ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมพระพุทธเจ้า ไม่สอนอานาปานสติ แก่พระราหุล ก่อน ครับ  (อ่าน 7946 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 ask1
ทำไมพระพุทธเจ้า ไม่สอนอานาปานสติ แก่พระราหุล ก่อน ครับ
 จากข้อความ โอวาทพระพุทธเจ้า สอนพระราหุล โดยตรง สามสูตร ไม่สอนอานาปานสติ ก่อนเพราะอะไรครับ ในขณะที่ พระสารีบุตร อุปัชฌาย์ สอน พุทธานุสสติ และ อานาปานสติ แก่พระราหุล


 thk56 :25:
บันทึกการเข้า

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คิดว่า พระพุทธเจ้า พระองค์ละเอียดรอบคอบ ในแบบแผนมากกว่า พระสารีบุตร คะ

  :49: :58:
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


บุตรแห่งพระพุทธเจ้า (ตอนต้น)
ตุลาคม 29, 2013 โดย ธ.ธรรมรักษ์

(ยกมาแสดงบางส่วน)
การเรียนการสอนจากพระพุทธองค์ท่านมีความตั้งใจมุ่งมั่นมากและพระพุทธองค์ก็มีกลวิธีแยบคายที่จะสั่งสอนสามเณรราหุลซึ่งคนเป็นพ่อเป็นแม่ในยุคปัจจุบันสมควรจะนำไปใช้เป็นตัวอย่างครับซึ่งคำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสสอนพระราหุลมีถึง  7 พระสูตรตามช่วงอายุของพระราหุล

พระสูตรแรกเรียกว่า “จูฬหุโลวาทสูตร 1” แสดงเมื่อพระราหุลบวชใหม่ ๆครับก็คือการสอนไม่ให้เป็นคนพูดเท็จทั้งที่รู้พระองค์ก็มีสื่อการสอนที่น่าสนใจคือขันน้ำแสดงไว้เป็นขั้นเป็นตอนโดย ตอนแรกทรงเทน้ำออกจากขันน้ำแล้วเหลือไว้หน่อยหนึ่ง ต่อมาก็ทรงเทน้ำออกจนหมดขัน แล้วก็ทรงคว่ำขันลงและสุดท้ายก็หงายขันเปล่า ๆขึ้น

การที่พระองค์สอนพระราชบุตรอย่างนี้ เน้นว่าคนที่พูดเท็จทั้งๆที่รู้ก็เหมือนคนที่ค่อยๆเทคุณงามความดีของตัวเองออกไปทีละน้อยจนไม่มีเหลือเลยดุจเหมือนขันที่ว่างเปล่า ดังนี้แล้วก็ทำให้พระราหุลเข้าใจแจ่มแจ้งเรื่องการพูดเท็จว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีอันเป็นวิสัยของเด็กน้อยที่มักจะหัดโกหกเพื่อเอาตัวรอดนั่นเอง


พระสูตรที่สองเรียกว่า “มหาราหุโลวาทสูตร” ทรงแสดงเมื่อพระราหุลอายุได้ 18 ปีเป็นสามเณรหนุ่มแน่นแล้วว่าด้วยธาตุทั้ง 6และ ต่อด้วยการทำสมาธิด้วยหลักอานาปานสติ

พระสูตรที่สาม ถึง พระสูตรที่หก เรียกว่า “ราหุลสูตร” เหมือนกันทั้งหมดโดยมีเนื้อหาการสอนที่แยกได้สองประเด็นคือ ประเด็นแรกพระองค์สอนให้มองธาตุทั้ง 4 และขันธ์ 5 ว่าเป็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์และเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ส่วนประเด็นที่สองคือสอนให้รู้จักคบกัลยาณมิตร คือเพื่อนที่ดีและรู้จักอยู่ในที่เงียบสงัด รู้จักประมาณในปัจจัยสี่ สำรวมร่างกายมีสติในการเจริญกรรมฐานและให้ลดละทิฐิมานะในตัวตน

พระสูตรสุดท้ายคือ “จูฬาราหุโลวาทสูตรที่ 2” ซึ่งไม่ระบุไว้ว่าแสดงเมื่อพระภิกษุราหุลอายุได้เท่าใดและเนื้อหาพูดถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของขันธุ์ 5 หลังจากฟังธรรมกัณฑ์นี้จบในที่สุดพระภิกษุราหุลก็สำเร็จบรรลุเป็นพระอรหันต์

การสอนพระราชบุตรของพระพุทธองค์น่าสนใจใช่หรือเปล่าครับพระองค์ค่อยๆสอนไปตามหลักธรรมชาติเลือกแสดงพระสูตรตามความเหมาะสมของวัยและให้เข้ากับอุปนิสัยจึงสำเร็จผลได้โดยสะดวก....ฯลฯ....

