ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วัณณุปถชาดกว่าด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน  (อ่าน 2472 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์


วัณณุปถชาดกว่าด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน

วัณณุปถชาดก "นายวาณิชสามารถนำพาหมู่คณะเดินทางไปสุ่จุดหมายปลายทางได้โดยสวัสดิภาพ แม้ในระหว่างการเดินทางจะเจออุปสรรคแต่เขาก็สามารถใช้ความเพียรก้าวข้ามปัญหาไปได้"

 ณ พระเชตะวันมหาวิหารในพุทธกาลครั้งนั้น หมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจำพรรษาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ต่างขยันหมั่นเพียรศึกษาพระธรรมวินัย และเกื้อกูลกันเป็นอันดี ภิกษุรูปหนึ่งประพฤติตนเรียบร้อย ขยันหมั่นเพียรในพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่รักของภิกษุในพระเชตวัน
ตลอด 5 ปีที่อุปสมบท “ท่านขยันหมั่นเพียรดีนัก” “เออ ดีๆๆ ท่านนะ จะบรรลุแจ้งในธรรมของพระพุทธองค์ได้แน่ๆ” “เราจะขยันหมั่นเพียร ประพฤติธรรมจนถึงพระนิพพานให้ได้” ภิกษุหนุ่มศึกษาพระปริยัติธรรมจนแตกฉานก็ปรารถนาจะเจริญภาวนาเพื่อบรรลุมรรคผลพระนิพพาน จึงกราบลาพระบรมศาสดาออกวิปัสสนาในป่าลึก
 ตลอดเวลา 3 เดือนในฤดูเข้าพรรษาพระภิกษุรูปนี้ปรารภความเพียรอย่างหนัก แต่ไม่ประสบความสำเร็จไม่สามารถทำใจให้สงบได้เลย “เฮ้อ..เมื่อไหร่จิตใจเราจะสงบได้เสียที มีแต่เรื่องทางโลกรบกวนสมาธิ แค่บรรลุปฐมญาณยังแสนยากหนอ” เมื่อการปฏิบัติมิได้เป็นไปตามที่คาดหวัง ภิกษุผู้ภาคเพียรก็ยิ่งท้อใจ
 “ชาตินี้เราคงไม่อาจบรรลุธรรมได้แน่  เฮ้อ..ควรจะกลับไปยังพระอารามเชตวันเสียที” เมื่อคิดได้ดังนั้นภิกษุผู้ท้อแท้ก็เดินทางออกจากป่าสู่เขตวิหารเชตวันดังเก่า “กลับไปปฏิบัติรับใช้พระพุทธองค์ ไปฟังพระธรรมเทศนาให้ชื่นใจ ดีกว่ามานี่หวังบรรลุธรรมลมๆ แล้งๆ เช่นนี้ เฮ้อ..พอกันที”
 เพื่อนพระภิกษุสงฆ์เมื่อเห็นท่านกลับมาอย่างสิ้นหวังก็พากันปลอบโยนและชักชวนไปเฝ้าพระพุทธโอวาทต่อพระบรมศาสดา “อย่าเสียใจไปเลยท่าน ค่อยเพียรภาวนาไปก็ได้ สักวันคงจะเห็นผล” “นั่นซิ เราไปเฝ้าขอโอวาทพระบรมศาสดากันเถอะ เผื่อพระองค์จะทรงชี้ทางสว่างให้ท่านได้บรรลุมรรคผล”
“อือ..ก็ดีนะท่าน พระพุทธโอวาทแก้ปัญหาและปลดทุกข์ปวงชนมามากมายนักแล้ว” วาระนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานสติปัญญาและกำลังใจให้ภิกษุนั้นได้ปฏิบัติธรรมต่อไป พระองค์ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณแล้วตรัสเล่า วัณณุปถชาดก ดังนี้
ในอดีตกาลมีนายวาณิชชาวพาราณสีคนหนึ่งบรรทุกสินค้าไปขายต่างเมืองเป็นประจำ วันหนึ่งวาณิชผู้นี้ต้องนำกองเกวียนข้ามทะเลทรายเป็นทางไกลถึง 60 โยชน์ “โห้ย....คราวนี้ต้องเดินทางไกลยิ่งนัก เฮ้อ ทั้งไกลทั้งร้อน ผ่านทะเลทรายอีกต้องลำบากมากขึ้นแน่ๆ”
