดพึงยล

อันลึกโอฬาร

นามขนานขานไข

ให้ล่วงลุปอง

นบธรรมจำนง
   

138  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: สรุปธรรมสัญจร ภาคเหนือ 24 25 26 27 ธ.ค.2553 เมื่อ: มกราคม 03, 2011, 08:29:12 am
อ้างถึง
ไม่อยากจากวัดป่าสันติธรรมกลับมาวุ่นวายกับโลก

อันนี้อาจจะเป็นสาเหตุให้พระที่ภาวนา ไม่ค่อยอยู่ในเมืองกระมังนะคะ

เสียดายว่า ในเมืองขาดพระนำทางปฏิบัติ เพราะเราอาจจะติดภาพของความสงบ จนลืมความสงบด้านใน

อนุโมทนา กับการภาวนากับคุณธรรมธวัชด้วยคะ

จากนี้ไปตั้งใจทำอะไรอีกคะ

 :25: :25: :25:
139  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: อวยพรส่งท้ายปีเก่า 2553 และ ต้อนรับปีใหม่ 2554 กันเถอะคร้า.... เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 08:11:34 am


ได้โอกาสทำมาเพิ่มอีก คะ

140  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ฝึกหายใจ....ให้หายง่วง / ฝึกหายใจ....ให้หายง่วง เมื่อ: ธันวาคม 27, 2010, 10:31:57 pm
 :49:

  จานด่วน ห้องส่งจิตออกนอก patra ย้ายมาให้แล้วนะคะ

   :88:
141  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ไม่อยากให้มีเรื่อง อย่างนี้เกิดขึ้นในสังคมอีก เลยคร้า... เมื่อ: ธันวาคม 27, 2010, 10:30:37 pm
เห็นด้วยคะ อยากให้ทุกคนนำธรรมะ มาเป็นเครื่องแก้ปัญหา

ไม่อยากใหแ้ก้ปัญหา ด้วยการฆ่าตัวตาย คะ

ชีวิตยังมีความหวังในธรรม ต้องใช้โอกาสที่มีอยู่ให้คุ้ม นะคะ

 :88: :58:
142  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: สรุปธรรมสัญจร ภาคเหนือ 24 25 26 27 ธ.ค.2553 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2010, 10:28:34 pm
ไปไม่กี่วัน แต่ไปได้ หลายที แสดงว่าพระอาจารย์ และคณะต้องเหน็ดเหนื่อยกันมากเลยใช่หรือป่าวคะ

กิจกรรมหลักที่ไป ทำอะไรกันบ้างคะ สนใจคะ อยากไปด้วยจัง

ไปกันกี่ท่่านคะ ในรอบนี้ อาหารการทานสะดวกหรือไม่คะ มีค่าใช้จ่ายเปิดเผยได้หรือป่าวคะ

 :25: :58:
143  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: นักเรียนนักเลงยังซ่า ชักปืนยิงขู่อริ ก่อนพลาดเป้ากระสุนเจาะเข้าชายโครงสาวเทคนิค เมื่อ: ธันวาคม 23, 2010, 07:29:57 am
กรรมของคนที่อยู่ในสังคม ต้องรับลูกหลงกันไป เท่าที่ติดตามข่าว

มีหลายคนต้องตาย และพิการ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้รับผิดชอบอะไร

กับชีวิตของคนอื่น ๆ


กรรมใด ใครก่อ กรรมนั้น ต้องรับ
สร้างกรรมดี ได้ผลดี สร้างกรรมไม่ดี ก็ได้ผลไม่ดี
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

 :smiley_confused1:
144  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักเรียนนักเลงยังซ่า ชักปืนยิงขู่อริ ก่อนพลาดเป้ากระสุนเจาะเข้าชายโครงสาวเทคนิค เมื่อ: ธันวาคม 23, 2010, 07:24:14 am
นักเรียนนักเลงยังซ่า ชักปืนยิงขู่อริ ก่อนพลาดเป้ากระสุนเจาะเข้าชายโครงสาวเทคนิคคารถสองแถว

(22 ธ.ค.) สภ.เมืองสมุทรปราการ รับแจ้งเหตุจากโรงพยาบาลสมุทรปราการ ว่ามีนักเรียนหญิงถูกอาวุธปืนยิงมารักษาตัวที่ห้องฉุกเฉิน จึงรุดไปตรวจสอบที่ห้องฉุกเฉินพบแพทย์กำลังให้การรักษา น.ส.ศุภาลักษณ์ สาน้อย อายุ 18 ปี นักเรียนโรงเรียนวิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ ปวส.ปี 1 แผนกบัญชี ถูกอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่ชายโครงด้านซ้าย

จากการสอบสวนนายฐานะธิษณ์ บุญมา อายุ 16 ปี นักเรียนสถาบันเดียวกันให้การว่า ตนพร้อมด้วยเพื่อนนักเรียนอีก 3 คน และคนเจ็บขึ้นรถสองแถวเล็กที่ป้ายรถประจำทางคลองน้ำเน่า ในตลาดปากน้ำ เพื่อเดินทางไปโรงเรียนปกติ หลังจากที่รถออกจากป้ายวิ่งผ่านป้ายรถเมล์หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ ได้เห็นนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยี่กรุงเทพช่างฯ หลายคนยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ดังกล่าวแต่ไม่ได้สนใจ จนกระทั้งรถมาติดไฟแดงตรงสามแยกหอนาฬิกา ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

จนสัญญาณไฟเขียว รถวิ่งออกและกำลังเลี้ยวเข้าถนนสุขุมวิท เพื่อมุ่งหน้าไปบางปู ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด พร้อมเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของ น.ส.ศุภาลักษณ์ ซึ่งมีเลือดไหลออกทางชายโครงด้านซ้าย จึงทราบว่าน.ส.ศุภาลักษณ์ ถูกอาวุธยิง สิ้นเสียงปืนนักเรียนกรุงเทพช่างกลุ่มดังกล่าวได้แยกย้ายวิ่งหลบหนีไป จึงตะโกนบอกให้รถสองแถวคันดังกล่าวรีบพา น.ส.ศุภาลักษณ์ ส่งรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ

นายฐานะธิษณ์ยังกล่าวต่อว่า คาด ผู้ที่ก่อเหตุตั้งใจยิงพวกตน และน่าจะเป็นนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีกรุงเทพ หรือเรียกกันว่ากรุงเทพช่าง ต่อมาตำรวจได้ตั้งด่านสกัดจับกุม และสามารถจับกุมตัวนักเรียนได้ 3 คน พร้อมอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก อาวุธมีด 5 เล่ม ได้ที่อู่รถเมล์สายลวด ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ก่อนควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ

 ที่มา
http://news.sanook.com/990094-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA.html
145  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / ร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี รับศักราชใหม่ด้วยการเจริญสติ เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 06:21:23 am
นับเวลาถอยหลังในวันหยุดยาวระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 53 – 3 ม.ค. 54 เพื่อร่วมเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับศักราชใหม่ หลายคนต่างเตรียมคิดหาสถานที่ร่วมกิจกรรมอันเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต สวนโมกข์ กรุงเทพฯ ซึ่งได้ร่วมกับหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ กรุงเทพมหานคร กระทรวงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และโครงการศูนย์สื่อ ศิลปะ มหรศพเพื่อปัญญา โดยการสนับสนุนของ สสส.จัดงานเทศกาลเจริญสติรับปีใหม่... ชีวิตใหม่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสปีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ ปี ระหว่างวันที่ 16 – 21 ธ.ค. 53
   
ตลอดงานยังมีนิทรรศการแนะนำเส้นทางและ 50 สถานที่ปฏิบัติธรรมทั่วไทย รับปีใหม่...ชีวิตใหม่ , ติดตั้งและสมโภช “ภาพกิจกรรมฝาผนังปริศนาธรรมชุดใหญ่”ของสวนโมกข์กรุงเทพ, แสดงภาพจิตกรรมไทยชุดงอกเงยด้วยธรรม งดงามด้วยศิลป์, เสวนา ดนตรี ละครบันเทิงธรรม จากหลายศิลปิลป์ และหมู่คณะ, การเลือกหาหนังสือธรรมะ จากหลากหลายสำนัก, ทำบุญหนังสือดี สื่อธรรมะแด่น้องน้อย ให้กับห้องสมุดในพื้นที่ประสบภัย
   
รวมทั้งยังมีพระอาจารย์ฝึกสอนและนำเจริญจิตภาวะนาอาทิ พระโสภณ  ฉันทธัมโม จากสวนธรรมะสากล สงขลา , พระศรีญาณโสภณ ปิยโสภณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กทม. , คณะปฏิบัติธรรมวัดแห่งสติกับหมู่บ้านพลังประเทศไทย, พระราชปัญญาวิสารัท (หลวงพ่อเหลือง) วัดกระดึงทอง บุรีรัมย์, พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) สถาบันวิมุตตยาลัย กรุงเทพฯ ฯลฯ   
   