________________________________________________________________
torthammarak.wordpress.com/2013/10/29/บุตรแห่งพระพุทธเจ้า-ตอน/


พระราหุล ขอบคุณภาพจากโรงหล่อพระบ้านหล่อพิจิตรพุทธปฏิมา

อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค
จูฬราหุโลวาทสูตร เรื่องพระราหุล

     ๑. อรรถกถาอัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตร(บาลีเป็น จูฬราหุโลวาทสูตร)
     อัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
     ในบทเหล่านั้น บทว่า อมฺพลฏฺฐิกายํ วิหรติ ท่านพระราหุลอยู่ ณ ปราสาทชื่อว่า อัมพลัฏฐิกา คือ เมื่อเขาสร้างย่อส่วนของเรือนตั้งไว้ท้ายพระเวฬุวันวิหาร เพื่อเป็นที่อยู่ของผู้ต้องการความสงัด พระราหุลเจริญปวิเวกอยู่ ณ ปราสาทอันมีชื่ออย่างนี้ว่า อัมพลัฏฐิกา.
     ชื่อว่าหนามย่อมแหลมตั้งแต่เกิด.
     แม้ท่านพระราหุลนี้ก็เหมือนอย่างนั้น เจริญปวิเวกอยู่ ณ ที่นั้น ครั้งเป็นสามเณรมีพระชนม์ ๗ พรรษา.

     บทว่า ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้น คือ เสด็จออกจากผลสมาบัติ.
     บทว่า อาสนํ คือ ณ ที่นี้ก็มีอาสนะที่ปูลาดไว้เป็นปรกติอยู่แล้ว พระราหุลก็ยังปัดอาสนะนั้นตั้งไว้.
     บทว่า อุทกาทาเน คือ ภาชนะใส่น้ำ. ปาฐะว่า อุทกาธาเน บ้าง.
     บทว่า อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อามนฺเตสิ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านพระราหุล คือตรัสเรียกเพื่อประทานโอวาท.

               
     :96: :96: :96:

     จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาไว้มากแก่พระราหุลเถระ.
     พระองค์ตรัสสามเณรปัญหาแก่พระเถระไว้เช่นกัน.
     อนึ่ง พระองค์ตรัส ราหุลสังยุต มหาราหุโลวาทสูตร จุลลราหุโลวาทสูตร รวมทั้งอัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตรนี้เข้าด้วยกัน.

     จริงอยู่ ท่านพระราหุลนี้ เมื่อพระชนม์ ๗ พรรษาทรงจับชายจีวร ทูลขอมรดกกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะ ขอได้ทรงประทานมรดกแก่ข้าพระองค์เถิด.
     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมอบให้แก่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระบวชให้.


      :25: :25: :25:

     ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า ชื่อว่าเด็กหนุ่มย่อมพูดถ้อยคำที่ควรและไม่ควร เราจะให้โอวาทแก่ราหุล ดังนี้แล้ว ตรัสเรียกพระราหุลเถระ มีพระพุทธดำรัสว่า
     ดูก่อนราหุล ชื่อว่าสามเณรไม่ควรกล่าวติรัจฉานกถา.
     เธอเมื่อจะกล่าว ควรกล่าวกถาเห็นปานนี้ คือ คำถาม ๑๐ ข้อ การแก้ ๕๕ ข้อ ปัญหา ๑ อุเทศ ๑ ไวยากรณ์ ๑ ปัญหา ๒ ฯลฯ ปัญหา ๑๐ อุเทศ ๑๐ ไวยากรณ์ ๑๐ อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงไม่ทรงละแล้ว.

     พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสามเณรปัญหานี้ว่า เอกนฺนาม กึ อะไรชื่อว่า ๑ สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺฐิติกา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร ฯลฯ ทส นาม กึ อะไรชื่อว่า ๑๐ ทสหงฺเคหิ สมนฺนาคโต อรหาติ วุจฺจติ ผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ เรากล่าวว่าเป็นอรหันต์.

      st12 st12 st12

     พระพุทธองค์ทรงดำริต่อไปว่า ชื่อว่าเด็กหนุ่มย่อมกล่าวเท็จด้วยคำน่ารัก ย่อมกล่าวสิ่งที่ไม่เห็นว่าเราได้เห็นแล้ว กล่าวสิ่งที่เห็นว่าเราไม่เห็น เราจะให้โอวาทแก่ราหุลนั้น แม้แลดูด้วยตาก็เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย จึงทรงแสดงอุปมาด้วยภาชนะใส่น้ำ ๔ ก่อน จากนั้นทรงแสดงอุปมาด้วยช้าง ๒ จากนั้นทรงแสดงอุปมาด้วยแว่น ๑ แล้วจึงตรัสพระสูตรนี้. {อัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตร(บาลีเป็น จูฬราหุโลวาทสูตร ๑.)}

     ทรงแสดงการเว้นตัณหาในปัจจัย ๔ การละฉันทราคะในกามคุณ ๕ และความที่อุปนิสัยแห่งกัลยาณมิตรเป็นคุณยิ่งใหญ่ แล้วจึงตรัสราหุลสูตร.
     เพื่อทรงแสดงว่า ไม่ควรทำฉันทราคะในภพทั้งหลาย ในที่ที่มาแล้วๆ จึงตรัสราหุลสังยุต.
     เพื่อทรงแสดงว่า ไม่ควรทำฉันทราคะอันอาศัยเรือน อาศัยอัตภาพว่า เรางาม วรรณะของเราผ่องใส แล้วจึงตรัสมหาราหุโลวาทสูตร.


      ans1 ans1 ans1

     ในมหาราหุโลวาทสูตรนั้น ไม่ควรกล่าวว่าราหุลสูตร ท่านกล่าวไว้แล้วในกาลนี้.
     เพราะราหุลสูตรนั้นท่านกล่าวด้วยโอวาทเนืองๆ.
     ท่านตรัสราหุลสังยุต ตั้งแต่พระราหุลมีพระชนม์ได้ ๗ พรรษาจนถึงเป็นภิกษุยังไม่มีพรรษา.
     ท่านตรัสมหาราหุโลวาทสูตร ในเมื่อพระราหุลเป็นสามเณรมีพระชนม์ ๑๘ พรรษา
     ท่านตรัสจุลลราหุโลวาทสูตร ในเมื่อพระราหุลเป็นภิกษุได้ครึ่งพรรษา.
     ท่านตรัสกุมารกปัญหา และอัมพลัฏฐิกราหุโลวาทสูตรนี้ ในเมื่อพระราหุลเป็นสามเณรมีพระชนม์ ๗ พรรษา.


    ในพระสูตรเหล่านั้น ท่านตรัสราหุโลวาทสูตร เพื่อโอวาทเนืองๆ
    ตรัสราหุลสังยุต เพื่อถือเอาห้องวิปัสสนาของพระเถระ
    ตรัสมหาราหุโลวาทสูตร เพื่อกำจัดฉันทราคะที่อาศัยเรือน
    ตรัสจุลลราหุโลวาทสูตร เพื่อยึดเอาพระอรหัต ในเวลาที่ธรรมเจริญด้วยวิมุตติ ๑๕ ของพระเถระแก่กล้าแล้ว.

_________________________________________________________
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=125


พระราหุล ที่พิพิธภัณฑ์กรรมฐาน วัดราชสิทธาราม(วัดพลับ)

   เรามาปูพื้นกันก่อน ตามข้อมูลของคุณ ธ.ธรรมรักษ์ ระบุว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราหุลทั้งหมด ๗ พระสูตร แล้วบอกว่า สูตรสุดท้ายที่ทำให้ท่านบรรลุอรหันต์นั้น ไม่ทราบว่าท่านอายุเท่าไร ผมค้นอรรถกถามาให้อ่านกัน ในอรรถกถาบอกว่า
   "ท่านตรัสจุลลราหุโลวาทสูตร ในเมื่อพระราหุลเป็นภิกษุได้ครึ่งพรรษา"
    ผมได้ตรวจสอบดูเนื้อความในสูตรต่างๆแล้ว พบว่า จุลลราหุโลวาทสูตร คือ จูฬราหุโลวาทสูตร(๒) และก็มีเนื้อความเหมือนกับ ราหุลสูตร สูตรเหล่านี้ระบุว่า พระราหุลสำเร็จอรหันต์เมื่อฟังพระธรรมเทศนาจบ


    ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า พระราหุลบรรลุอรหันต์ตอนอายุ ๒๐ ปีเศษ(รวมอายุที่อยู่ในครรภ์ด้วย)
    รู้ไหมว่า ใครเป็นอุปัชฌาย์.? อุปสมบทให้พระราหุล
    ในอรรถกถาราหุลสูตรที่ ๑๑ บอกว่า "ก็พระราหุลได้บรรพชาแล้วอย่างนี้ ถึงความเจริญแล้ว พระสารีบุตรนั้นแลก็ได้ให้อุปสมบท ส่วนพระโมคคัลลานเถระเป็นกรรมวาจาจารย์ของพระราหุลนั้น"


    ......ยังมีต่อ โปรดติดตาม :49:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 20, 2013, 01:11:55 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ask1ถามว่า พระพุทธเจ้าสอนอานาปานสติแก่พระราหุล ในพระสูตรไหน ตอนอายุเท่าไหร่
 ans1ตอบว่า สอนในมหาราหุโลวาทสูตร ตอนอายุ ๑๘ ปี


    มหาราหุโลวาทสูตร(อย่างย่อ)
  ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม. ตรัสสอนพระราหุลในระหว่างที่ท่านตามเสด็จไปบิณฑบาตในเวลาเช้าว่า พึงพิจารณาเห็นรูปทุกชนิด ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน, ภายใน ภายนอก,   หยาบละเอียด, เลว ดี,ไกล ใกล้ ว่ารูปทั้งหมดนั้น มิใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
    พระราหุลกลับจากที่นั้น นั่งคู้บัลลงก์ (ขัดสมาธิ) ณ โคนไม้ตันหนึ่ง ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า พระสารีบุตรเห็นเข้าจึงสอนให้เจริญอานาปาปานสติ (สติกำหนดลมมหายใจเข้าออก). ในเวลาเย็นพระราหุลออกจากที่เร้น เข้าไปเฝ้ากราบทูลถามถึงวิธีเจริญอานาปานสติที่จะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก.


   ๒. พระผู้มีพระภาคตรัสสอนเรื่องรูปภายใน(ร่างกาย) ที่แข้นแข็ง มีผม ขน เป็นต้น ที่เรียกว่าธาติดินภายใน ตลอดจนธาตุน้ำ,ไฟ,ลม ,อากาศ ทั้งภายนอกภายใน ให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุ ไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นตามเป็นจริงอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายธาตุเหล่านั้น ทำจิตให้คลายกำหนด(หรือความติดใจ) ในธาตุเหล่านั้น

  ๓. ครั้นแล้วตรัสสอนให้เจริญภาวนา(อบรมจิต) เสมอด้วยธาตุแต่ละอย่าง ซึ่งผัสสะที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจเกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ได้ โดยชี้ให้เห็นว่า ธาตุเหล่านั้นย่อมไม่แสดงอาการผิดปกติ เช่น เบื่อหน่าย เกลียดชังสิ่งสะอาดหรือสกปรกที่ทิ้งลงไปใส่หรือที่ธาตุเหล่านั้นฝ่านไป.

  ๔. ตรัสสอนให้เจริญ
   เมตตาภาวนา(ไมตรีจิต คิดจะให้เป็นสุข) ซึ่งจะเป็นเหตุให้ละพยาบาท(ความคิดปองร้าย)ได้ ,
   กรุณาภาวนา(เอ็นดู คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์) ซึ่งจะเป็นเหตุให้ละวิหิงสา(การคิดเบียดเบียน)ได้ ,
   มุทิตาภาวนา(พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี) ซึ่งจะเป็นเหตุให้ละอรติ(ความไม่ยินดีหรือริษยา)ได้,
   อุเบกขาภาวนา(วางใจเป็นกลาง) ซึ่งจะเป็นเหตุให้ละปฎิฆะ (ความขัดใจ) ได้,   
   อสุภภาวนา(เห็นความไม่งาม) ซึ่งจะเป็นเหตุให้ละราคะ (ความกำหนัดยินดี) ได้,
   อนิจจสัญญาภาวนา (กำหนดหมายสิ่งที่ไม่เที่ยง) ซึ่งเป็นเหตุให้ละอัสมิมานะ(ความถือตัวถือตนได้).


