ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "ภูเขาทอง" สวรรค์ใกล้เกาะรัตนโกสินทร์  (อ่าน 1419 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




"ภูเขาทอง" สวรรค์ใกล้เกาะรัตนโกสินทร์

ซีเคร็ตอาสาพาคุณ ๆ ไปสร้างศรัทธาให้จิตใจผ่อนคลายสบายใจด้วยการเดินทางไปสู่สวรรค์ แต่ที่สำคัญสวรรค์ที่ว่านั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแค่ใกล้ ๆ เกาะรัตนโกสินทร์รอบนอกเท่านั้น ที่นี่คือ ภูเขาทอง นั่นเอง

@@@@@@

จาก“วัดสะแก”สู่“วัดสระเกศ”

เดิมทีวัดนี้มีชื่อว่า“วัดสะแก”เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ฝั่งพระนคร ซึ่งปรากฏหลักฐานการสร้างมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาจนรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์โปรดเกล้าฯให้บูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะและสิ่งก่อสร้างในวัดทั้งหมดแล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดสระเกศ” เพื่อระลึกถึงครั้งที่ยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงยกทัพกลับจากเขมร เพื่อหมายปราบเหตุจลาจลในกรุงธนบุรี

เมื่อถึงวัดสะแกด้วยชัยภูมิอันเป็นมงคล จึงมีพระดำริให้ประกอบพิธีมูรธาภิเษกหรือพิธีชำระพระเกศา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ตรงบริเวณสระน้ำใหญ่อันเป็นที่ตั้งของหอไตรในปัจจุบัน

@@@@@@

ที่มาของภูเขาทอง

ภูเขาทองเกิดจากการแก้ไขปัญหาด้วยพระปรีชาของรัชกาลที่4ย้อนกลับไปเมื่อครั้งแผ่นดินรัชกาลที่3 ครั้งนั้นพระองค์มีพระราชดำริให้สร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ขึ้นเช่นเดียวกับวัดภูเขาทองที่กรุงศรีอยุธยา หากแต่เป็นเจดีย์อย่างพระปรางค์วัดแจ้งและมีขนาดไล่เลี่ยกันด้วยพร้อมกับพระราชทานชื่อว่า“พระเจดีย์ภูเขา”

ทว่าเมื่อเริ่มการก่อสร้างกลับประสบปัญหาสำคัญในเรื่องความอ่อนนุ่มของสภาพพื้นดินทำให้ฐานราก บางส่วนของพระเจดีย์ใหญ่ทรุดเอียงจำต้องแก้ไขกันหลายครั้งยืดเยื้อมาจนถึงแผ่นดินรัชกาลที่ 4 พระเจดีย์ภูเขาก็ยังไม่สมบูรณ์พระองค์ จึงมีพระราชกระแสให้เสริมความมั่นคงโดยรอบซ่อมแปลงพระเจดีย์ฐานกว้างให้กลายเป็นทรงกระบอกอย่างภูเขา พร้อมกับโปรดเกล้าฯให้สร้างพระเจดีย์ทรงระฆังตามพระราชนิยมขึ้นเหนือยอดนั้นด้วย ภูเขาทองที่เรารู้จักในปัจจุบันจึงมีที่มาด้วยประการฉะนี้




ใครอยากไปสวรรค์…ยกมือขึ้น

ดินแดนสวรรค์ที่เราจะพาคุณไปสัมผัสคือภูเขาทองแห่งวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “บรมบรรพต” ภูเขาจำลองหนึ่งเดียวของกรุงเทพฯซึ่งโดดเด่นด้วยพระเจดีย์สีทองงามตระหง่านเห็นได้แต่ไกล

@@@@@@

ปีนบันไดขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อนมัสการพระเจดีย์จุฬามณีณสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

คงไม่แปลกที่หลายคนจะรู้จักภูเขาทองและวัดสระเกศจากงานวัดภูเขาทองและจากคำพูดชวนขนลุกขนพองเช่น “ไปดูแร้งวัดสระเกศเปรตวัดสุทัศน์” แต่จะมีคนไทยสักกี่มากน้อยที่ได้สัมผัสวัดนี้อย่างจริงจัง รวมถึงได้รู้ว่า หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพุทธทั่วโลกควรได้สักการะครั้งหนึ่งในชีวิตนั้นประดิษฐานอยู่ที่นี่