เทศกาลเจริญสติ... รับปีใหม่ ... ชีวิตใหม่ ในช่วง 1 สัปดาห์ที่พุทธสนิกชนจะได้เดินทางเข้ามาปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา ในห้องนิพพานชิมลอง  หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เพื่อเปิดรับรับสิ่งดีๆเติมเต็มความสุขที่แท้จริงให้กับชีวิต และร่วมเจริญจิตภาวนาข้ามปี ณ วัด ศาสนสถาน หรือศูนย์กลางชุมชนทั่วประเทศ ในคืนวันที่ 31 ธ.ค.53 ต่อเช้าวันที่ 1 ม.ค.54             
   
“ท่านพระอาจารย์พุทธทาส ได้กล่าวอวยพรพรว่า ปีใหม่ทั้งทีขอให้มีชีวิตใหม่ อย่าให้อายหัวเผือกหัวมัน เพราะหัวเผือกหัวมันพอข้ามปี หัวมันก็ยังโตขึ้น เราเกิดเป็นมนุษย์ ทั้งทีต้องทำให้ดียิ่งขึ้น สมกับความเป็นมนุษย์ ทุกคืนวันที่ 31 ธ.ค. ท่านจะบอกว่ามาร่วมกันแล้วสวดมนต์ภาวนาให้นึกถึงว่าปีที่ผ่านมาได้ทำอะไร บกพร่องไว้ก็ต้องจะไม่ทำอีก อยากทำอะไรสิ่งดีๆก็ต้องตั้งใจมุ่งมั่น”นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช กรรมการและเลขานุการหอจดหมายเหตุฯกล่าว
   
กฤษศพงษ์  ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวว่า  ด้วยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ กระทรวงวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2554 นี้ถือว่าเป็นปีมหามงคล เพราะต้องการให้ทุกศาสนาได้ประพฤติ ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน ความเชื่อที่เคราพนับถือ เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดมาตั้งแต่อดีตเพื่อให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียม ประเพณีไทย ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ กระทรวงฯจัดทำต้อนรับปีใหม่ด้วยวิธีพุทธ เมื่อเราทำสิ่งใดก็ตาม เราจะนึกถึงสิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต ที่ผ่านมาเรามักจะลืมเลือนสิ่งที่ล้ำค่านี้ไป แต่ไปยึดฉลองปีใหม่กับความเฮฮา ดื่มสุรา ซึ่งล้วนและผิดศิลธรรมทั้งสิ้น
   
กระทรวงฯโดยกรมการพุทธศาสนาต้องการที่จะผลักดันให้วันที่ 31 ธ.ค. นี้ เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ โดยการเจริญภาวนาข้ามปี เพื่อเตือนสติของตนว่าสิ่งที่ทำมาเป็นอย่างไรบ้าง และจะเกิดการแก้ที่จุดไหนต่อไป  สนับสนุนให้เริ่มศักราชใหม่ด้วยการให้ 30 , 000 วัดทั่วประเทศร่วมสวดมนต์ข้ามปีด้วย เพื่อเตือนสติในชีวิตใหม่ นำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราไม่มีหลักธรรมในใจ ความหายนะก็จะตามมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทรวงฯได้กระตุ้นให้เด็ก เยาวชน เห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว   
   
“ส่วนวัดในกรุงเทพมหานคร ได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ ช่วยกันประชาสัมพันธ์ในเทศกาลเจริญสติ... รับปีใหม่ ชีวิตใหม่ เพื่อต้องการให้คนในกรุงเทพฯ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการฝึก ปฏิบัติและร่วมสวดมนต์ข้ามปีเพราะเชื่อว่าบุญกุศลจะช่วยให้ชีวิตเรามีความ เจริญรุ่งเรืองได้”เจตน์ โศภิษฐ์พงศธร โฆษกกรุงเทพมหานครกล่าว
   
ผอ.เยียรยงค์ ไชยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกรุงเทพกล่าว  อีกทั้งยังมีในส่วนของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หลายคนได้โทรศัพท์มาสอบถามกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่า มีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง สถานที่ไหนน่าสนใจ มีโปรแกรมเที่ยวอย่างไร ทุกคำถามล้วนได้ยินแต่เรื่องเที่ยวทั้งนั้น อาจจะเป็นคำถามตามมาว่า จะไปเที่ยวที่ไกลๆให้เหนื่อยทำไม เราหากิจกรรมดีๆทำเพื่อต้อนรับปีใหม่ จะเห็นได้ว่าในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ทุกปี กรุงเทพฯจะกลายเป็นเมืองร้าง หลักจากได้มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีที่ผ่านมาแล้วนั้นยอดของประชากรใน เขตกรุงเทพฯล้วนลดลงครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งเป็นการหมุนเวียนเศรษฐกิจของประเทศ
   
ในปีนี้จึงอยากให้เข้ามาร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ปฏิบัติธรรม และยังได้รับคำอวยพรจากท่านพระอาจารย์พุทธทาสว่า ปีใหม่นี้ขอให้ได้รับสิ่งดีๆที่มนุษย์พึ่งจะได้รับ   
   
ภายในงานนั้นยังมีตัวแทนกลุ่มจิตกรไทยรวม 14 คนที่ร่วมถ่ายทอดเรื่องราว แฝงด้วยหลักธรรมทั้งสิ้น อาทิ ภาพตากับยาย ซึ่งเป็นศิลปะไทย , พระเจ้าสร้างโลก, รามะธิเบตร ลิงล้างหู ฯลฯ ที่ร่วมนำมาจัดแสดงในงานด้วย       
   
ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของหน่วยงานต่างๆแล้วยังมีโอกาศได้รับพรดีๆเพื่อเป็น แนวทางในการดำเนินชีวิต ต้อนรับเทศกาลปีใหม่จากพระอาจารย์มิตซูโอะ  ควาสโก วัดป่าสุนันทวนาราม บ้านท่าเตียน จ.กาญจนบุรี ได้อธิบายว่า ชีวิตของเรานี้เป็นทุกข์ได้เกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่สบายใจล้วนมี ปัจจัยดังต่อไปนี้ ความแก่ เจ็บ และ ตาย ของเรา ญาติพี่น้อง บุคคลรอบข้างซึ่งผลที่ปรากฏในปัจจุบันเรียกว่ากรรมเก่า พ่อ แม่ พี่ น้อง ประเทศชาติ เหตุการณ์ต่างๆล้วนเป็นสิ่งที่ปรารถนา และไม่ปรารถนา โดยเฉพาะมนุษย์มักคิดถึงแต่ความไม่สบายใจ เราไม่ควรหวั่นไหวต่อเรื่องราวต่างๆ ไม่ยินดี ยินร้าย หมายความว่า พระพุทธเจ้าที่มีพรมวิหาร  4 เมตตา กรุณามุทิตา อุเบกขา  ที่ตรัสรู้ ก็ย่อมหนีไม่พ้นสิ่งที่ไม่ปรารถนาได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้เหมือนลมข้างกาย ถ้าเราใช้ชีวิตยอมรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ก็จะเกิดประโยชน์ ให้เข้าใจว่าอดีตล้วนเป็นเช่นนั้นเอง จงทำจิตใจให้อยู่กับปัจจุบันเป็น สันทิฏฐิโก
   
ในความสุขที่แท้จริงแล้วนั้นพุทธศาสนิกชนทั้งหลายล้วนหวังเข้าสู่ นิพพาน เรียกได้ว่าเป็นความสุขที่แท้จริง จึงทำให้เกิดการเจริญภาวนาสติขึ้นอยู่สม่ำเสมอ เมื่อเปรียบเทียบกับความสุขที่ไม่แท้จริง จะหวนนึกคิดจมปักอยู่แต่เรื่องราวในอดีตและอนาคต แม้ว่าจะแสวงหาความสุขเป็นหมื่นเป็นแสนปี ก็จะไม่มีความสุข  เราควรเอาใจใส่ในปัจจุบันให้มากที่สุดยึด อิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เพิ่มการเจริญสติ

สติเรารู้ในลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ไม่ควรที่จะไปยินดี ยินร้าย นั้นหมายถึง อย่านึกคิดและปรุงแต่ง คิดถึงความรู้สึกที่พอใจ และไม่พอใจ ใครจะนินทา สรรเสริญเราต้องทำใจให้สงบ เช่น หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เราจะรับรู้สติด้วยลมหายใจเข้าออกทุกครั้ง สติปัญญาล้วนอยู่เหนืออารมณ์ รู้จักควบคุมความคิด ปล่อยวาง  อารมณ์ที่สงบ
   