   ๕. ครั้นแล้วตรัสสอนวิธีเจริญสติกำหนดลมหายใจเข้าออกที่มีเหตุผลมาก มีอานิสงส์มาก ( แบบเดียวกับที่ตรัสไว้ในอานาปานบรรพ คือหมวดว่าด้วยลมหายใจเข้าออกในมหาสติปัฎฐาน ที่ย่อมาแล้วในพระสุตตันตะเล่ม ๒ หน้า ๔

_________________________________________
พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดย อ.สุชีพ  ปุญญานุภาพ
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/5.2.html



อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค
มหาราหุโลวาทสูตร เรื่องพระราหุล

    ๒. อรรถกถามหาราหุโลวาทสูตร (ยกมาแสดงบางส่วน)
     .....แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไปเบื้องหน้าก็ทรงดำริว่า บัดนี้ ราหุลมีร่างกายสมบูรณ์ด้วยผิวเนื้อและโลหิตแล้ว. เป็นเวลาที่จิตฟุ้งซ่านไปในรูปารมณ์เป็นต้นอันน่ากำหนัด. ราหุลยังกาลให้ล่วงไปเพราะเป็นผู้มักมากหรือหนอ. ครั้นแล้วพร้อมกับทรงคำนึงได้ทรงเห็นจิตตุปบาทของราหุลนั้น ดุจเห็นปลาในน้ำใสและดุจเห็นเงาหน้าในพื้นกระจกอันบริสุทธิ์.

     ก็ครั้นทรงเห็นแล้วได้ทรงทำพระอัธยาศัยว่า ราหุลนี้เป็นโอรสของเรา เดินตามหลังเรา มาเกิดฉันทราคะอันอาศัยเรือน เพราะอาศัยอัตภาพว่า เรางาม ผิวพรรณของเราผ่องใส. ราหุลแล่นไปในที่มิใช่น่าดำเนิน ไปนอกทาง เที่ยวไปในอโคจร ไปยังทิศที่ไม่ควรไปดุจคนเดินทางหลงทิศ....


    ....ฯลฯ......

     ask1 ask1 ask1
    .....พระเถระนั้นออกไปอย่างนี้แล้วในวันนั้นได้เห็นพระราหุลภัททะนั่ง ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง.
    ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปจฺฉา คจฺฉนฺโต อทฺทส ท่านพระสารีบุตรไปภายหลังได้เห็นแล้ว.
    เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านพระสารีบุตรจึงชักชวนในอานาปานสติเล่า.
    เพราะสมควรแก่การนั่ง.


     ans1 ans1 ans1
    ได้ยินว่า พระเถระมิได้นึกถึงว่า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรูปกรรมฐานแก่พระราหุลนั้นแล้ว
    คิดว่า กรรมฐานนี้สมควรแก่การนั่งนี้ของพระราหุลนั้น
    โดยอาการที่พระราหุลนี้นั่งติดอยู่กับอาสนะอันไม่ไหวติง จึงกล่าวอย่างนี้....

    ....ฯลฯ......

_____________________________________________________
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=133
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า

Mario

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 208
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
hero ผู้ปราบอธรรม มาแว้ว
มาเพราะยายกบ เป็นคนชวน
ฝากตัวด้วยไม่ถนัดเว็บ ธรรม
แต่เป็น hero ต้องไม่กลัว ธรรม

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ขออภัย ยังไม่ตอบไม่เสร็จครับ มีบางอย่างคาใจอยู่ กำลังเรียบเรียงข้อมูล :49:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 thk56
  ตอบได้ขนาดนี้ ก็เยี่ยมแล้ว คะ พี่

  :25: :25:
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ

MICRONE

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 310
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
อบอุ่นใจด้วยคุณธรรม จุดเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ว่าด้วยจักษุ ๕ ประการ

      คำว่า พระผู้มีพระภาคผู้มีพระจักษุ ความว่า พระผู้มีพระภาคมีพระจักษุ ด้วยจักษุ ๕ ประการ คือ
         มีพระจักษุแม้ด้วยมังสจักษุ ๑
         มีพระจักษุแม้ด้วยทิพยจักษุ ๑
         มีพระจักษุแม้ด้วยปัญญาจักษุ ๑
         มีพระจักษุแม้ด้วยพุทธจักษุ ๑
         มีพระจักษุแม้ด้วยสมันตจักษุ ๑.....ฯลฯ....