เมื่อเราไต่ระดับขึ้นบันไดวนรอบเขามาจนถึงชั้นพักสุดท้ายจำนวนขั้นบันได ก็เริ่มแตะหลักร้อยเบื้องหน้าของเราคือโถงขนาดย่อมที่ประดิษฐานหมู่พระพุทธรูป ซึ่งทางวัดได้จัดดอกไม้ธูปเทียนไว้ให้ประชาชนได้สักการบูชา

@@@@@@

จากนั้นบันไดอีกไม่กี่ขั้นจะนำคุณเข้าไปสู่ใจกลางโถงชั้นใน อันเป็นส่วนสำคัญที่สุดของภูเขาทอง ซึ่งก็คือพระเจดีย์ศิลาศิลปะอินเดียแบบปาละที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุองค์จริง ที่มีความเก่าแก่แต่ครั้งพุทธกาลหรือกว่า 2,500 ปีมาแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดส่วนของพระบรมสารีริกธาตุที่โทณพราหมณ์ได้แจกจ่ายให้แก่ แปดเมืองสำคัญของอินเดียหลังการถวายพระเพลิงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

(ปัจจุบันพระบรมสาริริกธาตุในผอบแก้วประดิษฐานบนยอดพระบรมบรรต ในเจดีย์บริวาร ฝั่งพระวิหาร โดยมีห้องนิรภัยอย่างดี เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้เข้ากราบสักการะและมองเห็นพระบรมสารีริกธาตุอย่างชัดเจน)

@@@@@@

พระบรมสารีริกธาตุนี้ขุดพบพร้อมกับผอบเมื่อพ.ศ. 2441 ณเมืองกบิลพัสดุ์โดยรอบผอบนั้นมีจารึกเป็นอักษรพราหมีแปลความได้ว่า “พระบรมสารีริกธาตุนี้เป็นของพระพุทธเจ้า(สมณโคดม)ตระกูลศากยราชได้รับแบ่งปันในเวลาถวายพุทธสรีระ”

อาณาบริเวณโถงกลางทั้งหมดนี้จึงเทียบเคียงได้กับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่อยู่เหนือยอดเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์จุฬามณีซึ่งพระอินทร์สร้างขึ้น เพื่อประดิษฐานพระเกศาผ้าโพกเศียรและพระเขี้ยวแก้วขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าดังที่ปรากฏในพุทธประวัติ

ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่เราจะมีโอกาสได้สักการะพระบรมธาตุองค์จริงในเมืองไทยแต่ด้วยพระบารมีของรัชกาลที่5รัฐบาลอินเดียจึงน้อมเกล้าฯถวายพระบรมธาตุนี้ เพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรีโดยทางสยามประเทศได้จัดคณะราชทูตตามโบราณราชประเพณีเดินทางไปยังอินเดียใน พ.ศ.2441

และระหว่างการเดินทางกลับได้เกิดปาฏิหาริย์พระบรมธาตุเป็นที่ประจักษ์หลายครั้ง นับตั้งแต่การเกิดพายุนอกฤดูขึ้นกลางทะเลคลื่นลมรุนแรงน่ากลัว จนผู้นำคณะต้องตั้งจิตอธิษฐานต่อพระบรมธาตุ เพื่อขอให้พายุสงบลงและเดินทางกลับถึงสยามโดยสวัสดิภาพ ทันใดนั้นพายุก็เริ่มสงบสภาพอากาศกลับเป็นปกติอย่างน่าอัศจรรย์

@@@@@@

เมื่อเรื่องราวดังกล่าวแพร่หลายไปในสยามประเทศผู้คนจึงเกิดศรัทธาในพระบรมธาตุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีการจัดงานสมโภชในทุกเมืองตลอดเส้นทางการอัญเชิญพระบรมธาตุสู่พระนคร

เมื่อเสร็จสิ้นการเดินเวียนประทักษิณรอบพระเจดีย์เล็ก เรามุ่งหน้าสู่บันไดเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในชั้นผนังทั้งสองด้าน เพื่อขึ้นไปยังลานพระเจดีย์ทองจุดสูงสุดของยอดเขาที่เห็นแต่ไกลจากเบื้องล่างนั่นเอง