อีกวิธีหนึ่งคือการนั่งสมาธินั้นเป็นการสัมผัสประสบการณ์ รัก เมตตา แก่ตนเอง  หากคนไทยรวม 65 ล้านคนมีเมตตาในตนเองก็จะทำให้เราสบายใจ จงอย่าเข้าใจว่ารักตนเองคือการเห็นแก่ตัว เราต้องมีจิตใจที่แน่วแน่มี จิตใจที่สงบ ไม่ยินดียินร้ายต่อเรื่องใดๆ เพราะสมองของมนุษย์เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อเราตั้งใจทำสมาธิเราก็ต้องปิดคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องคำนวณใดๆทั้งสิ้น ดั่งพระพุทธเจ้าท่านได้เปรียบเทียบเอาไว้ จิตของเรานี้อาศัยอยู่ในถ้ำ  คือจิตของเราอยู่ในร่างกายต้องบังคับไม่ให้ออกไปนอกบ้าน คือไม่ให้คิด ไม่ยินดี ยินร้าย เรื่องในอดีต พยายามทำลมหายใจให้เป็น กัลยาณมิตร
   
การทำจิตใจที่จะต้องเจริญอานาปานสติ เปลี่ยนเป็นผู้ที่มีเมตตา มีความรักตัวเอง วันนี้เรามีความรู้สึกรักคนนี้ คนนั้น บางคนก็ได้รับความเสียใจที่ไม่ได้รับความรักที่เราต้องการตอบแทนกลับมาชีวิต ของเราก็จะเป็นทุกข์ เพระพยายามฝากชีวิตไว้กับคนอื่น ลองจินตนาการดูว่า  เมื่อเราต้องการน้ำ แต่มีแต่น้ำแข็งก็ดี ใจที่ได้นำแข็งซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน น้ำแข็งพาความร้อนสัมผัสกับความร้อน น้ำแข็งก็จะละลาย ทุกข์อยู่ที่ไหนต้องเจริญสติ สัมปชัญญะอยู่ที่นั้น แทนที่เราจะส่งจิตออกไปข้างนอกเพื่อโกรธ ทุกข์ใจ ทำให้ไม่สบายใจ

ไม่คิดน้อยใจ ไม่คิดโกรธ ไม่คิดกลัวไม่ขี้เกียจ ไม่ฟุ้งซ่านเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วก็พยายามควบคุมสติโดยการฝึกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก สามารถปล่อยว่างละลายหายไปได้ตัวเราเอง จะพบกับความสุขได้ เพราะธรรมชาติของจิตใจของมนุษย์นั้นมีแต่ความสุขและสงบ

เราต้องยิ้มน้อยๆ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย ทำใจสบายๆ เพื่อต้อนรับปีใหม่และปีต่อ ๆ ไป

ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=660&contentID=110290
146  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จ่อหมายจับ5โจรยิงชุดคุ้มครองพระ เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 06:18:16 am


วานนี้ (20ธ.ค.)  นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (อชต.) โดยใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง จากนั้นนายภาณุ อุทัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะ ผอ.ศอ.บต. เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้ทบทวนแนวทางการทำงานในปี 2553 ที่ผ่านมา และแนวทางที่จะดำเนินการต่อไปในปี 2554 เช่น การให้อำเภอเป็นศูนย์ปฏิบัติการอำเภอในลักษณะเป็นวอร์รูม หรือการขับเคลื่อนพัฒนาหมู่บ้าน 1,371 หมู่บ้าน จากเดิมที่ทำมาแล้ว 696 หมู่บ้าน ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ส่วน พ.ร.บ. ศอ.บต.นั้น คาดว่าจะประกาศใช้ได้ในเดือน ม.ค.2554  เมื่อถามว่าที่ประชุมได้หารือถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ที่อาจเกิด ขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือไม่ นายภาณุ กล่าวว่า ไม่มีการหารือ แต่เรื่องนี้ทางฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่ก็ได้เฝ้าดูแลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ ซึ่งมั่นใจว่าประชาชนจะสามารถใช้ช่วงเวลานี้สร้างบรรยากาศต้อนรับปีใหม่ได้ ส่วนการติดกล้องวงจรปิดเพิ่มนั้น ในวันเดียวกันนี้ (20 ธ.ค.) กระทรวงมหาดไทย ได้ทำสัญญาให้มีการติดตั้งเพิ่มแล้ว โดยใช้วงเงิน 690 ล้านบาท ซึ่งเราพยายามเร่งรัดให้เสร็จโดยเร็วก่อนครบสัญญา 1 ปี

นายภาณุ ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ยิงทหารชุดคุ้มครองพระสงฆ์ว่า ตนจะไปดูเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ขณะนี้เราได้ภาพวงจรปิดทั้งหมดแล้วทุกขั้นตอน ตั้งแต่เข้าเมืองจนถึงตอนก่อเหตุและออกไป เป็นภาพที่ชัดเจนมาก เห็นคนก่อเหตุอย่างชัดเจน ซึ่งเราได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี จนสามารถระบุกลุ่มผู้ก่อเหตุได้แล้ว มีทั้งหมด 5 คน ซึ่งเตรียมที่จะออกหมายจับได้ไม่น่าจะเกินวันพุธที่ 22 ธ.ค.นี้  และคงสามารถคลี่คลายคดีได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้ที่ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดิมที่หนีหมายจับอยู่ทั้ง 5 ราย โดยเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่ในเขต อ.เมือง จ.ยะลา ต่อกับเขต อ.รามัน ซึ่งคาดว่าผู้ต้องหายังคงหลบหนีอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว

ที่มา

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentID=111104
147  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จุฬาฯโต้เป็นไปไม่ได้กรุงเทพฯจมบาดาล เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 06:13:52 am


วานนี้ ( 20 ธ.ค.)นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมรับมือปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นว่า เราเตรียมแผนงาน และเตรียมพร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผ่นดินไหว หรือสึนามิ รวมทั้งได้มีการซ้อมรับมือตลอดเวลากับสถานการณ์ในพื้นที่ที่วิตกว่าอาจจะ เกิดเหตุขึ้น ถามว่ามั่นใจกับทุ่นเตือนภัยที่ปล่อยลงทะเลมากน้อยแค่ไหน นายสุเทพ กล่าวว่า เท่าที่ได้รับรายงานก็ช่วยได้มากในการเตือนให้เราได้รู้ก่อนล่วงหน้า เพื่อที่จะได้มาบอกกับประชาชนในพื้นที่ที่อาจจะมีอันตรายได้ อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งไปกังวลใจอะไร เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ แต่เจ้าหน้าที่ก็ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ถามถึงกรณีที่ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรคนไทยที่ทำงานในองค์การนาซ่า สหรัฐอเมริกา ออกมาเตือนให้ระวังภัยพิบัติครั้งใหญ่ ขณะนี้มีปัจจัยที่จะเกิดเหตุเช่นนั้นหรือไม่  นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่มีสิ่งบอกเหตุอย่างนั้น

ด้านนาวาอากาศเอกสมศักดิ์  ขาวสุวรรณ์ ผอ.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า หลังจากศูนย์เตือนภัยฯปล่อยเรือซีฟเดค ปฏิบัติการติดตั้งทุ่นลอยน้ำลึกตรวจคลื่นสึนามิในทะเลอันดามัน จำนวน 2 ทุ่น เมื่อที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้ห้องปฏิบัติการศูนย์เตือนภัยฯ ได้รับสัญญาณจากทุ่นลอยน้ำลึกตรวจคลื่นสึนามิในทะเลอันดามันทั้ง 2 ทุ่นเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา สำหรับสัญญาณที่ได้รับจากการทำงานของทุ่นทั้ง 2 ทุ่น เป็นสัญญาณที่บอกความลึกของท้องทะเลที่ติดตั้งทุ่น และค่าเฉลี่ยของระดับน้ำทะเล รวมทั้งระบบการทำงานของตัวทุ่นเองซึ่งเป็นไปตามขอบเขตที่ศูนย์เตือนภัยฯ วางแนวทางไว้ ทั้งนี้ระบบดังกล่าวจะแจ้งให้ประชาชนทราบภายใน 15 นาที เมื่อทุ่นพบการเกิดสึนามิในทะเล ทำให้ประชาชนมีเวลาหนีเป็นชั่วโมง ขอให้ประชาชนสบายใจ-มั่นใจในระบบเตือนภัยของภาครัฐ

นายเจตน์ โศภิษฐ์พงศธร โฆษกกรุงเทพมหานคร(กทม.) เปิดเผยผลการประชุมคณะผู้บริหาร กทม.ว่า นายสัญญา ชีนิมิตร  ผอ.สำนักการระบายน้ำ(สนน.)ชี้แจงในที่ประชุมกรณีนักวิชาการภาคส่วนต่างๆ ออกมาคาดการณ์ว่าอีกไม่เกิน 10 ปีนับจากนี้กรุงเทพฯ ต้องเจอกับสภาพน้ำท่วม โดย สนน.รายงานว่าตัวเลขที่นักวิชาการนำมาใช้นั้นเป็นการคาดการณ์ที่รุนแรงเกิน จริง ทั้งเรื่องของปริมาณน้ำฝนที่อ้างว่าจะเพิ่มขึ้น 15 % ในขณะที่ผลการศึกษาผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิศาสตร์และการปรับตัวของ พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์)นั้น ระบุว่าปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้นแค่ 3 % ส่วนระดับน้ำทะเลที่อ้างว่าจะสูงขึ้น 13 ม.ม./ปีนั้น ก็มีข้อมูลว่าจะเพิ่มสูงขึ้น 8 ม.ม./ปี