     "พระผู้มีพระภาคมีพระจักษุแม้ด้วยพุทธจักษุอย่างไร.?
     พระผู้มีพระภาคเมื่อทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม ผู้ควรแนะนำได้โดยง่าย ผู้แนะนำได้โดยยาก บางพวกเป็นผู้เห็นโทษและภัยในปรโลกอยู่.
     ในกอบัวเขียว ในกอบัวแดง หรือในกอบัวขาว ดอกอุบล ดอกบัวแดง หรือดอกบัวขาว บางดอกเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ขึ้นตามน้ำ จมอยู่ในน้ำ อันน้ำหล่อเลี้ยงไว้ บางดอกเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ตั้งอยู่เสมอน้ำ บางดอกเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ โผล่ขึ้นพ้นน้ำ น้ำไม่ติด แม้ฉันใด


     พระผู้มีพระภาคเมื่อทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพระพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์ผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ มีอินทรีย์กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม ผู้แนะนำได้โดยง่าย ผู้แนะนำได้โดยยาก บางพวกเป็นผู้เห็นโทษและภัยในปรโลกอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน.

     พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบว่า บุคคลนี้เป็นราคจริต บุคคลนี้เป็นโทสจริต บุคคลนี้เป็นโมหจริตบุคคลนี้เป็นวิตักกจริต บุคคลนี้เป็นศรัทธาจริต บุคคลนี้เป็นญาณจริต.
     พระผู้มีพระภาคย่อมตรัส บอกอสุภกถาแก่บุคคลผู้เป็นราคจริต.
     ย่อมตรัสบอก เมตตาภาวนาแก่บุคคลผู้เป็นโทสจริต.
     ทรงแนะนำบุคคลผู้เป็นโมหจริตให้ตั้งอยู่ในการเรียน ในการไต่ถาม ในการฟังธรรมตามกาลอันควร ในการสนทนาธรรมตามกาลอันควร ในการอยู่ร่วมกับครู.
    ย่อมตรัส บอกอานาปาณสติ แก่บุคคลผู้เป็นวิตักกจริต.
     ย่อมตรัสบอก พระสูตรอันเป็นนิมิตดี ความตรัสรู้ดีแห่งพระพุทธเจ้าความเป็นธรรมดีแห่งพระธรรม ความปฏิบัติดีแห่งพระสงฆ์ และศีลทั้งหลายของตน อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แก่บุคคลผู้เป็นศรัทธาจริต.
     ย่อมตรัสบอก ธรรมอันเป็นนิมิตแห่งวิปัสสนาซึ่งมีอาการไม่เที่ยง มีอาการเป็นทุกข์ มีอาการเป็นอนัตตา แก่บุคคลผู้เป็นญาณจริต.

_______________________________________________________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส สาริปุตตสุตตนิทเทสที่ ๑๖
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=29&A=10137



ask1
ทำไมพระพุทธเจ้า ไม่สอนอานาปานสติ แก่พระราหุล ก่อน ครับ
 จากข้อความ โอวาทพระพุทธเจ้า สอนพระราหุล โดยตรง สามสูตร ไม่สอนอานาปานสติ ก่อนเพราะอะไรครับ ในขณะที่ พระสารีบุตร อุปัชฌาย์ สอน พุทธานุสสติ และ อานาปานสติ แก่พระราหุล


 thk56 :25:


