ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตาบอดลักควาย  (อ่าน 2746 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ตาบอดลักควาย
« เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2013, 12:13:29 pm »
0

ตาบอดลักควาย

      มีกระทาชายนายตาบอดคนหนึ่ง เกิดมีความคิดประพฤติชั่วริอ่านเป็นขโมยเข้าไปลักควาย เขาจับควายได้ตัวหนึ่ง จึงขึ้นขี่หลังแล้วตีควายให้เดินเรื่อยไป หวังจะรีบหนีไปให้พ้น ก่อนที่เจ้าของเขาจะตื่นขึ้นมาในตอนสว่าง ควายก็เดินเรื่อยไป แต่จะเดินไปถึงไหนอย่างไร เจ้าบอดขโมยควายนั่งอยู่บนหลังก็หารู้ไม่ ได้แต่นึกคะเนเอาในใจว่า ควายมันพามานานนักหนา คงจะหนีเจ้าของมาได้ไกลแล้ว...แต่

      "เฮ้ย.! เจ้าบอด..นั่นเอ็งนึกสนุกขึ้นมาอย่างไรล่ะ จึงได้มาขี่ควายของข้าเล่นแต่เช้ามืด...ระวังให้ดีหนา เดี๋ยวตกลงมาควายมันจะเหยียบเอาตาย.! เพราะควายนั้นมันติดจะดุๆอยู่ด้วย..."


       :41: :41: :41:

      เสียงเจ้าของควายซึ่งพึ่งตื่นขึ้นมาล้างหน้าในตอนเช้า ตะโกนบอกมาจากบนบ้านด้วยความหวังดี.!
      พอได้ยินเสียงเจ้าของควายร้องบอกมาดังนี้นั่นแหละ กระทาชายนายบอดขโมยควายจึงได้สติสำนึกรู้ว่า แผนการณ์ขโมยของตนนั้นพลันล้มเหลวเสียแล้ว เสียดายแรงที่อุตส่าห์ลงทุนนั่งบนหลังควาย ไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน นึกว่าคงไปได้ไกลแล้ว แต่ที่ไหนได้เจ้าควายจัญไรมันพาเดินวนเวียนอยู่รั่วบ้านนั่นเอง.!
      หลงตีควายเสียย่ำแย่ แต่ควายมันไม่รู้ว่าจะให้ไปทางไหน.?
      ในที่สุดก็ต้องพาเดินวนเวียนอยู่แต่ภายในรั่วบ้าน จนเจ้าของเห็นเข้าในตอนสว่างนั่นแหละ

       :96: :96: :96:

      อุปมานี้ฉันใด... ปุถุชนที่ถูกอวิชชาเข้าครอบงำดวงใจ ทำให้ปัญญาจักษุมืดมน ย่อมเปรียบได้กับกระทาชายนายตาบอดลักควาย ที่กล่าวมาแล้วไม่ผิดเพี้ยน เลยทีเดียวเพราะจะต้องท่องเที่ยวเวียนวนลัดเลาะอยู่ภายในรั่วแห่งวัฏสงสารอย่างไม่มีวันสิ้นสุด โดยที่ตนเป็นคนตาบอด จึงไม่สามารถมองเห็นลู่ทางที่จะนำตนออกไปได้!

_____________________
ที่มา : โพธิธรรมทีปนี
board.palungjit.org/f4/ตาบอดลักควาย-199291.html
ภาพจาก http://sv6.postjung.com/

      :49: :49: :49:

กระทาชาย หมายถึง คนผู้ชาย. เป็นคำที่นิยมใช้ในการเล่านิทาน เช่นว่า "กาลครั้งหนึ่ง มีกระทาชายนายหนึ่งเป็นคนตลก ใคร ๆ ก็อยากพูดคุยด้วยเพราะทำให้ได้หัวเราะกันเป็นการคลายเครียด."   
     คำว่า กระทาชาย นี้ โบราณใช้ว่า กระไทชาย เช่นที่ปรากฏในเรื่องมหาชาติคำหลวง ตอนพระนางมัทรีฝันเห็นชายร่างกำยำว่า "อันว่ากระไทชายผู้หนึ่งดำดูกำยำโสดแล."
     คำว่า กระไทชาย เพี้ยนมาจากคำว่า ข้าไทชาย นั้นเอง.
     ข้าไท หมายความว่า ผู้รับใช้ บริวาร.
     คำว่า ข้าไทชาย กลายมาเป็น กระไทชาย แล้วมาเป็น กระทาชาย อีกทอดหนึ่ง.