นอกจากนี้ผลการวิจัยของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ  เรื่องสภาวะโลกร้อนกับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลในน่านน้ำไทย อ้างอิงข้อมูลย้อนหลัง 67 ปี ปรากฏว่าค่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั้งฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทยปี พ.ศ.2483 – 2550 ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยไม่ได้สูงขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการทรุดตัวของแผ่นดินใน กทม.ปีละ 4 ม.ม.ตามที่ได้มีการคาดการณ์นั้นมีความเป็นไปได้ ซึ่งขณะนี้ กทม.พยายามเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น และลดการใช้น้ำบาดาล ทั้งนี้ กทม.ได้นำสถิติที่น่ากลัวที่สุดจากทั้ง 3 หน่วยงานมาประมวล โดยจากนี้ไป กทม.จะมีการหารือในเรื่องการปรับใช้ผังเมืองรวมมากขึ้น ทั้งกรณีที่มีผู้สร้างที่อยู่อาศัยรุกล้ำแม่น้ำลำคลองและพื้นที่รับน้ำต่างๆ ก็จะต้องเข้มงวดมากขึ้นด้วย

ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดเสวนา “เจาะลูกข้อมูลวิชาการด้านพิบัติภัยกับข่าวสารที่ประชาชนควรได้รับรู้อย่าง ถูกต้อง” โดย ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล จากภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์  กล่าวว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีข่าวสารเกี่ยวกับไทยจะประสบภัยพิบัติออกมาหลายครั้ง ซึ่งเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากหลักวิชาการ ส่งผลให้ประชาชนตื่นตระหนก และเกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจและสังคมตามมา การจัดเสวนาครั้งนี้เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องโดยนักวิชาการและผู้ เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เรื่องน้ำจะท่วมกรุงเทพฯจนถึงภาคกลาง จากภาวะโลกร้อนและน้ำแข็งขั้วโลกละลายนั้นคงเป็นเรื่องที่อ้างอิงจากข้อมูล ที่ไม่ถูกต้อง  เพราะปัจจุบันน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น จากการละลายของน้ำแข็งเฉลี่ยทั่วโลกเพียง 3 มิลลิเมตรเท่านั้น

ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากที่ได้ทำวิจัยในเรื่องนี้มากว่า 10 ปี โดยใช้สมมุติฐานระบบและเครื่องมือการป้องกันของไทยยังเป็นแบบในปัจจุบันพบ ว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้าน้ำทะเลจะกัดเซาะชายฝั่งเข้ามาเพียง 1.3 กิโลเมตร และ 50 ปี จะเข้ามาประมาณ 2.3 กิโลเมตร หรือกินพื้นที่ 1 แสนไร่ ส่วนอีก 100 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 6-8 กิโลเมตร หรือประมาณ 2 แสนไร่ โดยมี 5 จังหวัดที่รับผลกระทบ คือ ฉะเชิงเทรา กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร การที่จะน้ำทะเลจะเพิ่มสูง 6-7 เมตร จนท่วมถึง สิงห์บุรี อ่างทอง จึงเป็นเรื่องเป็นไปได้ยาก และไม่เกิดขึ้นในเวลาเร็วๆนี้แน่นอน

ดร.เครือวัลย์ จันทร์แก้ว อาจารญ์ภาควิชาธรณีวิทยา กล่าวว่า ในส่วนของการเกิดสึนามิในฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร เพราะมีปัจจัยจากการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในบริเวณรอยเลื่อนของเปลือกโลกแถบเกาะ นิโคบาร์เหมือนปี 2547 จนที่เกิดสึนามิมีโอกาสน้อยมาก เพราะพลังงานบริเวณนั้นได้ถูกปลดปล่อยไปแล้วและต้องใช้เวลาในการสะสมใหม่ไม่ น้อยกว่า 100 ปี จึงจะเกิดแผ่นดินไหวระดับ 8 ริกเตอร์ขึ้นไปได้อีก

ด้าน ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า เรื่องพายุสุริยะที่จะส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหว และสึนามิเป็นการอ้างข้อมูลในเว็บไซต์ที่ไม่ถูกต้อง เพราะการเกิดแผ่นดินไหมีสาเหตุจากการปลดปล่อยพลังงานที่สะลมบริเวณรอยเลื่อน เปลือกโลก หากไหวรุนแรงจึงมีโอกาสเกิดสึนามิ ส่วนเรื่องสนามแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกๆ 11 ปีอยู่แล้ว

ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=561&contentID=111122
148  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คำวัด - พระเครื่อง เครื่องราง ของขลัง เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 08:41:07 am


คมชัดลึก :คติ ความเชื่อในการสร้างพระเครื่องส่วนใหญ่ การสร้างให้มีขนาดเล็ก เพื่อที่จะสามารถสร้างได้จำนวนมาก สำหรับบรรจุในพระพุทธเจดีย์ เพื่อว่าในอนาคตเมื่อพระพุทธศาสนาเสื่อมลง วัตถุต่างๆ พังทลาย ยังสามารถพบรูปสมมติของพระพุทธเจ้า เพื่อแสดงให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา

 ใช้เป็นเครื่องราง สำหรับคุ้มครองป้องกันในการออกศึกสงครามของคนโบราณ เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง ปัจจุบันนิยมนำมาห้อยคอเป็นเครื่องรางสำหรับคุ้มครองป้องกัน และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต

 คำว่า "พระเครื่อง" ในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ท่านสั่งเครื่องจักรจากยุโรปมาเพื่อผลิตเหรียญกษาปณ์ ทำให้มีการผลิตเหรียญของเกจิอาจารย์ขึ้น ทำให้เรียกว่าพระที่ทำจากเครื่องจักรว่า "พระเครื่อง" หรือเรียกพระองค์เล็กๆ ที่เป็นพระพิมพ์เรียกเหมือนกันว่า "พระเครื่อง"

 พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า "เครื่องราง" คือ ของที่นับถือว่าป้องกันอันตราย ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ เหล็กไหล แม้พระเครื่องก็ถือว่าเป็นเครื่องรางเช่นกัน โดยเรียกว่า "พระเครื่องราง"

 ส่วน "ของขลัง" คือของที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ มีพลัง มีอำนาจที่อาจบันดาลให้เป็นไป หรืออาจบันดาลสิ่งที่ต้องประสงค์สำเร็จได้

 สองคำนี้มักนิยมพูด หรือนิยมเขียนคู่กันเสมอ คือ เครื่องรางของขลัง
 เครื่อง รางของขลัง ปกติเป็นเรื่องนอกคำสอนของพระพุทธศาสนา ถูกจัดอยู่ในประเภทไสยศาสตร์มากกว่า แต่เป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณ ด้วยเห็นว่าพลังหรืออำนาจนั้น มาจากพุทธคุณ

 ในขณะที่คำว่า "พระเครื่อง" นั้น พระธรรมกิตติวงศ์ ได้อธิบายไว่ว่า ความหมายเดิม คือพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ที่นับถือว่าเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันอันตราย เป็นคำย่อมาจากคำว่า "พระเครื่องราง"

 พระเครื่อง ปัจจุบันหมายรวมทั้งพระพุทธรูป และรูปพระสงฆ์ที่เรียกกันว่าเกจิอาจารย์ซึ่งหล่อเป็นองค์เล็กๆ หรืออัดจากผงชนิดต่างๆ ดุนเป็นรูปนูนขึ้นมา มีรูปทรงต่างๆ เช่น ทรงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ที่ผ่านการปลุกเสกที่เรียกว่า "พุทธาภิเษก" มาแล้ว ถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ สามารถป้องกันอันตราย และนำโชคลาภมาให้ได้เป็นต้น

 พระเครื่อง มีวิวัฒนาการมาก นอกจากนิยมในด้านความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังนิยมในด้านศิลปะ และความเก่าด้วย บางองค์มีค่ามากกว่าเพชรพลอย โดยเรียกการซื้อขายแลกเปลี่ยนว่า "เช่า"

"พระธรรมกิตติวงศ์"

ที่มาเนื้อหา
http://www.komchadluek.net/detail/20101217/82969/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87.html
149  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / อุทาหรณ์ สอนใจผู้หญิงในเรื่องความรัก ที่ยึดมั่น ถือมั่น ผิดทาง ขาดหลักธรรม เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 08:37:10 am


การจากไปของ น.ส.มุทิตา ไทยลิ่มทอง อายุ 23 ปี อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค)

อดีตดาวคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ สาวไฮโซหน้าตาดี ที่ตัดสินใจกระโดดตึก 10 ชั้นลงมาเสียชีวิต สาเหตุเพราะผิดหวังในเรื่องความรัก นับเป็นเหตุสะเทือนใจผู้คนที่รู้จักรวมทั้งคนที่ติดตามข่าวนี้อย่างยิ่ง เป็นคนมีความรู้ความสามารถไม่น่าต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้!??