ในการเดินทางครั้งนั้นผ่านผืนทรายร้อนจัดมากจึงต้องหยุดในเวลากลางวันและออกเดินทางในเวลากลางคืนแทน “ตะวันสูงขึ้นแล้ว ต้องรีบพักก่อนจะถูกเผาจนตัวเกรียม หยุดก่อนทุกคน หยุดพักกันได้เราจะพักจนพระจันทร์ขึ้นแล้วค่อยไปต่อ” “เฮ้อ..ได้พักซะที เดินทางมาทั้งคืนแหละ....นอนดีกว่า..ง่วง”
 “อ้าว..อะไรจะหลับง่ายปานนี้ พักปุ๊บหลับปั๊บ ตื่นมากินกันก่อนซิ” นายกองเกวียนพ่อค้าใหญ่จะหยุดให้คนและโคได้พักผ่อนเช่นนี้เสมอจนกระทั่งระยะทางเหลืออีกแค่ 1 โยชน์หรือ 16  กิโลเมตร ก็จะพ้นเขตทะเลทราย เมื่อได้หยุดพักทุกคนก็ชะล่าใจ ดื่มน้ำและกินอาหารจนหมด “ฮะ ฮ่า ฮ้าๆ มีความสุขจริงๆ กินๆๆๆ
  กินกันให้เต็มที่ไปเลยพรุ่งนี้ก็ถึงในเมืองแล้ว ฮะฮ่า” “ใช่ๆๆ ต้องกินให้หมดเกลี้ยงเก็บไว้ก็หนัก เดี๋ยวก็ถึงที่แล้วค่อยไปหาของอร่อยๆ ในเมืองกินต่อ” “อูย อิ่มจนลุกไม่ขึ้นแล้วนี่” เมื่อได้เวลาเดินทาง ต้นหนคนนำทางก็ขับเกวียนออกนำหน้าดังเคย เกวียนทุกเล่มก็ขับตามๆ กันไปโดยอาศัยดูทิศดวงดาว
 “อ้าวทุกคน เตรียมตัวออกเดินทางได้” “ฮุยเลฮุย..เดินทางกันเร็วๆ จะได้ถึงเมืองไวๆ” “โอ้ย...ยังอิ่มอยู่เลยกินไปเยอะเกิน ขอนอนต่อในเกวียนแล้วกัน สายลมเย็นของทะเลทรายยามค่ำคืนและเสียงเอี๊ยดอ๊าดของกงล้อประสานกันกลายเป็นดนตรีกล่อมจนต้นหนผู้นำทางเผลอหลับ “เฮ้อ ลมเย็นดีจังเลย บรรยากาศก็ดี เห้อ.....”
 “อย่าหลับซิลุง ข้าไม่รู้จักทางนะ” “เออ ตรงไปก่อนๆ เดี๋ยวข้าบอกทางให้น่ะ....ครอกๆๆ...” เมื่อเป็นเช่นนี้กองเกวียนของนายวาณิชแทนที่จะถึงจุดหมายกลับหลงทางเดินวนกลับมาอยู่ที่เดิมโดยไม่มีใครสังเกตรู้สักนิดก็หาไม่ “โอ๊ย เมื่อไหร่จะถึงซะที เหนื่อยแล้วน่ะ” “เออน่า แกอย่าบ่นเลย เดี๋ยวก็ถึงแล้วมั้ง”
 นั่นซิ แกอย่าบ่นเลย เดินทางต่อไปเถอะ” กว่ากองเกวียนจะรู้ว่าหลงทางก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งเดินไกลแดดยิ่งแรงยิ่งแผดกล้า “เฮ้ย..นี่พวกเราหลงทางกั
นหรือเนี่ย ข้าวปลาน้ำดื่มก็หมดแล้ว” “โอ้ย หิวน้ำ หิวข้าวด้วย หิวๆๆๆ” “เออ อย่าบ่นซิ ยิ่งบ่นก็ยิ่งหิว เมื่อคืนไม่น่ากินให้หมดเลย..อด”
 นายวาณิชผู้นำกองเกวียนเป็นผู้ใหญ่มีความสุขุมรอบคอบ จึงออกสำรวจหาทางแก้ไข “ตัวเราจะละทิ้งความเพียรไม่ได้ หมู่คณะจะพากันตายเป็นแน่ เราต้องอดทน ความหวังต้องมีซินะ ผู้เพียรพยายามไม่เคยสิ้นหวังนี่น่า” นายวาณิชเดินสำรวจเส้นทางไปอย่างไม่ละความพยายาม
  “นั่นไง ตรงนี้มีหญ้าขึ้นก่อหนึ่งแสดงว่าข้างล่างต้องมีน้ำ ความหวังอยู่ข้างล่างพื้นทรายนี้เอง” “เฮ้ย..พวกเจ้ามาทางนี้เร็ว” “ไปไหนรึท่าน ข้าจะไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว ท่านอย่าบอกนะว่าให้เดินทางไปตายเอาดาบหน้า” “ไม่ใช่ ข้าเจอแหล่งน้ำแล้วต่างหาก พวกเจ้าช่วยกันนำจอบนำเสียมมาเถอะ เร็วๆ เข้าพวกเราจะมีน้ำดื่มแล้ว”