     ans1 ans1 ans1

    ขอให้พิจารณา"มหาราหุโลวาทสูตร" เห็นชัดว่า ท่านพระราหุลให้ละ "กามราคะ และปฏิฆะ" (ในเวลานั้นพระราหุลกำลังเป็นหนุ่มอายุเพียง ๑๘ ปี) หากนำสังโยชน์ ๑๐ มาพิจารณา อาจกล่าวได้ว่า บุคคลที่ละกามฉันทะและปฏิฆะได้ ต้องเป็นอนาคามี ดังนั้นพระราหุลในเวลานั้นน่าจะมีคุณธรรมในระดับ "สกทาคามี" การประทานพระสูตรนี้ให้พระราหุล น่าจะมีจุดประสงค์ให้ใช้ปฎิบัติในขั้นอนาคามีมรรค พระสูตรนี้ไม่ได้บอกว่า หลังจากฟังพระธรรมเทศนาจบ พระราหุลได้มรรคผลขั้นไหน

      แต่ในจูฬราหุโลวาทสูตรที่ ๒ ระบุชัดเจนว่า หลังจบพระธรรมเทศนา พระราหุลสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นจึงคาดว่า ในเวลาพระพุทธเจ้าประทานจูฬราหุโลวาทสูตรที่ ๒ ให้พระราหุล พระราหุลน่าจะได้อนาคามีผลหรือ อรหันตมรรคแล้ว

      กลับมาที่การสอนอานาปานสติในมหาราหุโลวาทสูตร
      หากถามว่า ทำไมเพิ่งมาสอนในสูตรนี้
      ตอบว่า พระพุทธเจ้ามีพุทธจักษุ รู้อินทรีย์แก่อ่อน รู้จริต รู้ว่าควรจะให้กรรมฐานใด เมื่อไหร่ เรื่องเหล่านี้จัดเป็นพุทธวิสัย เป็นเรื่องอจินไตย คิดมากไม่ได้ เพราะสาวกไม่อาจอ่านใจพระพุทธเจ้าได้
      อย่างไรก็ตาม เมื่อถามมาก็ต้องเดา ขอเดาว่า จิตขอพระราหุลก่อนที่จะประทานมหาราหุโลวาทสูตร ยังไม่เหมาะที่จะให้อานาปานสติกรรมฐาน พระพุทธองค์อาจคิดว่า ต้องรอให้พระราหุลเป็นสกทาคามีก่อน เราจึงจะให้อานาปานสติกรรมฐาน หรือไม่ก็ท่านเห็นควรรอให้พระสารีบุตร สอนอานาปานสติแก่พระราหุลก่อน จากนั้นเมื่อพระราหุลมาถามเรา เราจะสอนโดยพิสดาร


      เป็นที่น่าสังเกตว่า พระสารีบุตรสอนอานาปานสติให้พระราหุลในตอนเช้า พระพุทธเจ้าสอนพระราหุลในตอนเย็น เป็นการสอนในวันเดียวกัน
      คำถามมีอยู่ว่า ทำไมพระสารีบุตรไม่สอนอานาปานสติให้พระราหุล ในเวลาที่พระราหุลอายุยังเยาว์
      ตอบว่า พระสารีบุตรอาจเล็งเห็นแล้วว่า จิตของพระราหุลยังไม่เหมาะกับกรรมฐานนี้

     
      สรุปแล้ว ผมหาคำตอบไม่ได้ ที่กล่าวไปก็แค่คุยเป็นเพื่อนเท่านั้น :49:


     
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2013, 12:46:42 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

rainmain

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 323
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 gd1 gd1 gd1
วิเคราะห์ได้เยี่ยมมาก ผมเคยฟังในรายการ เสียงพระอาจารย์ ท่านกล่าวว่า เพราะระดับของ สามเณรราหุลนั้นยังไม่พร้อมที่จะปฏิบัติ กรรมฐานที่ละเอียดในขณะนั้น เพราะท่านมีความปรารถนา เรียนอย่างละเอียด ดั่งเช่นพระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญามาก เหมือนคนอานาปานสติปฏิสัมภืทามรรค แล้ว ก็อ่านไม่เข้าใจในรอบเดียว ต้องซ้ำอ่านกันหลาย ๆ รอบ ก็จะเริ่มเข้าใจ แต่ถึงจะเข้าใจก็ไม่แทงตลอดต้องภาวนาตามมาเป็นลำดับด้วย ถึงจะแจ้งตาม


  st11 st12
บันทึกการเข้า
คิดดี พูดดี ทำดี เป็นกุศล และ กรรมฐาน เป็นมหากุศล นะครับ