การจากไปของน.ส.มุทิตา สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับคนในครอบครัว "ไทยลิ่มทอง" ยิ่งนัก



ด้วยเพราะเธอเป็นลูกสาวคนเดียวที่ต้องดูแลธุรกิจครอบครัว แถมยังอนาคตไกลเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสืออยู่ที่เอแบคมีลูกศิษย์ลูกหามาก มาย แต่แล้วชีวิตที่กำลังเริ่มต้นก็ต้องกลับมาพังทลายเพราะพ่ายพิษรัก สุดท้ายจึงต้องจบชีวิตลงอย่างสลด

ย้อนไปดูเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นตอนเที่ยงวันที่ 21 มี.ค. ที่อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ถนนสาทรตัดนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงยานนาวา เขตสาทร เกิดเหตุหญิงกระโดดตึกลงมาด้านล่าง พ.ต.ต.อดิเรก พันธ์ใย พงส.(สบ.2) สน.ยานนาวา จึงรายงานผู้บังคับบัญชารับทราบพร้อมรุดไปตรวจสอบ

เมื่อไปถึงพบร่างน.ส.มุทิตา ซึ่งตัดสินใจกระโดดลงมาจากชั้น 10 นอนหายใจรวยรินมีเลือดไหลออกมาเปรอะเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน

ใกล้ๆ กันพบกระเป๋าถือสีดำ ยี่ห้อพราด้า และเศษใบไม้ที่ร่างเกาะเกี่ยวมาด้วยระหว่างตกลงมา โดยเจ้าหน้าที่พยายามนำร่างส่งร.พ.เลิดสิน แต่ "มุทิตา" ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา พยานซึ่งเป็นรปภ.อาคารเอ็มไพร์ ให้การว่า

ก่อนเกิดเหตุเห็นผู้ตายขับรถเบนซ์สปอร์ต 2 ประตู สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน วต 2527 กทม. เข้ามาจอดที่ชั้นบี 3 ก่อนเดินไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ จากนั้น รปภ.ประจำลานจอดรถชั้น 10 เห็นผู้ตายเดินสูบบุหรี่ ก่อนจะเห็นอีกทีตอนผู้ตายนั่งห้อยขาอยู่บนขอบระเบียง จากนั้นร่างก็ร่วงตกลงไปข้างล่าง



ในตอนแรกไม่มีใครรู้ว่าน.ส.มุทิตา เป็นใครมาจากไหน

รู้เพียงเป็นหญิงสาวหน้าตาดีที่มาคิดฆ่าตัวตาย โดยใช้อาคารเอ็มไพร์เป็นสุสาน จนกระทั่งตำรวจได้ตรวจค้นกระเป๋าสะพาย จึงรู้ว่า "มุทิตา" ทำงานเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่เอแบค นอก จากนี้ ยังมีสิ่งที่เฉลยถึงสาเหตุการตาย นั่นคือการไขปริศนาในสมุดไดอารี่ลายสีฟ้าคาดเขียว ที่น.ส.มุทิตาเขียนบันทึกเก็บไว้ด้วยปากกาเมจิกสีน้ำเงินและสีแดง บรรยายถึงความรักที่มีให้กับผู้ชายที่ชื่อ "ปอม" แสดงข้อความตัดพ้อต่อว่าผู้ชายคนดังกล่าว และยังเขียนในลักษณะสั่งเสียลาจากกันชั่วชีวิต เป็นการระบายความในใจแบบบรรทัดต่อบรรทัด

ซึ่งตำรวจจะได้ตามตัวคนชื่อ "ปอม" มาสอบสวนต่อไป

สำหรับประวัติส่วนตัวของน.ส.มุทิตา เจ้าหน้าที่ขยายผลได้ข้อมูลมาว่า "มุทิตา" มีชื่อเล่นว่า "พลอย"

เรียนจบปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และเพิ่งสำเร็จปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เช่นกัน เรียนได้เกียรตินิยมทั้ง 2 ระดับปริญญา สมัยเป็นนิสิตเป็นระดับดาวของคณะเศรษฐศาสตร์อีกด้วย ก่อนเสียชีวิตเพิ่งทำงานเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่เอแบคได้ไม่นาน "มุทิตา" เป็นลูกสาวคนเดียวมีฐานะอยู่ในขั้นเศรษฐี ทำธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายกระเป๋าหรูอยู่ย่านศรีนครินทร์

สาเหตุ ที่ตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตาย น่าจะมาจากเรื่องความรัก เนื่องจากเป็นคนจริงจังกับความรักมาก โดยผู้ตายมีแฟนหนุ่มตาดี เป็นเศรษฐีไฮโซ ชื่อ "ปอม" ซึ่งเคยเป็นแฟนกับดาราสาวคนหนึ่ง ระยะหลังมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งไม่เข้าใจกันหลายครั้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คิดสั้นในครั้งนี้ ส่วนสาเหตุที่มาอาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ก็เพราะว่ามีเพื่อนสนิททำงานอยู่ที่นี่

การจากไปของน.ส.มุทิตา สร้างความเศร้าใจให้คนใกล้ตัวยิ่งนัก

โดยเฉพาะกับนายพีระยุทธ กับนางอังคณา ไทยลิ่มทอง ผู้เป็นพ่อแม่ถึงกับหลั่งน้ำตาปิ่มขาดใจ เพราะทำใจไม่ได้กับการจากไปของลูกสาวคนเดียวคนนี้ ซึ่งการจากไปของน.ส.มุทิตาในครั้งนี้ ทำให้คนเป็นพ่อแม่ทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากการทำใจและภาวนาขอให้ดวงวิญญาณของลูกสาวจงไปสู่สุคติ และ ขอให้เรื่องทุกอย่างยุติลงเพียงเท่านี้

ศพของน.ส.มุทิตา ญาตินำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดชุมพลนิกายาราม ต.บางเลน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ท่ามกลางบรรยากาศอันเศร้าสลด มีเพื่อนร่วมงานและคนรู้จักเดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่หลายคนบอกไม่น่าเชื่อว่าน.ส.มุทิตาจะคิดสั้น เพราะพื้นฐานของ "มุทิตา" เป็นคนร่าเริงสนุกสนาน

ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นคนเก็บกดจนถึงขั้นฆ่าตัวตายแบบนี้


แต่อย่างไรก็ตาม เหตุรักขมก็ทำให้คนคิดสั้นฆ่าตัวตายมานักต่อนัก


ใครที่ไม่มีวิธีแก้ปัญหาหรือไม่มีวิธีสะกดใจสะกดความรู้สึกตนเอง ก็มักจะพ่ายให้กับอารมณ์ชั่ววูบเหมือนกับเหยื่อหลายรายที่ผ่านๆ มา

ซึ่งในเรื่องนี้น.พ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักสุขภาพจิตสังคม กรมสุขภาพจิต และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ออกมาตั้งข้อสังเกต ว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายอาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ การฆ่าตัวตายเพราะความรักอาจเป็นเพียงปมเดียว แต่ในบางรายที่ฆ่าตัวตายอาจเกิดจากปัญหาอื่นร่วมด้วย เช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาโรคภัย ปัญหาที่สะสมจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า

สำหรับ ผู้ที่ผิดหวังจากความรักเพียงปัญหาเดียวและคิดฆ่าตัวตายนั้น ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่ผิดหวังจากความรักเพียงอย่างเดียว จะกลับมาอยู่ในสภาพปกติ เนื่องจากการผิดหวังด้านความรักนั้นเป็นปรากฏการณ์ด้านจิตใจเท่านั้น และก็ยังมีผู้ที่ผิดหวังด้านความรักอีกมากที่ไม่ฆ่าตัวตาย

เนื่องจากสภาวะจิตใจของคนปกติทั่วไปจะปรับตัวได้ภายใน 1 สัปดาห์ถึง 3 เดือน โดยจะกลับสู่สภาพเดิมแม้ว่าจะยังอกหักอยู่ แต่ในบางรายที่ฆ่าตัวตาย คือ เครียดที่ปรับตัวไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในบางรายอาจไม่ถึงขั้นฆ่าตัวตาย แต่พฤติกรรมจะเปลี่ยนเพราะอาจเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า

"คนที่อกหักส่วนใหญ่มักซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก ไม่อยากทำอะไร ขอให้ฝืนตัวเอง อย่าอยู่คนเดียวหาคนระบายให้ฟัง หากไม่กล้าคุยกับพ่อแม่หรือญาติก็ขอให้เลือกพูดกับเพื่อนสนิท จะทำให้สิ่งที่อัดอั้นตันใจระบายออกมา และจะทำให้หายไปกว่าครึ่ง ซึ่งคนใกล้ชิดควรสังเกตและให้ความร่วมมือด้วย โดยการเป็นผู้รับฟังที่ดี