  ด้วยความดีใจบริวารทั้งหมดช่วยกันคนละไม้คนละมือ ระดมพลังกันขุดหาน้ำที่อยู่ใต้ผืนทรายเป็นการใหญ่ “โอ้..โอ๊ย เหนื่อย หิวน้ำ จะไม่ไหวอยู่แล้วนี่ โอย” “เฮ้อ เหนื่อยจังเลย ขุดตั้งนานแล้วยังไม่เห็นมีน้ำสักหยด” “โอย ขุดลึกแค่ไหนก็เจอทรายกับทราย เหนื่อย” เมื่อขุดไม่พบน้ำทุกคนก็หมดหวัง
 ยิ่งพบแผ่นหินอยู่ก้นหลุม ก็ยิ่งท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก “เฮ้อ ทุกคนต่างสิ้นหวังกันหมด ไม่ได้ เราจะเป็นอย่างทุกคนไม่ได้ เราต้องเพียรพยายามขุดต่อไปจนกว่าจะเจอน้ำ” นายวาณิชไม่ยอมสิ้นหวัง เขาแนบกายลงเอาหูฟังยังแผ่นหินอย่างตั้งใจ “โอ้ เสียงข้างล่างตรงนี้ มันเสียงน้ำนี่
 ใช่แล้วเสียงน้ำไหลมากมายเลย เฮ้ย..มาช่วยกันขุดตรงนี้เร็ว มีน้ำแน่ๆ” “ได้เลยท่าน ข้ายังมีแรงพอ นี่แน่ะๆๆๆ” หนุ่มคนสนิทร่างใหญ่เมื่อออกแรงทุบไม่กี่ครั้ง หินแผ่นนั้นก็แหลกทะลายลง บังเกิดเป็นลำน้ำพุ่งขึ้น เป็นน้ำพุขนาดใหญ่ ชาวกองเกวียนเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
 “ไชโย ในที่สุดเราก็เจอน้ำ” “รอดตายเพราะเจ้านายขยันแท้ๆ” น้ำใต้ผืนทรายช่วยต่อชีวิตให้ทุกๆ คนให้มีเรี่ยวแรงหุงหาอาหารดื่มกินเพื่อรอเดินทางใหม่อีกครั้ง “พวกเธอ พึงจำไว้เถิดความหวังย่อมมีอยู่เสมอ ในชนผู้ไม่เกียจคร้าน” จันทร์ประดับฟ้าสีครามคืนนั้น นายวาณิชได้พากองเกวียนสู่จุดหมายโดยสวัสดิภาพ
  “เย้ๆๆ ถึงเขตเมืองแล้ว” เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสวัณณุปถชาดกจบแล้ว ทรงแสดงอริยสัจ 4 โดยเอนกปริยายโปรดภิกษุผู้ท้อถอยให้บรรลุธรรม ณ ที่นั้น
 
ผู้ที่มีความเพียร ย่อมมีความก้าวหน้า ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยความบากบั่น ความพยายาม ความอุตสาหะ ความหมั่นเพียรไม่ท้อแท้ท้อถอยย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต ดังตัวอย่างใน วัณณุปถชาดก ที่กล่าวมาข้างต้น

ในสมัยพุทธกาลคนสนิทนายวาณิช กำเนิดเป็น ภิกษุผู้ท้อถอยความเพียร
หมู่คณะชาวกองเกวียน กำเนิดเป็นพุทธบริษัท
พ่อค้าหัวหน้ากองเกวียน เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า
 
อกิลาสุโน วณฺณปเถ ขณนฺตา  อุทงฺคเณ ตตฺถ ปป อวินฺทํ
เอวํ มุนิ วิริยพลูปปนฺโน  อกิลาสุ วิทฺเท หทยสฺส สนฺติ
 
ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่ทางทราย
ได้พบน้ำในทางทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้ง ฉันใด
มุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรกำลัง
เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจฉันนั้น
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
    • ดูรายละเอียด
Re: วัณณุปถชาดกว่าด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2015, 04:42:31 pm »
 st11 st12 st12
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