_____________________________________________________________________
ผู้เขียน ศ. ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต ประเภทวรรณศิลป์ สาขาวิชาภาษาไทย สำนักศิลปกรรม
http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=11
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2013, 12:33:38 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ตาบอดลักควาย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2013, 12:32:53 pm »
0


คำว่า วัฏสงสาร แยกเป็น ๒ ศัพท์ คือ วัฏ + สงสาร

    วัฏฏะ แปลว่า วน หรือ หมุน มีอยู่ ๓ อย่าง คือ
    ๑. กิเลสวัฏฏ์ วน คือ กิเลส ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
    ๒. กรรมวัฏฏ์ วน คือ กรรม ได้แก่ ภพ สังขาร
    ๓. วิปากวัฏฏ์ วน คือ วิบาก ได้แก่วิญญาณนาม รูป อายตนะ ๖ ผัสสะ เวทนา

เพราะกิเลสมีอยู่ จึงเป็นเหตุให้ทำกรรมที่เป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง เพราะทำกรรม จึงเป็นเหตุให้เกิดผลแห่งกรรม เพราะผลของกรรมจึงเป็นเหตุให้กิเลสเกิดขึ้นอีก และทำกรรมอีก เกิดวิบากอีก ในที่สุดก็วนกันไปวนกันมาอย่างนี้ จนหาเบื้องต้นและที่สุดไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจทั้ง ๔ จากนั้นก็ไม่สามารถที่จะออกจากภพ หรือจากโลกได้ เหมือนตาบอดลักควาย หรือพายเรือในหนอง ฉะนั้น


      :41: :41: :41:

      นิทานคนตาบอดลักควาย คนตาบอดริอ่านเป็นขโมย เข้าไปลักควายเขา จับควายได้แล้วขึ้นขี่หลังตีควายเรื่อยไป ควายก็เดินวนอยู่ในคอกเรื่อยไป แต่ควายจะเดินไปถึงไหนอย่างไรก็หารู้ไม่ ตีควายเรื่อยไปจนสว่าง นึกว่าคงไปไกลแล้ว ที่แท้ควายเดินวนอยู่ในรั้วบ้านนั่นเอง จนเจ้าของตื่นขึ้นมาเห็น และร้องถามว่า นั่นจะเอาควายเขาไปไหน จึงรู้สึกว่าตนหลงตีควายเสียแย่ ในที่สุดก็วนเวียนอยู่ในรั้วบ้านนั่นเอง

      การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตาของตัวบอดไม่แลเห็นทางออก จึงได้วนอยู่ไม่รู้จักสิ้นสุด ข้อนี้ฉันใด ปุถุชนที่ถูกอวิชชาครอบงำอยู่ก็ฉันนั้น ไม่เห็นอริยสัจ ไม่เห็นลู่ทางที่จะสลัดออกไปจากโลก หรือจากกองทุกข์ได้ ไม่ผิดอะไรกับคนตาบอดลักควายดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
      เพราะเหตุฉะนั้น เราท่านทั้งหลายจึงพากันท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในสังสารวัฏไม่รู้จักสิ้นสุด
      ส่วนอุปมาคนพายเรือในหนอง กระจ่างดีอยู่แล้ว ถึงจะพายไปจนเมื่อย จะช่วยกันสักสิบพาย ก็พายวนอยู่ในหนองนั่นเอง





      ถ้าเห็นอริยสัจ ๔ แล้ว จะพ้นทุกข์ พ้นวัฏฏะ พ้นสังสาร ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก มีหลักฐานอ้างอิงปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ หน้า ๕๓๖ - ๕๔๒ ว่า

      จตุนนัง อริยสัจจานัง ยลาภูตัง อทัสสนา
      สังสริตัง ทีฆมัทธานัง ตาสุ ตาเสวว ชาตีสุ

      การที่เราท่านทั้งหลาย ได้พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร
      ตลอดกาลนานหลายหมื่นหลายแสนชาติ ก็เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง


จาก "วิปัสสนากรรมฐาน" ภาค ๒ โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี
http://www.dharma-gateway.com/monk/p...p-vilas-03.htm
ขอบคุณภาพจาก
http://www.vcharkarn.com/
http://www.oknation.net/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

waterman

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 302
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตาบอดลักควาย
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2013, 12:56:17 pm »
0
 st11 st12 thk56
บันทึกการเข้า

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ตาบอดลักควาย
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2013, 04:00:53 am »
0
 st11 st12 thk56
บันทึกการเข้า