นอกจากนี้ ผู้ที่ผิดหวังในความรักมักโทษตัวเอง มองว่าตัวเองไม่ดี ซึ่งการคิดเช่นนี้จะนำพาไปสู่การไม่ยอมรับตัวเองและการฆ่าตัวตาย ขอให้เปลี่ยนมุมมองโดยมองว่าก่อนมีความสัมพันธ์ก็ยังอยู่ได้ และคิดว่าการไม่ถูกเลือกเป็นสิทธิ์ของเรา และเป็นสิทธิ์ของเขาเช่นกัน โดยมองหาแง่มุมที่เป็นบวกกับตัวเอง เช่น เขาไม่เลือกเราก็ดีเพราะหากคบกันไปอนาคตอาจเกิดปัญหารุนแรงกว่านี้ หรือพัฒนาตัวเองให้เขารู้สึกว่าเสียดายที่ไม่เลือกเราเป็นต้น" น.พ.ทวีศิลป์กล่าว



จำไว้ว่าทุกปัญหาต้องมีทางออก!?!
150  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: ปรับปรุง ICon ให้แล้ว ตามคำแนะนำของสมาชิก เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 08:15:27 am
ขาดอีกอย่าง คะ คิดว่าสมบูรณ์แล้ว

คือ ด้านขวา น่าจะโชว์รูป icon ของผู้โพสต์ล่าสุด

คิดว่า เท่านี้ก็สุดยอดของหน้าเว็บบอร์ด แล้ว คะ

เอาใจช่วย คะ


ขอให้ทีมงานทุกท่าน มีความสุขนะคะ


เว็บมาสเตอร์ด้วยคะ

 :58: :88:
151  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อยู่ ๆ เพื่อนก็ร้องไห้ ว๊าก ๆ ตอนปฏิบัต เราควรทำอย่างไรคะ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 08:12:04 am
ไปปฏิบัติธรรม กับเพื่อน ที่สำนักหนึ่ง ปรากฏว่าพอปฏิบัติไปได้ สักพัก อยู่ ๆ เพื่อน ก็ร้องไห้ โฮ เสียงดัง

กรีดร้อง โหยหวน เลยคะ อยากทราบวิธีแก้ไขด้วยคะ ทำอย่างไรดีคะ ที่จะช่วยเพื่อนขณะนั้น

 :25:
152  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พระอรหันต์ ง่วงนอนหรือป่าวคะ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 08:09:34 am
เคยสงสัยว่า พระอรหันต์ ท่านง่วงนอนหรือป่าว หรือ ท่านจะเข้าสมาธิตลอดเวลา

 :25:
153  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ถ้านั่งภาวนา แล้ว ง่วงนอน ควรทำอย่างไร คะ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 08:08:44 am
ถ้านั่งภาวนา แล้ว ง่วงนอน ควรทำอย่างไร คะ

  หมายถึง ภาวนาไปแล้ว เกิดอาการง่วง คะ

 :25:
154  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พยาบาท นิวรณ์ คืออะไร คะ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 08:07:15 am
ต้องการให้พระอาจารย์ อธิบายเรื่อง พยาบาทนิวรณ์ คืออะไรคะ

ทำไม ถึงเป็นอุปสรรค แก่สมาธิ คะ

 :25:
155  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดื่มนม ช่วยลดน้ำหนักได้ ( จริง หรือ ) เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 08:02:59 am
ต้อง ยอมรับว่าสาว ๆ หลายคนกลัวการดื่มนม เพราะคิดว่านมมาพร้อมกับไขมันและความอ้วน แต่ผลการวิจัยล่าสุดกลับบอกว่าการดื่มนมช่วย ลดน้ำหนักได้

        โดยนักวิจัยได้ทำการติดตามคนอ้วนกว่า 300 คนที่มีอายุระหว่าง 40-65 ปี ซึ่งทำการควบคุมน้ำหนักด้วยการรับประทานอาหารไขมันต่ำ, คาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือการไดเอทแบบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ผล ที่ได้จากการติดตามพบว่ากลุ่มที่มีการรับประทานแคลเซียมสูง ประมาณ 580 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเป็นนม 2 แก้ว สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 12 ปอนด์ใน 2 ปี ส่วนกลุ่มที่รับประทานต่ำเพียง 150 มิลลิกรัม หรือเทียบเป็นนมเพียงครึ่งแก้วต่อวัน ลดน้ำหนักได้แค่ 7 ปอนด์

       นักวิจัยอธิบายความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้ว่า นมไปช่วยเพิ่มระดับ พลังงานในร่างกาย ทำให้เกิดการเผาผลาญได้ดี “นมช่วยให้เรารู้สึกอิ่ม และเกิดความพึงพอใจ ทำให้ไม่นึกอยากกินอาหารที่มีน้ำตาล เครื่องดื่มซอฟต์ดริ๊งค์ น้ำผลไม้หวาน ๆ หรือเครื่องดื่มโซดาทั้งหลาย” นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยเพิ่มเติมว่าในน้ำนมมีวิตามิน D ที่ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักได้ดีกว่า โดยระดับวิตามิน D ที่มีการแนะนำไว้ต่อวันคือ 400 มิลลิกรัม หรือเทียบได้กับนมโลว์แฟต หรือพร่องมันเนยประมาณ 4 แก้ว

           ลดน้ำหนักคราวนี้นมสักแก้วก็ดีนะคะ...
156  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บุคคลที่ไม่ต้องเกณฑ์ ทหาร เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 07:59:19 am
บุคคลที่ไม่ต้องเกณฑ์ ทหาร

โดยปกติแล้วชายที่มีสัญชาติไทย เมื่อมีอายุ ๒๑ ปีบริบูรณ์ในปีใดจะต้องไปเกณฑ์ทหารทุกคนแต่กฎหมายก็ยังเปิดโอกาสให้สิทธิแก่ บุคคลบางประเภท
ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเกณฑ์ทหารเช่นบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.๒๕๘๗ โดยมีรายละเอียดสรุปพอเป็นสังเขปดังนี้