เมื่อก้าวผ่านบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นสู่ลานกว้าง สายลมเย็นๆที่พัดกระทบระฆังเล็กส่งเสียงดังเหง่งหง่างเป็นระยะ ประกอบกับระดับความสูงขนาดตึก 20 ชั้นที่ทำให้มองเห็นอาณาบริเวณกรุงเทพมหานครได้รอบทิศ เราจึงรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในดินแดนแห่งสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง



พิธีห่มผ้าแดงที่ภูเขาทอง ย้อนรอยประวัติศาสตร์สืบสานตำนานศักดิ์สิทธิ์

ช่วงปลายปี จะเป็นเดือนแห่งงานนมัสการพระบรมธาตุประจำปีเข้าไปทุกทีทางวัด จึงได้เตรียมผ้าแดงม้วนใหญ่ความยาวหลายสิบเมตร ให้ผู้มีศรัทธาได้ฝากชื่อ-สกุลไว้เป็นพุทธบูชาก่อนจะอัญเชิญขึ้นสู่พระเจดีย์ทอง โดยเหล่าเทวดาสมณชีพราหมณ์และพุทธศาสนิกชนในพิธีแห่ผ้าแดงประจำปี งานสำคัญของชาวพุทธ ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพียงปีละครั้ง

@@@@@@

คติความเชื่อเรื่องการถวายผ้าบูชาพระเจดีย์

พุทธศาสนิกชนหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นอินเดียศรีลังกาเนปาล รวมทั้งไทยนิยมถวายผ้าบูชาพระเจดีย์เป็นประจำทุกปีเพราะเชื่อกันว่า การถวายผ้าบูชาองค์พระเจดีย์จะนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขแคล้วคลาดปลอดภัย เนื่องจากในสมัยพุทธกาลเมืองเวสาลีเคยประสบภัยพิบัติจนประชาชนได้รับความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า แต่เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปถึงทั่วทั้งแผ่นดินก็กลับสู่ความร่มเย็นอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงอธิบายความอัศจรรย์นั้นว่า เป็นเพราะในอดีตชาติพระองค์เคยถวายผ้าบูชาองค์เจดีย์มาก่อน

นอกจากภูเขาทองแล้ววัดสระเกศยังมีสถานที่สำคัญอีกหลายแห่งได้แก่ พระอุโบสถซึ่งภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องทศชาติชาดกและพุทธประวัติ ที่ยังคงเค้าโครงงานช่างสมัยรัชกาลที่ 1 เอาไว้ได้เป็นอย่างดี พระวิหารประดิษฐานพระอัฏฐารสศิลปะสุโขทัย ซึ่งอัญเชิญมาจากเมืองพิษณุโลกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งได้กิ่งพันธุ์มาจากลังกาหอพระไตรปิฎกและพระตำหนักรัชกาลที่ 1 ซึ่งโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นข้างพลับพลาที่ประกอบพิธีมูรธาภิเษกเป็นต้น

เรียกได้ว่า มาวัดสระเกศวัดเดียว นอกจากจะอิ่มทั้งบุญอิ่มทั้งใจแล้ว ยังได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์กลับบ้านไปด้วย


ที่มา : นิตยสาร Secret  เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์ ภาพ อนุพงศ์เจริญมิตร, สรยุทธ พุ่มภักดี
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/85427.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 10, 2018, 07:16:15 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: "ภูเขาทอง" สวรรค์ใกล้เกาะรัตนโกสินทร์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 11, 2018, 09:54:33 am »
0
สาธุ สาธุ เป็นอีกหนึ่งที่ ที่ป้อมชอบไปประจำ ชอบไปเขียนชื่อลงผ้า อิอิ
 st11 st12 like1 like1 like1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 11, 2018, 11:16:23 am โดย Niratha pomnawin »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: "ภูเขาทอง" สวรรค์ใกล้เกาะรัตนโกสินทร์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 12, 2018, 11:14:41 am »
0
 st11 st12 st12
บันทึกการเข้า