           ๑. ยกเว้นให้ทั้งในยามปกติและในยามสงคราม (มาตรา ๑๓ )ได้แก่
               

๑.๑ พระภิกษุที่มีสมณศักดิ์หรือที่เป็นเปรียณและนักบวชในพระพุทธศาสนาแห่งนิกายจีนหรือญวนที่มีสมณศักดิ์ (ถ้าได้ลงบัญชีทหารกองเกินไว้
แล้วให้จำหน่ายออกจากบัญชีทหาร) แต่ถ้าลาสิกขาให้แจ้งด้วยตนเองต่อนายอำเภอท้องที่ที่ตนอยู่หรือทำการประจำ ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ลาสิกขา หากแจ้งเกินกำหนดนี้จะถูกดำเนินคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและถ้าอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปีบริบูรณ์ ก็ต้องไปเข้ารับการตรวจเลือกด้วย
                ๑.๒ คนพิการทุพพลภาพ ซึ่งไม่สามารถเป็นทหารได้ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗๔ (พ.ศ.๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
รับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๗๙ เช่น ต้อหิน หูหนวกทั้งสองข้างลิ้นหัวใจพิการ หืด เบาหวาน โรคจิต ใบ้ คนเผือก ฯลฯ บุคคลประเภทนี้ต้องไปรับหมายเรียก ฯ ตามกำหนดและเข้ารับการตรวจเลือกตามกฎหมายเรียก ฯ เมื่อคณะกรรมการตรวจเลือกเห็นว่ามีอาการโรคตามที่กำหนดในกฎหมายกระทรวงจริง จะปลดเป็นพ้น
ราชการทหารประเภทที่ ๒ และทางจังหวัดจะออกใบสำคัญให้ไว้เป็นหลักฐาน               
                 ๑.๓ บุคคลซึ่งไม่มีคุณวุฒิที่จะเป็นทหารได้ เฉพาะบางท้องที่ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๕ (พ.ศ.๒๕๑๘) ออกตามความในพระราช
บัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗ บุคคลประเภทนี้ได้แก่ ชนชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ในบางพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไม่รู้หนังสือภาษาไทยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีก็แตกต่างกันด้วยดังนั้น ทางราชการจึงไม่ประสงค์ที่จะให้บุคคลประเภทนี้เป็นทหาร เช่น ชนชาวกระเหรี่ยง บ้านแม่สอด หมู่ที่ ๔ ตำบลคลองลาน อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร ฯลฯ
             ๒. ยกเว้นให้เฉพาะในยามปกติเท่านั้น (มาตรา ๑๔ )ได้แก่
                 ๒.๑ พระภิกษุ สามเณร และนักบวชในพระพุทธศาสนาแห่งนิกายจีนหรือญวน ซึ่งเป็นนักธรรมตามที่กระทรวงศึกษาธิการรับรอง (ให้นำหลักฐาน
การสำเร็จนักธรรม ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สัสดีอำเภอหรือคณะกรรมการตรวจเลือกเพื่อดำเนินการยก เว้นให้  กรณีนี้ควรจะทำก่อนวันตรวจเลือกเพื่อดำเนิน
การยกเว้นให้กรณีนี้ควรจะทำก่อนวันตรวจเลือกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปในตรวจ เลือกจะเป็นการสะดวกกว่า) แต่ประจำอยู่ภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ลาสิกขา หากแจ้งเกินกำหนดนี้จะถูกดำเนินคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าอายุไม่ถึง ๓๐ ปีบริบูรณ์ ก็ต้องไปเข้ารับการตรวจเลือกด้วย
                 ๒.๒ นักบวชศาสนาอื่นซึ่งมีหน้าที่ประจำในกิจของศาสนา ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และผู้ว่าราชการจังหวัดออกใบสำคัญให้ไว้ (กรณีนี้ให้ไป
ติดต่อขอยกเว้นต่อนายอำเภอท้องที่ ซึ่งสุเหร่า อาราม หรือสำนักตั้งอยู่เพื่อตรวจสอบหลักฐาน เมื่อเห็นว่าถูกต้องจะดำเนินการยกเว้นให้แต่เมื่อพ้นจากฐานะประจำ
ในกิจของศาสนา ให้แจ้งด้วยตนเองต่อนายอำเภอท้องที่ที่ตนอยู่หรือทำการอยู่ภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่พ้นจากฐานะเช่นนั้นหากแจ้งเกินกำหนดจะถูกดำเนินคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินสองร้อยบาทหรือทั้งจำ ทั้งปรับ และถ้าอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปี บริบูรณ์ ก็ต้องไปเข้ารับการตรวจเลือกด้วย
                 ๒.๓ บุคคลซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร(นศท.) และนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหารของกระทรวงกลาโหม(กรณีนี้เจ้าตัวต้องประสาน กับสถาบันการศึกษา เพื่อดำเนินการของยกเว้น)
                 ๒.๔ ครูซึ่งประจำทำการสอนหนังสือหรือวิชาการต่าง ๆ ที่อยู่ในความควบคุมของกระทรวง ทบวง กรม หรือราชการส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ตามที่กำหนด
ในกฎหมายกระทรวง และผุ้ว่าราชการจังหวัดออกใบสำคัญให้ไว้(เจ้าตัวจะต้องประสานกับส่วนราชการ ต้นสังกัด เพื่อดำเนินการขอยกเว้นให้)
                 ๒.๕ นักศึกษาของศูนย์ฝึกการบินพลเรือนของกระทรวงคมนาคม (เจ้าตัวจะต้องประสานกับศูนย์ฝึก ฯ เพื่อดำเนินการขอยกเว้นให้)
                 ๒.๖ บุคคลซึ่งได้สัญชาติไทยโดยการแปลงชาติ และบุคคลซึ่งได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหลายครั้งรวมกัน ตั้งแต่สิบปีขึ้นไป หรือเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกัน (กรณีนี้ให้นำหลักฐานการแปลงสัญชาติหรือหลักฐานการต้องโทษไปแสดงต่อเจ้า หน้าที่สัสดีอำเภอ เพื่อดำเนินการขอยกเว้นให้)

        อธิบายศัพท์
           
            - คนผ่อนผัน คือ ทหารกองเกินที่อยู่ระหว่างการศึกษาในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือโรงเรียนอาชีวะ และโรงเรียนประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ ตามที่กำหนดในกฎหมาย ซึ่งสถานศึกษาได้ส่งรายชื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นภูมิลำเนาทหารแล้ว
            - คนหลีกเลี่ยงขัดขืน คือ ทหารกองเกินที่รับหมายเรียกของนายอำเภอแล้วไม่มา ให้คณะกรรมการตรวจเลือกทำการตรวจเลือก ซึ่งได้ตัวมาดำเนินคดี และศาลได้พิพากษาให้ลงโทษ
            - คนที่ขาดการตรวจเลือกคือ ทหารกองเกินที่รับหมายเรียกของนายอำเภอ และไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือกทำการตรวจเลือก  แต่ยังไม่ได้ตัว
มาดำเนินคดี หรืออยู่ในระหว่างดำเนินคดี
            - คนยกเว้น คือ ทหารกองเกินที่ได้รับการยกเว้นไม่เรียกมาตราจเลือกในยามปกติ เช่น พระภิกษุนักธรรม ผู้ที่อยู่ระหว่างการฝึกวิชาการทหาร ฯลฯ
            - คนจำพวที่ ๑ ได้แก่ ทหารกองเกินซึ่งมีรายการสมบูรณ์ดี
            - คนจำพวกที่ ๒ได้แก่ คนซึ่งมีร่างกายที่เห็นได้ชัดว่าไม่สมบูรณ์ดีเหมือนคนจำพวกที่ ๑ แต่ไม่ถึงกับทุพพลภาพ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ.๒๕๑๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗
            - คนจำพวกที่ ๓ ได้แก่ คนซึ่งมีร่างกายยังไม่แข็งแรงพอที่จะรับราชการทหารในขณะนั้นได้ เพราะป่วยซึ่งจะบำบัดให้หายภายในกำหนด ๓๐ วัน
ไม่ได้
            - คนจำพวกที่ ๔ ได้แก่ คนพิการทุพพลภาพ หรือมีโรคซึ่งไม่สามารถจะรับราชการได้ตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๗๔ (พ.ศ.๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗
            - ขนาดรอบตัว คือ ความกว้างของรอบอกซึ่งมีวิธีวัดโดยให้คล้องแถบเมตรรอบตัว ในลักษณะการแขนหรือยกแขนทั้งสองข้างขึ้นให้ริมล่างของ
แถมเมตรได้ระดับราวนมโดยรอบ และเมื่อได้ลดแขนลงในลักษณะท่าตรงแล้วให้วัดเมื่อหายใจออกเต็มที่หนึ่งครั้ง และหายใจเข้าเต็มที่หนึ่งครั้ง
            - ขนาดถัดรอง คือ ผู้ที่มีขนาดสูงตั้งแต่ ๑ เมตร ๕๙ เซนติเมตร ลงมาถึง ๑ เมตร ๔๖ เซนติเมตร และมีขนาดรอบตัวตั้งแต่ ๗๖ เซนติเมตรขึ้นไป ในเวลาหายใจออก
            - คนไม่ได้ขนาด คือ ผู้ที่มีขนาดสูงไม่ถึง ๑ เมตร ๔๖ เซนติเมตร หรือมีขนาดรอบตัวไม่ถึง ๗๖ เซนติเมตร

 

 

ที่มา จาก เวป กระทรวงกลาโหม
157  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปวดหลังป้องกันได้ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 07:56:12 am


มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่มักมีอาการปวดหลัง ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือการป้องกัน Lisa Guru มีเคล็ดลับป้องกันอาการปวดหลังให้คุณค่ะ
อย่าหักโหม
การใช้ร่างกายอย่างไม่บันยะบันยังและมีจิตใจหมกมุ่นครุ่นคิดตลอดเวลาจะทำให้ กระดูกสันหลังอ่อนแอ ทำให้กล้ามเนื้อแข็งกระด้างและจะส่งผลให้เกิดความเจ็บปวด ข้อแนะนำก็คือ คุณควรมีจุดมุ่งหมายในแต่ละวันเพื่อจะได้ไม่ทำอะไรที่มากเกินไปจนสับสน วุ่นวาย
อย่าก้าวร้าว
หากคุณเป็นคนที่ตื่นเต้นง่าย ชอบโวยวายก็จะมีความก้าวร้าวง่าย และหากมีความโกรธเกรี้ยวในอารมณ์ก็จะทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียด ข้อแนะนำก็คือ พยายามฝึกสมาธิ รู้จักอดกลั้น หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอก็จะช่วยผ่อนคลายได้
 
อาหาร
การกินอาหารให้สมดุลนอกจากจะช่วยลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยป้องกันข้ออักเสบเรื้อรังและป้องกันไม่ให้มีกรดยูริกมากเกินไปซึ่งจะ ทำให้ปวดไขข้อได้ ฉะนั้นในตารางอาหารก็ควรมีอาหารประเภท ข้าวกล้อง เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ผักและผลไม้ ส่วนอาหารที่ควรกินให้น้อยก็คือ เนื้อสัตว์ติดมัน ไส้กรอก แอลกอฮอล์ น้ำตาล น้ำมันสัตว์ ผลิตภัณฑ์แป้งขัดขาว และดื่มน้ำวันละประมาณ 2 ลิตร
อย่าปล่อยให้อ้วน
น้ำหนักตัวแต่ละกิโลที่เกินตาชั่งจะทำให้หลังต้องรับน้ำหนักเพ่ิมขึ้น และส่งผลกระทบถึง ข้อต่อ เส้นเอ็นและกระดูก และแต่ละกรัมที่มากเกินที่หน้าท้อง สะโพกและก้นจะเพ่ิมความกดดันที่กระดูกสันหลัง
ออกกำลังกาย
การไดเอ็ตนานๆ ไม่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้สำเร็จ ดังนั้น คุณจึงควรเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยชิน เช่น เดินให้มากแทนการนั่งรถหรือขี่จักรยาน และอย่างน้อยที่สุดควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละอย่างน้อยที่สุด 20 นาที เช่น เดินเร็ว จ็อกกิ้ง ขี่จักรยาน
ยืดกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควรทำควบคู่ไปกับการยืดกล้ามเนื้อ ข้อแนะนำก็คือ หลังออกกำลังกายควรยืดกล้ามเนื้อทุกส่วน
ไม่เครียด
หากคุณเป็นคนชอบทำสามสิ่งพร้อมกันก็ควรหยุดพฤติกรรมนี้เสียเพราะการมีความเครียดมากเกินไปจะทำให้ป่วยโดยเฉพาะอาการปวดหลัง
นอนหลับพักผ่อน
ความต้องการในการนอนหลับของแต่ละคนต่างกัน ที่สำคัญคือขณะนอนหลับ ร่างกายได้พักผ่อนจากความตึงเครียดในชีิวิตประจำวัน นอกจากนี้ หมอนรองกระดูกยังซ่อมแซมตัวเองด้วย
มีความสุขกับชีวิต
ความผ่อนคลายร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งสำคัญในการลดความตึงเครียดจากชีวิต ประจำวันก็จะป้องกันอาการปวดหลังได้ เช่น เดินเล่น ร้องเพลง เต้นรำ พบปะเพื่อนฝูง
ฟังเสียงภายในร่างกาย
อาการเจ็บป่วยทางร่างกายมักเกิดจากปัญหาด้านจิตใจ กระดูกสันหลังเชื่อมโยงกับกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ดังนั้น คุณจึงควรเชื่อฟังร่างกายของคุณเมื่อเกิดเมื่อยล้าก็ต้องหยุดพัก ผ่อนคลายหรือหิวก็ต้องกิน


158  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภัยร้ายจากรอยสัก เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 07:53:14 am


หลาย คนชื่นชอบการสักบนร่างกาย เพราะเห็นว่าเป็นศิลปะที่สวยงาม บางคนก็เชื่อในเรื่องความอยู่ยงคงกระพัน แต่ไม่ว่าจะสักด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์อยู่ว่าจะก่อให้เกิดผลสืบเนื่องกับร่างกายอย่างไร?

ถ้าลองตัดความเชื่อและความนิยมศิลปะออกไปเสียก่อน มองจากมุมมองของการแพทย์โดยเฉพาะ เราจะพบว่าการสักก่อให้เกิดผลได้หลายอย่าง ผลเฉพาะด้านที่ว่านี้มักออกมาในรูปการแพ้รอยสัก ซึ่งเกิดในคนไข้หลายคน การแพ้อาจจะเป็นเฉพาะในช่วงแรกก็ได้ หรือจนเวลาผ่านไปหลายๆ ปีแล้วถึงแพ้ก็ได้ อาการทั่วไปคือจะเกิดผื่นรอบบริเวณที่สัก หรือว่าถ้าเวลาผ่านไปหลายๆ ปี อาจจะทำให้เกิดเป็นก้อนในบริเวณรอยสักขึ้นมา

ผลอีกอย่างหนึ่งจากการสัก คืออาการติดเชื้อ ซึ่งมักจะเกิดจากการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาด ถ้าจำเป็นต้องสักอย่างเหลือเกิน ก็อย่าลืมเรื่องความสะอาดของเครื่องมือที่ใช้ เพราะการติดต่อโดยการใช้เข็มหรือว่าเครื่องมือนั้น เป็นสิ่งที่เราป้องกันได้ ถ้าใช้เข็มหรือเครื่องมือที่สะอาด ก็อาจจะช่วยลดความเสี่ยงจากอาการอันเกิดจากการสักได้บ้าง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
159  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พญานาค ตัวจริง ( เสียงจริง ) เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 09:00:48 am


คนงานไปจับมาได้โชว์ซะหน่อยเพราะหายาก



ไปถ่ายมาได้จากในน้ำเลย


อันนี้มาเกยตื้น


นี่ก็เกยตื้น



นี่กำลังโผล่มาหายใจ

 

จริงๆแล้วภาพที่เคยโด่งดังว่าเป็นพญานาคนั้น ก็มาจากปลาพวกนี้แหละ

มันคือปลาน้ำลึก ชื่อ ออร์ (รึเปล่า) ซึ่งถ้าไปเจอก็แสดงว่ามันใกล้จะตาย

แล้วเพราะมันอยู่ในน้ำลึกๆ ตัวมันคล้ายๆพญานาคในตำนานเลย

แต่มันอยู่ในทะเลนะ
160  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "คลองเตย-ดอนเมือง-ฝั่งธนฯ -ลาดพร้าว-บางขุนเทียน" น้ำท่วมภายใน 10 ปี เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 08:39:35 am


"คลองเตย-ดอนเมือง-ฝั่งธนฯ -ลาดพร้าว-บางขุนเทียน" เจอแจ๊คพ็อต ความเสียหาย 1.5 แสนล้าน เผยมาจาก 4 ปัจจัยสำคัญ"ฝนชุก-แผ่นดินทรุด-น้ำหนุน-ชุมชนแน่น" แนะทางแก้"สร้างแก้มลิง"รอบกรุง

นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ว่า อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธรที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ให้ศึกษาแบบจำลองผลกระทบภาวะน้ำท่วม และน้ำทะเลขึ้นสูงในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) ชั้นในและปริมณฑล หลังจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งสหภาพยุโรป ธนาคารโลก มูลนิธิเวิลด์วิชั่น และคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ได้ร่วมกันศึกษา รวบรวมข้อมูลและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ พบว่า กทม.เป็น 1 ใน 9 เมืองในทวีปเอเชียมีความเสี่ยงสูงที่น้ำทะเลจะเอ่อทะลักเข้าท่วมในเมือง โดยทั้ง 9 เมืองที่มีความเสี่ยงประกอบด้วยเซี่ยงไฮ้ กวางตุ้ง ประเทศจีน, ธากา ประเทศบังกลาเทศ, กัลกัตตา มุมไบ ประเทศอินเดีย, ย่างกุ้ง ประเทศพม่า, ไฮฟอง โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม และ กทม.

นายเสรีกล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำท่วม กทม.ชั้นในมี 4 ปัจจัย คือ 1.ปริมาณน้ำฝนที่ตกเพิ่มขึ้นถึง 15% ในปัจจุบัน 2.แผ่นดินใน กทม.ทรุดตัวปีละ 4 มิลลิเมตร 3.ระดับน้ำทะเลฝั่งอ่าวไทยสูงขึ้น 1.3 เซนติเมตรต่อปี และ 4.เกิดจากภาพรวมของระบบผังเมืองใน กทม.ที่พบว่าปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้ำ และพื้นที่สีเขียว ลดลงไปกว่า 50 เปอร์เซ็นต์

"ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมีประชากรใน กทม.ประมาณ 680,000 คน ได้รับผลกระทบ น้ำจะเอ่อเข้ามาท่วมอาคารที่ 1.16 ล้านหลัง ในจำนวนนี้จะเป็นบ้านพักอาศัย 9 แสนหลังคาเรือน โดย 1 ใน 3 จะอยู่ในพื้นที่บางขุนเทียน บางบอน บางแค และพระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้ยังพบว่าอาคารและที่พักอาศัยเขตดอนเมืองราว 89,000 อาคารจะได้รับผลกระทบ รวมความเสียหายทั้งหมดประมาณ 1.5 แสนล้านบาท" ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมฯกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูลงานวิจัยทางศูนย์สิรินธรฯได้ดำเนินการเพื่อหาทางป้องกันปรากฏการณ์ดัง กล่าวอย่างไร นายเสรีกล่าวว่า หลังจากธนาคารโลกได้รับผลวิจัย ก็ได้ส่งเรื่องให้ผู้บริหาร กทม.สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งที่ผลวิจัยได้เสนอวิธีป้องกันและแก้ปัญหาเอาไว้ 3 ทาง คือ 1.เร่งหาพื้นที่แก้มลิงเหนือ กทม. ตั้งแต่สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา เพื่อเป็นที่ระบายน้ำ 2.เร่งขุดขยายคลองระบายน้ำที่มีอยู่เวลานี้โดยเร็ว และ 3.ต้องสร้างคันกั้นน้ำในพื้นที่ชายฝั่งทะเล เพื่อป้องกันน้ำเอ่อทะลักเข้ามาในพื้นที่ กทม.โดยสร้างเป็นคันดินในพื้นที่ริมฝั่งทั้งหมด ระยะทาง 80 กิโลเมตร ซึ่งประเทศเวียดนามได้ดำเนินการไปแล้ว


ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1292502360&grpid=00&catid=&subcatid=
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 9